39
รูปที่ 4.12 แสดงผลการแปลความหมายแผนท่ีค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก โดยเส้นประแสดงถึง
ขอบเขตโซนแม่เหล็กประกอบด้วย โซนท่ี 1 โซนที่ 2 และโซนที่ 3 เส้นทึบดาแสดงถึงรอย
เลอ่ื นท่ีไดจ้ ากการแปลความหมาย
40
(คาอธบิ ายรปู ลา่ งหนา้ 39)
รูปท่ี 4.13 แสดงผลการแปลความหมายแผนที่อนุพันธ์ระนาบรวมของผลลัพธ์อนุพันธ์มุมเอียงของค่า
ความเข้มสนามแม่เหล็กลดทอนสู่ขั้วโลกแม่เหล็กเปรียบเทียบกับขอบเขตของหน่วยหินจาก
ข้อมูลแผนท่ีธรณีวิทยา โดยเส้นประแสดงถึงขอบเขตโซนแม่เหล็กประกอบด้วย โซนท่ี 1 โซน
ท่ี 2 และโซนท่ี 3 เส้นทึบดาแสดงถึงรอยเลื่อนท่ีได้จากการแปลความหมาย วงกลมสีแดงท่ี 1
2 และ 3 แสดงถึงค่าผิดปกติความเข้มสนามแม่เหล็กโลกจากการอนุพันธ์สอดคล้องกับ
ขอบเขตของหินบะซอลต์อายคุ วอเทอรน์ ารี ในขณะที่วงกลมสแี ดงท่ี 4 น้ันมีค่าผิดปกติเกิดข้ึน
เหมือนกนั แตม่ ีตะกอนอายคุ วอเทอร์นารปี ิดทบั
รูปท่ี 4.14 แสดงผลการแปลความหมายหนว่ ยหนิ แม่เหลก็ บนแผนที่ค่าความเข้มสนามแม่เหลก็ ลดทอนสู่
ข้ัวโลกแม่เหล็ก โดยแบ่งเป็นหน่วยหิน M1 M2 M3 และ M4 รายละเอียดแสดงในตารางที่
เ ส้ น เ ท า จ า ง เ ป็ น ข อ บ เ ข ต แ ม่ เ ห ล็ ก ที่ ไ ด้ จ า ก ผ ล ข อ ง อ นุ พั น ธ์ มุ ม เ อี ย ง ข อ ง ค่ า ค ว า ม เ ข้ ม
สนามแม่เหล็กลดทอนสูข่ ้วั โลกแม่เหล็ก
การแปลความหมายขอ้ มูลคา่ ความโนม้ ถ่วงโลก
การวัดค่าความโน้มถ่วงโลกสามารถประยุกต์ใช้ในการสารวจสภาพธรณีวิทยาใต้ผิวดิน
โดยมีหลกั การเบื้องต้นโดยสังเขปดังแสดงในภาคผนวก ก ซง่ึ คา่ ความโน้มถว่ งโลกท่วี ัดได้ ณ จุดสารวจใดๆ
จะมีความสัมพนั ธ์กบั ความหนาแน่น (density) และรูปทรงเรขาคณติ (geometry) ของมวลชั้นดนิ ชัน้ หิน
กล่าวคือ ถ้าลักษณะธรณีวิทยาใต้ดินบริเวณนั้นมีลกั ษณะเอกพันธ์ุหรือมีเน้ือเดียว (homogeneous) หรือ
เป็นช้ันที่มีความหนาสม่าเสมอและมีความหนาแน่นคงท่ีในแต่ละช้ันยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด ค่าความโน้ม
ถ่วงโลกท่ีวัดได้ในพ้ืนที่สารวจดังกล่าว จะวัดค่าได้ค่าใดค่าหนึ่ง ทาให้ไม่สามารถหาความแตกต่างทางด้าน
ข้างได้ แต่ในความเป็นจริงน้ันในส่วนของเปลือกโลกไม่ได้มีลักษณะเอกพันธุ์หรือไม่เป็นเน้ือเดียว
(heterogeneous) ดังน้ันค่าความโน้มถ่วงของโลกที่วัดได้จึงสะท้อนมาจากลักษณะธรณีวิทยาใต้ดิน ซ่ึง
เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านข้างของลักษณะทางกายภาพที่กล่าวข้างต้นของลักษณะธรณีวิทยา
ใตด้ นิ ได้แก่ ความหนาแน่น ซึง่ เป็นผลมาจากชนิดของหนิ และแรป่ ระกอบหิน ชอ่ งวา่ งภายในหนิ ตลอดจน
ตัวกลางท่ีสะสมตัวในช่องว่างน้นั นอกจากน้ียังมีปัจจยั อยา่ งอื่นท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ รูปทรงเรขาคณิตของชนั้
หินหรือมวลหิน เช่น ลักษณะการวางตัวของช้ันหินตะกอน รูปทรงเรขาคณิตของมวลหินอัคนี หรือแม้แต่
รอยเล่อื นทท่ี าให้ชน้ั หินแยกออกจากกัน นอกจากนคี้ วามหนาและความลึกของชัน้ หินและมวลหินนั้นๆก็มี
ผลตอ่ คา่ ความโน้มถ่วงโลกทวี่ ดั ดว้ ยเชน่ กัน
จากหลักการดังกล่าวข้างต้นแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างมวลของชั้นดินชั้นหินน้ัน จะ
เห็นได้ว่าในการสารวจวัดค่าความโน้มถ่วงโลกจึงจาเป็นต้องทราบคุณสมบัติทางกายภาพของลักษณะ
ธรณวี ทิ ยาใตด้ นิ โดยสังเขป ซง่ึ สามารถพจิ ารณาจากลกั ษณะธรณวี ทิ ยาผวิ ดนิ ที่พบแผ่กระจายเปน็ สว่ นใหญ่
ในพืน้ ท่ีสารวจจากแผนที่ธรณีวิทยามาตราส่วนต่างๆ โดยคา่ ความหนาแนน่ ของหิน ดิน ตะกอนแตล่ ะชนิด
จะมีค่าอยู่ในช่วงพิสัยขึ้นอยู่กับส่วนประกอบทางแร่ (ตารางที่ 5.1) อย่างไรก็ดีค่าความหนาแน่นของชนิด
ตะกอน หินตะกอน และหินอัคนี จะมกี ารเปลี่ยนแปลงในวงจากดั ซงึ่ สามารถนาคา่ ความหนาแน่นเฉลี่ยมา
ใช้ในการประมวลผลและแปลความหมายเบ้ืองต้นได้ สว่ นในเร่ืองของการแปลความหมายน้ัน นอกจากจะ
พิจารณาจากคุณสมบัติทางกายภาพแล้ว รูปทรงเรขาคณิตของลักษณะธรณีวิทยาที่สันนิษฐานว่าจะซุก
ซ่อนตัวอยู่ก็ยังมีผลตอ่ ค่าผดิ ปกติที่เกิดข้ึนเชน่ กัน การแปลความหมายโดยทัว่ ไปหินท่ีมีความหนาแนน่ มาก
จะมีค่าความโน้มถ่วงโลกมากกว่าหินท่ีมีความหนาแน่นน้อยกว่าและหินชนิดเดียวกันท่ีอยู่ใกล้ผิวดินจะให้
ค่าความโน้มถ่วงมากกว่าหินที่อยู่ลึกลงไป ยกเว้นแต่ในกรณีหินอัคนีบางชนิด โดยเฉพาะหินแกรนิตมวล
ขนาดใหญ่ ในการสารวจระดับไพศาลนั้นจะแสดงค่าผิดปกติบูเกต์เชิงลบแบบความยาวคลื่นยาว ดังน้ัน
สามารถกล่าวได้ว่าการสารวจวัดค่าความโน้มถ่วงโลกเป็นการสารวจที่ใช้ค้นหารูปทรงเรขาคณิตของเทห
42
วัตถุที่ซ่อนตัวใต้ผิวดิน ที่เหมาะสมในงานสารวจหาขอบแอ่งสะสมตะกอน แนวรอยเลื่อนขนาดใหญ่
ขอบเขตของเกลือหินขนาดใหญ่ท่รี ะดับลึกหรือแมแ้ ตข่ อบเขตของมวลหนิ แกรนติ ขนาดใหญ่ เปน็ ต้น
ตารางที่ 5.1 คา่ ความหนาแน่นของหนิ ชนดิ ตา่ งๆ (คดั ลอกและดัดแปลงจากเพียงตา สาตรักษ์ (2550) และ
Telford et al. (1990)
วตั ถุ พิสยั ความหนาแน่น (g/cm3) ความหนาแนน่ เฉล่ยี (g/cm3)
อากาศ (air) 0.001 0.001
น้า (water) 1.0 1.0
ดนิ ตะกอนแม่นา้ (alluvium) 1.9-2.0 2.0
ตะกอนทราย (sands) 1.7-2.3 2.0
ตะกอนดินเหนียว (clays) 1.6-2.6 2.2
ตะกอนทรายแปง้ (silts) 1.8-2.2 1.9
ตะกอนดิน (soils) 1.2-2.4 1.9
หนิ ทราย (sandstone) 1.6-2.8 2.4
หินดินดาน (shale) 1.8-3.2 2.4
หินทรายแปง้ (siltstone) 1.8-2.8 2.5
หนิ ปนู (limestone) 1.9-2.9 2.6
หนิ โดโลไมต์ (dolomite) 2.2-2.9 2.7
หินแกรนติ (Granite) 2.5-2.8 2.6
หินแอนดไี ซต์ (Andesite) 2.4-2.8 2.6
หนิ ไรโอไรต์ (Rhyolite) 2.4-2.7 2.5
หนิ บะซอลต์ (Basalt) 2.7-3.3 3.0
ลาดับข้ันตอนในงานการสารวจวัดค่าความโน้มถ่วงขั้นไพศาล ประกอบด้วย การ
ดาเนินการสารวจภาคสนามซ่ึงมีงานสารวจ 2 ขั้นตอน ได้แก่ การสารวจวัดค่าความโน้มถ่วงโลกและการ
รังวัดสารวจ ข้อมูลดิบที่ได้จากงานภาคสนามต้องนาไปจัดเตรียมข้อมูลเพ่ือใช้ในการประมวล และปรับ
ทอนข้อมูล เพื่อปรับแก้ค่าความโน้มถ่วงโลกที่วัดได้ให้เหลือเพียงปัจจัยจากความแตกต่างทางสภาพ
ธรณวี ิทยาใตด้ นิ เพยี งอย่างเดียว ซงึ่ ผลลัพธ์ของข้อมูลในส่วนนี้ จะนาไปทาการประมวลผลแสดงเป็นแผนที่
ค่าความโน้มถ่วงโลกและทาการแปลความหมายข้อมูลค่าความโน้มถ่วงโลกต่อไป โดยมีรายละเอียดในแต่
ละข้ันตอนดงั นี้
5.1 การสารวจวดั คา่ ความโนม้ ถว่ งโลกขัน้ ไพศาลภาคสนาม
การสารวจวดั คา่ ความโน้มถ่วงโลกขน้ั ไพศาลในครั้งนี้ ไดท้ าการกาหนดจุดสารวจแบบสุ่ม
บนถนนหรือเสน้ ทางท่รี ถยนตส์ ามารถเข้าถึงได้ โดยมรี ะยะห่างระหว่างจดุ สารวจประมาณ 2-2.5 กิโลเมตร
ครอบคลุมพื้นท่ีสารวจธรณีวิทยาใต้ดินปี 2558 มีจุดสารวจแบบสุ่มตามถนน สถานท่ีราชการ วัด ทั้งหมด
ประมาณ 5,000 จดุ โดยมีจดุ สารวจในพน้ื ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี นครราชสีมาและบรุ ีรัมย์ ซ่ึงการเก็บ
ข้อมูลในการสารวจภาคสนามแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การสารวจวัดค่าความโน้มถ่วงโลกข้ันไพศาล และการ
43
รังวัดจุดสารวจเพ่ือหาค่าพิกัดฉากและความสูง โดยในส่วนของแผนท่ีค่าผิดปกติความโน้มถ่วงน้ันจะเลือก
แสดงให้เห็นในแต่ละรายจังหวัดต่อไป โดยใช้เคร่ืองมือวัดค่าความโน้มถ่วงโลก (Gravity meter) ของ
บริษัท Scintrex ร่นุ CG-5 (Autograv Gravity Meter) ซ่ึงมขี นั้ ตอนในการเก็บข้อมลู คอื การกาหนดหรือ
เลือกจุดท่ีจะใช้เป็นสถานีฐาน (Gravity Base Station) ในพ้ืนท่ีสารวจ ซึ่งในการสารวจน้ันจะใช้ค่าความ
โน้มถว่ งทีว่ ดั ไดจ้ ากสถานีฐานเพยี งสถานีเดียวในแต่ละวงรอบการวัดค่า เพ่ือการแก้ค่าความคลาดเคลื่อนที่
ทาให้การวัดค่าความโน้มถ่วงโลก ณ จุดเดิม ในเวลาที่ต่างๆ แต่ได้ค่าต่างกันในเวลานั้นๆ อันเนื่องจาก 2
ปัจจัยหลักคือ ปัจจัยการขึ้น-ลงของระดับน้าทะเลท่ีเปล่ียนแปลงตามเวลา และปัจจัยจากเครื่องมืออัน
เนื่องมาจากผลการเปล่ียนแปลงของคุณสมบัติทางกายภาพของวัสดุที่ใช้ประกอบเคร่ืองมือ เช่น สปริงมี
การล้าหรือหดตัว เป็นต้น โดยการอ่านค่าความโน้มถ่วงโลกที่สถานีฐาน แล้วไปวัดท่ีจุดสารวจจากนั้น
จะต้องกลับมายังสถานีฐานในเวลาท่ีกาหนด เพ่ืออ่านค่าผลความแตกต่างของค่าความโน้มถ่วงโลกที่เวลา
แตกต่างกนั แล้วนาไปปรบั แก้คา่ อนื่ ๆของจุดสารวจ ซงึ่ การสารวจคร้งั น้ไี ดก้ าหนดสถานีฐานจานวน 1 หรอื
2 สถานี ต่อหนึ่งแผนท่ีมาตราส่วน 1:50,000 โดยให้อยู่ตอนกลางแผนที่ ซ่ึงจะทาให้ได้สะดวกในการ
วนรอบของแต่ละรอบการสารวจ แต่เนื่องจากสถานีฐานที่กาหนดเองเป็นสถานีฐานท่ีตั้งสมมุติข้ึนสาหรับ
ใช้ในการทางานในพื้นที่จึงไม่มีค่าความโน้มถ่วงสัมบูรณ์ประจาฐาน จะต้องทาการโยงยึดค่าจากสถานฐี าน
ท่ีทราบค่าความโน้มถ่วงสัมบูรณ์อยู่แล้ว โดยทาการโยงยึดจากสถานีฐานที่วดั โพธ์ิ กลางเมืองนครราชสีซ่ึง
อ้างองิ มาจากข้อมูลกรมแผนที่ทหารมาเป็นสถานฐี าน (ติดต่อสว่ นตัวผา่ นคณุ วนั วิษา บญุ สงู เนิน)
ในส่วนของการวัดค่าความโน้มถ่วงโลกตามจุดสารวจต่างๆจะเริ่มวัดค่าจากสถานีฐานใน
พื้นที่ แล้วทาการวัดค่าตามจุดสารวจต่างๆโดยใช้เวลาวัดจุดละ 180 วินาทีที่สถานีฐานและวัดจุดละ 90
วินาทีทีจ่ ดุ สารวจใดๆ และสดุ ทา้ ยจะกลับมาวัดคา่ ท่สี ถานฐี านเดิม โดยใช้เวลาในแตล่ ะวงรอบ (loop) ของ
การวัดประมาณ 4 ช่ัวโมง นอกจากนี้ยังตรวจสอบความถูกต้องในการสารวจโดยทาการวัดซ้าจุดเดิมท่ีได้
วดั ไปแลว้ (Check point) เพือ่ เทยี บค่าการเปล่ียนแปลงระหว่างจุดวัดซ้าและสถานฐี าน
5.2 การปรับทอนขอ้ มลู
ค่าความโน้มถว่ งโลกท่วี ดั ได้จากสนามภายหลังจากการแก้ค่าดริฟท์แลว้ นนั้ ไม่ไดเ้ กิดจาก
ปจั จยั ของความแตกต่างทางสภาพธรณวี ิทยาเพยี งประการเดียว โดยคา่ ความโน้มถว่ งโลกทว่ี ัดได้น้ันข้ึนอยู่
กับปจั จยั ที่สาคัญๆ 6 ประการ คือ
(1) ปัจจัยจากตาแหน่งละติจูด (latitude) ซ่ึงเป็นผลจากรูปทรงเรขาคณิตของโลกที่มี
ลกั ษณะเหมอื นผลส้ม โดยทหี่ ากพจิ ารณาระยะทางจากจดุ ศนู ย์กลางโลกในแนวลองจจิ ดู แล้วจะมรี ะยะทาง
ที่เท่ากัน ในขณะท่ีหากพิจารณาในแนวละติจูดแล้วจะมีระยะทางท่ีเปลี่ยนไปตามแต่ละละติจูด โดย
ระยะทางจากจุดศูนย์กลางโลกตามแนวเสน้ ศูนย์สูตรจะมรี ะยะห่างมากกว่าระยะทางจากจุดศนู ยก์ ลางโลก
ตามแนวขั้วโลก
44
(2) ปจั จัยจากผลการเปลี่ยนแปลงระดบั น้าทะเลในแต่ละวนั อนั เนอ่ื งมาจากการเคลื่อนที่
ของโลกและดวงจันทร์ ทงั้ น้ีได้ใช้โปรแกรมสาเร็จรปู ท่ีแกค้ า่ มาตัง้ แต่ดาเนนิ การสารวจ
(3) ปัจจัยจากความสูง-ต่าและภูมิประเทศท่ีอยู่รอบข้าง เนื่องด้วยการแก้ค่าละติจูดน้ัน
พิจารณาจากรูปทรงเรขาคณิตแบบง่าย แต่ในความเป็นจริงนั้นในแต่ะบริเวณยังมีลักษณะภูมิประเทศที่
แตกต่างกันออกไป ซ่ึงการค่าความโน้มถ่วงโลกนั้นจะแปลผันไปตามความสูงท่ีเปล่ียนไปในอัตรา 0.3086
มิลลิแกลต่อเมตร ในส่วนการแก้ค่าเน่ืองจากความสูงน้ันหากพิจารณาจากความสูงเพียงอย่างเดียวจาก
ข้อมูลท่ีวัดได้จะเรียกว่า การแก้ค่าฟรีแอร์ (Free-air correction) ซึ่งให้ค่าผิดปกติฟรีแอร์ (Free-air
anomaly) ในขณะที่หากพิจารณาถึงความหนาแน่นของมวลศักย์ต้นกาเนิดด้วย โดยพิจารณาว่ามวล
ดังกล่าวเป็นแผ่นหนา (slab) ยาวต่อเนื่องอนันต์แล้ว จะเรียกว่าการแก้ค่าบูเกร์ (Bouguer correction)
ซึง่ ให้คา่ ผดิ ปกติบูเกร์ (Bouguer anomaly) ซง่ึ ในกรณีทีด่ าเนนิ การในพืน้ ที่ท่ีมีความสูงต่าของภูมิประเทศ
แตกต่างกันมากน้ัน จึงจาเป็นต้องแก้ค่าเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศด้วย เรียกการแก้ค่าน้ีว่า terrain
correction โดยในการแก้ค่านี้จะดาเนินการอัลกอริธึมในโปรแกรม Oasis Montaj ซ่ึงใช้ค่าแบบจาลอง
ความสูงดิจิตอลจากโครงการ Shuttle Radar Topography Mission (SRTM) ที่มีความละเอียด
(resolution) ของกริดเซลล์ 90 เมตร (USGS, 2011) และกาหนดขอบเขตการคานวณวงใน (inner
compartment) และวงนอก (outer compartment) ท่รี ะยะห่างจากจดุ สารวจ 200 และ 50,000 เมตร
ตามลาดบั (Murrey and Tracey, 2001)
(4) ปัจจัยจากกรณีทาการสารวจแบบมีการเคลื่อนที่ เช่น การบินสารวจหรือสารวจทาง
เรือ ซ่ึงในการสารวจคร้ังนี้ไม่มีความจาเป็นต้องแก้ค่า เน่ืองจากเป็นการสารวจภาคพ้ืนดินซึ่งเคร่ืองมืออยู่
นงิ่ กับที่
(5) ปัจจัยจากสภาพความหนาแน่นมวลรวมของเปลือกโลกหรอื ไอโซสเตซี
(6) ปัจจัยจากค่าความหนาแน่นมวลรวมของสภาพธรณีวิทยาใต้ผิวดิน ปัจจัยในข้อ
สุดท้ายคือปัจจัยท่ีสนใจและต้องการตรวจวัด เพ่ือนามาแปลความหมายหาสภาพธรณีวิทยาใต้ผวิ ดิน จาก
การที่มคี วามหนาแน่นของมวลรวมมากหรือน้อยผิดปกติไปจากข้างเคียง แต่ผลทีม่ ตี ่อค่าความโน้มถ่วงโลก
จากปัจจยั น้ี มีค่านอ้ ยกว่าผลท่เี กิดจากปจั จัยในลาดบั ท่ี 1-5 รวมกัน ดงั นั้นจึงจาเปน็ ต้องทาการปรับแก้ผล
จากปจั จัยทงั้ 5 ประการดงั กล่าว ออกจากค่าความโน้มถ่วงโลกทีว่ ัดได้ก่อนท่จี ะแปลความหมาย เพราะถ้า
หากไม่ปรับแก้ อาจทาให้การแปลความหมายสภาพธรณีวิทยาใต้ผิวดินไม่ถูกต้อง โดยมีรายละเอียดของ
ปัจจัยต่างๆ สมการการแก้คา่ และคา่ ตวั แปรทีใ่ ชใ้ นการปรับทอนข้อมูล
5.3 การประมวลผลขอ้ มลู
ภายหลังเสร็จสน้ิ ในกระบวนการปรับทอนข้อมูลในหัวข้อ 5.2 แล้วจึงนาค่าความโน้มถ่วง
ทไ่ี ด้มาสรา้ งเปน็ แผนท่ี ซึ่งในทนี่ ีไ้ ด้สร้างแผนที่แสดงค่าผดิ ปกติออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ แผนที่คา่ ผิดปกติฟรี
45
แอร์ (free-air anomalous map) แผนท่ีค่าผิดปกติบูเกร์ (Bouguer anomalous map) และแผนที่ค่า
ผิดปกติบูเกรณ์สมบูรณ์ (completed Bouguer anomalous map) ตามลาดับ โดยมีสมการที่อธิบายถึง
คา่ ผดิ ปกตติ า่ งๆ (Geosoft, 2007) ดงั นี้
แผนท่ีค่าผิดปกติฟรแี อรน์ น้ั แปรผนั ตรงกบั ความสงู ของจุดสารวจเปน็ หลักดังสมการที่ 17
= − + 0.308596ℎ (17)
เมื่อ คอื คา่ ผดิ ปกตฟิ รีแอร์ท่จี ดุ สารวจ s และละติจูด l
คือ คา่ ความโน้มถ่วงโลกสมั บูรณ์ (absolute gravity) หนว่ ยมิลลแิ กล
คือ การปรับทอนค่าความโน้มถ่วงเนอื่ งจากตาแหนง่ ละติจูด หนว่ ยมิลลิแกล
ℎ คือ ความสูงทีจ่ ดุ สารวจ s หนว่ ยเมตร
ในขณะท่ีแผนท่ีค่าผิดปกติบูเกร์น้ันจะมีความสัมพันธก์ ับค่าความแนน่ ของวัสดุในโลก ดัง
สมการท่ี 18
= − 0.0419088 × (ρℎ + ( − )ℎ + ( − )ℎ ) +
(18)
เมื่อ คือ ค่าผดิ ปกตบิ ูเกร์ทีจ่ ุดสารวจ s
คอื คา่ ผิดปกติฟรีแอรท์ จี่ ดุ สารวจ s หน่วยมิลลแิ กลที่ได้จากสมการท่ี
คอื คา่ ความหนาแนน่ ของหิน หนว่ ยกรมั ตอ่ ลกู บาศก์เซนติเมตร
คอื คา่ ความหนาแนน่ ของน้าแขง็ หนว่ ยกรมั ตอ่ ลูกบาศก์เซนติเมตร
คือ ค่าความหนาแนน่ ของน้า หนว่ ยกรมั ตอ่ ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร
ℎ คอื ความสงู ทจ่ี ุดสารวจ s หน่วยเมตร
ℎ คือ ความลึกของนา้ ที่รวมมวลนา้ แข็ง หนว่ ยเมตร
ℎ คอื ความหนาของมวลนา้ แข็ง หนว่ ยเมตร
คือค่าความโน้มถ่วงเน่ืองจากความโค้ง (ในกรณีที่ดาเนินการสารวจพ้ืนท่ี
ขนาดใหญ่)
ดังนั้นเม่ือพิจารณาจากพื้นที่สารวจท่ีเป็นแผ่นดินแล้วจะมีค่าตัวแปรต่างๆ เช่น ค่าความ
ลึกของน้าและคา่ ความหนาของมวลน้าแขง็ ซึ่งไม่เก่ียวข้อง จงึ สามารถกาหนดให้มคี ่าเทา่ กับศูนยไ์ ด้ ในขณะ
ที่ในการสารวจคร้ังน้ีไม่ได้คานวณค่าความโน้มถ่วงเน่ืองจากความโค้ง ดังน้ันค่าผิดปกติบูเกรณ์ในการ
ประมวลผลครั้งนจี้ ะเป็นไปดงั สมการท่ี 19
= − 0.0419088 ℎ (19)
46
อย่างไรก็ดีการสารวจในพื้นท่ีสารวจคร้ังนี้นั้นมีผลกระทบเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ
ด้วย เนื่องจากพ้ืนท่ีสารวจมิได้เปน็ ที่ราบเรียบ จึงจาเป็นต้องแก้ค่าผลกระทบดังกล่าว แล้วจึงนาค่าท่ีได้ไป
บวกกับคา่ ผิดปกตบิ เู กรณเ์ พอื่ สรา้ งแผนทีค่ า่ ผิดปกติบูเกรณส์ มบูรณ์ ดงั สมการที่ 20
= + (20)
เมอ่ื คอื ค่าผิดปกติบเู กรส์ มบูรณ์ หน่วยมิลลิแกล
คือ ค่าผิดปกตบิ ูเกร์ หน่วยมิลลิแกล ท่ีไดจ้ ากสมการ
คอื คา่ ความโนม้ ถว่ งทเ่ี กดิ จากลกั ษณะภูมปิ ระเทศ หน่วยมิลลแิ กล
ซ่ึงข้ันตอนการประมวลผลเพ่ือทาแผนท่ีชนิดต่างๆจะแสดงไวใ้ นแผนภูมิการทางานดงั รปู
ท่ี 5.1
รูปที่ 5.1 แสดงแผนภูมกิ ารประมวลผลและผลิตแผนท่ีชนดิ ตา่ งเพื่อนามาใช้แปลความหมาย
47
ภายหลังจากการประมวลผลข้อมูลทั้งหมดล้ว จึงนาค่าผิดปกติฟรีแอร์และค่าผิดปกติบู
เกร์ ทไี่ ดจ้ ากการประมวลผลข้อมูลดงั กล่าวมาทาการสร้างผลแผนที่ ดว้ ยการสรา้ งไฟล์กริด ดว้ ยอัลกอริทึม
แบบสุ่ม โดยใช้เมนู Rangrid ท่ีมีขนาดของ grid cell size เท่ากับ 1250 เมตร (หรือขนาด 1 ใน 2 ของ
ระยะห่างจุดสารวจ) และแสดงผลออกมาในรูปของแผนท่ีสี หรือเส้นช้ันค่าข้อมูล ซ่ึงในกรณีที่ใช้เส้นชั้น
ความสูง โดยทว่ั ไปนิยมกาหนดให้เสน้ ชน้ั ความสูงเทา่ กบั 1, 5 และ 25 มลิ ลิแกล (milliGal, mGal) ได้เปน็
แผนท่ีแสดงค่าผิดปกติบูเกร์ (Bouguer Anomalous Map) ดังรูปท่ี 5.2 และแผนที่แสดงค่าผิดปกติฟรี
แอร์ (Free Air Anomalous Map) แต่เน่ืองจากลักษณะภูมิประเทศที่มีความสูงของภูมิประทศแตกต่าง
กันจึงไม่ใช้แผนที่ค่าผิดปกติฟรีแอร์ในการแสดงผล ในขณะเดียวกันต้องดาเนินการแก้ค่าผลกระทบจาก
ลักษณะภูมิประเทศ (terrain correction) จึงสร้างแสดงแผนท่ีค่าผลกระทบจากลักษณะภูมิประเทศท่ีจะ
นาไปแก้ค่า (รูปที่ 5.3) จากน้ันจึงนาไปแก้ค่ากับค่าผิดปกติบูเกร์แล้วสร้างแผนท่ีค่าผิดปกติบูเกร์สมบูรณ์
(completed Bouguer anomalous map) ดังรูปท่ี 5.4 ซึ่งแผนที่ค่าผิดปกติบูเกร์สมบูรณ์น้ีจะถูก
นาไปใชใ้ นการประมวลผลและแปลความหมายถึงลกั ษณะธรณีวทิ ยาและธรณวี ิทยาโครงสร้างตอ่ ไป
นอกจากน้ียังทาการการประมวลผลข้อมูลในเชิงวิเคราะห์ เนื่องจากการสารวจวัดค่า
ความโน้มถ่วงโลกน้ัน ค่าที่วัดได้จะเกิดจากช้ันหินท่ีอยู่ใกล้ผิวโลกจนถึงชั้นหินที่อยู่ลึกลงไป ฉะน้ัน
การศึกษาโครงสร้างธรณีวิทยาในระดับความลึกต่างๆจึงต้องอาศัยวิธีการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งในกรณีนี้
สามารถดาเนินการไดห้ ลายวิธี ไดแ้ ก่
(1) โดยการปรับระดับของข้อมูลให้อยู่สูงจากผิวดินมากๆ เพ่ือตัดสัญญาณรบกวนที่เกิด
จากข้อมูลธรณีวิทยาในระดับต้นื เราเรียกวิธีนี้ว่า Upward Continuation ทั้งนี้ได้ทดลองเพ่ิมระดับความ
สงู ทลี ะ 500 เมตร จนกวา่ จะถงึ ระดบั ทีส่ ันนิษฐานว่าเหมาะสม (รปู ที่ 5.5) หรือ
(2) ใช้วิธี polynomial fitting (Telford et al., 1990) โดยการคานวณจากข้อมูลการ
สารวจท่ีไดด้ าเนินการมาซึ่งจะคานวณตามอันดับ (order) ท่ีเราตอ้ งการเปรียบเทียบกับข้อมลู ธรณีวิทยาท่ี
พอทราบมาโดยสังเขปจากข้อมลู เดมิ
ในที่นสี้ นั นษิ ฐานเบื้องต้นจากการคานวณท่ีอนั ดับ 1-3 วา่ อนั ดบั 3 น่าจะเหมาะสมที่เป็น
ตัวแทนแผนที่ค่าความโน้มถ่วงระดับไพศาล (Regional Gravity Map) มากกว่า 1 และ 2 (รูปที่ 5.6)
เน่อื งจากลกั ษณะธรณวี ิทยาน่าจะมีความตอ่ เน่ืองแบบเสน้ โคง้ มากกวา่ แบบเชงิ เส้นตรง
ในส่วนของการศึกษาลักษณะธรณีวิทยาในระดับตื้นน้ัน สามารถศึกษาได้จาก ค่า
ผดิ ปกตบิ เู กรต์ กคา้ งจากแผนท่ีค่าความโน้มถ่วงโลกแบบตกคา้ ง (Residual Gravity Map) ดงั รูปท่ี 5.7ซง่ึ
ได้จากการหักลบค่าความโน้มถ่วงโลกระดับไพศาลออกจากค่าผิดปกติบูเกร์สมบูรณ์ (Kearey and
Brooks, 1988)
48
รูปท่ี 5.2 แสดงแผนทค่ี า่ ผดิ ปกติบเู กร์ในพื้นท่ีศกึ ษา
รปู ท่ี 5.3 แสดงแผนท่ีค่าบูเกร์ทีไ่ ดร้ ับผลกระทบจากลักษณะภมู ิประเทศ (terrain corrected map) ซง่ึ
ตอ้ งนาไปแก้คา่ ในแผนทค่ี า่ ผิดปกตบิ เู กร์รปู ที่ 5.2
49
รูปท่ี 5.4 แสดงแผนที่คา่ ผิดปกติบเู กร์สมบูรณ์แบบแสงเงาพร้อมทั้งผลแปลความหมายถึงรอยเล่ือนและ
ขอบเขตของเกลือหินจากลักษณะการซ้อนของสญั ญานความถ่สี งู
5.4 การแปลความหมายเชิงคณุ ภาพ
การแปลความหมายเชิงคุณภาพในเบ้ืองต้นนั้นได้จากการเปรียบเทียบค่าบูเกร์ที่
ประมวลผลได้ในแผนที่ค่าความโน้มถ่วงโลกสมบูรณ์ แผนท่ีค่าความโน้มถ่วงโลกคงค้างและแผนที่ค่า
ผดิ ปกติบเู กรท์ ่ไี ด้จากการ upward continuation ที่ระดับความสูงต่างๆ โดยอาศยั ลกั ษณะความยาวคล่ืน
ของข้อมูลและความต่อเนอื่ งของค่าผดิ ปกติบูเกร์ โดยแบ่งออกได้เป็นค่าผิดปกติบูเกร์ตา่ ปานกลางและสูง
ตามภมู ิภาคตา่ งๆ ดงั น้ี
5.4.1 คา่ ผดิ ปกตบิ ูเกรต์ า
ค่าผิดปกติบูเกร์ต่า (แสดงสีน้าเงินในแผนท่ีค่าผดิ ปกติบูเกร์สมบูรณ์) ที่ประมวลผลไดน้ ้ัน
ปรากฎแผนท่ีค่าผดิ ปกติบูเกร์ท่ีบรเิ วณทางตอนเหนือของพ้ืนที่สารวจจังหวดั เพชรบูรณ์และทางตอนเหนือ
ของจงั หวดั นครราชสมี าและบรุ รี ัมย์ ซึ่งสามารถแบ่งการพจิ ารณาได้จากลกั ษณะภูมิประเทศ ลักษณะความ
ยาวคล่ืนของข้อมูลและลักษณะธรณีวิทยาท่ีปรากฏ ดังนี้ ค่าผิดปกติบูเกร์ต่าบริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์นั้น
ปรากฏตรงบริเวณท่ีราบลุ่มระหว่างหุบเขา มีลักษณะข้อมูลความยาวคล่ืนสั้นถึงปานกลาง พิจารณาจาก
เม่ือวิเคราะห์ด้วยวิธี upward continuation ท่ีความสูงสูงยิ่งข้ึนไป ข้อมูลดังกล่าวจะมีขนาดหรือพื้นท่ี
น้อยลง แปลความหมายว่าเป็นแอ่งสะสมตะกอนที่มีการวางตัวของแอ่งอยู่ในแนวเหนือ-ใต้โดยประมาณ
50
ซึ่งรูปร่างของแอ่งนั้นสันนิษฐานว่าถูกควบคุมด้วยรอยเลอ่ื น สังเกตจากการเหลื่อมกันของค่าผิดปกติบูเกร์
ในขณะท่ีในบริเวณที่ราบสูงโคราชนั้นพบค่าผิดปกติบูเกร์ต่าท่ีมีความยาวคลื่นสั้นปรากฏในอาเภอด่านขุน
ทดตดิ ต่อกับอาเภอโนนไทย ซ่งึ สนั นษิ ฐานวา่ เกิดจากโพรงใตด้ ิน (?) หรือจากรูปทรงเรขาคณิตท่ีไม่แน่นอน
ของชั้นเกลอื หนิ นอกจากนย้ี ังพบลักษณะค่าผิดปกตบิ ูเกรท์ ่ีมีความยาวคลน่ื ยาวปรากฏครอบคลมุ พืน้ ที่ทาง
ตอนเหนอื ของจังหวัดนครราชสีมาอยู่ ซง่ึ จากการวิเคราะห์ด้วยวธิ ี upward continuation ท่รี ะดับ 500 -
2,000 เมตร ยังพบลักษณะข้อมลู ความยาวคล่ืนยาวดังกล่าวอยู่ แต่ลักษณะข้อมลู ความยาวคลนื่ ส้ันหายไป
ข้อมูลความยาวคล่ืนยาวแปลความหมายถึงลักษณะธรณีวิทยาระดับลึก ซึ่งบริเวณดังกล่าวถูกปิดทับด้วย
กลุ่มหินโคราช ลักษณะข้อมูลท่ีสะท้อนให้เห็นสันนิษฐานเบ้ืองต้นว่าเกิดจากแอ่งสะสมตะกอนขนาดใหญ่
หรือมีมวลหินแทรกซอนขนาดใหญ่ปรากฎอยู่ในบริเวณดงั กล่าว อย่างไรก็ดีจากข้อมูลการสารวจวัดคลอื่ น
ไหวสะเทือนในการสารวจปิโตรเลียมท่ีอาเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา พบแอ่งสะสมตะกอนอยู่แต่มี
ขนาดไม่ใหญ่มากพอท่ีครอบคลุมพ้ืนท่ีท้ังหมด แต่หากครอบคลุมพ้ืนท่ีค่าผิดปกติบูเกร์ปานกลาง ดังน้ันค่า
ผิดปกติบูเกร์ต่าจึงสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากมวลหินอัคนีขนาดใหญ่ที่มวลเนื้ออาจแทรกเข้าไปในชั้น
เปลือกโลกตอนล่างจนถึงชั้นแก่นโลกมากกว่าจะเป็นแอ่งสะสมตัวขนาดใหญ่ เป็นผลทาให้ช้ันเปลือกโลก
บรเิ วณดังกลา่ วหนากวา่ ในบรเิ วณอ่นื สง่ ผลใหค้ า่ ผิดปกติบูเกร์ม่คี า่ ตา่ กวา่ บรเิ วณอ่นื ๆ ในขณะทขี่ อ้ มูลความ
ยาวคล่ืนสั้นที่ปรากฎในแผนท่ีแสดงค่าผิดปกติบูเกร์น้ัน กลับไม่แสดงผลเม่ือวิเคราะห์ด้วยวิธี upward
continuation ที่ระดับลึกลงไป น่าจะสะท้อนจากรูปทรงเรขาคณิตของมวลชั้นเกลือหินในระดับต้ืน
อย่างไรก็ดีมีความไม่ต่อเนื่องของข้อมูลค่าความโน้มถ่วงทางตะวันออกของพื้นที่สารวจเป็นแนวเส้น บ่ง
บอกว่าเป็นบริเวณรอยเล่ือนระดับลึก ในส่วนของค่าผิดปกติบูเกร์ต่าในแผนท่ีค่าความโน้มถ่วงโลกตกค้าง
(รูปท่ี 5.7) การแผ่กระจายของค่าผิดปกติบูเกร์ต่าแสดงถึงรูปร่างของแอ่งสะสมตะกอนโดยสังเขป ซ่ึงจะ
สังเกตได้ว่ามคี วามไมต่ ่อเนอ่ื งเนื่องจากถูกรอยเล่ือนเปน็ ปัจจยั ควบคุมทาให้มีรปู ร่างดังกล่าว
5.4.2 ค่าผดิ ปกติบูเกร์ปานกลาง
ค่าผิดปกติบูเกร์ปานกลาง (แสดงสีเขียวในแผนที่ค่าผิดปกติบูเกร์) ที่ประมวลผลได้น้ัน
ปรากฎแผนที่ค่าผิดปกติบูเกร์แสดงถึงช่วงรอยต่อระหว่างค่าผิดปกติบูเกร์ต่าและสูง โดยในทางทฤษฎีน้ัน
จะปรากฏในชว่ งรอยต่อระหว่างมวลศกยต์ น้ กาเนิดค่าความโนม้ ถ่วงสองชนิดท่ีมคี ่าความหนาแน่นแตกต่าง
กัน ซึ่งในพื้นที่ศึกษาน้ันจะปรากฏค่าผดิ ปกติบูเกรป์ านกลางที่มีลกั ษณะความยาวคล่ืนส้ันแปลความหมาย
ว่าเป็นแป่งสะสมตะกอนอยู่ทางด้านตะวันออกของจังหวัดลพบุรี และยังพบค่าผิดปกติบูเกร์ปานกลาง
ลักษณะความยาวคล่ืนยาวในพื้นท่ีสารวจนั้นพบเป็นบริเวณกว้างในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งจากผลการ
สารวจคลื่นไหวสะเทือนจะพบว่าสอดคล้องกับแอ่งสะสมตะกอนที่อาเภอโชคชัย (Booth and
Sattayarak, 2011) ในขณะที่ค่าผิดปกติบูเกร์ปานกลางที่ปรากฏในจังหวัดบุรีรัมย์น้ันต่อเน่ืองมาจาก
จังหวัดนครราชสมี ามีลกั ษณะคล้ายคลึงกัน จึงสันนิษฐานวา่ เป็นบริเวณของแอ่งสะสมตะกอนเช่นเดยี วกนั
อยา่ งไรก็ตามไม่สามารถระบขุ อบเขตของแอ่งตะกอนใต้กล่มุ หินโคราชไดอ้ ยา่ งชัดเจนดว้ ยวธิ ีนี้
51
ในส่วนของค่าผิดปกติบูเกร์ปานกลางในแผนที่ค่าความโน้มถ่วงโลกตกค้าง (รูปท่ี 5.7)
การแผ่กระจายของค่าผิดปกติบูเกร์ปานกลางแสดงถึงรูปร่างของแอ่งสะสมตะกอนท่ีมีชั้นตะกอนบางกว่า
บริเวณท่ีมีค่าผิดปกตบิ ูเกรต์ ่า ซึง่ มีความไมต่ ่อเนอื่ งเนอ่ื งจากถูกรอยเลอ่ื นเปน็ ปัจจยั ควบคมุ
5.4.3 คา่ ผดิ ปกตบิ ูเกร์สงู
ค่าผิดปกติบูเกร์สูง (แสดงสีแดง-ชมพูในแผนท่ีค่าผิดปกติบูเกร์) ที่ประมวลผลได้น้ัน
ปรากฎแผนท่ีค่าผิดปกติบูเกร์และค่าผิดปกติบูเกร์ตกค้างแบบแสงเงาที่บรเิ วณทางตอนตะวันตกของพ้ืนที่
สารวจแทรกสลับกับค่าผิดปกติบูเกร์ต่าในท่ีราบลุ่มเพชรบูรณ์ต่อเน่ืองลงมายังจังหวัดลพบุรีและพบทาง
ตอนใตข้ องจังหวดั นครราชสีมาและทางตะวนั ออกของจังหวดั บรุ รี ัมย์ ซึง่ ทางดา้ นตะวันตกของพ้ืนทีส่ ารวจ
ท่ีเป็นเทือกเขาน้ันมีลักษณะธรณีวิทยาของกลุ่มหินสระบุรที ี่เป็นหินปูนโดยสว่ นใหญ่อยู่ด้วยกันกับหินอัคนี
พุ หินเถ้าภูเขาไฟอายุเพอร์เมี่ยน-ไทรแอสสิก โดยมีหินอัคนีแทรกซอนอายุไทรแอสสิกแทรกเป็นหย่อมๆ
ซ่ึงลักษณะค่าผิดปกติบูเกร์สูงดังกล่าวยังต่อเน่ืองไปยังบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยาทางด้านตะวันตก จึง
สันนิษฐานว่าใต้ที่ราบลุ่มนั้นจะมีลักษณะธรณีวิทยาแบบเดียวกัน ในขณะที่บริเวณเทือกเขาสูงด้าน
ตะวันออกของจังหวัดเพชรบูรณ์ต่อเนื่องลงมายังจังหวัดลพบุรีและนครราชสีมาซึ่งเป็นเทือกเขาในแนว
เหนือใต้ก่อนที่จะข้ามไปยังที่ราบสูงโคราชน้ัน ค่าผิดปกติบูเกร์สูงปรากฏตรงบริเวณกลุ่มหินสระบุรีท่ีเป็น
หินปูน ซึ่งมีการแผ่กระจายตัวต่อเน่ืองไปยังใต้ขอบท่ีราบสูงโคราช ต่อเน่ืองไปจนถึงจังหวัดบุรีรัมย์และ
จังหวัดสุรินทร์ ซ่ึงจากการวิเคราะห์ด้วยวิธี upward continuation ท่ีระดับ 500 - 2,000 เมตร ยังพบ
ลักษณะข้อมูลความยาวคลื่นยาวดังกล่าวคล้ายกับข้อมูลค่าผิดปกติบูเกร์ แต่ลักษณะข้อมูลความยาวคล่ืน
ส้ันหายไป ข้อมลู ความยาวคลืน่ ยาวแปลความหมายถึงลกั ษณะธรณวี ิทยาระดับต้นื ท่ตี ่อเน่ืองลงไปในระดับ
ลึก ซึ่งเป็นบริเวณของแนวภเู ขาไฟในโซนรอยคดโค้งของเลย-เพชรบูรณ์ (Loei-Petchaboon Fold Belt)
และบางบริเวณเป็นเทือกเขาหินปูนของกลุ่มหินสระบุรี ในขณะท่ีทางด้านจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์
นั้น ตามขอบแอ่งโคราชจะสัมพันธ์กับแนวหินบะซอลต์ท่ีปรากฎในระดับต้ืนตามขอบแอ่ง ในขณะท่ีกลาง
ขอบแอ่งไม่สามารถระบุได้เนื่องจากมีกลุ่มหินโคราชปิดทับ ในส่วนค่าผิดปกติบูเกร์สูงบริเวณจังหวัด
ชยั นาทนนั้ สนั นิษฐานวา่ มคี วามต่อเนอื่ งของลักษณะธรณีวิทยาทางด้านตะวันตกของจังหวัดนครสวรรค์ ซ่งึ
อาจเป็นมวลหินปูนแทรกสลับกับหินชนิดอ่ืน จากแผนท่ีค่าความโน้มถ่วงโลกแบบตกค้างแสดงให้เห็นว่ามี
ค่าผิดปกิบูเกร์ต่าและสูงซ่ึงแสดงถึงลักษณะธรณีวิทยาที่แตกต่างกัน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน
เน่ืองจากขาดข้อมูลสนบั สนุน
ในส่วนของค่าผิดปกติบูเกร์สูงในแผนท่ีค่าความโน้มถ่วงโลกตกค้าง (รูปที่ 5.7) การแผ่
กระจายของค่าผิดปกติบูเกร์สูงแสดงถึงรูปร่างของหินที่มีความหนาแน่นสูง เช่น หินอัคนีหรือหินปูนจาก
กลุ่มหินสระบุรี แต่จากค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกท่ีปรากฏในโซน 3 ซ่ึงแสดงถึงว่ามีมวลศักย์
สนามแมเ่ หลก็ ในระดับลึกอยู่ จงึ สนั นษิ ฐานวา่ เป็นมวลหินปูนท่ีต่อเนื่องมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์และอาจ
มมี วลหินอัคนีแทรกซอนหรอื มีหินอคั นพี ุไหลแผ่มาดังท่ปี รากฏของมวลหินบะซอลตใ์ นแผนที่ธรณีวทิ ยา
52
5.4.4 คา่ ผดิ ปกตบิ ูเกร์ความถีสงู ซอ้ นทบั
จากแผนท่ีค่าผิดปกติบูเกร์สมบูรณ์ (รูปที่ 5.4) จะสังเกตได้ว่ามีลักษณะสัญญานของ
ข้อมลู ความถีส่ ูงซอ้ นทับกับขอ้ มลู ความถต่ี ่าอยู่ (high frequency signal interference) ซึ่งเมอื่ ดาเนินการ
ทาแผนที่ค่าความโน้มถ่วงโลกตกค้างซ่ึง ได้จา กการสร้างแผน ที่ ค่า ความโน้มถ่วงระดั บไพศาลด้ว ย วิ ธี
polynomial fitting แล้วนาไปลบออกจากแผนท่ีคา่ ผิดปกติบูเกร์สมบูรณ์ จะเห็นสัญญานข้อมลู ความถ่ีสูง
ซ้อนทับนั้นเด่นชัดมากขึ้น จากลักษณะธรณีวิทยาในบริเวณดังกล่าวซ่ึงเป็นกลุ่มหินโคราชท่ีมีหมวดหิน
มหาสารคามอยู่ จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผลจากมวเกลือหินที่มีรูปร่างไม่แน่นอนเป็นสาเหตุดังกล่าว ซึ่ง
จากการประมวลผลด้วยวิธี upward continuation ที่ระดับความสูงต่างๆ (รูปที่ 5.5) พบว่าสัญญาน
ดังกล่าวหายไป แสดงว่ามาจากลักษณะธรณีวิทยาระดับต้ืน ซึ่งจากผลการสารวจคลื่นไหวสะเทือนในการ
สารวจทรัพยากรเชื้อเพลิงในแนวสารวจต่างๆนั้น พบว่าช้ันบนของมวลเกลือหินจะมีรูปร่างไม่แน่นอน
ในขณะที่ส่วนล่างของหมวดหินมหาสารคามที่อยู่บนหมวดหินโคกกรวดน้ันมีลักษณะเป็นชั้นด้วยรอยผิด
วสิ ยั (Booth and Sattayarak, 2011)
(ก) (ข)
(ค) (ง)
รปู ท่ี 5.5 แผนทแี่ สดงคา่ ความโนม้ ถ่วงโลกระดบั ไพศาลด้วยวิธี upward continuation ทร่ี ะดับ (ก) 500
(ข) 1000 (ค) 1,500 และ (ง) 2,000 เมตรตามลาดบั
53
(ก) (ง)
(ข) (จ)
(ค) (ฉ)
รูปที่ 5.6 แผนทีแ่ สดงค่าความโนม้ ถว่ งโลกระดบั ไพศาลด้วยวธิ ี polynomial fitting ท่ีอันดบั (ก) 1 (ข) 2
(ค) 3 และ แผนท่ีค่าความโน้มถว่ งโลกตกค้างจากการลบของกริดค่าความโน้มถว่ งโลกระดบั
ไพศาลออกจากกริดคา่ ผดิ ปกตบิ เู กรส์ มบูรณ์ทีอ่ นั ดบั (ง) 1 (จ) 2 และ (ฉ) 3 ตามลาดบั
54
5.4.1 รอยเลือน
จากแผนที่ค่าผิดปกติบูเกร์และค่าผิดปกติบูเกร์แบบตกค้างจะพบว่ามีความไม่ต่อเน่ือง
ของกลุ่มค่าผิดปกติหลายบรเิ วณแสดงเป็นแนวให้เหน็ ซ่ึงในเบ้ืองต้นแปลความหมายวา่ เปน็ แนวรอยเล่ือน
โดยมีทิศทางการวางตัวหลัก 3 ได้แก่ แนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ แนวเหนือ-ใต้และแนว
ตะวันออกเฉยี งเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ โดยสนั นษิ ฐานว่า แนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉยี งใต้คงจะ
เป็นรอยเล่ือนหลักเน่ืองจากมักษณะต่อเน่ืองยาวกว่าแนวอ่ืนๆ ในขณะที่แนวรอยเล่ือนเหนือ-ใต้และแนว
ตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ท่ีเกิดขึ้นเป็นผลจากแนวรอยเล่ือนหลัก หรือเป็นแนวรอยเลื่อนท่ีมี
อายมุ ากกวา่ แนวรอยเล่ือนตะวนั ตกเฉยี งเหนือ-ตะวันออกเฉยี งใต้ (รูปท่ี 5.7)
รูปท่ี 5.7 แผนที่ผลการแปลความหมายบนค่าความโน้มถ่วงโลกตกคา้ ง (Interpretation Map) แสดงการ
วางตวั ของรอยเลื่อนและขอบเขตการแผ่กระจายของช้นั เกลือหนิ
บทสรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ
6.1 บทสรุป
จากขอ้ มลู แผนท่ีธรณวี ิทยา แผนทีบ่ นิ สารวจค่าความเข้มสนามแมเ่ หล็กโลกและค่าความ
โนม้ ถว่ งโลกสมบูรณแ์ ละคา่ ความโน้มถ่วงโลกตกค้าง สามารถแปลความหมายถึงรูปทรงเรขาคณิตของมวล
สนามศักย์ต่างๆไดโ้ ดยสังเขป ดงั นี้
จากลักษณะค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกท่ีพิจารณาจากค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก
โลก ความยาวคลน่ื และ relief จากแผนทคี่ ่าความเข้มสนามแม่เหลก็ โลกลดทอนสู่ข้ัวโลกแมเ่ หล็กและแผน
ที่อนุพันธ์ต่างๆ โดยแบ่งขอบเขตจากเส้นชั้นความสูงท่ี 0 เรเดียนจากแผนท่ีอนุพันธ์มุมเอียง สามารถแบ่ง
หนว่ ยหินแมเ่ หลก็ ออกได้เปน็ 4 หนว่ ยใหญๆ่ ใน 3 โซนโดยสังเขป ได้แก่
1. หนว่ ยหินแมเ่ หล็ก M1 เปน็ หน่วยหินทไ่ี ม่มีความสัมพนั ธก์ ับแร่แมเ่ หลก็ จงึ ให้ค่าความ
เข้มสนามแม่เหล็กต่าที่สุด มีความยาวคลื่นสั้นจนถึงกว้างและ relief พบได้ทุกโซน
แม่เหลก็
2. หน่วยหินแม่เหล็ก M2 เป็นหน่วยหินท่ีมีความสัมพันธ์กับแร่แม่เหล็กแสดงลักษณะ
ความยาวคล่ืนสั้นและ relief สูง แปลความหมายว่าเป็นมวลหินอัคนีขนาดเล็กที่อยู่
ระดับตน้ื ซ่งึ ปรากฏในโซนแมเ่ หล็กท่ี 2 ซง่ึ เปน็ บริเวณทม่ี ีหินอัคนี หนิ อัคนพี แุ ละหิน
ตะกอนโผล่เป็นเทอื กเขา
3. หน่วยหินแม่เหล็ก M3 เป็นหน่วยหินที่มีความสัมพันธ์กับแร่แม่เหล็กแสดงลักษณะ
ความยาวคลื่นปานกลางและ relief สูง แปลความหมายว่าเป็นมวลหินอัคนีขนาด
เล็กถึงปานกลางท่ีอยู่ระดับตื้นจนถึงลึกปานกลาง ซึ่งปรากฏในโซนแม่เหล็กท่ี 2 ซ่ึง
เป็นบริเวณที่มีหินอัคนี หินอัคนีพุและหินตะกอนโผล่เป็นเทือกเขา นอกจากน้ียังพบ
ในโซนแมเ่ หล็กท่ี 3 ซง่ึ เป็นบรเิ วณมณฑลของกลมุ่ หนิ โคราช
4. หน่วยหินแม่เหล็ก M4 เป็นหน่วยหินท่ีมีความสัมพันธ์กับแร่แม่เหล็กแสดงลักษณะ
ความยาวคล่ืนกวา้ งและ relief สงู แปลความหมายว่าเป็นมวลหนิ อคั นีขนาดใหญ่อยู่
ในระดับลึก ซง่ึ ปรากฏในโซนแม่เหล็กท่ี 3 ซง่ึ เปน็ บริเวณมณฑลของกลุ่มหินโคราช
ในขณะท่ีค่าความโน้มถ่วงโลกนั้นแยกพิจารณาออกเป็นสองส่วนหลักๆ ได้แก่ บริเวณ
ด้านขอบตะวันตกของขอบแอ่งโคราชและทางบริเวณที่ราบสูงโคราชซ่ึงอยู่ในมณฑลของกลุ่มหินโคราช
โดยใช้วิธีการเทียบเคียงกับข้อมูลธรณีวิทยาและค่าผิดปกติความโน้มถ่วงที่ ปรากฏในแผนที่ค่าความโน้ม
ถ่วงโลกสมบูรณ์และแผนที่ค่าความโน้มถ่วงโลกตกค้าง โดยในส่วนของลักษณะธรณีวิทยาระดับลึกจะ
56
พิจารณาประกอบกับแผนที่ค่าผิดปกติบูเกร์ที่ได้จากการ upward continuation ที่ระดับความสูงต่างๆ
สามารถแบง่ คา่ ผดิ ปกติบเู กร์ทแี่ ปลความหมายถึงลักษณะธรณวี ิทยาไดโ้ ดยสงั เขปดงั นี้
1. ค่าผดิ ปกตบิ เู กรต์ า่ แบบความยาวคลน่ื สั้นปานกลางที่ปรากฏในพื้นท่ีแปลความหมาย
วา่ เปน็ แอ่งสะสมตะกอน พบทีบ่ ริเวณท่ีราบระหว่างหบุ เขาจงั หวัดเพชรบรู ณ์ต่อเนื่อง
ลงมายังจังหวัดลพบุรี ในขณะที่ค่าผิดปกติบูเกร์ต่าความยาวคลื่นยาวท่ีพบในท่ีราบ
สูงโคราชแปลความหมายว่าเป็นมวลหินอัคนีหนา ซึ่งในแผนท่ีค่าความโน้มถ่วงโลก
ตกค้างยังแสดงให้เห็นอยู่จึงสันนิษฐานว่าเป็นแอ่งสะสมตะกอนซ้อนทับบนมวลหิน
อัคนี
2. ค่าผิดปกติบูเกร์ปานกลางแบบความยาวคล่ืนสั้นปานกลางท่ีปรากฏในพ้ืนท่ีแปล
ความหมายว่าเป็นแอ่งสะสมตะกอนซึ่งจะมีความลกึ น้อยกวา่ บรเิ วณที่มีค่าผิดปกติบู
เกร์ต่า พบที่บริเวณจังหวัดลพบุรี ในขณะท่ีค่าผิดปกติบูเกร์ปานกลางความยาวคลน่ื
ยาวที่พบในที่ราบสูงโคราชอยู่ตรงบริเวณแอ่งสะสมตะกอนไทรแอสสิกที่ซ่ึงปรากฏ
หมวดหินกุฉินารายณ์บางบริเวณอาจเป็นช่วงรอยต่อระหว่างมวลหินอัคนีและหิน
ตะกอนอายุกอ่ นไทรแอสสิก
3. ค่าผิดปกติบูเกร์สูงแบบความยาวคลื่นส้ันปานกลางบริเวณด้านตะวันตกของจังหวัด
เพชรบูรณ์ต่อเน่ืองลงมายังจังหวัดลพบุรีสอดคล้องกับบริเวณท่ีเป็นหินปูนของกลุ่ม
หินสระบุรี หินภูเขาไฟแลพเถ้าภูเขาไฟอายุเพอร์เมียน-ไทรแอสสิกและหินแกรนิต
อายุไทรแอสสิก บางบริเวณเป็นหินภูเขาไฟอายุเทอร์เชียรีจนถึงควอเตอร์นารี
ทางด้านเทือกเขาเพชรบูรณ์นั้นค่าผิดปกติบูเกร์สูงเป็นหินปูนของกลุ่มหินสระบุรี
ต่อเนื่องยาวมาจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์รองรับกลุ่มหินโคราช จากหลักฐาน
ข้อมูลคล่ืนไหวสะเทือนที่ปรากฏหมวดหินผานกเค้า บางบริเวณค่าผิดปกติอาจเกิด
จากการซ้อนกนั ระหว่างหนิ ปนู และหินบะซอลต์อายุควอเตอรน์ ารใี นระดับตื้น
4. ค่าผิดปกติบูเกร์ความยาวคล่ืนสั้น ปรากฏทั้งในบริเวณค่าผิดปกติบูเกร์ต่าจนถึงสูง
แสดงการปรากฏของชั้นเกลือหินในหมวดหินมหาสารคาม ซ่ึงจากการประมวลผล
ด้วยวิธี upward continuation ท่ีระดับความสูงต่างพบว่า ลักษณะดังกล่าวจะ
หายไป แสดงว่าเป็นลักษณะข้อมูลท่ีอยู่ระดับต้ืนซึ่งน่าจะส่งผลมาจากรูปร่างของ
เกลอื หนิ ทม่ี ีรปู รา่ งไม่แน่นอน
6.2 บทอภิปราย
ในการแปลความหมายข้อมูลทั้งสองชนิดน้ันส่ิงสาคัญท่ีต้องคานึงถึงลักษณะธรณีวิทยาที่
เป็นจริง เน่ืองจากข้อมูลธรณีฟิสิกส์ทั้งสองน้ันเปรียบเสมือนแนวทางในการชี้เป้าไปสู่ลักษณะธรณีวิทยาที่
57
ค้นหา วิธีการประมวลผลด้วยวิธีอนุพันธ์หลายชนิดก็มีข้อดี ข้อด้อยต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น จากข้อมูลบิน
สารวจวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก ซ่ึงจะมีผลกระทบจากมุมเทแม่เหล็ก การจะใช้อนุพันธ์ยกเว้นวิธี
วิเคราะห์สัญญานอาจจะต้องดาเนินการแปลงข้อมูลต้นฉบับให้เป็นข้อมูลสนามแม่เหล็กลดทอนสู่ขั้วโลก
ก่อนการทาอนุพันธ์ เพ่ือป้องกันการเฟสเคลื่อน (phase shift) ซึ่งจะมีผลให้ค่าสูงสุด-ต่าสุดเบ่ียงเบนออก
จากขอบเขตมวลศักย์สนามแม่เหล็ก หรือแม้แต่การใช้อนุพันธ์รวมของผลลัพธ์อนุพันธ์มุมเอียง แม้ว่าจะ
ระบุขอบเขตของหินบะซอลต์ได้ดี แต่ไม่สามารถใช้ได้ในโซนแม่เหล็กที่ 2 ในพ้ืนที่ที่มีมวลศักย์
สนามแมเ่ หล็กซอ้ นกนั อยู่
ในสว่ นของข้อมูลคา่ ความโน้มถว่ งโลกท่ีสารวจในพ้ืนที่ท่ีมีและไม่มีกลุ่มหินโคราชปกคลุม
จาเป็นต้องคานึงถึงลักษณะค่าผิดปกติท่ีเกิดข้ึนโดยเปรียบเทียบจากค่าผิดปกติบูเกร์ในแผนท่ีต่างๆ
นอกจากน้ียังต้องคานึงถึงความยาวคลื่นของข้อมูลซ่ึงจะเป็นส่วนช่วยในการแปลความหมาย ยกตัวอย่าง
เช่น ในที่ราบสูงโคราช รอยเลื่อนท่ีแปลความหมายได้จากแผนที่ค่าความโน้มถ่วงโลกแบบต่างสะท้อนถึง
รอยเล่อื นทเ่ี กิดขึ้นในหนิ ทส่ี ะสมตัวก่อนกลมุ่ หินโคราช เป็นต้น
6.3 ข้อเสนอแนะ
ในการแปลความหมายเชิงคุณภาพของขอ้ มลู บินสารวจวดั คา่ ความเขม้ สนามแม่เหล็กโลก
และคา่ ความโน้มถ่วงโลกจงึ เป็นเพยี งข้อมลู สนบั สนุนท่ชี ่วยให้ขอ้ มลู อ่นื ๆ เชน่ ขอ้ มูลวดั คลื่นไหวสะเทือนได้
ดียงิ่ ขน้ึ ซึง่ หากมขี อ้ มูลคลื่นไหวสะเทือนซึ่งดาเนินการในการสารวจปิโตรเลียมมากเท่าเท่าไหร่ กจ็ ะช่วยให้
การแปลความหมายข้อมลู ทั้งสองไดด้ ียงิ่ ขึ้น
อย่างไรก็ดีในส่วนของการแปลความหมายเชิงคุณภาพน้ันอาจจาเป็นต้องหาข้อมูล
ลกั ษณะทางกายภาพต่างๆ ซง่ึ ยงั ไม่พบขอ้ มลู ในประเทศไทยท่นี ่าเช่อื ถอื เพยี งพอ
เอกสารอา้ งอิง
กรมทรัพยากรธรณี, 2542, แผนที่ธรณีวิทยาประเทศไทย มาตราส่วน 1:1,00,000 (Geological map of
Thailand, scale 1:1,00,000)., กรมทรัพยากรธรณี
กรมทรพั ยากรธรณี, 2550, ธรณวี ทิ ยาประเทศไทย, กรมทรพั ยากรธรณี 598 หน้า
เด่นโชค มั่นใจ นรินทร์ จันทร์ฟู จันทนี ดวงคาสวัสดิ์ จรวยโกจานนท์, 2556, ธรณีวิทยากิ่งอาเภอแม่เปิน
(4840 II) ระวางอาเภอหนองฉาง (4939 I) ระวางอาเภอบ้านไร่ (4939 III) และระวางอาเภอลานสัก
(4939 IV) สานักธรณีวิทยา กรมทรพั ยากรธรณี, 70 หน้า
จงพันธ์ จงลักษมณี นเรศ สัตยารักษ์ และ สัญญา สราภิรมย์, 2522, แผนท่ีธรณีวิทยา มาตราส่วน
1:250,000 ระวางจังหวัดนครพนม และปากซนั (NE48–10,6): กองธรณวี ทิ ยา กรมทรัพยากรธรณี
เพียงตา สาตรักษ์, 2550, ธรณีฟิสิกส์เพื่อการสารวจใต้ผิวดิน: ภาควิชาเทคโนโลยีธรณี คณะเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , หนา้ 17-118
ภควัต ศรีวังพล วชิราชัย ศักดิ์อาภา วันวิษา บุญสูงเนินและพงษ์ทรัพย์ จันทร์งู, 2557, การสารวจ
ธรณีวิทยาใต้ดินด้วยวิธีวัดค่าความโน้มถ่วงโลกขั้นไพศาลพ้ืนที่ปี 2557 จังหวัดเพชรบูรณ์, รายงาน
การสารวจฉบับท่ี 22/2557, สานกั เทคโนโลยีธรณี กรมทรพั ยากรธรณี 45 หนา้
สุวภาคย์ อ่มิ สมุทร, 2540, ลาดบั ช้ันหนิ และลกั ษณะเน้อื หินของหมวดหนิ ภทู อก บรเิ วณเขาภทู อก และภวู วั
หลงั ถ้าพลาย จังหวัดหนองคาย, ฝา่ ยวิจัยธรณวี ทิ ยา กองธรณวี ิทยา กรมทรัพยากรธรณี 42 หนา้
วชิราชัย ศกั ดิ์อาภา วันวิษา บุญสงู เนนิ และพงษ์ทรัพย์ จันทรง์ ู, 2557, การสารวจธรณวี ิทยาใต้ดินด้วยวิธี
วัดค่าความโน้มถ่วงโลกขั้นไพศาลพื้นท่ีปี 2557 จังหวัดนครราชสีมา, รายงานการสารวจฉบับที่
22/2557, สานกั เทคโนโลยธี รณี กรมทรัพยากรธรณี 47 หนา้
วชิราชยั ศักดอิ์ าภา วันวษิ า บญุ สงู เนนิ และพงษท์ รัพย์ จันทร์งู, 2557, การสารวจธรณวี ทิ ยาใต้ดินดว้ ยวิธี
วัดค่าความโน้มถ่วงโลกขั้นไพศาลพื้นที่ปี 2557 จังหวัดนครราชสีมา, รายงานการสารวจฉบับที่
22/2557, สานกั เทคโนโลยีธรณี กรมทรพั ยากรธรณี 45 หน้า
วนั วษิ า บญุ สงู เนนิ วชิราชัย ศักดอ์ิ าภา และพงษท์ รัพย์ จันทร์งู, 2557, การสารวจธรณวี ิทยาใต้ดนิ ดว้ ยวิธี
วัดค่าความโน้มถ่วงโลกข้ันไพศาลพ้ืนท่ีปี 2557 จังหวัดลพบุรี, รายงานการสารวจฉบับท่ี 22/2557,
สานักเทคโนโลยธี รณี กรมทรพั ยากรธรณี 50 หนา้
วัฒนา ตันเสถียร นรรัตน์ บุญกันภัย และเด่นโชค ม่ันใจ, 2548. แผนท่ีธรณีวิทยาระวางบ้านทรายมูล
(5644 I) และระวางอาเภอบา้ นดงุ (5644 II). สานกั ธรณวี ิทยา กรมทรัพยากรธรณี.
59
วีรชัย แพงแก้วและไชยกาล ไชยรังษี, 2547. ธรณีวิทยาระวางอาเภอเซกา ระวางอาเภอวานรนิวาสและ
ระวางบ้านข่า. รายงานฉบบั วิชาการที่ 11/2547, สานักธรณีวทิ ยา กรมทรัพยากรธรณี, กรุงเทพ, 65 หนา้
วรี ชัย แพงแกว้ และรัชนวี รรณ ใจข้อ, 2555, ลาดบั ชนั้ หินของหมหู่ ินนาหว้า หมวดหินภทู อก กลุม่ หินโคราช,
รายงานสานกั ธรณวี ิทยา ฉบับท่ี มธ 4/2555, 61หน้า
เลิศสิน รักษาสกุลวงศ์, 2545, การแก้ไขปัญหาความสับสนของการจัดลาดับช้ันหินของหมวดหินภูทอก
บริเวณภูทอกน้อยอาเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคายและพื้นที่ใกล้เคียง กองธรณีวิทยา, กรมทรัพยากรธรณ,ี
57 หน้า
Blakely, R. J., 1995, Potential theory in gravity and magnetic applications. Cambridge University
press, 441p.
Booth, J. & Sattayarak, N., 2011, Subsurface Carboniferous – Cretaceous geology of
Northeast Thailand. Chapter 9., in: Ridd, M.F., Barber, A. J.&Crow, M. J(eds) The Geology
of Thailand., Geological Society, London, 185-222.
Bunopas, S., 1981, Paleogeography history of western Thailand and adjacent parts of
Southeast Asia-A plate tectonics interpretation: Victoria University of Willington,
unpublished Ph.D.thesis, 810p.
Chonglakmani, C., 2011 Triassic. Chapter 6., in: Ridd, M.F., Barber, A. J.&Crow, M. J(eds) The
Geology of Thailand., Geological Society, London, 136-150.
Cobbling, E. J., 2011, Granitic rocks. In: Ridd, M. F., Barber, A. J., and Crow, M. J. (eds) The
Geology of Thailand, Geological Society, London, p441-457.
Department of Mineral Resources (DMR), 1999, Geological map of Thailand, scale1:1,000,000.
Department of Mineral Resources, Bangkok, Thailand.
Geosoft Inc., 2007, Geosoft’s manuals, tutorials and technical notes, Geosoft Inc., Toronto,
Canada.
Fairhead, J.D., and Williams, S.E., 2006, Evaluating normalized magnetic derivatives for
structural mapping. [online] available: http://pubs.getech.com/publications/
SEG2006_Fairhead_Williams.pdf [2011 September 25].
Hatch, D. M., Kiattiwongchai, T., Wisedsind, W., Boonnop, N. and Kwan, K. C. H., 1994, Creation
of nationwide geophysical grids of Thailand, An unpublished technical report for the
nationwide data compilation project.
60
Iwai, J., Asama, K., Veeraburus, M., and Hongnusonthi, A., 1966, Stratigraphy of the so-
called Khorat Series and a note on the fossil plant-bearing Paleozoic strata in
Thailand: Geology and Palaeontology of SE Asia, Tokyo University Press, v. 2, p. 179-
196.
Kearey, T., and Brooks., M., 1988, An Introduction to Geophysical Exploration Geoscience
texts in Gravity surveying: Blackwell Science ltd.
MacLeod, I N., Jones, K. and Dai, T. F., 1993, 3-D analytic signal in the interpretation of total
magnetic field data at low latitudes, Exploration Geophysics, 24, 679-668.
Maranate, S., 1982, Paleomagnetism of the Khorat Group in Northeast Thailand: Victoria
University of Willington, unpublished M.Sc.Thesis, 398 P.
Meesook, A., 2011, Cretaceous. In: Ridd, M. F., Barber, A. J., and Crow, M. J. (eds) The Geology
of Thailand, Geological Society, London, 169-184.
Meesook, A. and Saengsrichan, W., 2011, Jurassic. In: Ridd, M. F., Barber, A. J., and Crow, M. J.
(eds) The Geology of Thailand, Geological Society, London, 151-168.
Metcafe, I., 1998, Paleozoic and Mesozoic geological evolution of the SE Asian region:
multidisciplinary constraints and implications for biogeography. In: Hall, R. and
Hollaway, J. D. (eds) Biogeography and Geological Evolution of SE Asia. Backhuys,
Leiden, 1998, 25-41.
Milsom, J., 2011, Regional geophysics, In: Ridd, M. F., Barber, A. J., and Crow, M. J. (eds) The
Geology of Thailand, Geological Society, London, 2011, p493-506.
Murrey, A, S., and Tracey, R, M., 2001, Best practice in Gravity surveying; in
http://www.ga.gov.au/webtemp/image_cache/GA2236.pdf, available at June 25, 2014
Nabighian, M.N., 1972, The analytic signal of two dimension body with polygonal cross-section:
Its properties and use for automated anomaly interpretation, Geophysics, 37, 507-517.
Nabighian, M. N., 1974, Additional comments on the analytic signal of two dimensional
magnetic bodies with polygonal cross-section. Geophysics, 39, 85-92.
Roest, W.R., Verhoef, J., and Pilkington, M., 1992, Magnetic interpretation using 3-D analytic
signal, Geophysics, 57, 116-125.
Saad, A. H., 2006, Understanding gravity gradient – a tutorial. The meter reader, The leading
edge, 942-949.
61
Sakapa, W., 2014, Geological Model of Pre-Khorat Group in Eastern Part of Sakhon Nakhon
Basin Using Gravity and Magnetic Data: Chiang Mai University, unpublished M.Sc. thesis
(in press), 131 p.
Sattayarak, N., Polachan, S. and Charusirisawad, R., 1991, Cretaceous rock salt in the northeastern part
of Thailand, the Seventh Regional Conference on Geology, Mineral and Energy Resources of
Southeast Asia (GEOSEA VII), Bangkok, November 5-8, Geological Society of Thailand, Abstract
Volume, p.36.
Spector, A. and Grant, F. S., 1970, Statistical models for interpreting aeromagnetic data,
Geophysics, 35, 293-302.
Telford, W. M., Geldart, L. P. and Sheriff, R. E., 1990, Applied Geophysics (second edition),
Cambridge University, Cambridge, 860.
Tulyatid, J., 1997, Application of airborne geophysical data to the study of Cenozoic basins in
Central Thailand. Ph.D. Thesis, University of Leeds, Leeds, England.
United States Geological Survey (USGS), 2011, [Online] Shuttle radar topography mission
3 version 2.1 USGS, Available: http://dds.cr.usgs.gov/srtm/version2_1/SRTM3/Eurasia/
available at December 28, 2011
Verduzco, B., Fairhead, J.D., Grenn, C.M., and Mackenzie, C., 2004, New insights into magnetic
derivatives for structural mapping.,The leading Edge, 23, 116-119.
Ward, D.E., and Bunnag, D., 1964, Stratigraphy of the Mesozoic Khorat Group in Northeast
Thailand: Department of Mineral Resources, Bangkok, Report of Investigation, v. 6, 95 p.
กรมทรพั ยากรธรณี ถ.พระราม 6 เขตราชเทวี กรงุ เทพฯ 10400
http://www.dmr.go.th