กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
หลักวาทศลิ ปแ์ ละแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม
ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
หลักวาทศลิ ปแ์ ละแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม
ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
หลกั วาทศลิ ปแ์ ละแนวทางการฝกึ บรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
ผู้จดั พิมพ์ : กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
จำนวนพมิ พ์ : ๖,๕๐๐ เลม่
ทีป่ รึกษา
พระครอู ุดมธรรมวาที ประธานศนู ยบ์ รหิ ารการศกึ ษาพระพุทธศาสนา
วันอาทติ ย์ หนกลาง (ศพอ.ก.) ในพระสังฆราชูปถัมภ์
วัดประยรุ วงศาวาส กรงุ เทพมหานคร
นายเกรยี งศกั ด์ิ บุญประสิทธิ์ อธิบดกี รมการศาสนา
นายสำรวย นักการเรยี น รองอธบิ ดกี รมการศาสนา
นายมานสั ทารตั น์ใจ ท่ปี รกึ ษากรมการศาสนา
นายชวลติ ศริ ิภิรมย์ ทปี่ รกึ ษากรมการศาสนา
นางสาวฐิตมิ า สภุ ภัค ผู้อำนวยการสำนกั พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม
นายพจนาถ ปัญญาศลิ ป ์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองศาสนูปถมั ภ
์
นางสุรยี ์ เกาศล เลขานกุ ารกรม
รวบรวมและเรยี บเรียง นายสนุ ทร การบรรจง
กรรมการตดั สินการประกวดบรรยายธรรม
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
คณะทำงาน
พระครูวนิ ยั ธร วิโรจน์ สริ สิ าโร กรรมการตดั สนิ การประกวดบรรยายธรรม กรมการศาสนา
พระครธู รรมธร ดร.แอว๊ สธุ มมฺ ปาโล กรรมการตัดสินการประกวดบรรยายธรรม กรมการศาสนา
นายประภาส แกว้ สวรรค์ ผอู้ ำนวยการกลมุ่ สง่ เสรมิ งานคณุ ธรรมจรยิ ธรรมสว่ นภมู ภิ าคและทอ้ งถน่ิ
นางสาวจริ ฐา ปน่ิ เวหา นกั วิชาการศาสนาชำนาญการ
นางสาวหทั ยา คณุ โณ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ
นางสาวรวพิ ร ภกั ดสี มยั นกั วชิ าการศาสนาปฏบิ ัติการ
นางสาวนนั ทิยา อายวุ ัฒนะ นกั วชิ าการศาสนา
นายนรภทั ร วรศิ รานนท์ เจา้ หนา้ ท่ีวเิ คราะหโ์ ครงการ
นายอมร เฟื่องผล เจ้าหนา้ ทวี่ ิเคราะหโ์ ครงการ
ออกแบบปก
เจ้าหน้าที่วเิ คราะหโ์ ครงการ
นายวทิ ยา กอ่ กุศล
พิมพ์ท่ี
ศนู ย์สอื่ และสิง่ พมิ พ์แก้วเจา้ จอม มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา
เลขที่ ๑ ถนนอทู่ องนอก แขวงดสุ ิต เขตดสุ ิต กรงุ เทพมหานคร ๑๐๓๐๐
โทร. ๐๒ ๑๖๐ ๑๒๖๓-๔ โทรสาร. ๐๒ ๑๖๐ ๑๓๐๙
คำนำ
การประกวดบรรยายธรรม เป็นกิจกรรมสำคัญกิจกรรมหน่ึงท่ีได้ส่งเสริมและ
สนับสนุนให้เด็กเยาวชนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมและเห็นคุณค่าของศาสนธรรม
ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาติไทย และท่ีสำคัญยิ่งคือ ได้ฝึกวาทศิลป์
หรือศลิ ปะการพดู แลว้ นำไปประพฤติปฏบิ ัตไิ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งผา่ นกระบวนการบรรยายธรรม
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศูนย์บริหารการศึกษาพระพุทธ
ศาสนาวันอาทิตย์ หนกลาง (ศพอ.ก.) ในพระสงั ฆราชูปถมั ภ์ ศนู ย์ส่งเสรมิ ศลี ธรรม วัดชยั ชนะ
สงคราม ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกจังหวัด ดำเนินการ
ประชาสัมพันธ์และจัดการประกวดบรรยายธรรม ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ เป็นต้นมา ซ่ึง
ผู้ชนะเลิศ รองชนะเลิศ อันดับ ๑-๒ และชมเชย อันดับ ๑ ๒ และ ๓ ทุกช่วงชั้นจะได้รับโล่
รางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ในการจัดงานส่งเสริมพระพุทธศาสนา เน่ืองในเทศกาลวันวิสาขบูชา
เปน็ ประจำทุกปี
สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๔ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดพิมพ์หนังสือ
“หลกั วาทศลิ ป์ และแนวทางการฝกึ บรรยายธรรม โครงการประกวดบรรยายธรรมของกรมการศาสนา
กระทรวงวัฒนธรรม” เพื่อเป็นคู่มือสำหรับเด็กเยาวชนและครูอาจารย์ ตลอดถึงผู้สนใจได้ใช้
เป็นแนวทางในการฝึกหัดการประกวดบรรยายธรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะ
อำนวยประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง ได้ตามสมควร จึงขอขอบคุณผู้มีส่วน
เกย่ี วขอ้ งในการจดั ทำหนงั สือเล่มนใี้ หส้ ำเรจ็ ลลุ ่วงไปได้ดว้ ยดี ไว้ ณ โอกาสน
้ี
นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์
อธิบดีกรมการศาสนา
http.facebook.com.todee.studio
สารบญั
เร่ือง หนา้
คำนำ ๓
การบรรยายธรรมคืออะไร ๗
สุนทรพจนค์ อื อะไร ๙
ศิลปะการเขียนบทบรรยายธรรม ๑๗
ศลิ ปะการใชส้ ายตาและท่าทางประกอบการพูด ๒๘
ศลิ ปะการใช้น้ำเสียงหรอื สำเนยี งประกอบการพดู ๔๒
ศิลปะการใช้ถอ้ ยคำและการสรา้ งภาพพจน์ในการพูด ๔๙
ศลิ ปะการพัฒนาการพูดแบบบรรยายธรรม ๕๕
ศลิ ปะการสร้างอารมณข์ นั ๖๓
ศิลปะการใช้ราชาศพั ท์ ๖๗
หนงั สืออา้ งอิง ๗๕
ภาคผนวก
แนวทางการดำเนนิ การจัดประกวดบรรยายธรรม ๗๘
ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
สมเด็จพระกนิษฐาธริ าชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า เจ้าฟ้ามหาจักรสี ริ นิ ธร
มหาวชริ าลงกรณวรราชภกั ดี สริ กิ จิ การณิ พี รี ยพฒั น รฐั สมี าคณุ ากรปยิ ชาติ สยามบรมราชกมุ ารี
เสดจ็ พระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักรแกผ่ ู้ทำคณุ ประโยชนต์ ่อพระพทุ ธศาสนา
ในงานสปั ดาหส์ ่งเสริมพระพุทธศาสนา เน่อื งในเทศกาลวนั วิสาขบชู าของทกุ ป
ี
พระราชทานโล่รางวัลชนะเลิศการประกวดบรยายธรรมในระดับช่วงชัน้ การศกึ ษา
ประถมศึกษาตอนตน้ ประถมศกึ ษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
6
www.dra.go.th
การบรรยายธรรมคืออะไร
การบรรยายธรรมแบ่งออกเป็น ๒ คำด้วยกันคือ การบรรยายและธรรม
หรอื ธรรมะ การบรรยาย คอื การอธบิ าย การชแ้ี จง และการเลา่ ซง่ึ เปน็ การนำความรู้
ความเข้าใจไปสู่ท่านผู้ฟัง มีลักษณะเป็นการพูดโน้มน้าว ให้ผู้ฟังเห็นด้วยกับ
แนวความคดิ หรือข้อเท็จจริง อย่างใดอย่างหน่งึ
ธรรมหรือธรรมะ คือคุณความดี คำสั่งสอนในศาสนา หลักประพฤติปฏิบัติ
ในศาสนา ความจรงิ และความถูกตอ้ ง เมื่อนำมารวมกันเขา้ กเ็ ปน็ การบรรยายธรรม
7
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
ผู้พูดหรือผู้บรรยายธรรม จะต้องมีการเตรียมตัวก่อนการบรรยาย ตามหลัก
การพดู โดยทั่วไป กลา่ วคอื
๑. หาข้อมลู หรือวตั ถดุ ิบ ซึง่ เกย่ี วข้องกบั หวั ข้อหรอื สาระทีจ่ ะบรรยาย
๒. จดั ระเบียบความคดิ ใหเ้ ปน็ ไปตามลำดับขนั้ ตอนของความเข้าใจ
เพ่อื เสนอตอ่ ผฟู้ งั ไมใ่ หเ้ กิดความสับสนหรือซบั ซอ้ น
๓. สร้างโครงเร่ืองของการบรรยายให้ครบท้ัง ๓ ส่วน คือส่วนท่ีเป็นบทนำ
หรอื อารัมภบท เนื้อเรื่องหรือเนือ้ หาสาระ และบทสรุปหรือสรุปจบ
ส่วนเทคนิคหรือศิลปะการบรรยาย ซึ่งผู้พูดหรือผู้บรรยายแต่ละคนม
ี
ไม่เหมือนกนั จะได้กลา่ วไว้โดยละเอยี ด ทงั้ โครงสร้างและหลกั วาทศิลป์ ในเรือ่ งของ
สนุ ทรพจนค์ ืออะไร
https://www.facebook.com
8
www.dra.go.th
สุนทรพจน์ คืออะไร
การพูดในท่ีชุมชน มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ กล่าวคือ การปาฐกถา
การบรรยาย การอภปิ ราย การปราศรัย การโต้วาที การยอวาที การแซววาที และ
การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ เชน่ การพดู ในงานมงคลสมรส การขนึ้ บา้ นใหม่ การเปดิ ปา้ ย
การเปิดอบรม การเปิดสัมมนา การเปิดเสวนา ฯลฯ การพูดในโอกาสต่าง ๆ น้ี
กลา่ วได้ว่าเป็นการกล่าวสุนทรพจน์
ความหมายของ “สนุ ทรพจน์”
“สุนทรพจน์” มาจากคำวา่ สนุ ทร+พจน์ “สนุ ทร” แปลวา่ ดี งาม และงา่ ย
เมื่อใชก้ บั การพูด คือการพดู ด้วยความไพเราะ หลักแหลม คมคาย เรา้ หรอื กระต้นุ
ความสำนึกในทางท่ดี ี และทำใหเ้ กดิ ความประทับใจ
“พจน์” หรือ “วจนะ” แปลว่า การพูดหรือคำพูด “สุนทรพจน์” จึง
เป็นการพูดที่มุ่งชักจูง เพื่อรวบรวมบุคคลให้เห็นด้วยในความคิดของตน ด้วยการใช้
ถ้อยคำสำนวนอย่างมีจิตวิทยา ที่ลึกซึ้งที่ทำให้ผู้ฟังประทับใจ ประดุจด่ังตู้โชว์สินค้า
หนา้ รา้ น ทช่ี กั ชวนใหค้ นเข้าร้าน
9
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
ลกั ษณะของ “สุนทรพจน์”
ลักษณะที่สำคัญของ “สุนทรพจน์” คือ การโน้มน้าวการชักจูงใจผู้ฟัง
ปลุกผูฟ้ ังใหต้ ่ืนขึน้ ด้วยคำแรกหรือประโยคแรก ทำใหผ้ ฟู้ ังเหน็ คุณคา่ ทเี่ ป็นประโยชน์
และลงมือประพฤติปฏิบัติตาม ซึ่งการพูดท่ีเรียกว่าสุนทรพจน์ จะต้องมีลักษณะ
เป็นการพูดต่อชุมชน เป็นการพูดส้ัน ๆ ใช้เวลาจำกัด เป็นการพูดปากเปล่า หรือ
เปน็ การพดู ทเี่ ปน็ พธิ รี ตี อง ในโอกาสสำคญั ๆ ทมี่ กี ารเตรยี มตวั หรอื เตรยี มการ และม
ี
การซักซ้อมเป็นอย่างดี จุดประสงค์ที่สำคัญของการกล่าวสุนทรพจน์ คือ เรื่องที่มี
สาระประโยชน์ต่อส่วนรวมในทางสร้างสรรค์ ทำให้เกิดความสามัคคี ความเจริญ
งอกงาม อันจะนำความดีงามมาสู่สังคมส่วนรวมได้ สุนทรพจน์ แบ่งออกเป็น
๒ แบบใหญ่ ๆ คือ
https://www.freepik.com
10
www.dra.go.th
๑. สุนทรพจน์แบบธรรมดา เป็นการพูดในลักษณะการกล่าวแสดง
ความยินดี ประโลมใจ ให้กำลังใจ สดุดี ยกย่อง ชมเชย อวยพร ต้อนรับ ไว้อาลัย
มอบรางวลั มอบตำแหนง่ แนะนำวทิ ยากร และการพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ เชน่ การพดู ใน
งานมงคลต่าง ๆ การเปิดป้าย การเปิดการอบรม การเปิดการสัมมนา การเปิด
นิทรรศการ เป็นต้น
๒. สุนทรพจน์แบบพิเศษ เป็นการพูดที่มุ่งสาระประโยชน์ต่อส่วนรวม
มีลักษณะโน้มน้าวต่อความรู้สึกนึกคิด เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดี เกิดคุณธรรม
จริยธรรม เกิดความรักสามัคคี เกิดความคิดสร้างสรรค์ ช่วยเหลือเก้ือกูลกัน
เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำในระดับประเทศหรือระดับโลก ที่มุ่งผลให้ผู้ฟัง
เกิดความหวั่นไหวต่อความรู้สึก มุ่งหวังใหเ้ กดิ การเสยี สละเพอ่ื ส่วนรวม หรอื เพื่อการ
คลคี่ ลายสถานการณ์ทเี่ ลวร้ายให้กลบั กลายเปน็ ด
ี
11
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
th.wikihow.com
วธิ ีกลา่ ว “สุนทรพจน์”
ผู้กล่าวสุนทรพจน์ นอกจากต้องเตรียมข้อมูล หรือวัตถุดิบท่ีเกี่ยวข้องกับ
สาระที่จะกล่าว มีการจัดระเบียบความคิดให้เป็นลำดับข้ันตอน เพื่อไม่ให้เกิดความ
สับสนหรือซับซ้อนแล้ว จะต้องเข้าใจหลักเกณฑ์หรือโครงสร้างเร่ืองท่ีดี ปรับปรุง
เนอ้ื เรือ่ งใหถ้ กู ตอ้ งเพื่อให้การกล่าว “สุนทรพจน”์ น่าสนใจนา่ ติดตามมากยิง่ ขึน้
“สุนทรพจน์” จะต้องประกอบด้วยโครงสร้างท่ีสำคัญ ๓ ส่วน คือ บทนำ
หรอื การอารัมภบท เนอ้ื เรือ่ งหรือเน้อื หาสาระ และสรปุ จบหรอื การลงทา้ ย
12
www.dra.go.th
บทนำ หรือการอารัมภบท
คือ ส่วนเริ่มต้น ทำหน้าที่เร้าใจผู้ฟัง เพื่อนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง หรือเนื้อหา
การขนึ้ ตน้ ทไี่ ด้ผลน้ัน มวี ิธกี ารขนึ้ ต้นทงั้ หมด ๕ ประการ ดงั น้
ี
๑. ขน้ึ ต้นด้วยการพาดหัวข่าว
๒. ข้ึนต้นดว้ ยการต้งั คำถาม
๓. ขึ้นตน้ ด้วยการทำใหผ้ ฟู้ ังสงสยั
๔. ขนึ้ ต้นด้วยการยกสภุ าษิต อา้ งบทกวี หรอื วาทะของผู้มชี ื่อเสียง
๕. ข้นึ ตน้ ด้วยการทำให้ผฟู้ ังสนกุ สนาน
หลักในการขึน้ ตน้ มอี ย่วู า่ ต้องรวบรดั ตรงประเดน็ เรา้ อารมณ์ และชวนให้
ติดตาม ไม่ควรขึ้นต้นด้วยการออกตัว ขออภัย ถ่อมตัวอ้อมค้อม สวัสดี เรียน
กราบเรียน ขอโทษ แนะนำตนเอง และสถาบัน เนือ้ เรอ่ื งต้องพูดให้ตรงประเดน็
ให้ผู้ฟังเข้าใจ การเตรียมเนื้อเรื่องจะต้องเตรียมไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด ให้ยืดหยุ่นได้
ตามเวลา และเหตกุ ารณ์เฉพาะหน้าท่เี กิดขน้ึ ขณะพดู
https://www.freepik.com
13
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
วธิ กี ารดำเนนิ เรอ่ื ง
ผ้พู ดู จะตอ้ งรู้จกั วิธีการดำเนนิ เรอื่ ง ซึ่งประกอบด้วยข้ันตอน ดังน้
ี
๑. พูดไปตามลำดับหัวข้อ เหตุการณ์ หรือเวลา อย่าวกวนกลับไปกลับมา
จนจบั ตน้ ชนปลายไมถ่ ูก
๒. เนน้ จุดมุง่ หมายของเร่ืองเพยี งอย่างเดยี ว อยา่ ยกเหตุผลคา้ นกันเองในตัว
๓. เร้าความรู้สึกของผู้ฟังให้มากขึ้นตามลำดับ โดยเรียงลำดับหัวข้อ
เหตุการณ์ ยกอุทาหรณ์ หรือตัวอย่าง มีการอุปมาอุปไมย เปรียบเทียบให้ผู้ฟังได้
เหน็ และเกิดภาพพจนต์ ามขณะท่ีฟงั
๔. ไมอ่ อกนอกเร่อื ง พรอ้ มที่จะตดั ตอน หรอื เพม่ิ เตมิ ใหเ้ หมาะสมกบั เวลา
การสรุปจบ
การสรปุ จบหรอื การลงทา้ ยในการกลา่ วสนุ ทรพจน์ มคี วามสำคญั ไมน่ อ้ ยไปกวา่
การขน้ึ ตน้ เนอ่ื งจากการลงทา้ ยเปน็ จดุ ทจี่ ะฝากใหผ้ ฟู้ งั มคี วามประทบั ใจ และเกบ็ ไปคดิ
วิธกี ารจบท่ีได้ผล
หลักในการสรุปจบท่ีสำคัญจะต้องมีความหมายชัดเจนโดยให้สัมพันธ์กับ
เนอ้ื เรื่อง อาจยึดหลกั การจบดว้ ยหลัก ๕ ประการ คือ
๑. จบแบบสรปุ ความ
๒. จบแบบฝากใหไ้ ปคดิ
๓. จบแบบเปิดเผยตอนสำคัญ
๔. จบแบบชักชวนและเรียกรอ้ ง
๕. จบด้วยคำคม คำพงั เพย และคำสภุ าษิต
หลักในการสรุปจบมีอยู่ว่า มีความหมายชัดเจน ไม่เลื่อนลอย สัมพันธ์
กับเน้ือเร่ือง หัวข้อกะทัดรัด และไม่เย่ินเย้อ ไม่ควรจบด้วยคำว่า ขอจบ ขอยุต
ิ
ไมม่ ากกน็ อ้ ย ขออภัย ขอโทษ และขอบคุณ
14
www.dra.go.th
หลกั วาทศิลป์ ประกอบดว้ ย
๑. การใช้ภาษา จะต้องออกเสียงให้
ถูกต้องตามพจนานุกรม เช่น ปรัชญา สัปดาห์
อาชญากรรม บรรยาย การใช้ภาษาถูกต้อง
ถูกอักขระ ตัว “ร” และ “ล” คำกล้ำจะต้อง
ออกเสียงให้ถูกต้อง เช่น ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง
ครอบครัว ผลผลิต ปกครอง ตัว “ว” ซึ่งเป็น
คำควบ คอื กว ขว คว เชน่ กวา่ ความ ควาย กวดั แกวง่
ไม้กวาด ขวากหนาม ขวามือ และไม่ควรพูด
คำไทยผสมคำต่างประเทศ คำย่อ คำแสลง และ
คำไม่สุภาพ
๒. การใช้สายตา สายตาคือหน้าต่างของหัวใจ ผู้พูดหรือผู้บรรยายอย่ามอง
จุดเดียว และมองผู้ฟังโดยทั่วถึง ไม่หลบ ไม่มองต่ำ หรือสูงเกินไป ควรมองผู้ฟัง
รวม ๆ มองจดุ ก่ึงกลางไปทแี่ ถวสดุ ท้าย
๓. ท่าทาง ประกอบด้วยสีหน้า
การยืน การเคลื่อนไหว การใช้มือ การใช้
อุปกรณ์หรือสื่อต่าง ๆ มีข้อแนะนำ
พอสงั เขป ดงั น้
ี
ควรแสดงสีหน้าตามเนื้อเร่ืองท
่ี
นำเสนอ มีสีหน้าย้ิม ร่าเริง เบิกบาน
เม่ือสมหวัง หรือสีหน้าเศร้าเมื่อผิดหวัง
แตค่ วรเปน็ ไปตามธรรมชาติ
การยืน ควรยืนปล่อยตัวตาม
สบาย ปล่อยมือขนาน หรือตามลำตัว
www.pinterest.it
15
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
การเคล่ือนไหวลำตัว กิริยาต่าง ๆ แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ระวัง
อยา่ พยักหน้า อยา่ ส่ายศีรษะ ก้มๆ เงยๆ แทนคำพดู ขณะพดู ไม่ควรเดิน หากจำเปน็
กเ็ ดินเทา่ ทจ่ี ำเป็น
การใช้มือ ควรใช้สำหรบั บอกจำนวน ขนาด รูปรา่ ง และทศิ ทาง
การใช้อุปกรณ์หรือสื่อ ควรคัดเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับเร่ืองราว
หรืออุทาหรณท์ ยี่ กขึน้ มาประกอบการกลา่ วสนุ ทรพจน
์
๔. น้ำเสียง การใช้น้ำเสียงจะต้องระวัง ไม่พูดเสียงเบาหรือดังเกินไป
ไม่พูดช้าหรือเร็วเกินไป ไม่พูดอึกอัก เอ้ออ้า ไม่พูดเหมือนทำนองท่องจำ หรือพูด
เสียงระดับเดียว การพูดน้ำเสียงจะต้องพูดให้เสียงดังฟังชัด จังหวะการพูดไม่ช้า
ไม่เร็วเกนิ ไป และพดู จากความรู้สกึ จรงิ ใจ
สูตรสำเร็จในการพูด เตรียมตัวใหพ้ ร้อม ซักซ้อมใหด้ ี ทา่ ทีให้สงา่ หนา้ ตาให้สุขุม
ทักทีป่ ระชุมไม่วกวน เริม่ ต้นให้โน้มนา้ ว เรือ่ งราวใหก้ ระชับ ตาจับที่ผูฟ้ ัง เสียงดังใหพ้ อดี
ดูเวลาใหพ้ อครบ สรุปจบใหจ้ ับใจ ยิ้มแยม้ แจม่ ใสตลอดการพูด
16
www.dra.go.th
ศิลปะการเขียนบทบรรยายธรรม
www.pinterest.it
บทบรรยายธรรม เป็นบทความวาทศิลป์ คือ
เขียนข้ึนเพ่ือให้ผู้พูดบรรยาย อธิบาย หรือชี้แจง เป็นแบบ
คำปราศรัยหรือสุนทรพจน์ ซึ่งผู้พูดหรือผู้บรรยายจะต้องพูด
หรือบรรยายอย่างมีศิลปะ ซ่ึงการเขียนบทบรรยายน้ีจะต้อง
ประกอบดว้ ย คำปฏสิ ันถาร คือ การทักทป่ี ระชมุ คำนำ หรอื
อารัมภบท เน้ือเร่ือง และบทสรุป มีการใช้หัวข้อธรรม
การใช้คำเปรียบเทียบ หรืออุปมาอุปไมย คำพุทธศาสน
สุภาษติ คำประพนั ธ์ คตพิ จน์ คำคม คำพงั เพย คำเนน้ และ
คำยำ้ เปน็ ตน้ ประกอบการเขยี น
ในการเขียนบทบรรยายธรรม จะต้องเลือกเร่ืองท่ีผู้บรรยายมีความรู้
มคี วามเขา้ ใจเปน็ อยา่ งดี เหมาะสมกบั ผพู้ ดู หรอื ผบู้ รรยาย และกลมุ่ ผฟู้ งั มกี ารเตรยี มการ
การค้นคว้าหาวัตถุดิบ หรือข้อมูลประกอบการพูดอย่างเพียงพอ จัดระเบียบ
ความคดิ เปน็ ลำดบั ขนั้ ตอน การสรา้ งโครงเรอื่ งทสี่ มบรู ณ์ ตง้ั วตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ เปน็ การ
โน้มนา้ วผฟู้ งั อย่างอัตโนมตั
ิ
ปัจจัยหลัก คือ
การเลือกเรื่อง
การเตรียมเรื่อง
การจัดระเบียบความคดิ
การเลือกเรื่อง การเลือกเร่ืองที่จะเขียนบทบรรยายธรรมนี้ ไม่ใช่ปัญหาพิเศษอะไร
เนื่องจากผู้พูดหรือผู้บรรยายที่จะเข้าประกวดบรรยายธรรมรู้ล่วงหน้าแล้วว่า
ตนจะไปพูดเรื่องอะไร กับใคร และท่ีไหน เนื่องจากคณะกรรมการจัดการแข่งขัน
ได้กำหนดหรือตั้งหัวข้อไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี ในการเขียนบทบรรยายธรรม
ทั้งผู้เขียน ผู้พูดหรือผู้บรรยายมีหลักกฎเกณฑ์ในการเลือกเรื่องที่จะพูดหรือบรรยาย
ดงั ต่อไปนี
้
17
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
๑. ต้องเป็นเร่ืองที่ตนมีความรู้ ความเข้าใจ หรือความชัดเจนมากที่สุด
เนื่องจากผู้ฟังทุกกลุ่ม หรือ ทุกระดับ ย่อมปรารถนาท่ีจะฟังเรื่องราวจากผู้พูด
หรอื บรรยายท่มี ีความเขา้ ใจและจัดเจนในเรอ่ื งนัน้ ๆ
๒. จะต้องเป็นเรื่องที่ต้องการ หรืออยากจะพูด เน่ืองจากจะทำให้ผู้เขียน
ผพู้ ูด หรือผบู้ รรยายมีอารมณ์ ในเรือ่ งที่เขยี น พูดและบรรยายในครง้ั นน้ั ๆ
๓. จะต้องเป็นเรื่องท่ีผู้ฟังกำลังสนใจ เนื่องจากจะทำให้ผู้ฟังต้ังใจฟัง
อย่างต่อเนอ่ื งและเกดิ ประโยชน์ตอ่ ผฟู้ ังมากที่สุด
https://www.freepik.com
18
www.dra.go.th
http://www.thaispecial.com
https://www.se-ed.com/product
https://www.attorney285.co.th
http://www.thammasapa.com
การเตรยี มเรื่อง คอื การเตรยี มวตั ถดุ บิ หรือข้อมลู เกีย่ วกับเรื่องที่จะเขียนจะพูดหรือ
บรรยาย เพื่อให้การพูดการบรรยายในครั้งนั้น ๆ มีสาระ เป็นที่เช่ือถือได้ หรือยึด
เป็นหลักปฏิบัติตามได้ วัตถุดิบซึ่งนำมาเป็นเนื้อหาสาระสามารถที่จะอ้างอิงได
้
ต้องเป็นข้อมูลท่ีเช่ือถือเป็นที่ประจักษ์หรือรู้จัก ได้แก่ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา
และศาสนาอ่ืน ๆ หลักทางวิชาการ ทฤษฎี ตัวเลข สถิติ ตัวอย่าง อุทาหรณ
์
อุปมาอุปไมย สุภาษิต คำประพันธ์ คติพจน์ สำนวน คำคม คำพังเพย เป็นต้น
เลอื กให้ดี และเหมาะสม โดยหาได้จาก...
๑. การอา่ น จากหนงั สอื หรอื ตำรา สงิ่ พมิ พท์ กุ ชนดิ ทเ่ี ขยี นขน้ึ โดยนกั ปราชญ
์
ด้านต่าง ๆ อาทิ หนังสือธรรมะที่เขียนโดยนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา
ที่มีชือ่ เสียง
๒. การฟัง ฟังจากการบรรยายทางวิชาการ บทความ การแสดงปาฐกถา
ทั้งทางสถานีวทิ ยแุ ละโทรทศั น์ หรอื แมแ้ ต่จากยทู ปู หรอื กูเกิ้ล
๓. การสังเกต หรือการต้ังคำถามว่า ใคร อะไร ท่ีไหน เม่ือไร ทำไมและ
อย่างไร
19
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
การจัดระเบียบความคิด เมื่อผู้เขียน ผู้พูด หรือผู้บรรยาย ได้วัตถุดิบหรือข้อมูล
ประกอบเร่ืองท่ีจะเขียนหรือพูดอย่างเพียงพอแล้ว อย่านำวัตถุดิบหรือข้อมูลทั้งหมด
มาพูดหรือบรรยาย แต่ควรนำมาเรียบเรียงเสียใหม่เป็นแนวความคิดของตนเอง
บทบรรยายธรรมน้นั ๆ กจ็ ะเปน็ บททีเ่ ป็นเอกลักษณ์ มคี ณุ ค่า โดยมีการจัดระเบียบ
ความคิดว่าจะนำเสนออะไรก่อนหรือหลัง เรียบเรียงถ้อยคำให้ถูกต้องตามอักขระวิธี
ตัดคำฟุ่มเฟือย รกรุงรัง ยืดยาดเย่ินเย้อออก คงไว้แต่ข้อความ หรือสาระท่ีจำเป็น
จนกระชบั กะทัดรดั และเหมาะสมกับเวลา
การทักท่ีประชุม เป็นส่ิงที่ผู้พูด หรือผู้บรรยายจะขาดเสียมิได้ เน่ืองจากเป็น
โครงสร้างการพูดและเป็นมารยาททางสังคม การประกวดบรรยายธรรมน้ัน
กำหนดการทักที่ประชุมไว้ ๓ ตำแหน่ง ห้ามทัก ๒ ตำแหน่ง จะถือว่าน้อยเกินไป
หา้ มทัก ๔ ตำแหน่ง จะถือว่ามากเกนิ ไป ตวั อยา่ งเชน่ นมสั การพระคุณเจ้าท่ีเคารพ
อย่างสูง ท่านคณะครอู าจารย์ และท่านผ้มู เี กียรตทิ ุกทา่ น
20
www.dra.go.th
การเขียนบทนำหรืออารัมภบท บทนำหรืออารัมภบทท่ีดี นับว่าเป็นด่านแรกที่
ทำใหเ้ กดิ ความสนใจหรือประทบั ใจ เกิดการชักจูงใจใหต้ ดิ ตามฟังในเนอ้ื เรอ่ื งท่จี ะพูด
หรือบรรยาย โดยอาจข้ึนต้นด้วยการพาดหัวข่าว การตั้งคำถาม การทำให้ผู้ฟัง
สงสัย การยกพทุ ธศาสนสุภาษิต อ้างบทกวีหรือวาทะของผูม้ ีชอ่ื เสยี ง หรอื การขึ้นตน้
ด้วยการทำให้ผู้ฟังสนุกสนาน ปลุกเร้าผู้ฟังให้ตื่นเต้น เกิดความอยากรู้อยากเห็น
และสนใจฟัง หากคิดไม่ออกว่าจะเขียนหรือจะพูดอะไร ควรกล่าวถึงความสำคัญ
ของเร่ืองท่ีกำลังพูดถึงนั้นให้สัมพันธ์กับประโยชน์ที่ผู้อ่านหรือผู้ฟังได้รับ แต่ทั้งนี
้
และท้ังนั้น ต้องรวบรัด ตรงประเด็น เร้าอารมณ์ และชวนให้ติดตาม ห้ามขึ้นต้น
ด้วยคำขนึ้ ต้นที่นิยมใช้กนั มากในปัจจบุ ัน คอื
21
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
“ก่อนอ่ืนผมรู้สึกเป็นเกียรติ............ผมได้รับมอบหมายให้มาพูด................”
เนื่องจากไม่สามารถกระตุ้น หรือเร้าใจผู้ฟัง นอกจากนี้ ห้ามขึ้นต้นด้วยการออกตัว
มวั ออ้ มค้อม ยอมถ่อมตน สาละวนขออภัย สวสั ดี เรยี น กราบเรียน ขอโทษ แนะนำ
ตนเอง และสถาบนั
การดำเนินเรื่อง การเขียน และการพูดที่ประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับการนำเสนอ
เนื้อหาสาระท่ีผสมผสานกลมกลืนเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ระหว่างความรู้สึกและ
เหตุผล สามารถถ่ายทอดความคิดจากผู้เขียนหรือผู้พูดไปยังผู้อ่านหรือผู้ฟัง ดังจะ
เห็นได้ว่าการเขียนหรือการพูดในเร่ืองเดียวกันน้ัน นักเขียนหรือนักพูดจะมีเทคนิค
ในการนำเสนอท่ีแตกต่างกันออกไป แต่โดยท่ัวไปแล้วจะมีหลักในการดำเนินเร่ือง
ดงั น
ี้
22
www.dra.go.th
๑. การกำหนดประเด็นการเขียน และการบรรยาย โดยกำหนดตามลำดับ
หัวข้อธรรมจากหัวข้อใหญ่ไปสู่หัวข้อเล็ก หรือลำดับเวลาจากอดีต ปัจจุบัน
และไปสอู่ นาคต อย่าวกวน กลบั ไปกลับมาจนจับต้นชนปลายไม่ถกู
๒. การอธิบายหัวข้อใหญ่ หรือทฤษฎี โดยการกำหนดความหมาย หรือให้
คำจำกัดความของเรื่องที่จะเขียน หรือบรรยายซ่ึงจะทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังทราบ
จดุ มุง่ หมายท่จี ะนำเสนอ
๓. เทคนิคหรือศิลปะ การอธิบายหัวข้อย่อย ถ้าเขียนหรือบรรยาย
แบบธรรมดาก็เป็นเพียงนักเขียนหรือนักพูดธรรมดา แต่ถ้ารู้จักการขยายความ
ให้ละเอียดลึกซ้ึงและกินใจ ควรมีการยกตัวอย่างเหตุการณ์ ด้วยคำคม คำสุภาษิต
คำอปุ มาอุปไมย อทุ าหรณ์ วาทะของผทู้ มี่ ีช่ือเสียง สถติ แิ ละอน่ื ๆ ประกอบ
๔. การเขียน หรือการพูดมีจุดมุ่งหมายอยู่ ณ ที่ใด ให้เน้นจุดน้ันเป็นหลัก
อย่าออกนอกประเด็นหรอื นอกเรื่องทต่ี ง้ั ไว
้
23
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.dailyenglish.in.th
๕. เม่ือมีตัวอย่าง เหตกุ ารณ์ คำคม คำพทุ ธศาสนสภุ าษิต คำอปุ มาอปุ ไมย
ประกอบการเขียน และการพูดมาก ๆ ก็อย่าลืมพร้อมที่จะตัดตอน หรือเพ่ิมเติม
ขยายความไดใ้ นกรณีที่จำเป็น วธิ ีการ คอื จดเฉพาะหัวขอ้ เพื่อช่วยความจำ
๖. ขณะเขยี น หรอื บรรยายจะตอ้ งรจู้ กั ใชค้ ำสรรพนาม ซง่ึ เปน็ คำทใี่ ชแ้ ทนนาม
เพื่อไม่ให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังซ้ำซากคำ หลีกเล่ียงการเขียน หรือการพูดทำนองอบรม
หรือสั่งสอนทงั้ ด้วยคำ และกิริยาอาการ
๗. ไม่เนน้ หลกั การ หรือทฤษฎขี องตนเองว่าดที ส่ี ดุ หรอื ถกู ท่สี ุด เปดิ โอกาส
ใหผ้ อู้ า่ นหรอื ผฟู้ งั ใชว้ จิ ารณญาณเองว่า ถูกตอ้ งหรอื ไม่
๘. ไมเ่ ขยี นหรอื พดู เชงิ บงั คบั หรอื สรา้ งมาตรการวา่ ตอ้ งอยา่ งนน้ั ตอ้ งอยา่ งน้ี
ไมค่ วรใชส้ ำนวน เชงิ ทา้ ทาย ให้ซักถาม หรอื ท้าพสิ ูจน
์
24
www.dra.go.th
๙. ควรเขยี น หรือพดู ดว้ ยข้อความประโยคสั้น ๆ เขา้ ใจง่าย ๆ หลีกเลีย่ งการ
ใชป้ ระโยคยาว ๆ เน้นหรือย้ำสาระสำคญั ให้เด่นชัด
๑๐. ถอ้ ยคำ หรือประโยคท่ใี ช้ ควรใหผ้ อู้ า่ นหรือผู้ฟังเกดิ ความรสู้ กึ นกึ คิดวา่
ดีหรือไม่ดี ควรปฏิบัติตามหรือไม่ หรือรู้จักการเน้น หรือการย้ำเสียง อย่ากระแทก
เสยี ง และควรแทรกอารมณ์ขัน อารมณเ์ ศรา้ ตามเนื้อเรอื่ งและตามจังหวะอันควร
ส่วนการเขียน หรือการพูดท่ีจะทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังประทับใจมีศรัทธา
เปน็ ทน่ี ยิ มชมชอบกข็ น้ึ อยกู่ บั ความเจนจดั หรอื เจนจบ รจู้ รงิ มคี ณุ ธรรม เปน็ ทยี่ อมรบั
มีความจริงใจ มีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองนั้น ๆ และท่ีสำคัญเขียนหรือพูดได้ตาม
ที่ทำ และทำไดต้ ามท่ีพูด
25
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
www.shutterstock.com
การสรุปจบ ซึ่งเป็นส่วนท้ายของการเขียน และการพูดที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่า
การข้ึนต้น เน่ืองจากเป็นจุดท่ีท่านผู้อ่านหรือผู้ฟัง จะมีความประทับใจและนำไปคิด
มวี ธิ ีการสรปุ จบดงั ตอ่ ไปนี้
๑. จบแบบสาระที่สำคัญ หรือสรุปความ เช่น เขียน หรือบรรยายเรื่อง
วธิ ที ำตนให้คนรัก สรุปแล้วได้ความว่า “ใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงจิตแจ่มใส ต้ังใจเจรจา
วาจาไพเราะ และชอบสงเคราะห์ชว่ ยเหลอื บคุ คลอื่น” เปน็ ตน้
๒. จบแบบฝากไปให้คิด เช่น คำว่า “.....เร่ืองนี้ท่านผู้ฟังมีความคิดเห็น
เปน็ ประการใดฝากไปคิดเป็นการบา้ นต่อไป....”
๓. จบแบบเปิดเผยตอนสำคัญในการเล่าเรื่อง หรือแนะนำประวัติบุคคล
นักเล่าท่ีดีจะต้องรู้เรื่องว่า อะไรท่ีน่าสนใจหรือสำคัญท่ีสุด เม่ือรู้หรือเข้าใจแล้วก็จะ
เปิดเผยส่ิงนั้นท้ายสุด เช่น การแนะนำประวัติวิทยากร จะเร่ิมต้นจากการศึกษา
การศึกษาพิเศษ ประสบการณ์ในการทำงาน เกียรติคุณท่ีได้รับ และหน้าท่ีการงาน
ในปจั จุบนั สุดท้ายจงึ เปดิ เผยชอ่ื ในภายหลงั
26
www.dra.go.th
www.สุขภาพใจ.com
www.สขุ ภาพใจ.com
www.kapook.com
๔. จบแบบสะกิดชักชวน และเรียกร้อง การจบเช่นนี้เป็นการจบเพื่อให
้
ผู้อ่านหรือผู้ฟังเห็นคล้อย และมีแนวโน้มว่าจะปฏิบัติตาม ไม่ใช่ชักชวนตรง ๆ แต่
เป็นการสะกิดชักชวนซ่ึงเป็นการชักชวนอย่างมีศิลปะ เช่น การสะกิดชักชวนในการ
จดั งานวนั เกดิ สรปุ จบดว้ ยคำทว่ี า่ “การพดู ของผมในวนั นี้ หวงั เพยี งเปน็ เครอื่ งเตอื นสต
ิ
อย่างพ่ีน้องว่า ต่อจากน้ีไปเราจะไม่จัดงานวันเกิดอย่างฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อเพ่ือ
ตัวเราเอง แตจ่ ะเปลย่ี นเปน็ การกลบั ไปกราบเทา้ คณุ พอ่ และคณุ แม่ ซง่ึ คณุ พอ่ และคณุ แม่
คือผู้มีพระคุณท่ีให้กำเนิดเรา เพื่อระลึกถึงพระคุณของท่าน เป็นการแสดงออกซ่ึง
ความกตญั ญกู ตเวทตี อ่ ทา่ น ใหท้ า่ นชน่ื ใจวา่ ลกู ของทา่ นยงั เปน็ ลกู ทดี่ ขี องทา่ นอยเู่ สมอ
เรามาประหยัดสิ่งท่ีฟุ่มเฟือยกันเถอะ แต่อย่าไปประหยัดการทำความดีต่อกัน”
๕. จบด้วยคำคม คำพังเพย และสุภาษิต ซึ่งการจบด้วยวิธีน้ี เป็นการจบที่
ทำให้เขา้ ถึงจิตใจของผ้อู ่านหรอื ผูฟ้ งั สร้างความซาบซง้ึ และตรงึ ใจได้
หลักในการสรุปจบมีอยู่ว่า มีความหมายชัดเจน ไม่เลื่อนลอย สัมพันธ์กับ
หวั ขอ้ และเน้อื เรอ่ื ง กะทดั รดั ไมเ่ ย่นิ เย้อ ระวงั อยา่ สรุปจบดว้ ยถ้อยคำ หรอื ขอ้ ความ
จดื ๆ ธรรมดา ไมค่ วรจบดว้ ยคำวา่ ขอจบ ขอยตุ ิ ไมม่ ากกน็ อ้ ย ขออภยั ขอโทษ และ
ขอบคณุ
27
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
ศิลปะการใช้สายตาและทา่ ทางประกอบการพดู
แท้ท่ีจริงแล้วการพูดไม่เพียงแต่เป็นการเปล่งถ้อยคำภาษาหรือเสียงออกมา
เท่าน้ัน ยังจะต้องประกอบด้วยบุคลิกภาพและลักษณะอื่น ๆ เช่น การยืน การนั่ง
ทา่ ทาง การขยบั ตวั การใชส้ ายตาและลกั ษณะทา่ ทางประกอบเขา้ กบั เนอ้ื เรอื่ งทจ่ี ะพดู
เหล่าน้ีถือเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ที่ประสบ
ความสำเรจ็ ทำใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจเรอื่ งราวทพี่ ดู ชดั เจนขนึ้ ดงึ ดดู ความสนใจของผฟู้ งั มากขน้ึ
และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างบุคลิกภาพของผู้พูดให้เด่นกว่าผู้อื่น การใช้สายตา
และท่าทางประกอบการพูดน้ีเรียกว่า “ภาษาร่างกาย” หรือ “ภาษาเงียบ” แต่
ไม่ได้หมายความว่า ผู้พดู ต้องออกมาแสดงท่าทางและใชส้ ายตาตลอดเวลาในการพดู
มากมายจนกลายเป็นหุ่นกระบอกหรืองิ้ว แต่ต้องพยายามใช้สายตาและท่าทางให้
เปน็ ธรรมชาตแิ ละเหมาะสมกบั เน้ือเร่ือง
บุคลิกลักษณะเป็นรูปธรรม โดยทั่วไปน้ันบุคลิกลักษณะเป็นกรรมพันธ์ุ
ส่วนใหญ่ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่แม้กระน้ันก็สามารถปรับปรุงให้มีพลังและ
มีเสน่ห์ขึ้นได้ เพราะบุคลิกถือเป็นปัจจัยท่ีสำคัญที่สุดสำหรับการพูดในที่ชุมชน
ทีท่ ำใหผ้ ฟู้ ังเกดิ ความประทบั ใจตั้งแตแ่ รกเหน็ ประกอบดว้ ย
๑. เคร่ืองแต่งกายและการแต่งกาย
เป็นสิ่งเสริมหรือบ่ันทอนบุคลิกลักษณะได้ หากมี
ความพิถีพิถัน ก็ทำให้ผู้พูดมีความเช่ือม่ันศรัทธา
ใ น ต น เ อ ง แ ล ะ รู้ สึ ก เ ค า ร พ ใ น ต น เ อ ง ม า ก ข้ึ น
ขณะเดียวกันก็เป็นการสื่อความหมายไปยังผู้ฟัง
สามารถทำใหผ้ ฟู้ งั วนิ จิ ฉยั ผพู้ ดู ไดว้ า่ เปน็ คนนา่ เชอ่ื ถอื
ศรัทธาหรือไม่เพียงใด ดังน้ัน นักพูดควรแต่งกาย
ให้เหมาะสมกับฐานะ เหมาะสมกับเวลา โอกาส
สถานที่ และเหมาะสมกับผู้ฟัง อย่าแต่งกาย
รุ่มร่าม ประเจิดประเจ้อ หรือแต่งกายจนกลาย
https://today.line.me
เปน็ การแสดงแฟชัน่
28
www.dra.go.th
๒. บุคลิกลักษณะควรจะผ่ึงผาย มีชีวิตชีวา ไม่เซ่ืองซึม ขณะเดียวกันก็ต้อง
ระวงั อยา่ ให้มีลักษณะหยง่ิ ยะโส
๓. ใบหนา้ ยม้ิ แย้มเบกิ บาน ดวงจติ แจม่ ใส ไมเ่ ครง่ เครยี ด ไมบ่ ้ึง ไม่ถมงึ ทึง
๔. ดวงตาหรือแววตาเป็นประกายแจ่มใส มองและสบตาผู้ฟังอย่างเป็น
กนั เอง
๕. การปรากฏตวั จะตอ้ งปรากฏตวั ดว้ ยความกระฉบั กระเฉง กระปก้ี ระเปรา่
กระตือรอื รน้ กระชมุ่ กระชวย ไม่อืดอาดยดื ยาด แตย่ ้มิ แย้มรา่ เรงิ
เทคนิคการใช้ไมโครโฟน ไมโครโฟนเป็น
ปจั จยั ทีถ่ ือวา่ สำคญั เปน็ อปุ กรณช์ ว่ ยขยายเสยี ง
ของนักพูดท่ีดังตามปกติให้ดังมากขึ้น โดยไม
่
ต้องตะโกน และได้ยินกันอย่างทั่วถึง ดังน้ัน
นักพูดจึงต้องรู้เทคนิคการใช้ไมโครโฟนช่วย
ขยายเสียงให้ได้ระดับความดังพอเหมาะกับ
จำนวนผฟู้ งั และสถานที่ ซงึ่ มเี ทคนคิ การใช้ ดงั น
้ี
https://th.pngtree.com
๑. ตรวจสอบลกั ษณะของไมโครโฟนวา่ เปน็ ชนดิ ไหน แบบขาตงั้ ยนื ไมคล์ อย
ไม่มีสาย ไมโครโฟนต้ังโต๊ะที่ต้ังบนแท่นยืน หรือ ต้ังบนโต๊ะในห้องประชุม
หรือไมโครโฟนขนาดเล็ก ๆ เหน็บติดท่ีปกเส้ือ (ไวร์เลส) และควรทำความเข้าใจ
และศึกษาวธิ ีการใชใ้ หด้
ี
๒. เม่ือยืนพูดบนแท่นยืน ต้องปรับไมโครโฟนให้พอดี มีระดับต่ำกว่าปาก
เลก็ นอ้ ยประมาณ ๘ - ๑๐ น้วิ หรอื ประมาณเท่ากบั ๑ - ๔ กำมอื อย่าใหบ้ งั ปาก
และติดปากเกินไป เนื่องจากเสียงพูดจะดัง “พับ ๆ” ทำให้เกิดความรำคาญ
๓. นักพูดไม่ควรใช้ไมโครโฟนตัวเดียวกันกับนักร้องและนักดนตรี เน่ืองจาก
บางที่ไมโครโฟนของนกั ร้องนักดนตรีเป็นชนดิ เสียงเอก็ โค สะทอ้ นก้องกงั วาน ทำให้
ฟังไมร่ ู้เร่อื ง
29
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
๔. ถ้าขาตั้งไมโครโฟนสงู หรือตำ่ เกนิ ไปกค็ วรปรบั ใหพ้ อดี กอ่ นทจี่ ะพดู
๕. ขณะพูดไม่ควรมองไมโครโฟน ควรใช้สายตามองผู้ฟังอย่างทั่วถึงและ
เปน็ ธรรมชาต
ิ
๖. การพูดทางไมโครโฟนไม่ควรตะโกนหรือใช้เสียงดังผิดปกติ ควรพูดด้วย
เสยี งดงั ตามปกติ ใหเ้ สียงดงั พอดกี บั สถานที่ และใหค้ นในสถานที่น้นั ๆ ไดย้ นิ อยา่ ง
ทั่วถึง
๗. เม่ือไมโครโฟนมีเสียงหอนหรือเสียงหวีด น่ันแสดงว่าไมโครโฟนอยู่ใกล้
และตรงกบั ลำโพง จะตอ้ งยกไมโครโฟนใหห้ า่ งจากลำโพง เสยี งหอนหรอื เสยี งหวดี จะ
หายไป
๘. อย่ายืนกำขาไมโครโฟน หรือกำไมโครโฟน เน่ืองจากบุคลิกลักษณะ
จะไมง่ ดงามเปน็ กริยาที่ไมน่ า่ ทำ
๙. ขณะพูดระวังอย่าหายใจแรง เน่ืองจากเสียงหายใจจะเข้าไปใน
ไมโครโฟน
๑๐. ขณะท่ีกำลังจะพูดจะต้องดวู า่ ไมโ่ ครโฟนเปิดหรือปิด
๑๑. นักพูดท่ีได้รับเชิญมาเป็นวิทยากรไม่ควรใช้ไมโครโฟนตัวเดียวกันกับ
พิธีกร เพราะพิธีกรจะต้องเป็นผู้ดูแลและจัดไมโครโฟนให้กับวิทยากรจนกว่า
วทิ ยากรจะลงจากเวทีไป
30
www.dra.go.th
การทักที่ประชุมหรือทักผู้ฟัง
มารยาทอย่างหน่ึงของนักพูดซ่ึงจะงดหรือขาดไม่ได้ นั่นก็คือการทัก
ที่ประชุมหรือการทักผู้ฟัง ถือเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม
ของไทย และเป็นผลทางจิตวิทยาที่ดีต่อผู้ฟังอีกด้วย นักพูดท่ีทักที่ประชุมหรือทัก
ผู้ฟังได้อย่างเหมาะสม ย่อมเป็นใบเบิกทางท่ีดีของการพูดในครั้งนั้น ๆ การทัก
ทป่ี ระชุมหรอื ทกั ผู้ฟัง แบ่งออกเปน็ ๓ แบบ คอื
๑. แบบทั่วไป เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การบรรยายธรรม การอภิปราย
การทอล์คโชว์ การโต้วาที และการพูดในโอกาสต่างๆ จะต้องทักท่ีประชุมหรือทัก
ผู้ฟังตามลำดับอาวุโส ซึ่งเรียงจากผู้อาวุโสสูงสุดลงมา จะทักผู้อาวุโสลำดับอ่ืนลงมา
สักกี่ท่านไม่มีข้อจำกัด แล้วแต่ความเหมาะสม แต่ที่นิยมทักที่ประชุมและทักผู้ฟัง
จำนวน ๓ ตำแหน่ง ถ้าหากว่ามีพระภิกษุอยู่ในท่ีประชุม จะต้องทักพระภิกษ
ุ
กอ่ นเสมอไม่มีขอ้ ยกเวน้ เชน่
“นมัสการพระคุณเจ้าท่ีเคารพอย่างสูง ท่านคณะกรรมการ และท่านผู้มี
เกียรตทิ ี่เคารพทกุ ทา่ น” หรอื
“ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านรัฐมนตรี (นาย...)
และทา่ นผู้มเี กยี รตทิ งั้ หลาย” “ทา่ นผวู้ า่ ราชการจังหวัด ทา่ นผู้พพิ ากษาหวั หนา้ ศาล
และทา่ นผูม้ เี กียรติทัง้ หลาย...” หรอื “ท่านพิธีกร ท่านวทิ ยากร และท่านผมู้ ีเกยี รติ
ท่เี ขา้ ร่วมการฝกึ พดู ทุกท่าน” เป็นต้น
https://www.dailyenglish.in.th
31
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
ในการประกวดสุนทรพจน์ หรือการประกวดบรรยายธรรม กรรมการจะมี
มติให้ทักท่ีประชุม ๓ ตำแหน่งเสมอ ถ้าทักที่ประชุมหรือทักผู้ฟัง ๔ ตำแหน่งขึ้นไป
จะถอื วา่ มากเกนิ ไป ถา้ ทกั ทปี่ ระชมุ หรอื ทกั ผฟู้ งั ๒ ตำแหนง่ ลงมา จะถอื วา่ นอ้ ยเกนิ ไป
ซ่งึ กเ็ ปน็ ทย่ี อมรับและเป็นสากลทัว่ ไป
เม่ือเป็นการพูดในที่ชุมชน เช่น การปราศรัย การปาฐกถา การบรรยาย
การอภปิ ราย ฯลฯ การแสดงคารวะวธิ อี น่ื ๆ เชน่ การไหว้ การกราบ การโคง้ คำนบั หรอื
การถอนสายบัว บนเวทีการพูดไม่ควรกระทำ เน่ืองจากว่า การแสดงคารวะเช่นน้ัน
ควรกระทำในโอกาสทพี่ บกันโดยทวั่ ไป ไมค่ วรทำบนเวที เพราะการท่ีบุคคลใดไดร้ บั
เชิญไปเป็นวิทยากรหรือพูดบนเวทีในโอกาสนั้น ๆ ถือว่า บุคคลน้ันเป็นผู้นำทาง
ความคดิ เป็นบุคคลทสี่ ำคญั ท่ีสดุ ขณะนั้น บุคคลอ่นื มหี นา้ ท่ใี นการฟังเทา่ นน้ั
มีข้อยกเว้น เมื่อมีการประกวดบรรยายธรรม ให้แสดงความเคารพบนเวที
คือ กราบเบญจางคประดิษฐ์ต่อหน้าโต๊ะหมู่บูชา แสดงความเคารพธงชาติ และ
ถวายคำนับหรือถอนสายบัวสำหรับผู้หญิงต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั
การทักท่ีประชุม ท่ีมีพระภิกษุให้กล่าวนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพอย่างสูง
แลว้ นอ้ มตวั ไหวพ้ ระภกิ ษุ สว่ นคณะกรรมการตดั สนิ ไมต่ อ้ งไหว้ (ถอื เปน็ ขนบธรรมเนยี ม
ประเพณีและวัฒนธรรมที่คณะกรรมการได้กำหนดข้ึนมา) การทักที่ประชุมหรือ
ทกั ผฟู้ งั มขี อ้ ปฏบิ ตั อิ ยวู่ า่ เมอ่ื ทกั ผใู้ ดใหเ้ บนหนา้ ไปยงั ผนู้ น้ั จนกระทงั่ สบสายตา หรอื
อยา่ งน้อยกต็ ้องมองใบหนา้ ผทู้ ่ีถกู ทกั อยา่ มองไปทีอ่ ่นื เน่อื งจากวา่ ถา้ ทกั แลว้ มองไป
ทอี่ ่นื จะทำใหผ้ ู้ฟงั เข้าใจว่า ผ้พู ูดไม่มคี วามจริงใจ ทำให้หมดศรทั ธาในการฟัง
32
www.dra.go.th
การพูดในที่ชมุ ชนท่มี ีเฉพาะชาวไทย ไมม่ ชี าวตา่ งประเทศ ไม่จำเป็นต้องทกั
ท่ีประชุมหรือทักผู้ฟังแบบฝร่ัง เช่น “ท่านสุภาพสตรี ท่านสุภาพบุรุษ และท่านผู้มี
เกียรติท้ังหลาย...” เน่ืองจากไม่ได้รับการยอมรับ ไม่เป็นท่ีนิยม สังคมไทยยอมรับ
นิยมและใหเ้ กยี รตผิ อู้ าวุโสมากกว่า ถ้อยคำทท่ี กั นิยมทักเฉย ๆ ไม่ตอ้ งมีคำว่า เรยี น
กราบเรยี น หรือสวสั ดี
๒. แบบเฉพาะ เป็นการกระทำกิจกรรมเฉพาะกิจ เฉพาะคร้ังคราว
เฉพาะขนบธรรมเนียมหรือค่านิยมของแต่ละท้องถ่ินเท่านั้น เช่น นักการเมืองกล่าว
คำปราศรัยเพ่ือหาเสียงเลือกตั้งกับประชาชน เป็นต้น ในกรณีเช่นน้ี นักการเมือง
อาจจะทักวา่ “สวสั ดี พ่นี อ้ งชาวกรงุ เทพมหานครที่รกั ทั้งหลาย” หรือ “สวัสดพี อ่ แม่
พ่ีน้องชาวนครศรีธรรมราชทั้งหลาย” หรือ “พี่น้องร่วมชาติและที่รักชาติท้ังหลาย”
ซง่ึ สุดแท้แต่ความนยิ ม หรือความเหมาะสมในแต่ละทอ้ งถน่ิ
๓. แบบเป็นพิธกี าร การทักที่ประชุมหรอื ทักผูฟ้ ังแบบพิธีการน้ี นิยมในการ
กล่าวรายงาน เช่น การกล่าวรายงานต่อประธานพิธีในการเปิดประชุมการสัมมนา
และการเสวนา หรือเมื่อได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีเปิดหรือปิดการประชุม
การสัมมนาและการเสวนา
คำแรกทใี่ ชท้ กั คอื คำวา่ “เรยี น” หรอื “กราบเรยี น” โดยคำวา่ กราบเรยี นจะใช
้
เฉพาะกบั ตำแหนง่ นายกรฐั มนตรี ประธานรฐั สภา ประธานศาลฎกี า ประธานวฒุ สิ ภา ฯลฯ
นอกนั้น ควรใชค้ ำว่า “เรยี น” กเ็ พียงพอแล้ว ปกตจิ ะทกั ๓ ตำแหน่งเรยี งตามลำดบั
อาวุโสจากสงู ไปต่ำเสมอ ถา้ จะทักผู้ฟงั ท้ังกลมุ่ กไ็ มต่ ้องมีคำวา่ “เรยี น” กไ็ ด
้
https://www.intrend.trueid.net
33
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
การกล่าวรายงานต่อประธานพิธีเปิดหรือปิดการประชุม การสัมมนา
และการเสวนา จะทักเฉพาะประธานในพิธีเท่าน้ัน เช่น “กราบเรียน ท่านนายก
รัฐมนตรี .. ที่เคารพอย่างย่ิง” ส่วนท่านประธานในพิธี เม่ือกล่าวเปิดหรือปิด
การประชุม การสัมมนา และการเสวนา จะทักที่ประชมุ เหมือนกนั เช่น “เรยี นทา่ น
รองอธิบดีกรมการศาสนา ท่านผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม
ท่านคณะกรรมการ และทา่ นผู้มเี กียรตทิ กุ ท่าน” เปน็ ตน้ ในการเป็นพิธีกร เม่อื ทักที่
ประชุมและทักผู้ฟังเสร็จแล้วอาจจะเกริ่นนำว่า การจัดงานคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์
อยา่ งไร จากน้นั กลา่ วเชิญประธานจัดงานกล่าวรายงาน ดงั นี้
“บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอเรียนเชิญท่านผู้อำนวยการสำนักพัฒนา
คณุ ธรรมจริยธรรม ในฐานะผจู้ ัดงานการประชุมสัมมนา กล่าวรายงานต่อทา่ นอธบิ ดี
กรมการศาสนา ซ่ึงให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาในวันน
ี้
ขอเรยี นเชญิ ครบั ”
34
www.dra.go.th
ศิลปะในการใช้สายตา การสื่อความหมายทางสายตา เป็นการสื่อความรู้สึกทาง
จิตใจ นักพูดเม่ือใช้สื่อทางสายตาได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว นอกจากจะเข้าถึง
จิตใจของผู้ฟัง ยังสามารถสร้างบรรยากาศหรือควบคุมบรรยากาศในการพูด
และในห้องประชุมให้อยู่ในความสนใจของผู้ฟังได้ตลอดเวลาอีกด้วย นักพูด
ทั้งหลายต่างกม็ คี วามเห็นตรงกนั วา่
“สายตาเปน็ เครื่องสอ่ื สารความคดิ ที่สำคญั ท่ีสุดอย่างหนึง่ ของมนุษย
์
เมือ่ ใดกต็ ามท่ผี ้พู ูดหลบสายตาไปจากผฟู้ ัง ก็เทา่ กับวา่
ไดโ้ ยนเครอ่ื งมอื ส่อื สารทีส่ ำคญั ท่สี ดุ ทง้ิ ไปเสยี แลว้ อยา่ งนา่ เสยี ดาย”
การพูดด้วยการส่ือความหมายทางสายตาอย่างมีประสิทธิภาพ คือ มองไป
ยังผู้ฟังแต่ละคนแต่ละกลุ่มอย่างท่ัวถึง เป็นวิธีการเดียวท่ีจะทำให้ผู้ฟังสนใจฟัง
ขณะพดู จงมองไปทผ่ี ฟู้ งั เทา่ นนั้ อยา่ มองไปทอี่ นื่ เมอ่ื มผี ฟู้ งั จำนวนนอ้ ย จงมองใหค้ รบ
ทุกคน เมื่อมีผู้ฟังจำนวนมาก จงมองเป็นกลุ่ม ๆ ทำให้เหมือนกับว่ากำลังพูด
กบั ทา่ นเหลา่ นนั้ การใชส้ ายตามองผฟู้ งั จำนวนมากจงมองผฟู้ งั รวม ๆ กอ่ น จดุ ทดี่ ที ส่ี ดุ
ให้มองไปที่ผู้ฟังที่จุดก่ึงกลางของแถวหลังสุด จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ากำลังมองผู้ฟัง
ทง้ั หอ้ ง หลงั จากนนั้ จงเปลย่ี นจดุ มองผฟู้ งั ไปทว่ั ๆ อยา่ หลบตาขน้ึ สงู หรอื ตำ่ ลงเกนิ ไป
อย่ามองตามสูตร คอื มองจากซ้ายไปขวา หรอื สา่ ยไปส่ายมา อย่าสวมแว่นตาดำหรอื
แว่นตาสีเขม้ เกนิ ไป สิง่ ทต่ี อ้ งระวังในการใช้สายตาและทา่ ทาง คอื พงึ ระวงั กริ ยิ าท่ีไม่
เหมาะสม เช่น การเลียริมฝีปาก การยักค้ิวหล่ิวตา การล้วงแคะแกะเกาะ ฯลฯ
เป็นต้น
“จงฝกึ ศิลปะการใช้สายตาให้เหมาะสมและเปน็ ธรรมชาติ จะทำใหก้ ารพูด
มีความหมายเปน็ รปู ธรรม เข้าถงึ จติ ใจผฟู้ งั ไดต้ ลอดเวลาท่ีรบั ฟังการบรรยาย”
35
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
ศิลปะการใช้ท่าทาง ศิลปะการใช้ท่าทาง
ประกอบการพูด ได้แก่ การยืน การน่ัง
การเคลื่อนไหวลำตัว ศีรษะ การเดิน การใช้มือ
และการใช้อุปกรณ์ประกอบการพูด มีหลักการ
ดังนคี้ ือ
๑. การยืน นับเป็นท่าทางมาตรฐานของ
การพูด หากท่าการยืนมีสง่าจะทำให้การ
แสดงออกอน่ื ๆ ดดี ว้ ย แตห่ ากทา่ การยนื ไมเ่ หมาะสม
จะทำให้การพูดการบรรยายไม่ประสบความ
สำเร็จ ตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม อาทิ การยืนแบบ
https://th.depositphotos.com
“คนข้ียา” คือยืนด้วยท่าทางเซ่ืองซึม การยืน
แบบ “ชงิ หาหลกั ” คอื การยนื ทม่ี กั จบั เกาะ ทา้ วโอบ หรอื โหนแทน่ พดู เกาะ หรอื ลบู
ขยับขาไมโครโฟน การยืนแบบ “ไม้ปัก...” คือยืนที่แข็งทื่อเกินไปจนเกร็งไปท้ังตัว
การยืนแบบ “ชะมดติดจ่ัน” คือการเดินพล่านไปพล่านมาอย่างไม่มีความจำเป็น
การยนื แบบ “กงั หนั ตอ้ งลม” คอื การยนื ทโ่ี คลงตวั เอวออ่ น สา่ ยไปสา่ ยมา การยนื แบบ
“ชมท้องฟ้า” คือการยืนแหงนคอ มองเพดานไม่มองผู้ฟัง การยืนแบบ
“ท้าชกมวย” คือ การยืนเอียงข้างใดข้างหน่ึงเข้าหาไมโครโฟน หรือยืนหันข้างให้
ผฟู้ งั และไมม่ องผฟู้ งั การยนื แบบ “ชว่ ยรถตดิ หลม่ ” คอื การยนื หลงั งอ ๆ เหมอื นกำลงั
เข็นรถที่ติดหล่ม และการยืนแบบ “ก้ม ๆ เงย ๆ” คือ การยืนในลักษณะคออ่อน
เงยหน้าข้ึนลงสลับกันไปมา การยืนเหล่านี้ ล้วนทำให้การพูดการบรรยายไม่ประสบ
ความสำเร็จ ทา่ การยนื ที่ถูกตอ้ งและเหมาะสมท่ีสดุ คอื ยืนให้เท้าทั้ง ๒ ขา้ งแยกหา่ ง
กันพอควร ทิ้งน้ำหนักลงบนเท้าทั้ง ๒ ข้าง อย่าให้น้ำหนักตัวอยู่บนเท้าด้านใด
ดา้ นหนงึ่ หา้ มท้าวโต๊ะ ลว้ ง แคะ แกะ เกา ใด ๆ ทั้งส้นิ
36
www.dra.go.th
๒. การนั่ง ควรนั่งตัวตรงไม่งอตัวหรือเอนตัวไปข้างหลังมากเกินไป น่ังให้
ตรงส่วนกลางของเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ ไม่ควรนั่งมุมหรือเพียงส่วนหนึ่งของเก้าอ้ี ไม่ควร
น่ังโยกเก้าอ้ี หรือน่ังในลักษณะเอาหลังแทนก้น ทำให้ดูไม่สวยงามและไม่สุภาพ
ควรวางมอื บนโตะ๊ อยา่ งสบาย ๆ ในท่าธรรมดาและเป็นธรรมชาต
ิ
๓. การพูดขณะยืน ผู้พูดสามารถที่จะเคลื่อนไหวลำตัว หันซ้ายหันขวาได้
ท้ังน้ี ต้องเหมาะสมกับเนื้อเร่ืองท่ีบรรยายหรือพูด ไม่ควรแสดงออกมากเกินไป
เพราะจะกลายเปน็ นักแสดงมากกวา่ นักพดู
๔. ศีรษะ ส่ิงท่ีนักพูดไม่ควรทำเป็นอย่างย่ิง ก็คือการพูดไปส่ายศีรษะ
ผงกศีรษะ หรือพยักหน้าควบคู่กันไป เน่ืองจากจะทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญได้
ดงั นนั้ ควรเป็นกิริยาที่แสดงออกโดยธรรมชาติไมท่ ำซำ้ ไปซำ้ มาโดยไมจ่ ำเปน็
๕. การเดิน ควรพิจารณาว่าพูดหรือบรรยายเพื่อสื่อให้ผู้ฟังรับรู้เรื่องอะไร
เช่น กรณีที่พูดหรือบรรยายงานวิชาการหรืองานที่เป็นทางการโดยยืนพูดท่ีแท่น
สำหรับพูด ไม่ควรเดินไปพูดไปมาตลอดเวลา เพราะผู้ฟังอาจเกิดความรำคาญ และ
ไม่ควรเดินหันหลังให้กับผู้ฟัง แต่ในกรณีที่มีความจำเป็น คือ การใช้อุปกรณ์
ประกอบการพูด เช่น แผนท่ี รูปภาพและอุปกรณ์อ่ืน ๆ ผู้พูดอาจเดินไปพูดไปได้
แต่ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติ และสำหรับทอล์คโชว์ถือเป็นกรณีท่ีต้องเดินไปพูดไป
เพอื่ สรา้ งความสนทิ สนมคนุ้ เคย สรา้ งความ
เปน็ กนั เองเพอ่ื ดงึ ดดู ความสนใจของผฟู้ งั นน้ั
การเดินไปพูดไปต้องมีการใช้ท่าทาง
ประกอบการพูดท่ีเหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่
น ำ เ ส น อ ก็ จ ะ ท ำ ใ ห้ ผู้ ฟั ง เ กิ ด ค ว า ม
สนุกสนาน และมีอารมณร์ ่วมอย่างไดผ้ ลดี
ควรระลึกไว้เสมอว่าถ้าจะใช้การเดิน
ประกอบการพูดควรใช้อย่างมีศิลปะและ
เทคนคิ ประกอบการพดู
https://th.depositphotos.com
37
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.dreamstime.com
๖. การใชม้ ือ ควรใช้มอื แสดงท่าทางประกอบการพดู พอดีพอควร ดังนี
้
๖.๑ การบอกจำนวน น้ิวมือนับจำนวนเป็นรูปธรรม เมื่อนำมาแสดง
ท่าทางประกอบการพูด จะทำให้ผู้ฟังมองเห็นชัดเจนและเข้าใจได้ชัดแจ้ง และที่
สำคัญเป็นประโยชน์ในการเตือนความจำของผู้พูดเอง ศิลปะการใช้น้ิวมือนั้น คำว่า
๑ หรอื ที่ ๑ ใหใ้ ชน้ ว้ิ ชี้ คำวา่ ๒ หรอื ที่ ๒ ใหใ้ ชน้ ว้ิ ชแ้ี ละนว้ิ กลาง คำวา่ ๓ หรอื ที่ ๓
ใหใ้ ชน้ วิ้ ชี้ นว้ิ กลางและนวิ้ นาง คำวา่ ๔ หรอื ท่ี ๔ ใหใ้ ชน้ ว้ิ ชี้ นว้ิ กลาง นว้ิ นางและนวิ้ กอ้ ย
ส่วนคำว่า ๕ หรือท่ี ๕ ให้ใช้มือทั้งห้าน้ิวหรือฝ่ามือ เม่ือถึงลำดับท่ี ๖ ให้เร่ิมต้นท
ี่
นว้ิ ช้ีใหม่ ลำดับท่ี ๗ ๘ ๙ ก็เรียงไปตามลำดับ โดยใชม้ ือด้านเดยี วกนั ไม่จำเป็นต้อง
ใชม้ อื ทง้ั ๒ ขา้ งมาประกอบกนั เนอ่ื งจากทำใหด้ ยู งุ่ เหยงิ ผฟู้ งั อาจตลกขบขนั มากกวา่
เกิดความสนใจ ขอ้ ควรระวงั อกี อยา่ งหนงึ่ คือ ตอ้ งชนู ว้ิ มือให้เห็นชดั ๆ กางนวิ้ แยก
ออกจากกันโดยชดั เจนไม่ควรให้สูงเลยศรี ษะ
๖.๒ การบอกขนาด เล็กใหญ่ สูงต่ำ ส้ันยาว อาจต้องใช้มือประกอบ
การบรรยายจะทำให้ผู้ฟังเห็นเป็นรูปธรรม เช่น “เล็กเท่าปลายนิ้วก้อย”
“ใหญ่ขนาดชา้ ง ๔ ตัว” เปน็ ตน้
38
www.dra.go.th
๖.๓ การบอกรูปร่าง เม่ือพูดถึงรูปร่างของบุคคล สัตว์ สิ่งของ ผู้พูด
สามารถใช้มือแสดงท่าทางประกอบการพูดได้ จะทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ เช่น
ลักษณะกลม อ้วน ผอม เปน็ ตน้
๖.๔ การบอกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นทางขวา ทางซ้าย ทิศตะวันออก
ตะวนั ตก เหนอื และใต้ ถ้าใช้ มอื แสดงประกอบการพูด จะทำใหผ้ ฟู้ งั เข้าใจมากขึน้
เช่น “ขอเชิญผู้ชายที่กลัวภรรยาและตกอยู่ในอำนาจของภรรยามาน่ังด้านขวา
ส่วนผู้ชายท่ีไม่กลัวภรรยาและไม่ตกอยู่ในอำนาจของภรรยามานั่งด้านซ้าย”
“ท่านผู้ฟังท่ีนั่งอยู่ด้านหลังขอเชิญมานั่งข้างหน้า ท่านที่น่ังอยู่ข้างหน้า ขอเชิญข้ึน
บนเวที” เปน็ ตน้
ข้อควรระวัง อย่าใช้นิ้วชี้ช้ีหน้าผู้ฟัง ถ้าจำเป็นจะต้องใช้น้ิวชี้ควรยกน้ิวช้ีให้
สูงกว่าระดับหน้า หรือระดับสายตา หรือจะใช้วิธีผายมือไปยังบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
จะมองดูสุภาพและให้เกยี รติผ้ฟู งั มากกวา่
https://www.patrickjames.com.au
39
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
๖.๕ การใชอ้ ปุ กรณ์ประกอบการพูด ปัจจุบนั นักพูดหรอื วิทยากร มักจะ
ใช้อุปกรณ์การพูดที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นเพาเวอร์พอยท์ โอเวอร์เฮด เครื่องฉาย
สไลด์ หนังส้ันต่าง ๆ ประกอบการพูด เนื่องจากทำให้ประหยัดเวลา แรงงาน
และดงึ ความสนใจของผู้ฟัง
ดงั นน้ั จงึ ควรศกึ ษาวธิ กี ารและเทคนคิ การใชใ้ หช้ ำนาญรวมทง้ั ควรตรวจสอบ
ใหอ้ ยใู่ นสภาพดี ภาพชดั เจน เสยี งดงั พอใหผ้ ฟู้ งั สามารถมองเหน็ และไดย้ นิ อยา่ งทวั่ ถงึ
ในกรณที ่ีใชส้ ือ่ อุปกรณ์ อาทิ รปู ภาพ หรือแผนภมู ิ ต่าง ๆ การชี้หรือยกใหด้ ูไม่ควร
บังหน้าผูพ้ ูดหรอื วทิ ยากร และอย่าหนั หลังใหผ้ ูฟ้ งั
https://www.btop.web.id
40
www.dra.go.th
หลกั เกณฑ์ของคณะกรรมการตดั สนิ และวจิ ารณก์ ารประกวดตา่ ง ๆ
กรรมการตัดสินการพูดหรือการบรรยายต่าง ๆ พึงควรมีหลักเกณฑ์ในการ
ประกอบการพิจารณา ดงั นี้
๑. เนอื้ เรอื่ งกบั การใชส้ ายตาและทา่ ทางประกอบการพดู เหมาะสมกนั หรอื ไม
่
๒. การใช้สายตาทั่วถึงบคุ คล กลมุ่ คน ในหอ้ งประชุมหรอื พืน้ ท่ีนน้ั ๆ หรอื ไม่
๓. การใช้ท่าทางประกอบการพูดสอดคลอ้ งกนั หรือขัดแย้งกันหรอื ไม่
๔. สายตาและทา่ ทางเปน็ ธรรมชาตหิ รอื วา่ แขง็ กระดา้ ง แสดงออกไดเ้ สมอตน้
เสมอปลายหรอื ไม่
๕. สายตาและทา่ ทางแสดงซำ้ ๆ น่าเบ่ือหนา่ ยหรือไม่ หรือผู้ฟงั ฟังแล้วเกดิ
ความเขา้ ใจและเหน็ คลอ้ ยตามหรือไม
่
๖. กรณีการใช้อุปกรณ์ประกอบการพูดทำได้ดีเหมาะสมหรือไม่เพียงไร
มกี ารเตรียมความพรอ้ มและศกึ ษาอุปกรณ์ทนี่ ำมาใชไ้ ดด้ หี รือไมอ่ ย่างไร
๗. กรรมการควรให้ข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ แนวทางการแก้ไขควบคู่กับ
การวจิ ารณ์ หรอื การตดั สนิ อนั จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม ควรใหก้ ำลงั ใจแกผ่ พู้ ดู เสมอ
41
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
ศลิ ปะการใช้นำ้ เสียงหรอื สำเนยี งประกอบการพดู
นกั พดู ทีด่ ีไมจ่ ำเปน็ ต้องมีเสียงหวานกอ้ งกงั วาน สดใสเหมอื นกบั เสียงนักรอ้ ง
หากแต่เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากความรู้สึกที่จริงใจ เต็มไปด้วยพลังมีชีวิตชีวา
และมีความสามารถที่จะตรึงผู้ฟังเอาไว้ได้ นักพูดท่ีดีจะต้องเรียนรู้ หรือศึกษา
ข้อบกพรอ่ งของการใชเ้ สยี งโดยทว่ั ไป รจู้ กั การใชเ้ สยี งทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสมกบั เรอื่ งทตี่ นพูด
อย่างกลมกลืนและมีชีวิตชีวา นักพูดควรฝึกการออกเสียงซ่ึงอาจจะมีเสียง ส้ันยาว
หนักเบา สูงตำ่ รัว ดุเดือด ตน่ื เตน้ เร้าใจ เศร้าโศก เสยี ใจ ฯลฯ เพือ่ เป็นการตรงึ ใจ
ให้ผูฟ้ งั สนใจในเร่ืองท่ีพดู
การฝึกใช้น้ำเสียง มิใช่เป็นการ
ฝึ ก ใ ห้ เ ลี ย น เ สี ย ง ห รื อ ดั ด เ สี ย ง เ ป็ น
นักพากย์ภาพยนตร์หรือละคร แต่เป็น
การรจู้ กั ใชเ้ สยี งประกอบเรอ่ื งดว้ ยความ
รู้สึกท่ีเป็นธรรมชาติ และมีชีวิตชีวา
จับใจผู้ฟัง มีนักพูดจำนวนมากแม้จะ
ได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะการพูด
มาแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
นั่นอาจเป็นเพราะขาดศิลปะในการใช้
น้ำเสยี งประกอบการพูดหรือบรรยาย
42
www.dra.go.th
ขอ้ พกพร่องของการใชน้ ้ำเสียงโดยทวั่ ไป มีดงั น
้ี
๑. เสยี งอยใู่ นลำคอหรอื เบาเกินไป
๒. ใช้จังหวะการพดู เหมอื นกับการอ่าน การท่องจำหนังสอื
๓. ใชจ้ ังหวะการพดู เหมอื นกบั การพดู คยุ กนั ธรรมดา
๔. ใชจ้ งั หวะการพูดชา้ เกนิ ไป หรอื เร็วเกนิ ไป
๕. พูดติดขดั อกึ อกั เออ่ อา่ เออ้ อา้ น่ารำคาญ
๖. พดู ราบเรียบระดับเดียวกนั ต้งั แต่เรม่ิ ต้นจนจบ
๗. ออกเสยี งคำวา่ ก็ คะ่ ครับ นะคะ นะครับ ทุกวรรค หรือทกุ ประโยค
ทำใหผ้ ู้ฟังรสู้ ึกเบอื่ หน่าย
๘. ออกเสียงบคุ คลทมี่ ตี ำแหนง่ ทางวชิ าการ เชน่ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์
บุคคลทมี่ ีคณุ วฒุ ิ ยศบรรดาศักดิ์ ฐานันดรศกั ด์ิ และสมณศักด์ิ ไม่ถูกต้อง
การใช้น้ำเสียงหรือสำเนียงที่ดีประกอบการพูด นักพูดท่ีดีจะต้องเรียนรู้หรือ
ศกึ ษาใหม้ คี วามเขา้ ใจ ทง้ั การใชพ้ น้ื เสยี ง การใชน้ ำ้ เสยี ง และการใชเ้ สยี งในการออกเสยี ง
มีหลักการว่า ควรใช้เสียงหรือสำเนียงท่ีเหมาะสมกับเร่ืองที่จะพูด อย่างไรก็ดี
นกั พูดควรมนี ้ำเสียงรืน่ หอู อ่ นโยน ฟงั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เปน็ ธรรมชาติมชี วี ติ ชีวา และมี
พลังดึงดดู ใหผ้ ู้ฟงั สนใจและตรึงใจอยู่ตลอดเวลา
43
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
การกำหนดให้ภาษากลางเป็นภาษามาตรฐาน ประเทศไทยเราประกอบข้ึนมาจาก
หลากหลายชาติพนั ธุ์ แบง่ เป็นภาคตา่ ง ๆ ประกอบด้วย ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก
ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ซ่ึงต่างมีภาษาเป็นเอกลักษณ์
ที่ชัดเจนแตกตา่ งกันไป ดังนน้ั จึงกำหนดใหน้ ำ้ เสียงหรือสำเนยี งพี่น้องชาวภาคกลาง
โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครนั้น เป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารโดยท่ัวไป
เพราะการกำหนดให้ภาษากลางเป็นภาษามาตรฐานจะช่วยให้เกิดการสื่อสาร
ที่ถูกต้องและเข้าใจตรงกัน การประกวดต่าง ๆ อาทิ การประกวดบรรยายธรรม
การปาฐกถา การอภิปราย การโต้วาที เป็นต้น ผู้ประกวดจะต้องออกเสียง
ตามมาตรฐานภาษากลาง เว้นแต่เม่ืออยู่ในสมาคมหรือสังคมที่เป็นบุคคล
ภาคเดยี วกนั นกั พูดทั้งหลายควรใชน้ ำ้ เสียงหรือสำเนียงเป็นภาษาท้องถิ่น เน่ืองจาก
เป็นการแสดงความเป็นกันเอง แสดงความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน แต่เม่ืออยู่ใน
สมาคมหรือสังคมที่เป็นบุคคลจากหลายภูมิภาค นักพูดทั้งหลายควรใช้น้ำเสียง
หรือสำเนียงเป็นภาคกลางหรือภาษามาตรฐาน เน่ืองจากเม่ือสื่อสารออกไปจะทำให้
ทุกคนรับรู้และเข้าใจตรงกันนั่นเอง ส่ิงสำคัญ คือ นักพูดท่ีดีควรใช้น้ำเสียงหรือ
สำเนียงให้ชดั เจนตามแบบมาตรฐาน เป็นธรรมชาตแิ ละมีชีวติ ชวี า
44
www.dra.go.th
https://www.kompasian.com
ศลิ ปะการปรบั ปรงุ การใช้น้ำเสียงหรือสำเนยี ง นักพูดควรตระหนักอยู่เสมอว่า
ธรรมชาติท่ีมีมาแต่เดิมของน้ำเสียงและสำเนียงของแต่ละคนน้ัน ไม่สามารถ
จะเปล่ียนแปลงได้ แต่บุคลิกของน้ำเสียงและสำเนียงของแต่ละคนสามารถปรับปรุง
ไดโ้ ดยผ่านการฝึกฝน ดงั นี้
๑. อย่าพูดเหมือนอ่าน หรือท่องจำหนังสือ หรือเสียงพูดคุยกัน เพราะจะ
ทำให้การพูดกระด้างแข็ง ไม่มีจังหวะจะโคน ขาดชีวิตชีวา อาจทำให้ติดขัดลืมเร่ือง
ท่ีเตรียมมา การพูดเสียขบวน พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้ผู้ฟังจับได้ว่าท่องจำมาพูด
ซึ่งแก้ไขได้โดยการพลิกแพลงหรือดัดแปลงประโยคท่ีผิดให้เป็นประโยคที่ถูก หรือไม่
ก็ข้ามไปเลย ส่วนการใช้น้ำเสียง หรือสำเนียงเหมือนกับการพูดคุยนั้นจะทำให้เสียง
ไม่หนักแน่น กลายเปน็ เสยี งอ่อนเสียงหวาน และเสียงค่อยอยู่ในลำคอกม็
ี
๒. ต้องออกเสียงให้ดังชัดเจนทุกถ้อยคำอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการแสดง
ถึงความเช่ือม่ันของตัวผู้พูด สิ่งท่ีควรระวัง คืออย่าให้ดังเกินไปแบบตะโกน ควรดัง
พอเหมาะสมที่ผู้ฟังจะได้ยินโดยท่ัวถึง ถ้ามีเคร่ืองขยายช่วยก็ต้องสังเกตว่า ระดับใด
ท่ีเสียงดังพอดีไม่ดังเกินไป เบาเกินไป หรืออู้อ้ีเกินไป ดังนั้น จึงควรเตรียมตัว
เตรียมเรื่องราวให้พร้อม คำนึงเสมอว่าแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติซ่ึงต้องผ่านการ
ฝกึ ฝนพอสมควร
45
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
๓. ออกเสยี งถกู ตอ้ งตามจงั หวะ หมายถงึ หยดุ ในทคี่ วรหยดุ เนน้ ในทค่ี วรเนน้
และย้ำในท่ีควรย้ำ จะช่วยให้การพูดเข้าใจง่าย ดึงดูดความสนใจ ไม่ควรพูดเร็ว
หรือช้าเกินไป พูดให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง ไม่พูดรัวหรือลัดคำ เช่น โรงพยาบาล
เป็นโรงบาล มหาวิทยาลัยเป็นมหาลัย ดิฉันเป็นเด๊ียน ควรฝึกพูดให้ถูกต้อง
ตามจังหวะวรรคตอนและความหมายท่ีจะส่ือสาร เช่น พิธีกรเชิญท่านผู้มีเกียรติ
หยดุ พกั หลงั จากพธิ เี ปดิ งาน “ขอเชญิ ทา่ นผมู้ เี กยี รตหิ ยดุ พกั เพอ่ื รบั ประทานอาหารวา่ ง
ด่ืมน้ำ ปัสสาวะ” อย่าพูดโดยไม่หยุดหรือแบ่งวรรคตอนผิดว่า “ขอเชิญท่าน
ผู้มีเกียรติหยุดพักเพื่อรับประทานอาหารว่างด่ืมน้ำปัสสาวะ” ซ่ึงความหมาย
จะเปล่ียนไป อาจทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าพิธีกรพูดจาไม่เหมาะสมไม่ถูกกาละเทศะ
โดยเฉพาะในงานพิธีการสำคัญ ๆ
๔. การออกเสียงอย่าให้มี เอ่อ อ่า และเอ้อ อ้า ระหว่างถ้อยคำ นอกจาก
จะไมเ่ กดิ ประโยชนแ์ ลว้ ยงั ทำใหผ้ ฟู้ งั เกดิ ความรำคาญ และรสู้ กึ วา่ ผพู้ ดู ไมม่ คี วามพรอ้ ม
ที่พูดหรือบรรยาย และบางครั้งอาจทำให้ความหมายท่ีจะสื่อสารออกไปผิดเพ้ียน
จากเดมิ
46
www.dra.go.th
๕. การออกเสียงให้เป็นธรรมชาติ แสดงถึงความจริงใจ จริงจัง สามารถ
สื่อสารส่ิงที่ตนจะสื่อออกมาอย่างเข้าใจ จงเตือนตนเสมอว่า “อย่าพูดจนกว่าจะมี
ความเข้าใจเรอ่ื งท่พี ดู และอยา่ พูดจนกว่าจะมคี วามเชอื่ ม่นั และความรู้สึกตามเรือ่ งที่
พูดอย่างถ่องแท้” การพูดด้วยความจริงใจด้วยเสียงธรรมชาตินี้ จะแสดงออกมา
ในลักษณะของเสียงสูง ต่ำ หนัก เบา ไม่ใช่เสียงราบเรียบเป็นระดับเดียวกันตลอด
แต่มีลักษณะน่าฟังคล้ายเสียงดนตรีที่มีระดับเสียง การออกสียงให้ถูกต้องตามหลัก
วรรณยุกต์ซ่ึงของไทยเรามี ๔ รูป ๕ เสียง คือ สามัญ เอก โท ตรี และจัตวา นั้น
นอกจากจะทำให้เกิดความไพเราะน่าฟังแล้ว ยังแสดงถึงการให้เกียรติผู้ฟัง
เพราะนกั พดู ทอี่ อกเสยี งวรรณยกุ ตผ์ ดิ พลาด เชน่ ดฉิ นั เพย้ี นเปน็ เดยี๊ น บา้ นเปน็ บา๊ น
ค่ะเพี้ยนเป็นคะ เธอเพ้ียนเป็นเซอ เป็นต้น ผู้ฟังจะรู้สึกว่าขาดความจริงใจในการ
สอ่ื สาร
๖. การออกเสยี งตอ้ งเหมาะกบั เพศและเหมาะกบั หนา้ ทกี่ ารงาน เพราะธรรมชาติ
ให้ความเหมาะสมของเสียงท้ังชายและหญิง ชายจะมีลักษณะของพื้นเสียงใหญ่
ห้าวและทุ้ม หญิงจะมีลักษณะของพ้ืนเสียง เล็ก แหลม (อาจมีข้อยกเว้นบ้าง
สำหรับหญิงและชายบางคน) ดังนั้น การใช้เสียงไม่ควรให้ผิดเพศ เพราะจะ
ทำให้เสียบุคลิก ผู้ฟังขาดความเชื่อถือศรัทธา สำหรับผู้มีตำแหน่ง เช่น
นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี อธิบดี หรือบุคคลสำคัญ ต้องฝึกฝนการออกเสียง
ให้ดัง ทุ้มกังวาน และหนักแน่น จะทำให้ดูน่าเกรงขามเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าท
่ี
ทีร่ ับผิดชอบ
47
หลักวาทศิลป์และแนวทางการฝึกบรรยายธรรม
โครงการประกวดบรรยายธรรม ของกรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม
หลกั เกณฑข์ องคณะกรรมการตดั สินและวิจารณ์การประกวดต่าง ๆ
๑. นำ้ เสียงผพู้ ูดเหมาะสมกับสถานการณ์หรือเนอื้ เรือ่ ง หรอื ไม
่
๒. การพูดนั้นเสียงดังชัดเจน ขาดคำ ขาดความหมาย หรอื ไม่ มีคำว่า เออ่
อ่า หรือ เอ้อ อา้ ระหวา่ งคำหรอื ประโยคหรือไม
่
๓. การใช้น้ำเสียงเป็นความรู้สึกที่แท้จริงเกิดจากความจริงใจ จริงจัง
เปน็ ธรรมชาตหิ รอื ไม
่
๔. การเนน้ เสยี งมจี งั หวะของเสยี ง สงู ตำ่ สน้ั ยาว หนกั เบา กอ้ ง หรอื ไมก่ อ้ ง
หรอื ไม่ จงั หวะและท่วงทำนองถกู ตอ้ งหรือไม่
๕. บุคลิกของเสยี งมีข้อเดน่ คอื อะไร จดุ บกพร่องทคี่ วรแกไ้ ขมีบา้ งไหม
๖. ผู้ฟังฟังแล้วเกิดอารมณ์คล้อยตาม หรือว่ามีอารมณ์ตรงกันข้ามกับผู้พูด
ท่ีเป็นเช่นนเ้ี พราะเหตใุ ด
๗. ผู้พูดมีความรู้มีความเข้าใจเก่ียวกับศิลปะการใช้น้ำเสียง หรือสำเนียง
ประกอบการพูดเพยี งไร รู้จักปรับปรงุ ดดั แปลง และพฒั นาบ้างหรอื เปล่า
๘. มกี ารนำประสบการณจ์ ากศลิ ปะการเลา่ เรอื่ งประทบั ใจ การสรา้ งโครงเรอ่ื ง
หรือวิธีกล่าวสุนทรพจน์ การใช้สายตาและท่าทางมาประกอบการพูดได้มากน้อย
เพียงใด
48
www.dra.go.th
ศลิ ปะการใช้ถอ้ ยคำ
และการสร้างภาพพจนใ์ นการพดู
หลกั ๓ ประการ สำหรบั ผ้เู ริม่ ตน้ ฝกึ
๑. สังเกต คือ เป็นนักสังเกต มีความสนใจติดตามการพูด การปาฐกถา
การบรรยาย การอภิปราย การโต้วาที ฯลฯ พยายามศึกษา สังเกต ข้อดีข้อเสีย
และนำมาปรับปรงุ แก้ไขพฒั นาตนเอง
๒. สะสม คือ เปน็ นักสะสมคำประพันธ์ ถ้อยคำ สำนวนโวหาร จดบนั ทกึ ไว้
โดยถือหลักว่า “จำให้ขึ้นใจดีกวา่ จด จำไมห่ มดจดไว้ดเู ปน็ ครสู อน จดและจำทำวิชา
ใหถ้ าวร เป็นอาภรณเ์ กียรติคณุ นกุ ูลการ”
๓. ฝึกปฏิบัติ คือ เป็นนักฝึกฝน เพราะการพูดเป็นท้ังศาสตร์ คือ ความรู้
เป็นศิลปะคือการแสดง และเป็นทักษะคือความชำนาญ การฝึกฝนเป็นบันไดให้ก้าว
ไปส่คู วามสำเร็จ ขอจงมีความพงึ พอใจ เตม็ ใจในการฝกึ
หลักในการใช้ถอ้ ยคำภาษา
นักพูดพงึ สังวรและระวงั ใหด้ ี โดยมีหลักการใช้ ดังน้
ี
๑. ใช้ให้ถูกหลักภาษา เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาท่ีละเอียดอ่อนมาก
ไม่เหมือนกับภาษาอื่น ๆ ท้ังพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ใช้ลักษณะนามซึ่งเป็น
คำบอกจำนวนนับ บอกประมาณ เมื่อใช้กับคำนาม ควรใช้ให้ถูกต้อง จะช่วยให้
สำนวนการพดู กะทดั รัด น่าฟงั
www.digital.school
49