พฤติกรรมของสัตว์
นางสาวจิราภา วาลารัมย์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/5 เลขที่32
เสนอ
คุณครูอรวรรณ ศรีสุข
รายวิชา ว30245 ชีววิทยา5
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
1.การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์
พฤติกรรมของสัตว์เป็นการกระทำที่
สัตว์ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นจากสิ่งเร้าภายในและสิ่งเร้า
ภายนอก
พรอกซิเมตคอส (proximate cause)
ศึกษาในแง่กลไกการแสดงออกของพฤติกรรม และสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดพฤติกรรม
อัลทิเมตคอส (ultimate cause)
ศึกษาพฤติกรรมที่สัตว์แสดงออกว่ามีประโยชน์อย่างไร ตลอดจนมีวิวัฒนาการให้เกิด
ขึ้นได้อย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์กลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
นกกระจิ๊ด
มีการผสมพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิและต้นฤดูร้อน ถ้าศึกษาในแนวพรอกซิเมตคอส อธิบาย
ได้ว่าการผสมพันธุ์เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวเพราะว่ามีช่วงเวลากลางวันที่ยาวทำให้กระตุ้น
การสร้างฮอร์โมน ส่วนในแนวอัลทิเมตคอส อธิบายได้ว่าช่วงเวลานั้นมีอาหารอุดม
สมบูรณ์เหมาะแก่การทำรังและผสมพันธุ์ ซึ่งทำให้ลูกนกที่ฟักจากไข่มีโอกาสอยู่รอดมาก
ขึ้น
2.กลไกการเกิดพฤติกรรม
สิ่งเร้าภายนอก สิ่งเร้าภายใน
ระบบต่อมไร้ท่อ
หน่วยรับความรู้สึก
ระบบประสาท
หน่วยปฏิบัติงาน
พฤติกรรม
2.ประเภทพฤติกรรมของสัตว์
พฤติกรรมที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด
พฤติกรรมที่สัตว์ทุกตัวในสปีชีส์เดียวกันจะแสดงออกได้เหมือนกันและเป็นแบบแผนเดียวกัน
เช่น แม่นกนางนวลจะมีจุดสีแดงที่ปลายปากด้านล่าง เมื่อลูกนกจิกที่จุดสีแดงนี้แม่นก
นางนวลจะป้อนอาหารให้
ฟิกซ์แอกชันแพทเทิร์น(fixed action pattern)
เป็นการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างเป็นลำดับขั้นที่ถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้าที่เรียก
ว่าสิ่งเร้าที่เป็นเครื่องหมาย(sign stimulus)ซึ่งเป็นสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติ
ตัวอย่างเช่น แม่ห่านกลิ้งไข่กลับเข้ารัง
โอเรียนเทชัน (orientation)
เป็นพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิดพบได้ในโพรโทซัวและสัตว์ สิ่งมีชีวิตจะตอบ
สนองต่อปัจจัยทางกายภาพที่มีอยู่เช่นแสงแรง โน้มถ่วงของโลกกระแสลมและ
กระแสน้ำ
เช่น ตัวกะปิหยุดเคลื่อนที่ในที่มืดและชื้น
รีเฟล็กซ์(reflex)
เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการประมวลผลจาก
สมอง เช่นการม้วนตัวของกิ้งกือเมื่อถูกสัมผัส
รีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง(chain of reflexes)
เป็นพฤติกรรมที่ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยเกิด
ขึ้นต่อเนื่องกัน เช่น การดูดนมของทารก
พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้
เป็นผลจากประสบการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่แรกเกิดจนเป็นตัวเต็ม
วัยส่วนจะแสดงพฤติกรรมแบบใดนั้นพันธุกรรมจะเป็นตัวควบคุมให้
เกิดความพร้อมด้านโครงสร้างของร่างกายและการทำงานของ
อวัยวะต่างๆที่เกี่ยวข้อง
แฮบิชูเอชัน(habituation)
เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากสัตว์เรียนรู้ที่จะลดการตอบสนองต่อสิ่ง
เร้าที่เผชิญอยู่เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เกิดประโยชน์หรือโทษ
เช่น ปลาพวงเป็นปลาที่พบได้ทั่วไปตามแหล่งน้ำไหลหรือน้ำตกโดย
ปกติแล้วปลาพวงจะว่ายน้ำเร็วและมีการระวังภัยที่สูงมาก
การฝังใจ (imprinting)
สัตว์แรกเกิดหรือสัตว์ที่มีอายุน้อยเรียนรู้ที่จะสร้างความผูกพันกับแม่หรือ
สัตว์ที่มีอายุมากกว่า พฤติกรรมแบบนี้จะช่วยให้ลูกได้รับประโยชน์ในการ
คุ้มครองจากอันตรายต่างๆได้รับอาหารและเรียนรู้พฤติกรรมการสืบพันธุ์ที่ถูก
ต้องในอนาคต
การเชื่อมโยง (associative learning)
เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากสัตว์ได้รับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการ
ตอบสนองแบบเดิมหลายครั้งซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับสิ่ง
ต่างๆได้ การเชื่อมโยงมี 2 แบบ
แบบที่1 การมีเงื่อนไข (classical
conditioning) สัตว์เรียนรู้ให้จะเชื่อมโยง
สิ่งเร้า 2 ชนิดที่ได้รับมาพร้อมกัน
แบบที่2 การลองผิดลองถูก(operant conditioning) เป็นพฤติกรรมที่เกิด
จากการเรียนรู้ว่าการกระทำแบบใดจะเกิดผลดีแบบใดจะเกิดผลเสียแล้วเลือก
แสดงแต่พฤติกรรมที่เกิดผลดีหรือให้ประโยชน์
การใช้เหตุผล(reasoning)
เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ขั้นสูงที่จะแสดงพฤติกรรม
แบบนี้จะมีสมองเจริญดีโดยเฉพาะสมองส่วนเซรีบรัม เช่นสุนัข
ชิมแปนซี เป็นต้น
4.ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมและ
วิวัฒนาการของระบบประสาท
-มนุษย์ มีสมองส่วนหน้าเจริญดี และมีการใช้เหตุผลที่ซับซ้อน
-สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมและนกจะมีสมองส่วนหน้าเจริญขึ้น
สมองส่วนกลางลดขนาดลง มีการเรียนรู้ที่ซับซ้อนมีการใช้
เหตุผลในบางกลุ่ม
สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังบางกลุ่ม มีสมอง
ส่วนหน้ายังไม่พัฒนามากมีการเรียนรู้
แบบง่าย
สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีสมองที่แท้จริง
ระบบประสาท ไม่ซับซ้อนมีปมประสาทอยู่บ้าง
เซลล์ประสาทต่อกันเป็นร่างแห มีพฤติกรรมที่มี
มาแต่กำเนิดรีเฟล็กซ์ และรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง
โพรโทซัว ไม่มีระบบประสาท มี
พฤติกรรมที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด โอ
เรียนเทชัน
5. การสื่อสารระหว่างสัตว์
การสื่อสารด้วยเสียง
(aditory communication)
สัตว์ที่สื่อสารด้วยเสียงได้จะมีกล่องเสียงและสายเสียงที่
ทำให้เกิดเสียงหรือมีการเคลื่อนไหวของอวัยวะที่ทำให้เกิด
เสียง
การสื่อสารด้วยท่าทาง
(visual communication)
เป็นการสื่อสารของสัตว์ที่สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน
เช่นการเกี้ยวพาราสี การแสดงท่าทางเพื่อข่มขู่ศัตรูเพื่อปกป้อง
อาณาเขต
การสื่อสารด้วยการสัมผัส
(tactile communication)
การสัมผัสมีความสำคัญอย่างยิ่งในสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมักจะ
ใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์ตัวอื่น เช่นสุนัขจะเข้าไปเลียปากให้
กับสุนัขที่มีลำดับชั้นทางสังคมเหนือกว่า
การสื่อสารด้วยสารเคมี (chemical
communication)
สัตว์หลายสปีชีมีการสื่อสารด้วยสารเคมี โดยสร้างสารเคมีที่ผลิตจาก
ต่อมมีท่อที่สร้างออกมาซึ่งจะไม่มีผลต่อร่างกายของตนเองแต่ มีผลต่อ
สัตว์ตัวอื่น