1 | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชุดความรู้
หลักสตู รมัคนายก (ปู่จารย)์
นายสวุ ฒั น์ จรจนั ทร์
นสิ ติ หลกั สตู รพุทธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา
บัณฑิตวิทยาลยั
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย
วทิ ยาลยั สงฆ์เชยี งราย
คานา
จากการศึกษางานวิจัยเร่ือง การพัฒนาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก
(ปู่จารย์) แบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในจังหวัดเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อ ๑) เพื่อศึกษาองค์วามรู้ ตารา และการศาสนพิธีของมัคนายกและภาคี
เครือข่าย ในจังหวัดเชียงราย ๒) เพื่อพฒั นาชุดความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์)
โดยการมสี ่วนรว่ มของภาคเี ครือข่ายในจังหวดั เชียงราย ๓) เพ่ือวิเคราะหแ์ ละนาชุด
ความรู้หลักสูตรมัคนายก (ปู่จารย์) ไปประยุกต์ใช้ ในการศาสนพิธีของจังหวัด
เชียงราย
การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ( Qualitative Research)
เคร่ืองมือท่ีใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร (Document)
และจากการสัมภาษณจ์ งึ ทาให้ไดช้ ุดความรู้หลกั สตู รมัคนายก (ปจู่ ารย์)
และสุดท้าย ในชุคความรู้นี้ ผู้จัดทาต้องขอขอบคุณเจ้าของภาพถ่าย
ท่ปี รากฎอย่ใู นชดุ ความรู้ในเล่มนีท้ ง้ั หมด
นายสุวฒั น์ จรจนั ทร์
ชุดความรทู้ ่ี ๑
“ความรู้เบอื้ งตเนเก่ียวกับศาสนพธิ ี”
ศาสนพิธี เป็นพิธีกรรมทางศาสนาในการนาหลักธรรมคาสอน
ของศาสนาลงสู่การปฏิบัติของศาสนิกชน การปฏิบัติศาสนพิธีท่ีมีความเรียบร้อย
สวยงาม และเป็นไปในแนวทางเดียวกันจะก่อให้เกิดความเล่ือมใสศรัทธาในการ
บาเพ็ญกุศลต่าง ๆ ของผู้ที่ได้ร่วมกิจกรรมในพิธีนั้น ๆดังคาที่ว่า “พิธีดี เกจิดัง
ความขลังย่อมปรากฏ” เกิดการสร้างคุณคา่ ทางด้านจิตใจ เพ่ือเป็นการธารงรักษา
เอกลักษณ์ของชาติและศาสนา การที่พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างย่ิงผู้ท่ีทา
ห น้ า ที่เ ป็ น ศา ส น พิ ธี กร จ า เ ป็ น ต้ อง มีแ น ว ป ฏิ บั ติ เ ก่ีย ว กับ ศา ส น พิ ธี ให้ เ ป็ น ไป ใ น
แนวทางเดยี วกนั
ศาสนพิธีหรือพิธีกรรมของพระพุทธศาสนาเป็นส่ิงท่ีช่วยหล่อ
เลีย้ งศาสนธรรมอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไว้ ดังนน้ั การกระทาศาสนพิธี
หรือพิธีกรรมต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา ควรท่ีจะต้องมีการแนะนาและให้ผู้
ร่วมพิธีได้ศึกษาทาความเข้าใจเก่ียวกับพิธีต่าง ๆ ให้ถ่องแท้ตามหลักการทาง
พิธีกรรมของพระพุทธศาสนา เพ่ือผู้ปฏิบัติจะได้นาไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตาม
จุดมุ่งหมายในศาสนพิธีนั้น ๆ เน่ืองจากศาสนพิธีจัดเป็นวัฒนธรรมและจารีต
ประเพณีของชาติที่มีการสืบสานกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งการปฏิบัติศา
สนพิธีจะต้องทาให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม เป็นไปในแนวทาง
เดียวกัน เพ่ือก่อให้เกิดความเล่ือมใสศรัทธาในการดาเนินกิจกรรมด้านพิธีของ
ศาสนา ซึ่งถือเป็นส่ิงสาคัญของพุทธศาสนิกชนเพราะการดาเนินกิจกรรมของ
พิธีกรรมต่าง ๆ ถือเป็นก้าวแรกที่มีความเป็นรูปธรรมของการก้าวเข้าสู่หลักการ
ของพระพุทธศาสนาที่เป็นการเสริมสร้างคุณค่าทางด้านจิตใจ รวมทั้งการธารง
๒ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
รักษาเอกลักษณ์ของชาติและพระพุทธศาสนา ผู้ทาหน้าท่ีเป็นผู้นาในการ
ปฏิบัติงานศาสนพิธีจึงควรมีความรู้ความสามารถและความเข้าใจอย่างถูกต้อง
เน่ืองจากศาสนพิธีเป็นการสร้างระเบียบแบบแผนแบบอย่างท่ีพึงปฏิบัติในศาสนา
น้ัน ๆ ตามหลักการความเช่ือในศาสนาที่ตนนับถือ เมื่อนามาใช้ในทาง
พระพุทธศาสนาย่อมหมายถึง ระเบียบ แบบแผน และแบบอย่างท่ีพึงปฏิบัติใน
พระพุทธศาสนาซงึ่ บางท่านเรียกว่า “พทุ ธศาสนพิธี”
การเตรียมอปุ กรณ์
การเตรียมอุปกรณ์ เปน็ สิ่งจาเปน็ ของพิธีต่าง ๆ ซ่งึ ผู้ทาหนา้ ทศ่ี าสนพิธกี ร
ควรมีวามรู้ความเข้าใจเกยี่ วกับพิธีการหรอื พธิ กี รรมต่าง ๆ เช่น วตั ถุประสงค์ของ
การจดั ศาสนพธิ เี ป็นงานมงคล งานอวมงคล หรอื การจดั งานมงคลและงาน
อวมงคลพรอ้ มกัน ซึง่ แต่ละงานจะต้องใชอ้ ปุ กรณใ์ นการประกอบพธิ ีท่ีแตกต่างกัน
เช่น งานมงคลสมรส งานวางศิลาฤกษ์ เปน็ ตน้ อปุ กรณ์หลักทใ่ี ช้ในงานศาสนพิธี
๑) โต๊ะหมูบ่ ูชา พระพทุ ธรปู แท่นกราบ
๒) แจกันดอกไม้ หรอื พานพุ่ม
๓) กระถางธูป เชงิ เทียน
๔) ธูป เทียน บูชาพระ
๕) เทยี นชนวน
๖) ทก่ี รวดํนา้
๗) สาลี กรรไกร เชือ้ ชนวน (ํนา้ มันเบนซินผสมกบั เทียนขี้ผึ้งแท้)
๘) ใบปวารณา และจตปุ จั จัยไทยธรรม
๙) เครอื่ งขยายเสียงพร้อมอุปกรณ์
๓ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
๑๐) เครอื่ งรบั รองพระสงฆ์ เช่น ํน้ารอ้ น ํน้าเยน็ อาสน์สงฆ์หรอื
พรมนั่ง เสือ่ หมอนพงิ กระดาษเชด็ มือ กระโถน เปน็ ตน้
อุปกรณเ์ ฉพาะพธิ ี (เพ่มิ จากอปุ กรณห์ ลกั )
พธิ งี านมงคล
๑) ภาชนะ ํน้าพระพทุ ธมนต์ เชน่ ครอบํน้ามนต/์ บาตร/
ขนั ที่ประพรมํนา้ พระพุทธมนต์ (มดั หญา้ คา ใบมะยม ดอกไมเ้ งินทอง)
๒) สายสิญจน์
๓) เทียนํน้ามนต์ (เทยี นข้ีผึง้ แท้ นิยมขนาดํน้าหนัก ๑
บาท)
๔) พานรองสายสญิ จน์ จานวน ๒ พาน
พิธีมงคลสมรส
๑) มงคลแฝด
๒) โถปริกแป้งกระแจะสาหรับเจมิ
๓) สังข์
๔. หมอนกราบ ๒ ใบ
๔ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
พิธวี างศลิ าฤกษ์
๑) แผน่ ศลิ าฤกษ์
๒) ไมม้ งคล ๙ ชนิด คอื ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้ราชพฤกษ์ ไม้
สกั ทอง ไม้ไผ่สสี กุ ไม้พะยงู ไม้ทองหลาง ไม้กนั เกรา ไม้ทรงบาดาล และไม้ขนนุ
๓) ค้อนตอกไมม้ งคล
๔) แผ่นอิฐ ทอง-นาก-เงิน อย่างละ ๓ แผน่
(รวม ๙ แผน่ )
๕) โถปรกิ กระแจะเจิม
๖) ทองคาเปลวปดิ ศลิ าฤกษ์ ๓ แผ่น พรอ้ มข้ผี ้ึงหรือสิ่งที่
ทาแผ่นศลิ าฤกษเ์ พอ่ื ปิดแผ่นทอง
๗) ปนู ซเี มนตผ์ สมเสรจ็ พรอ้ มเกรียงปาดปนู
๘) ตลับนพรัตน์
๙) พวงมาลยั
๑๐) ข้าวตอกดอกไม้ เหรยี ญเงนิ และเหรียญทอง
๑๑) กระดาษ/ผา้ เช็ดมอื ของประธาน
พิธีเปิดปา้ ยอาคาร
๑) โถปรกิ แปง้ กระแจะเจมิ
๒) ทองคาเปลว ๓ แผน่ พรอ้ มขผ้ี งึ้ หรือสงิ่ ที่ทาสาหรับ
ปิดแผ่นทอง
๓) ผา้ คลมุ ปา้ ย พร้อมสายชกั ผา้ คลมุ ปา้ ย
๕ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
๔) กระดาษ/ผ้าเชด็ มือของประธาน
พธิ งี านอวมงคล
พธิ ีสวดพระอภิธรรม
๑) ภูษาโยง (ถา้ ศพมีฐานันดรศักดิต์ ั้งแต่ชั้นหมอ่ มเจา้ ขนึ้ ไป
ต้องเตรียมผา้ ขาว
กวา้ งประมาณ ๑๐ หรือ ๑๒ นิว้ ยาวเสมอกับแถวพระสงฆ์ จานวน ๑ ผืน
เรียกวา่ “ผา้ รองโยง”) แถบทอง หรอื สายโยง สาหรับโยงมาจากหบี หรือโกศศพ
๒) เคร่ืองทองน้อย ๑-๒ ท่ี (ตั้งหน้าหีบศพ)
๓) ตพู้ ระอภิธรรม พร้อมโต๊ะต้งั ตู้พระอภิธรรม
๔) ผ้าไตร หรอื ผ้าสาหรับทอดบงั สกุ ุล
๕) เคร่อื งกระบะบชู าพระอภิธรรม (ในกรณีไมม่ ีเครื่อง
กระบะบูชา ใหใ้ ช้เชงิ เทียน ๑ คู่ แจกนั ดอกไม้ ๑ คู่ และกระถางธปู ๑ กระถาง ตั้ง
หนา้ ตพู้ ระอภธิ รรมแทนเพือ่ จุดบูชาพระธรรม)
พิธพี ระราชทานเพลงิ ศพ หรือฌาปนกิจศพ (อปุ กรณ์เพม่ิ
จากการสวดพระอภิธรรม)
๑) ธรรมาสนเ์ ทศน์ คมั ภีรเ์ ทศน์ พดั รอง ตะลมุ่ พาน
๒) เครื่องทองน้อย จานวน ๑ ที่ (เพ่มิ อีก ๑ ท่สี าหรบั
ประธานจุดบชู า พระธรรม)
๓) เทียนสอ่ งธรรม
๔) ผ้าไตร หรอื ผ้าสาหรบั ทอดบงั สกุ ุล
๖ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
๕) เครอ่ื งไทยธรรมบูชากัณฑเ์ ทศน์
พธิ ีทาบุญครบรอบวันตาย
๑) อัฐ/ิ รปู ผตู้ าย/ปา้ ยชอ่ื ของบรรพบรุ ุษ
๒) โต๊ะหมู่อีก ๑ ชุด ใชเ้ ป็นท่ีบูชาอัฐิ
๓) เคร่ืองทองน้อย
๔) ภษู าโยง แถบทอง
๕) ผา้ ไตรหรือผ้าสาหรบั ทอดบงั สุกลุ
การเตรียมบุคลากร
การเตรียมบุคลากร เป็นการแสดงถึงความพร้อมของผู้จัดงานพิธีต่าง ๆ
เพื่อความสะดวกในการประสานงาน อันเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละส่วน
ของผู้ปฏิบัติงานและสามารถตรวจสอบได้ว่านิมนต์พระสงฆ์หรือยัง นิมนต์จานวน
เท่าใด ใครเป็นประธานใครรับภารกิจส่วนใด ใครเป็นพิธีกร ใครทาหน้าที่ศาสน
พิธีกร เป็นต้นพระสงฆ์ การนิมนต์พระสงฆ์ ควรเขียนเป็นหนังสือ หรือภาษาทาง
ราชการ เรียกว่า“การวางฎีกานิมนต์พระสงฆ์” เพ่ือถวายพระสงฆ์ไว้เป็นหลักฐาน
ซึ่งประกอบด้วยข้อความสาคัญเป็นการนมัสการให้พระสงฆ์ทราบว่า นิมนต์งานพิธี
ใด วัน เวลา และสถานท่ีในการประกอบพิธีอยู่ที่ไหนควรแจ้งให้ชัดเจน สาหรับ
จานวนพระสงฆ์ในแต่ละพิธี ไม่ได้กาหนดจานวนมากไว้เท่าใดแต่มีกาหนดจานวน
ข้างน้อยไว้ คือ ไมํ่ต่ากว่า ๕ รูป ๗ รูป ๙ รูป และ ๑๐ รูป เพ่ือจะได้ครบองค์คณะ
สงฆ์ ส่วนงานพระราชพิธี หรือพิธีของทางราชการนิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูป ทั้ง
งานมงคลและงานอวมงคล แต่ถ้าหากเป็นพิธีบาเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพ
ประจาคนื นน้ั นมิ นตพ์ ระสงฆ์สวดพระอภิธรรม จานวน ๔ รปู
๗ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
คมู่ อื การปฏิบตั ศิ าสนพิธเี บอื้ งตน้
ประธานพิธี คือ บุคคลท่ีเจ้าภาพเชิญมาเป็นเกียรติแก่งานพิธี
เพ่ือทาหน้าท่เี ป็นประธานในพิธีซึ่งมที ้ังแบบเป็นทางการ คือ มีการเชิญโดยแจ้งให้ผู้
ท่ีเป็นประธานทราบล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ และแบบไม่เป็นทางการ คือ การ
เชิญผู้ท่ีมาร่วมงานทาหนา้ ท่ีเป็นประธานโดยไม่มีการแจ้งใหท้ ราบล่วงหน้า ซึ่งถ้าไม่
เป็นทางการก็ไม่สู้กระไรนัก แต่หากเป็นทางการควรมีการจัดเตรียมสถานท่ีให้
เหมาะสมกับฐานะของผู้ท่ีเชิญมาเป็นประธานในพิธี เช่น การจัดท่ีน่ังการต้อนรับ
การจัดเตรียมเครื่องรับรอง เป็นต้น อันเป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติแก่ผู้ท่ีรับ
เชิญมาทาหน้าที่เป็นประธานในพิธีนั้น ๆ ด้วย และควรแจ้งกาหนดการของพิธีให้
ผู้ทาหนา้ ทเี่ ปน็ ประธานได้ทราบ
ศาสนพิธีกร คือ ผ้ทู าหน้าท่ีเปน็ ผดู้ าเนินการพธิ ีทางศาสนา
ซ่ึงมีความรอบรู้ในด้านพิธีการต่าง ๆ ทาหน้าท่ีควบคุม ปฏิบัติการ จัดการ และ
ประสานงานระหว่างผู้ร่วมปฏิบัติงานพิธีตลอดจนถึงการให้คาแนะนา ให้คาปรึกษา
ในการดาเนินกิจกรรมพธิ ีทางพระพุทธศาสนาไดอ้ ย่างชดั เจนและถกู ตอ้ งตามโบราณ
ประเพณีทไี่ ด้มีการสืบทอดกนั มาผ้รู ว่ มงาน คือ ผู้ท่เี จา้ ภาพเชิญมารว่ มเปน็ เกียรติแก่
พิธี ดาเนินกิจกรรมในพิธีร่วมกันเช่น ร่วมฟังพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา เจริญ
พระพุทธมนต์ เจ้าภาพควรประมาณจานวนผู้ที่รับเชิญมาร่วมกิจกรรมให้เหมาะสม
กับสถานท่ี ควรกาหนดผ้ทู ่ีคอยต้อนรับผู้มารว่ มงาน กาหนดสถานที่นง่ั สาหรับผู้เป็น
ประธาน ของท่ีระลึก เป็นต้น ถ้าบุคคลที่เชิญเป็นผู้ใหญ่ เจ้าภาพควรกาหนดให้
ชดั เจนว่า ใครนั่งตรงไหน อย่างไร เนื่องจากเม่ือผู้รับเชิญน่ังเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีการ
เคล่อื นย้ายทน่ี ง่ั ในภายหลงั ผ้รู ับเชญิ จะเสยี ความรสู้ ึกท่ีดีในการเข้ารว่ มกิจกรรม
การเตรียมกาหนดการ
กาหนดการ คือ เอกสารที่จัดทาข้ึนเพอื่ บอกลกั ษณะของงาน เปน็
ต้นว่า งานอะไร
๘ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ใครเป็นประธาน สถานท่ี วัน เวลาในการจดั งาน ลาดับขน้ั ตอนของ
งาน การแต่งกาย เพ่ือให้ผ้ทู ีร่ ่วมในพธิ ี ๆ มีความเขา้ ใจตรงกนั และทราบ
ข้นั ตอนของพิธกี าหนดการมี ๔ ประเภท คอื
๑. หมายกาหนดการ
๒. หมายรับสัง่
๓. พระราชกิจ
ชุดความรทู้ ี่ ๒
“ภูมิปญั ญาท้องถน่ิ ล้านนา”
คู่มือชุดความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินล้านนา มีความเป็น
เอกลักษณเ์ ฉพาะดา้ น เร่มิ ต้งั แต่
๑. ประเพณี วิถชี วี ิตคนเมือง วัฏจักรชวี ิตของชาวล้านนา
เก่ียวข้องกับประเพณี พิธีกรรม ความเช่ือมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วิถี
ชีวิตในแต่พ้ืนถิ่นอาจแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิประเทศ รวมทั้ง
ประเพณีพิธีกรรม ความเชื่อ ต่างๆก็อาจแตกต่างกันไปตามสังคม
วฒั นธรรมน้นั ๆ
๒.ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด ประเพณีการเกิดหรือ
คลอดบุตรในล้านนา มีข้อวัตรปฏิบัติที่ต้องยึดถือกันมานาน ข้อวัตร
ปฏบิ ัตเิ หล่าน้นั ไมค่ ่อยจะมีการบันทึกไว้เป็นเอกสาร แต่แท้ท่ีจริงแล้วเรอื่ ง
การเกิดเป็นเร่ืองที่สาคัญมากสาหรับผู้หญิง ข้อยึดถือปฏิบัติของหญิงแม่
๙ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
มานและหลังเกิดในปัจจุบันได้เลือนหายไป แม้ในชนบทท่ีห่างไกลก็มี
เพียงบางอย่างท่ียังใช้ยังยึดถือกันอยู่ ซ่ึงก็เพื่อความอยู่รอดของชีวิตแต่ก็
ต้องยอมรับกันว่า ประเพณีการเช่ือถือเหล่านั้นก็ย่อมเหมาะสมกับความ
ต้องการของคนในสมัย น้ัน ถ้าใคร ไม่ปฏิบัติตามประเพณีท่ีเช่ือถือกันมา
จะเป็นการเหลือคาหรือฝืนคติปู่ย่าตายาย ซึ่งมักทาให้เกิดเร่ืองร้ายไม่
สบายทั้งกายและใจ เปน็ การผดิ รีต (อ่าน”ฮีต”) คือผดิ จารีตประเพณีไป
๓. การตงั้ ชื่อ ในอดีตล้านนานิยมการต้งั ชื่อตาม วนั ที่เกิด
เช่น เกิดวันจันทร์ ก็ต้ังช่ือ อี่จั๋น หรือ ไอ่จั๋นเป็นต้น หรือพ่อแม่ จะขอให้
พระภิกษุท่ีวัดเป็นคนตั้งชื่อให้ หรือบางคร้ังก็จะขอให้กานัน ผู้ใหญ่บ้าน
เป็นคนต้ังช่ือให้และจะหามอื้ จ่ันวันดีหรือวนั ทเ่ี ป็นมงคลตามหลักของการ
ตั้งช่ือ ใน สมัยก่อนนามสกุลไม่มีใช้ หรือว่าบางหมู่บ้านมีสกุลอยู่ไม่กี่
นามสกุล หรือบางท่ีท้ังหมู่บ้านมีนามสกุลเดียวก็มี การมีช่ือซ้ากันน้ีทาให้
เรียกขานกันยากพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าชื่อน้ี จะหมายถึง ใครกันแน่
นับเป็นความฉลาดของคนโบราณที่จะเรียก “สร้อยชื่อ” ต่อท้ายชื่อน้ัน
เพื่อจาแนกว่าเป็นคนไหน สร้อยช่ือน้ี เป็นการเรียกโดยคนใกล้ชิด ญาติ
มิตรเพื่อนฝูง ที่ผู้ถูกเรียกจะพอใจหรือไม่ก็ตาม แต่คนอื่นก็เป็นที่รู้กันว่า
คือใคร และสร้อยชื่อน้ี อาจจะสืบการเรียกไปยังลูกยังหลาน นับว่า
“สร้อยชอื่ ” เปน็ มรดก ที่ผู้รับรับไปโดยไม่รู้เนอ้ื รตู้ ัวสมมติวา่ ชื่อ “แก้ว”มี
อยู่มาก เพื่อการแยกแยะให้ถูกตัว การตั้งสร้อยช่ือ ก็มีการต้ังในลักษณะ
ต่าง ๆ ตง้ั ตามลกั ษณะของรา่ งการหรอื สุขภาพอนามัย
เช่น คนหนึง่ คอ่ นข้างอว้ นท้วนหน่อยก็จะได้สร้อยชอื่ ว่า “แก้วตุ้ย” อีกคน
มีรูปร่างงามสง่า ก็จะได้สร้อยช่ือว่า“แก้วร่างครึ” อีกคนมีจมูกโต ก็จะได้
สร้อยชื่อว่า “แก้วดังโม” อีกคนมีน้ิวเกินมา ก็จะได้สร้อยชื่อว่า “แก้ว
๑๐ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
หน่อ” เป็นต้นตั้งตามแหล่งที่อยู่ อาศัย เช่น คนชื่อแก้ว มีบ้านอยู่หน้าวัด
ก็จะได้สร้อยชื่อว่า “แก้วหน้าวัด” อีกคนอยู่ริมคูน้ า ก็จะได้สร้อยช่ือว่า
“แกว้ ริมฅอื ” เปน็ ตน้
๔. ประเพณีเก่ียว กับการตาย/การลากศพ/เสยี ศพ เมอื่
ถงึ วันหมดอายมุ าถงึ คนเฒ่าสมยั กอ่ นมกั จะตายในวงลอ้ มของลูกหลาน
ถงึ จะมีการแกต่ ายตามธรรมดาของสัตวโ์ ลก ในสมยั โบราณลกู หลานกย็ ัง
จะแสดงความเศรา้ โศกเสยี ใจทง้ั รอ้ งไห้และราพนั คร่าครวญดงั ระงม เสยี ง
ดังกลา่ วเรยี กว่า หุย ชาวบ้านเมื่อไดย้ นิ เสียงหุย เปน็ สญั ญาณก็รไู้ ดว้ ่ามี
การตายเกิดข้นึ แลว้ ก็จะมาชว่ ยกนั จัดการทกุ อย่าง ตง้ั แตก่ ารห้างลอย
หรืออาบน้าศพ จัดสถานท่ี ชว่ ยกนั ทาไมค้ ือทาโลงศพ จนถึงการนาไป ฝงั
หรอื เผาตามประเพณี และถา้ เป็นคหบดีหรือเจ้านายจะนาสรีระร่างใส่
ปราสาทเพ่ือทาการฌาปนกจิ ตามประเพณี
๕. ประเพณี ปอยล้อ เป็นงานปอยหรืองานบุญ ที่จัดข้ึน
ในการประชุมเพลิงพระภิกษุสงฆ์ที่มรณภาพ ท้ังนี้สานุศิษย์ทั้งหลาย
ปรารถนาร่วมกันจัดงานเพื่อราลึกถึงบุญคุณและคุณงาม ความดีเพ่ือ
แสดงกตเวทิตาคุณก่อน จะทาการฌาปนกิจสรีระสังขารพระภิกษุรูปนั้น
ปอยล้อจะจัดเฉพาะงานศพของเจ้าอาวาสหรอื พระภิกษุผู้เจริญพรรษาซึ่ง
ได้บาเพ็ญคุณประโยชน์ต่อสังคมตามควร ในงานมีการเฉลิมฉลอง
เช่นเดียวกับงานปอย อื่น ๆ มีการเชิญชวนร่วมกันทาบุญ ถวายสังฆทาน
การเล้ียงภัตตาหารพระสงฆ์ท่ีมาร่วมพิธี เล้ียงอาหารแขกต่างบ้าน เปิด
โอกาสใหผ้ ้มู ีจติ กุศลได้ร่วมกันบรจิ าคทานกันอยา่ งทั่วถึงตามกาลัง ศรัทธา
สิ่งท่ีจะเห็นได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของปอยล้อก็คือปราสาท (อ่าน"ผาสาด")
หรือเมรุขนาดใหญ่ท่ีถูกจัดสร้างข้ึนอย่างประณีตวิจิตรพิศดาร เป็นท่ี
๑๑ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
สาหรับรรจุศพ ของพระภิกษุผู้มรณภาพปราสาทน้ันนิยมทาเป็นรูปนก
หัสดีลิงค์หรือที่ชาวบ้านเรียกโดยนิยมว่านกหัสด์ิ ซ่ึงวางไว้บนแม่ตะเฆ่ที่
ทาด้วยท่อนซุงอีกทีหน่ึงแล้วลากไปสถานที่ฌาปนกิจหรือสถานที่กว้าง
ใหญ่เหมาะสมของหมู่บ้าน เพื่อทาการกระทาพิธีพระราชทานเพลิงและ
ถวายเพลิงศพต่อไป
ประเพณี ๑๒ เดือนล้านนา เป็นประเพณีที่กาหนดข้ึนใน
รอบปีของชาวล้านนา ประเพณีในแต่ละท้องถิ่นในล้านนาอาจมีความ
แตกตา่ งกนั บ้าง เพ่ือใหเ้ กิดความเข้าใจในประเพณีในแต่ละเดือน การนับ
เดือนของล้านนาเป็นการนับเดือนทางจันทรคติ ซึ่งมีความต่างจากของ
ภาคกลางคือ การนับเดือนของล้านนาจะเร็วกว่าภาคกลาง ๒ เดือน เช่น
เดอื น ๗ เหนอื จะเป็นเดือน ๕ ของภาคกลางประมาณกลางเดือนเมษายน
การเรยี งลาดับเดือน จะเริม่ ท่ี เดือน ๗ เหนือ ถือว่าเป็นการเรม่ิ ศักราชต้น
ปี กลา่ วคือเริม่ ในปีใหม่สงกรานต์
๖. เดือน ๗ เหนือ (ราวเมษายน) ประเพณี สงกรานต์
เทศกาลสงกรานต์นี้ชาวล้านนาเรียกว่า ปเวณีปีใหม่ หรือปาเวณีปีใหม่
เมือง (อ่าน"ป๋าเวนีปใี๋ หม่") ช่วงเทศกาลเวลา ๕ วัน ประชาชนจะหยุดงาน
ท้ังส้ินเพ่ือเฉลิมฉลองวาระน้ีท้ังในแง่ศาสนาและพิธีกรรม โดยตลอด
เทศกาลสงกรานต์ตามปฏิทินโหราศาสตร์ของชาวล้านนาน้ัน จะถือเอา
วันท่ีพระอาทิตย์เคล่ือนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษเป็น วันสังกรานต์ล่อง
หรือวันมหาสงกรานต์ ซ่ึงจะไม่ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ตามประกาศ
ของทางการเสมอไป (แต่ปัจจุบันน้ีจะยึดตามประกาศของทางการ)
เทศกาลนี้จะมีวันต่างๆ และมีพิธีกรรมและการละเล่นหลายอย่างท่ี
เกย่ี วขอ้ งกนั ดงั น้ี
๑๒ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
- วันสังกรานต์ล่อง คือวันมหาสงกรานต์ ซ่ึงออก
เสียงแบบลา้ นนาวา่ "สัง-ขาน" นี้คือวันทีพ่ ระอาทิตย์โคจรไปสุดราศีมีนจะ
ย่างเข้าสูร่ าศีเมษ ตามความเชอื่ แบบล้านนากล่าวกันว่าในตอนเชา้ มดื ของ
วันนี้ "ปู่สังกรานต์" หรือ"ย่าสังกรานต์"จะนุ่งห่มเส้ือผ้าสีแดงสยายผมล่อง
แพไปตามลาน้า ปู่หรือย่าสังกรานต์น้ีจะนาเอาสิ่งซึ่งไม่พึงปรารถนาตาม
ตัวมาด้วย จึงต้องมีการยิงปืนจุดประทัดหรือทาให้เกิดเสียงดังต่าง ๆ นัย
ว่าเป็น "การไล่สังกรานต์" และถือกันว่าปืนท่ีใช้ยิงขับปู่หรือย่าสังกรานต์
นน้ั จะมคี วามขลังมาก ตั้งแต่เช้าตรขู่ องวันนีจ้ ะมีการปดั กวาดบ้านเรอื นให้
สะอาด มีการซักเส้ือผ้า เก็บกวาดและเผาขยะมูลฝอยต่าง ๆ มีการดาหัว
หรอื สระผมเพอ่ื ใหเ้ กิดความเปน็ มงคลแกต่ นเอง
- วันเนา วันเนาว์ หรือ วันเน่า ในแง่ของ
โหราศาสตรแ์ ลว้ วนั น้คี วรจะเรยี กว่า วนั เนา เพราะเป็นวันท่ีพระอาทิตย์
โคจรอยู่ระหว่างราศีมีนและราศเี มษ อนั เปน็ วันท่ีถัดจากวันสงั กรานตล์ ่อง
แต่ในการออกเสียงแล้วท่ัวไปมักเรียก"วันเน่า" ทาให้เกิดความคิดท่ีห้าม
การกระทาสิ่งท่ีไม่เป็นมงคล โดยเฉพาะห้ามการด่าทอทะเลาะวิวาทกัน
กล่าวกันว่าผู้ใดท่ีด่าทอผู้อื่นในวันน้ีแล้ว ปากของผู้นั้นจะเน่า และหาก
ววิ าทกันในวนั น้ี บคุ คลผูน้ นั้ จะอัปมงคลไปตลอดปี
- วันพญาวัน เปน็ วันเถลิงศกเรม่ิ ต้นจุลศักราชใหม่
วันน้ีเป็นวันท่ีมีการทาบุญทางศาสนาดัง ต้ังแต่เวลา เช้าตรู่ผู้คนจะนาเอา
สารับอาหารหวานคาวต่าง ๆ ไปทาบุญถวายพระตามวัด ทานขันเข้า
(อ่าน"ตานขันเข้า") เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษหรือญาติมิตรที่
ล่วงลับไปแล้วด้วย บางคนอาจนาสารับอาหารไปมอบให้แก่บิดามารดา
ปู่ย่า ตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ท่ีตนเคารพนับถือ เรียกว่า ทานขันเข้าฅน
๑๓ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
เถ้าฅนแก่ จากนัน้ จะนาทงุ หรอื ธงซึง่ ได้เตรียมไว้ไปปกั บนเจดีย์ทราย ทง้ั นี้
มคี ตวิ ่าการทานทงุ นัน้ มอี านิสงส์ สามารถชว่ ยให้ผู้ตายที่มีบาปหนกั ถึงตก
นรกนั้นสามารถพ้นจากขุมนรกได้ จากนั้นก็มีการประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนา ในวันพญาวันน้ี บางท่านอาจจะเตรียมไม้ง่ามไปถวายสาหรับค้า
ต้นโพ ถือคติว่าเพ่ือเป็นสัญลักษณ์ในการจะช่วยกันค้าจุนพระศาสนาให้
ยืนยาวต่อไป และจะมีการสรงน้าทงั้ พระพุทธรูป สถปู เจดีย์รวมท้ังสรงน้า
พระภิกษุสงฆ์ด้วย ในตอนบ่ายจะมีการไป ดาหัวหรือไปคารวะผู้เฒ่าผู้แก่
บิดามารดา ญาติพ่ีน้องผู้อาวุโสหรือผู้มีบุญคุณหรือผู้ท่ีเคารพนับถือ เพ่ือ
เป็นการขอขมาและผ้ใู หญก่ จ็ ะให้พร
๗. เดือน ๘ เหนือ (ราวพฤษภาคม) ประเพณีข้ึนพระ
ธาตุ/สรงน้า พระ ธาตุ วันเดือน ๘ เพ็ญ (เหนือ) เป็นวันที่มีความสาคัญ
ทางพุทธศาสนามาก กล่าวคือ ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ของพระพุทธเจ้า เป็นวันที่ชาวพุทธท่ัวโลกทาพิธีราลึกถึงพระมหา
กรุณาธิคุณของพระองค์ โดยการทาบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์และ
รกั ษาศีล ฟังเทศน์ปฎิบัติธรรมกันท่ัวไป ในล้านนาไทย ประชาชนนิยมพา
กันไปสบู่ ุญสถานทส่ี าคัญ ๆ เช่น ในจงั หวัดเชยี งใหม่ ก็จะพากนั ไปวัดพระ
ธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงรายไปพระธาตุจอมกิติ และพระธาตุดอยตุง
จงั หวดั ลาพูนไปนมัสการพระธาตุหริภุญชยั จังหวดั ลาปางไปนมสั การพระ
ธาตุลาปางหลวง เปน็ ตน้
นอกจากการสร้างประเพณีไปไหว้พระธาตทุ ส่ี าคญั ๆ แลว้
คนโบราณของล้านนายังสร้างค่านิยมให้บังเกิดขึ้นกับประชาชนด้วยการ
ให้ประชาชน “ชุธาตุ” คือถือเอาพระธาตุเจดีย์นั้นเป็นที่พึ่งของตนด้วย
พระธาตุเจดีย์ท่ีกล่าวถึงนี้ ก็คือพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของ
๑๔ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
พระพุทธเจ้า ท่ีได้ฐาปนาไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่นพระธาตุดอยสุเทพ
พระหริภุญชัย พระบรมธาตุศรีจอมทอง ฯลฯ ตามประเพณีชาวเหนือถือ
กันว่าคนเกิดปีใดจะต้องไปสักการะบูชาพระธาตุท่ีนั้น จึงจะเป็นศิริมงคล
แกต่ นใหม้ อี ายุยนื มีบญุ อานิสงสม์ าก มดี ังนี้
๑. คนเกิดปีไจ้ คือปชี วด พระธาตุประจาปีเกิดคือ
พระธาตศุ รีจอมทอง อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชียงใหม่
๒. คนเกดิ ปีเปา้ คือปีฉลู พระธาตุประจาปเี กิดคือ
พระธาตลุ าปางหลวง อาเภอเกาะคา จังหวัดลาปาง
๓. คนเกิดปียี คือปีขาล พระธาตุประจ าปีเกิดคือ
พระธาตชุ ่อแฮ อาเภอเมือง จังหวัดแพร่
๔. คนเกิดปีเหม้า คือปีเถาะ พระธาตุประจาปี
เกดิ คือ พระธาตุแชแ่ ห้ง อาเภอเมอื ง จังหวัดน่าน
๕. คน เกิดปีสี คือปีมะโรง พระธาตุประจาปีเกิด
คือ พระเจดีย์ พระสิงห์อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ บางคนว่าปีน้ีคนชุ
“พระสิงค”์ หรือ “พทุ ธสหิ งิ ค์
๑๕ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชุดความรทู้ ่ี ๓
“ขัน้ ตอนการประกอบพธิ ีกรรม”
ขั้นตอนพิธีสงฆ์ ทาบุญถวายทาน
๑. เม่ือพระสงฆ์มาถึงพิธี นิมนต์ให้ท่านนั่งพักผ่อน พร้อมกับ
ประเคนนา้ หรือเครื่องด่ืม เมือ่ ดูว่าท่านหายเหนอ่ื ยแล้วใหเ้ รมิ่ พธิ ี
๒. ประธานในพิธีจุดเทียนธูป เพ่ือบูชาพระรัตนตรัย ( จุดเทียน
ก่อน โดยจุดดา้ นขวาของพระประธาน )
๓. กลา่ วคาบชู าพระรัตนตรยั
อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปเู ชมะ
อมิ นิ า สกั กาเรนะ ธมั มงั ปเู ชมะ
อมิ ินา สกั กาเรนะ สงั ฆัง ปูเชมะ
อะระหัง สัมมาสัมพทุ โธ ภะคะวา
พุทธงั ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
ธมั มัง นะมัสสามิ (กราบ)
สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงั ฆัง นะมามิ (กราบ)
๑๖ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
๔. อาราธนาศีล ๕ ไมต่ อ้ งกลา่ ว นะโมฯ (มคั ทายกผนู้ ากลา่ ว)
มะยงั ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ
ทุติยัมปิ มะยังภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สีลานิ
ยาจามะ
ตะติยัมปิ มะยังภนั เต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลา
นิ ยาจามะ
๕. รบั ศีล วา่ ตามพระสงฆ์ (ทกุ คนทีม่ ารว่ มพธิ )ี
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ
๒. อะทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ
๓. กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี สกิ ขาปะทัง สะมาทิยามิ
๔. มุสาวาทา เวรมณี สกิ ขาปะทัง สะมาทิยามิ
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะ
ทัง สะมาทิยามิ
๖. อาราธนาพระปริต (มัคทายกผนู้ ากล่าว)
วปิ ัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะทุกขะ
วินาสายะ ปรติ ตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะภะยะ
วนิ าสายะ ปรติ ตัง พรูถะ มังคะลงั
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะโรคะวิ
นาสายะ ปรติ ตัง พรถู ะ มังคะลัง
๗. พระสงฆร์ ูปที่ ๒ หรอื ๓ สวดบทชมุ นุมเทวดา
สัคเค กาเม จะรูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน
ทีเป รัฏเฐ จะคาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะ วัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา
๑๗ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชะละถะละ วิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคาติฏฐันตา สันติเกยัง มุนิวะระวะ จะนัง
สาธะโว เม สุณันตุธัมมัสสะวะ นะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะ นะกาโล
อะยมั ภะทนั ตา ธมั มัสสะวะ นะกาโล อะยมั ภะทนั ตา
๘. พระสงฆส์ วดเจรญิ พุทธมนต์
๙. จุดเทียนทาน้าพระพุทธมนต์ เม่ือพระคุณเจ้าสวดถึงบท อเส
วนา จ พาลานงั ฯ (ประธานในพธิ ี)
๑๐. นาจตปุ จั จยั ไทยทาน มาวางไว้ตรงหน้าพระสงฆ์
๑๑. มคั ทายก กลา่ วสู่มาครวั ตาน
อะหัง วันทามิ สัพพะวัตถุทานัง ...........................................
สพั พงั โทสงั ขะมะถะ เม ภนั เต๋
สาธุ โอก๋าสะ ข้าแด่สัปป๊ะเย่ืองเคร่ืองครัวทาน สะหะปะริวาร
หลายหลากพร้อมตกุ๊ ภาคนานา อันศรัทธาผ้ขู า้ ตงั หลาย ได้ขงขวายมาตกแต่ง สปั ป๊ะ
แห่งตานา อันหามาได้โดยชอบ ผะกอบด้วยเจ๋ตนายามเม่ือดาแต่งห้าง กึ๊ดร่าสร้าง
ของตาน บ่อได้แบ่งปั๋นหยุดหย่อน หลอนได้กิ๋นก่อนตานลูน บ่อได้ป๋องปุ๋นเป็นส่วน
หลอนได้ด่วนหยบุ เอา ยามเมอ่ื มวั เมาตกแต่ง ไดค้ ู้เหยยี ดแคง่ เตียวกลา๋ ย ของตานตัง
หลายตกต่า ได้ข้ามย่าติเต๋ียน ได้เจี๋ยรจ๋ากาบ่อชอบ ของตานตกต่ายอบก๋วนก๋า
หล้างเตื่อมัวเมาแหนบห่อ บ่อตันได้ผ่อขัดสี หล้างเตื่อได้เดือดด่าต๋ีเด็กอ่อน เข้าจ่าง
อืดอ้อนก๋วนก๋ิน หูได้ยินออกปาก เป็นกาหากรุนแรง ได้จ๋าแข็งขนาบ การ้ายหยาบ
ปาโล มีโมโหขิ้วโขด ผู้ข้าก็รู้ว่าเป๋นโตษเวรก๋รรม บ่อได้คบยาเดือดด่าออกปากว่า
โหงนหงาน หล้างเตื่อลูกหลานมาใกล้ ได้ขับไล่จ๋าหนี กล๋ัวเป๋นวจี๋กาปาก
กลั๋วเป๋นบาปแป๋นก๋รรม หลอนได้กระทาฟ้าวฟั่งนอนยืนน่ังข้ามกล๋าย เหื่อไคล
น้าลายตกใส่ เส้นผมน้อยใหญ่ ตกหล่นใส่ของตาน หล้างเต่ือช่วยล้างจ๋านถ้วยถาด
บ่อปอสะอาดหมดใส หลงลืมไปป้ังปา๊ ด ด้วยความประมาทลาสา กล๋วั เปน๋ ภัยยาโตษ
ใหญ่ จ่ิงตกแต่งได้นามา ยังบุปผาดวงดอกข้าวตอดพร้อมเตียนไฟ น้าสุกันโธทะกะ
ใสจน่ื จ๊อย ผู้ข้านอ้ ยขอสมมา สัปป๊ะปะริวาราหลายเยื่อง อันเปน๋ เครื่องของตาน ขอ
๑๘ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
เครื่องวิเสสะนะทานเจา้ โผดหอ้ื หาย กลา๋ ยเป๋นอโหสกิ ๋รรม อย่าหื้อเป๋นนริ รณ์ธรรมก๋
รรมไปปายหน้า แก่ศรัทธาผู้ข้าตั้งหลายจุ๊ผู้จุ๊คน จุ๊น้อยใหญ่จายหญิง น้ันจุ่งจักมี
เตื่องแตด้ ีหรี
ก๋ายะทวาเร วะจ๋ีทวาเร มะโนทวาเร สัญจิจจะ อสัญจิจจะ อะต๋ีตะ
โทสงั อะนาคะตะโทสัง ปัจจปุ ปนั นะโทสงั สัพพงั โทสัง ขะมันตุโน
๑๒. ถวายสงั ฆทาน (มคั ทายกผนู้ ากล่าว)
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธสั สะ
นะโมตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธสั สะ
อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัส
สะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ
ปะฏิคคณั หาตุ อมั หากงั ทีฆะรัตตงั หิตายะ สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอน้อมถวาย
ภัตตาหาร กับทง้ั บริวารเหล่าน้ี แด่พระภิกษสุ งฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ภัตตาหาร
กับทั้งบริวารเหล่าน้ี ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้า
ทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ
๑๐. พระสงฆ์สวดอนุโมทนา เจ้าภาพและผู้ร่วมงานกรวดน้า
อทุ ศิ ส่วนบญุ กุศล
๑๑. พระสงฆ์ประพรมน้าพระพุทธมนต์ พร้อมทั้งสวดชยันโตฯ
ทกุ ๆท่านพนมมอื รับน้าพระพุทธมนต์
๑๒. เจา้ ภาพนาจตุปจั จัยข้นึ รถเพอื่ ส่งพระกลับวัด
๑๓. เสร็จพิธี
๑๙ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชดุ ความร้ทู ี่ ๔
“พธิ ีมงคลสมรสแบบล้านนา”
พธิ ีแต่งงานแบบล้านนาในปจั จุบันมีการประยุกต์ปรับเปล่ียนใหเ้ ข้ากับ
ยุคสมัยไปมาก และมีการผสมผสานกับพิธีแต่งงานแบบภาคกลางด้วย ตามธรรม
เนียมพิธีแต่งงานแบบล้านนาจะนิยมจัดที่บ้านฝ่ายหญิง เพราะผู้ชายจะต้องไปอยู่
กับผหู้ ญิงที่บ้านพ่อแมฝ่ ่ายหญิงหลังจากเสร็จส้นิ พิธแี ตง่ งานแล้ว แตป่ ัจจบุ นั ท้ังสอง
ฝ่ายสามารถตกลงเลือกสถานท่ีจัดงานแต่งงานท่ีสะดวกต่อทั้งสองฝ่าย โดยท่ีไม่
จาเป็นต้องจัดท่บี ้านก็ได้
๒๐ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกัน ฝ่ายชายก็จะให้ผู้ใหญ่มา จาเทิง
(จ๋าเติง) หมายถึง มาสู่ขอและหม้ันหมายกัน ต่อด้วยการหาฤกษ์แต่งงาน และ
เตรียมตัวแต่งงานตามลาดบั ข้นั ตอนต่อไปน้ี
ฝา่ ยหญงิ จะต้องเตรยี มตวั อะไรบ้าง
ฝ่ายหญงิ จะตอ้ งเตรยี มห้องหอ ทนี่ อน หมอน มุ้ง ซึ่งสมัยก่อนฝ่ายหญิง
จะต้องทอผ้าเพ่ือทาเป็น สะลี (ฟูกรองนอน) และทอผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ปลอก
หมอน เตรียมไว้ และเมื่อใกล้จะถึงวันจัดงานแต่งงาน ฝ่ายหญิงก็จะต้องตกแต่ง
บา้ นให้สะอาดเรยี บรอ้ ย ประดับด้วยตน้ ไมแ้ ละดอกไมต้ ่าง ๆ
ฝ่ายชายจะตอ้ งเตรยี มตวั อะไรบา้ ง
ฝ่ายชายจะต้องเตรียมขบวนแห่ขันหมาก และเคร่ืองประกอบพิธี
แตง่ งาน ซ่งึ ประกอบด้วย
- หบี ผา้ ใหม่
- ดาบ
- ถงุ ย่าม (ถุงขนัน)
- ขันหมาก
- ขนั ไหว้
- ต้นกลว้ ย
- ตน้ ออ้ ย
อย่างละ ๑ คู่ นอกจากน้ี ยังมีขันสินสอดและขนั หม้ัน สาหรับกรณีที่
หมัน้ พร้อมแตง่ รวมท้ังสะลี หมอน มุง้ ผ้าห่ม (ถา้ ม)ี โดยทางฝา่ ยชายจะต้องเตรียม
ของเหล่านี้มาในวันจัดพิธีแต่งงาน โดยฝ่ายชายจะจัดขบวนแห่ขันหมากมายังบ้าน
เจา้ สาว
๒๑ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ก่อนถึงวันงานประมาณ ๑ – ๒ สัปดาห์เปน็ อย่างนอ้ ย ท้งั ฝ่าย
ชายและฝ่ายหญิงจะเริ่มทยอยบอกกล่าวเชิญชวนญาติผู้ใหญ่ เพื่อน และคนรู้จักที่
ใกล้ชิดสนิทกันให้มาร่วมงาน ส่วนเร่ืองอาหารจัดเลี้ยงก็จะได้บรรดาคนบ้านใกล้
เรือนเคยี งน่แี หละมาชว่ ยกนั
ขอเจา้ บา่ ว (ขอเขย)
ในเช้าวันแต่งงาน เม่ือทุกอย่างเป็นไปตามกาหนด ฝ่ายเจ้าสาวจะนา
คณะไปขอเจ้าบ่าวท่ีบ้านเจ้าบ่าว เรียกว่า ไปขอเขย ซึ่งการขอเจ้าบ่าวจะต้องมี
พานดอกไม้ธูปเทียน ไปพูดเชิญพ่อแม่เจ้าบ่าวด้วยถ้อยคาอันเป็นมงคล เพื่อเชิญ
ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวแห่ขบวนขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาวให้ทันตามฤกษ์ท่ีกาหนด
โดยกลา่ วคามงคลวา่
มาวันน้ีก็เพ่ือมาขอเอาแก้วงามแสงดี มาไว้เป็นมงคลบ้านโน้น (บ้าน
เจ้าสาว)
ทางพ่อแม่ฝ่ายเจ้าบ่าว มีขันข้าวตอกดอกไม้และขันหมากเป็นเคร่ือง
ตอ้ นรบั และกล่าวฝากตัวลกู ชายไปเป็นลูกเขยวา่
ลูกชายข้าก็รักดั่งแก้วด่ังแสง จะร้ายดีอย่างใด ก็ขอได้ช่วยส่ังช่วยสอน
เขาเทอะ
พิธีขอเจ้าบ่าวนี้ ถ้าเจ้าบ่าวอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเจ้าสาว จะใช้วิธี
เดินเท้าไปเปน็ ขบวน แต่ถา้ อยคู่ นละหมู่บ้านอาจจะโดยรถยนต์ หรอื นาคณะไปพัก
อยบู่ า้ นญาติผใู้ หญห่ รือท่ีพักทใ่ี กลเ้ คยี งกันหมบู่ ้านของเจา้ สาว
แหข่ บวนขันหมาก
เมื่อถงึ วนั เข้าพธิ ีแต่งงาน ทางฝ่ายเจ้าบ่าวจะตั้งขบวนแห่ขันหมาก โดย
มีเครื่องประกอบขบวน นาหน้าโดยขันดอกไม้ ตามด้วยบายศรี ซ่ึงอาจทามาจาก
บ้านเจ้าบ่าว หรือถ้าทางบ้านเจ้าสาวทาบายศรีไว้แล้ว ฝ่ายเจ้าบ่าวอาจจะไม่
จาเปน็ ต้องนามาแหใ่ นขบวนก็ไดค้ รับ
๒๒ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ส่วนตัวเจ้าบ่าวจะต้องสะพายดาบ อันเป็นเครื่องหมายแห่งชายชาตรี
และตามมาด้วยขันหม้ัน ขันหมาก หีบผ้า หน่อกล้วย หน่ออ้อย เป็นต้น (ซ่ึงทาง
ฝ่ายเจา้ บา่ วอาจปรบั เปลยี่ นการจัดลาดบั ขบวนขันหมากไดต้ ามความเหมาะสม)
ส่วนวงดนตรใี นขบวนจะประกอบด้วย
กลองซิง้ ม้อง (รปู ทรงคล้ายกลองยาวแตส่ น้ั กว่า) ปแ่ี น
แขกท่มี าร่วมงานจะเดินในขบวนแหข่ ันหมาก เพอื่ ไปหเจ้าสาวยัง
บริเวณพิธี เม่ือทั้งสองฝ่ายพร้อมแล้ว ทางฝ่ายเจ้าสาวจะส่งตัวแทนไปเชิญขบวน
แห่ฝ่ายเจ้าบ่าวเขา้ บ้าน
เม่ือขบวนขันหมากแห่มาถึงพิธี เจ้าสาวจะออกมารอรับเจ้าบ่าว
แต่ถ้าจะให้พบกันง่าย ๆ ก็อาจดูน่าเบื่อไปหน่อย ดังนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวจึงต้องเจรจา
ขอผ่านประตูที่ใช้เข็มขัดกั้นประตูแรกก่อน เรียกวา่ ประตูเงิน ซ่ึงเจ้าบ่าวต้องตอบ
คาถามหรือเลน่ เกมส์ พร้อมให้ซองแก่ผูก้ นั้ ประตู (ส่วนมากจะนิยมใชเ้ พอื่ นเจา้ สาว)
จากน้ันฝ่ายเจ้าบ่าวจะได้พบกับด่านถัดไปที่ประตูอีกชั้นหน่ึง เรียกว่า ประตูทอง
ซ่ึงเจ้าบ่าวจะต้องฝ่าด่านนี้ด้วยการตอบคาถามหรือเล่นเกมส์พร้อมให้ซอง จะยาก
ง่ายแค่ไหนก็ข้ึนอยู่กับความสามารถของคนคิดคาถามหรือเกมส์แล้วล่ะ ถ้าฝ่าย
เจา้ บ่าวผ่านดา่ นทัง้ สองได้ กจ็ ะได้ข้นึ ไปพบกับเจ้าสาวครับ
เคร่ืองประกอบพธิ ีเรยี กขวญั
ชาวลา้ นนานิยมเรียกบายศรวี ่า ใบสี เนือ่ งจากใช้ใบตองมาเย็บรวมกัน
ทาเป็นบายศรี บา้ งกเ็ รยี ก ขนั บายศรี บางแห่งเรยี กว่า ขนั ปอกมอื หรือ ขนั ผูกมือ
เนอื่ งจากเป็นเครอ่ื งประกอบพธิ ีเรียกขวัญและมัดมือ ขันบายศรีอาจใช้ขันเงิน หรือ
พานเงนิ พานทองเหลือง ขันซี่ (พานท่ีกลึงดว้ ยไมเ้ น้ือแข็ง ทารกั ทาชาด) ใช้ใบตอง
มาพับปลายเรียวแหลมหลาย ๆ อัน แล้วนามาซ้อนทับกันข้ึนไปเป็นช้นั ๆ จะกี่ชั้น
กไ็ ด้ตามความเหมาะสม แต่ตอ้ งเป็นจานวนคู่
บายศรีท่ีนิยมทากันท่ัวไปจะมีนมแมว ๗ ช้ัน หรือ ๙ ช้ัน แถบนมแมว
ทง้ั หมดทาเปน็ ๔ มุม เรยี กว่า สี่แจง่ นมแมว บางแหง่ ๖ มมุ หรือ ๘ มุมบ้าง นามา
๒๓ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
วางเรียงซ้อนกันบนพานและมีขันสลุงรองรับอยบู่ นพาน ประดับด้วยดอกไม้ต่าง ๆ
อย่างงดงาม ส่วนปลายหรือยอดของบายศรีจะใช้ด้ายดิบผูกโยงต่อเนื่องกันในแต่
ละยอด และเหลอื ไว้ช่องหนงึ่ เพ่อื เปน็ ทางให้ขวญั เข้ามากินอาหารในขนั บายศรี
สว่ นอาหารสาหรบั ขวัญท่ตี อ้ งใสใ่ นขันบายศรี ได้แก่
- ข้าวเหนียวสุก
- ไข่ต้ม
- ชน้ิ ปิ้ง
- ปลาปิ้ง
- ขา้ วแตน
- กลว้ ยนา้ ว้าสุก
- หมากพลู
- เหม้ยี ง
จานวนอย่างละ ๑ คู่ บายศรีแต่งงานนิยมทาบายศรีนมแมวช้ันเดียว
และอาจทาซอ้ นชนั้ ดว้ ยพานรองรับขนาดตา่ ง ๆ แต่ไม่เกนิ ๓ ช้ัน
ขนั ตัง้ บายศรี
เป็นเครื่องบูชาครู ทางล้านนาเรียกว่าขันตั้ง คือของใช้สาหรับบูชาครู
หรือยกครู ในเวลาจะประกอบพิธีกรรมต่างๆ สาหรับขันตั้งเรียกขวัญ มีของใช้
สาหรับบชู าครู ประกอบดว้ ย
ข้าวเปลือก ข้าวสาร อย่างละ ๑ กระทง
ผ้าขาว ผ้าแดง อย่างละ ๑ ผนื (ประมาณ ๑ วา)
สวยหมากสวยพลู ๘ สวย
สวยดอกไม้ ธูปเทียน อยา่ งละ ๘ สวย
๒๔ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
หมากแหง้ ๑ หัว
เงนิ บูชาครู ๕๖ บาท
น้าขมน้ิ สม้ ป่อย ๑ ขนั เล็ก
ของทั้งหมดน้ีใส่รวมกันลงในพานหรือถาด ก่อนจะทาพิธีเรียกขวัญ ปู่
อาจารย์จะเริ่มต้นโดยการขึ้นขันต้ังก่อน จึงจะทาพิธีเรียกขวัญ ปัจจุบันไม่เป็นที่
นิยมเท่าใดนัก ส่วนใหญ่หลังจากปู่อาจารย์ทาพิธีเรียกขวัญเสร็จแล้ว ก็จะมอบ
ปัจจยั บชู าครตู ามสมควร
สง่ ตวั เข้าหอ
ก่อนส่งตัวเจ้าบา่ วเจ้าสาวเขา้ ห้องหอ จะต้องมีการมัดมือคู่เจา้ บ่าวสาว
ให้ติดกันก่อน โดยมีพ่อแม่หรือบุคคลที่เคารพนับถือ บุคคลท่ีมีช่ือเป็นมงคลเป็นผู้
จูงค่บู ่าวสาวเขา้ ห้อง โดยตอ้ งถือบายศรีนาหนา้ ตามด้วยนา้ บ่อแก้ว คอื ส
ลุงทใ่ี สเ่ งินทองท่แี ขกผ้มู ารว่ มงานได้มอบให้ตอนผูกข้อมือคู่บ่าวสาว การจูงเข้าห้อง
โดยญาติฝ่ายเจ้าสาวจูงมือเจา้ สาว ญาตฝิ า่ ยเจา้ บา่ วจูงมือเจ้าบ่าว ซงึ่ บนเตียงนอน
มกี ลบี ดอกไมโ้ ปรยไว้
พ่อแมห่ รอื ผู้ใหญ่ที่แต่งงานคร้งั เดียวจะนอนให้ดูเป็นตัวอย่างกอ่ น แล้ว
ให้คู่บ่าวสาวนอนด้วยกันเป็นพิธี และมีการให้โอวาทในการครองเรือน เรียกว่า
สอนบ่าว สอนสาว เช่น ให้ผวั เป็นแก้ว เมยี เปน็ แสง บ่ดีหอ้ื เปน็ ผวั เผต เมียยกั ษ์ ห้ือ
มีลูกเตม็ บ้าน หลานเต็มเมือง หอ้ื ฮกั กน๋ั แพงกั๋นอยู่ตราบเสยี้ งชีวิต ถ้าผัวเป็นไฟ ห้ือ
เมยี เป็นน้า ห้ือพ่อชายเปน็ หงิ แม่ญิงเป็นข้อง (สรปุ ส้นั ๆ คอื ขอใหผ้ ู้ชายเปน็ คนหา
เงินทอง สว่ นผูห้ ญงิ เปน็ ผู้เก็บรักษาทรพั ย์สมบัติ)
๒๕ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชุดความรูท้ ่ี ๕
“การสวดเบิก”
การสวดเบิกเป นหน่ึงในข้ันตอนสาคัญของการอบรมสมโภช
พระพุทธรูป (พุทธาภิเษก) ซ่ึงชาวลานนาเช่ือวาทาใหพระพุทธรูปมีความศกั ดิ์สิทธ์ิ
ย่ิงขึ้นสรางความเปนสิริมงคลแกเจาของ พระพุทธรูปนั้น ๆ วิธีการอบรมสมโภช
พระพุทธรูปตามธรรมเนียมลานนานั้นมีดังตอไปนี้ การอบรมสมโภชพระพุทธรูป
น้ันมีศาสนพํิอยู ๒ เวลา คือเวลาย่าค่า(ประมาณ ๑ – ๒ ทุม หรือเวลา ๑๙ – ๒๐
น.) และเวลาตอนดึก (ประมาณตี ๔ – ๕ ) ในเวลาย่าคาหรือหัวคานั้น พระสงฆ
และคณะทายกทายิกา พรอมกันแลว ก็เริม่ กระทามังคละกรรมเจริญพระพุทธมนต
โดยมีธรรมเนยี มนมิ ให้พระเถระผูเปนประธานบูชาขันดอกแกว ๕ โกฐากกอน หรือ
บางกรณีจะให ระภิกษุผูชานาญรูปใดรูหนึ่งว าคาโอกาสะแทนก็ได จบแล ว
พระภิกษุอีกรูปหน่ึง “ ขัดสัคเคหลวง “ เสร็จแลวพระเถระผูเปนประธานก็เริ่มนา
สวดพระพุทธมนตโดยสวดเปนทานองรอยแกว้ เมือง
๒๖ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ตอจากนั้นญาติโยมศรัทธาจะมีเภสัช หมาก เม่ียง บุหรี่ น้าหวานใด ๆ
อันควรแกสมณะบริโภคก็นามาถวายพระสงฆในเวลานี้ แลวนิยมมีการฟังเทศน
ตามประเพณีเชน ธรรมพุทธาภิเษก ธรรมจักร หรือธรรมมงคลอ่ืน ๆ สุดแตจะ
จัดให และมีบอกไฟดอก (ดอกไมเพลิง) บอกไฟดาว (พลุ) และบอกไฟ อ่ืน ๆ ก็จัด
จเุ สียกอนฟังเทศน คร้นั จุบอกไฟเสรจ็ แลวก็มีการฟงเทศนตอไป เมอ่ื ฟงเทศนเสร็จ
แลว ก็ถึงขั้นตอนสาคัญคือการสวดเบิก ๓ วาร (บางแหงก็มี ๔ วาร) คือ ปฐมยาม
มัชฌิมยาม และปจฉิมยาม โดยลาดับ ซึ่งเรียกกันวา วารต้น วารกลาง วารปลาย
โดยลาดับ เม่ือสวดเบิกจบแลวทัง้ ๓ วารจะเป็นเวลาใกลรุงพอดปี ระมาณตี ๔ – ๕
น.) พระสงฆก็เริ่มสวดอบรมสมโภชพระพุทธรูปอันเปนขั้นตอนท่ี ๒ ต่อไป ขั้น
ตอนตอไปคือการสวดในเวลาตอนใกลรุงเร่มิ ดวยพระเถระผูเปนประธานตั้ง ธัมมัส
สะวะนะกาโล อยัมภทันตา ๓ จบ จากนั้นจึงขึ้นบทสวดสมโภชพระพุทธรูป เมื่อ
พระสงฆสวดถึงบท อะวิชชาปจจะยาสังขารา ให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเปิดผา
ขาวปดหนาพระพุทธรูปพรอมกับแกะข้ีผึ้งปดพระเนตรออก และบริกรรมพระ
คาถาขณะเปิดพระเนตรวา สะหัสสะเนตโต เทวินโท เนตโต ทิพพะจัขุ วิโสธายิ
นโม พุทธายะ พุทธะจักขุ ธัมมะจักขุ สังฆะจักขุ สังฆะจักขุ ทวายะ สวาหะ ๓ จบ
แลวกลับ หนาแวนสายตาพระเจาออกมาดานหนาทุกใบ เมื่อไดเวลารุงอรุณแสง
๒๗ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
เงินแสงทองข้ึนแลวคณะศรัทธาสาธุชนก็เตรียมโอกาสถวายขาวมธุปายาส ๔๙ ก
อนแดระสงฆ เปนอันเสร็จส้ินพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูปองคเกาองคใหมถูกต้อง
ตามจารตี ประเพณอี นั ดีงาม
ก า ร ส ว ด เ บิ ก เ ป็ น ห น่ึ ง ใ น ข้ั น ต อ น ส า คั ญ ข อ ง ก า ร อ บ ร ม ส ม โ ภ ช
พระพุทธรูป (พุทธาภิเษก) ซึ่งชาวลานนาเช่ือวาทาใหพระพุทธรูปมีความศกั ด์ิสิทธ์ิ
ยิ่งข้ึนสรางความเปนสิริมงคลแกเจาของ พระพุทธรูปนั้น ๆ วิธีการอบรมสมโภช
พระพุทธรูปตามธรรมเนียมลานนา การอบรมสมโภชพระพุทธรปู น้ันมีศาสนพิธอี ยู
๒ เวลา คือเวลาย่าค่า(ประมาณ ๑ – ๒ ทุม หรือเวลา ๑๙ – ๒๐ น.) และเวลา
ตอนดึก (ประมาณตี ๔ – ๕ ) โดยมีลาดบั ขัน้ ตอนดังนี้
๑. ในเวลาย่าคาหรือหัวค่านั้น พระสงฆและคณะทายกทายิกา พรอม
กันแลว ก็เริ่มกระทามังคละกรรมเจริญพระพุทธมนตโดยมีธรรมเนียมนิยมให้พระ
เถระผูเป็นประธานบูชาขันดอกแกว ๕ โกฐากกอน หรือบางกรณีจะใหพระภิกษุผู
ชานาญรูปใดรปู หน่ึงวาคาโอกาสะแทนกไ็ ด
๒. เม่ือโอกาสะจบแล้วพระภิกษุอีกรูปหนึ่ง “ ขัดสัคเคหลวง “ เสร็จ
แลวพระเถระผูเป็นประธาน กเ็ ร่ิมนาสวดพระพุทธมนตโดยสวดทาเป็นทานองรอ้ ย
แก้วทาทองล้านนา ต่อจากนั้นญาติโยมศรัทธาจะมีเภสัช หมาก เม่ียง บุหร่ี
น้าหวานใด ๆ อนั ควรแกสมณะบรโิ ภคก็นามาถวายพระสงฆในเวลานี้
๓. ฟังเทศนตามประเพณีเชน ธรรมพุทธาภิเษก ธรรมจักร หรือธรรม
มงคลอื่น ๆ สุดแตจะจัดให โดยเป็นท่ีนยิ มเทศน์เป็นกัณฑ์แรกคือธรรมพุทธาภิเษก
และมีบอกไฟดอก (ดอกไมเพลิง) บอกไฟดาว (พลุ) และบอกไฟ อื่น ๆ ก็จุดเสีย
ก่อนฟังเทศน คร้ันจุดบอกไฟเสร็จแลวก็มีการฟงเทศนตอไป (บางคร้ังในกรณีที่มี
ธรรมหลายกณั ฑ์สามารถนามาเทศนค์ ัน้ กลางแตล่ ะวารได้)
๔. เม่ือฟงเทศน์กัณฑท์ ี่ ๑ เสรจ็ แลว ก็ถงึ ข้นั ตอนสาคัญคือการสวดเบิก
วารท่ี ๑ (ปฐมยาม วารต้น เอโสโน) ต้ังแต่ย่าค่า โดยสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ ๑๘
นาฬิกา ถึง ๓ ทมุ่ (๒๑ นาฬิกา) โดยวารที่ ๑ นใี้ ชเ้ วลาประมาณ ๑ ช่ัวโมง (ในการ
เรมิ่ สวดนน้ั ผ้สู วดต้องคานวนเวลาใหก้ ารสวดจบในเวลา ๓ ทุม่ หรอื ๒๑ นาฬิกา)
๒๘ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
๕. หลังจากน้ันเทศน์กัณฑ์ ๒ นิยมเทศน์ ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร
ฉบบั ล้านนา (ถ้าไมม่ เี ทศน์กต็ ดั ชว่ งเวลาน้ีไป)
๖. เรมิ่ สวดวารท่ี ๒ (มชั ฌมิ ยาม ตสั สเย) หลงั จาก ๒๑ นาฬกิ า หรอื ๓
ทุ่มเป็นต้นไปถึง ๒๔ นาฬิกา หรือ เท่ียงคืน เราเรียกว่า ยาม ๒ หรือ ๒ ยาม โดย
วารที่ ๒ น้ีใชเ้ วลาประมาณ ๑ ชัว่ โมง (ในการเริม่ สวดน้นั ผสู้ วดต้องคานวนเวลาให้
การสวดจบในเวลา เทีย่ งคนื หรอื ๒๔ นาฬิกา)
๗. หลังจากนั้นเทศน์กัณฑ์ ๓ นิยมเทศน์ ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร
ฉบบั ล้านนา (ถา้ ไม่มีเทศน์ก็ตดั ช่วงเวลานี้ไป)
๘. เร่ิมสวดวารที่ ๓ (ปัจฉิมยาม ใกล้แจ้ง อถโข) หลัง ๒๔ นาฬิกา ไป
ถงึ ตี ๓ (๓ นาฬิกา) เราเรยี กว่า ยาม ๓ โดยวารท่ี ๓ นใ้ี ชเ้ วลาประมาณ ๑ ช่ัวโมง
๙. วารท่ี ๔ (ยามแจ้ง โสปฐมา) หลังจาก ตี ๓ ไปจนย่ารุ่ง หรือ ๖
นาฬิกา เราเรียกว่า ยาม ๔ ซึ่งเป็นยามสุดท้ายของคืน โดยวารท่ี น้ีใช้เวลา
ประมาณ ๑ ชว่ั โมง
๗. พระสงฆก็เริ่มสวดอบรมสมโภชพระพุทธรูป ขั้นตอนตอไปคือการ
สวดในเวลาตอนใกลรุ่งเร่ิมดวยพระเถระผูเปนประธานตั้ง ธัมมัสสะวะนะกาโล
อยัมภทันตา ๓ จบ จากนั้นจึงขึ้นบทสวดสมโภชพระพุทธรูป เมื่อพระสงฆสวดถึง
บท อะวิชชาปจจะยาสังขารา ให้พระภิกษุรูปใดรูปหน่ึงเปิดผ าขาวปดหนา
พระพุทธรูปพรอมกับแกะขี้ผ้ึงปดพระเนตรออก และบริกรรมพระคาถาขณะเปิด
พระเนตรวา สะหัสสะเนตโต เทวินโท เนตโต ทิพพะจัขุ วิโสธายิ นโม พุทธายะ
พุทธะจักขุ ธัมมะจักขุ สังฆะจักขุ สังฆะจักขุ ทวายะ สวาหะ ๓ จบ แลวกลับหน
าแวนสายตาพระเจาออกมาดานหนาทุกใบ เมอ่ื ไดเวลารุงอรุณแสงเงินแสงทองขึ้น
แลวคณะศรัทธาสาธุชนก็เตรียมโอกาสถวายขาวมธุปายาส ๔๙ กอนแดระสงฆ เป
นอันเสร็จสิ้นพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูปองค เกาองคใหมถูกตองตามจารีต
ประเพณอี ันดงี าม
๒๙ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชดุ ความรู้ท่ี ๖
“ขันแก้วห้าโกฐาก”
ขันแก้ว ๕ โกฐากส์ เป็น พานใส่ข้าวตอกดอกไม้ ขันหรือพานน้ันจะ
เป็นพานทาด้วยไม้หรือเงินก็ดีที่เป็นทรงกลมและมีขาดใหญ่พอ สมควร ขันชนิดน้ี
ชาวบ้านอาจเรียกอีกอย่างง่ายๆว่าขัน ๕ เพราะจะจัดว่างดอกไม้ธูปเทียนเป็น๕
โกฐาก หรือ๕ กอง เพ่ือบูชาองค์คุณแห่งความดีงาม ๕ ส่วนน้ี พุทธรัตนโกฐาก
หรอื ส่วนทจี่ ดั ไวบ้ ชู าพระพทุ ธเจา้
คาขนึ้ ขนั ดอกสุมมา ๕ โกฐาก
โย สันนิสินโน วะระโพธิมูเล มารัง สะเสนัง มะหันตีวิเชยโย สัมโพธิ
มงั คัจฉิ อนันตะยาโณ โย โลกุตตะโม ตังปันนะมามิ พทุ ธัง ตังปันนะมามิธัมมัง ตัง
ปนั นะะมามิสงั ฆงั ตังปันนะะมามอิ าจารยิ ะ ตังปันนะมามิ กมั มฏั ฐานะ กัมมัฏฐานัง
ฯ
๓๐ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
สาธุ โอกาสะ ภันเต ข้าแต่พระปัญจะรัตนแก้วเจ้าทัง ๕ ประการ อัน
ทะรง ยัง อนันตาธิคณุ ญาณวิเศษ อันเป็นท่ีพงึ แกเ่ ทเวศน์และสพั พะหม่สู ัตตา บัดนี้
หมายมสี มณศรทั ธา และมูลศรัทธาผขู้ ้าทัง้ หลาย ก็ได้พากนั สระหนงขงขวาย
ตกแต่งน้อมนามายัง ธูปะบุปผาลาจา ดวงดอก ข้าวตอก ดอกไม้ และลาเทียน มา
จาเนยี รวางตัง้ ไวเ้ หนอื ขนั ปันเป็น ๕ โกฐาก
สว่ นปะฐะมะวิภาค เบือ้ งตน้ หวั ที่ ผขู้ า้ ท้ังหลายขอถวายบูชายังพระมุณี
ตนสัคสวาสดิ์ กับทั้งพระบาทและสรีระธาตุเจดีย์ ท้ังไม้สะหรีมหาโพธิ์ อันมีหลาย
โกฏมากนานา
ส่วนทุติยะภาคา อันถ้วนสองงามบ่เศร้า ขอถวายบูชายังพระนะวะโล
กตุ ตะระธรรมเจ้าเก้าประการ สิบกับท้ังพระปริยัติธรรม อันอุฬารเลิศแล้ว อันเป็น
ประทีปแก้ว ส่องมรรคทาง
ส่วนตะตยิ ะวาร อันถ้วนสามงามบ่เศร้า ขอถวายบูชายงั พระอริยสังฆะ
เจ้าท้ังหลาย หมายมีพระมหาอัญญาโกณฑัญญะเถระเจ้าเป็นเก๊า ตราบต่อเต้าเถิง
สมมุติสังฆะ บดั นเ้ี ป็นปริโยสาน
จตุถะวาร อันถ้วนส่ีงามล้นที่บ่อาจจักสังขยา ขอถวายบูชายังพระ
สมถะกรรมฐานและวิปสั สนากรรมฐาน ดวงวิเศษ อันเป็นเหตุห้ือ ปัณนะสัตว์
ทัง้ หลาย ได้รอดจอดถงึ เวียงแกว้ ยอดเนระปาน นนั้ แทด้ ีหลี
สว่ นปญั จะมะโกฐาก อนั ถ้วนครบห้า ผู้ข้าทง้ั หลาย ขอถวายบูชา ยงั ครู
บาอาจารย์เจ้า ผู้สั่งสอนยังกรรมฐานท้ังหลายหมายมี พระมหากัสสะปะเถระเจ้า
เป็นเก๊า ล่าดับลาดามารอดมาถึงครูบาเจ้าชัยยะลังกา ครูบาเจ้าศรีวิชัยยาชนะ ครู
บาเจา้ อภชิ ัยขาวปี ครบู าเจา้ พรหมจักร ครูบาเจา้ ชยั ยะวงศา และหลวงพอ่ พระราช
พรหมยาน อันเป็นครูบาอาจารย์แห่งผู้ข้าทั้งหลาย บัดนี้ไซร์ผู้ข้าท้ังหลาย ขอนบ
น้อมไหว้ และขอสุมมา หากหลอนว่า ศรัทธาและมูลศรัทธาผู้ข้าทั้งหลาย ได้
ประมาทต้ังแต่เอนกชาติหากหลอนมีด้วยกายะ วจีมโนกรรม อินทรีย์ท้ังหก และ
อริ ิยาบถทั้งส่ี รู้แจ้งถแ่ี ละไดก้ ะทาก็ดี บ่รูแ้ จง้ และได้กระทาด่ังอ้ันก็ดี ผขู้ า้ ทั้งหลายก็
กลัวเป็นโทษ ขอพระปัจจะรัตนะแก้วเจ้า โปรดกรุณา จุ่งมีธรรมะเมตตา อนุติยะ
๓๑ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
หว่ายหน้าปฏิคะหะกะรับเอายังปะระมะมิสะปูชา สุมมาแห่งผู้ข้าท้ังหลายแล้ว
จงุ่ อัจจะเย เทสะนา ขมาลาลด อดเสียยังโทสะนะโทษโปรด หื้อหายกลายเป็นนัตถิ
วภิ าโค อโหสิกรรม ขออย่าไดเ้ ปน็ นวิ รณ์ธรรมกรรมอันแก่กล้า อันจกั หา้ มทับเสยี ยัง
สักกะโมกขะหนทาง อันจักข้ึนเม่ือสู่เมืองฟ้าและเนระปาน เสียแก่สมณะศรัทธา
และมูลศรัทธาผู้ข้าท้ังหลาย ชตุ นชุองค์ ชุผู้ชุคน ทั้งใหญ่น้อยชาย หญิง น้ันจุ่งจักมี
เทีย่ งแทด้ ีหลี
พุทธะปูชา ธมั มะปชู า สงั ฆะปชู า
พุทธะปูจา มหาเดชา ธัมมะปูจา มหาปัญญา สังฆะปูชา มหาลาภา ปู
จาระเห ปูจายะโต พุทเธ ยะทิจะ สาวะเก ปะปัญจะสะมะติกกันเต ติณเณ โส
กะปะริเวเต ตาทิเส ปูจายะโต นิพพุเต อะกุโต นะสักกา ปุญญะสังขาตุง อิเมตตะ
มะปิ เกนะจิ อิมินา อัคคิธุปปะบุปผาลาจา ปูจาการะวะกาเมนะ เมเตยยะพุทธัส
สะ ทัศสะนัญจะ ลาภามิหัง ยาวะนุปัชชะโต พุทโธเมตเตยโย เทวาปูซิโต สังสาเร
สังสารันโตปิ อะปณั เยนะ ขมามิหัง นพิ พานะ ปัจจะโย โหตโุ น นิจจังฯ
๓๒ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชดุ ความรทู้ ี่ ๗
“การสืบชาตา”
กระบวนการข้ันตอนของพิธีกรรมสืบชะตาล้านนา ยังคง
ความสาคัญอยู่ท่ี รูปแบบขั้นตอนของพิธีกรรม บทสวดมนต์และผู้ที่เกี่ยวข้อง
รปู แบบการสืบชะตานั้นยังคงปฏิบัตติ ามจารีตดง้ั เดิมของลา้ นนาและองค์ประกอบ
สาคัญอยู่ท่ีการเตรียมเครื่องสืบชะตาตามประเภทของการสืบชะตาน้ัน ๆซ่ึงมี
เครอ่ื งประกอบหลายอย่างแต่ละอย่างต้องเตรียมไว้จานวนมากในขณะที่เตรียมสืบ
ชะตาน้ันต้องใช้คนจานวนมากช่วยกันส่วนใหญ่จะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ในท้องถ่ินท่ีมี
ความรู้เก่ียวกับการเตรียมเครื่องพิธี สืบชะตาจากการรวมตัวกันจึงเป็นบ่อเกิด
ของความสามัคคีในชุมชนท่ีต่างให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่มาก จาก
ประเด็นนี้ทาให้เห็นการเช่อื มจารีตประเพณีและความสัมพันธ์ในความสามัคคีของ
ชุมชน คือ การรักษาจารีตด้ังเดิมของชุมชนในล้านนา การรักษารูปแบบของการ
จัดเตรียมเครื่องสืบชะตา การร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชนเน่ืองจากการพิธีสืบ
ชะตาเป็นพิธีใหญ่จะต้องใช้คนจานวนมากในการการจัดเตรียมและการสร้างความ
สามัคคใี นชมุ ชน
๓๓ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
นอกจากนั้นยัง กระบวนการสืบชะตาในปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงไป
ตามบริบท ของสังคมในแต่ละพื้นที่ เช่น คนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจและไม่เห็นคุณค่าของ
พิธีกรรมการเตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรมเจา้ ภาพไมน่ ยิ มจัดเตรียมเองเป็นเพราะ
ไม่มีเวลา บริบทของสังคมเปลี่ยนเน้นความสะดวกรวดเร็วเงินและเวลาเป็นปัจจัย
ของการเปล่ียนแปลงและมีเจ้าพิธีรับจัดเตรียมเคร่ืองประกอบพิธีกรรมสืบชะตา
แบบครบวงจรโดยผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญ ในราคาท่ีกาหนดตามขนาดของงาน
และฐานะของเจ้าภาพ โดยท่ีเจ้าภาพเตรียมสถานท่ีและปัจจัยเพียงอย่างเดียว
เท่านั้นมีการเพิ่มประเภทของการสืบชะตา เช่น การสืบชะตาแม่น้าโดยอ้างอิงถึง
การสืบชะตาคนรวมท้ังประยุกต์ จัดร่วมกับพิธีอ่ืนไม่เน้นการสืบชะตาโดยเฉพาะ
และทแี่ ตกต่าง คอื พ้ืนท่จี ังหวัดลาปางมีการตงั้ เคร่อื งสืบชะตาสองแบบ คอื แบบ ๓
เสาและสเ่ี สา
ส่วนในภาพรวมของกระบวนการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม
และจิตวิญญาณของประเพณีสืบชะตาท่ีมตี อ่ ชมุ ชนในล้านนาเป็นเครื่องมือท่สี าคัญ
ในการผลักดันให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน อีกทั้ง
ยังเป็นเคร่ืองเก้ือหนุนหรือส่งเสริมขวัญและกาลังใจให้แก่สมาชิกในชุมชนล้านนา
ให้สามารถทาหน้าที่ของตน ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อให้เกิดความเข้มแข็งแก่
ชุมชนเป็นอย่างดี ภายใต้บริบทท่ีเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวทางด้าน
ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม ศาสนา สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็น
ธรรมชาติ นั่นหมายความว่า ถึงแม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงจากอดีตจนกระทั่งถึง
ปัจจุบันและก้าวสู่อนาคต พิธีกรรมสืบชะตาของชุมชนในล้านนาไทยน้ันจะยังคง
ปรากฏอย่ใู นวถิ ชี วี ิตและจิตวญิ ญาณตราบนานเทา่ นาน
เครือ่ งพธิ สี บื ชะตา
พิธีสืบชะตาน้ันมีอุปกรณ์ในการทาพิธีหลายอย่างด้วยกันคือ ๑.
กระบอกน้า ๑๐๘ หรือ บางคร้ังเท่าอายุ ๒. กระบอกทราย ๑๐๘ หรือ เท่ากับอายุ
๓. บันไดชะตา ๑ อัน ๔. ลวดเงิน ๔ เส้น ๕. ลวดทอง ๔ เส้น ๖. หมากพลูผูกติด
เสน้ ด้ายในลวดเงนิ ลวดทอง ๑๐๘ ๗. ไม้ค้า ๑ อนั ๘. ขวั ไข่ (สะพานข้ามน้า
๓๔ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ขนาดยาว ๑ วา) ๑ อัน ๙. ช่อ (ธงเล็ก) ๑๐๘ ๑๐. ฝ้ายค่าคิง จุน้ามัน (ด้ายยาว
เท่ากับตัวผู้สืบชะตา) ๑ สาย ๑๑. กล้วยมะพร้าว ๑ ต้น ๑๒. กล้วยดิบ ๑ เครือ
๑๓. เสื่อ ๑ ผืน ๑๔. หมอน ๑ ใบ ๑๕. หม้อใหม่ ๒ ใบ (หม้อเงิน หม้อทอง)
๑๖. มะพร้าว ๑ คะแนง (ทะลาย) ๑๗. ธงค่าคงิ (ธงยาวเท่าตัว) ๑ ผืน ๑๘. เทียน
เล่มบาท ๑ เล่ม ๑๙. ด้ายสายสิญจน์ล้อมรอบผู้สืบชะตา ๑ กลุ่ม ๒๐. บาตร
น้ามนต์ ๑ ลูก ๒๑. ปลาสาหรับปล่อยไปเท่าอายุผู้สืบชะตา ๒๒. นก หรือ ปู หรือ
หอย ๒๓. พานบายศรนี มแมว ๑ สาหรับ
วธิ กี ารจัดพธิ ี
นิมนต์พระสงฆ์ที่ตนเคารพนับถือมา ๙ รูป หรือมากกว่านั้น มาพร้อม
แล้ว เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชา พระรัตนตรัย ปู่อาจารย์นาไหว้พระอาราธนาศีล
พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน ให้ศีล แล้วปู่อาจารย์อาราธนาพระปริตร พระสงฆ์รูปที่ ๓
ชุมนุมเทวดาประธานนาสวดมนต์ สืบชะแบบภาคเหนือ มีคาสวดโดยเฉพาะหลาย
บทมีชนิ บันชร สวดสืบชะตา มงคลจกั รวาลน้อย และคาสวดทัว่ ไป ขณะท่ีพระสวด
น้ัน ผู้สืบชะตา แลลูกหลานน้ัน จะเข้าไปอยู่ในซุ้มสืบชะตา นั่งประนมมือฟังพระ
สวดพุทธมนต์จนจบ ตอนถึง "เอเสวนา จะพาลานัง" ผู้สืบชะตาจะต้องจุดเทียนชัย
หรือเทียนน้ามนต์ด้วย หลังจากสวดจบเจ้าภาพจะจัดให้มีเทศน์ ๑ กัณฑ์ เช่น
คัมภีร์สารากริ คัมภีร์โลกวุฒิ เป็นต้น หลังจากเทศน์จบจะมีการ ผูกมือให้ผู้สืบ
ชะตา พระสงฆ์จะประพรมน้ามนต์ให้ จากน้ันเจ้าภาพถวายภัตราหาร และ
ไทยทานท่ีเตรียมไว้แด่พระสงฆ์ เป็นเสร็จพิธี ประเพณีสืบชะตาบ้าน บ้านที่อยู่
อาศัยของประชาชนภาคเหนือน้ัน เกิดขึ้นจากการต้ังของชุมชนมีอายุเท่าน้ันเท่าน้ี
เช่นต้ังมาเม่ือปีมะแม พุทธศักราช ๒๔๐๐ หากนับมาเป็นปจั จบุ ันเป็นร้อยปมี าแล้ว
ตึความเชื่อของคนส่วนมากคิดว่าบ้านที่ตั้งมาตามฤกษ์ยามวันดีเสียนั้นประสบ
ความเดือดร้อนเจ็บป่วยกันไปท่ัวหน้า ในกรณีที่มีคนตายติดๆกัน ในบ้านเกินกว่า
๓ คนข้ึนไป ในเวลาไล่เลี่ยกัน ชาวบ้านถือว่า อุบาทว์ ตกลงสู่บ้าน ชาวบ้านจึงนา
เรื่อง "ขัดบ้าน ขัดเรือน" ชาวบ้านจะร่วมกันทาพิธีขจัดปัดเป่า เรียกว่า สืบชะตา
๓๕ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
บ้าน อีกประการหน่ึงปีใหม่สงกรานต์ล่วงไประยะวันปากปี ปากเดือน ปากวัน
ได้แกว่ ันท่ี ๑๖ , ๑๗ , ๑๘ เมษายน
ชาวบ้านจะกาหนดเอาวันใดวันหน่ึงสืบชะตาบ้านเพ่ือให้เกิดความ
สามัคคี แก่ตนเองและลูกหลานภายในบ้านของตน หมายเหตุ ป๋าเวณีสืบชะตา
สามารถทาได้ทุกเดือนไม่เฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง หอเส้ือบ้าน ในบ้านแต่ล่ะ
หมู่บ้านจะมีศาลเทพารักษ์ประจาบ้าน เป็นที่สิงสถิตย์ของฮัก หรือ อารักษ์ บาง
แห่งเรียกเจ้านายบ้าง หอผีเสื้อบ้าง เป็นสถานที่ศักด์ิสิทธ์ิรองมาจากบ้านทีเดียว
หากพิจารณาคาว่า "เสอ้ื " คือเครื่องนงุ่ ห่มท่ีใช้สวมใสส่ าหรับป้องกันความหนาวกัน
ความร้อน สัตว์น้อยใหญ่มียุงร้ิน เป็นต้น มารบกวนเบียดเบียน "เส้ือบ้าน" จึงมี
ลักษณะปกป้องบ้านไว้ มิให้คนท่ีอาศัยอยู่ในบ้านได้รับความเดือดร้อน เหมือนคน
ใส่เคร่ืองป้องกันสิ่งต่างๆ ฉะน้ัน ผีเสื้อบ้านมักจะตั้งอยู่กลางบ้าน ใช้เป็นสถานที่
ประกอบพธิ ีกรรม เริ่มจากหอเสอ้ื บ้านแต่มีศาลากลางบ้าน ก็จดั มพี ธิ กี รรมบนศาลา
น้ัน ราชวัตรประดับด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ต้นข่า นามาปัก รอบราชวัตรน้ัน โยง
ดา้ ยสายสิญจน์ตั้งแต่หอเส้ือบ้านไปยงั บ้านแต่ละแห่งครบทุกหลังคาเรือน บางครั้ง
โยงไปหาบริเวณ ๔ แจ่งบ้าน หรือ ๔ มุมบ้าน ขดั ราชวัตรทงั้ บรเิ วณ ๔ มมุ ประดับ
ธงทวิ ซ่งึ เรยี กกันวา่ "จอ้ " ทุกแหง่ มสี ีสนั แต่งกันไปตามทิศของท้าวจตุโลกบาล
การเตรียมของชาวบ้าน พิธีกร คือ ปู่อาจารย์จะส่ังให้ชาวบ้านเตรียม
วัสดุดังต่อไปนี้คือ ๑. นิมนต์พระสงฆ์แต่ละวัดมา ๙ รูป หรือมากกว่านั้น ตาม
เจตนาหากจะสวดพร้อมกัน ต้องนิมนต์พระครบท้ัง ๔ แจง่ บ้านแห่งละ ๙ รูป รวม
ทสี่ ่วนกลางด้วยตอ้ นิมนต์พระถึง ๔๕ รปู แตโ่ ดยมากหากไมเ่ กิดอุบาทว์ร้ายในบ้าน
จริงๆ เขาจะนิมนต์มาเจริญพรพุทธมนต์เพียง ๙ รูปเทา่ น้ัน ๒. เตรียมเคร่ืองสงั เวย
ทา้ วท้ัง ๔ บูชาเส้ือบ้าน เส้ือเมือง เทพารักษ์ ประจาหมู่บ้าน ๓. เตรยี มอปุ กรณ์พิธี
เช่น มะพร้าว เป็นคะแนง (ทะลาย) กล้วย ๑ เครือ หมากเค้ียว ๑ พะวง และห่อ
หมากพลู ๔. เตรียมเครื่องขันต้ัง คือ พานครูมีเครื่องบูชา คือ กรวยดอกไม้ ๑๐๘
ลกู เบ้ยี ๑๐๘ ข้าวเปลอื ก ๑ กระทง ข้าวสาร ๑ กระทง ผา้ ขาว ผา้ แดง อย่างล่ะ ๑
เมตร เงนิ ใส่ขันต้งั บางแหง่ เอา ๖ บาท บางแห่ง ๑๐๘ บาท บางแห่ง ๑,๓๐๐ บาท
๓๖ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
๕. เตรียมเครื่องสืบชะตา มีไม้ค้า ขัวไต่ (สะพาน) ลวดเงิน ลวดคา (ลวดทอง
กระบอกนา้ กระบอกทราย สาด(เสือ่ ) หมอน หมอ้ ใหม่ ๖. เตรยี มขันใส่ขา้ วเปลือก
ข้าวสาร และทราย ๗. เตรียมนา้ ขม้นิ ส้มปลอ่ ย หรอื บาตรน้ามนต์ ทรายตอ้ งนามา
ทุกครอบครัวเพื่อจะนาไปโปรยท่ีบ้านของตน ๘. ตาแหลว และเชื่อคาเขียงของ
ทง้ั หมดน้ีปู่อาจารยจ์ ะกาหนดใหแ้ ต่ละบ้านนามารวมกันท่ีส่วนกลางบ้านสาหรับทา
พิธี พระสงฆ์ ๙ รูปทาพิธี เม่ือพระสงฆ์ท่ีนิมนต์มาพร้อมแล้วปู่อาจารย์พร้อมด้วย
ศรัทธาจะทาพิธีไหว้พระรับศีลอาราธนา พระปริตร พระสงฆ์เจริญพุทธมนต์
สืบชะตาบ้าน ประชาชนจะนั่งจับด้ายสายสิญจน์หรือน่ังในวงล้อมด้ายสายสิญจน์
ฟงั พระสวดจนจบจากนั้นมีการฟังเทศน์ คัมภรี ์ทถี่ ือว่ามงคลและศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ไดแ้ ก่ ๑.
ธรรมโลกาวุฒิ ๒. ธรรมไชยน้อย ๓. ธรรมไชยสังคหะ ๔. ธรรมสังคหะโลก ๕.
ธรรมสารากริ หากทาพธิ ีสบื ชะตาบา้ นแบบขับไลอ่ ุบาทวจ์ ะต้องเทศนค์ ัมภรี ์อรนิ ทุม
คัมภีร์มหาตันติง ด้วยประชาชน จะเอาด้วยสวดมนต์ซึ่งเรียกกันแบบภาคเหนือว่า
"ฝ้ายหลวง" มาขอให้พระสงฆ์ผูกมือ ผูกขวัญให้ และอวยชัยให้พร เพ่ือความสุข
สวัสดีตลอดท้ังปี สาหรบั ผู้หญงิ เวลาผูกมอื จะขอผู้มีอายุ เช่น ปู่อาจารย์ ทาการผูก
มอื ให้ จากน้ันพระสงฆ์จะพรหมน้ามนต์ หวา่ นโปรยข้าวสาร ข้าวเปลอื ก ทัว่ บรเิ วณ
บา้ นแต่ละบ้านด้วย ซ่ึงของเหล่าน้ชี าวบ้านจะจัดเตรียมมาหลังจากการทาพิธี แล้ว
ก็นาไปโปรยบริเวณบ้านของตนเพื่อให้เกิดความสุขสวัสดี การสืบชะตาบ้านนี้ ปี
หน่ึงจะทาหนหนึ่งหากไม่ทาระหว่างสงกรานต์ ก็จะทาเดือนใดเดือนหนึ่งก่อน
เข้าพรรษา บางแหง่ นิยมให้ชาวบา้ นนาเส้ือผ้ามาร่วมพิธีดว้ ย การพรหมน้ามนต์ถือ
เป็นสิริมงคลสืบชะตาบ้านเป็นงานสาคัญที่ชาวบ้านจะต้องมาร่วมกัน เอาเงินมา
รวมกันจัดตามฐานะและศรัทธาของแตล่ ะคน นอกจากเงินแล้วยงั เอาข้าวสาร พริก
เกลือ และอาหารสดมาร่วมกันทาอาหารเลี้ยงพระ หรือบางแห่งตกลงกันนาอาหาร
ทป่ี รุงจากบ้านไปชว่ ยกันเล้ียงพระ สุดแท้แต่จะหาได้ตามมีตามเกิด เพราะคนเรามี
ฐานะไม่เท่าเทียมกัน ชาวบ้านส่วนมากไม่ค่อยรังเกียจกันในเรื่องฐานะ นับเป็น
สหธรรมท่ีน่าสรรเสริญประการหนึ่งการเอาสิ่งของเงินทองไปทาบุญน้ี ทาง
ภาคเหนอื เรียกว่า "ฮอมครัว" หรือ "วนั แตง่ ดา" คือวันไตรทานน้ันเอง ประเพณีสืบ
๓๗ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชะตาบ้านถือเป็นงานสิริมงคลส่วนรวมจะต้องช่วยกันทาทุกบ้านทกุ เรือน เป็นงาน
แหง่ ความสามคั คขี องมวลชนโดยแท้จรงิ
ชุดความรูท้ ่ี ๘
“การสง่ เคราะหส์ ง่ สะตวง”
การส่งเคราะห์ เกิดจากความเช่ือของบุคคลที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ
ขึ้นกับตนเองหรือผู้ใกล้ชิด ต่างก็เช่ือกันว่าเหตุการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นกับตนเองหรือ
ผู้ใกล้ชิดนั้น เกิดจากเคราะห์ได้เข้ามาสู่ผู้น้ัน จึงได้หาวิธีการท่ีจะขจัดปัดเป่า
เคราะห์นั้นให้หมดส้ินไป ซึ่งเป็นการขจัดความวิตกกังวลท่ีเกิดในจิตใจให้หมดสิ้น
ไป เคราะห์ท่ีเกิดข้ึนนั้นเช่ือว่าเกิดจากภูตผีปีศาจหรือรุกขเทวดาที่โน่นท่ีน่ีทาเอา
จึงต้องทาการสง่ เครื่องเซ่นไปวา่ ย เพอ่ื ให้เคราะหน์ ัน้ หมดส้ินหรอื เบาลงไป
๓๘ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ผู้ท่ีํทพิธีส่งเคราะห์คือ อาจารย์ การประกอบพิธีกรรม จะมีบรรดา
ญาตขิ องผเู้ จบ็ ป่วยและผปู้ ว่ ยเข้ารว่ มในพิธีกรรม เครือ่ งบูชา ประกอบดว้ ยตงุ (สาม
หก เก้า หรือสิบสองตัว ก็แล้วแต่ข้อกาหนดของปู่อาจารย)์ รูปปั้นดินเหนียวรูปคน
รูปสัตว์ต่างๆ เช่น ช้าง วัว ควาย เสือ งู ไก่ นอกจากน้ีก็มีกล้วย อ้อย หมาก พริก
บุหร่ี ข้าวสุก อาหารคาว (แกงดิบและแกงสุก) อาหารหวาน เครื่องบูชาเหล่านี้จะ
บรรจไุ ว้ใน สะตวง ซึง่ ทาด้วยกาบกล้วยทาเป็นรูปส่เี หลีย่ มจัตุรัส ปู่อาจารย์กจ็ ะนา
สะตวงน้ันไปยังทางสามแพร่ง หรือทิศทางท่ีไม่ถูกกับลักขณา ของผู้ป่วย และจุด
ธปู เทยี นบชู าภูตผีปศี าจ ยกสะตวงขน้ึ จบเหนือศีรษะ และกล่าวอญั เชญิ ภูตผปี ีศาจ
เทวดาอารักษ์ให้มารับเครื่องเซ่น แล้วจึงวางสะตวงไว้ โดยปล่อยให้นกกามากิน
ของในสะตวงนั้นเป็นอันเสรจ็ พิธี
อน่ึงในขณะทาเครื่องบูชาน้ัน ปู่อาจารย์จะประกอบพิธียกครูให้ผู้เป็น
อาจารย์ การยกครูหรือเรียกว่า การต้ังขันตั้ง เครื่องขันต้ังส่วนมากจะมีหมาก พลู
ผ้าขาว เงินค่าครู (ไม่ได้กาหนดไว้ว่าเท่าใดแล้วแต่ปู่อาจารย์จะเป็นผูก้ าหนด) และ
เหลา้ ๑ ขวด
สะตวงเป็นส่ิงของพ้ืนเมืองที่จัดทาขึ้นใช้ในการประกอบพิธีกรรมเพื่อ
ถวายเทพ เช่น เทพท้ัง ๖ ทิศ คือการขึ้นท้าวทั้ง ๔ หรือเป็นส่งเคราะห์ต่างๆ ซึ่ง
เป็นประเพณีวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ พิธีกรรมที่ใช้ทามี
หลากหลาย ได้แก่
๑. การส่งเคราะห์นาราท่วั ไป
๒. การสง่ พ่อแถนแมแ่ ถน (พ่อเกิดแม่เกดิ )
๓. การส่งราหู ๙ ห้อง
๔. การส่งตัวเปิง่ (ตัวเกิด) ตัวชน(โดนของไมส่ บาย)
๕. การขึ้นท้าวทั้ง ๔ ทิศ มี ๖ สะตวง คือ ทิศเหนือ, ทิศใต้, ทิศ
ตะวันออก, ทิศตะวันตก, ทิศเบ้ืองบน (พญาอินทร์), ทิศเบื้องล่าง (บนดิน,แม่พระ
ธรณ)ี
๓๙ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
วัสดุอุปกรณ์ (ใช้ทาสะตวงและสง่ิ ของท่ใี สใ่ นสะตวง)
สะตวง มีความหมายคลา้ ยกระทง ทาจากกาบต้นกล้วย ดังน้ี
๑. กาบกล้วยยาวประมาณ ๑ คืบ หรือ ๑ ฟุต ตามท่ีต้องการ พับให้
เปน็ รูปส่เี หล่ียมจัตุรสั
๒.ไมต้ อกแบนๆ ยาว ๑ คืบ หนาพอประมาณ เสียบที่สะตวง ๔-๖ อัน
๓. ปูพ้นื ดว้ ยใบตองกลว้ ย
๔. มัดสายหว้ิ ทีม่ มุ ๔ มุม เพือ่ ห้ิวหรือนาไปแขวนไดส้ ะดวก
๕. ดอกไม้ , ธูปเทยี น , ขา้ วตอก
๖. ช่อน้อย, ตุงชัย , ธูปสามเหลี่ยมกว้าง ๑ น้ิว ยาว ๒ น้ิว ตัดเป็นรูป
๓ เหลี่ยม
๗. แกงสม้ แกงหวาน ประกอบดว้ ย ผกั กาด, ใบมะขาม, พริก, เกลือ
๘. ออ้ ยหนั่ เปน็ ท่อนเลก็ ๆ, กลว้ ยสุก, มะพร้าวห่นั เปน็ ช้ิน (เรยี กรวมกัน
ว่า แกงสม้ แกงหวาน มะพร้าว ตาล กล้วย ออ้ ย)
๙. ขา้ วสกุ , ขนม, ข้าวตม้ ต่างๆ
๑๐. รูปสัตว์ประจาปีเกิดป้ันด้วยดินเหนียวหรอื ดินน้ามัน เช่น ป้ันเป็น
รูปเสอื , หมู, ววั , ไก,่ ฯลฯ อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง ๑ ตวั
๑๑. ปั้นเป็นรูปคน ๑ คน
๑๒. เส้ือผา้ เครอ่ื งแต่งตัวขนาดเลก็
๑๓. กระจก, หวี, แป้ง, เครอ่ื งประดบั , เส้อื ผา้ ของคนป่วย ฯลฯ
๑๔. นา้ ขมิน้ ส้มปอ่ ย, ใบผปี ่าย, ใบหนาด, ใบพทุ รา, ใบหญา้ คา
๑๕. ถว้ ยข้าวสาร, ผ้าแดงผ้าขาว ใส่เงินค่าขนั ครู
๔๐ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ชดุ ความรูท้ ่ี ๙
“การฮอ้ งขวัญ”
พิธีกรรม “เฮียกขวัญ” หรือเรียกขวัญตามความเช่ือของ หมอ
เมอื งเช่ือว่า ในรา่ งกายของคนเราประกอบดว้ ยธาตทุ ้งั ๔ คอื ดิน ํนา้ ลม ไฟ ก่อ
ตัวกันขึ้นมาเป็นรูปร่างที่ประกอบด้วยอาการ ๓๒เป็นอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
และเชื่อว่าจะมี “ขวัญ” หรือจิตเข้ามาเป็นส่วนคอยควบคุมการดารงอยู่ของ
ร่างกายเช่น ขวัญแข้ง, ขวัญขา, ขวัญตา, ขวัญหู, ขวัญใจ, ขวัญคอ ซ่ึงขวัญของ
ส่วนต่าง ๆ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์กันท้ังร่างกายและจิต หรือขวัญซ่ึงหากส่วนใด
ส่วนหน่ึงได้รับการกระทบกระเทือนก็จะส่งผลให้อีกส่วนได้รับผลกระทบไปพร้อม
ๆ กัน อาทิเช่น เมอื่ รา่ งกายได้รบั ความกระทบกระเทอื นบาดเจ็บข้ึนมาก็ย่อมส่งผล
ให้จิตใจไดร้ บั ผลดงั กล่าวตามกนั
ดังน้ัน เมื่อร่างกายและจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนก็
ย่อมจะมีแนวทางในการแก้ไขหรือการเสริมสร้างให้ท้ังสองส่วนกลับคืนสู่สภาพ
๔๑ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
ปกติ ซึ่งการรักษาทางกายนั้นจะมุ่งเน้นการรักษาโดยการใช้ยาสมุนไพรและ
กระบวนการรักษาอื่นท่ีเน้นวิธีการรักษาแต่เพียงภายนอก แต่ทางด้านจิตใจ
นอกจากการให้กาลังใจแล้วกระบวนการ “เรียกขวัญ / สู่ขวัญ ” ถือเป็นอีก
แนวทางหนึ่งท่ีหมอเมืองได้มีการนามาใช้ในการรักษาเพื่อการเสริมสร้างสภาพ
จิตใจให้คืนสู่สภาพปกติ ดังน้ัน ประวัติความเป็นมาของการเรียกขวัญและการสู่
ขวัญตามความคิดเห็นของหมอเมืองเชื่อว่า การเรียกขวัญและการสู่ขวัญมีประวัติ
ความเป็นมาสบื เนอ่ื งมาจากสาเหตกุ ารเจ็บปว่ ยของคนเราโดยเฉพาะการเจบ็ ป่วยท่ี
เกี่ยวข้องกับจิตใจซึ่งจาเป็นต้องหาแนวทางในการรักษา ซึ่งกระบวนการเรียกขวัญ
/ สู่ขวัญ ถอื เป็นอีกแนวทางหนงึ่ ทไ่ี ดม้ ีการถอื ปฏิบตั ิสบื ต่อ ๆ กนั มาจากรนุ่ สู่รนุ่
ตามความเชื่อของหมอเมืองเช่ือว่า ขวัญจะมาอยู่กับเนื้อกับตัว
ของเรา ซึ่งหากทุกวันน้ีถ้าคนเราไม่มีขวัญก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น เม่ือมี
อาการเจ็บปว่ ยทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ขวัญจึงตอ้ งทาการเรียกขวญั และสู่ขวญั เพื่อทีจ่ ะชว่ ย
ให้อาการเหล่าน้ันหายเป็นปกติ ถือได้ว่าการเรียกขวญั / สขู่ วัญก็คล้ายกับเป็นการ
ชะโลมจิตใจหรือปลอบใจเพอ่ื ใหจ้ ิตใจดีข้นึ ดังไดก้ ลา่ วไว้วา่ คนเรามี ๓๒ ขวญั เม่ือ
เกิดอาการเจ็บป่วยตามความเช่ือของหมอเมืองเชื่อว่า อาการเหล่าน้ันมักจะเกิด
จากขวัญใดขวัญหนึ่งได้หายไปไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อให้เกิดความไม่สบายกายไม่
สบายใจ เช่น เกิดจากการตกใจ เกิดจากการประสบอุบัติเหตุจนทาให้เกิดอาการ
เจ็บป่วยซึ่งอาการเจ็บป่วยเหล่านี้ถือเป็นอาการเจ็บป่วยท่ีทราบสาเหตุที่ชัดเจนจึง
ทาการเรยี กขวัญ /สู่ขวัญได้โดยไมต่ ้องทาพิธีการที่เรียกว่า “บนขวัญ” ซึ่งพิธกี าร
บนขวัญจะกระทาเม่ือไม่ทราบสาเหตุหรือเมื่อเราไม่ทราบว่าอาการเหล่านั้นเกิด
จากขวัญหายไปหรือไม่จึงได้มีการบนขวัญ โดยกล่าวคาโวหารหรือคาอ้อนวอนให้
อาการเจบ็ ปว่ ยหายภายใน ๓ วนั ๗ วัน ซง่ึ ขั้นตอนการบนขวญั จะบนกับตวั ผู้ปว่ ย
เอง
ประเภทของการเรียกขวญั
พิธีกรรมเรียกขวัญสามารถแบ่งออกตามลักษณะของการประกอบพิธี
ได้ ๕ ลกั ษณะ ดังน้ี
๔๒ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
(๑) การเรียกขวัญคนป่วย เป็นพิธีกรรมที่ทาเพื่อเป็นการรักษาสภาพ
ทางด้านจิตใจของผู้ป่วยโดยที่ไม่ต้องทาการตรวจสอบหาสาเหตุของการเจ็บป่วย
แต่อย่างไร
(๒) การเรยี กขวัญหยิบขา้ ว เป็นพธิ ีกรรมท่ที าเพอ่ื ตรวจสอบขวัญผปู้ ว่ ย
มาอย่กู ับเน้ือกับตวั หรือไม่
(๓) การเรียกขวัญต้ังไข่ เป็นพิธีกรรมท่ีทาเพ่ือการเสี่ยงทายหาสาเหตุ
ของการเจบ็ ปว่ ยท่เี กยี่ วกับขวัญ
(๔) การเรียกขวัญปักเทียน เป็นพิธีกรรมที่ทาเพ่ือการเส่ียงทายและ
ตรวจสอบอาการเจ็บป่วยเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของการเจ็บป่วยว่าเกิดจากสาเหตุ
อะไร
(๕) การเรียกขวัญเข้าร่างหรือการเรียกขวัญลงร่าง เป็นพิธีกรรมท่ี
มั ก จ ะ ใ ช้ กั บ ผู้ ป่ ว ย ท่ี มี อ า ก า ร ห นั ก เ ป็ น พิ ธี ก ร ร ม ที่ ท า เ พื่ อ วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ใ น ก า ร
ตรวจสอบหาสาเหตุของการเจ็บป่วยอย่างละเอยี ด
การเรยี กขวญั คนปว่ ย
(๑) ประวัติความเปน็ มาของการเรยี กขวญั คนปว่ ย
การเรยี กขวัญคนป่วยนั้นมีสาเหตุมาจากการเจบ็ ปว่ ยในลักษณะต่าง ๆ
จนทาใหข้ วัญไมอ่ ยู่กับเนือ้ กันตวั มีอาการเบื่ออาหาร เศร้าซึม นอนไมห่ ลับสามวันดี
สี่วันไข้ หรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุตกต้นไม้ ตกรถ รถชนจนทาให้ได้รับบาดเจ็บ
ซง่ึ ภาวการณเ์ จ็บปว่ ยเหล่าน้ีได้ทาให้ขวัญใดขวัญหนึ่งในร่างกายของผปู้ ่วยหนีออก
จากร่าง จงึ ต้องไดร้ ับการรักษาดว้ ยวิธกี ารเรียกขวัญ ซึ่งการประกอบพิธกี รรมเรยี ก
ขวัญคนป่วยไม่จาเป็นต้องทาการเสี่ยงทายหาสาเหตุแต่อย่างไร เพราะการเรียก
ขวญั คนป่วยสว่ นใหญ่จะทราบสาเหตขุ องผูป้ ว่ ยอยแู่ ล้ว เปน็ ตน้
๔๓ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
(๒) ขัน้ ตอนและวธิ กี ารเรยี กขวัญคนป่วย
เมื่อสมาชิกภายในครอบครัวประสบอุบัติเหตุหรือมีอาการเจ็บป่วย
ญาติก็เชญิ หมอผู้ทาหน้าทปี่ ระกอบพิธีกรรมการเรียกขวัญมาประกอบพธิ ี โดยหมอ
ผู้ประกอบพิธีกรรมจะแจ้งให้ญาติได้เตรียมบายสีหรือชฎาขวัญ ๓ ยอด มี ๖ กาบ
ในชฎาขวัญ ๓ ยอด ประกอบด้วย ดอกไม้ ของหอม และอุปกรณ์ในการแก้บนซ่ึง
ประกอบด้วย ไก่ต้ม ๑ ตัว ไข่ ๑ ฟอง เหล้า ๑ แก้ว ํน้า ๑ แก้ว กล้วย ๑ ลูก ข้าว
สุก ๑ ปั้น ข้าวต้ม ขนม เมี่ยงบุหร่ี ของส้ม ของหวาน หมาก เทียน ๓ เล่ม ใส่ตรง
ยอดทั้ง ๓ ยอด ดา้ ยสายสญิ จน์ ๕, ๗, ๙ เล่ม เสื้อผ้าของผูป้ ่วย ํน้าส้มป่วย ๑ แก้ว
สาหรับการส่งเคราะห์ ปัดเคราะห์ ปัดภัย และจัดเตรียมขันครูซ่งจะแบ่งออกเป็น
๒ ลักษณะ คือ ขัน ๘ และขัน ๑๖ ดังน้ี ขัน ๑๖ จะประกอบด้วย สวยหมาก ๘
สวยพลู ๘ สวยดอกสวยเทียน ๘ หมาก ๘ขด ผ้าขาว ผ้าแดง เทียนคู่บาท เทียนคู่
เฟอื้ ง เบีย้ พนั สาม หมากพันสาม ซ่งึ เคร่อื งใสข่ นั ครตู า่ ง ๆเหล่าน้ี ญาตผิ ู้ปว่ ยจะเป็น
ผจู้ ดั เตรียมรวามแลว้ เรยี กว่าขนั ๑๖ ซงึ่ จะต้องใส่วตั ถุ (เงนิ ) ๓๖ บาท
ส่วนขัน ๔ ประกอบด้วย สวยหมาก ๔ สวย สวยปู ๔ สวย หมาก ๔
ขด หมากหัว พลูมัด และอ่ืน ๆคลา้ ยคลึงกับขนั ๑๖ แต่จะลดจานวนใหเ้ หลือเพียง
๔ อย่าง ซึ่งทั้งหมดรวามเรียกว่าขัน ๘ ซึ่งจะตอ้ งใส่วัตถุ(เงิน) ๑๕ บาท เม่ือเตรียม
เคร่ืองชฎาขวัญและเครื่องขันครูเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอผู้ประกอบพิธีกรรมการ
เรียกขวัญจะทาการประกอบพิธีกรรมดังกล่าวโดยจะเริ่มจากการก ล่าวคาโวหาร
หรอื บทสวดในการเรียกขวญั ดงั นี้
“อะชะโส อะชะไชโย อะชะในวนั น้ีก็เปน๋ วันดี เป๋นวันศรีใสเชยี งคาน มี
ทั้งเคร่ืองอะรังการเส้ือผ้าตกแต่งไว้ถ้านานา มีท้ังช้ินและปลา มีพวงมาลาดอกไม้
ฝูงเงินคามีบ่อไร้ เจ้าหากเกิดมาดี ลูกลาภร้อนรักขะณะถ้วนเลาเลิง บ่สมเพิงเพา
และเจ้า หากเกิดมายากเล่าหนักหนา ทรงคาพระดาเมินมาก สิบเดือนหากบัวระ
มวนเจ้าจึ่งประสูติ บางพ่องเกิดเป็นหูดเป็นเปา เน้ือบ่เลาเรียนเกล้ียงสูงํต่าพํ่า
เหมือนกันสูงํตา่ ขาวดามหี ลายหลาก อันถกู ลกั ษณะก็หายากมีแควนหย้อย อายุเจ้า
ยังบ่อพอรอ้ ยบ่พอพนั เถงิ หกสงิ เถิงสังขารหัวหงอกตาเบน้ิ หมอกจักขุญาณเทา่ เทียว
๔๔ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
สงสารหลายกานิด เจา้ เกิดมารว่ มศาสนา พระแต่งต้ังว่า อรัมโคญาณกบ็ ่ผาเสริฐ บ่
เบิ้นที่เกิดแห่งสัพญตามอุดรโขเลยบ่แขะข้องข้ิง ก็บ่ยิ่งเหลือกว่าชมพูเรา ฝูงเทวดา
เขาเลงดูชู่แห่ง พระยาอินทร์จงึ ใช้เทวบตุ รลงมาเวียนเอาช่ือแห่งตนบุญใส่หลายเงิน
ไว้ถา้ ฝงู ใจหยาบช้าสาหดเอาหนังหมามาจดซื่อไว้คู่หญงิ ชาย เหตุน้นั เราควรกระทา
บุญหลายมามาก บ่ควรดเี รียกยากแท้เล้า เพราะอายุเจ้าบ่พอร้อยพอพัน บ่พอเบ้ิน
อั้นช้ันฟ้า ขวัญเจ้าจะไปน่ังขอยหน้าสู่เมืองผี จุ่งหื้อคืนมาดีดังเก่า ห้ือเจ้าได้เว้น
ทานแลว้ ทานเล่าบุญนกั กว่าบญุ เกา่ หลาย ห้ือเจา้ เว้นเสยี ยังอบายทงั้ ส่ี ห้ือเจ้ามาอยู่
เรือนมงคล ห้ือเจ้าสืบแทนตระกูลเผ่าพันธ์ุวงศ์พ่อแม่ ขวัญเจ้าอย่าไปล่าเล่นยังดง
ขวัญเจ้าอย่าไปหลงเสียยังแมํ่น้าแถมปลา ขวัญเจ้าอย่างไปอยู่ยังทุ่งยังนากลางป่า
อย่าไปอยู่จิ่นนาคาแถมหมู่ ครุฑหากหลายเหลือ ขวัญเจ้าอย่าไปพั่งเมือเมืองไว้ ตู
อยา่ คองหนั จุง่ คืนมาพันโดยรบี มังคะละทีบดตี ขวัญเจ้าอย่างไปสวดล่าเมืองผีต่าง
ด้าว ขวัญเจ้าอย่าไปเมืองท่านท้าวไอยศวรขวัญเจ้าอย่าไปอยู่สุขสรวนมวนเล่น ที่
เถ่ือนํถ้าย่านํน้าวังคูหา ขวัญจักขุตาทั้งคู่ ขวัญดังจมูกจุ่งมาอยู่กับดัง(จมูก) ดม
ดอกไม้ ขวัญหูเจ้าจุ่งมาอยู่หูไว้ฟังธรรม ห้ือมาท้ังขวัญแขนลาบ่องแก้ว ห้ือมาท้ัง
ขวัญแอวแค้วและอกกลม หื้อมาท้ังขวัญถานานมท้ังคู่ ขวัญท้องอย่าอดด้วยคากิน
ขวัญแคง่ ห้ือได้อดเตียวดนิ หม่ันย้าย ขวัญตีนเจา้ อย่าแอ่วฝา้ ยลีลา สามสิบสองขวัญ
เจ้าจุ่งมาด้ังเก่าเตอะเนอ ขวัญเฮยขวัญหัวเข่าอย่าคอนห้ือมาทั้งขวัญตนนอนสาด
หอื มาทัง้ ขวัญปากท่ีเจ้าเคยฟูจาหวาน ห้ือมาทงั้ ขวญั น้ิวนางนิว้ กอ้ ยแม่มือ หอ้ื มาท้ัง
ขวัญสายดือขวัญค้ิวขวัญสิบนิ้วอยู่ตีน ขวัญเจ้าอย่าไปบินแอ่วผ้าลีลา สามสิบสอง
ขวัญเจ้าอย่าไปแกมเถ่ือนช้างกินขวีขวัญเจ้าอย่าไปแกมนางณีออกค่าง ขวัญเจ้า
อย่าไปอยู่ท่ีบ่างโอราที่กวงไม้ใหญ่ ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่ที่แม่ไก่สองหงอน ขวัญเจ้า
อย่าไปละอองํต่าต้อย ขวัญเจ้าอย่าไปเล่นหมากรุกหน้อยและหมากสกา จ่ิงนาง
เทวดาเขาแก้วขวัญเจ้าอย่าไปเสวยแลว้ จิ่มนายพาน ขวญั เจ้าอย่าไปหลงเสียดงคาท่ี
สลอกห้วย ท่ีรุ้งคาวกินกลว้ ย ท่ีป่าไมบ้ ่มีคน ขวัญเจ้าไปเววนเสียยงั กางปา่ ไม้แกมผี
ขวัญเจ้าอย่าไปไปอยู่จีมเศรษฐีและช่างหม้อ ขวัญเจ้าอย่าไปแกมไม้อ้อและไม้เลา
ขวัญเจ้าอย่าไปเมืองจอมเขาไกลาส ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่อากาศกลางหาว ขวัญเจ้า
อย่าไปอยู่กลางเดือนดาวยังฟ้า ขวัญเจ้าจุ่งหื้ออว่ายหน้าคืนมา เนอขวัญเนอ ขวัญ
๔๕ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
เจ้าอย่าไปอยู่ท่ีศาลาหลสูงเก้าห้องขวัญเจ้าอย่าไปอยู่ที่ฟ้าร้องแผ่นดินสุด ขวัญเจ้า
อยา่ ไปอยูท่ ีส่ มุทรหลวงและคงคาใหญ่กว้าง ขวญั เจา้ อยา่ ไปอยู่
ในท้องช้างเอราวันเนอเจ้า ขวัญทวารจุ่งมาอยู่ทวารทั้งเก้า ขวัญเจ้า
อย่าไปอยู่เมืองย่าเฒา่ ดอกซอนมาร ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่จีมรื้นและยุงยังผา ขวญั เจ้า
อย่าไปอยู่ท่าํน้าและทางหลง ขวัญเจ้าอย่าไปชมดวงดอกไม้ท่ีด่านฮ้อเทือกแก้ว
ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่กับแมลงและนกแอ่นเหวัน ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่จีมนกเขาคูและ
นกเขาทอง ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่หมอกเกียวจอยวอย ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่จ่ิมแม่นกจา
รอยและเขาตู่กาแก ขวัญอยา่ ไปอยู่จิ่มนกแลข้างปากเปนคาคน ขวัญเจา้ อย่าไปอยู่
จีมแม่นกเอ้ียงด่างและถัวดา ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่จีมหงษ์คคาและไก่เถ่ือนขวัญเจ้า
อย่าไปเปนเพื่อนมะนาวริพลท่ีน้ันนาเบ็นท่แี ฝงไผ่เล่นแหง่ พญาธร สามสิบสองขวัญ
เจ้าจุ่งมามาเรียบร้อย ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่ที่พระยอดสร้อยเมืองไกล ท่ีแม่ตาไหลตา
คาลุ่มํน้า ขวัญเจ้าอย่าไปอยู่เถ่ือนํค้าคีรีในดงรีเทคท้อง โขงเขตห้องเมืองอุดรโข
ขวัญเจ้าอย่าไปมัวเมาอยู่โขงชมพูยาวย่านกว้าง ขวัญอย่าไปอยู่ท่าท่างขะโนมา
ขวัญเจ้าอย่าไปเป๋นเพื่อนพญาอยู่ในเรื่องนาค ขวัญเจ้าอย่าไปฝากฟ้ากหกสวรรค์
ขวัญเจ้าอย่าไปสงวนม่วนเล่น ชุอยู่ในเทศทอ้ งโขงเขตหอ้ งเมอื งไกล ขวญั เจา้ อย่าไป
ร้องํร่าไห้อยู่วอย ๆ ขวัญตีนรอยก็หื้อมาอยู่เน้ือ ขวัญติดเสื้อผ้าก็หื้อมาอยู่ตัว ขวัญ
หัวก็หือมาอยู่งามแง่ ขวัญแหล่ก็ห้ือมาอยู่แหล่งามงาม ขวัญขาก็ห้ือมาอยู่ขาตั้งคู่
ขวัญหูดังคางขวัญแก้ม จุ่งหื้อรีบเร็วพลันมาเตื่อมแง จุ่งหื้อมาอยู่ดังอยู่แก้มเป๋นอา
จิน ขวัญตีนนายอันท้องเท่ียวผ้าย ขวัญท่ียกย่างย้ายก็ห้ืออยู่ท่ีไผที่มัน จุ่งอยู่ยืนยง
เท่ียงเท่าเตอะเนอ เมื่อเรียกขวญั เสร็จแล้วกใ็ ห้ผกู มอื พร้อมวา่ ดงั น้ี
“ศรีสวัสดี สิริโยค อุตตะมะโชคมากเนืองนองเงินคามีหลายกองบ่อรู้
ค่าย ข้าจักผูกมือซ้ายเจ้าไว้บ่หื้อขวัญเจ้าหนี จักผูกหื้อขวัญเจ้าอยู่ดียิ่งกว่าเก่า จัก
ผูกขวัญเจ้าเล่าไว้กับตน จักผูกดว้ ยฝ้ายมงคลอันวิเศษฝ้ายขาวเทศอันบริสุทธิ์ ฝ่าย
อันคนมนุษย์หาใช้อุปโภค เส้นฝ้ายมนุษย์ษะโลกหากลือแพง แม่หลักผูกเพกผูก
แสงก็หมั้น บ่สั้นบ่ยาวมอง พอผะหมาน แม้นจักผูกช้าเพลายสารก็อยู่ ผูกเอางัว
ควายขี้ลูกก็พน แม่นจักผูกมือหื้อคนหายพยาธิ ดีกว่าเชือกชะบ้วงบาตรแห่ง
๔๖ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
พญานาค ตนชื่อว่าวิรูปักขะ ฝ้ายเส้นนี้มีอานุภาพแคว้นวิเศษ อันประกอบด้วยสา
ถะเพดอันได้แต่เมืองตะกะศีลามา ข้าจักผูกขวัญเจ้าไว้บ่หื้อใหลคล้า ข้าจักผูกแขน
นายเบ้ืองซ้ายไว้บ่หื้อขวัญเจ้าหนี ไปอยู่จีนผีในป่า บ่หื้อขวัญเจ้าล่าเดินดง บ่ห้ือ
ขวัญล่าหลงไปแอ่วเหล้น บ่หื้อต่ืนเต้นตกใจ บ่ห้ือไปอยู่กลางดงไพรในป่าเถื่อน บ่
ห้อื ไปเป๋นเพื่อนแรด ช้างและเสือหมี บ่หอ้ื ขวัญเจ้าไปอยจู่ ิ่มผยี ักษ์ผีเย็นตัวใหญ่ ข้า
จักผูกขวัญเจ้าไว้หื้อเป็นมงคล คือแขนดวงผาเสริฐ แขนข้างามํล้าเลิศเหมือนดัง
ลอดเงินดี มเี ล็บยาวขว้างเหมือนดังงาช้างเอราวัณ สัพพะภัยยะมีร้อยและพันแสน
ํล่าหรือหลิ่งค้อยพํา่ ฉิบหายปลายมือเจ้าเป็นอาวุธห้าเย่ืองรกั ษาตน สัพพอนทราย ก็
หรือหายพาดเหมือนด่ังํน้ากล้ิงตกจากใบบัวน้ันแท้ดีหลี ห้ือเจ้าได้อยู่ดีมีฑีฆาอายุ
มั่นยืนยาวน้ันยุ่งจักมี อมพุธโธ รกขิตติ ธมโม รกขิตติ สังโฆ รกขิตติ ลมพนังมหา
พนงั อมสวาหะ” หลงั จากผูกมอื ซา้ ยเสรจ็ ใหผ้ ูกมือขวาอกี แลว้ กล่าวดงั นี้
“อะชะในวันนี้ ก็เป๋นวันดี ศรีไชยโชค วันนี้ก็เป๋นวันพ้นโทษโศกา ข้า
จักผูกมือขวาแห่งเจ้า จักผูกมือไว้เล่าด้วยฝ้ายอันบริสุทธิ์ เพ่ือห้ือเป๋นมงคล ห้ือพ้น
จากกังวนทุกสิ่ง หรือขวัญเจ้าอยู่หม้ันยิ่งกับตนแท้ดีหลีหรือหม้ันเหมือนด่ังปะฐพี
อันหนาได้สองแสนสี่หม่ืนโยชน์ ห้ือหมั้นเหมือนดังดอยหินหนักได้แสนโกฏิสัง
คะหยา ห้ือหม้ันเหมือนกันทะมาทะนะสะอาดห้ือหม้ันเหมือนดังเขาแห่งพระยา
อินทร์ตาธิราช ห้ือหมั้นเหลือขนาดเหมือนดังหินปันดูกาพะระศีลาแห่งพระยา
อนิ ทรต์ าธริ าช หื้อหมั้นเหลอื ขนาดเหมอื นด่ังเสาอินทะขนิ อันฝังไว้หมั้นบ่รู้ คลาใคล
หื้อหมั้นเหมือนมหินสีมา อันพระสังฆเจ้าหากปลูกไว้ ข้าจักผูกมือเจ้าน้ีไซ้ หรือเจ้า
ได้อยู่สุขสบาย ปลายมือเจ้ามีห้าก่ิง หรือมีเดชะย่ิงกว่าดาบศรีกัณซัย กับเจ้า
เหยียดมืไปทางใดก็หื้อผีกลัวเหมือนใจจะขาด สัพพพยาธิเจ้าก็ห้ือหาย คลาย
จากตน๋ ตัวเจ้าไปเสียวนั นีย้ ามนี้สั้นจ่งุ จกั มีแท้ดีหลีเตอะ ”
ในขณะทีห่ มอจะประกอบพิธีเรียกขวัญตามความเชื่อของหมอบางราย
จะทาการปัดเคราะห์ใหผ้ ู้ปว่ ยกอ่ นประกอบพิธีในบางอาจารย์จะทาการปดั เคราะห์
ก่อนทาการป้อนข้าวขวัญหรือช่วงกลางบทสวด เมื่อเสร็จแล้วก็ทาการผูกข้อมือ
ผู้ป่วย และให้พรแก่ผู้ป่วยสาหรับขั้นตอนการสู่ขวัญหรือพิธีป้อนข้าวป้อนํน้าป้อน
๔๗ | ชุ ด ค ว า ม รู้ มั ค น า ย ก ( ปู่ จ า ร ย์ ) ล้ า น น า
เหล้าจะกระทาภายหลังการประกอบพธิ ีเรยี กขวัญเสรจ็ โดยจะปอ้ นเป็นคา ๆ ใส่ใน
ฝ่ามือของผู้ป่วยหลังจากป้อนข้าวป้อนํน้าเสร็จผู้ป่วยก็จะนาข้าวน้ันไปใส่ไว้ใน
“กวกข้าว” ท่ีเตรียมไว้ในชฎาขวัญ หลังจากน้ันหมอผู้ประกอบพิธีกรรมก็จะทา
การผกู ข้อมือแก่ผปู้ ่วยถอื เป็นอันเสร็จพิธีเรียกขวญั ผู้ป่วยหลงั จากเสรจ็ พิธที ้ังหมดก็
จะนาชฎาขวัญ เสือ้ ผา้ ของผปู้ ่วยขวัญวางไว้ตรงเหนอื ท่นี อนของผปู้ ว่ ย ๓ วัน ๗ วัน
และนาข้าวท่ีป้อนขวัญท่ีอยใู่ นผ่ามือหรืออย่ใู น “กวกข้าว” ให้นาไปฝากกับปู่ดาย่า
ดา (เตาไฟหม้อนึ่งไหข้าว) โดยให้กล่าวคาโวหารดังน้ี “บัดน้ีข้าพเจ้าจะได้เอาข้าว
ขวัญที่มาอยู่กับเจ้าของเหล่านี้มาฝากกับปู่ดา ย่าดา ให้ได้ปกปักรักษาและขอให้
หายจากการเจ็บป่วยส่วนของเศษของเหลือเหล่าน้ีจะขอนาไปกินเสีย ”หลังจาก
นนั้ จึงสามารถนาเอาเครอ่ื งบชู าต่าง ๆ มารับประทานได้