องค์ความรู้ด้านการจัดการเรียนการสอน โดย รศ.ดร.วิลาส พุ่มพิมล ความส าคัญของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระบบการจัดการศึกษาในปัจจุบันมีบทบาทส าคัญในการก่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge Society) ซึ่งต้องพึ่งพาความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนา คน องค์กร เศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยส าคัญในการ พัฒนาประเทศ ดังนั้น ระบบและกระบวนการจัดการเรียนการสอนวิยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่ เหมาะสมและมีคุณภาพ จึงเป็นกลไกส าคัญในการน าพาประเทศไปอยู่ในกลุ่มประเทศก้าวหน้า ปัจจุบันวิทยาการสาขาต่าง ๆ มีความก้าวหน้ามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญ รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว นับวันความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จะยิ่งทวีมากขึ้นจนเรียกว่าเป็นสังคมข้อมูลข่าวสาร (Information Society) หรือสังคมวิทยาศาสตร์ (Science Society) การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึง ต้องให้ความส าคัญทั้งสภาพปัจจุบันและอนาคต โดยการส ารวจตรวจสอบใน 3 เรื่อง คือ 1. สภาพความเป็นจริงของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 2. ปัญหาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 3. แนวโน้มการจัดการเรียนการสอนที่อาศัยการสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ทฤษฎีการเรียนรู้ที่ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(กรมวิชาการ, 2545, หน้า 22-25) การพัฒนาการเรียนการสอนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจบันอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาในส่วน ของเนื้อหา และหลักการด้านวิทยาศาสตร์โดยตรง ประกอบกับหลักการด้านจิตวิทยาพัฒนาการที่ สัมพันธ์กับการเรียนรู้ ปัจจบันนี้เป็นที่ยอมรับแล้วว่า พัฒนาการทางสมองของมนุษย์ในวัยต่าง ๆ เป็นหัวใจส าคัญที่ส่งผลโดยตรง ต่อการเรียนรู้ จึงน ามาใช้เป็นพื้นฐานในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ดังนี้ 1. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Jean Piaget 2. ทฤษฎีการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Learning by doing ) ของJohn Dewey 3. ทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยการค้นพบ (Discovery learning ของ Bruner 4. การเรียนรู้อย่างมีความหมายของ Asubel 5. ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) กระบวนการเรียนการสอนที่ใช้ในการเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีดังต่อไปนี้ 1.1 กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry process) ประกอบด้วยขั้นตอนที่ส าคัญ ดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (engagement) 2) ขั้นส ารวจและคนหา (exploration) 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (explanation) 4) ขั้นขยายความรู้ (elaboration) 5) ขั้นประเมิน (evaluation) ภาพที่ 1 วัฎจักรการสืบเสาะหาความรู้ (กรมวิชาการ, 2545, หน้า 23) 1.2 กระบวนการแก้ปัญหา (Problem solving process) การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายประการหนึ่งคือ เน้นให้นักเรียนได้ฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยผ่าน กระบวนการคิดและการปฏิบัติอย่างมีระบบ ผลที่ได้จากการฝึกจะช่วยให้นักเรียนสามารถตัดสินใจ แก้ปัญหา ต่าง ๆ ด้วยวิธีการคิดอย่างสมเหตุสมผล โดยใช้กระบวนการหรือวิธีการ ความรู้ ทักษะต่าง ๆ และ ความเข้าใจในปัญหานั้น มาประกอบกันเพื่อเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหา การแก้ไขปัญหาอาจท าได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหา ความรู้ และประสบการณ์ของผู้ แก้ปัญหานั้น ซึ่งมีกระบวนการในการแก้ปัญหาตามขั้นตอน ต่อไปนี้
1) ท าความเข้าใจปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) ด าเนินการแก้ปัญหาและประเมินผล 4) ตรวจสอบการแก้ปัญหา 1.3 กิจกรรมคิดและปฏิบัติ (Hand-on Mind-on Activities) นักการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์แนะน าให้ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้คิด และลงมือปฏิบัติ เมื่อนักเรียนได้ลง มือปฏิบัติจริง หรือได้ท าการทดลองต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ก็ จะเกิดความคิดและค าถามที่หลากหลาย ซึ่ง เมื่อนักเรียนได้ท ากิจกรรมดังกล่าว จะท าให้สังเกตผลที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง ซึ่งเป็นข้อมูลที่จะน าไปสู่การถาม ค าถาม การอธิบาย การอภิปราย หาข้อสรุป และการศึกษาต่อไป กิจกรรมลักษณะนี้จึงส่งเสริมให้นักเรียนได้ ลงมือปฏิบัติและฝึกคิด น ามาสู่การสร้างความรู้ด้วยตนเองด้วยความเข้าใจและเป็นการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย 1.4 การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ (Cooperative Learning) การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถน ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ได้อย่างเหมาะสมวิธีหนึ่ง เนื่องจากขณะที่นักเรียนท ากิจกรรมร่วมกันในกลุ่ม นักเรียนจะได้มี โอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชิกของกลุ่ม และการที่แต่ละคนมีวัยใกล้เคียงกัน ท าให้สามารถสื่อสารกัน
ได้ดี แต่การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจที่มีประสิทธิผลนั้น ต้องมีรูปแบบหรือการจัดระบบอย่างดี นัก การศึกษาหลายท่านได้ท าการศึกษาด้นคว้าอย่างกว้างขวางเพื่อจะน ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนวิชา ต่าง ๆ รวมทั้งวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วย แนวคิดหลักที่น าไปสู่การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 6 ประการ ดังภาพที่ 3 ภาพที่ 3 แนวคิดหลักของการเรียนรู้แบบ cooperative learning (กรมวิชาการ, 2545, หน้า 25) วิธีสอนวิทยาศาสตร์ จากการศึกษาเกี่ยวกับวิธีสอนวิทยาศาสตร์พบว่ามีอยู่หลายวิธี ในการจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ควรเลือกวิธีสอน หรือกิจกรรมที่เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ด้วยตนเองมากที่สุด อาจเลือกใช้วิธีสอนใดวิธีหนึ่ง หรือน าหลายวิธีมาผสมผสานกัน เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อหาและสภาพการณ์ โดยทั่วไปในชั้นเรียน ภพ เลาหไพบูลย์ (2542: 123) กล่าวว่าวิธีสอนหรือกิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ที่นิยมใช้มีหลายวิธี แต่ไม่มีข้อมูลยืนยันว่ามีวิธีสอนหรือกิจกรรมใดที่ดีที่สุด เหมาะสมกับทุก สถานการณ์ ดังนั้นครูวิทยาศาสตร์จึงต้องใช้ดุลยพินิจในการเลือกใช้วิธีสอนที่เหมาะสมกับความสามารถ ของนักเรียน เนื้อหาวิชา ตลอดจนอุปกรณ์การสอนที่มีอยู่ วิธีสอนวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความ เหมาะสมกับธรรมชาติของวิชามีดังนี้ 1.การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(Inquiry method) เป็นการสอนที่เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ที่จะช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบความจริงต่าง ๆ ด้วยตนเอง ให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้เนื้อหาวิชา ได้กล่าวถึงกระบวนการในการสืบ เสาะหาความรู้ว่าแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1.1 สร้างสถานการณ์หรือปัญหา 1.2 ตั้งสมมติฐาน 1.3ออกแบบการทดลอง
1.4 ทดสอบสมมติฐานโดยการทดลอง 1.5ได้ข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ บทบาทหน้าที่ของครูในการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ คือเป็นผู้สร้างสถานการณ์ที่เปิด โอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวนักเรียนเอง เป็นผู้จัดหาวัสดุ อุปกรณ์เพื่ออ านวย ความสะดวกในการศึกษาค้นคว้า เป็นผู้ถามค าถามต่าง ๆ ที่จะช่วยน าทางให้นักเรียนค้นหาความรู้ต่าง ๆ เทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้มี3 แนวทาง คือ แนวทางการใช้เหตุผล แนวทางการ ใช้การค้นพบ และแนวทางการใช้การทดลองการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้แนวทางการใช้เหตุผล ครูต้องชี้น านักเรียนให้สรุปเป็นหลักการทั่วไปได้โดยการใช้เหตุผล ซึ่งครูต้องใช้ค าถามที่เหมาะสม และต้อง เลือกแรงจูงใจที่เหมาะสมการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้แนวทางการใช้การค้นพบ มี 2 แนวทาง คือ 1) การสอนโดยใช้แนวทางการค้นพบที่ไม่แนะแนวทาง ครูเป็นผู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้ นักเรียนแล้วให้นักเรียนได้จัดกระท ากับวัสดุอุปกรณ์ โดยไม่ต้องแนะแนวทางอะไรในการใช้วัสดุอุปกรณ์ นักเรียนอาจสืบเสาะหาความรู้ในปัญหาที่ต่างกัน ครูท าหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและเสนอแนะให้นักเรียนคิด 2) การสอนโดยใช้แนวทางการค้นพบที่แนะแนวทาง เป็นการสอนที่ครูแนะแนวทางการสืบ เสาะหาความรู้ให้นักเรียน เพื่อให้นักเรียนค้นพบปัญหาที่คล้ายคลึงกัน มีประสบการณ์ที่เหมือนกันการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้แนวทางการทดลอง เป็นการสอนโดยใช้การทดลองในการพิสูจน์ข้อความ หรือสมมติฐานว่าเป็นจริง และหาแนวทางที่จะใช้ในการทดลองเพื่อทดสอบข้อความนั้นโดยมีขั้นตอนคือ เลือกและตั้งปัญหา ตั้งสมมติฐาน และวางแผนการทดสอบ 2.การสอนแบบค้นพบ (Discovery method) การค้นพบ และการสืบเสาะหาความรู้ นักการศึกษาจ านวนมากใช้ค าสองค านี้ใน ความหมายเดียวกัน คาริน และซันด์ ได้ให้ความหมายของการค้นพบว่า การค้นพบจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคล ได้ใช้กระบวนการคิดอย่างมากกระบวนการที่ใช้ความรู้ความคิดในการค้นพบ เช่น การสังเกต การจ าแนก ประเภท การวัด การพยากรณ์การอธิบาย การลงความคิดเห็น เป็นต้น ในการสอนแบบค้นพบเป็นการสอนที่ เน้นกระบวนการตอบสนองของนักเรียนต่อสถานการณ์ต่างๆ ด้วยตนเอง บทบาทของครูเป็นผู้ช่วยเหลือ และเป็นที่ปรึกษาของนักเรียน ทักษะและความช านาญในการจัดกิจกรรมการสอนของครูเป็นสิ่งที่ช่วยให้ การสอนแบบค้นพบประสบความส าเร็จ 3.การสอนแบบสาธิต (Demonstration) การสาธิตเป็นการจัดแสดงประสบการณ์การกระท าอย่างใดอย่างหนึ่งหน้าชั้น โดยครู นักเรียนคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มนักเรียนก็ได้ เป็นการทดลองซึ่งให้ผลการทดลองที่ไม่ทราบมาก่อนหรือเป็น การทดสอบเพื่อยืนยันสิ่งที่ทราบมาแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงการทดลองเทคนิควิธีการแลกระบวนการ ต่างๆให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหาวิชาและกระบวนการไปพร้อม ๆ กัน ในการสอนครูต้องพิจารณา ว่าจะสอนแบบสาธิตแบบบอกความรู้ ที่ครูพยายามแนะน าบอกความรู้ให้นักเรียน หรือสอนแบบสาธิตแบบ การค้นพบ ที่ครูพยายามให้นักเรียนค้นพบค าตอบด้วยตนเอง
4.การสอนแบบทดลอง (Experimental method) การทดลองกับการปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการมีความหมายใกล้เคียงกัน การทดลองส่วน ใหญ่ที่นักเรียนท าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงาน และการปฏิบัติงานส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการทดลอง เป็นการจัดประสบการณ์ในการท างานให้นักเรียนตามขั้นตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือขั้นก าหนดปัญหา ขั้นตั้งสมมติฐาน ขั้นทดลองและสังเกต และขั้นสรุปผลการ ทดลอง 5.การสอนแบบบรรยาย(Lecture method) การสอนแบบบรรยาย เป็นวิธีสอนที่ครูถ่ายทอดความรู้จ านวนมากแก่นักเรียนโดยตรง เป็น วิธีการหนึ่งที่น าเสนอความรู้วิทยาศาสตร์ในลักษณะองค์ความรู้ที่เลือกสรรและจัดล าดับไว้อย่างดี การ ด าเนินการอาจแบ่งได้เป็น 4 ตอน คือ การกล่าวน า ตัวเนื้อเรื่องการสรุปย่อระหว่างน าเสนอ และการสรุป การบรรยาย 6.การสอนแบบอภิปราย(Discussion method) การสอนแบบอภิปราย เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เกี่ยวกับเนื้อหาวิชา ความรู้จากความคิดเห็นในแง่มุมต่าง ๆ ของนักเรียนอาจเป็นการอภิปรายระหว่างนักเรียนด้วยกัน หรือการ อภิปรายระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนทุกคนมีอิสระที่จะแสดงความคิดเห็นของตน ซึ่งนักเรียนจะต้องมี ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้นก่อนโดยครูท าหน้าที่เป็นผู้น าอภิปราย ต้องไม่สั่งหรือครอบง าความคิดเห็น ของนักเรียน การอภิปรายต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย เน้นหรือขยายความรู้ที่ได้เรียนมาแล้วให้กว้างขวาง ออกไป ดังนั้นการอภิปรายจึงเป็นสิ่งจ าเป็นในการสอนวิทยาศาสตร์ เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนต้องคิด แก้ปัญหาหรือหาข้อยุติ การอภิปรายอาจสอดแทรกอยู่ในวิธีการสอนอื่น ๆ ได้ เช่น การสอนแบบบรรยาย การสอนแบบสาธิต การสอนแบบทดลอง การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ และการสอนแบบค้นพบ 7. การสอนแบบพูดถามตอบ (Recitation method) การสอนแบบพูดถามตอบ เป็นการสอนที่ใช้ค าถามค าตอบ โดยครูเป็นผู้ถามค าถามและ นักเรียนเป็นผู้ตอบค าถามตามพื้นฐานความรู้ที่นักเรียนได้อ่านจากหนังสือเรียน หรือหนังสืออื่นที่ได้รับ มอบหมายให้อ่าน หรือสิ่งที่ครูได้น าเสนอในระหว่างการบรรยาย การสาธิต หรือกิจกรรมอื่นในการสอน แบบพูดถามตอบ ครูควรอธิบายให้นักเรียนทราบถึงวัตถุประสงค์ของการสอนแบบนี้ว่าเป็นการให้ข้อมูล ป้อนกลับแก่ครู ซึ่งครูจะได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการขยายความและอธิบายเพิ่มเติมแก่นักเรียน สิ่งที่ส าคัญที่สุด ในการสอนแบบพูดถามตอบเพื่อให้ได้ผลดีที่ควรค านึงถึงคือชนิดของค าถาม โครงสร้างของค าถาม และ ขั้นตอนที่จะถามในระหว่างการสอน (ภพ เลาหไพบูลย์,2542:181) อ้างอิงจาก กรมวิชาการ. (2545). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
องค์ความรู้ด้านการวัดผลการประเมิน การประเมินผลตามสภาพจริง เป็นการประเมินผลผู้เรียนรอบด้านตามสภาพจริงของผู้เรียน มี ลักษณะส าคัญดังนี้ 1. เน้นการประเมินที่ด าเนินการไปพร้อม ๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งสามารถท าได้ ตลอดเวลา ทุกสภาพการณ์ 2. เน้นการประเมินที่ยึดพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนจริง ๆ 3. เน้นการพัฒนาจุดเด่นของผู้เรียน 4. ใช้ข้อมูลที่หลากหลาย ด้วยเครื่องมือที่หลากหลายและสอดคล้องกับวิธีการประเมิน ตลอดจน จุดประสงค์ในการประเมิน 5. เน้นคุณภาพผลงานของผู้เรียนที่เกิดจากการบูรณาการความรู้ ความสามารถหลายๆ ด้าน 6. การประเมินด้านความคิด เน้นความคิดเชิงวิเคราะห์ สังเคราะห์ 7. เน้นให้ผู้เรียนประเมินตนเอง และการมีส่วนร่วมในการประเมินของผู้เรียน ผู้ปกครอง และครู บทบาทในฐานะผู้จัดการ ซึ่งก าหนดเป้าหมายในการจัดการว่า "ให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ของตนเอง" ดังนั้นครูจะต้องมีข้อมูลของผู้เรียนแต่ละคนรอบด้านเพื่อน ามาวิเคราะห์และจัดการอย่าง เหมาะสมเป็นงานหลักที่ส าคัญ ทั้งนี้เพื่อ 1. วางแผนการจัดการเรียนรู้ซึ่งประกอบด้วย 1.1 การวางแผนอ านวยความสะดวก เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เรียน ซึ่งจ าเป็นต้องมี ข้อมูลผู้เรียนรอบด้าน เพื่อน ามาวิเคราะห์และจัดการได้อย่างเหมาะสม เช่น จัดการด้านแหล่งเรียนรู้ จัด กิจกรรมสนับสนุน การให้การสงเคราะห์ เป็นต้น หรือการสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานอื่น ชุมชน บุคคล อื่น เพื่อเอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ 1.2 การวางแผนการเรียนรู้รวมถึงการบริหารชั้นเรียนให้สอดคล้องกับรูปแบบหรือ วิธีการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้ง 1.3 การวางแผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง มีขั้นตอนส าคัญ คือ ก าหนดจุดประสงค์ ประเมินพฤติกรรมหรือความสามารถของผู้เรียน ก าหนดวิธีการสอน และประเมินผล
2. ก าหนดบทบาทของตนเอง โดยเฉพาะการเป็นตัวกลางที่จะท าให้เกิดการเรียนรู้ เช่น การสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้เรียน การเป็นแบบอย่างที่ดี การสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการ เรียนรู้ และการประพฤติปฏิบัติของผู้เรียน การสร้างระบบและการสื่อสารกับผู้เรียนให้ชัดเจน การสร้าง ระบบควบคุม ก ากับ ดูแล ด้วยความเป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตย องค์ความรู้ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน “นวัตกรรม” หมายถึง ความคิด การปฏิบัติ หรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือ เป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อน า นวัตกรรมมาใช้จะ ช่วยให้การท างานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและ แรงงานได้ด้วย http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/ วิธีการคิดและขั้นตอนการท าวิจัยในชั้นเรียน ปัญหาในการวิจัย สาเหตุของปัญหา แสวงหาแนวทางการแก้ปัญหา การพัฒนานวัตกรรม การน านวัตกรรมที่สร้างขึ้นมาใช้ในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาผู้เรียน ผลการใช้นวัตกรรม เผยแพร่
การตั้งชื่อเรื่อง 1. การก าหนดหัวข้อวิจัยซึ่งจะต้อง กะทัดรัด ชัดเจน บ่งบอกถึงปัญหา นวัตกรรมที่ใช้ 2. แสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรพร้อมทั้งสื่อความหมายให้ทราบรายละเอียดใน 3 ประเด็น คือ 1) วัตถุประสงค์การวิจัย 2) ตัวแปรที่ศึกษา 3) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งในการท าวิจัยนั้นประกอบด้วยเนื้อหาจ านวน 5 บท ดังนี้ บทที่ 1 บทน า 1. ความส าคัญของ ปัญหา ปัญหาจากการจัดการเรียนการสอน วิเคราะห์ปัญหา/สาเหตุ หาแนวทาง/วิธีการแก้ปัญหา การพัฒนานวัตกรรม เลือกวิธการแก้ปัญหา จากประสบการณ์ จากเอกสาร/งานวิจัย/ ทฤษฎีฯลฯ 2. ค าถามวิจัย 3.วัตถุประสงค์การวิจัย 1.ตัวแปรอิสระ (ตัวแปรต้น) 2. ตัวแปรตาม 3. ตัวแปรควบคุม(ถ้ามี) 5.ขอบเขตการวิจัย 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา 2.ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่ม ตัวอย่าง 3.ขอบเขตด้านตัวแปร 4.ขอบเขตด้านเวลา ตัวแปรที่ศึกษา เป็นการคาดเดาผลที่เกิดขึ้นจากการใช้ 4.สมมุติฐาน นวัตกรรม 7.ประโยชน์ที่ได้รับ 6.นิยามศัพท์เฉพาะ ครอบคลุม ชื่อเรื่องและตัวแปร
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. เอกสารแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร 2. เอกสารแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ศึกษา 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวแปร และ นวัตกรรมที่ศึกษา บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย วิธีด าเนินการวิจัยแบ่งออกเป็นหัวข้อหลักๆ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างเครื่องมือและการหาคุณภาพ 4. วิธีการด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล 4.1 กลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม 4.2 กลุ่มตัวอย่างเดียวเก็บข้อมูลก่อนเรียนระหว่างเรียน หลังเรียน 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่4 การวิเคราะห์ผลการศึกษา น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับวัตถุประสงค์ -ข้อมูลเชิงปริมาณ : แปลความหมายจากผลการค านวณค่าทางสถิติ -ข้อมูลเชิงคุณภาพ : แปลความหมายจากข้อมูลที่บันทึก (ไม่ค านวณค่าทางสถิติ ) บทที่5สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 1) ผลการวิจัยพบอะไรตอบให้ครบตามวัตถุประสงค์ เชื่อมโยงทฤษฎีหลักการจากบทที่ 2 มา อภิปรายผลการวิจัยนั้น
2) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย (แนะจากสิ่งที่เป็นข้อค้นพบ) 3) ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป - บรรณานุกรม - ภาคผนวก เอกสารอ้างอิง ผศ.ดร.ขวัญดาว แจ่มแจ้ง.(2553). พาวเวอร์พอยท์บรรยายประสบการณ์การท าวิจัย พัฒนาการเรียนการสอน