รายงาน เรื่อง การฝึกวิเคราะห์องค์ประกอบของคำและคำผสมภาษาอังกฤษ จัดทำโดย พระกมล เกตุรัตนสมบูรณ์ รหัส 6310540211001 นาย คณิศร กิจพิทักษ์พนา รหัส 6310540231010 นางสาวเกสร สัมฤทธิ์ผล รหัส6310540231017 นางสาวปราณี บุญดวง รหัส 6310540211029 เสนอ อาจารย์ พระพิทักษ์ ฐานิสสโร ดร. รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา GE3004 ภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา
รายงาน เรื่อง การฝึกวิเคราะห์องค์ประกอบของคำและคำผสมภาษาอังกฤษ จัดทำโดย พระกมล เกตุรัตนสมบูรณ์ รหัส 6310540211001 นาย คณิศร กิจพิทักษ์พนา รหัส6310540231010 นางสาวเกสร สัมฤทธิ์ผล รหัส6310540231017 นางสาวปราณี บุญดวง รหัส6310540231029 เสนอ อาจารย์ พระพิทักษ์ ฐานิสสโร ดร. รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา GE3004 ภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้า
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา GE3004 ภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษา ระดับ ปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3 คณะผู้จัดทําได้ทำการศึกษาการฝึกวิเคราะห์องค์ประกอบของคำและคำผสม ภาษาอังกฤษ โดยเป็นการศึกษาค้นคว้านแหล่งความรู้ ได้แก่ ตำรา หนังสือ และแหล่งความรู้ผ่าน เว็บไซต์ต่างๆ อันเป็นประโยชน์ในการสอน ภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษา ผู้จัดทําได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ Parts of speech ชนิดของคำภาษาอังกฤษ คำประสม หรือ Compound Words ในภาษาอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สนใจได้ศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับ Parts of speech ชนิดของคำภาษาอังกฤษ คำประสม หรือ Compound Words ใน ภาษาอังกฤษ สามารถนำไปใช้ในการเรียนหรือในการทำงานในอนาคตได้จริง คณะผู้จัดทำหวังว่ารายงายเล่มนี้จะให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ Parts of speech ชนิด ของคำภาษาอังกฤษ คำประสม หรือ Compound Words ในภาษาอังกฤษ ที่เป็นประโยชน์กับการ ผู้อ่านทุกท่าน คณะผู้จัดทํา
ข สารบัญ คำนำ ก สารบัญ ข Parts of speech ชนิดของคำภาษาอังกฤษ 1 คำประสม หรือ Compound Words ในภาษาอังกฤษ 9 บรรณานุกรม 13
1 Parts of speech ชนิดของคำภาษาอังกฤษ Parts of Speech คืออะไร Parts of Speech คือ ชนิดหรือประเภทของคำในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่และตำแหน่งใน ประโยคแตกต่างกันออกไป ความเข้าใจเกี่ยวกับ Parts of Speech ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้ถูกต้อง การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจประเภทของคำหรือ Parts of Speech นั้นมีประโยชน์ เพราะ จะช่วยให้เราเข้าใจส่วนย่อยของภาษา ตั้งแต่คำ วลี ไปจนถึงประโยคที่ใช้ในภาษาอังกฤษ Parts of Speech มีอะไรบ้าง พื้นฐานที่สำคัญเริ่มต้นด้วยการตอบคำถามที่ว่า Parts of Speech มีกี่ประเภท เราสามารถ แบ่งประเภทคำในภาษาอังกฤษตามหน้าที่ได้หลัก ๆ เป็น 8 ชนิด ได้แก่ Noun (คำนาม), Pronoun (คำสรรพนาม), Verb (คำกริยา), Adjective (คำคุณศัพท์), Adverb (คำกริยาวิเศษณ์), Preposition (คำบุพบท), Conjunction (คำสันธานหรือคำเชื่อม) และ Interjection (คำอุทาน) นอกจากประเภท Parts of Speech ข้างต้นแล้ว บางตำรายังมีคำประเภท Determiner หรือคำนำหน้านาม เช่น a, an, the, that หรือ some อีกชนิดด้วย 1.Noun (คำนาม) คำนาม หรือ Noun คือ คำในภาษาอังกฤษซึ่งใช้เรียกชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ รวม ไปถึง ความรู้สึก อารมณ์ แนวคิด คุณสมบัติ สามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลากหลายประเภท เช่น Proper Nouns (คำนามชี้เฉพาะ), Common Nouns (คำนามทั่วไป), Collective Nouns (สมุ หนาม) และ Abstract Nouns (อาการนาม) เป็นต้น
2 นอกจากนี้ยังมีการแบ่งคำนามออกเป็นแบบนับได้และนับไม่ได้ ( Countable and Uncountable) โดยคำนามที่นับได้นั้นจะมีได้ทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ (เช่น a man, two men) แต่คำนามนับไม่ได้นั้นจะเป็นได้แค่คำนามเอกพจน์เท่านั้น (water, a glass of water) ตัวอย่าง Noun (คำนาม) ภาษาอังกฤษ • Proper Nouns (คำนามเฉพาะ) – Cristiano Ronaldo, Lisa, London, Bangkok, January, Thailand • Common Nouns (คำนามทั่วไป) – boy, apple, dog, ice cream, phone, city, cat • Collective Nouns (สมุหนาม) – group (a group of students), herd (a herd of cattle), bunch (a bunch of flowers), crowd (a crowd of people) • Abstract Nouns (อาการนาม) – happiness, anger, kindness, health, friendship ตัวอย่างการใช้ Noun (คำนาม) ในประโยค • My best friend lives in Australia. (เพื่อนสนิทของฉันอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลีย) • Chris has two dogs. (คริสมีสุนัขสองตัว) • Her mother is a teacher. (แม่ของเธอเป็นครู) Tip: คำนามภาษาอังกฤษอาจสังเกตได้จาก Noun Suffixes หรือรากศัพท์ที่ลงท้ายคำนาม เช่น • -ance = maintenance, distance • -ence = difference, silence • -er = teacher, singer • -ion = education, satisfaction, celebration • -ment = entertainment, payment • -ness = happiness, sadness 2. Pronoun (คำสรรพนาม) คำสรรพนาม หรือ Pronoun คือ คำที่ใช้เรียกแทนคำนาม เพื่อให้เกิดความกระชับและ หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงคำนามเดิมซ้ำ ๆ เช่น I, you, he, she, it, we และ they เป็นต้น
3 ตัวอย่างการใช้ Pronoun (คำสรรพนาม) ในประโยค • We took the car to the garage because it needed fixing. แทนที่จะเขียนว่า We took the car to the garage because the car needed fixing. • Tom went to bed because he was tired. แทนที่จะเขียนว่า Tom went to bed because Tom was tired. 3. Verb (คำกริยา) คำกริยา หรือ Verb คือ คำที่แสดงอาการ เพื่อบ่งบอกถึงการกระทำของนามหรือสรรพนาม ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรือจิตใจ คำกริยายังบอกถึงสถานะได้อีกด้วย Verb เป็นคำในภาษาอังกฤษประเภทเดียวที่มีการผันตาม Tense เพื่อแสดงความเป็น ปัจจุบันหรืออดีต เป็นต้น
4 เราอาจแบ่ง Verb ได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Action verb - แสดงการกระทำต่าง ๆ เช่น run, dance, swim Linking verb - ใช้เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับข้อมูลเกี่ยวกับประธานดังกล่าว เช่น Peter's room was a mess. Auxiliary/helping verb - ช่วยเสริมความหมายของ Verb หลักให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น tense, voice หรืออารมณ์ความรู้สึก เช่น • The film was shot in Thailand. • We are planning a party. • She may arrive early. 4. Adjective (คำคุณศัพท์) คำคุณศัพท์ หรือ Adjective คือ คำที่นำมาใช้ขยายคำนามหรือสรรพนาม เพื่อบอกลักษณะ หรือคุณสมบัติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น beautiful, tasty, red, good, sunny เป็นต้น
5 ตัวอย่างการใช้ Adjective (คำคุณศัพท์) ในประโยค • My mum picked some pretty flowers. • She is the fastest member of our team. • Every member of the team scored a point. • I love Japanese food. 5. Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) คำวิเศษณ์หรือคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) คือ คำที่ทำหน้าที่ขยายคำกริยา (Verb), คุณศัพท์ (Adjective) และคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เพื่อบอกรายละเอียดเพิ่มเติม ให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าสิ่งที่ พูดถึงเกิดขึ้นอย่างไร (How) เมื่อไหร่ (When) บ่อยแค่ไหน (How often) ที่ไหน (Where) และเท่าไร (How much) โดย Adverb หลายคำมักจะลงท้ายด้วย -ly ตัวอย่างการใช้ Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) ในประโยค • I often have cereal for breakfast. [ขยาย Verb] • My sister is a very lovely person. [ขยาย Adjective] • Jenny plays very nicely with her younger brother. [ขยาย Adverb]
6 6. Preposition (คำบุพบท) คำบุพบท หรือ Preposition คือ คำที่ใช้ทำหน้าที่เชื่อมคำนาม (Noun), นามวลี (Noun Phrase), คำสรรพนาม (Pronoun) หรือคำกริยา (Verb) เพื่อแสดงความสัมพันธ์ เช่น การบ่งบอก เวลา สถานที่ ตำแหน่ง ทิศทาง และอื่น ๆ เพื่อแสดงความเกี่ยวข้องในประโยค เช่น in, on, at, under, in front of, between, beside, with, without เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะอยู่หน้าคำนาม หรือสรรพนาม
7 ตัวอย่างการใช้ Preposition (คำบุพบท) ในประโยค • I am sitting next to my best friend. • We had a picnic outside yesterday. • I'll be there in an hour. • Nick lives with two dogs and a cat. 7. Conjunction (คำสันธานหรือคำเชื่อม) คำสันธาน หรือ Conjunction คือ คำที่เชื่อมคำ ประโยค วลี หรือประโยคย่อยเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ความหมายที่สมบูรณ์และมีความสละสลวยมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น and, but, so, because, when, if, that, although, even if, neither...nor, either...or เป็นต้น
8 ตัวอย่างการใช้ Conjunction (คำสันธาน) ในประโยค • I like chocolate and vanilla ice cream. • I don't know if I'm going to pass all my exams. • Have you got everything that you need? • Tara can't eat nuts because she's allergic to them. 8. Interjection (คำอุทาน) คำอุทาน หรือ Interjections คือ คำที่ใช้เพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกต่าง ๆ ในทางบวก หรือทางลบ เช่น ความพอใจ ความแปลกใจ ความประหลาดใจ หรือความรังเกียจ เป็นต้น โดยอาจมี การใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) ร่วมด้วย ทั้งนี้ การบอกว่าคำอุทานแสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ นั้น จะต้องอาศัยบริบทร่วมด้วย • คำอุทานแสดงความดีใจ เช่น bravo, hooray, yay, yippee • คำอุทานแสดงตกใจหรือเมื่อทำพลาด เช่น oops • คำอุทานแสดงความตื่นเต้นหรือประหลาดใจ เช่น oh, wow, oh my god • คำอุทานแสดงความเจ็บปวด เช่น ouch • คำอุทานสำหรับเรียกหรือทักทาย เช่น hey, hi • คำอุทานเพื่อบอกให้เงียบ เช่น shh, hush, • คำอุทานแสดงความเศร้าใจหรือผิดหวัง เช่น oh no • คำอุทานแสดงความรังเกียจ เช่น yuck, ugh • คำอุทานแสดงความโล่งใจ เช่น phew
9 คำประสม หรือ Compound Words ในภาษาอังกฤษ หลักการเขียนคำประสมมี 3 แบบคือ 1.เขียนติดกัน เป็นการนำคำสองคำมาเขียนติดกันเป็นคำเดียวกันแล้วได้ความหมายใหม่ เช่น home (บ้าน) + work (งาน) = homework (การบ้าน) fire (ไฟ) + fly (บิน) = firefly (หิ่งห้อย) bed (เตียง) + room (ห้อง) = ห้องนอน 2.เขียนแยกกันโดยไม่ใส่เครื่องหมาย hyphen (-) คั่น เช่น ice (น้ำแข็ง) + cream (ครีม) = ice cream (ไอศกรีม) full (เต็ม) + moon (พระจันทร์) = full moon (พระจันทร์เต็มดวง, เดือนเพ็ญ) taxi (รถแท็กซี่) + driver (คนขับรถ) = taxi driver (คนขับรถแท็กซี่) 3.เขียนแยกกันโดยมีเครื่องหมาย hyphen (-) คั่น เช่น daughter (ลูกสาว) + in (ใน) + law (กฎหมาย) = daughter-in-law (ลูกสะใภ้) merry (ร่าเริง, สนุกสนาน) + go (ไป) + round (หมุนรอบ) = merry-go-round (ม้าหมุน) over (เหนือ, บน) + the + counter (เคาท์เตอร์หรือโต๊ะขนาดยาว) = over-the-counter (ซื้อ โดยตรง) Compound words แบ่งออกเป็น 1. Compound noun คือ คำสองคำหรือมากกว่ามาประสมกันโดยคำหน้าเป็นคำขยาย คำหลัง เป็นคำหลัก เมื่อประสมกันแล้วจะได้ความหมายใหม่และทำหน้าที่เป็นคำนาม โดยรูปแบบ การเขียนมีทั้งเขียนติดกัน เขียนแยกแบบมี hyphen (-) คั่น และเขียนแยกแบบไม่มี hyphen (-) คั่น ซึ่ง Compound noun สามารถเกิดได้จากคำหลายประเภทมาประสมกัน ดังนี้ 1.1. Noun + Noun เช่น tooth + paste = toothpaste (ยาสีฟัน) foot + ball = football (ฟุตบอล) air + port = airport (สนามบิน) sun + flower = sunflower (ดอกทานตะวัน) life + time = lifetime (ตลอดชีวิต, ชั่วชีวิต)
10 1.2.Noun + Verb เช่น hair + cut = haircut (ทรงผม, การตัดผม) car + go = cargo (สินค้า) moon + walk = moonwalk (ท่าเต้นมูนวอล์ก) hand + shake = handshake (การจับมือ) rain + fall = rainfall (ปริมาณน้ำฝน) 1.3. Noun + Preposition เช่น hanger + on = hanger on (ไม้แขวนเสื้อ) son + in + law = son-in-law (ลูกเขย) mother + in + law = mother-in-law (แม่ยาย) 1.4. Verb + noun: โดย verb จะเป็นรูป v.ing หรือ Gerund เช่น washing + machine = washing machine (เครื่องซักผ้า) swimming + pool = swimming pool (สระว่ายน้ำ) driving + licence = driving licence (ใบขับขี่) 1.5. Verb + Preposition เช่น look + out = lookout (การระมัดระวัง, การเฝ้าดู) check + in = check-in (เช็กอิน หรือการลงทะเบียนเข้าพัก) turn + about = turnabout (การหมุนรอบ, การหันกลับ, การเปลี่ยนแปลงความคิดเห็น) 1.6. Preposition + Noun เช่น under + world = underworld (ยมโลก, พวกนักเลง) on + looker = onlooker (ผู้เห็นเหตุการณ์, ผู้ดู, ผู้ชม) 1.7. Adjective + Noun เช่น gentle + man = gentleman (สุภาพบุรุษ) black + smith = blacksmith (ช่างตีเหล็ก) loud + speaker = loudspeaker (ลำโพง, เครื่องกระจายเสียง) monthly + ticket = monthly ticket (ตั๋วรายเดือน) common + room = common room (ห้องรวม, ห้องโถงพักผ่อนของนักศึกษา)
11 1.8. Adjective + Verb เช่น slow + down = slowdown (การถ่วงงาน) dry + cleaning = dry-cleaning (การซักแห้ง) 1.9. Preposition + Verb เช่น out + put = output (ผลผลิต) over + throw = overthrow (ความล้มเหลว, การล้มล้าง) กฎการทำ Compound Nouns เป็นพหูพจน์ (Plural) และแสดงความเป็นเจ้าของ(Possessive) การทำ Compound Nouns เป็นรูปพหูพจน์ (Plural) นั้นไม่ยากโดยเฉพาะคำที่มี hyphens โดยปกติเราสามารถใส่ ‘s’ ไปที่คำนามได้เลยเช่น daughters-in-law และบางครั้ง ‘s’ จะ อยู่ท้ายคำ เช่น go-betweens, higher-ups อย่างไรก็ตามตามแบบฟอร์มแล้วมักจะเติม ‘s’ ที่ท้าย คำนาม เช่น full moons. การทำ Compound Nouns ให้อยู่ในรูปแสดงความเป็นเจ้าของ (possessive) โดยปกติเรา จะเติม apostrophe s (’s) ไปที่ท้ายคำ เช่น son-in-law’s car (รถของลูกเขย) ถ้า Compound word เป็นพหูพจน์เราสามารถเติม ‘s’ และใส่ ’s ได้ แต่จะแปลกนิดหน่อย เช่น daughters-inlaw’s attire. ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เปลี่ยนประโยคใหม่เป็น the attire of the daughters-in-law. จะ ดีกว่า เพราะคำประสมที่เป็นพหูพจน์ไม่จำเป็นต้องแสดงความเป็นเจ้าของ 2. Compound Adjective คือการนำคำสองคำมาประสมกันแล้วได้ความหมายใหม่ ทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ โดยปกติจะมีเครื่องหมาย hyphen (-) คั่นระหว่างสองคำหรือมากกว่า คำประเภทต่าง ๆ มาประสมกันเป็น Compound Adjective ดังนี้ 2.1. Adjective + Adjective เช่น a dark-blue uniform (เครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม) 2.2. Adjective + Noun เช่น a last-minute decision (การตัดสินใจเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ) 2.3. Noun + Adjective เช่น a world-famous restaurant (ร้านอาหารที่มีมีชื่อก้องโลก) a navy-blue shirt (เสื้อสีกรมท่า) นอกจากนี้ยังมี Compound Adjective ที่เกิดจาก จำนวน + ช่วงเวลา โดยคำที่แทนช่วงเวลานั้นจะ อยู่ในรูปเอกพจน์หรือคำนามเอกพจน์ และมีเครื่องหมาย hyphen คั่นด้วย เช่น
12 a ten-minute delay (ล่าช้า 10 นาที) a two-week vacation (พักร้อน 2 สัปดาห์) a seventeen-year-old girl (เด็กสาวอายุ 17 ปี) ข้อควรระวัง : เราจะเขียนจำนวนด้วยตัวหนังสือ จะไม่เขียนเป็นตัวเลข 2.4. Adjective/Adverb/Noun + Past Participle (V.3) เช่น a strong-willed child (เด็กดื้อรั้น, เด็กหัวแข็ง) narrow-minded people (คนใจแคบ) a highly esteemed businessman (นักธุรกิจที่ได้รับการยกย่อง) a home-made cake (เค้กที่ทำเองที่บ้าน) 2.5. Adjective/Adverb/Noun + Present Participle (V.ing) เช่น a good-looking girl (ดูดี, มีหน้าตาดี) a far-reaching effect (ผลกระทบที่มีอิทธิพลในวงกว้าง) a heart-breaking story (เรื่องราวที่สะเทือนใจ) 2.6. Adjective + Noun เติม ed เช่น a blue-eyed boy (เด็กชายที่มีตาสีฟ้า) a green-uniformed soldier (ทหารเครื่องแบบสีเขียว) รู้ได้อย่างไรว่าจะใช้ hyphen (-) เมื่อไหร่? 1. เราจะใช้ hyphen (-) เมื่อ Compound Adjective อยู่หน้าคำนาม แต่เมื่อใดที่อยู่หลังคำนามจะ ไม่ใช้ เช่น He is a world-famous singer. This singer is world famous. 2. ถ้าสามารถใช้ ‘and’ คั่นระหว่างคำ Adjectives หรือ คำสองคำได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ hyphen (-) เช่น He has a big red hat. เราสามารเขียนแยกได้ว่า He has a big and red hat. ดังนั้นจึงไม่ต้องใส่ hyphen (-) ก็ได้
13 บรรณานุกรม ออนไลน์. Grammar คำประสมในภาษาอังกฤษ (Compound Words). สืบค้นเมื่อ 2 มีนาคม 2566 จากแหล่งที่มา https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/70882 ออนไลน์. Compound Words – Part 1 (Compound Nouns). สืบค้นเมื่อ 2 มีนาคม 2566 จากแหล่งที่มา https://www.engnow.in.th/2020/02/compound-words-part-1- compound-nouns/ ออนไลน์.Parts of Speech. สืบค้นเมื่อ 2 มีนาคม 2566 จากแหล่งที่มา https://www.twinkl.co.th/teaching-wiki/parts-ofspeech?fbclid=IwAR0jDJWepmtP_3aTU8kGGOX6tH0IZCJfFyvf_KEu_crWz97reVtf NIuv3ic