The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เวลาในขวดเเก้ว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by คณัสนันท์ วันดี, 2023-07-01 00:12:30

เวลาในขวดแก้ว

เวลาในขวดเเก้ว

ถ้าฉันเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้ สิ่งแรกที่ฉันจะทํา… คือสะสมคืนวันที่ล่วงเลยมานิรันดร์ เพียงเพื่อมอบมันแก่เธอ ถ้าฉันสามารถทําให้คืนวันเป็นอมตะ หรือเพียงแต่คําพูด... จะทําให้ความหวังเป็นจริงขึ้นมาได้ ฉัน จะเก็บทุกโมงยามราวสมบัติอันลํ้าค่า เพื่อมอบแก่เธอ แต่ดูราวกับจะไม่มีเวลาเพียงพอ ที่จะทําใน สิ่งที่ฉันต้องการ หรือแม้แต่จะหาสิ่งนั้นให้พบ ฉันวิงวอน เพียงเพื่อจะรู้ว่า เธอเท่านัน…ที่ฉันต้องการ ก้าวผ่านกาลเวลาด้วย ถ้าฉันมีกล่องสักใบสําหรับใส่ความหวังและความฝันที่ไม่เคยเป็นจริง กล่อง นั้นคงจะว่างเปล่าหากเปี่ยมด้วยความทรงจําที่เธอได้ตอบสนองต่อฉัน เสียงเพลง “เวลาในขวดแก้ว” ของ จิม โครชี ที่กังวานจากตู้เพลงในร้าน กาแฟเล็กๆ ริมทาง ตรึงผม ไว้กับที่...นานมาแล้วที่ผมไม่เคยได้ยินเพลงนี้จาก ที่ไหน ราวกับมันได้เลือนหายไปจากความทรง จําของผู้คน หรือถูกเก็บงําไว้ใน ซอกมุมที่เร้นลึก ผมปิดประตูห้องนอนและรู้สึกเป็นอิสระที่ได้อยู่ตามลําพัง ลมข้างนอกพัด ต้นมะม่วงริมหน้าต่าง แกว่งไกวกิ่งก้านกระทบกระจกหน้าต่างแกรกกราก ฝนเริ่ม ลงเม็ดปรอยๆ สาดละอองกระเซ็นบน แผ่นกระจก...ผมมองดูเงาตัวเองที่ทอดลง ในกระจก เงาของเด็กผู้ชายที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต แต่ ขาดความสดใสร่าเริง เช่นที่ควรจะเป็น รูปร่างแม้จะสมบูรณ์ แต่ แต่ไหล่ที่ค้อมลงแสดงให้เห็นถึง สภาพ อ่อนแอภายในจิตใจ...ผมไม่เคยรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับ วันเวลาได้วาง นํ้าหนักของความทุกข์ความยุ่งยากสับสน และความตึงเครียดที่ เกิดขึ้นในครอบครัวลงบนบ่าผมที ละน้อย ๆ และกว่าจะรู้สึกตัวอีกที ผมก็แทบ จะแบกรับสภาพที่หนักอึ้งนั้นไม่ไหว ผมคิดถึงจ๋อมขึ้นมาลอย ๆ หล่อนราวกับเป็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตผม... ชีวิตด้านที่มีแต่ความรัก ความอบอุ่น และสมปรารถนา มีอยู่สิ่งเดียวที่เราสองคน เหมือนกัน ก็คือการเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน สนิท ในขณะที่เรื่องในครอบครัวทําให้ ผมกลายเป็นคนคิดมากเก็บตัว และถูกบีบคั้นให้ต้องเติบโต อย่างรวดเร็ว ความ สมบูรณ์พูนสุขก็ทําให้จ๋อมมีชีวิตโดดเดี่ยวแปลกแยกจากเพื่อนฝูง ยิ่งพ่อจอม ทุ่มเทเงินทองให้กับจ๋อมและโรงเรียนเท่าไหร่ จ๋อมก็ถูกกีดกันออกไปจากเด็กอื่นๆ เท่านั้น จอมเป็น


เหมือนเจ้าหญิงน้อยๆ ในสายตาของครูอาจารย์ เจ้าหญิงที่แสนดี แบบบาง รํ่ารวย และบริสุทธิ์ ผุด ผ่อง แต่น่าสงสารที่หล่อนกลายเป็นเจ้าหญิงที่ ว้าเหว่ที่สุดในโลก เงินทองของหล่อนไม่อาจซื้อ เพื่อนได้แม้แต่คนเดียว นอกจากจอมแล้ว เพื่อนที่ผมสนิทสนมด้วยก็มีเพียงเอก ชัย และป้อม...เอก หรือเอกรงค์ กับชัย เรียนหนังสือร่วมชั้นมากับผมตั้งแต่ประถม ๆ เราได้เลขประจําตัวต่อกัน นั่งโต๊ะใกล้กัน แอบแบ่ง ขนมและอ่านหนังสือการ์ตูน กันในชั่วโมงที่น่าเบื่อหน่าย สําหรับผม บ้านกลายเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อหน่าย ถ้าวันไหนมีเรียนไวโอลิน ผมกับจ๋อมชวนกันไป เถลไถลที่ร้านหมาแหงนกินถั่วตัดกับกาแฟเย็น และฟัง เพลง “เวลาในขวดแก้ว” ซํ้าๆ ซากๆ ทั้งที่มี แผ่นเสียงแผ่นอื่นอีกตั้งมากมาย แต่ เราก็เลือกจะฟังแต่เพลงนี้ ด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ....มันช่างเป็นช่วง เวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเราสองคน บางครั้งเราจะนั่งกันเงียบกริบราวกับเกรงว่า สุ่มเสียงของเราแม้เพียงนิดเดียวจะรบกวนอีกคนหนึ่ง แต่บางครั้งเราก็พูดคุยกัน ไม่หยุดปาก โดย ไม่นึกเกรงใจคนอื่น ๆ ในร้าน เที่ยงนี้กินข้าวด้วยกันนะอ้วน” เอกร้องบอกทันทีที่เห็นหน้าผม “ฉัน ไอ้ชัย ไอ้ป้อม ฮัวกันเลี้ยงแก “เฮ้ย ไม่ต้องก็ได้” ผมตบไหล่เพื่อน "อะไรวะ” เอกรงค์โวยวาย ปีหนึ่งมีครั้งเดียว ทําเล่นตัวไปได้... ความจริง ตั้งใจจะกินตอนเย็น แต่เผอิญฉันกับไอ้ชัยต้องลงแข่งบอล "ชื่อ" ผมพยักหน้า “ฉันจะไปเชียร์" "ก็ลองไม่ไปซิ จะได้ถูกเหยียบ” เอกปัดมือผมอย่างงอนๆ “เดี๋ยวฉันก็ล้มทับให้หรอก” ผมขู่และเอียงตัวไปหามัน “อย่านะโว้ย” เอกกระโดดหนี “ถูกรถบดถนน ทับยังมีโอกาสรอด มากว่าถูกเเกทับ


"เอ้า จะหมํ่าอะไรเชิญสั่งได้เต็มที่ วันนี้นายห้างมาเองอย่าส่งเสียงดัง “ห้างอะไรของแกวะ” เอกถามยิ้มๆ "อ้าว ก็ห้างแบกะดิน แอนด์โก ชายเป็นโทสไม่ขายเป็นขวด” “เฮ้อ ฉันจะเหนื่อยกับแกจริงๆ” ป้อมส่ายหน้า “ยิ่งวันก็ยิ่งฟันเฟื อน "ฉันขอก้ามปูอบหม้อดิน หู ฉลามนํ้าแดง และก็เปิดปักกิ่ง...” ผมแกล้งสั่ง “พอ ๆ ไอ้อ้วน” เอกรีบโบกมือห้าม “นี่แกจะกินล้าง กินผลาญไปถึงไหน เอากันให้มื้อเดียวล้มละลายหรือไง” ชัยอยู่โรงพยาบาลร่วมสองอาทิตย์ และกลายเป็นขากะเผลก มาตั้งแต่นั้น...ระหว่างที่ชัยเจ็บ ผม เอก และป้อมแวะไปเยี่ยมมันแทบทุกวัน เรา ขนขนมไปนั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อย บางทีก็พูดคุยกัน เสียงดังจนพยาบาลต้อง เข้ามาเตือน ในวันแรก ๆ ชัยก็ยังอารมณ์ดีพอจะสนุกสนานไปกับพวกเรา ได้ แต่ ยิ่งวันเมื่อรู้ว่าตัวเองหมดโอกาสที่จะเดินเหินเป็นปกติ ชัยก็เครียดขึ้น บางครั้งถึงกับ เอ็ดตะ โรใส่เรา แต่บางครั้งก็นอนซึมไม่พูดไม่จาราวกับอยู่ในห้องเพียงลําพัง เรารู้กันมานานแล้วว่า ชัยใฝ่ฝันที่จะเป็นทหารเหมือนพ่อ แต่เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทําลายความฝัน และทุกสิ่งทุกอย่างลงสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม คนที่ผิดหวังและเสียใจในเรื่องนี้ยิ่งไปกว่าชัยก็คือแม่ของ มัน แกเอาแต่ร้องไห้ครํ่า ครวญไม่หยุดหย่อน จนพวกเราเบื่อที่จะปลอบโยน แล้วเย็นวันหนึ่ง ผมก็พบจ๋อมเดินเคียงคู่เด็กผู้ชาย ม.ศ.5 ไปตามทาง สายที่เราเคยเดินร่วมกัน ผม บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น มันทั้ง น้อยใจ เจ็บใจ และแปลบปลาบขึ้นมาทุกคราวที่ นึกถึง...ผมพูดกับจ๋อมน้อยลง แม้บางครั้งในชั่วโมงดนตรี จอมจะชวนพูดคุยด้วย ผมก็จะถาม คําตอบคําอย่าง เสียไม่ได้ ผมนอนควํ่าอยู่บนเตียงแหงนหน้ามองนาฬิ กาทรายที่หัวเตียง เม็ดทรายร่วงริน ลงมาช้าๆ ไม่ขาด สาย ราวหยาดนํ้าตาแห่งกาลเวลา เสียงเพลงแจ๊ซซ์เก่าๆ ดังมา จากเครื่องเล่นแผ่นเสียงกระเป๋ าหิ้ว ที่พ่อซื้อให้เราเมื่อหลายปีก่อน ผมจําได้ว่าเรา ตื่นเต้นกันมากเมื่อพ่อหิ้วเครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องนี้ เข้ามาในบ้าน หน้าตามัน กระเป๋ าเอกสารสีดําเป็นมะเมื่อม เเละมีกลิ่นของความไหม่


พี่นัตสังเกตแม่บ้างไหม” หนึ่งถามโดยไม่หันมามองหน้าผม “เปล่า” ผมส่ายหน้า “ มีอะไร “หมู่นี้แม่กลับบ้านคํ่าๆ ทุกวัน” หนึ่งหันมาทางผม นัยน์ตาหล่อนมีแวว แม่นหมองและครุ่นคิด “นี่ก็ ยังไม่กลับเลย” “แม่อาจมีธุระ” ผมปลอบน้อง และยอมรับว่าไม่ค่อยได้สนใจเรื่องของ แม่และหนึ่งเท่าไหร่ พอกลับถึงบ้านก็ขึ้นห้องปิดประตูอยู่คนเดียว “แต่หนึ่งว่าแม่แปลกไป” หนึ่งพูดเหมือนพึมพํากับตัวเอง “แม่แต่งตัว เก่งขึ้น มีเสื้อผ้าใหม่ๆ แล้วก็มี รถเก๋งมาส่งแม่ทุกคืน “ช่างสังเกตจริงนะ” ผมขยี้ผมฟูๆ หยิกหยองของหนึ่งอย่างเอ็นดู... ไม่มี ใครรู้ว่าหนึ่งได้ผมหยิก ๆ แบบนี้มาจากทางไหน แต่ความขัดแย้งของพ่อกับแม่ก็ ลุกลามมาถึงหัวหนึ่ง เมื่อแม่พยายามที่จะ จับหนึ่งไปยึดผม แต่พ่อต้องการที่จะ เก็บเอาไว้อย่างนั้น เวลาอารมณ์ดี พ่อจะจับหนึ่งมาสางผมให้ฟูเหมือนตัวตลก “โบโซ” แล้ว หนิงก็จะลุกขึ้นเต้นหย็อง แหยิ่ง หรือทําตาสอนอวดพ่อ ปล่อยให้แม่นั่งค้อนด้วย ความหมั่นไส้ “ไม่รู้” หนึ่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” ผมเดินไปเปลี่ยน แผ่นเสียง และมองดูหนึ่งอย่าง ชั่งใจ “เดี๋ยวเราลงไปรอแม่ข้างล่าง หนิงชําเลืองมองเวลาที่นาฬิ กาปลุกที่หัวเตียงก่อนพยักหน้าช้าๆ โทรทัศน์ปิดสถานีไปนานแล้ว แต่แม่ก็ยังไม่มา....ผมปิดปากหาวและล้มตัวลงบน เก้าอี้หวายตัว ยาว ฉวยหมอนใบเล็ก ๆ ขึ้นมารองศีรษะ ในขณะที่หนึ่งนั่งอ่าน หนังสืออยู่บนพื้น แต่นัยน์ตาของ หล่อนมองไปที่ประตูเกือบตลอดเวลา


“อ่านอะไรน่ะ” ผมถามขึ้นมาลอยๆ ทําไมถึงยังไม่หลับไม่นอน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็ตื่นไปโรงเรียนไม่ทัน หรอก” “แม่ฮะ....” ผมกลืนนํ้าลายลงคอ “แม่อยู่ที่ไหนฮะนั่น หนึ่งรีบเข้ามาเอาหูแนบหูโทรศัพท์ด้วยอีกคน แม่นิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนตอบเบาๆ “แม่อยู่บ้านลุงอมร ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมขยับจะพูดอะไรต่อ แต่แม่รีบวางหูลงเสียก่อน... เสียงสัญญาณติด ๆ ดังราวกับเย้ยหยัน ผมวาง โทรศัพท์ลงบนแป้นอย่างอ่อนแรง หนิงมองดูผมเงียบๆ ก่อนจะฉวยหนังสือเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่พูดอะไร แม้แต่ค่าเดียว หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลง ไม่มีบ้านแจ๊กขายฝรั่งดอง ไม่มีป้าแดงที่สุ่มฟื นควันโขมง จะมี ก็แต่ตึกแถวสร้างใหม่ ผมกลายเป็นคนแปลกหน้า ความหวังหายไปแล้ว ผมละสายตาไปมองจาก ริมนํ้า และมองเลยไปทางที่ครั้งหนึ่งเคยมีเรือนปั้นหน้าสีเขียว แทบนึกภาพนั้นไม่ออก ยังดีที่กล้าม ปูต้นนั้นยังมีชีวิต กล้ามปูทําไห้นึกถึงหนิ่ง และเด็กลูกครึ่งจอร์นนี่ จอร์นนี่พูดไทยได้นิดหน่อยจอร์น นี่พูดบางอย่างกับหนิ่ง และหนิ่งมาเล่าได้ฟังว่าจอร์นี่จะแต่งงานกับเขาเมื่อโตขึ้น และสร้างบ้านได้ เธออยู่ ตรงโคลนต้นกล้ามปู แต่เมื่อจอร์นนี่ ย้ายบ้านหนิ่งต้องเสียนํ้าตาจากการย้ายบ้านของจอร์น นี่และรถกะนะคับเล็กๆ ข้อครอบครัวจอร์นนี่กําลัง เคลื่อนไป แต่จอร์นนี่ก็ได้เอาตุ๊กตามาได้หนิ่ง ก่อนไป หยิ่งรักตุ๊กตามาก พ่อของผมกําชับว่า ไห้ดูแลน้องดีๆ แต่ไม่พูดถึงตอนโต ได้ดูแลแม่เลยผม คิดว่าพ่อรักพวกผมมากกว่าแม่ผมไม่เคยเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ นอกจากคิดเอาเองว่าพ่อเป็นท่าน กับหนิงมากกว่าเป็นห่วงแม่ - วิถีชีวิตพ่อขึ้นๆ ลงๆ เป็นเส้นกราฟ พ่อเปลี่ยนงานบ่อยและประสบคว สําเร็จในงานเหล่านั้นอย่าง รวดเร็ว แต่ก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แล้วมี ต้องตกงานให้ดิ้นรนหางานใหม่อยู่เป็นประจํา บางครั้งเราอยู่กันอย่างมหา กินข้าวนอกบ้านตามภัตตาคารดีๆ ดูหนังดูละครไม่หยุดหย่อน


แต่บางครั้งเราก็อยู่กันแบบกระเบียดกระเสียว ซื้อข้าวสารที มากรอกหม้อ หรือเหล้าเซี่ยงชุนทีละยัง มายาไส้พ่อ แต่ถึงจะจนแสนจน เคยที่จะทําตัวซอมซ่อให้ใครเห็น เวลาอยู่นอกบ้านพ่อยังคงสวม เสื้อผ้า รองเท้าหนังมันปลาบ และหัวเราะเสียงดังราวกับไม่เคยรู้จักความทุกข์ยากเดือ มาเลยใน ชีวิต แม่บอกเราว่านั่นเป็นลักษณะของผู้ชายราศีสิงห์ ผู้ชายที่ห รักสวยรักงาม ชอบความ สะดวกสบาย หลงตัว และไม่สนอกสนใจใคร แม่เป็นคนที่เชื่อถือในเรื่องโชคชะตาราศีอย่างมาก และความดื้อรั้นเอาแต่ ใจตัว เถียงหัวชนฝาของ แม่ ทําให้เราพลอยเชื่อไปด้วยว่าแม่ได้รับอิทธิพลเหล่านั้น มาจากการเป็นคนที่เกิดราศีพฤษภ เมื่อมองซากศาลาท่านํ้าในวันนี้ ผมบอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทําไม ผมถึงต้องมาที่นี่ มาเพื่อพบ ความเปลี่ยนแปลงและทําร้ายความทรงจําของตัวเอง แทนที่จะเก็บมันไว้เงียบๆ ในซอกมุมเร้นลับ อย่างเก่า เมื่อมองซากศาลาท่านํ้าในวันนี้ ผมบอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทําไม ผมถึงต้องมาที่นี่ มาเพื่อพบความเปลี่ยนแปลงและทําร้ายความทรงจําของตัวเอง แทนที่จะเก็บมันไว้เงียบๆ ในซอก มุมเร้นลับอย่างเก่า ผมอาจเพียงแต่คิดถึงวัยเด็กที่บริสุทธิ์ และไร้เดียงสา หรือผม อาจจะเพียงแต่ คิดว่าตัวเองคิดถึงสิ่งเหล่านั้นก็ได้อาหารกลางวันวันนั้นคือก๋วยเตี๋ยวเรือที่แสนอร่อย ผมถอดถุงเท้า รองเท้า และนั่งห้อยขาที่บันไดปล่อยให้เท้ารานํ้าขณะที่จุ้ยก๋วยเตี๋ยวอย่างละเลียดบอ ท่าทางของแกแม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส ดวงตาแม้จะขุ่นมัวแต่ก็ยังมีประกายแห่ง ความหวังในชีวิต ผมกลับถึงบ้านเมื่อใกล้คํ่า หลังจากที่เดินเตร็ดเตร่ไปอย่างไร้จุดหมายปลายทา ตั้งแต่บ่าย ผมเบื่อหน่ายตัวเอง โรงเรียน บ้าน และทุกอย่าง นึกอยากจะหนี ให้ไกลแสนไกลเพื่อพ้น จากสิ่งเหล่านี้ผมไม่รู้ว่าแม่กลับมาบ้าน หรือยังตั้งแต่เมื่อคืน บ้านเงียบเหงาราวกับเป็นเพียงกล่อง กระดาษเก่า ๆ สําหรับ เก็บข้าวของที่บุบสลาย ผมวางกระเป๋ าหนังสือลงบนโต๊ะรับแขก ถอด รองเท้าโยน ไปทางหนึ่ง และเอนหลังลงกับเก้าอี้หวาย มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไปในบ้าน หลังนี้ แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ลมแทรกตัวเข้ามาตามรอยแตกของฝา มันทําให้ บ้านที่เย็นอยู่แล้วหนาว ขึ้นมาอย่างจับใจ ผมเพียงแต่ไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองอยู่ในนี้ เพียงลําพัง


ผมฝันถึงหาดทรายที่มีพ่อ มีแม่ มีหนิง หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข ฝันถึงคืนที่พ่อนอนกอด ผมกับหนึ่งไว้คนละข้างและเล่านิทานสนุกๆ ให้เราฟัง ฝันถึงยามที่ผมกับหนึ่งนอนหนุนตักแม่ให้แม่ ลูบหัวเราอย่างเอ็นดูแต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งตื่นเหมือนทุกครั้ง เพราะฝันของผมไม่เคยที่จะเป็น จริงเลย ผมไม่มีกะจิตกะใจที่จะเรียนหนังสือขาดเรียนบ่อยขึ้น และปลอมลายเซ็นแม่ ในใบลา ผมเริ่มรู้จักรสชาติของกัญชาเป็นครั้งแรก ชัยเป็นคนชวนผมกับป้อมใน เย็นวันหนึ่ง เราขึ้นรถเมล์หน้าโรงเรียนข้ามสะพานซังฮีไปทางบางพลัดและ ตัดสวนเข้าไปลึกเอา การบ้านที่ไปดูดกัญชาอยู่กลางสวนชมพู่ ไอ้ชัยลุกขึ้นยืนตรงร้องเพลงมาร์ชเสียงลั่นเมื่อเพี้ยนจนได้ ที่โดยมีผมกับ ป้อม และเด็กนักเรียนที่ร่วมวงตบมือกระทืบเท้าเป็นลูกคู่ “ชาติ ไอ้อ้วน กูอยากเป็นทหาร กูสงสารแม่ แม่อยากให้เป็นทหาร” ชัยโน เข้ากอดผมไว้แน่น และสะอึก สะอื้นเหมือนเด็กๆ “เอาน่านะ เป็นอย่างอื่นก็ได้ถมเถไป” ผมปลอบ “มาดูดกัญชากันต่อ ดีกว่า ใช่แต่ชัยคนเดียว ป้อม เล่าว่าผมปีนขึ้นไปร้องไห้ฮือ ๆ อยู่บนขอบหน้าต่างและทําท่าจะกระโดด จากชั้น สองลงไปที่สานมนต์ข้างล่าง จนต้องช่วยกันจุดตัวไว้แทบแย่ ควันกัญชาทําให้แสบคออย่างร้ายเมื่อสร่างเมา ทั้งเหงื่อที่ซึมออกมาก็ เหม็นชวนคลื่นไส้ ผมไปที่ บ้านกลางสวนสองหรือสามครั้งแล้วก็ไม่ได้ไปอีก เพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งอาจโดดหน้าต่างลงมา ป้อมก็พลอยไม่ไปตามไปด้วย เหลือแต่ชัยซึ่งยังเป็นขาประจํา และผมเชื่อว่าฤทธิ์ ของกัญชาทําให้ ชัยเปลี่ยนแปลง ไปมาก ในระยะหลัง....นอกจากไม่ได้เป็นทหารดังหวังแล้ว มันก็ไม่เคยได้เป็น อะไรในชีวิต แม้พ่อจะไม่ค่อยมาที่บ้าน แต่พ่อก็รู้เรื่องแม่กับลุงอมรได้อย่างรวดเร็ว เมื่อผม กลับถึง บ้านในเย็นวันศุกร์ ก็พบพ่อกับแม่ทุ่มเถียงเรื่องนี้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย “คุณรู้ตัวไหมว่าทําอะไร ลงไป...แม้จะไม่ได้พบแม่เลยในช่วงที่อยู่กับพ่อ แต่ผมก็ทราบข่าวกา ของแม่จากหนึ่ง...เราคุยกัน บ่อยๆ ทางโทรศัพท์ หรือไม่เช่นนั้นในวันที่หนึ่ง เร็ว เธอก็จะแวะไปหาผมที่โรงเรียน


หนึ่งเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีร่องรอยของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ ช่างพูดช่างคุยหลงเหลืออยู่อีก ต่อไป....กองไฟแห่งความทุกข์เผาผลาญวัย ของเธอให้มอดไหม้ลงอย่างรวดเร็ว พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง ผมมีความรู้สึกว่ามันช่างเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือ พ่อถอนหายใจแรง ก่อนจะ หลุดปากออกมาว่า “ให้แกสอบเสร็จก่อน” ผมสอบผ่านการสอบครั้งนั้นด้วยเกรดตํ่าสุดตั้งแต่เรียนหนังสือ มา มีหลายสิ่งหลายอย่างรอคอยอยู่ หลังการสอบ สิ่งซึ่งล้วนแล้วแต่ทําให้ชีวิต ผมเปลี่ยนแปลงไป พ่อว่าแกควรจะบอกแม่ก่อน...” พ่อชําเลืองมองพี่แหววทําท่าเหมือ พูดอะไรต่อ แต่แล้วก็เงียบไปครู่ หนึ่ง "รออีกสักพักไม่ดีหรือ“พ่อบอกให้ผมรอจนกว่าจะสอบเสร็จ” ผมทวงสัญญา พ่อมันเป็น “ดูแกรีบร้อนจะกลับไปที่นั่นเหลือเกิน พ่อลุกขึ้นยืน หน้าแดงกํ่า “แล้วไอ้บ้านแม่ที่แกรํ่าร้องจะกลั นั่นนะ แกคิดว่าเป็นบ้านแกอย่างนั้นหรือ” พ่อหยิบใบละร้อย 2-3 ใบ จากกระเป๋ าสตางค์ส่งให้ ผม - แกคงเข้าใจพ่อนะ “ฮะพ่อ” ผมพนมมือไหว้อีกครั้งหนึ่ง พ่อเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตัวเอง เสมอ โดยไม่พยายามที่จะ เข้าใจคนอื่น อย่างคืนนี้พ่อยังห่วงหน้าตัวเอง มากกว่า จะห่วงใยในความรู้สึกของผม พ่อพยักหน้า และสตาร์ตเครื่องนํารถออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ ผมยืนมองไฟท้ายสีแดง ดวงเล็ก ๆ ที่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ จนลับตาหนึ่งล่ะแม่” ผมถามถึงน้อง “ไม่อยู่หรอก” แม่ลั่นหน้า สายตายังคงจับอยู่ที่ใบหน้าผม “แกยังไม่ได้ ตอบแม่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้หอบผ้าหอบผ่อนกลับมาดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้ “ไม่มีอะไรหรอก” ผมถอนหายใจ “ผมเพียงแต่อยากจะกลับมาเอง” “เฮ้อ” แม่มีสีหน้าโล่งใจไป เปลาะหนึ่งแต่ท่าทางยังคงแฝงความวิตกกังวลแม่มองดูผมด้วยสายตาแสดงความเห็นใจ


- เรายังมีเวลาที่จะพูดเรื่องนี้กันอีกมาก ไปอาบนํ้าอาบท่าก่อนไป คืนนี้ นอนห้องหนึ่งสักคืนนะ พรุ่งนี้แม่จะเก็บห้องแกให้ ปิดทิ้งเอาไว้นาน ฝุ่นคงจับเขรอะ ไม่เป็นไรฮะ ผมหยุดเทอมแล้ว มีเวลา ทําเองได้”แม่นิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายชั่งใจ ก่อนเอ่ยต่อด้วยนํ้าเสียงที่พยายามสะกดกลั้นความรู้สึก เมียเขาขึ้นมาจากหาดใหญ่ ผมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนในห้องหนึ่งอย่างอ่อนแรง พลางยกมือขึ้น ก่ายหน้าผาก และนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ประดังกันเข้ามารุมล้อม พ่อพรํ่าบอก เสมอว่าพ่อรักผม และน้อง แต่พ่อก็ไม่เคยมีเวลาที่จะให้ความรักและความผมมองไปที่เตียง....ไดอารีสีแดงยังคงวาง อยู่ข้างหมอน ผมเดินกลับไปหา ไดอารีเล่มนั้น และหยิบมันขึ้นมาอ่านบทสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง จะถึงปากซอยก็พอดีโพล้เพล้ เราไม่เห็นป้าหงบก็เลยพากันเดินกลับเอง สอง ข้างทางสมัยนั้นยังไม่ ค่อยมีบ้านเรือนผู้คน ส่วนมากจะกั้นลวดหนามทิ้งเอาไว้ แล้วปล่อยให้ไม้เลื้อยต่าง ๆ ขึ้นงอกงาม มี อยู่ช่วงหนึ่งซึ่งมีต้นอัญชันขึ้นพันรั้ว และหนึ่งชื่นชมกับสีม่วงของดอกอัญชันเป็นอย่างมาก แทบทุก เย็นเธอจะต้อง รบเร้าให้ป้าหงบลุยพงหญ้าเข้าไปเก็บดอกไม้สีม่วงมาให้ ซึ่งป้าหงบก็จะตามใจผม กับหนึ่งในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่เรานั่งทานอาหารกันที่ร้าน ร้านเล็กๆ ริมทาง ไปนํ้าตกห้วยแก้ว โดยมี ลุงอมรนั่งสูบกล้องยาเส้นอยู่เงียบๆ แม้ว่าแม่จะอารมณ์ดีกว่าปกติ แต่เราก็รู้ว่าความคิดเห็นของแม่ไม่ใช่สิ่งที่ หรือ มีความเห็นแปลก แยกเป็นอย่างอื่นได้ใครจะคัดค้าน “แม่จะขายอาหารประเภทไหน" หนึ่งถามด้วยนํ้าเสียงเรียบๆ อย่างเอาใจ ของหนิง ผมถือว่าป้อมเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด และไม่เคยให้อภัยมันแม้ว่ามัน จะดิ้นรนแก้ไขเหตุการณ์ทุกอย่างจนลุล่วงไปได้ก็ตาม “จ๋อมกลับจากอังกฤษแล้วนะ” ชัยพูดอย่าง เพิ่งนึกขึ้นมาได้ “สาวพริ้งที่มี ติสต์ตัวโตๆ แบบนี้” ผมหัวเราะ และลอบสังเกตหล่อนเงียบๆ จ๋อมเป็นสาวพริ้งอย่างที่ไอ้ชัย ว่าจริงๆ แต่ลึกลงไปในสี หน้าและท่าทางของหล่อนยังคงเศร้าซึมอยู่เหมือนเดิมวันเวลาผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดที่จะยึดเหนี่ยว หรือรั้งรอไว้ได้ ฤดูกาลผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปคล้ายท่วงทํานองแห่งบทเพลงที่ไม่จบสิ้นจาก ความ ร้อนแรงของฤดูร้อน สู่ความชุ่มชื่นของฤดูฝน และวนไปสู่ความเยือกเย็น แห่งฤดูหนาว ซํ้าแล้วซํ้า


เล่า...บ่อยครั้งที่ผมพยายามหาคําตอบให้กับการกําเนิดมา ของชีวิต และเคยนอนร้องไห้เมื่อพบ คําตอบอันโหดร้ายว่าเราทุกคนล้วนมุ่งหน้า พ่อ ดังขึ้น พี่แหววครึ่งวิ่งครึ่งเดินออกมาเปิดประตูให้ด้วยท่าทางร้อนใจและเป็นห่วง “อ้าวนัต..... พี่ แหววร้องทัก และปราดเข้ามาช่วยประคองปีกพ่อ ๆ ไปพบกันที่ไหนล่ะ” “ไอ้ค่ะ....จะไปตายที่ไหนก็ รีบไปให้พ้น กูน่ะมีรถเก๋งมาเป็นสิบคันแล้ว นะเว้ย ถุย แค่ไอ้รถแท็กซี่สับปะรังเค หน่อย ทํากําแหง” ผมประคองพ่อลงจากรถแท็กซี่อย่างยากลําบาก พ่อส่งเสียงเอะอะและเตะล้อรถเป็นไร พรุ่งนี้กิน มันทบต้นเลย ป้าทานยาลดนํ้าตาลหรือเปล่า?” ผมถามด้วยความเป็นห่วง “ตาย” ป้าหงบ บอกผาง “ดูมัวแต่จับ โน่นฉายจนลืมเสียสนิทไม่ เบาหวานเป็นโรคที่ทรมานป้าหงบอย่างมาก และที่ทรมานใจผมยิ่งไปกว่า นั้นคือ ป้าหงบไม่ค่อยที่ จะสนอกสนใจกับการรักษาตัวเท่าไหร่ แกกินยาไม่เป็น เรื่องเป็นราว และนึกอยากกินอะไรก็ไม่เคย ยับยั้งชั่งใจ เอะอะก็แก้ตัวว่าไว้ค่อย กินยาตามหลัง..แกเป็นของแกอย่างนี้ ตราบจนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งแกไม่มีโอกาสที่แม้แต่จะเอ่ยคําแก้ตัวอีกเลยแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เลือนหายไปจาก ปลายฟ้า เบื้องหน้า ความมืดคลี่ม่านดําโอบคลุมช้า ๆ พร้อมกับที่โคมจากเสาไฟฟ้าเปล่งแสงเรื่องๆ ไล่กันมาทีละดวงจากด้านหลัง ผมกับจ๋อมเดินไปตามซอยเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ กําแพงบ้านแต่ละหลัง ผมเงยหน้าจากภาพนั่นช้าๆ และมองกลับไปที่เตียง หนิงนอนหลับตา พริ้ม เสียงหายใจแรงๆ ดัง เป็นจังหวะสมํ่าเสมอ รอยยิ้มอย่างมีความสุขยังคง ค้างอยู่บนสีหน้า ทําให้ผมคิดถึงสมัยที่เราสอง คนยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ และกอด กันนอนตัวกลม....เวลาเหล่านั้นผ่านมานานแสนนาน และ กระชากผมกับหนิง ออกจากกันโดยที่เราต่างก็ไม่อาจขัดขืนได้ และนั่นทําให้เราต้องต่อสู้โดยลําพัง และมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีคนที่จะหันหน้าไปหัวเราะหรือร้องไห้ได้เหมือน สมัยเป็นเด็กๆ ความมันที่เหว่ และรูปเบลอาเยี่ยมเยีย ฉันก็เรียนรู้ที่จะปลอบโยนตัวเอง


ไม่เคยที่จะบอกแม่อีกเลยก็มันร้ายของฉัน"และผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าใช้พระหนึ่ง เหมือนที่ผมได้รู้ แม่จะมาที่แม่อาจจะเสียใจที่ได้ปิดประตูลงใน ข้อที่แม่อาจจะไม่มีวันเปิดประตูบานนั้น ผมวางรูปลงบนโต๊ะอีกครั้ง และลุ น้อง และก้มลงจูบที่ หน้าผากเธอเบาๆโทรศัพท์เรียกอยู่นานกว่าจะมีคนมารับ“อ้อเหล” ผมกรอกเสียงลงไปใน เอ ผมยังจําที่หนิงสะอื้นฮัก ๆ กับอกผมในวันแรกที่ลุงอมรมาค้างที่บ้าน และ วันที่เธอรํ่าร้องเอา สัญญาว่าผมจะไม่ทิ้งเธอกับแม่ไปอีก...แม้ผมจะไม่ได้ไปไหน แต่ผมก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้หนิงและ แม่เหมือนเดิม เราต่างคนต่างก็มีโลกส่วนตัว"ตามใจ" ผมพยักหน้าเซ็งๆ "หนิงรักพี่นัต" หนึ่งโอบเอวผม “รักที่สุด”พอเปิดประตูห้องได้ หนึ่งก็เดินโซเซไปนั่งที่ขอบเตียง...ผม มองดูน้องนิดหนึ่งก่อนเดินเลยไปที่โต๊ะเขียนหนังสือและเลื่อนเก้าอี้ออกนั่ง“หิวนํ้ามั้ย” ผมร้องถาม และหยิบดินสอดําขึ้นมาไว้ในมือโรงแรมที่พักเป็นโรงแรมระดับกลางที่ค่อนข้างเก่า และพลุกพล่าน แต่ก็ เป็นสถานที่ที่วิเศษสุดในยามนั้น ทันทีที่บ่อยออกไปจากห้อง ผมก็รีบเข้าห้องนํ้า เพื่อสระผม และอาบนํ้าอาบท่า ปล่อยให้แม่นั่งบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว เมื่อผม ออกจากห้องนํ้านั้น แม่กําลังพูด โทรศัพท์อยู่ เท่าที่จับหางเสียงคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ที่จะเป็นเมียของลุงอมร เพราะมีลักษณะของการ ไว้ท่าทีและเดินแต้มคู่อยู่ในเชิง ผมรู้สึกเบื่อหน่ายและรําคาญที่จะรับรู้เรื่องแบบนี้ จึงเลี่ยง ๆ ออกไป เราอยู่หาดใหญ่กันอีกสองคืน พอเช้าวันพุธก็ขึ้นรถทัวร์กลับ กรุงเทพฯ ลุงอมรตามขึ้นมาอีกสอง อาทิตย์หลังจากนั้น ผมไม่ทราบว่าลุงอมร ตกลงกับเมียว่าอย่างไร แต่หลังจากนั้นลุงอมรก็อยู่ที่ บ้านเป็นส่วนใหญ่ หากจะ ลงไปหาดใหญ่บ้างก็เป็นชั่วครั้งชั่วคราว และทําให้สุขภาพจิตของแม่ดี ขึ้นมาก แม้โดยส่วนตัวผมกับหนึ่งจะไม่ค่อยชอบลุงอมรนัก แต่ก็ต้องยอมรับใน ความจริงใจที่เขามีต่อแม่ และความเสมอต้นเสมอปลายที่มีต่อเราสองคนพี่น้อง อย่างน้อยลุงอมรก็เป็นคนมีเหตุผลและรับ ฟังความคิดเห็นของเรามากกว่าแม่ ซึ่ง มักจะถึงปังโวยวายเมื่อเราไม่เป็นอย่างใจที่แม่อยากให้เป็น เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่แออัด อัดเยียดแย่งชิงกันดู


ป้ายประกาศ ยังระงมไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และ เสียงรํ่าไห้ เป็นสถานที่แห่งความ ผิดหวังและสมหวัง เป็นสถานที่ที่กําหนดอนาคตของเยาวชนของชาติ นายมีเวลาให้ฉันไหม....” ป้อมถามขึ้น หลังจากที่เราต่างนิ่งเงีย กันไปพักใหญ่ “ฉันว่าเรายังมีเรื่อง ต้องพูดกันอีกมาก “ฉันมีเวลาเสมอ” “ไปเถอะ" ป้อมตบบ่าผม และออกเดินนําหน้าไปจากลานประกาศผลสอบ เราเดินไปเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดของคืนแรมที่มีเพียงแสงสว่างจาก โคมข้างถนนที่เรียงรายเป็นระยะ และดวงดาวที่เห็นอยู่ลิบๆ บนฟ้า...นานๆ จึง จะมีรถยนต์ผ่านมา สักคัน ลมเย็นโชยกลิ่นดอกราตรีมาจากที่ไกลๆ “นั่งที่นี่ก็แล้วกัน” ป้อมว่า พร้อมกับชี้มือไปที่ที่พักผู้โดยสารรถประจํา ทาง แสงสว่างจากนีออนใน ศาลา ฉายให้เห็นถุงพลาสติกใส่นํ้าแข็งที่ถูกวางทิ้ง อยู่บนม้านั่งสกปรก และแผ่นโฆษณาต่าง ๆ ที่ ปะทับกันอยู่บนฝา


ป้อมเดินไปหยิบถุงนํ้าแข็งโยนไปทางหนึ่ง และทรุดตัวลงนั่งใกล้ ๆ กับ รอยนํ้าที่ซึมเป็นวงกว้างใน เนื้อไม้ “นายมีอะไรก็ว่ามา” ผมเดินไปหยุดอยู่อีกมุมหนึ่งของศาลาและจ้องมองมันอย่างนั้นผม มองดูน้อง ก่อนบอกทางที่จะไปบ้านป้อมกับคนขับ เรานั่งกันนิ่งเงียบมาตลอดทาง ลมหายใจของผมแรงจนทรวงอกสะท้าน ในขณะที่หนังหายใจไม่ทั่ง ท้อง รถแท็กซี่ส่งเราแค่ปากทาง ปล่อยให้ผมกับหนิงเดินลุยโคลนฝ่าฝนเข้าไป ในซอยแคบๆ แห่งนั้น เสียงฟ้าครืนครั่น และสายฟ้าที่แวบประกายแปลบปลาบ ส่องให้เราเห็นทางเดินเป็นช่วงๆ นานแล้วที่ผมไม่ได้พบป้อม และไม่เคยคิดว่าจะต้องพบกับมันด้วยเรื่อง แบบนี้ และในสภาพการณ เช่นนี้ไอ้ป้อมวิ่งฝ่าฝนมาเปิดประตูให้เราสองคนพี่น้องเข้าไปในบ้าน มันมองดูเราด้วยสีหน้าแปลกใจ “มากับลมดีเปรสชันหรือวะ” ป้อมถามขณะโยนผ้าเช็ดหน้าขนหนูมาให้ ผมกับหนึ่ง “พ่อล่อกบ่อ แลกยังกะลูกหมูตกนํ้า” “ฉันมีเรื่องจะพูดกับแก” ผมยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่เปียกปอน “เดี๋ยวก็ได้น่า จะรีบร้อนไปไหนวะ ชั่ว กัปชั่วกัลป์ หนึ่งมั้งถึงจะได้เจอหน้านายที" “ไอ้ป้อม....” ผมลุกจากขอบเตียงเดินไปหามัน “ฉันอยากรู้เรื่องสมพงษ์ ป้อมหันขวับไปทางหนึ่ง วูบ หนึ่งที่ผมเห็นแววตาตกใจปรากฏขึ้นในดวงตาคิดอะไรเกี่ยวกับชีวิตน้อยๆ ที่กําลังเติบโตขึ้นใน ร่างกายของเธอ แต่มันทําให้ ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ เมื่อคิดว่าขณะที่เด็กกําลังดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ ภายในนั้น แต่ภายนอกคนอีกหลายคนก็ดิ้นรนที่จะทําลายชีวิตแก ผมวางมือจากภาพบนโต๊ะและเดินไปเท้าแขนกับกรอบหน้าต่าง “เรามีกันสองคนพี่น้อง...” ผมพูด ขึ้นเบาๆ “หนึ่งยังรักและไว้ใจพี่อยู่ หรือเปล่า"


“พี่นัต” หนึ่งดึงมือผมไปแนบแก้มเธอ “ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือเมื่อไหร่เราก็ มีกันอยู่สองคนเท่านี้ “ถ้าหนิงรักและไว้ใจพี่ ทําไมหนึ่งไม่เคยเล่าให้พี่ฟัง” "หนิงเคยเล่า แต่พี่นัดไม่สนใจจะฟัง...ตอนนั้น พี่นัตยุ่งอยู่กับจ๋อม พี่นัต ก็เหมือนกับแม่หรือพ่อ ทุกคนมีคนอื่นอยู่ด้วยตลอดเวลา แต่หนึ่งไม่มีใครเลย ไม่มีแม้แต่คนเดียว...” “พี่ขอโทษ” ผมพึมพํา และหวนนึกถึงวันหนึ่งที่หนิงกลับบ้านด้วยท่าทาง "หนึ่งว่าแต่ ตื่นเต้น... วันนั้นเป็นวันที่ผมอารมณ์ไม่ดีมาตั้งแต่เย็น เพราะโดนแม่เล่นงานเรื่องกลับบ้าน ไม่เป็นเวลาประสานเข้าหากัน ไหล่ห่อ และศีรษะหลุบตํ่าลง ราวกับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ใน ศาล ทั้งๆ ที่การตัดสินได้พิพากษาออกมาแล้ว รอก็แต่เวลาที่เพชฌฆาตจะลงมือ ทําหน้าที่ของตนเอง เท่านั้นเอง ฉันนึกถึงสมัยที่เราสี่คน ฉัน แก ไอ้เอก ไอ้ชัยกอดคอเดินไป ตามถนนจนมืดคํ่า...ดู เหมือนจะเป็นปีสุดท้าย ที่ฉันเรียนกับพวกแก แกคงไม่รู้ว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตซึ่งฉันไม่ มีวันจะลืมมันลงได้เลย”ด้วยมาตรการเฉียบขาด ทําให้แม่สามารถหาเงินที่ขาดไปคืนได้จนครบ จํานวน แต่ที่ผมยังไม่ทราบจนทุกวันนี้ก็คือ ใครเป็นคนเอาเงินอีก 1,000 บาท ไปจากเซฟ? ไอ้อ้วน” ป้อมเรียก เมื่อเห็นผมเงียบไป“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม” “แกหมายถึงอะไร” ผมจ้องมองดูมันเขม็ง “ก็ผิดหวัง เสียใจ อะไรทํานองนั้น”ผมยืนนิ่ง“ว่าไง” มัน ถามซํ้า “ฉันไม่รู้จะบอกแกยังไง” ผมถอนหายใจลึกๆ “นายกลัวที่จะบอกเรื่องนี้กับคนอื่นใช่ไหม” “ไม่รู้” ผมสั่นหน้า “ฉันยังคิดอะไรไม่ออก”ป้อมมองดูผมด้วยสายตาที่เข้าใจและเมื่อผมหันกลับไป มองตึกใหญ่อีกครั้งก่อนพาตัวเองออกจากประตู ก็เห็นจอมเดินลงมารับผู้ชายคนนั้น และเดินเคียง คู่กันไปตามถนนสายนั้น ออกจากบ้านจอม ผมคว้างอยู่พักใหญ่ นึกหาหนทางที่จะไปหรือ ใครสัก คนที่พอจะพูดคุยด้วยได้ แต่ดูมันช่างตื้อไปหมด


ส่วนลุงใหญ่เป็นคนเฉยๆ ไม่ชอบพูดจากับใคร พอรับไหว้พ่อกับหลานๆ เสร็จก็จะเดินท่อม ๆ หาย เข้าไปในสวน ต่อเราจะกลับลุงใหญ่จึงจะโผล่เข้ามาใหม่ ผมนึกถึงชัยขึ้นมาลอย ๆ แม้มันออกจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องได้ราว มากกว่าเพื่อนนับตั้งแต่อุบัติเหตุ จากการเล่นฟุตบอลในคราวนั้น แต่มันก็เป็นคน ที่พูดคุยกับผมได้รู้เรื่องกว่าเอก ผมจับรถเมล์จาก ปากซอยบ้านจ๋อมไปลงที่ถนนตก และต่อรถอีกคันข้าม สะพานกรุงเทพไปหาไอ้ชัยที่ดาวคะนอง ชัย ไม่ได้แสดงความแปลกใจต่อการที่ผมโผล่ไปหามันที่บ้าน “ทําไมไม่โทรมาก่อนวะ” มันว่า “นี่ฉัน กําลังจะประชุมพอดี “พูดยังกับบ้านแกมีโทรศัพท์” ผมค่อน “แล้วนี่จะไปประชุมอะไรที่ไหนวะ” “ประชุมเพลิง” ไอ้ชัยพูดพร้อมกับเบี่ยงก้นหนีอย่างรู้ทัน “หญ้ามันรก นักเลยจะเผาทิ้งเสียมั่ง “เราไป ถึงหนองคายเมื่อตอนตีห้าครึ่ง จังหวัดชายแดนแห่งนั้นยังไม่ตื่นขึ้นมาสู่ไปครับ” คนขี่สามล้อคน หนึ่งยื่นหน้ามาถามเรา “ไป” ชัยตอบพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋ าเดินทางใบเล็กขึ้นสะพายหลัง "ช่วย ตามให้อีกคันด้วยนะ” “ได้ครับ” คนขี่สามล้อกุลีกุจอวิ่งไปที่รถของตนซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ ร้องเรียก เพื่อน พลา ครู่เดียวรถสามล้อสองคันก็มาจอดอยู่ตรงหน้าเรา “แกจะไปไหนวะ” ผมหันไปถามชัย อย่างงงๆ ตลาดหนองคายในยามเช้ามืดสวยเหมือนภาพอิมเพรสชั่นนิสต์ บรรยากาศทีมๆ โรยตัว อยู่ทั่วไป และแต่งแต้มด้วยแสงไฟแรงเทียนสูงจากแผง ขายเนื้อขายหมูเป็นจุดเรื่องๆ เรานั่งกันอยู่จนแดดยามเช้าจับทั่วตัวตลาด และผู้คนหนาตาขึ้น "เราจะไปไหนกันต่อ” ผมถามชัย เบาๆ "ไม่รู้" ชัยใช้นิ้ววาดนํ้าที่หกอยู่บนโต๊ะเป็นรูปอะไรเรื่อยเปื่อย มันทําให้ฉันคิดถึงวัยเด็ก และ บ้านหลังเก่า” “นายเหมือนเด็กที่ไม่ยอมโต” ชัยพูดด้วยนํ้าเสียงกึ่งเย้ากึ่งจริงจัง "ทําไงได้" ผมหัน หลังพิงราวเหล็ก “บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนชีวิตของตัวเองขาดวิ่นไม่ปะติดปะต่อจากวัยเด็ก แล้ว อะไรบางอย่างมันขาดหายไปจนกระทั่งทุกวันนี้ “ “ฉันไม่คิดว่าจะมีใครในโลกที่มีชีวิตสมบูรณ์ เรา ต่างก็ขาดนั้นขาดนี้ด้วย กันทั้งนั้นเราได้ที่พักในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แม้สภาพของโรงแรมจะ เก่าแก่และทรุด เพราะครูวาทิน ผมจึงตัดสินใจที่จะอยู่หนองคายต่อ หลังอาหารเที่ยงมื้อนั้น ครู วาทินอารมณ์ดีขึ้นพอที่จะพูดคุยกับผมและชัย อย่างสบายใจ โดยไม่มีท่าทางอึดอัดเหมือนตอน แรก “ครูจะสอนที่นี่แน่หรือฮะ” ชัยเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่ช่วยแฟนของ ครูวาทินเก็บถ้วยชาม


บนโต๊ะ ชื่อ...” ครูวาทินพยักหน้า “ เพื่อนครูเขาช่วยติดต่อไว้ให้ ก็เป็นโรงเรียน ราษฎร์เล็ก ๆ อะไร ต่อมิอะไรมันก็คงสู้กรุงเทพฯ ไม่ได้ แต่เราไม่มีทางให้เลือก มากนัก” ครับ” ผมรับคําสั้นๆ และนิ่งไปเป็นที่ไม่อยากจะพูดอะไรอีก "มันกําลังบ้าเขียนรูป” ชัยสอดขึ้น พลาง เลื่อนเก้าอี้และยกถ้วยชามที่วาง ซ้อนกันขึ้นไว้ในมือ "ทําอะไรก็ได้ที่ครับครู” ผมรับคําเบาๆ “ผมจะ ลองดูใหม่ “ท่าทางเธอยังไม่ค่อยสบายใจนัก...” ครูมองผมอย่างพินิจพิเคราะห์ อยู่หนองคายกับครู อีกสักพักไหม ไว้จิตใจปลอดโปร่งแล้วค่อยกลับกรุงเทพฯ “ครูไม่ลําบากหรือครับ” ผมมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเกรงใจ “ไม่หรอก....” ครูวาทินหัวเราะเบาๆ “เราก็เป็นคนแปลกหน้าของที่นี่ มีเพื่อน มาอยู่จะได้หายเหงา” “ขอผมคิดดูก่อน” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ “ตามใจ แต่ไม่ต้องเกรงใจครูหรือวินะ เรา อยู่กันแบบง่าย ๆ อย่างนี้แหละครับ” ผมรับคําสั้นๆ และนิ่งไปเป็นที่ไม่อยากจะพูดอะไรอีก "มัน กําลังบ้าเขียนรูป” ชัยสอดขึ้น พลางเลื่อนเก้าอี้และยกถ้วยชามที่วาง ซ้อนกันขึ้นไว้ในมือ "ทําอะไรก็ ได้ทีเหตุการณ์สําคัญ 2 อย่างที่ทําความเปลี่ยนแปลงให้แก่ชีวิตของ คนที่ผมรู้จักคุ้นเคย เกิดขึ้น ระหว่างที่ผมอยู่กับครูวาทินที่หนองคายและทั้งสอง เหตุการณ์กระทบกระเทือนใจผมอย่างที่สุด ครับ” ผมรับคําสั้นๆ และนิ่งไปเป็นที่ไม่อยากจะพูดอะไรอีก "มันกําลังบ้าเขียนรูป” ชัยสอดขึ้น พลาง เลื่อนเก้าอี้และยกถ้วยชามที่วาง ซ้อนกันขึ้นไว้ในมือ "ทําอะไรก็ได้ที่รักจะทํา เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่ง แล้วคุณค่ามันจะเท่าเทียม “แต่ตอนนี้ไอ้อ้วนกําลังทุกข์ครับครู” ชัยไม่วายหันมาส่งเสียง “มันทุกข์ กัน นั่นคือทําให้เรามีความสุข ที่ไม่ได้เรียนอย่างที่มันชอบ “เธอยังเด็ก ยังมีเวลาที่จะแก้ตัวได้อีก มาก”ผมกับครูวาทินเดินเอื่อยๆ ไปตามถนนที่เงียบสงบ ความมืดของกลางคืนที่คลื่ ผ่านดําออก โอบคลุมตัวเมืองถูกแต่งแต้มด้วยแสงไฟจากบ้านเรือนสองข้างทาง เสียงแคนแว่วหวานมาจากที่ ไหนสักแห่ง ท่วงทํานองคล้ายคลึงกับที่ผมเคยได้ยิน จากช้างถนนในกรุงเทพฯ แต่ความรู้สึกที่ให้แก่ ผู้ได้ฟังนั้นดูช่างแตกต่างกันมาก เสียงแคนที่ผมได้ยินที่หนองคายในคืนนั้นอ่อนหวาน แฝงไว้ด้วย ความรักและ ความหวัง ในขณะที่เสียงแคนที่ผมเคยได้ยินเจือไว้ด้วยความเศร้า ผิดหวัง และ ท้อแท้ ผมนั่ง รออยู่นานพอสมควร กว่าเสียงกริ่งโทรศัพท์จะดังขึ้นและ พนักงานที่เคาน์เตอร์ชะโงกหน้ามา เรียกแม้จะฝันท่าเป็นร่าเริง แม่เป็นยังไงบ้าง" ขนมากแล้ว ขอบใจที่เป็นห่วง" “เฮอะ..." จอมหัวเราะ


ขึ้นๆ “ ยังโอ๋กันไม่เสร็จมั้ง # "เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังบ้างได้ไหม “จําที่จอมถามถึงความรู้สึกผมเมื่อ จ่อมรู้ว่าป่ ามีผู้หญิงคนใหม่ได้ไหม... "นายจะรู้ไปทําไม " "จําได้ นายพูดถึงมันทําไม" “ผมเพียงแต่ อยากบอกจอมว่า ผมไม่เคยลืมความไว้วางใจที่จอมให้กับผมกลับถึงกรุงเทพฯ ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น และจับรถแท็กซี่ตรงดิ่งไปบ้านจอม ทันที...สภาพในบ้านกําลังโกลาหล ผู้คนเดินเข้าออกกัน พลุกพล่าน “จอมอยู่ไหมครับ” ผมถามคนที่อยู่หน้าบ้าน “คุณจอมไปแล้ว ไปตั้งแต่เมื่อคืน” ป้าที่ ตอบผมตอบพลางสะอื้นพลาง เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมใจหายวาบเขย่าแขนแกอย่างแม่กับหนึ่งไม่ อยู่เมื่อผมกลับไปถึงบ้าน มีแต่ลุงอมรนั่งอยู่ที่โต๊ะแคชเชียร์เพียง ลําพัง “อ้าวนัต” ลุงอมรร้องทัก " กลับมาแล้วหรือเรา แม่เขาบ่นถึงทุกวัน สําลักบ้างหรือเปล่า” ผมวางหูโทรศัพท์จากเอกได้ครู่เดียว แม่กับหนึ่งก็กลับมา “อ้าวนัต....” แม่ร้องด้วยความแปลกใจ เมื่อผมเดินไปเปิดประตูเหล็กกลาง ห้อง ไอ้เราก็อดเป็นห่วงเป็นไปไม่ได้ มีเงินมีทองเที่ยวเชื่อพี่อทาง เก็บไว้ให้เป็นทุนกันต่อไป แต่ละ คน แต่กระเง้ากระงอดผมกับเอกไปถึงโรงเรียนพลตํารวจบางเขนแต่เช้า แต่กว่าจะเข้าเยี่ยมไว้ป้อม ได้ก็ เกือบเที่ยง สภาพของไอ้ป้อมที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทําให้ผมยืนซึมไปพักใหญ่ "ไอ้อ้วน..." ป้อมร้อง เรียกผมอย่างดีใจ ดวงตาของมันเป็นประกายตื่นเต้น "นั่นอุตริตัดผมทรงใหม่เหรอ” เอกเย้า “ชื่อ” ป้อมพยักหน้า และยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ถูกโกนจนเลี่ยนมีฝนลงเม็ดจัก ๆ เมื่อผมกับเอกออกมาจาก โรงเรียนพลตํารวจบางเขน เราวิ่งเข้าไป หลบฝนกันที่ศาลาที่พักผู้โดยสารริมทาง "เฮ้อ ตกลงมาได้ ไม่มีปี่มีขลุ่ย” เอกบ่นพลางควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดวางหูโทรศัพท์จากเอกได้ครู่เดียว แม่กับหนึ่ง ก็กลับมา “อ้าวนัต โดยไม่ฟังเสียงผมอีกต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นแม่ก็ลากตัวผมไปลง ทะเบียนเรียนคณะ นิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งแม่ว่าจะผ่อนมอเตอร์ไซค์ให้แกสักคันจะได้ไว้ขี่ไป มหาวิทยาลัย” แม่พูด อย่างเอาใจ เมื่อเห็นสีหน้าผมยังไม่ดีขึ้น “ไม่ต้องหรอกฮะ แค่นี้ผมก็ทําให้แม่ ลําบากพออยู่แล้ว” “ค่าผ่อนเดือนหนึ่งมันจะสักกี่ตังค์เขียวเลาะไปหาได้นิยมอีก 2-3 ครั้ง ท่าทาง ของมันดีขึ้นกว่าที่พบครั้งแรก แต่สิ่ง ทรมานมากกว่าการปวดศีรษะคือ กรามแตกและอักเสบกลัด หนอง แก้ม ขนบวมได้และเวลาพูดจะขยับปากอย่างยากลําบาก กลิ่นเหม็นของหนองคาเราเลือก ได้ร้านอาหารจีนริมถนน พ่อสั่งอาหารกับบ่อยอย่างคุ้นเคย กินหยกว่ากันก่อนนะ”


มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนั้น มีสภาพแตกต่างจากโรงเรียนเก่า ของผมโดยสิ้นเชิง คนดีๆ ที่แม่หมาย จะให้ผมคบหาสมาคมด้วยล้วนแต่เหยียบ ขี้ไก่ไม่ฝ่อและดีแต่วางท่าป้อไปป้อมา พวกเขาประกวด ประชันกันในเรื่องความ รํ่ารวยหรูหรา แฟชั่นใหม่ ๆ จากร้านบูติกชั้นนํา หรือเรื่องราวอันไร้สาระ ต่าง ๆพวกอาจารย์ที่สอนก็ดูเหมือนจะชินชากับสภาพของลูกศิษย์ที่อาศัย มหาวิทยาลัยเป็น ทางผ่าน หรือพอให้มีชื่อว่ากําลังเรียนอยู่ในสถาบันอันโก้หรูและ แพงบรม ส่วนใหญ่จึงสอนพอ ผ่านๆ ป้อมกลับมาสนิทกับผมใหม่ในช่วงนั้น และพลอยทําให้หนึ่งใกล้ชิด กับป้อมอีกครั้ง ป้อมเข้า เรียนต่อแผนกช่างกลโรงงานในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี เอกชนแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะใช้ เวลาไปกับกิจกรรมนอกโรงเรียนมากกว่า“เงียบทีเถอะหนิง นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา” “พี่นัต...” หนิงมอง ดูผมด้วยสายตาที่เหมือนมองดูคนแปลกหน้า ไม่เคยตะคอกหนึ่งอย่างนี้เลยนะ" ผมนิ่งอึ้ง ก่อนจะ ลุกไปคุกเข่าลงตรงหน้าน้อง และบีบไหล่เธอเบาๆชัยแนะนําให้ผมรู้จักกับเพื่อนของมันหลายคนใน คืนนั้น...ผมนั่งลง เงียบ ๆ ในมุมหนึ่งของห้อง ในขณะที่คนเหล่านั้นพูดคุยกันด้วยท่าทางเย็นวันต่อ ๆ มา ผมยังคงไปที่หน้าม ามคําแหงเช่นเดิม คอยเฝ้า ค้นหาหล่อนจากผู้คนที่ผ่านไปมา เพียงเพื่อ พบกับความผิดหวังซํ้าแล้วซํ้าเล่า และเดินคอตกเข้าไปหาชัยหรือเพื่อนๆ ของมันอย่างหงอยเหงา ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่ า คําบอกเล่าของผู้หญิงคนนั้นทําให้ผมนิ่งงันไปพักใหญ่ กว่าจะ หลุดปาก เอ่ยคําขอบคุณแก และขี่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพกลับออกมาอย่างเลื่อนลอย ผมบอกไม่ถูกว่าจิตใจตัวเอง ในขณะนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าอยากไปให้ไกลผมเขียนภาพป้อมราวกับจะแข่งขันกับอะไร บางอย่าง ภาพนั้นใช้เวลาหลายวัน เมื่อผมกลับถึงบ้านปรากฏว่าชัยกลับไปแล้ว...หญิงเล่าให้ฟังว่า ชัย มีอาการตื่นกลัว เอาแต่นั่งขดตัวอยู่มุมห้องโดยไม่ยอมแตะต้องอาหารและนํ้า หรือพูดกับใคร ทุกครั้งที่มีเสียงรถแล่นมาจอดหน้าร้านชัยจะยิ่งกลัวจนลนลาน พอพลบคํ่าก็ผลุนผลันออกไปผม ได้รับโทรศัพท์จากจอม หลังจากงานศพของป้อมผ่านพ้นไปได้ไม่กี่วัน "อ้วนเหรอ...” เสียงจาก ปลายสายถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจงานศพของป้อมเป็นไปอย่างเงียบเหงา มีเพียงญาติพี่น้องและ เพื่อนไม่กี่คนที่ไปร่วมในงาน ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าความตายจะอ้างว้างและ ว้าเหว่ถึงเพียงถาม แม่แกะมือผมออกจากแขน “ถ้าแกทนดูคนอื่นเป็นอะไรไปไม่ได้เหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มตึงเครียด มาตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ครั้นถึงต้นเดือนตุลาคมทั้งสองฝ่ายก็อยู่ในลักษณะของการ


เผชิญหน้ากัน สีหน้า ของผู้คนมีแต่ริ้วรอยของความหวาดวิตกและไม่แน่ใจสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้น พ่อ โทรศัพท์มาหาผมกับหนิง 2-3 ครั้ง แม้จะเป็นการพูดคุยกันในเรื่องทั่ว ๆ ไปจอมกลับมากรุงเทพฯ ในช่วงที่ผมเรียนอยู่เทอมหลังของปีสอง และคนที่บอก ข่าวนี้ให้ผมทราบก็คือโย่ง เราพบกันโดย บังเอิญที่สยามสแควร์ วันคืนหมุนเวียนไปเป็นปกติโดยไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวกับสภาวะ อากาศที่เปลี่ยนแปลงไปแทบทุกเมื่อ เชื่อวัน ไม่รับรู้การก่อกําเนิดหรือการสูญลุงอมรขับรถเชฟโรเลตรุ่นเก่าคันเบ้อเร่อออกไปจอดรอที่ริม ถนน และนั่งพ่นควัน ปุ๋ ยๆ รอแม่ซึ่งวิ่งขึ้นลงลืมนั่นลืมนี่ไม่รู้จักจบ...หนิงเองก็เปลี่ยนเสื้อกระโปรง ผมยังจําวันที่รับปริญญาได้ดี มันเป็นวันที่ทั้งบ้านโกลาหลราวกับ มีงานเทศกาล แม่ตื่นนอนตั้งแต่ตี สี่และเที่ยวตบประตูเรียกผมกับหนึ่งให้ลุกขึ้น แต่งตัว ส่วนป้าหงบก็กุลีกุจอต้มข้าวต้มกุ้งหม้อใหญ่ ฟังฮะ” ผมวางซ้อนลงในชามข้าวต้ม “เดี๋ยวแม่พูดจบแล้วช่วยปลุกผม


Click to View FlipBook Version