คำเอกโทษ คือ คำท่ีไมเ่ คยใช้ไม้เอกแตเ่ อามาแปลงใช้โดยเปลย่ี นวรรณยกุ ต์ เป็นเอกเพือ่ ให้
ได้เสียงเอกตามบังคับ เช่น เส้ียม เปล่ียนเป็น เซี่ยม, สร้าง เปลี่ยนเป็น ซ่าง คำเช่นนี้ อนุโลมให้เป็นคำ
เอกได้
คำโท ไดแ้ ก่ พยางคท์ ม่ี ไี ม้โทบงั คบั ท้ังหมด เช่น ถ้า ปา้ นา้ น้อย ปอ้ ม ยมิ้
คำโทโทษ คอื คำท่ีไม่เคยใชไ้ ม้โท แต่เอาแปลงใชโ้ ดยเปลี่ยนวรรณยุกต์เปน็ โท เพอ่ื ได้เสยี ง
โทตามบังคบั เชน่ เล่น เปล่ยี นเป็น เหล้น, ช่วย เปลี่ยนเป็นฉ้วย คำเชน่ นีอ้ นุโลมให้เป็นคำโทได้
๕. คำเป็น คำตาย
คำเป็น ได้แก่ พยางค์ท่ีผสมด้วยสระเสียงยาวในมาตราแม่ ก กา เช่น มา ขี่ ถือ เมีย กับ
พยางค์ท่ีผสมด้วย สระ อำ ไอ ใอ เอา เช่น ทำ ไม่ เขา และพยางค์ที่สะกดด้วยมาตราแม่ กง กน
เกย เกอว เช่น สัง่ ถ่าน ลม้ ตาย เรว็
คำตาย ได้แก่ พยางค์ท่ีผสมด้วยสระเสียงส้ัน ในมาตราแม่ ก กา เช่น จะ ติ และพยางค์ท่ี
สะกดด้วยมาตราแม่ กก กด กบ เชน่ ปัก นาค คดิ มอื เกบ็ สาป คำตายน้ีใช้แทนคำเอกในโคลงได้
๖. คำสร้อย คอื คำทใ่ี ช้เตมิ ลงทา้ ยวรรค ทา้ ยบาท หรอื ทา้ ยบท เพอื่ ความไพเราะ
หรอื เพื่อให้ครบจำนวนคำตามลกั ษณะบงั คบั บางแห่งก็ใชเ้ ป็นคำถาม หรือใชย้ ำ้ ความ คำสร้อยน้ใี ช้เฉพาะใน
โคลงและร่าย และมักจะเปน็ คำเปน็ เชน่ แลนา พี่เอย ฤาพี่ แม่แล นอ้ ยเฮ หนงึ่ รา
ตวั อยา่ ง : คำสรอ้ ย โคลง ๔
อวดองค์ อรเอย
เอยี งอกเทออกอา้ ง เลขแต้ม
เมรุชุบสมทุ รดินลง จารกึ พอฤา
อากาศจดั จารผจง อย่รู ้อยฤาเห็น
โฉมแมห่ ยาดฟา้ แยม้ (นิราศนรนิ ทร)์
โคลงสส่ี ุภาพ
ผังภมู ิ :
สร้อย
สร้อย
ตัวอยา่ ง ๑
เสยี งลือเสียงเล่าอา้ ง อนั ใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทัว่ หลา้
สองเขือพ่หี ลบั ใหล ลืมตืน่ ฤาพี่
สองพ่คี ดิ เองอา้ อย่าได้ถามเผือ
(ลิลติ พระลอ)
ตวั อย่าง ๒
จากมามาลิว่ ลำ้ ลำ บาง
บางยเี่ รอื ราพลาง พ่พี ร้อง
เรือแผงช่วยพานาง เมียงม่าน มานา
บางบ่รับคำคล้อง คล่าวนำ้ ตาคลอ
(นิราศนรินทร)์
หมายเหตุ : โคลงสองบทน้ี ถือเป็นโคลงส่ีสุภาพแม่บทที่มีบังคับสัมผัสเอกโทถูกต้องตามลักษณะบังคับ
ของโคลงสีส่ ภุ าพทุกอย่าง นักเรียนควรท่องจำไวใ้ หไ้ ด้
กฎ :
๑. คณะ มดี งั น้ี
โคลงส่สี ุภาพบทหน่ึงมี ๔ บาท บาทหน่งึ มี ๒ วรรค คือ วรรคหนา้ กับวรรค
หลัง วรรคหลังของทุกบาท มีวรรคละ ๕ คำ วรรคหลังของบาทท่ี ๑, ๒ และ ๓ มีวรรคละ ๒ คำ
สว่ นของบาทท่ี ๔ มี ๔ คำ รวมโคลงสสี่ ภุ าพ บทหนึ่งมี ๓๐ คำ
๒. สมั ผัส มีดงั นี้
คำท่ี ๗ ของบาทท่ี ๑ สมั ผสั กบั คำท่ี ๕ ของบาทที่ ๒ และ ๓ คำท่ี ๗ ของบาท
ที่ ๒ สมั ผัสกบั คำท่ี ๕ ของบาทท่ี ๔
ถา้ จะใหโ้ คลงทีแ่ ต่งไพเราะยิง่ ขน้ึ ควรมีสัมผสั ใน และสมั ผัสอักษรระหว่างวรรคด้วย
กล่าวคือ ควรให้คำสุดท้ายของวรรคหน้า สัมผัสอักษรกับคำหน้าของวรรคหลัง จากตัวอย่างในโคลงได้แก่
คำ “อ้าง” กับ “อัน” “ใหล” กบั “ลมื ”
๓. คำเอกคำโทและคำเปน็ คำตาย มดี งั น้ี
๑) ตอ้ งมคี ำเอก ๗ แหง่ และคำโท ๔ แหง่ ตามตำแหน่งทเ่ี ขียนไวใ้ นแผนผังภูมิ
๒) ตำแหน่งคำเอก และโท ในบาทที่ ๑ อาจสลับท่ีกนั ได้ คอื เอาคำเอกไปไว้ใน
คำท่ี ๕ และเอาคำโทมาไวใ้ นคำท่ี ๔ เช่น
อยา่ โทษไททา้ วท่วย เทวา
อย่าโทษสถานภูผา ยา่ นกวา้ ง
อย่าโทษหม่วู งศา มติ รญาติ
โทษแต่กรรมเองสรา้ ง ส่งให้เป็นเอง
(โคลงโลกนติ )ิ
๓) คำท่ี ๗ ของบาทที่ ๑ และคำท่ี ๕ ของบาทที่ ๒ และ ๓ ห้าใชค้ ำทม่ี ีรปู
วรรณยุกต์
๔) ห้ามใชค้ ำตายท่ผี นั ดว้ ยวรรณยุกตโ์ ท ในตำแหนง่ โท
๕) คำสุดทา้ ยของบท หา้ มใช้คำตาย และคำทมี่ ีรูปวรรณยกุ ต์ และเสยี งทน่ี ยิ ม
กันว่าไพเราะ คือ เสียงจัตวาไม่มีรูป หรือจะใช้เสียงสามัญก็ได้เพราะเป็นคำจบ จะต้องอ่านเอ้ือนลากเสียง
ยาว
บัตรกจิ กรรมการเรียนรู้
คำชี้แจง นักเรยี นลากเส้นโยงคำสัมผัสในแผนภูมโิ คลงสี่สุภาพให้ถูกต้อง แลว้ ฝึกแต่งโคลงส่ีสภุ าพคนละ ๒ บท
ตามความชอบและจนิ ตนาการของนักเรียนเอง
โคลงสีส่ ุภาพ
ผงั ภูมิ :
สร้อย
สรอ้ ย
............................... .....................
............................................. .....................
............................................ .....................
........................................... .....................
............................... ......................
............................................. ......................
............................................. ......................
............................................. ......................
คำชีแ้ จง นักเรียนลากเส้นโยงคำสัมผัสในแผนภูมิโคลงสี่สภุ าพใหถ้ ูกตอ้ ง แล้วฝึกแต่งโคลงสี่สุภาพคนละ ๒ บท
ตามความชอบและจนิ ตนาการของนักเรยี นเอง
โคลงส่สี ภุ าพ
ผังภูมิ :
สรอ้ ย
สรอ้ ย
( การแต่งอยใู่ นดุลพินจิ ของครูผูส้ อน )
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 2.๗
กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๒
หน่วยท่ี ๑ โคลงสุภาษิต เวลา ๗ ช่วั โมง
เร่ือง อา่ นคิดสรปุ เรื่อง เวลา ๑ ชว่ั โมง
ใช้สอนวนั ที่ ....................................................................................................................
.
มาตรฐานที่ ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความร้แู ละความคิด เพ่ือนำไปใช้ตัดสนิ ใจแกป้ ญั หาในการ
มาตรฐานท่ี ท ๕.๑ ดำเนนิ ชีวติ และมีนิสยั รักการอ่าน
เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วจิ ารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคณุ คา่
และนำมาประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ จรงิ
ตวั ชว้ี ดั
ท ๑.๑ ม.๒/๔ อภปิ รายแสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกบั เร่ืองทอี่ ่าน
ท ๕.๑ ม.๒/๑. สรปุ เน้อื หาวรรณคดแี ละวรรณกรรมท่ีอา่ นในระดับทีย่ ากขึน้
ท ๕.๑ ม.๒/๒ วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณ์วรรณคดวี รรณกรรม และวรรณกรรมท้องถน่ิ ที่อ่าน พร้อมยก
เหตุผลประกอบ
ท ๕.๑ ม.๒/๓ อธบิ ายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมท่อี ่าน
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง/ทอ้ งถ่นิ
ตวั ชวี้ ัด ความรู้ (K) ทกั ษะ/กระบวนการ คุณลกั ษณะ (A)
(P)
ท ๑.๑ ม.๒/๔ อภิปรายแสดง - นยิ ามหลกั การ - ฝกึ อภิปรายแสดง - มมี ารยาทในการ
ความคิดเหน็ และข้อโตแ้ ยง้ อภปิ รายแสดงความ ความคิดเหน็ และ อภปิ รายและแสดง
เกยี่ วกับเร่ืองทอี่ ่าน คิดเห็นและขอ้ โต้แยง้ ข้อโตแ้ ยง้ ความคิดเหน็
ข้อโตแ้ ยง้
ท ๕.๑ ม.๒/๑. สรุปเนอื้ หา การจับใจความสำคญั - ฝึกจับใจความสำคญั - มีมารยาทในการอ่าน
วรรณคดแี ละวรรณกรรมที่อา่ น - ฝกึ สรุปเนื้อหา
ในระดับทีย่ ากข้นึ
ท ๕.๑ ม.๒/๒ วเิ คราะหแ์ ละ การวเิ คราะห์คณุ ค่า - ฝกึ วิเคราะห์คุณค่า - เห็นคุณคา่ และซาบซึ้ง
วจิ ารณว์ รรณคดีวรรณกรรม และ ของวรรณคดไี ทย ของวรรณคดีไทยและ
วรรณกรรมท้องถิ่นท่ีอา่ น พร้อม และวรรณกรรม วรรณกรรมท้องถนิ่
ยกเหตุผลประกอบ ทอ้ งถน่ิ
ท ๕.๑ ม.๒/๓ อธิบายคณุ ค่า การวิเคราะห์คุณคา่ ฝึกเขยี นอธิบาย - เห็นคณุ คา่ และซาบซง้ึ
ของวรรณคดีและวรรณกรรมที่ ของวรรณคดีไทย วิเคราะห์คุณคา่ ของ
อา่ น และวรรณกรรม วรรณคดไี ทยและ
ท้องถิน่ วรรณกรรมท้องถนิ่
สาระสำคญั
๑. การอภปิ รายบทเรียน แสดงเหตผุ ลประกอบการพดู เป็นการเพ่ิมทักษะด้าน
การวิเคราะห์ ทำใหส้ รุปขอ้ คิดจากบทเรยี นไดง้ า่ ยและตรงประเดน็
๒. การย่อความจากเรอ่ื งทอ่ี ่าน โดยอาศยั แผนภาพโครงเร่ือง จะทำให้ยอ่ เร่ืองไดง้ ่ายและ
สมบูรณม์ ากขึน้
สาระการเรยี นรู้
๑. การอภิปรายขอ้ คดิ จากบทเรยี น
๒. การเขยี นยอ่ ความ
๓.การทดสอบหลงั การเรยี นรู้
กระบวนการเรยี นรู้
๑. นกั เรยี นและครูรว่ มกันสนทนาทบทวนเน้ือหาสาระการเรยี นรจู้ ากช่ัวโมงทผ่ี า่ นมา
๒. แบง่ นกั เรยี นออกเปน็ กล่มุ (ตามความเหมาะสม) โดยให้นกั เรียนร่วมกนั ศึกษา
วเิ คราะหเ์ นอ้ื หาจากบทเรยี นแล้วดำเนินการอภปิ รายสรุปข้อคดิ จากบทเรยี น แลว้ เขียนสรปุ ข้อคดิ ลงในสมุด
แบบฝกึ หัด
๓. นักเรยี นแลกเปล่ยี นเรยี นรูก้ ารเขียนย่อความกับเพื่อนในกล่มุ แล้วเขยี นย่อความจาก
บทเรยี นลงในสมุดและส่งตวั แทนกลุ่มนำเสนอผลงานการเขียนสรปุ ข้อคิดจากบทเรยี นและยอ่ ความของตนเอง
หน้าชนั้ เรียน
๓. นักเรียนและครรู ว่ มกนั อภิปรายสรปุ ข้อคิดจากบทเรยี น เสนอแนะขอ้ บกพรอ่ งการ
เขียนยอ่ ความ และแนวทางปรบั ปรงุ แก้ไข สนทนาถงึ การทำงานกลมุ่ และการทำงานรายบคุ คลของนกั เรยี น
๔. นกั เรยี นทำบตั รกจิ กรรมการเรียนรู้
๕. นักเรียนทำแบบทดสอบหลงั การเรยี นรู้
สื่อ / แหล่งเรียนรู้
ลำดบั ที่ รายการสอ่ื กจิ กรรมทใ่ี ช้ แหลง่ ทไ่ี ด้มา
๑ แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน นกั เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี น ครูจัดทำ
๒ แผนภูมคิ วามหมายของคำศัพท์ นักเรียนศึกษาและอ่าน ครจู ดั ทำ
ครูจัดหา
และสำนวนจากเร่ือง ครจู ัดทำ
๓ หนงั สอื เรียน ชุด วรรณคดี นักเรยี นดูภาพและฝกึ อา่ น
วิจกั ษ์ ชน้ั ม.๒
๔ แบบประเมนิ การสังเกต บันทกึ การสงั เกตพฤติกรรม
พฤติกรรม
การวัดผลและประเมินผล
กจิ กรรม-พฤตกิ รรมที่ เครื่องมือทใี่ ช้ใน วธิ กี ารประเมิน เกณฑก์ ารประเมิน
การประเมิน
ประเมิน
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ตรวจงานรายบุคคล รอ้ ยละ ๗๐ ข้นึ ไป
๑. นักเรียนทำแบบทดสอบ
หลังเรยี น แบบประเมินรายกล่มุ สังเกตรายกล่มุ ร้อยละ ๗๐ ขน้ึ ไป
๒. นกั เรียนนำเสนอหน้าชน้ั แบบประเมินพฤติกรรมและ ตรวจงานรายกล่มุ รอ้ ยละ ๗๐ ขึน้ ไป
เรยี น ผลงานระหวา่ งเรยี น
๓. ประเมินพฤติกรรมและ
ผลงานระหวา่ งเรยี น
กจิ กรรมเสนอแนะ
ในกจิ กรรมการสอนภาษาไทยทุกช่วั โมง ครูตอ้ งกวดขนั ใหน้ ักเรยี นใชต้ วั เลขไทย เพื่อให้เกิดความ
เคยชินและติดเปน็ นสิ ยั อีกท้ังให้มีความภมู ิใจในการใช้ตัวเลขไทย อนั เปน็ สมบตั ิของชาติ
บันทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้
๑. ผลการจัดการเรยี นรตู้ ามผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวัง
นักเรียนทั้งหมด ....................คน
– ผา่ นเกณฑ์การประเมินระดับดี ............ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ...............
– ผ่านเกณฑ์การประเมินระดับปานกลาง – คน คดิ เปน็ ร้อยละ .................
– ไมผ่ า่ นเกณฑ์การประเมินระดับปรบั ปรงุ – คน คิดเป็นร้อยละ ...............
๒. ผลการประเมนิ พฤตกิ รรมระหวา่ งเรียน
............................................................................................................................. ...........................
..................................................................................................... .........................................................................
............................................................................................................................. .................................................
.........................................................................................................................
๓. ปญั หาและอุปสรรคระหว่างการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน
....................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. .......................
๔. การปรบั ปรงุ แกไ้ ข
...........................................................................................................................................
............................................................................................................................. ....................................
๕. ขอ้ คิดเห็นและข้อเสนอแนะเพมิ่ เติม
............................................................................................................................. ...........................
....................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ..........................................................ผูส้ อน
( นางสาวรตั นา มากอำไพ )
ครผู ชู้ ว่ ย
ความเหน็ ของผู้อำนวยการโรงเรียน
............................................................................................................................. ...........................
....................................................................................................................................... .......................................
............................................................................................ ..................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ..........
ลงชือ่ .................................................ผ้ตู รวจสอบ
( นายพเิ ชษฐ์ ทบั ทอง )
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนครนพิทยาคม
บตั รกจิ กรรมการเรียนรู้
คำชี้แจง ให้นักเรียนพิจารณาคณุ คา่ ของโคลงสภุ าษติ นฤทุมาการ ตามความเขา้ ใจในช่องวา่ งที่
กำหนดให้
…………………… ……………………… ……………………
…………………… ……………………… ……………………
…………………… ……………………… ……………………
…………………… ……………………… ……………………
…………….. ….. ……………..
คณุ ค่าโคลงสุภาษิต
นฤทมุ นาการ
……………………… ………………………
……………………… ………………………
……………………… ………………………
……………………… ………………………
….. …..
แนวเฉลยบัตรกจิ กรรมการเรียนรู้
คำชแี้ จง ใหน้ ักเรียนพิจารณาคณุ คา่ ของโคลงสภุ าษิตนฤทุมาการ ตามความเขา้ ใจในชอ่ งวา่ งท่ี
กำหนดให้
เป็นเร่ืองที่เกี่ยวขอ้ ง การใชภ้ าษาใชค้ างา่ ยๆ เป็ นคาสอนที่คน
กบั ชีวิตประจาวนั เป็ นคาไทยแท้ ทว่ั ไปสามารถปฏิบตั ิ
ของคน ความหมายชดั เจน ได้
และเป็ นเรื่ องอุดมคติ เขา้ ใจ งา่ ยเห็นภาพพจน์
คุณค่าโคลงสุภาษติ
นฤทุมนาการ
สอดคลอ้ งกบั ธรรมมะ เป็นขอ้ เตือนใจในการ
ในพระพทุ ธศาสนา ซ่ึงผู้ ดารงชีวิตอยใู่ นสังคมได้
ปฏิบตั ิจะเกิดความสงบ
ทกุ ยคุ ทกุ สมยั
สุข
แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรียน
คำช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมายถูกหน้าข้อความท่ีนักเรียนคิดว่าถูกต้อง และ เขียนเครื่องหมายผิด
หน้าข้อทน่ี ักเรยี นคดิ วา่ ผดิ
...............๑ ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีหลักธรรมประจำใจเพ่ือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
แนวทางตา่ ง ๆ เป็นขอ้ คดิ ที่นกั ปราชญ์แต่โบราณได้รวบรวมไว้ ดังปรากฏในโคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์
............... ๒ โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ เดิมเป็นสุภาษิตภาษาอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กวีในราชสำนักแปลและประพันธ์เปน็ โคลงภาษาไทย
..............๓ โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางคเ์ ปน็ โคลงสสี่ ุภาพ ซึ่งมีบทนำ ๑ บท เนือ้ เร่ือง ๑๖ บท และบทสรุป
๑ บท บอกจำนวนสุภาษติ ว่ามี ๑๖ หมวด หมวดละ ๓ ข้อ รวมเปน็ ๔๘ ข้อ
...............๔ ในพระราชนิพนธ์น้ี “ไตรยางค์” หมายถึงจำนวนส่ิงท่ีควรแสวงหาหรือควรละเว้น ซ่ึงในโคลง
แต่ละบทจะมีอยู่ ๓ สง่ิ
...............๕ สามส่ิงควรรกั ไดแ้ ก่ ความกล้า ความสุภาพ และความรักใคร่ สามสง่ิ ควรชม ได้แก่ อำนาจ
เกยี รตยิ ศ และ มีมารยาทดี
...............๖ โคลงสภุ าษิตนฤทุมนาการมบี ทนำ ๑ บท เน้ือเรื่อง 4 บท และบทสรปุ ๑ บท
............... ๗ ช่อื ว่า ทศนฤทุมนาการ หมายถึง “กิจ ๑๐ ประการทผ่ี ้ปู ระพฤตยิ งั ไมเ่ คยเสียใจ”
...............๘ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ เป็นข้อแนะนำทั้งทางด้านมโนกรรม (การคิด) วจีกรรม (การพูด)
และกายกรรม (การกระทำ) ซ่ึงครอบคลุมและเหมาะสมท่ีจะเป็นเกราะป้องกันผู้ประพฤติมิให้ต้องเสียใจ
เพราะส่ิงที่ตนคดิ พูด และกระทำ
............... ๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์แปลนิทานอิสปไว้ ๒๔ เรื่อง
และทรงพระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิตประกอบนิทาทนร่วมกับกวีอีก ๓ ท่าน โคลงสุภาษิตดังกล่าวรวมเรียกว่า
โคลงสุภาษติ อิศปปกรณำ
............... ๑๐ อิศป หรือ อีสป (Aesop) เป็นชื่อนักโทษชาวกรีก เล่ากันว่า อีสปเป็นทาสผู้มีร่างกายพิกล
พิการ แตช่ าญฉลาด มักยกนทิ านขึน้ มาเลา่ เพื่อเปรียบเปรย หรือเตอื นสติใหผ้ อู้ นื่ ไดค้ ิด
เฉลยทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรียน
คำช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนเคร่ืองหมายถูกหน้าข้อความท่ีนักเรียนคิดว่าถูกต้อง และ เขียนเคร่ืองหมายผิด
หนา้ ขอ้ ทีน่ ักเรยี นคดิ วา่ ผดิ
...............๑ ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีหลักธรรมประจำใจเพ่ือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
แนวทางต่าง ๆ เปน็ ข้อคดิ ทน่ี ักปราชญ์แต่โบราณไดร้ วบรวมไว้ ดงั ปรากฏในโคลงสุภาษติ โสฬสไตรยางค์
............... ๒ โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ เดิมเป็นสุภาษิตภาษาอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กวีในราชสำนักแปลและประพันธ์เป็นโคลง
ภาษาไทย
...............๓ โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์เป็นโคลงสี่สุภาพ ซึ่งมีบทนำ ๑ บท เนื้อเรื่อง ๑๖ บท และ
บทสรปุ ๑ บท บอกจำนวนสภุ าษติ วา่ มี ๑๖ หมวด หมวดละ ๓ ข้อ รวมเป็น ๔๘ ขอ้
...............๔ ในพระราชนิพนธ์นี้ “ไตรยางค์” หมายถึงจำนวนส่ิงท่ีควรแสวงหาหรือควรละเว้น ซ่ึงใน
โคลงแต่ละบทจะมอี ยู่ ๓ ส่ิง
...............๕ สามส่ิงควรรัก ได้แก่ ความกล้า ความสุภาพ และความรักใคร่ สามส่ิงควรชม ได้แก่
อำนาจ เกยี รตยิ ศ และ มีมารยาทดี
...............๖ โคลงสภุ าษิตนฤทุมนาการมบี ทนำ ๑ บท เนื้อเรื่อง 4 บท และบทสรุป ๑ บท
............... ๗ ช่อื ว่า ทศนฤทุมนาการ หมายถึง “กจิ ๑๐ ประการทผ่ี ้ปู ระพฤติยงั ไม่เคยเสยี ใจ”
...............๘ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ เปน็ ข้อแนะนำทั้งทางด้านมโนกรรม (การคิด) วจกี รรม (การพูด)
และกายกรรม (การกระทำ) ซ่ึงครอบคลุมและเหมาะสมท่ีจะเป็นเกราะป้องกันผู้ประพฤติมิให้ต้องเสียใจ
เพราะสงิ่ ทต่ี นคดิ พดู และกระทำ
............... ๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์แปลนิทานอิสปไว้ ๒๔ เร่ือง
และทรงพระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิตประกอบนิทาทนร่วมกับกวีอีก ๓ ท่าน โคลงสุภาษิตดังกล่าวรวมเรียกว่า
โคลงสุภาษติ อศิ ปปกรณำ
............... ๑๐ อิศป หรอื อีสป (Aesop) เปน็ ชือ่ นักโทษชาวกรีก เลา่ กันว่า อสี ปเป็นทาสผู้มีร่างกายพิกล
พิการ แตช่ าญฉลาด มกั ยกนิทานข้ึนมาเลา่ เพ่อื เปรียบเปรย หรือเตอื นสติใหผ้ ้อู ืน่ ไดค้ ดิ
คดิ
แบบประเมนิ หลงั แผนการจดั การเรียน
แบบประเมนิ พฤติกรรมและผลงานระหวา่ งเรียน
ความหมาย
๑. ต้ังใจ หมายถึง ความมานะ อดทนทำงานจนเสร็จ ( A )
๒. ความร่วมมอื หมายถึง สมาชกิ ในกลุ่มใหค้ วามรว่ มมือทำงานจนเสรจ็ ( A )
๓. ความมวี ินัย หมายถึง ผลงาน หรอื การทำงานเปน็ ระบบระเบยี บเรียบร้อย สะอาด
สวยงาม และได้เนื้อหาครบถ้วน ทนั หรอื ตรงตอ่ เวลา ( A,K )
๔. คณุ ภาพของผลงาน หมายถงึ ผลงานเรียบรอ้ ย สวยงาม เน้ือหาครบถ้วน
ภาษาท่ใี ช้เหมาะสม (P – Product, K)
๕. การนำเสนอผลงาน หมายถงึ การพดู อธิบายนำเสนอผลงานไดต้ ามลำดบั
และเนอื้ หาถูกต้อง ( P – Process, K )
เกณฑ์การประเมิน
๔ หมายถงึ ทำไดด้ ีมาก ๓ หมายถึง ทำได้ดี
๒ หมายถึง ทำได้พอใช้ ๑ หมายถงึ ควรปรับปรงุ
เลขท่ี ความต้ังใจ ความรว่ มมอื ความมีวินัย คณุ ภาพของ การนำเสนอ รวม
(๔) (๔) (๔) ผลงาน (๔) ผลงาน (๔) (๒๐)
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนกระบวนการทำงานกลมุ่
ประเดน็ การประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน/ระดับ
๑. การกำหนด –
๓๒๑
เป้าหมายรว่ มกนั
สมาชิกทุกคนมสี ่วน สมาชิกสว่ นใหญ่มี สมาชิกส่วนน้อยมี
๒. การแบ่งหนา้ ที่
รบั ผิดชอบ รว่ มในการกำหนด ส่วนรว่ มในการกำหนด สว่ นรว่ มในการกำหนด
๓. การปฏิบตั ิหน้าท่ี เป้าหมายการทำงาน เปา้ หมายในการ เป้าหมายในการ
ท่ีได้รับมอบหมาย
อย่างชดั เจน ทำงาน ทำงาน
๔. การประเมินและ
ปรบั ปรุงผลงาน กระจายงานได้อยา่ ง กระจายงานได้ท่วั ถึง กระจายงานไม่ทัว่ ถึง
ทว่ั ถงึ และตรงตาม แต่ไมต่ รงตาม
ความสามารถของ ความสามารถของ
สมาชิกทุกคน สมาชกิ
ทำงานได้สำเรจ็ ตาม ทำงานได้สำเร็จตาม ทำงานไม่สำเรจ็ ตาม
เปา้ หมายท่ีไดร้ บั เป้าหมายแตช่ ้ากว่า เปา้ หมาย
มอบหมาย ตาม เวลาที่กำหนด
ระยะเวลาที่กำหนด
สมาชกิ ทกุ คนรว่ ม สมาชกิ บางส่วนมสี ว่ น สมาชกิ บางสว่ นไม่มี
ปรึกษาหารือ ติดตาม รว่ มปรกึ ษาหารือแต่ไม่ สว่ นร่วมปรึกษาหารือ
ตรวจสอบและปรบั – ชว่ ยปรบั ปรุงผลงาน และไม่ชว่ ยปรบั ปรุง
ปรงุ ผลงานเปน็ ระยะ ผลงาน
แบบประเมินกระบวนการทำงานกลุ่ม
กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย วิชา ภาษาไทย
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๒ กลุ่มท่ี …….....
ที่ รายการประเมิน คะแนน ข้อคิดเห็น
๓๒๑
๑. การกำหนดเปา้ หมายร่วมกัน
๒. การแบง่ หนา้ ท่รี ับผดิ ชอบ
๓. การปฏบิ ัตติ ามหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย
๔. การประเมินและปรับปรุงผลงาน
รวม
ลงชอื่ ผ้ปู ระเมิน
( )
เกณฑ์การประเมิน ดีมาก
๑๑ – ๑๒= ดี
๘ – ๑๐ = พอใช้
๕–๖ = ปรบั ปรุง
๐–๔ =
เกณฑก์ ารประเมินการนำเสนอผลงาน
แนวทางการพจิ ารณา
หวั ข้อการพิจารณา/ระดับการปฏบิ ัติหรอื พฤติกรรม
ระดับ เน้อื หา กลวธิ ีการนำเสนอ ขน้ั ตอนการ การใชภ้ าษา ตอบคำถาม/
คะแนน นำเสนอ เวลา
มกี ารเรียงลำดบั ตอบคำถามได้
๔ เนอ้ื หาไดด้ ี มกี ารนำเขา้ สู่เน้อื มีการนำเสนอ ออกเสยี งถูกต้อง อยา่ งมภี มู ริ ู้
มคี วามตอ่ เนือ่ ง และมคี วาม
มปี ระโยชน์ เรื่อง มคี วาม อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ตามอักขรวธิ แี ละดัง ชัดเจน มีแหล่ง
ให้แง่คิด อ้างอิง
สัมพันธ์กบั เนือ้ ราบร่ืนเป็นไปตาม ชดั เจน ใชภ้ าษา ใชเ้ วลาตาม
กำหนด
เร่อื ง เรา้ ใจผฟู้ ัง ขน้ั ตอน เหมาะสม เขา้ ใจ ตอบคำถามได้
คอ่ นข้างชดั เจน
มคี วามมน่ั ใจ ง่าย มีการใช้ มีแหล่งอ้างอิง
ใช้เวลาเกิน
สำนวนโวหาร กำหนด ๑ นาที
๓ มีการเรยี งลำดบั มีการนำเขา้ สูเ่ น้อื การนำเสนอ ออกเสียงถกู ตอ้ ง ตอบคำถามไดไ้ ม่
เนื้อหาไดด้ ี เรอ่ื ง มคี วาม ต่อเนอื่ ง มีการ ตามอักขรวธิ แี ละดัง ค่อยชดั เจน
มคี วามตอ่ เนือ่ ง สมั พันธก์ ับเนือ้ ข้ามข้นั ตอนบ้าง ชดั เจน ใชภ้ าษา มแี หลง่ อ้างองิ
มีประโยชน์ เรอ่ื ง เร้าใจผ้ฟู งั เหมาะสมเข้าใจง่าย เปน็ บางสว่ น
ให้แง่คดิ นอ้ ย ไมม่ คี วามมนั่ ใจใน การนำเสนอ ไมม่ ีการใชส้ ำนวน ใชเ้ วลาเกนิ
การนำเสนอ ต่อเน่ือง ไมม่ ี โวหาร กำหนด
๒ มีการเรียงลำดบั ขั้นตอนเป็นส่วน ๒ นาที
เนอ้ื หาไดด้ ี มกี ารนำเข้าสู่เน้ือ ใหญ่ ออกเสียงถูกต้อง ตอบคำถามไม่ได้
มีความต่อเน่อื ง เรื่อง มคี วาม ตามอักขรวธิ แี ละดัง เปน็
มีประโยชนน์ อ้ ยให้ สัมพันธก์ บั เนือ้ ชดั เจน ใชภ้ าษา ส่วนใหญ่
แง่คดิ นอ้ ย เรื่อง ไม่ เร้าใจผ้ฟู งั เข้าใจยาก ไมม่ ี ใช้เวลาเกนิ
ไมม่ ีความมั่นใจใน การใช้สำนวน กำหนด ๕ นาที
การนำเสนอ โวหาร
๑ มีการเรียงลำดับ มีการนำเขา้ สูเ่ นอื้ การนำเสนอ ออกเสียงถกู ตอ้ ง
เน้อื หาไดด้ ี เร่ือง ไมม่ คี วาม ไม่ต่อเนื่อง ตามอักขรวิธีและดัง
ไม่มีความตอ่ เนือ่ ง สัมพันธ์กบั เนอื้ นำเสนอสบั สน ชดั เจน ใช้ภาษาไม่
มีประโยชนน์ ้อยให้ เรอื่ ง ไม่เรา้ ใจผฟู้ ัง เหมาะสม เขา้ ใจ
แง่คิดน้อย ไม่มคี วามมัน่ ใจใน ยาก ไมม่ ีการใช้
การนำเสนอ สำนวนโวหาร
แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน
กล่มุ ท่.ี ...........................................................หอ้ ง.......................
เน้ือหา กลวธิ ี ขนั้ ตอนการ การใช้ การตอบ รวม
๔ การ นำเสนอ ภาษา คำถาม คะแนน
ประเด็น นำเสนอ ๔ ๔ /เวลา ๒๐
ชอื่ – สกลุ ๔๔
สมาชกิ
๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๖.
๘.
ลงช่อื ......................................................ผ้ปู ระเมิน
()
วันท.่ี .....เดอื น......................ป.ี ...............
เกณฑ์การประเมิน ๔ หมายถึง ดีมาก
๓ หมายถึง ดี
๒ หมายถึง พอใช้
๑ หมายถึง ตอ้ งปรบั ปรุง
แบบสงั เกตพฤติกรรมการอ่าน
คำชีแ้ จง ใหท้ ำเครื่องหมาย / ลงในช่องรายการสงั เกตพฤตกิ รรมทก่ี ำหนด
รายการสงั เกต
เลขท่ี ช่อื – สกุล
ความสนในเร่ือง
่ีท ่อาน
มีมารยาทในการ
อ่าน
มีสมาธิในการอ่าน
อ่านคำถูกต้อง
้นำเสียง ัชดเจน
ถูกต้อง
อ่านไม่กดหรือเติม
คำ
จับห ันงสือได้
ถูกต้อง
สรุปผลการประเ ิมน
ผ่าน / ไ ่มผ่าน
๒๑๐๒๑๐๒๑๐๒๑๐๒๑๐๒๑ ๐๒๑๐
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ๒= ด,ี ๑ = ปานกลาง, ๐ = ตอ้ งปรบั ปรงุ แกไ้ ข
(ลงช่ือ)……………………………………….ผูป้ ระเมนิ
วันท่ี……….เดือน…………………….พ.ศ………………
แบบประเมินก่อนเรียนและหลงั เรียน หนว่ ยที่ ๕
แบบทดสอบ แบบทดสอบ สรปุ
เลขท่ี ชอื่ – สกลุ กอ่ นเรียน หลงั เรียน ผลต่าง
๑ ๒๐ ๒๐ ผ่าน ไม่ผา่ น
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐