1
สุนทรภ ู :
มหากวีข้ีเมาชาวบาน
ยากจนจรงิ ๆ หรอื ?
สจุ ิตต วงษเ ทศ : บรรณาธิการ
ปรับปรุงมาจากพระนพิ นธข อง
หมอ มเจาจนั ทรจ ิราย ุ รัชน ี (พ. ณ ประมวญมารค)
“อ๊ัวใหล้ือหนึ่งชุด...หนังสือดีนะโวย...ลื้อจะไดหายโง” หมอมเจาจันทรจิรายุ รัชน ี
หรือทีเ่ อยพระนามทา นสัน้ ๆ ยน ๆ ยอ ๆ วา “ทานจนั ทร” มีรับส่ังกบั ผมในตอนเยน็ วนั หนงึ่
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ ทโ่ี รงแรมแถบบางขุนพรหม แลวทานก็ทรงหันไปคุยหอกระดาษหยิบ
เอาหนงั สือ ๒ เลมมาสง ใหผม “…ลือ้ จะอา นรูเร่ืองหรอื เปลา วะ อ๊ัวชักไมแ นใจ...โงๆ อยาง
ลือ้ จะรเู ร่ืองรอ้ื ...”
ทานทรงชักพระหัตถกลับหลังจากทรงยื่นใหและกอนท่ีผมจะประนมมือนอมรับ
หนังสือ ๒ เลม นนั้
ผมรวู า ทานทรงแกลงสัพยอก เพราะทานทรงทําอยางน้ีเสมอๆ เม่ือจะประทาน
หนงั สือ
ผมจึงลอ เลยี นทานบางวาถาหากทานไมใหคนดีๆ อยางผมอาน แลวหนังสือของ
ทา นจะดไี ดยังไง
ทา นจนั ทรท รงพระสรวล แถมดวยรับสัง่ ผรวุ าทใี สห นาผมพรอ มกบั ทรงย่ืนหนงั สอื ให
“โธเอย นึกวาหนังสืออะไร ชุดนี้ผมอานมาจนจําไดเกือบหมดท้ังเลมแลว” ...ผม
ตอบทา นจันทรใ นขณะที่กราบกรานรบั หนังสือ
“ไอน่ันมันของเกา น่ีพิมพใหมโวย แลวก็เขียนเพิ่มเติมปรับปรุงใหมดวย ลื้อไป
อานดใู หมจ ะไดหายโง อว๊ั บอกแลว ไงวาล้อื มันโง เอาไปอา นใหมไ ป. ..” ทา นจันทรทรงอบรม
ส่งั สอน
หนังสือท่ีผมกําลังพูดถึงน้ีคือ...ประวัติคํากลอนสุนทรภู...โดย พ. ณ ประมวญ
มารค ซึ่งพิมพคร้ังแรกตั้งแต พ.ศ. ๒๔๙๙ และฉบับแกไขปรับปรุงพิมพใหมซ่ึงทาน
ประทานใหผม ๑ ชดุ น้ีตีพมิ พเ ม่อื พ.ศ. ๒๕๑๙ พอพิมพเสร็จหมาดๆ ทานจนั ทรก ท็ รง
เรียกใหผ มไปพบทันทีเพ่อื ผมจะไดหายโง
ผมโงอยางท่ีทานจันทรมีรับสั่งไวจริงๆ เสียดวย เพราะไดความรูใหมจากทาน
เปน อนั มาก
ทานจันทรทรงเร่ิมกลาวถึงเร่ืองราวของ...สุนทรภ ู : มหากวีกระฎมพี...
ดงั ตอ ไปน้ี
2
ประวตั ิสนุ ทรภูท ่ีเรารแู ลอานกนั ทุกวนั นี้ ถือพระนิพนธสมเด็จกรมพระยาดาํ รงรา
ชานุภาพเปนสําคัญ เรื่องน้ีทรงพระนิพนธข้ึนเปนคร้ังแรกใน พ. ศ. ๒๔๖๕ เพ่ือลง
พมิ พเปน คาํ นําหนงั สอื เสภาเรื่องพระราชพงศาวดาร ของสุนทรภู ซ่ึงทรงแจกเปนมิตร
พลีในโอกาสท่ีทรงทําบุญกุศลพระชันษา คํารบ ๕ รอบ พระนิพนธแยกออกเปน ๗
ตอน คอื
๑. ตอนกอ นรับราชการ
๒. ตอนรับราชการ
๓. ตอนออกบวช
๔. ตอนตกยาก
๕. ตอนสิน้ เคราะห
๖. วา ดว ยหนงั สือทสี่ นุ ทรภแู ตง
๗. วาดว ยเกียรตคิ ณุ ของสุนทรภ ู
หลังจากท่ไี ดทรงพิมพแ จกครง้ั น้ัน ในเมื่อไดหลกั ฐานเพิ่มมาใหม (เปนตนเมื่อทรง
พระนพิ นธค รั้งแรกยังมไิ ดพบเพลงยาวถวายโอวาท) ก็ไดทรงแกไขเพิ่มเติมใหฉบับเดิม
สมบูรณข้ึนเปนลําดับ แลพิมพอีกหลายคร้ัง (ครั้งท ี่ ๒ เมื่อแรกพิมพเรื่องพระอภัยมณ ี
ฉบับหอพระสมุดฯ) จนในท่ีสุดเสด็จออกจากราชการไป เปนอันส้ินโอกาสที่จะทรงแกไข
เพ่ิมเติมพระนิพนธใหดีขึ้นตอไปได แตถึงกระน้ัน พระนิพนธก็ยังคงเปนหลักเก่ียวกับ
ประวตั ิสนุ ทรภทู จี่ ําเปน ตอ งศกึ ษาแลอางถึงอยจู นทกุ วนั น ้ี
ตอจากท่ีไดเสด็จออกจากราชการไปแลวหลายป พระยาราชสมบัต ิ (เอิบ บุรา
นนท) ไดใหเรื่องรําพันพิลาป ของสุนทรภูแกหอสมุดฯ สําหรับพระนครอีกเรื่องหน่ึงเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๘๐ เรื่องนี้มีขอความหลายอยางที่ทําใหพระราชนิพนธของสมเด็จฯ
คลาดเคลือ่ นไปบา งเปนธรรมดา (เปนตน สนุ ทรภูบอกปบ วชแลปสกึ ไวในเร่ือง) ถา จะวา มาก
ก็วาได ถาจะวานอ ยกว็ าได เพราะท่ีคลาดเคล่ือนสวนมากอยูในตอนที่ ๓ แลท่ ี ๔ (ตั้งแต
ออกบวชตลอดจนส้ินเคราะหไ ปอยูกบั พระบาทสมเด็จพระปน เกลาเจาอยูหัว ขณะทท่ี รงพระ
ยศเปน เจา ฟา กรมขนุ อิศเรศรงั สรรค) สวนใน ๕ ตอนอ่ืนยังคงเปนหลักที่สําคัญในประวัติ
สุนทรภูอยูนน่ั เอง
เมื่อกรมศิลปากรไดตนฉบับเร่ืองรําพันพิลาปมาแลว ก็ให คุณธนิต อยูโพธ์ิ ทํา
เชงิ อรรถอธบิ ายประกอบพระนิพนธฯ ตามแนวความในเร่ืองท่ไี ดมาใหม เปนท่ีนา เสยี ดายท ี่
คุณธนิตมิได “ยกราง” พระนิพนธตอนท่ีคลาดเคลื่อนเสียใหม เพราะทั้งๆ ที่คุณธนิตได
คนความาอกี หลายเง่ือนท่ีนาฟง แตเชิงอรรถของคุณธนิตกลับทําใหพระนิพนธอานเลอะ
เทอะโดยใชเ หต ุ เพราะบางแหง ในที่ที่ของทานถูกอยางไมมีปญหา คุณธนิตกลับทําใหคน
อานสงสัย
3
อยางไรก็ดี ขาพเจาพบรําพันพิลาปเขาใน พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่ออานแลวก็เขียน
บทความสั้นๆ ลงในวารสารศิลปากร (ปท ี่ ๘ เลมท ่ี ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๗)
ดงั ตอ ไปน้ ี
หนง่ึ ศตวรรษแหงสุนทรภ ู
ขณะที่เขียนนี้เปนป พ.ศ. ๒๔๙๗ ขอน้ีเห็นสมควรบันทึกไวอยางแมนยํา
เพราะสุนทรภูตายใน พ.ศ. ๒๓๙๘ หน่ึงรอยปเต็มถึงเวลาท่ีเขียน ในโอกาสที่เปน
Centenarp นี ้ สมควรแกเวลาแลวกระมังทจ่ี ะพจิ ารณาสุนทรภแู ละกลอนสุนทรภูกันใหม
อกี คํารบหนึ่ง
ประวัติสนุ ทรภแู บง ออกเปน ๔ ตอน คือ
๑) พ.ศ. ๒๓๒๙-๒๓๕๒ (ตั้งแตกําเนิดตลอดจนส้ินรัชกาลท ่ี ๑) ใน
ระยะนส้ี ุนทรภเู ปน ขา อยูใ นกรมพระราชวังหลัง จนเมื่อทิวงคตใน พ.ศ. ๒๓๙๔ ก็ไดไป
เปนมหาดเล็กพระองคเ จา ปฐมวงศลูกเธอในกรมพระราชวังหลัง ขณะที่ทรงผนวชอยูที่วัด
ระฆงั ฯ
๒) พ.ศ. ๒๓๕๒–๒๓๖๗ (ตง้ั แตพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลานภาลยั
เสวยราชยตลอดจนสวรรคต) ในรัชกาลนี้สุนทรภูเปร่ืองเปนท่ีโปรดปรานและไดเปนขุน
สนุ ทรโวหารในกรมพระอาลักษณ
๓) พ.ศ. ๒๓๖๗–๒๓๘๕ (ตั้งแตสุนทรภูออกบวชตลอดจนสึก) ความ
ที่วา สนุ ทรภบู วชตง้ั แตปพ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา ฯ สวรรคต และไดบวชอยู ๑๘ ป
มีอยูในเรื่องรําพนั พิลาปวา
แตปวอกออกขาดราชกจิ
บรรพชติ พสิ วาทพระศาสนาฯ
“ปว อก” คอื พ.ศ. ๒๓๖๗ ตรงกับปส วรรคต
โอย ามนป้ี ขาลสงสารวัด
เคยโสมนัสในอารามสามวษา
ส้ินกุศลผลบุญกรุณา
จะจําลาเลยลบั ไปนับนานฯ
ในหนังสือประวัติวัดเทพธิดาราม มีวา วัดเทพธิดาเร่ิมสรางใน พ.ศ. ๒๓๗๙
ผกู พัทธสีมาใน พ.ศ. ๒๓๘๒ ฉะนน้ั “ปขาล” ท่ีสุนทรภ ู “สงสารวัด” หลังจากท่ีอยูวัด
นั้นสามวษา จึงตรงกับ พ.ศ. ๒๓๘๕ รวมเวลาบวชอย ู ๑๘ ป
4
๔) พ.ศ. ๒๓๘๕-๒๓๙๘ (ตงั้ แตส กึ ตลอดจนถึงแกกรรม) เม่ือสุนทร
ภูสึกแลว ไดไปอยูกับพระบาทสมเดจ็ พระปนเกลาเจาอยูหัวท่ีพระราชวังเดิม (ขณะนั้นดํารง
พระยศเปนสมเด็จเจาฟากรมขุนอิศเรศรังสรรค แตเรียกกันเปนสามัญวา “เจาฟานอย”)
เม่ือถึงรัชกาลท ่ี ๔ หลังจากบวรราชาภิเษกแลว (๒๓๙๔) ไดทรงตั้งใหสุนทรภูเปน
พระสุนทรโวหารอาลักษณกรมพระราชวังบวรฯ และสุนทรภูถึงแกกรรมใน พ.ศ.
๒๓๙๘ ท่ีบานพระยามณเฑยี รบาล (บวั ) สิรชิ นมาย ุ ๗๐ ปบริบูรณ
ประวัตสิ ุนทรภูตอนปลายนม้ี อี ยูใ นภาคผนวก หนงั สือสามกรุง วา
“สนุ ทรภเู ปรอ่ื งในรัชกาลที่ ๒ ในรัชกาลท ่ี ๓ เกรงพระราชอาญาหนีเขาวัดบวช
เปนภิกษอุ ยูคราวหน่ึง เม่อื สกึ แลว ไปอยกู ับเจาฟานอยซ่ึงเวลาน้ันประทับอยูท่ีพระราชวัง
เดมิ ท่ีหอนั่งเลนใหญของทวด ขาพเจาผูเปนพระพ่ีเลี้ยงเจา ฟานอ ยมาแตย งั ทรงพระเยาว
มีฝาเฟยมจีนก้ันท่ีเฉลียงดานกวางเปนหองๆ หนึ่งซึ่งญาติของขาพเจาที่บานนั้นบอกวา
เปน หองสนุ ทรภ ู และนายพดั บุตรสุนทรภอู ยตู อ มา”
(ขา พเจา แทรกคาํ อธิบายในตอนหลังน้ีวา ไมเคยทอดพระเนตรเรื่องรําพันพิลาป
เลย เพราะเม่ือมีหอสมุดฯ ไดต น ฉบับมา ไดท รงออกจากราชการไปแลว ขาพเจา เองกเ็ พง่ิ
อานเร่ืองนหี้ ลังทานสิน้ พระชนม)
ในนริ าศพระประธมมีคาํ วา “ถวายพระพร” พระบาทสมเดจ็ พระปน เกลา ฯ วา
ถึงลวงแลว แกวเกดิ กบั บญุ ฤทธิ ์
ยังชว ยปดปกอยูไมรูศูนย
ส้นิ แผนดินทินกรจรจํารูญ
ใหเพม่ิ พนู พอสวางหนทางเดนิ
ดังจนิ ดาหาดวงชว งทวปี
ไดชชู พี ชวยทกุ ขเมื่อฉกุ เฉิน
เปน ทํานอุ ปุ ถัมภไมก ํ้าเกนิ
จงเจริญเรียงวงศทรงสุธาฯ
นิราศเรื่องนี้แตงใน พ.ศ. ๒๓๘๕ หลังจากสึกออกมาใหมๆ เปนการบงวา
สุนทรภูสกึ แลวตรงไปพง่ึ เจาฟา นอยทันที ไมไ ดไปตกทกุ ขไ ดย ากทไี่ หนเลย
ประวัติสุนทรภูตามขางบนน้ ี (เรียกส้ันๆ วา ตอนวังหลัง, วังหลวง, ตอนบวช,
และตอนวังหนา) ครบถวนขบวนความ หากจะมีอะไรเพ่ิมเติมก็เปนเพียงแตฝอย แต
ประวัติสุนทรภูตามท่ีเขียนกันจากคําบอกเลาสืบกันตอๆ มามี “ตํานาน” และ “นิทาน”
ปนอยูมาก จําเปนท่ีจะตองนํามาพิจารณาวาสวนไหนสมควรจะรักษาไวเปนสวนหนึ่งใน
ประวัติสุนทรภู สวนไหนควรจะตดั ทงิ้ ไปเสยี เลย
5
หากจะเชอ่ื วาสุนทรภูไดอ อกบวชต้ังแตพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลาฯสวรรคต
และเมอ่ื สกึ ออกมา ๑๘ ป ภายหลัง ไดไปอยูก บั เจาฟานอยจนถึงอนิจกรรม (จนกวาจะมี
หลักฐานใหมมาลางรําพันพิลาปก็ไมเห็นทางที่จะไมเช่ือ) ก็เทากับเช่ือวาเรื่องตางๆ ท ่ี
ประกอบประวัติสุนทรภูมาแตกอนเปนนิทานทั้งส้ิน แมแตท่ีวาสุนทรภูถูกถอดก็ไมเห็นมี
หลกั ฐานอะไรยนื ยนั นอกจากเปนคําบอกเลากันมา ในที่นี้จะขอยกตัวอยางเพียงรายสอง
รายกอน
การออกบวชของสุนทรภู ดูเปนสองนัยอยูหนอย นัยหนึ่งวาหนีราชภัย และเมื่อ
บวชแลว ไดห ลบไปหวั เมืองเสยี สองสามปจึงกลับมากรุงเทพฯ ใน พ.ศ. ๒๓๗๐ และไป
อยวู ดั ราชบรู ณะ อีกนัยหน่ึงวา สนุ ทรภอู อกไปบวชตางจังหวัด จําพรรษาอยูที่นั่นสามปจึง
ไดมาอยูที่วัดเลียบ ทั้งสองนัยน้ียังไมพบหลักฐานยืนยันหรือคัดคานเพราะยังไมทราบวา
สุนทรภบู วชท่วี ดั ไหน ประวตั สิ ุนทรภตู อนบวชตั้งตน ดวยนิราศภเู ขาทอง (๒๓๗๑) ความ
ในเรอ่ื งนแี้ ละในเพลงยาวถวายโอวาทชวนใหเ ช่ือวาไมไดบ วชในกรงุ เทพฯ
หลงั จากกลับมาจากกรุงเกา คราวไปภูเขาทอง เจา ฟากณุ ฑลฯ ไดใหเจาฟากลาง
และเจาฟาปวไปเรียนหนังสือกับสุนทรภู (เพลงยาวถวายโอวาท, วาแตงราว พ.ศ.
๒๓๗๒) ดเู ปนการคานวาสนุ ทรภูถูกกร้ิวอยูในตัว
เหตทุ ่สี ุนทรภูมิไดแตงเพลงยาวถวายสําหรับจารึกที่วัดพระเชตุพน ดูเปนขอใหญท่ี
นาํ มาอา งวาสนุ ทรภถู กู กริว้ และเปนท่รี ังเกียจ หากจะพิจารณาคําจารึกอยา งละเอียด อยาง
ยง่ิ คําพระราชปรารภประกอบเพลงยาวกลบท กลอกั ษร กเ็ หน็ ทันทวี าสุนทรภูไมอยูในฐานะ
ที่จะแตงเพลงยาวสงั วาสถวายไดเ พราะขณะนั้นบวชเปน พระอยู
หากทีข่ าพเจาอธิบายนีย้ งั ไมเปน ท่สี ิ้นสงสัยสําหรับทานท่เี ชอ่ื มานานวา สุนทรภูไมได
แตงเพลงยาวจารึกเพราะถูกกร้ิว ขาพเจา จะขอเชิญพระราชนพิ นธใ นพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั
เกลาเจาอยูหัวมาช้ีขาดในเรื่องน้ีเสียที มิฉะน้ันก็ไมมีวันท่ีจะเขาใจสุนทรภูกันได พระราช
ปรารภประกอบเพลงยาวกลบทและกลอักษรวา
อนั อกั ษรกลอนเพลงนกั เลงเลน
จะรักใครใ หพอเปนแตพ าเหยี ร
อยาหลงใหลในฝป ากคดิ พากเพียร
แทบาปเบียนตนตามรูปนามธรรม
กท็ รงทราบวาสังวาสนีบ้ าดจติ
ยอมเปน พษิ กบั สัลเลขคือเนกขัม
แตบ ชู าไวใหค รบจบลาํ นํา
เปน ทีส่ ําราญมนสั ผมู ัสการฯ
6
อน่ึง ท่ีอางกันวาสุนทรภูแตงเพลงยาวคําผวน “ลอ” ตํารายาและกลบทที ่
จารึกวา “โรคมากรากโมกตมกินหาย” น้ันเปนนิทานท้ังเพ หากจะดูบาทกอนน้ัน
เพียงบาทเดียวก็จะเห็นวาไมใ ชส ํานวนสุนทรภ ู เปนบทท่แี ตงในช้นั หลงั เขาใจวา จะเปน ใคร
เชน เปโมราเปนผแู ตง แตขอน้ขี า พเจาไมขอยืนยัน
ตามที่ไดแบงประวัติสุนทรภูออกเปนสี่ตอน มีตอนวังหลัง (๒๓๒๙-
๒๓๕๒) วังหลวง (๒๓๕๒-๒๓๖๗) ตอนบวช (๒๓๖๗-๒๓๘๕)
และตอนวังหนา (๒๓๘๕-๒๓๙๘) ยอมแสดงอยูในตัววา สุนทรภูเปนคนมีบุญ
ท่ีสุด เพราะนอกจากจะไดรับอุปการะจากพระเจาแผนดินถึงสามพระองคยังไดไปเปน
“พทุ ธบุตร” ในเม่ือไมมีพระเจาแผน ดนิ อปุ การะ (แตก็มีเจา ฟาสามสี่พระองค) ฉะน้นั ยากท ่ี
จะเหน็ วา ตกทกุ ขไ ดยากในตอนไหน (เวนแตดวยความสมัครใจของเจาตัว) แตในกลอน
ของสนุ ทรภกู ลับมคี วามตรงขา ม เชนในรําพันพิลาปกลาวถงึ ความยากจนวา
โอย ามจนลนเหลือสนิ้ เสื่อหมอน
สูซุมซอ นเสยี มใิ หใครๆ เห็น
ราหทู ับยบั เยนิ เผอิญเปน
เปรียบเหมือนเชนพราหมณชีมณจี ันท
จะสึกหาลาพระอธฐิ าน
โดยกนั ดารเดอื ดรอ นสุดผอนผนั
พอพวกพระอภยั มณศี รสี วุ รรณ
เธอชวยกนั แกรอ นคอ ยหยอ นเย็น
อยมู าพระสิงหะไตรภพโลก
เห็นเศราโศกแสนแคนสดุ แสนเข็ญ
ทุกคํ่าคนื ฝน หนาน้ําตากระเดน็
พระโปรดเปน ทพ่ี ึ่งเหมอื นหน่งึ นกึ
ดังไขหนกั รกั ษาวางยาทพิ ย
ฉนั ทองหยบิ ฝอยทองไมต อ งสึก
คอยฝา ฝน ช่นื ฉาํ่ ดงั อํามฤก
แตต กลึกเหลือทจ่ี ะไดสบาย
คอยเบาบางสา งโศกเหมือนโรคฟน
จะเดินยนื ยังไมไ ดยังไมหาย
7
ไดห ม สีมหี มอนเสื่อออ นลาย
คอ ยคลายอายอตุ สาหตรองฉลองคุณฯ
การท่ีจะสาวเรื่องราวของสุนทรภูเปนเรื่องของนักวรรณคดีท่ีจะทํากันตอไป ถาจะ
พดู ไปแลว เรื่องของสุนทรภูไมใชยากท่ีจะเขาใจแตคงจะไมงายที่จะอธิบาย เพราะถึงแม
เรื่อ งรําพัน พิล าปจะไ ดพิ มพอ อกมาเ ปน ครั้งแรก ๑๖ ปแ ลวก็ตา ม แต หนั งสือ ประวั ติ
วรรณคดีและวรรณคดีวจิ ารณท ่แี ตง หลงั จากนน้ั ยังคงถอื วาสนุ ทรภูตองลอยแพกินเหลาอย ู
นั่นเอง กลอนของสุนทรภูชวนอานเสมอ แลในเมื่อชวนอานแลวก็ยอมชวนใหเช่ือดวย
ท้ังๆ ที่ในบทมีขัดกันหลายแหง ในขณะน้ียังไมไดฤกษที่ขาพเจาจะอธิบาย แตเพ่ือเปน
การประเดิมศตวรรษใหมชว ยนกั วรรณคดีท่เี ช่อื วา อยใู นศตวรรษใหมวิจารณกอนตามสบาย
ขาพเจาจะชี้ขอขัดในตัวบทเพียงแหงเดียว คือในเร่ืองภรรยาที่ชื่อจัน และบุตรท่ีช่ือพัด
(นักวรรณคดที ่เี ช่ือวา อยใู นศตวรรษเกา อยาไดพ ยายามเห็นจะดีกวา เพยี งแตร ับทราบเรื่อง
ศกั ราชก็พอ)
ตามความในนิราศพระบาทแตง ใน พ.ศ. ๒๓๕๐ สุนทรภูไดภรรยาคนหน่ึงช่ือ
จนั เปน ชาววังหลัง ตอจากน้ัน ๑๗ ป (พ.ศ. ๒๓๖๗) สุนทรภูออกบวช ตอจากนั้น
อีก ๑๗ ป ในนิราศสุพรรณ (วาแตงปลายปฉลู พ.ศ. ๒๓๘๔) ปรากฏวาภรรยาท ่ี
ชือ่ จันนน้ั ไปไดส ามีใหม เรามกั เชอ่ื กนั จากนริ าศพระบาทวา สุนทรภอู ยกู ับภรรยาชอ่ื จนั ได
ไมเทา ไรก็แตกกนั มบี ตุ รดวยกันคนหนง่ึ ช่ือพัด
ในนริ าศภูเขาทอง ซงึ่ เปน บทประพนั ธชิ้นแรกในชีวิตอุปสมบทของสุนทรภู (แตง
พ.ศ. ๒๓๗๑) มีกลาวถึง “หนูพัด” วาไดติดตามไปดวย (กับหนูพัดมัสการสําเร็จ
แลว) ตอ จากน้ันอีกประมาณ ๑๗ ป ในนิราศเพชรบุร ี ซึ่งวาเปนนิราศเรื่องสุดทาย
ของสุนทรภู (เขา ใจกนั วาแตงหลังกรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพสิ้นพระชนมใน พ.ศ. ๒๓๘๘
แตย ังไมทนั เปล่ียนแผนดินใน พ.ศ. ๒๓๙๔) มีกลาวถึง “หนูพดั ” วา
กับหนพู ัดจัดธปู เทยี นดอกไม
จะขึ้นไหวพ ระสมั ฤทธ์พิ ิษฐานฯ
หากจะเช่ือวาเม่ือหนพู ดั ไปภูเขาทองอายุจะตอ ง ๕-๖ ขวบเปนอยา งนอ ย (มฉิ ะนน้ั
สุนทรภคู งไมพาตระเวนไปหวั เมือง) เมื่อไปเพชรบุรีก็จะตองเลยอายุบวช ดูเปน “หนู” ท่ี
โตชาหนอย ยิ่งกวา นัน้ หากจะเชื่อตามนิราศพระบาทวา อยูกับภรรยาที่ช่ือจันไดไมเทาไร
ก็เลกิ กนั แลว ไซร “หนูพดั ” ท่ไี ปเพชรบุรีอายุจะมติ องรวม ๔๐ หรอื ?
สุนทรภูตายไปเพียงรอยปเ ทา นั้น ฉะนั้นทนี่ กั วรรณคดจี ะคนหาหลักฐานมาประกอบ
ประวตั สิ นุ ทรภูเสยี ใหม ก็คงไมยากเหมอื นคนเรอื่ งเกี่ยวกับกวสี มัยกรุงศรีอยธุ ยา (เร่ืองของ
สุนทรภูยังมีผูใหญในเชื้อสายของพระยามณเฑียรบาล (บัว) เลากันตอมาจนทุกวันน้ี)
8
หากนักวรรณคดสี บื สาวราวเร่ืองหรืออธิบายขอตางๆ ในตัวบทที่ขัดกันไดแลวกลับไปอาน
กลอนของสุนทรภูใ หม กอ็ าจจะไดร สท่ีอรอยกวา เกามาก แตถา หากอธิบายไมได ก็นากลัว
จะตกคา งอยูในศตวรรษเกาไปอกี นาน แตกลอนของสุนทรภเู ปนของชวนอานเสมอ ฉะนั้น
ถึงแมจะตกคางอยูสักศตวรรษสองศตวรรษก็ไมแปลกอะไร กลอนของสุนทรภูยังคงชวน
อา นอยูน ัน่ เอง
(จบขอความจากวารสารศิลปากร)
เมือ่ ปลายเดือนธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ อาจารยฉ นั ท ขําวไิ ล ไดแตงหนังสอื เลม
หนึ่งชื่อ ๑๐๐ ปของสนุ ทรภ ู
หนังสือของอาจารยฉันทหนาประมาณ ๖๐๐ หนา นอกจากม ี “นิราศพระ
อภัยมณี” และ “เฉลิมเกียรติสุนทรภู” แตงเปนคํากลอนแลว อาจารยฉันทยังไดแตง
ประวัติสนุ ทรภปู ระกอบอยางละเอียด
ตอไปน้ีเปน “สังเขปประวัติ” ซ่ึงเปนสวนหน่ึงในบ้ันปลายของหนังสือ ๑๐๐ ป
ของสนุ ทรภ ู ที่ทา นจันทรท รงกลาวถึง
สังเขปประวัตสิ นุ ทรภู
พระสุนทรโวหาร เจา กรมพระอาลกั ษณฝา ยพระบวรราชวัง นามเดิมช่ือ “ภู” หรือ
ท่ีเรียกกันเปนสามัญวา “สุนทรภู” นั้น ถ่ินเดิมบรรพบุรุษของทานเปนชาว
พระนครศรีอยุธยา ทางฝายบิดาไดอพยพลงมาอย ู ตําบลบานกร่ํา อําเภอแกลง จังหวัด
ระยอง ในสมัยเมือ่ ชาติไทยตองเสียกรงุ ศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐
คร้ังนั้น ปูและบิดาของสุนทรภูไดอพยพตามสายของพระเจาตากสินลงมา ซ่ึง
เขาใจวาปูจะเปนคหบดีหรือขาราชการช้ันผูใหญ ดวยมีพาหนะชางอพยพ สวนบิดาใน
ขณะน้นั อายยุ งั เยาวอ ยู เม่อื พระเจาตากสินกูอิสรภาพสรางกรุงธนฯ ขึ้นเปนราชธานี ปู
ของสนุ ทรภูคงมหี นาทอี่ ยางใดอยางหนงึ่ เปน กาํ ลังอยูในครงั้ นนั้ ดว ย ฝายบิดาคงยงั อยใู น
วัยการศึกษา ในสมยั กรุงธนบรุ ี
เมื่อสิ้นกรงุ ธนฯ แลว ปขู องสนุ ทรภคู งกลับไปอยบู านกร่ําอันเปน สถานที่ไดอพยพ
ลงมาต้ังหลักแหลง อยูก อน สืบตระกูลวงศเ ปนลําดบั มา
สว นบดิ าของสนุ ทรภู เมื่อเจริญวยั ไดรับการศึกษาอยูพอสมควร จนถึงสมัยสราง
กรุงรัตนโกสินทรข้ึนเปนราชธานีแลว ไดมีการสัมพันธกันกับทางฝายมารดาของสุนทรภู
ซ่งึ บรรพบรุ ษุ ทางฝายมารดาคงไดอพยพลงมาตามสายของพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอด
ฟา จฬุ าโลกในครง้ั นนั้ ดว ย
เม่ือความสัมพันธท างฝา ยบดิ ากบั มารดาเปนไปอยา งฉันสามีภรรยาจนไดใหกําเนิด
9
สุนทรภู เมอ่ื ณ วนั จันทร เดือน ๘ ข้นึ ๑ คํ่า ปม ะเมีย จุลศกั ราช ๑๑๔๘ เวลา
๒ โมงเชา (ตรงกับวันท ่ี ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙) ณ บริเวณดานเหนือของ
พระราชวงั หลัง อันเปนทตี่ ้งั บรเิ วณสถานรี ถไฟสายบางกอกนอ ย และบรเิ วณพระราชวงั
หลังนั้นเปนท่ีต้ังโรงพยาบาลศิริราชอย ู ณ บัดน้ี
การรวมคูในระหวา งบิดากบั มารดาของสนุ ทรภนู น้ั คงมเี หตอุ ยา งใดอยางหนง่ึ ซงึ่
ตองใหเ ลิกรา งกันไป อาจเปนระยะเวลาทสี่ ุนทรภยู ังอยใู นครรภหรอื พึ่งคลอดแลว ไมน านนกั
ปรากฏวาฝายบิดาไดออกไปบวชอยูที่วัดปา ตําบลบานกร่ํา อําเภอแกลง ในจังหวัด
ระยอง และเขา ใจวาในตอนน ี้ ปขู องสุนทรภูยังมีชีวิตอยูท่บี า นของตนนน้ั
กลาวถึงฝายมารดาของสุนทรภู กอนที่จะไดสามีคงเปนขาหลวงอยูกับเจานาย
พระองคใดพระองคหน่ึงในพระราชวังหลัง เม่ือออกมามีบุตรและตองรางกันกับสามีใน
ระยะเวลาอันส้ันน้ันแลว จึงกลับเขาอยูในพระราชวังหลัง และไดถวายตัวเปนแมนม
พระธดิ าในกรมฯ นัน้ ซึง่ มีพระนามวาพระองคเ จาหญิงจงกล (คงประสูติในปเดียวกันกับ
สุนทรภูเกิด) ตอมาจึงไดสามีใหม มีบุตรหญิงดวยกัน ๒ คน คือ ฉิม คนหนึ่ง ชื่อ
นมิ่ คนหน่งึ และเปนขาอยใู นพระราชวงั หลงั นน้ั
เมื่อสุนทรภูเจริญวัย ไดรับการศึกษาตามสมควรแกฐานะแลวปรากฏวาเปนผู
เปรอื่ งปราดในวชิ าอกั ษรศาสตรม าแตเ ยาว เม่ือรุน หนมุ ก็สามารถบอกดอกสรอยสักวาและ
มีอาชีพเปน ครสู อนหนังสอื อยูท่ีวัดชปี ะขาว (วัดศรีสุดาราม) ในคลองบางกอกนอย และ
ขณะท่เี ปน มหาดเล็กอยูในกรมพระราชวงั หลัง ไดแตงกลอนสุภาษติ และแตง กลอนนิทาน
ข้ึนไวเมื่ออายุอยูในราว ๒๐ ป ในระยะนี้ไดไปลอบรักกับหญิงในวังคนหนึ่งชื่อ “จัน”
เมอื่ ทราบถึงกรมพระราชวงั หลงั ก็ทรงกริ้ว รบั ส่งั ใหเวนจาํ เสยี ทง้ั หญิงและชาย
สุนทรภูจะถูกเวนจําอยูไมนานนัก กรมพระราชวังหลังก็ประชวรทิวงคตใน พ.ศ.
๒๓๔๙ จงึ ไดอ อกจากเวนจํา คร้ันถงึ ตน ป พ.ศ. ๒๓๕๐ ไดเดินทางไปหาบิดาซึ่ง
ยังบวชอยูทีว่ ัดปา ตําบลบา นกรํา่ ในจังหวดั ระยอง ขณะนน้ั บดิ าบวชได ๒๐ พรรษา
กอ นที่สนุ ทรภจู ะไปพบกบั บิดาคร้ังน้ี เขาใจวาคงไดพบกันที่กรุงเทพฯ บางแลวและเมื่อได
พักอยูกับบิดาทวี่ ัดปา ประมาณ ๒ เดือนเศษ จึงกลับมาอยูท่ีพระราชวังหลังตามเดิม ใน
การเดินทางครัง้ น้สี ุนทรภูไดแตงนิราศเรื่องหนึ่ง เรียกช่ือวา “นิราศเมืองแกลง” ปรากฏ
วา เปนนริ าศเร่อื งท่แี ตงขึ้นกอ นนริ าศเรอ่ื งอ่นื ๆ แลวไดถวายตัวอยูกับพระองคเจาปฐมวงศ
พระโอรสในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยูท่ีวัดระฆังฯ และในตอนนี้ก็ไดแมจันหญิง
คนที่รักซ่ึงตองเวนจํามาดวยกันเปนภรรยา ชะรอยเจาครอกขางใน (ทองอยู) พระอัคร
ชายากรมพระราชวังหลังจะทรงจัดแจงให แตสุนทรภูอยูกับภรรยาไดไมก่ีเดือนก็โกรธกัน
คงจะเน่ืองดวยสุนทรภูเมาหนกั ขึ้นหรอื ชอบเปน คนเจาชู เพราะปรากฏวาแมจันก็เปนคนข ้ี
หึงอยู เม่ือถึงปลายป พ.ศ. ๒๓๕๐ น้ัน สุนทรภูไดตามเสด็จพระองคเจาปฐมวงศ
เดินทางไปนมสั การพระพุทธบาท ไดแตงกลอนนิราศพระบาทไวอีกเร่ืองหนึ่งใน พ.ศ. นี้
10
เม่ือเดินทางกลับมาแลวก็ยังไมไดคืนดีกับภรรยา สุนทรภูจึงตองอยูตัวคนเดียว และคง
ออกจากมหาดเล็กทองเที่ยวไปตามความพอใจ เขาคณะบอกดอกสรอยสักวา และบอก
บทละครตามอารมณทชี่ อบและถนดั อยใู นดา นน้ ี ตอ มาจึงไดเ ดนิ ทางไปเมอื งเพชรฯ พํานัก
อยูที่บานหมอมบุนนากในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งออกไปทํานาอยูท่ีจังหวัดน้ี เมื่อกรม
พระราชวังหลังทิวงคตแลว หมอมบุนนากก็รับรองดี เวลาปวยไขก็รักษาพยาบาล
ตลอดจนคดิ หาลูกหาเมยี ใหเ ปนหลักฐาน ตอ มาสุนทรภไู ดย า ยไปพกั อยูทบี่ านขนุ รองที่บาน
โพ คงจะไมห างไกลจากบา นหมอมบนุ นากนกั วาเปน เพอื่ นรกั ใครก นั มาก เวลานั้นขนุ รอง
ก็อยูตัวคนเดียว สุนทรภูทองเที่ยวอยูในเมืองเพชรฯ เห็นจะเปนเวลานานจนถึงปลายป
พ.ศ. ๒๓๕๖ จงึ ไดจ ากขนุ รองกลับคนื มาอยกู รุงเทพฯ แตจะไปพํานักอยูแหงใดหาปรากฏ
ไม อาจจะเขา พรรคเดิม คอื คณะดอกสรอยสักวา หรือคณะละครตามอัธยาศัยของตนและ
ประกอบอาชพี ในทางแตง หนังสอื สอนหนังสืออยูด วยตามที่เคยปฏบิ ตั ิมาไมวาจะอยูแหงใด
ในระหวางน้ีคงพยายามจะคนื ดกี บั แมจ ัน แตจ ะขัดขวางอยูเพราะผูใหญ สวนตัวแมจันก็คง
จะคลายโกรธแลว
ตอ มาในราว พ.ศ. ๒๓๕๙ ปรากฏวา มีการทิ้งบัตรสนเทหกันชุกชุมในรัชกาลท ี่
๒ จนกรมหมื่นสุเรนทรตองถูกชําระ สุนทรภูก็ถูกสงสัยดวย จึงคิดหาทางหลบหนีไปเสีย
จากกรุงเทพฯ เพราะเกรงอาชญา อันเปนมูลเหตุที่ใหสุนทรภูตองกลับไปอยูเมืองเพชรฯ
เปนครั้งท ี่ ๒ ประการหนง่ึ อีกประการหน่งึ กลา วตามแนวทางของเรอ่ื งวาสนุ ทรภกู ลบั ไปอย ู
เมืองเพชร ฯ คร้ังนเ้ี พราะพาแมจ ันซงึ่ ไดลอบคนื ดีกันแลวหลบหนีไป ดวยกลัวเจานายหรือ
ญาติผใู หญจะลงโทษ หรอื บางทอี าจจะประจวบกนั ดวยเร่ืองท้ังสองนกี้ ไ็ ด แตอยางไรก็ตาม
สุนทรภูไดพาแมจันหนีไปหลบซอนอยูในถ้ําเขาหลวงที่จังหวัดเพชรบุรีคร้ังนี้จะอยูในราว
ปลายป พ.ศ. ๒๓๖๐ เมื่อเห็นวาเรื่องคงไมสูรุนแรงนักจึงพากันออกมาจากถ้ํา เขา
พาํ นักอยูบานขุนรองเพือ่ นเกา ทีเ่ คยมาพกั ครง้ั กอ น แตเวลานี้ขนุ รองไดเลอ่ื นเปน ขนุ แพง และ
มภี รรยาแลว ท้งั ปลูกบา นเรือนขึ้นใหม สุนทรภูจะพํานักอยูบานน้ีแหงเดียวหรือจะไปพัก
อยูบานอื่นอีกไมปรากฏชัด แตก็ไดอาชีพครูบาง แตงหนังสือข้ึนบาง พอปะทะปะทังการ
ครองชีพอยูตามสมควรจนถึงตนป พ.ศ. ๒๓๖๓ อายุได ๓๕ ป จึงอพยพเขามาอยู
กรงุ เทพฯ
การเดินทางกลับคร้ังน้ี คงเน่ืองดวยเหต ุ ๒ ประการ คือ งานท่ีสุนทรภูสรางไว
นับแตเ ริม่ แรกจนมาถึง พ.ศ. ๒๓๖๓ ไดแพรหลายเปนทน่ี ยิ มในหมูชนชั้นผูดีมากขึ้น จน
มีชื่อเสียงเกียรติคุณกระจายไปท่ัวเมือง ซึ่งเปนแนวทางท่ีสุนทรภูจะไดกลับคืนมายัง
กรงุ เทพฯ ประการหนง่ึ อีกประการหนึ่งแมจันซึ่งอยดู วยกนั มาถงึ ตอนน ้ี เขา ใจวา ใกลเ วลา
ท่ีจะใหกําเนิด “หนูพัด” ซึ่งจะครบกําหนดคลอดใน พ.ศ. ๒๓๖๓ จึงไดพรอมใจพากัน
เดินทางเขามากรุงเทพฯ เพ่ือเขาหาผูใหญและเจานาย (เจาครอกขางใน) เพราะเห็นวา
เปนเวลาลวงมานานคงจะคลายความโกรธ ท้งั แมจ นั ก็มีครรภอย ู อาจจะไดร ับความเมตตา
11
บางตามสมควร แลวแมจนั กไ็ ดใหกาํ เนิดหนพู ดั ใน พ.ศ. ๒๓๖๓ นั้น
ตามท่ีกลาวมาวางานทสี่ ุนทรภูไ ดสรา งข้ึนไว จนปรากฏชือ่ เสยี งน้ันเมอ่ื ทรงทราบถงึ
พระเนตรพระกรรณ พระบาทสมเดจ็ พระเจา อยูหวั ในรชั กาลท ี่ ๒ ซึ่งพระองคก ็ทรงเปนพระ
มหากวีพระองคหน่ึง จะทรงเห็นแนวความคิดและสํานวนท่ีสุนทรภูแตงไวหลักแหลมอย ู
ดวยน้ําพระทัยที่มิไดทรงถือวาสุนทรภูจะมาเปนคูแขงพระบารมีกับพระองค มีพระราช
ประสงคอยแู ตเพียงวา ขอใหงานศิลปะของชาติเจริญรุงเรืองไปดวยดี ประกอบกับเวลา
น้นั จะทรงเริ่มพระราชนิพนธบ ทละครเรอื่ งรามเกียรต์ิอย ู เมอื่ ไดทรงเห็นความสามารถของ
ราษฎรสามัญคนหนึ่งเชนนี้ หรืออาจจะทรงเห็นแววมาแตเม่ือครั้งท้ิงบัตรสนเทหน้ันดวย
จึงมีพระกระแสรับสงั่ ใหห าตัวสุนทรภูเขารับราชการในกรมพระอาลักษณ ในตอนน้ีจะเปน
เวลาทสี่ ุนทรภยู ังอยูในจงั หวัดเพชรบุรีก็ได จงึ พากันเดินทางเขามา ฝายญาติผใู หญก็หมด
ความรังเกียจ จงึ ใหเขาอยอู าศัยตามเดิม
เมื่อสุนทรภูไดรับราชการ ใน พ.ศ. ๒๓๖๓ นั้นแลว ไดทําความชอบใน
หนาที่ คอื สามารถตอพระราชนิพนธบ ทละครเรือ่ งรามเกียรติเ์ ปนท่ีถูกพระราชหฤทัยหลาย
ครั้ง จนทรงโปรดปรานเปน อนั มาก ถงึ กบั นับสุนทรภูเปนกวีที่ทรงปรึกษาดวยอีกคนหน่ึง
และทรงต้ังเปนทีข่ นุ สุนทรโวหาร พระราชทานบานใหอยูใกลชิดพระองคและมีตําแหนงให
เฝาฯ เปนนิจ แมเวลาเสด็จประพาสก็โปรดใหลงเรือพระที่น่ังเปนพนักงานอานเขียนใน
เวลาทรงพระราชนพิ นธบ ทกลอน
บานที่สุนทรภไู ดร ับพระราชทานนน้ั อยูใกลท าชาง แตอยูในกําแพงวังช้ันนอก ถา
เขา ทางดา นเหนือของพระบรมมหาราชวังก็เขาทางดานประตูสุนทรทิศา ประตูนี้ต้ังอยูมุม
พระบรมมหาราชวงั ดา นตะวันตกเฉียงเหนือ ติดถนนหนาพระลานท่ีผานตรงไปสุดทาชาง
วังหลวง บานของสุนทรภูอยูในระหวางประตูสุนทรทิศาลงไปทางดานใต ถึงประตูเทวา
ภิรมย (ประตูขุนนาง) ซ่ึงเปน ประตูดา นตะวนั ตกของพระบรมมหาราชวังในบัดน้ ี
เม่ือสุนทรภูรับราชการเปนกวีท่ีปรึกษา ในพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหลา
นภาลัยน้ัน ก็มีสมเด็จเจาฟา กรมหลวงพิทักษมนตรีและพระเจาลูกยาเธอ กรมหมื่น
เจษฎาบดนิ ทร ซ่ึงเปน กวีทป่ี รึกษาอยูรวมกัน
กลา วกันวา ครงั้ หนง่ึ สุนทรภมู เี ร่อื งขดั แยงพระนิพนธข องกรมหมื่นเจษฎาบดินทร
ตอพระท่ีน่ัง ในบทละครเรื่องอิเหนาตอนบุษบาลงสรง และกรมหม่ืนเจษฎาบดินทรตอง
ยอมตามท่สี ุนทรภูแกไ ขนนั้
อกี ครัง้ หนง่ึ สนุ ทรภูข ัดแยงพระนพิ นธข องกรมหมนื่ เจษฎาบดนิ ทรใ นบทละครเรอื่ ง
สงั ขทอง จนตองทรงแกเสียใหมตามที่สุนทรภูแยงนั้น จึงเปนมูลเหตุใหกรมหมื่นเจษฎา
บดินทรข ดั เคอื งพระทัย ถงึ กบั มนึ ตงึ สนุ ทรภอู ยตู ลอดมา
ในระหวางทสี่ นุ ทรภรู บั ราชการอยูน ้ัน ไดไ ปชอบพอรกั ใครกับหญิงอีกคนหนึ่ง ชื่อ
12
นิ่ม เปนคนชาวบางกรวย อําเภอบางกอกนอย จังหวัดธนบุรี เมื่อไดเปนภรรยาแลว
ฝายแมจันภรรยาเกาจึงโกรธพาลูกไปอยูเสียกับผูใหญที่บริเวณพระราชวังหลัง ตอมา
สุนทรภูคิดจะคืนดีดวย จึงตามไปหาที่บานและเปนเวลาท่ีตนมึนเมาอยู เมื่อเรื่องไม
เปน ไปดังประสงคจ งึ ไดเกดิ เปน ปากเปนเสียงกันขึ้น จนผูใหญตองมาหามปราม กลาวกัน
วา เปน ลุงหรอื นา กลับพลอยไดรับบาดเจ็บไปดว ย เขาจงึ ทลู เกลาฯ ถวายฎีกา เมื่อทรง
ทราบถงึ พระบาทสมเด็จพระเจา อยหู ัวกท็ รงกร้วิ มรี ับสัง่ ใหเ อาตวั สุนทรภูไปจาํ ไวในคุก คง
เน่อื งดว ยเหตุท่วี ิวาทกันกบั ภรรยาครั้งน้ี ในทสี่ ดุ แมจนั กต็ ัดสินใจหยา ขาดจากสุนทรภู อัน
เปนวาระสดุ ทา ยมไิ ดก ลับมาคืนดีกันอกี ตอไป เร่อื งท่วี วิ าทกนั กับแมจนั และที่สุนทรภูตอง
ตดิ คกุ นใี้ นราว พ.ศ. ๒๓๖๔
เมื่อสุนทรภูอยใู นทีค่ มุ ขังคงไมนานนกั พอถึงปลายป พ.ศ. ๒๓๖๔ นนั้ หรอื ใน
ราวตนป พ.ศ. ๒๓๖๕ ก็พนโทษ เลากันมาวาพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหลา
นภาลัย ทรงพระราชนพิ นธบ ทละครเรอ่ื งใดเร่อื งหนึ่งเกดิ ติดขัด ไมมีผูใดจะตอใหเปนที่พอ
พระราชหฤทยั ไดจงึ มรี ับสั่งใหเ บิกตัวสุนทรภูออกมาจากคกุ สุนทรภูต อกลอนไดดังพระราช
ประสงค ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ใหพนโทษ กลับเขารับราชการตามเดิม และเมื่อ
ในราว พ.ศ. ๒๓๖๕ น ้ี ฝา ยภรรยาคนใหมที่มีช่ือนิ่ม ก็คลอดบุตรคนหนึ่งเปนชาย
ซึ่งปรากฏภายหลงั วา ช่ือหนตู าบ สนุ ทรภูไดอยูกบั ภรรยาคนนีต้ อไปเมื่อออกจากคุกแลว
จะอยูในราว พ.ศ. ๒๓๖๕–๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหลา
นภาลยั โปรดใหส ุนทรภูเ ปน ครสู อนหนงั สือถวายสมเด็จพระเจาลกู เธอ เจาฟาอาภรณ ซึ่ง
มีพระชนมอยูใ นระหวา ง ๗-๙ พรรษา สุนทรภไู ดแ ตง กลอนเร่ืองสวสั ดริ กั ษาถวายไวเรื่อง
หนงึ่ เขา ใจวา จะแตงเพือ่ เปนอนสุ รณ คลา ยกบั เปนจดหมายเหตุไว (เชนเดียวกับเพลง
ยาวถวายโอวาทเจาฟากลางและเจาฟาปว ถาจะแตงใหทรงอานก็เห็นจะทรงไมได
เพราะพระชนมยังนอ ยอยใู นเวลาน้ัน)
คร้ันถึง พ.ศ. ๒๓๖๗ เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหลานภาลัยทรง
ประชวรสวรรคต ตอจากนัน้ มาไมน านสุนทรภูก็ถูกกลาวหาในคดีเรื่องเสพสุราหรือเร่ือง
ใดอกี ไมป รากฏ จึงตองถูกถอดจากบรรดาศกั ดิ์ท่ขี ุนสนุ ทรโวหาร และออกจากราชการ
คงเนอ่ื งดว ยกรมหมืน่ เจษฎาบดนิ ทร เม่อื เสดจ็ ขึ้นเสวยราชยเปนพระบาทสมเด็จฯ พระนั่ง
เกลาเจา อยูหวั (รัชกาลท่ ี ๓) ซ่งึ ทรงรังเกียจสุนทรภูอ ยใู นอดีต ประกอบดวยหมูอํามาตย
เหน็ โอกาสจะดําเนินการใหเ ปนไปตามพระราชประสงค เพ่ือหวงั ความดีแกต นในครง้ั นี้ จึง
ชวยกนั ตอ เตมิ เพ่มิ ความใหท รงเห็นโทษของสุนทรภูย่ิงข้ึน โดยขอหาตางๆ จนเปนผลสม
ประสงค
เม่ือสุนทรภูรูตววาตองโทษเชนนั้น จึงรีบออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ)
แลวก็เดินทางไปอยูจําพรรษาท่ีเมืองเพชรบุรีอีกครั้งหน่ึง ไดแตงหนังสือไปบาง สอน
หนังสือไปบาง และเขาใจวาจะแตงกาพยเทียบสอนอานภาษาไทย เร่ืองพระไชยสุริยา
13
เมือ่ พรรษาแรกใน พ.ศ. ๒๓๖๘ ทอี่ ยใู นเพชรฯ ครง้ั น ี้
ครั้นออกพรรษาแลว สุนทรภูก็เดินทางทองเที่ยวไปในจังหวัดราชบุรี จังหวัด
กา ญ จน บุ รี แ ต ห าไ ด อยู จํ า พ ร ร ษ าใ น ส อง จั ง ห วั ด น้ีไ ม แ ลว ท อ ง เ ที่ ย ว ไ ป จน ถึ ง จัง ห วั ด
สพุ รรณบรุ ี และไดอ ยจู ําพรรษาทีอ่ ําเภอสองพีน่ องในจังหวดั สพุ รรณบุรีนั้น (ไมใชบานสอง
พี่นองในจังหวัดเพชรบุรี) อย ู ๑ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๓๖๙ เม่ือออกพรรษาแลวได
เดินทางไปจังหวัดพิษณุโลก ไปอยูจําพรรษาใน พ.ศ. ๒๓๗๐ อีก ๑ พรรษา เที่ยว
แสวงหาลายแทงจนเม่ือออกพรรษาแลวจึงไดเดินทางกลับมาลงอยูท่ีวัดราชบูรณะใน
กรุงเทพฯ นับเวลาท่ีสุนทรภูทองเที่ยวไปอยูตามหัวเมืองนั้น นับพรรษาแต พ.ศ.
๒๓๖๘ ถึง พ.ศ. ๒๓๗๐ ได ๓ พรรษา อายุได ๔๒ ป เม่ือแรกบวชออกไปอยูตาม
หัวเมอื งไดรบั บุตรคนที่ชื่อหนูพัด ซ่ึงเกิดแกแมจันภรรยาหลวงรวมเดินทางไปดวย เวลา
นนั้ บุตรอายุราว ๖ ป
เม่ือสุนทรภูกลับจากพิษณุโลก มาอยูจําพรรษาท่ีราชบูรณะได ๒ พรรษา ใน
พ.ศ. ๒๓๗๒ เจาฟา กุณฑลทพิ ยวดี พระอคั รมเหสีในพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศ
หลานภาลัย ก็ทรงฝากพระโอรส ๒ พระองค คือ เจาฟากลางและเจาฟาปว ซ่ึงเปน
พระอนชุ าของเจา ฟาอาภรณ ขอใหส ุนทรภูถวายพระอกั ษรแลว ไดทรงอุปการะสนุ ทรภเู ปน
ลําดับมา เวลานน้ั เจา ฟากลางพระชนมไ ด ๑๑ พรรษา เจาฟาปวพระชนมได ๘ พรรษา
แตสุนทรภูถวายพ ระอักษรไดไมนานนักเจาฟาท้ัง ๒ พ ระองคก็เส ด็จจากวังกลาง ไป
ประทบั อยใู นพระบรมมหาราชวงั สุนทรภจู งึ ไดห า งกันไปจากท่ีวงั น ี้ แตในระยะนั้นพระองค
เจาลกั ขณานุคุณ ซงึ่ เปนพระเจายาเธอในพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกลาเจาอยูหัว ซึ่ง
ประทับอยูท่วี งั ตะวันตก ตรงขา มประตูสนุ ทรทศิ า เปนวงั ติดตอกนั กบั วังกลาง ไดท รงรจู กั
กนั กับสุนทรภู เหตทุ ี่ทรงรูจักนนั้ เหน็ จะเนอื่ งดวยเรอื่ งบทกลอน หรือเรื่องบทดอกสรอย
สักวา จึงทรงนับถืออุปการะสนุ ทรภตู อ ไปอีก
ถึง พ.ศ. ๒๓๗๓ ในระหวางพรรษา สนุ ทรภูเ กิดความไมสบายใจ เน่ืองดวย
ความรําคาญพวกคนรายคนพาล จึงคิดจะไปอยเู สียท่วี ดั อนื่ ไดแ ตงเพลงยาวถวายโอวาท
ทูลลาเจาฟา กลางกับเจา ฟาปว ข้นึ ไวเปนอนุสรณเรอื่ งหนึง่ ครั้นออกพรรษาอนุโมทนากฐิน
แลว ไดเดินทางขึ้นไปนมัสการพระเจดียภูเขาทองในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แตงนิราศ
ภเู ขาทองข้ึนไวอีกเรอื่ งหนงึ่
เมื่อเดินทางกลับลงมาแลว จึงไปอยูจําพรรษาท่ีวัดอรุณฯ (วัดแจง) ใน พ.ศ.
๒๓๗๔ ครัน้ ออกพรรษาในราวเดอื นยห่ี รือเดือนสาม ไดเ ดินทางไปเมอื งเพชรบุรีอีกดวย
เรอ่ื งที่รับอาสาพระองคเจา ลกั ขณานุคุณไป การเดินทางคร้ังน้ันไดตระเตรียมเขาของเพื่อ
จะตอบแทนผูที่เคยมีคุณแทบทว่ั ทุกคน (คงจะรา่ํ รวยข้ึนในตอนน)้ี และไดแ ตงนิราศเมือง
เพชรฯ ไวอีกเร่อื งหนึง่ เลาความหลงั ทีเ่ คยมาอยอู าศัยหลายคร้งั หลายหน
เม่ือสุนทรภูเดินทางกลับมาแลว คงเน่ืองดวยพระองคเจาลักขณานุคุณจะทรง
14
ผนวชใน พ.ศ. ๒๓๗๕ มาประทบั อยวู ดั โพธิจ์ งึ นมิ นตใ หส นุ ทรภูยา ยจากวัดอรุณฯ มาอย ู
เปน พระพี่เลี้ยง เพราะชอบพออธั ยาศยั กันมาก เวลานน้ั กรมหมื่นนชุ ิตชโิ นรส เปน อธบิ ดี
สงฆในวดั เมอ่ื พระองคเ จาลักขณานคุ ุณทรงลาผนวชแลว สนุ ทรภกู ย็ งั จําพรรษาอยตู อ มา
จนถึงตน พ.ศ. ๒๓๗๗ ในระยะน ้ี แมน ิ่มภรรยาคนทีอ่ ยูบางกรวยไดตายลง สวนหน ู
ตาบจงึ ไดม าอยกู บั บิดาและไดรวมเดินทางไปแสวงหายาอายุวัฒนะท่ีวัดเจาฟาอากาศ ใน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แตปรากฏวาไมเปนผลสําเร็จจึงไดกลับลงมากรุงเทพฯ ใน
ระหวางนส้ี นุ ทรภไู ดร ับความอัตคดั ขัดสนอยู เม่อื พระองคเจาลักขณานคุ ุณทราบ จึงมีพระ
ประสงคใ หส ุนทรภมู าอยใู กลวงั ที่พระองคป ระทบั เพ่อื สะดวกแกธ ุรกิจและการทรงอุปการะ
สนุ ทรภจู งึ ยายมาอยูท่ีวัดมหาธาตุในตน พ.ศ. ๒๓๗๗ น้ัน แตเมื่อจําพรรษาอยูได ๑
พรรษา ครน้ั ตนป พ.ศ. ๒๓๗๘ พระองคเจา ลักขณานคุ ณุ ทรงประชวรสิ้นพระชนมเสีย
ในตน พ.ศ. น ี้ จะขาดผูอ ุปการะหรอื มแี นวคดิ ใครที่จะสึกอยูกอน สุนทรภูจึงไดลาสิกขา
ในตน พ.ศ. ๒๓๗๘ นน้ั
รวมอายพุ รรษาทีส่ ุนทรภูบ วชในครัง้ นีไ้ ด ๑๐ พรรษา สึกเม่ืออายุยางเขา ๕๐ ป
เมื่อออกมาดาํ รงชีวติ ในเพศฆราวาสแลว การครองชพี กเ็ ปนไปอยา งลมุ ๆ ดอนๆ และการ
ครองคูก เ็ ปน ไปอยา งที่เรียกกันวา “ปลอยแก” คือเท่ียวมีภรรยาเรื่อยไปตามโอกาส แต
ภรรยาที่อยูดวยกันเปนหลักฐานจนเกิดบุตรคนหน่ึง ปรากฏวาช่ือ “มวง” และตามท ่ี
กลาวกนั วาสนุ ทรภตู อ งตกยากถงึ กบั ลงเรอื เที่ยวคา ขายนั้น คงเปนในระยะเวลาที่ไดอยูกับ
แมม วงคนน ้ี สวนบตุ รที่เกดิ ขึน้ นน้ั จะอยใู นราว พ.ศ. ๒๓๓๐–๒๓๘๑
ตอ มาเมอ่ื สุนทรภูไดร บั ความลําบากในการครองฆราวาสย่งิ ขน้ึ ประจวบกับหนูพัด
อายุครบอุปสมบท ในป พ.ศ. ๒๓๘๓ จึงเขากราบทูลปรารภเร่ืองที่เปนมาถวาย
สมเด็จกรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส ณ วดั พระเชตพุ นฯ ใหทรงทราบ จึงไดรบั พระอุปการะ
บวชใหทงั้ บิดาและบุตรใน พ.ศ. ๒๓๘๓ น้ัน แลว ทรงแนะนาํ ใหก ลบั ไปอยทู ีว่ ัดราชบรู ณะ
อีก แตสุนทรภูไปอยูไมทันไดจําพรรษาดวยเกรงพวกอันธพาลจะกอใหเดือดรอนดังแต
กอ น จึงทูลขอพระบารมีสมเด็จกรมพระปรมานุชิตฯ ใหยายไปอยูท่ีวัดเทพธิดาในพรรษา
แรกซึ่งบวชครั้งท่ ี ๒ นี้ เม่ืออยูจําพรรษาได ๒ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๓๓๔ วามีธุระ
เดนิ ทางไปยงั จังหวัดสพุ รรณบรุ ี และไดแ ตง โคลงนิราศสุพรรณบุรีขึ้นไวอีกเรื่องหนึ่ง เม่ือ
กลบั มาอยทู ีเ่ ดิมแลว ในระยะนไี้ ดรับความอัตคดั และคบั แคบใจจงึ คดิ ใครจะสึกอกี เผอญิ ได
รูจักกันกับพระเจาลูกยาเธอ กรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพ ซึ่งเปนพระพี่นางของพระองคเจา
ลักขณานคุ ุณ ไดทรงรบั อุปการะตามอธั ยาศยั ของสุนทรภซู ึ่งคิดใครจะสึก เพราะฉะนั้นใน
พรรษา พ.ศ. ๒๓๘๕ สุนทรภูจึงตกลงใจจะสึกในเมื่อออกพรรษาแลว และไดแตง
หนังสอื เร่อื งรําพันพิลาปเปน ทาํ นองลาสิกขาไวอ กี เรื่องหน่ึง คร้ันเม่ือออกพรรษาแลวจึงได
ลาจากเพศสมณะ ใน พ.ศ. ๒๓๓๕ นัน้
รวมเวลาท่ีสุนทรภูเมื่อสึกคร้ังแรกอยูในเพศฆราวาสได ๕ ป และเม่ือบวชครั้งที่
15
๒ อยจู ําพรรษาท่ีวดั เทพธดิ าได ๓ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๓๘๕ น้ัน อาย ุ ๕๗ ป เมอ่ื สกึ
แลว จงึ ไปถวายตัวกบั สมเดจ็ เจา ฟากรมขุนอิศเรศรงั สรรค ณ พระราชวังเดิม ชะรอยกรม
หม่ืนอัปสรสุดาเทพจะทรงสนับสนุนอยูบาง และสมเด็จเจาฟากรมขุนอิศเรศรังสรรค ก ็
ทรงรจู ักสนุ ทรภมู าแตครง้ั บวชอยูว ัดอรณุ ฯ ดว ยก็ได
เม่ือสุ นทรภู สึกคร้ั งน้ีได กลับ อยูรว มกันกั บภรร ยาที่ชื่ อมว ง แล ะต อน เดินท างไ ป
นมัสการพระปฐมเจดีย จึงพาบุตรคนท่ีเกดิ กับแมม ว งนนั้ ไปดวย ไดแ ตงนิราศเลา เร่ืองการ
เดินทางในครั้งน้ ี เรียกช่อื วา นริ าศพระประทม อันเปน นริ าศเรื่องสุดทายในชีวิตของสุนทร
ภซู ึ่งมีฉบบั ปรากฏอยใู นบดั น้ี
สุนทรภเู มอื่ เดินทางกลบั จากนมัสการพระปฐมเจดยี แ ลว กไ็ ดเขาอยทู ี่พระราชวงั เดิม
ตลอดมา จนถึง พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกลาเจาอยูหัว ประชวร
สวรรคต บรรดาขาราชการจึงอญั เชิญสมเด็จเจาฟา มงกฎุ ซึง่ กําลังทรงผนวชอยู ณ วัด
บวรนิเวศน ใหทรงลาผนวชเสด็จขึ้นครองราชย เปนพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกลา
เจาอยูหัว (รชั กาลท่ ี ๔) แลวจึงทรงสถาปนาสมเด็จเจาฟากรมขุนอิศเรศรังสรรค พระ
อนุชาธริ าช เปน พระบาทสมเด็จฯ พระปนเกลาเจาอยูหัว ประทับอยู ณ พระบวรราช
วงั (วงั หนา) สุนทรภจู ึงไดโดยเสด็จมาอยางขาราชบริพารอื่นๆ และไดรับพระราชทาน
บรรดาศักดิ์เปนท่ีพระสุนทรโวหาร ตําแหนง เจากรมพระอาลกั ษณ ฝายพระบวรราชวงั ใน
พ.ศ. ๒๓๙๔ เม่ืออายุ ๖๖ ป ไดรบั ราชการสนองพระมหากรณุ าธิคุณเปนลําดับมาจน
พ.ศ. ๒๓๙๘ ก็ถึงมรณกรรม ณ บา นในบรเิ วณพระบวรราชวังนน้ั สิริชนมายุ ๗๐
ป
(จบความจาก ๑๐๐ ปข องสนุ ทรภ)ู
เมื่อจบขอ ความของอาจารยฉ ันท ขําวิไล ทานจันทรทรงพระวิจารณตอไป
อกี วา
“ทีข่ าพเจา นําตอน ‘สงั เขปประวตั ’ิ มาลงเต็ม ก็เพ่ือสะดวกในการวิจารณตอไปจะ
ไดไมตองตดั ตอนจากตวั เรอ่ื งมาลงมากนกั เรือ่ งของคุณฉันทผิดกับของขาพเจาท่ีคุณฉันท
นําความในกลอนมาประกอบประวัติสุนทรภู สวนขาพเจาใชประวัติเพื่อประกอบคํากลอน
วธิ ไี หนจะผดิ เปน ‘เร่ืองเล็ก’ ใครที่คนความากแลเขียนมาก ยอมตองผิดมากเปนธรรมดา
ใครท่ไี มกลา หรือมัวแตเกบ็ ขฟ้ี นเขามาพน หรือไมคนแตค วาโดยอางวา ‘สมเดจ็ ฯ ประทาน
คาํ อธิบาย’ ไวอ ยางน้นั อยา งนี้ เปนวิสัยทาสปญญาแทๆ ไมทําใหความรูของเรากาวหนา
เลย ฉะนนั้ คุณฉันทจะผิดถูกอยางไร ขาพเจาก็เห็นวา ๑๐๐ ปของสุนทรภูเปนหนังสือท่ี
สมควรแกการศึกษาอยางยง่ิ ”
“อยางไรก็ดี ขาพเจาขอรับสารภาพตรงๆ อยางหนาเฉยตาเฉยวา ขาพเจาก ็
ทาสปญ ญาพอดู เพราะเกบ็ ขีฟ้ น เขามาเปนสว นมาก แตใ นบางแหงท่ีเปรอะเปอ นเลือนเลอะ
16
กต็ องใชก าบมะพราวถกู ันเปน การใหญ ใหข าวเปนดาํ ไปเลยทเี ดียว”
“ทอี่ ธิบายน้ ี หมายความวา สนุ ทรภ ู แตง นทิ านก็ดี แตง นิราศหรือคาํ กลอนใดๆ ก็ดี
สนุ ทรภแู ตง ประวัติของตนเองหรือ ถาเชนนั้นทําไมไมบอกวาเกิดท่ีไหน แกที่ไหน เจ็บและ
ตายท่ีไหน จะไดรูแลวรูรอดไป หรือสุนทรภูแตงกลอนเพ่ือ ‘กลอมอารมณ’ ผูอานเปน
สาํ คญั ?”
สุนทรภูครูฉัน
เกดิ วนั จันทรป มา
สุนทรภู เกดิ วันจันทร ขน้ึ ๑ ค่ํา เดือน ๘ ปม ะเมยี จลุ ศกั ราช ๑๑๔๘ เวลา ๒
โมงเชา (ตรงกับวันท ่ี ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑) มีผูผูกดวงชะตา
ของสุนทรภูไวด งั น้ี
ดวงนี้มีคํากํากบั วา “สนุ ทรภู อาลกั ษณข ้เี มา”
สุนทรภจู ะเกดิ ท่ีไหน หรือบิดามารดาชื่ออะไร ไมปรากฏเทาท่ีเรารูในปจจุบันจากคํา
ของสุนทรภูเอง (นิราศเมืองแกลง) ไดเดินทางไปหาบิดาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๐ ขณะนั้น
สุนทรภูอายเุ กือบเต็ม ๒๑ ปบริบูรณ และบิดาไดบวชอยู ๒๐ พรรษา เม่ือกลับจากเมือง
แกลงแลว ไดไปเปนมหาดเล็กและตามเสดจ็ พระองคเ จาปฐมวงศฯ ซ่งึ ทรงพระผนวชอยูท่ีวัด
ระฆงั ไปนมสั การพระพทุ ธบาทใน พ.ศ. เดียวกัน (นิราศพระบาท)
ไมร วู าผมไปจํากาพยกลอนสนั้ ๆ เกี่ยวกับประวัตสิ ุนทรภมู าแตห นไหน วา
สนุ ทรภคู รูฉัน เกดิ วนั จันทรปมา
ยส่ี ิบหกมถิ ุนา
เมื่อเวลา ๘ น.
กาพยกลอนที่เปนลํานําลําสั้นๆ บทน้ีมิไดมีความไพเราะเพราะพริ้งอะไร
17
นักหนา แตเปนถอยคําคลองจองท่ีมีเน้ือความสรุปเรื่องกําเนิดของสุนทรภูไดกะทัดรัด
ที่สุด เหมาะสําหรับใครกไ็ ดท่สี นใจเกย่ี วกับประวตั ิสนุ ทรภจู ะไดจดจาํ เอาไว
ผมคัดเอามาลงไวเปนบันทกึ อนั หนึ่งเทานั้น ไมไดสลักสําคัญอะไร ใครจะจําก็ไดไม
อยากจะจดจาํ กไ็ มเ สียหาย
บดิ า-มารดาสุนทรภ ู
อยทู ่ีไหนกันแน?
นายเสวตร เปยมพงศสานต อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผูแทนราษฎร
จงั หวดั ระยอง เมื่อครั้งเปน กรรมการจัดสรา งอนสุ าวรียส ุนทรภ ู ในคําปะหนาหนังสือ
นริ าศเมืองแกลง ทพ่ี ิมพแ จกเมอื่ วางศลิ าฤกษอ นุสาวรียสุนทรภ ู ไดเขียนเกี่ยวกับบิดา
สุนทรภูวา
“ขาพเจาไดสอบถามผูมีอาย ุ ๘๐ ปคนหนึ่ง ของบานกรํ่า ซึ่งเชื่อวาตนเองมี
ความเก่ยี วดองกบั สุนทรภู ไดความวา ผูเ ฒา ผูแกไดเลาใหฟงวา บิดาของสุนทรภู
อพยพมาจากอยธุ ยาสมยั กรุงแตก โดยใชช างเปนพาหนะ ของสําคัญท่เี อามาดว ย
มีพระพุทธรูปหลายองคซึ่งยังเก็บอยูท่ีวัดเขา ตําบลชากกะโดนทุกวันน้ี ขาพเจาได
ถายรูปพระพุทธรูปเหลาน้ันมาใหคุณหลวงบริบาลบุรีภัณฑ นักโบราณคดีแหงกรม
ศิลปากรมาพิจารณาดู ก็เห็นวาพระพุทธรูปเหลานั้น เปนพระพุทธรูปสมัยอยุธยาจริง
นอกจากนั้นผูเลายังเลาวา บานของบิดาสุนทรภูอยูริมทุงนาชายเนินตําบลบานกร่ํา
กับตาํ บลชากกะโดนตอกัน และสุนทรภูเ กดิ ณ ท่นี ัน้ ”
กรณีนีท้ านจันทรทรงมีขอคิดเห็นวา
“ในหนงั สอื ๑๐๐ ปของสุนทรภ ู ของคุณฉันท ก็มีเร่ืองอพยพทํานองเดียวกัน
ผดิ แตผ อู พยพมิใชบ ดิ าของสนุ ทรภ ู หากเปน ปูและบิดาเกิดแลวแตยังเด็กมาก เรื่อง
ทั้งหมดน้ีมีขอนาฉงนอยูเพียงนิดเดียววา ถาไดอพยพจากอยุธยาเม่ือกรุงแตกจริง
สุนทรภูก็นาจะกลาวถึงท่ีตางๆ ในอยุธยาที่ผูใหญเลาใหฟงวา บานเดิมอยูท่ีไหน
แตใ นนิราศพระบาท นิราศภูเขาทอง และนิราศวัดเจาฟา ก็ไมกลาวถึงเลย ท้ังๆ ท ่ี
เมอื่ ไปพระบาทน้นั เปน เวลาเพียง ๔๐ ปหลังเสียกรงุ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐”
“แตส มมตุ ิวาจะเชอื่ วา ไดอพยพกันมาจากกรงุ เกา จริง ก็นาเชื่อความตามคุณ
ฉนั ทม ากกวาคณุ เสวตร เพราะถาจะเชื่อวาบิดาของสุนทรภูเปนผูอพยพก็จะตองเช่ือวา
ขณะนั้นบดิ าของสนุ ทรภูโตพอท่ีจะเปนพอเรือนแลว แตไมมีลูกจนเกือบ ๒๐ ปตอมา
และเมือ่ มกี ห็ นเี ขา วัดเลย ฟงดูพิกลอยหู นอ ย ขาพเจาจึงไดต ัง้ ประเดน็ ไวว า เมอ่ื บิดา
ของสนุ ทรภูบ วชน้นั บวชเมอ่ื อายุครบบวชหรอื เมื่ออายุ ๓๐-๔๐–๕๐?”
“นอกจากน้ัน ในเรื่องการกินของพวกญาติกาในขณะท่ีอยูบานกรํ่าวา ‘ได
18
กระตา ยตะกวดกวางมายางแกง ทั้งแยบ้ึงอึ่งอางเน้ือคางคั่ว เขาทําครัวครั้นไปปะ
ขยะแขยง’ กช็ วนใหค ดิ วา ชะรอยทางฝา ยบิดาจะเปน ‘ลว นวงศวานหวานเครือเปน
เชื้อชอง ไมเหมือนนองนึกนานํ้าตากระเด็น’ แตเรื่องน้ีขอใหเปนธุระของทานผูอานจะ
พิจารณาตอไป เฉพาะขาพเจาเห็นวาบิดาของสุนทรภูมีความสําคัญในวรรณคดีของ
สนุ ทรภูนอ ยมาก ไมสมควรเสยี เวลาพิจารณา”
จากนน้ั ทานจันทรก ท็ รงอธิบายเรือ่ งเกีย่ วกับมารดาของสนุ ทรภูซ่งึ มีความวา
“มารดาสุนทรภูเปนชาววังหลัง มีคําเลากันวา เดิมเปนชาวจังหวัด
ฉะเชิงเทรา แตขอน้ีไมสําคัญ เพราะถึงแมจะเปนชาวฉะเชิงเทราจริง ก็
คงจะไดเขาไปอยใู นขอบรัว้ ขอบวงั แตยังเล็ก”
“สวนท่ีวาเปนชาวระยองนั้น ขาพเจาเห็นวาฟงไมข้ึน ท่ีคุณเสวตรจะวา
สนุ ทรภูคงจะอยทู ่บี านกร่ํานนี้ านพอสมควร มิฉะน้ันก็คงจําบิดาตลอดจนญาติพ่ีนอง
ของทานไมได เพราะจากกันไปนาน การที่สนุ ทรภูรจู ักญาติพี่นองดี และไมไดแสดง
วาเปน คนแปลกหนาของบิดาหรอื ญาตพิ น่ี อง ยอ มชี้ใหเ ห็นวา สนุ ทรภูม ไิ ดจากบานเกิด
ไปในวัยยอม หรือถาจะจากไปในวัยเด็กมาก ก็คงจะมาเยี่ยมทานบิดากอนหนาไป
เมืองแกลงครั้งนี้โดยไมตองสงสัย” ก็อาจมีผูอื่นทักวา “แลวก็ถาสุนทรภูจําญาติได
เหตไุ ฉนจึงจาํ ทางไมได?”
“ขา พเจา ไดต้งั ประเด็นไวแ ตแรกวา เม่อื บดิ าบวชนั้น สุนทรภูเกิดแลวหรือยัง
ทีม่ ารดาจะทองแกห รือลกู ออ นแลวเดนิ ทางกันดารสกู รุงตรงเขา ไปในวังเปนแมนมลูกเธอใน
กรมพระราชวังเหลานั้นเปนไปไมได อยางย่ิงถาเปนชาวระยองที่มีอุปนิสัย ‘ลวนออ
อือเอ็งกูกะหนูกะหนี ท่ีคะขาคําหวานนานนานม ี เปนวาข้ีครานฟงแตซังตาย’ (ถา
สุนทรภเู ปน ชาวระยองไซร หรือจะใชคําอยางน้)ี ”
“ถามารดาเปนชาววังหลังและบิดาเปนชาวบานกร่ํา ปญหาก็เกิดขึ้นวา ทําไม
ท้ังสองจงึ ติดตอกันได คาํ ตอบนี้พอมีเคา ในเร่อื งของคุณฉันททีว่ า เมื่อขุนหลวงตากอพยพ
ไปทางระยองหลังกรงุ แตก ปูของสุนทรภูก็อาจเขาสมทบดวยแลว บิดาสุนทรภูก็อาจมา
เติบโตในกรุง อยูในทัพเจาพระยาสุริยอภัย เขาไปเวาสาวชาววังแลวเลยหนีไปบวช
บานนอก พรรษาแรกของบิดาสุนทรภูดูจะเปน พ.ศ. ๒๓๒๙ ท่ีสุนทรภูเกิดน่ันเอง
สุนทรภเู กดิ ๑๕ วนั กอ นเขา พรรษา ฉะนัน้ ขาพเจาไมสามารถตอบประเด็นที่ต้ังไวเองไดวา
เมอ่ื บดิ าสนุ ทรภูบวชนนั้ สนุ ทรภเู กิดแลวหรือยัง ทั้งขึ้นทั้งลองดูหวุดหวิดหลังลายเต็ม
ประดา”
“ในไมช ามารดาของสนุ ทรภูกม็ ีสามใี หม มลี ูกสาว ๒ คน ชื่อฉมิ และน่ิม”
ทา นจนั ทรทรงบรรยายตอ ไปอีกดังขอ ความวา
สุนทรภูจะเกิดในวังหลังหรือไมก็ตาม แตไดเขาไปอยูในวังน้ันตั้งแตเล็ก เม่ือ
มารดาไปเปน แมน มลกู เธอในกรมพระราชวังหลัง (ตามรับสั่งสมเด็จกรมพระยาดํารงฯ วา
19
พระองคเจา หญิงจงกล แตไมป รากฏวา ประสูตปิ ไ หน)
สุนทรภูเติบโตในวังหลัง และไดเรียนหนังสือท่ีวัดชีปะขาว มีเรื่องเลากันมาวา
ขณะทส่ี นุ ทรภูย งั เปน เด็กอยทู วี่ ดั นน้ั ไดต ามอาจารยเ ดินทางไปทงุ เกิดลมบาหม ู สุนทร
ภูถามทานอาจารยวา น่ันอะไร? ทานอาจารยตอบวา ลมบาหมู! สุนทรภูกลาวตอไปวา
“แตลมยงั เปน บา สุกรพัด ไฉนสตั วจ ะไมห ลงในสงสาร” ทา นอาจารยไดยนิ ดงั น้ันกว็ า “เอ็งน่ ี
ตอ ไปจะเปน จนิ ตกวีเอกเจียวหรอื ”
เรื่องน้ีเปนนิทาน ทานจะเช่ือหรือไมก็ตาม แตนํานิทานมาลงไวบางไมเสียหาย
นิทานชนิดนี้ที่วา เปนคาํ แรกของกวีแสดงวาเปนเจาบทเจากลอนมาแตยังเยาว ยังมีเลา
กันอกี เชนเรอื่ งศรีปราชญตอพระราชนิพนธ หรอื ครัง้ หน่งึ ในสมยั กรุงธนบุร ี มีจีนคนหนึ่ง
นาํ ฉากไปถวายพระพทุ ธยอดฟาฯ เม่ือยังเปนเจาคุณ หมอมแวนไมทราบชื่อจีนคนนั้น จะ
เขา ไปเรยี นทา นวา เปน ใครก็ไมได จะถามกเ็ กรงใจจึงพูดออมคอมเพื่อจะทราบชื่อ พระพุทธ
เลิศหลา ฯ ยังทรงพระเยาววิง่ เลนอยูทนี่ อกชานหนาหอนั่ง ทรงไดยินหมอมแวนพูดออม
คอ มก็ตรสั “พี่แวน พูดมากถลากไถล ไปเรยี นเจา คณุ เถดิ วาจีนกุนเขาเอามาให”
เรื่องน้มี ีเลา อยใู นภาคผนวกสามกรงุ
ตามทเ่ี ลา กนั มาวา สุนทรภเู ปนนักเพลงตัง้ แตหนุม และเมอ่ื ไปเมอื งแกลงไดมีลูก
ศิษยไ ปดวย ๒ คน ชือ่ นอ ย กับพุม เขาใจวาเปนลกู ศษิ ยในเชิงเพลง
งานกาพยกลอน
ในชว งแรกๆ
ทา นจันทรทรงมีความคิดเหน็ กรณีผลงานกาพยกลอนในชวงแรกๆ ของสุนทรภู
มีดังตอไปน ี้
ตามท่ีเลากันมา เรื่องแรกท่ีสุนทรภูแตงคือนิทานคํากลอนเร่ืองโคบุตร (๘ เลม
สมดุ ไทย) แตง กอนไปเมอื งแกลง นอกจากน้ันยังมนี ทิ านคาํ กลอนเรื่องลักษณวงศอีกเรื่อง
หน่ึง ทีแ่ ตงในวยั หนมุ (๙ เลม สมดุ ไทย) นบั เปน เร่อื งยาวลําดับทสี่ อง
โคบุตร ขน้ึ ตนดว ยกลอนขาดแบบเพลงยาวดงั ตอไปนี ้
แตป างหลังครั้งวา งพระศาสนา
เปนปฐมสมมตนิทานมา
ดว ยปญญายงั ประวิงทงั้ หญิงชาย
ฉันชื่อภูร เู รือ่ งประจักษแ จง
จึ่งสําแดงคําคิดประดิษฐถวาย
ตามสตริ ิเริม่ เร่ืองนยิ าย
20
ใหเพรศิ พรายพรง้ิ เพราะเสนาะกลอนฯ
ลกั ษณวงศ กข็ ึน้ ตน อยา งเดยี วกนั เกอื บจะคําตอ คํา ซง่ึ จะหมายความวาสุนทรภู
เอาคําเกามาใช หรือผูอ่ืนใสเขามาทีหลัง ไมใชประเด็นสําคัญ เพราะทั้งสองเร่ืองเปน
สํานวนสนุ ทรภูแตง
นอกจากน้ันยังมเี รอ่ื งพระสมุทร วา
ขาพเจาชือ่ ภผู ูประดิษฐ
ไมแ จง จิตถอยคาํ ในอกั ษร
แมผ ใู ดไดส ดบั คําสุนทร
ชว ยเยื้อนกลอนแถลงขา วในราวความฯ
แลเรื่องนครกายวา
“นายภูอยนู าวาเท่ยี วคา ขาย”
สองเรอ่ื งนี้ไมใชข องสุนทรภู แตก ็คงเปน เรื่องชวนใหเกดิ “ตํานาน” เก่ียวกับสุนทร
ภูต อ งตกทุกขไ ดย ากถงึ กับลอยเรอื แตงกลอนขายเปน แน
ตามศักราชในรําพนั พลิ าป สุนทรภูไมไดไปตกทุกขไดยากท่ีไหนเลย ฉะน้ันเรา
ตดั สองเรอ่ื งนอี้ อกไปได
ท่สี นุ ทรภอู อกชือ่ ตวั เองยงั มอี ยูในสภุ าษติ สอนหญงิ แลรําพนั พลิ าป อกี สองแหง
ในสุภาษติ สอนหญิง วา
ฉันชอ่ื ภผู ปู ระดษิ ฐคิดสนอง
ขอประคองคณุ ใสไ วเ หนอื ผมฯ
เรื่องนี้ท่ีออกช่ือตัวเองวา ภู เขาใจวาแตงในวัยหนุมกอนเขารับราชการเปนขุน
สนุ ทรโวหาร
สภุ าษติ เรือ่ งน้เี ดมิ เรยี กวาสุภาษิตไทย เปนเร่ืองที่กองอยูในหูคนไทยมากกวาเรื่อง
อ่ืนๆ ของสนุ ทรภ ู ผูพิมพห นังสอื “เลม สลึง” ผูหนึง่ เลาวา เรอื่ งอื่นๆ ทีพ่ ิมพทีละพนั เมือ่
เทียบกับสภุ าษติ สอนหญิง สุภาษิตสอนหญิงตอ งพมิ พท ลี ะหมนื่ แลวขายหมดทันกัน
ตามทเ่ี ขา ใจกัน สนุ ทรภแู ตง นทิ านคาํ กลอนเร่อื งโคบุตรกอ นไปเมืองแกลง และเทา ท ี่
เลากันมาวา แตงเร่ืองลักษณวงศหลังนิราศพระบาท นอกจากนั้นยังมีคําเลากันมาวา
สนุ ทรภูแ ตง เรอ่ื งจันทโครบถงึ ตอนเขา ถํ้ามจุ ลนิ ท แตเ ร่ืองหลงั นสี้ มเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงฯ
21
ไมท รงรบั วาเปน ของสนุ ทรภู ในประวตั สิ ุนทรภูท รงพระนพิ นธไ วว า
สวนเร่ืองจันทโครบน้นั ไดพ เิ คราะหด ู ไมพบกลอนตอนใดที่จะเชื่อไดวาเปนสํานวน
กลอนสนุ ทรภสู ักแหง เดยี ว คาํ ทกี่ ลาวกนั กก็ ลา วแตวา สนุ ทรภูแ ตง กับผูอ่ืนอีกหลายคน จึง
เหน็ วานา จะเปนสํานวนผูอ่นื แตงตามอยางสุนทรภู หากจะวาเกี่ยวของกับสุนทรภู ก็เพียง
แตงแลวบางทจี ะเอาไปใหส ุนทรภตู รวจแกไข จึงข้ึนชอ่ื สุนทรภเู กย่ี วขอ ง แตทแี่ ทห าไดแตงไม
อยา งไรกด็ ี กลอนตอนตนเร่ืองจันทโครบดีนัก สุนทรภูจะไดแตงหรือไมก็ตาม
แตเห็นสมควรนํามาลงไวใหอานกันทั่ว ฉบับที่พิมพน้ีใชฉบับพิมพสองฉบับสอบกับฉบับ
เขียนสองฉบบั อนึ่งฉบับเขียนทัง้ สองขึ้นตนไมเหมอื นฉบับพิมพ ฉบบั หนึง่ วา
ประสานหัถมัศการข้ึนเหนอื เศียร
ตางประทีปธปู ทองประทมุ เทียร
จํานงเนียรนบศิลพระชิณวงษ
ขา พเจาผแู ตง แมลงภ ู
จะขอกเู ร่อื งความตามประสงค
แมผดิ เพีย้ นเปลีย่ นอถั ไมห ยัดยง
ทา นผจู งแจง ชว ยอาํ นวยพร
อกี ฉบับหนึ่งวา
ขา ประนมสิบนิว้ ข้ึนเหนือเศียน
ตางประทปี ประทุมเทียร
ขา ต้งั เพียรพศิ ถานถวายไป
ท้ังคุณแกว สามประการสะทานภพ
ไดสอ งจบจกั ระวารสวา งไสว
ทง้ั คณุ บดิ ามารดาเมตาใจ
บํารงุ ใหรอดตายไมวายปราน
เชญิ ประชุมคุมไภยในไตรโลก
อยามีโศกใหเ ปน ศขุ สนกุ สนาน
ทัง้ คณุ ครผู ูฉลาดเฉลมิ การ
ชว ยแตม สารใหเสนาะสํานวรคํา
อันช่อื ฉนั ผแู ตง มะแลงภ ู
พึง่ เรียนรเู รยี บความใหง ามขํา
(กลอนขาด)
ท้ังส่ิงขางเขนิ ขัดไมชัตเจน
22
ผสู ะดบั จับอานเอนตูบา ง
ชังเจบ็ หลังกวา จะแลว นัน่ เหลือเถร
บางคนจับอกั ษรมกั นอนเอน
ใหล ูกเลนหลานเลนไมเ กรงใจ
สดบั จบั ถือสีมอื หนกั
คนอปั ระลักมาขอยมื ไมนา ให
ถา คนดแี ลวไมว าใหเ จบใจ
ฉนั รกั ษ (ให) แตท ่รี ปู ทา นงาม
พอจะเห็นไดด อกกระมังวาฉบับเขียนแตกตางกนั ไดถึงเพียงไร
สองเรื่องแรกในชีวิตบวชของสุนทรภู คือ นิราศภูเขาทอง และเพลงยาว
ถวายโอวาท
เรือ่ งไหนจะแตง กอนกันเปน ปญหาสําคัญที่สุดในอันที่จะเขาใจสุนทรภู คุณฉันท
วา เพลงยาวฯ แตงกอน โดยเหตดุ ังตอ ไปนี้
สุนทรภูบวชใน พ.ศ. ๒๓๖๗ แลวไปตระเวนหัวเมอื งเสีย ๓ ป จึงกลับมาอย ู
ท่วี ดั ราชบรู ณะอีก ๓ ป (สามฤดอู ยูดีไมมีภยั ) กอนขน้ึ ไปนมสั การภเู ขาทองท่ีกรุงศรี
อยุธยา (๒๓๗๒) ในระหวาง ๓ ปท่ีอยูวัดราชบูรณะ เจาฟากุณฑลทิพยวดีได
“ประทาน” เจาฟากลาง (สมเด็จเจาฟากรมพระยาบําราบปรปกษ) และเจาฟาปวพระ
อนุชาใหมาเรียนหนังสือกับสุนทรภู (“ปฉลูเอกศกแรมหกคํ่า” ตรงกับ พ.ศ.
๒๓๗๒) เพลงยาวฯ แตงในระหวางพรรษาและเม่ือ “เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระ
พระวษา” ก็ออกเดินทางไป แตท้ังๆ ท่ีสุนทรภูไดต้ังใจไววา “จะนิราศแรมไปในไพร
พฤกษา ตอถึงพระวษาอ่ืนจักคืนมา” สุนทรภูกลับเปล่ียนใจวกลงมากรุงเทพฯ แลว
กลับไปอยูวัดอรุณฯ (ประทบั ทาหนา อรณุ อารามหลวง)
เชนนี้ ขาพเจาไมรับประทาน ขาพเจาวานิราศแตงกอนเพลงยาวฯ เมื่อ
สนุ ทรภกู ลบั มาจากอยุธยาแลว ไมไดไปอยูที่วัดอรุณฯ สุนทรภูกลับมาอยูท่ีวัดเลียบ
อยางเดิม เร่ืองน้ีจะตองอธิบายยาวหนอย ฉะน้ันจะขอลงทั้งสองบทเสียกอน ทาน
ผูอ า นควรอา นสองบทติดตอกนั ลองพิจารณาวา บทไหนแตง กอ นกัน
อยางไรก็ตาม สุนทรภูบวชแลวไปตระเวนหัวเมืองสามป (อาจไปจําพรรษา
บานนอกส่ีพรรษาในหกปแรกท่ีบวช คือ ระหวาง พ.ศ. ๒๓๖๗–๒๓๗๓) ใน
กา ร “เ รไปป ล ะ รอ ย เ รือ น เ ดื อ น ล ะ ร อ ย บา น ” ได พ า ลูกไปด ว ย ค น ห นึ่ง ค ง จ ะ ยัง เ ล็กมา ก
เพราะไปถกู ผีปอบมันลอบใชแ ลขโมยลัก
สนุ ทรภูจะไดไ ปจาํ พรรษาที่ไหนในปอะไรไมทราบแน พรรษาแรกนาจะเปนที่จังหวัด
เพชรบรุ แี ตไดไ ปอยทู สี่ ุพรรณบุรีหนง่ึ พรรษา
23
ครนั้ ไปดา นกาญจนบรุ ีท่ีอยูกระเหรีย่ ง
ฟงแตเ สยี งเสอื สหี ชนหี นาว
นอนน้าํ คา งพรางพนมพรอยพรมพราว
เพราะเชื่อลาวลวงวา แรแ ปรเปนทอง
ทั้งฝา ยลกู ถูกปอบมนั ลอบใช
หากแกไ ดใ หไ ปเขากนิ เจา ของ
เขาวษามาอยทู ่ีสองพีน่ อง
ยามขดั ของขาดมุงร้ินยงุ ชุมฯ
แรแปรธาตุเอย ลายแทงเอย ยาอายุวัฒนะเอย ชีวิตของ “พระภู” ก ็
นาจะโลดโผนดงั พรรณนาไวในราํ พันพิลาป
พระภิกษุสนุ ทรภู
บวชวดั ไหน? เมื่อไร?
ปญ หาเกย่ี วกับสุนทรภูบวชเปน ภกิ ษุ ทานจันทรทรงพระวินิจฉยั ไวอ ยางแยบ
คาย จึงขอคดั มาบันทกึ ไวดงั ตอ ไปน ้ี
สุนทรภูออกบวชใน พ.ศ. ๒๓๖๗ ตรงกับปสวรรคต ไมปรากฏวาบวชที่วัด
ไหน แตม าอยวู ัดราชบรู ณะเมอื่ ปลายป พ.ศ. ๒๓๗๐ คณุ ฉันทส นั นษิ ฐานวา บวชท ่ี
วัดราชบรู ณะ ขาพเจาสงสัยขอน ้ี ถาบวชท่ีวัดน้ันจริง สมภารก็คงจะเปนอุปชฌาย
หรอื คูส วด แตส นุ ทรภูแตงนิราศภูเขาทองวา “จะยกหยิบธิบดีเปนท่ีตั้ง ก็ใชถังแทนสัด
เห็นขัดขวาง” ดูจะไมใชวาจาท่ีเหมาะท่ีจะกลาวถึงครูบาอาจารย สุนทรภูอาจบวช
ตางจังหวัด ขาพเจาพยายามหาเงื่อนท่ีจะใหเปนเมืองแกลง เพื่อเปนการชวยเหลือ
กรรมการจัดสรางอนสุ าวรยี ส ุนทรภมู ใิ หต กคา งอยใู นศตวรรษเกา แตกไ็ มเห็นมอี ะไรจริงๆ
แมแตทบ่ี ดิ าจะมชี ีวติ อยหู รอื ไม ๑๗ ปหลังจากทีส่ นุ ทรภไู ดออกไปหาเมื่อแตงนิราศเมืองแก
ลง กไ็ มม รี องรอย ขา พเจานึกวาถา สุนทรภูออกไปบวชหวั เมอื ง คงจะเปนเมอื งเพชร
ฯ มากกวา เพราะไดไปมาติดตอแตแรกกอนเขารับราชการแลว (ความขอนี้มีอยูใน
นิราศเมืองเพชร) แตก็ไมมีหลักฐานอะไรยืนยันหรือคัดคาน จะพูดมากไปก็เปนการ
สนั นษิ ฐาน ฉะนนั้ ขาพเจา ขอตดั สินเปน กลางวา สุนทรภูบวชทีท่ อ งสนามหลวง มีพระ
โมคคัลลานสารบี ตุ รเปน คูส วด มีพระสมั มาสัมพทุ ธเจาเปน อปุ ช ฌาย
ทา นผูอานไมตอ งพยายามหาหลักฐานมาคัดคานขอ น ้ี เพราะถาจะคนกจ็ ะเห็นวา
ไดถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย เม่ือวันจันทร
24
เดือน ๖ ข้นึ ๑๓ ค่ํา ประกา พ.ศ. ๒๓๖๘ ซ่ึงเลยปที่สุนทรภูบอกวาออก
บวช แตสุนทรภูแตงรําพันพิลาป ๑๘ ปภายหลัง อาจลืมวาถวายพระเพลิงเม่ือ
ขามปแลวก็เปนได ประสาอะไรแตขาพเจาเอง ถาจะใหบอกวาพระบาทสมเด็จ
พระพุทธเจา หลวงสวรรคตปอะไร ขาพเจาก็บอกไดโดยไมตองเปดหนังสือวา สวรรคต
ในปจอ แตจ ะไดถวายเพลิงในปน ้นั หรือในพรุงป ขาพเจาไมส ามารถบอกได ท้ังน ้ี
หมาย คว ามวาคว ามจําของคน เ ราอาจจําบาง อยาง ไดแมน ยํากวาบาง อยาง
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา ฯ สวรรคตเม่ือเขาพรรษาไดไมกี่วัน พระพุทธเจาหลวง
เมื่อออกพรรษาแลว แตจะอยางไรก็ตามที่จะใหสุนทรภูบวชหนาไฟพระบรมศพน้ัน
ขาพเจาเห็นวาถูกตองตามอัธยาศัยของสุนทรภูดี จึงขอทิ้งไวจนกวาใครจะหาหลักฐาน
ใหมมาได เมื่อสุนทรภูบวชแลว เขาใจวาไปอยูเพชรบุรีแลในระหวางที่อยูเพชรบุรีน้ัน
คงจะไดเ ร่ิมสนใจในการเลนแรแปรธาตแุ ละแสวงหาลายแทงแลว
สุนทรภูมาอยูท่ีวัดราชบูรณะ “สามฤดู” กอนเดินทางไปนมัสการภูเขาทอง
ปญหามีวา “สามฤดูอยูดีไมมีภัย” เปนระยะนานเทาใด คุณฉันทวา สามฤดูฝน
คอื ฤดูกาลเขาพรรษาผานไป 3 คร้ัง (พ.ศ. ๒๓๗๑–๒๓๗๓) นักวรรณคดีบางทาน
เห็นวาหน่ึงป คือฤดูหนาว ฤดูรอน และฤดูฝน ขาพเจาไมรับประทานท้ังสอง
อยาง ขาพเจา วาสามฤดูในนี้ หมายท ่ี ๗–๘ เดือนระหวางสงกรานตและออกพรรษา
(ฤด ู คือ ฤดเู ทศกาลตรษุ , เทศกาลสารท และเทศกาลพรรษา) ในบทเขาบอกออก
แจม แจง วา “ทัง้ ตรษุ สารทพระวษาไดอ าศัย สามฤดูอยูด ไี มมภี ัย” ฉะน้นั เรอ่ื งนีย้ ตุ ิได
สวนปท่ีสุนทรภูไปภูเขาทองนั้น คุณธนิตวา พ.ศ. ๒๓๗๑ เพราะมี
ประกาศในรชั กาลท่ ี ๔ วา “กไ็ ดทรงพระศัทธาเสดจ็ ไปทํามหกรรมการฉลอง (วัดเขมา
ภริ ตาราม) ทรงบําเพญ็ การพระกศุ ลในท่ีนน้ั เปน อันมาก ในปชวดสัมฤทธิศก ศักราช
๑๑๙๐ (พ.ศ. ๒๓๗๑)” ตรงกับกลอนของสุนทรภูวา “ถึงเขมาอารามอรามทอง
เพ่งิ ฉลองเลกิ งานเม่อื วานซนื ”
เปน ทน่ี า เสยี ดายอยูหนอย คุณธนิตมิไดคนวันเดือนมาประกอบป เลยเปนเหต ุ
ใหค ุณฉนั ทเถียงไดว า อาจจะไมใชค ราวฉลองมหกรรมกไ็ ด เปนการฉลองโบสถวิหารการ
เปรียญหรือกุฏิเจดีย หรือแมแตฉลองกฐินผาปาธรรมดาก็ได ขาพเจาขอชวยคุณ
ธนติ สักหนอย โดยอา นคําวา “วานซืน” อยางเถรตรงใหหมายความวา “วนั กอนวานน”้ี
ตรงกับขึ้น ๑๓ คาํ่ เดอื น ๑๒ พอดิบพอดี
ตอนน้ีลองกะวันเดินทางของสุนทรภู “เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวษา” ออก
พรรษา “รับกฐินภิญโญโมทนา” ระหวางออกพรรษาและกลางเดือน ๑๒
แลว แตจะเสดจ็ พระราชดําเนินถึงวัดราชบูรณะในวันใด “ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย” ข้ึน
๑๓ ค่ํา เดอื น ๑๒
สุนทรภคู งจะออกเดินทางแตเชามืดในวันขึ้น ๑๓ คํ่า ไปคางคืนแรกกลาง
25
นา (พระสรุ ิยงลงลับพยบั ฝน ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา ถึงทางลัดตัดทางมากลาง
นา โอยามเข็ญเห็นอยูแตหนูพัด ชวยนั่งปดยุงใหไมไกลกาย จนเดือนเดน
เห็นนกกระจับจอก) วนั รุง ขึ้น (ข้ึน ๑๔ คํ่า) ถึงกรุงเกาตอนเย็น แลวจอดเรือ
คางคนื คนื ทส่ี องท่ีหนา วัดพระเมรขุ าม (พอรอนรอนออนแสงพระสุรยิ น ถึงตําบลกรุง
เกายิ่งเศราใจ มาจอดทาหนาวัดพระเมรุขาม ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน)
แลว จงึ ไปนมัสการพระเจดยี ในวนั รงุ ขึ้น (ครั้นรุงเชาเขาวันอุโบสถ เจริญรสธรรมาบูชา
ฉลอง ไปเจดียที่ชื่อภเู ขาทอง ดูสงู ลองลอยฟานภาลยั )
“วันอุโบสถ” ในตอนขางบนน ้ี หมายความวาวันเดือนดับหรือเดือนเต็ม
(ไมใชวนั พระ ๘ คํา่ ) ท่ีสุนทรภูกลาวถึงพยับฝนและเดือนเดนในฤดูนํ้าที่แลนขามทอง
นาได ยอ มบงอยใู นตัววาเปน วันอโุ บสถกลางเดอื น ๑๒ ในเมื่อฝนยังไมท นั ขาดทีเดียว
คืนวันเพ็ญท่ีไปนมัสการนั้น กลับมาคางคืนที่อยุธยา (มานอนกรุงรุงขึ้นจะ
บชู า) แลว ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันแรม ๑ คํ่า ถึงในวันเดียวกัน (พอ
ตรตู รูสุรยิ ฉายขึ้นพรายพรรณ ใหลอ งวนั หนึ่งมาถึงธานี)
เปนอันวา สุนทรภูออกจากกรุงเทพฯ เปนเวลา ๔ วัน ๔ คืน ระหวางขึ้น
๑๓ คํ่า ถึงแรม ๑ ค่ํา เดือน ๑๒ การไปเชนน้ีไมบงวี่แวววามีเจตนาที่จะไปคาง
พรรษาทห่ี วั เมอื งอยางท่ีบอกในเพลงยาวถวายโอวาท (จะนิราศแรมไปไพรพฤกษา ตอ
ถึงพระวษาอน่ื จักคนื มา) จงถอื เปนเหตอุ ันหนงึ่ ท่ีวา นริ าศภเู ขาทองแตง กอ นเพลงยาวฯ
คุณฉันทวา สุนทรภูกลับจากภูเขาทองแลวเลยไปอยูวัดอรุณ ขาพเจาวา
กลบั มาอยูว ดั เลยี บ ถา จะพิจารณาเวลาเรือไฟไปอยุธยาทุกวัน ก็ดูเหมือนจะกินเวลา
ประมาณ ๖ ช่ัวโมง หากตามน้ําก็อาจเปนเพียง ๔ ชั่วโมง หากทวนน้ําก็อาจเพ่ิมเปน
๘ ชวั่ โมง ฉะนนั้ ในสมยั สุนทรภทู จี่ ะลองลงมากรุงเทพฯ คงกนิ เวลาไมตํ่ากวา ๑๒
ชัว่ โมง กลอนตอนนีว้ า
พอตรตู รูสรุ ิยฉายขน้ึ พรายพรรณ
ใหล องวันหน่งึ มาถึงธานี
ประทบั ทา หนา อรุณอารามหลวง
คอยสรางทรวงทรงศีลพระชินสหี ฯ
ไมไดหมายความวา มาถึงกรุงเทพฯ กอนคํ่า “วันหน่ึง” ในที่นี้
หมายความวา ภายใน ๒๔ ช่ัวโมง คือ ออกเดินทางแตเชามืดมาจอดท่ีทา
หนาวัดกอนไดอรุณ หากผูใดมีความสงสัยในเร่ืองน้ี พึงเทียบเวลาในนิราศพระบาท
วา
วนั รุงแรมสามคา่ํ เปน สําคัญ
26
อภิวันลาบาทพระชนิ วร
ถึงทา เรอื ลงเรือไมแรมหยดุ
………………………………
ไดว ันคร่ึงถึงเวยี งประทับวัดฯ
วัดในที่น้ ี คือวัดระฆัง สวนทาเรืออยูเหนืออยุธยา ฉะนั้นเวลาเดินทางซ่ึง
เร่มิ แตรงุ อรุณเหมอื นกัน จึงถึงกรุงเทพฯ กอนค่ําวนั รุงขึ้น คือ กลับจากพระบาท
ถงึ วัดในวนั แรม ๔ ค่ํา
แผนดนิ หลงั ครัง้ พระโกศกโ็ ปรดเกศ
ฝากพระเชษฐานน้ั ใหฉ นั สอน
สน้ิ แผน ดินสิ้นบุญของสุนทร
ฟาอาภรณแ ปลกพักตรอาลักษณเดิมฯ
กลอนคําแรกหมายความวา สุนทรภูเคยถวายอักษรเจาฟาอาภรณเมื่อปลาย
แผนดนิ กอน กลอนคําหลงั เปนเรอ่ื งสนั นษิ ฐาน
เม่ือสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพทรงพระนิพนธประวัติสุนทรภูครั้งแรก
ยงั มิไดพ บเพลงยาวถวายโอวาท พระนพิ นธวา
“มีเรอ่ื งเลา กนั มาถึงประวตั สิ ุนทรภใู นตอนที่ตกยากอีกเรื่อง ๑ วาสุนทรภูไปเฝา
เจาฟาอาภรณ แรกทอดพระเนตรเหน็ ทรงจําไมไ ด แตเ มื่อไปเฝาสมเด็จเจาฟากรมพระ
ยาบําราบปรปกษ ทรงจําไดโปรดประทานเงินแกสุนทรภูในคราวนั้น และคราวหลังๆ
ตอมาอีกหลายคราว สุนทรภูคิดถึงพระเดชพระคุณจึงแตงกลอนเรื่องราชนิติถวายเรื่อง
๑ เหมือนอยา งไดแ ตงเรอ่ื งสวสั ดิรกั ษาถวายเจาฟาอาภรณมาแตกอน แตกลอนเร่ือง
ราชนิติน้ัน เวลาน้ียังหาฉบับไมพบ มีแตผูจํากลอนขางตอนทายไวไดหนอยหนึ่งวา
‘สิน้ แผน ดนิ สน้ิ บุญของสนุ ทร ฟา อาภรณแปลกพักตรอาลักษณเดิม’ ดังน ี้ กลาวกัน
วา สนุ ทรภไู ดแตง กลอนยอพระเกยี รตพิ ระองคเจา ลกั ขณานุคณุ อกี เรอ่ื ง ๑ ฉบบั ยงั หา
ไมไดเหมือนกัน แตย งั มตี ัวผทู ีไ่ ดเ คยอา น”
เรอื่ งราชนิต ิ คอื เพลงยาวถวายโอวาท เมอ่ื ไดพบฉบับแลวทรงเปลี่ยนพระ
นิพนธดงั ตอไปน้ ี
“ครน้ั เม่ือมาถูกถอดในรชั กาลท่ี ๓ จา วนายและผูมีบรรดาศักด์ิ ก็ไมมีผูใดกลา
ชบุ เลยี้ งเก้อื หนุนโดยเปดเผย ดว ยเกรงจะเปนท่ฝี า ฝนพระราชนิยม ในพระบาทสมเด็จ
ฯ พระน่ังเกลาเจาอยูหัว แมเจาฟาอาภรณซึ่งเปนศิษยก็ตองทําเพิกเฉยมึนตึง
สุนทรภไู ดก ลา วความขอ นไ้ี วใ นเพลงยาววา ‘สิ้นแผนดินสิ้นบุญของสุนทร ฟาอาภรณ
แปลกพกั ตรอ าลกั ษณเดมิ ’”
27
ทานผูอานพึงสังเกตวา เรื่องท่ีสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงฯ ทรงยินเลามา
(กอนไดฉบับเพลงยาวถวายโอวาท) วา “เจาฟาอาภรณแรกทอดพระเนตรเห็น
(สุนทรภู) ทรงจําไมได” คร้ันเมื่อไดฉบับมาแลว ทรงวินิจฉัยไปในทํานองวา เจา
ฟาอาภรณทรงทําเพกิ เฉยมึนตงึ เพราะเกรงวา จะเปน การฝาฝนพระราชนยิ ม
คําวา “แปลก” ท่ีใชเปนกิริยาในท่ีน้ี ยอมหมายความตามสํานวนกวีวาทํา
เพกิ เฉยไมได เพราะฉะน้ัน คําที่ทรงยินมาถูกตองกวาท่ีทรงตีความเอง ขาพเจานํา
เรือ่ งนม้ี าแจงมิใชเพอื่ เปน การตาํ หนิหรืออะไรในทาํ นองนนั้ แตเพือ่ ช้วี า “ตํานาน” และ
“นทิ าน” ในประวตั ิสุนทรภู มที างเกดิ ขึน้ ไดจ ากการเขา ใจเขว การเขา ใจผดิ เชนนคี้ งมี
มาแตส มยั เม่ือสนุ ทรภูยงั มีชวี ติ อยแู ลว
เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัยเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๖๗
เจาฟาอาภรณพระชนมาย ุ ๘ ขวบ ในปนั้น สุนทรภอู อกบวช แลว หายหนาไป ๓ ป
จึงกลับมาอยวู ดั ราชบูรณะในปลายป พ.ศ. ๒๓๗๐ ขณะที่สุนทรภูกลับมา เจาฟา
อาภรณพระชันษา ๑๑ ป ยังมิไดทรงโสกันต ฉะนั้นท่ีจะจําสุนทรภูไมไดยอมเปน
ของธรรมดา แตในกรณีน้ ี สนุ ทรภมู ิไดห ายหนาไปเฉยๆ เม่ือกลับมายังแถมโกนผม
หม ผาเหลืองอกี ดว ย ฉะนน้ั ขา พเจา ใครถามวา เด็กในวัยนั้นคนไหนบางจะไม “แปลก
พกั ตรอาลกั ษณเดิม”
สุนทรภูถกู ถอด?
เรอื่ งไมเปนเรอื่ งในสมัยรัชกาลท่ ี ๓
เร่ืองที่วาสุนทรภูถูกถอดจากตําแหนงเพราะมีขอพิพาทกับรัชกาลท่ี ๓ มา
กอนนั้น เปนที่เชื่อถือและกุขาวกันมาก ทานจันทรทรงคัดคานวาไมนาจะเปนจริง
ดงั ทท่ี รงชแี้ จงแสดงเหตผุ ลไวดังน้ี
เหตุท่ีสุนทรภูมิไดแตงเพลงยาวถวายสําหรับจารึกท่ีวัดพระเชตุพนถือกันเปนขอ
ใหญท่ีนํามาอางวา สนุ ทรภูถูกถอดและเปนท่ีรังเกียจ เรื่องนี้ขาพเจาไดยกมาอางแลว
ในหนงั สอื วารสารศิลปากร แตในทีน่ ้จี ะขอขยายความอกี เลก็ นอ ย
จารึกวัดเชตุพนแบงออกอยางกวางๆ เปน ๕ ประเภท มี ตํารายา ๑
ตาํ ราวรรณคดี ๑ สุภาษติ ๑ ประวัตกิ ารปฏสิ งั ขรณ ๑ และคาํ บรรยายประกอบรูป
ตางๆ ๑ บางอยางพระแตง บางอยางฆราวาสแตง บางอยางแตงทั้งสองฝาย
ดเู คาจะทรงมอบหมายใหผ ใู หญผ ใู ดผูห นง่ึ รับหนาที่รวบรวมบทตา งๆ ดงั ตอไปนี ้
ประวตั ิการปฏิสังขรณ เปนพระนพิ นธส มเดจ็ พระปรมานุชิตชิโนรสสวนมาก มี
พระราชาคณะผูใหญชวยบางเล็กนอย ในประเภทสุภาษิต ซึ่งใชของเกา เวนแตใน
28
เมอื่ ของเกา ไมด ีพอจึงแปลงหรือแตงใหม ทรงมอบใหสมเดจ็ กรมพระยาเดชาดิศรตรวจแก
โลกนติ ิสวนที่เปนคําฉันท ดูเหมอื นสมเดจ็ พระปรมานชุ ิตฯ จะทรงคุมเองตลอดจนทรง
แตงกฤษณาสอนนองใหม สวนคําบรรยายภาพตางๆ มีภาพคนตางภาษา รูปฤาษ ี
ดัดตน ฯลฯ แตงท้ังสองฝาย รูปเรื่องรามเกียรต ิ์ กรมหมื่นไกรสรวิชิตและฆราวาส
แตง สวนตําราโครงและคําฉันท สมเด็จพระปรมานุชิตฯ ทรงแตงเพลงยาวกลบทกล
อักษร ดเู คา วา พระเจาอยหู วั จะทรงคมุ เอง ไมม ีพระแตง เลยสักบทเดยี ว เหตทุ ีโ่ ปรด
เกลา ฯ ใหแ ตง แตเฉพาะฆราวาส มเี คา อยใู นคาํ พระราชปรารภ ประกอบเพลงยาววา
อันอักษรกลอนเพลงนกั เลงเลน
จะรกั ใครใหพอเปนแตพ าเหียร
อยา หลงใหลในฝป ากคดิ พากเพยี ร
แทบาปเบียนตนตามรปู นามธรรม
ก็ทรงทราบวาสังวาสน้บี าดจิต
ยอมเปน พษิ กบั สัลเลขคือเนกขมั
แตบูชาไวใ หค รบจบลํานาํ
เปน ทีส่ าํ ราญมนสั ผมู สั การฯ
ในขณะท่ีแตงเพลงยาวกลบทกลอักษรกัน สุนทรภูบวชเปนพระ จึงไมอยูใน
ฐานะท่จี ะแตง บทสงั วาสถวายได ดวยเหตุนี้จึงไมปรากฏชื่ออยูในจาํ พวกฆราวาสท่ีชุมนุม
แตง เพลงยาวกลบทกลอกั ษร
ขา พเจา เชื่อวา สุนทรภหู นรี าชภยั ไปบวชจริง แตท วี่ าถกู ถอดน้นั เหตุผลมีนอยเต็ม
ท ี ดูจะถือกลอน “ฟาอาภรณแปลกพักตรอาลักษณเดิม” และที่ไมไดแตงเพลงยาว
จารึกวดั พระเชตพุ นเปนท่ีต้งั หากจะถือวาคาํ ของสนุ ทรภเู องในรําพันพิลาปที่วา “ออก
ขาดราชกิจ” เปนการถูกถอด กลอนตอไปวา “บรรพชติ พิศวาสพระศาสนา” ก็ดูวา
จะเปน บวชดว ยใจสมัคร หรอื ถา จะวา พิศวาสในท่นี ้เี ปน กลอนพาไปเพื่อสัมผัส ขาพเจา
กเ็ หน็ วา “ออกขาดราชกจิ ” เปน กลอนพาไปเทา กนั
ในเร่อื งวา ถูกถอดจริงหรือไมน้ัน ถาจะดูตัวบทประกอบกลับมีหลายขอที่คานวา
ถูกถอด เปนตน
ดวยเหตุวาฝา พระบาทไดขาดเสร็จ
โดยสมเด็จประทานตามความประสงค
ทูลกระหมอมยอมในพระทยั ปลง
ถวายองคอนุญาตเปน ขาดคํา
29
วนั นัน้ วันอังคารพะยานอย ู
ปฉลเู อกศกแรมหกคํา่
ทลู ละอองสองพระองคจ งทรงจาํ
อยาเชื่อคาํ คนอ่นื ไมยืนยาวฯ
กลอนขา งบนนพ้ี ดู ถึงเจา ฟา กุณฑลทพิ ยวดี (สมเดจ็ ) “ประทาน” เจาฟา กลาง
และเจาฟาปวใหมาเรียนหนังสือ ในปฉลู พ.ศ. ๒๓๗๒ “ทูลกระหมอม” ใน
กลอนน ้ี หมายถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจาอยูหัว ไดทรงยินยอมท่ีจะใหเจาฟา
เล็กๆ ซึ่งยังประทับอยูในวังหลวงมาเปนศิษยสุนทรภ ู หากทานไดเคยถอดสุนทรภูจริง
ก็ไมนาจะพระราชทานอนญุ าต ทั้งนี้แสดงวา ท่ีสนุ ทรภเู กรงพระราชภยั หนีออกบวชน้ัน
เปนขอ ทีว่ ิตกไปเอง ฉะนน้ั ในนิราศภเู ขาทองจงึ ถวายพระพรพระเจาอยหู วั วา
ดูในวังยังเหน็ หออฐั ิ
ต้งั สติเติมถวายฝายกุศล
ท้งั ปน เกลา เจาพภิ พจบสกล
ใหผ องพน ภยั สําราญผานบรุ ินฯ
ถา จะพจิ ารณาพระราชอธั ยาศยั พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลาเจาอยูหัว ก็ไมนาจะ
เชอื่ วาทานจะทรงรงั แก “อีแตอ าลักษณ” ทุกวันนี้เราชอบอานกลอนของสุนทรภู ก็
เลยยกยองใหสําคัญเกินกวา ทถ่ี อื กันจริงในสมยั นั้น พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกลาฯ เปน
พระเจาอยหู ัวท่ีเอากี้เอาการในราชกรณียกจิ ทีท่ รงเหน็ วา สาํ คญั ตอ บา นเมืองมากกวา ในดา น
วรรณคด ี ซ่ึงไดบํารุงไวในแผนดินกอนพอแลว แมแตโคลง, กลอน และเพลงยาว
ซึ่งเคยทรงพระนิพนธมากอนก็เลิกส้ินเวนแตท่ีเปนทางการ ทรงหันพระราชธุระมาทาง
บาํ รุงบานเมอื งวัดวาอารามเปน สําคัญ เหตุตางๆ เหลานีบ้ ง วา มิไดทรงแยแสกับเรื่อง
ซ่งึ ไดผา นพน ไปแลวที่พระองคเจา ลักขณานุคณุ และกรมหม่ืนอัปสรสดุ าเทพเจา นอ งเจา พ่ีลูก
เธอในพระองคทานจะไดมาอุปการะเกื้อกูลสุนทรภูในโอกาสตอไป ยอมสนับสนุนความ
เชอื่ ทีว่ าสุนทรภมู ไิ ดถ กู ถอด
โอบาปกรรมนํา้ นรกเจียวอกเรา
ใหมัวเมาเหมอื นหน่งึ บาเปน นาอาย
สุนทรภู-อาลักษณขี้เมา เปนคําพูดท่ีกลาวขวัญกันตอๆ มาชานานจน
30
จาํ เปน ตอ งเชือ่ ถือวา จริงหรอื เผลอเชื่อวาเปนความจรงิ โดยไมมีขอสงสัยใดๆ
เรอ่ื งน้ที านจนั ทรไมท รงเช่อื
ทา นจนั ทรทรงเรม่ิ ตนชี้แจงแสดงเหตุผลวาดงั น ้ี
ตามทเี่ ลากันมาวา สนุ ทรภูตดิ คกุ ในรัชกาลท ่ี ๒ เพราะสุรา ตอจากน้ันตลอด
ชีวติ กม็ ไิ ดเลิกกนิ เหลาเลย ในประวัติสุนทรภู สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงฯ ทรงเลาวา
เม่ือสุนทรภูคิดกลอน ถาไดดื่มเหลาเขาไป กลอนคลองถึงกับสองคนจดไมทัน
นอกจากนนั้ ยงั ไดย ินผอู ืน่ เลา วธิ แี ตงกลอนของสนุ ทรภูดังน้ ี ขาหลวงหรือชาววังอาจไป
หาสนุ ทรภู ถือเหลา ไปขวดหนึง่ บอกสนุ ทรภูว า “เสด็จใหมาเอาเรื่อง” แลว
สนุ ทรภูก ก็ นิ เหลาพลาง บอกเรื่องพลาง แลว ขาหลวงก็ไดเร่ืองไปถวายทันที ท่ีเลาน้ ี
ทั้งกอ นบวชและในขณะบวช แตถ าจะลองหาคําของสุนทรภูเก่ียวกับเหลาจริงๆ ก็นึก
ออกเพียง “คดิ ถึงตัวหาผัวนี้หายาก มันช่ัวมากนะอนงคอยาหลงใหล มันสูบฝนกิน
สรุ าพาจัญไร แมน หญงิ ใดรวมหองจะตองจน” ใน สภุ าษติ สอนหญิง ตอนนาง
ละเวงเลี้ยงโตะฝรั่งกินตะเกียบ “ถึงนครไชยศรีมีโรงเหลา เปนของเมาตัดขาดไม
ปรารถนา” ใน นริ าศพระแทนดงรงั และใน นิราศภูเขาทอง วา
ถึงโรงเหลาเตากลน่ั ควนั โขมง
มคี ันโพงผูกสายไวป ลายเสา
โอบ าปกรรมน้ํานรกเจียวอกเรา
ใหมัวเมาเหมอื นหนงึ่ บาเปนนาอาย
ทําบญุ บวชกรวดนํ้าขอสําเรจ็
พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไมวอดวาย
ไมใกลกรายแกลง เมินจนเกินไปฯ
ในส่ีรายขางบนนี้ ในสุภาษิตสอนหญิง และพระอภัยมณี ไมไดพูดถึงเหลา
อยางจริงจัง ในพระแทนดงรัง ซ่ึงปจจุบันรับกันวาสุนทรภูมิไดแตง ก็พูด
เหมือนคนไมเ คยกินเหลา สวนในนริ าศภเู ขาทอง ซึ่งเปนบทแรกแตงหลังจากออกบวช
สนุ ทรภูพ ดู เหมอื นคนที่เคยเหน็ โทษเหลามาแลว และไดเลกิ ไปอยางเด็ดขาด ถาจะเถียงวา
ถึงแมสุนทรภูจะไดศีลขาดทุกวี่วันก็คงจะไมนํามาเขียนในเรื่องประดุจวามีชูหรือจะใหผัวรู
กจ็ นใจ อยางไรกด็ ี เร่ืองสนุ ทรภกู ินเหลา เปน เร่อื งท่ีเช่ือกันมานาน กระทั่งมีผูจดดวง
ชะตาสุนทรภูไว ก็เขียนกํากับวา “สุนทรภู อาลักษณข้ีเมา” ฉะนั้นที่จะเปล่ียน
ความเชื่อคงตองกนิ เวลานานหนอย
สุนทรภูเปนอาลกั ษณในรัชกาลท่ี ๒ และขี้เมาจริง ฉะน้ันท่ีจะเขียนไวใน
31
ดวงวา “อาลักษณขเี้ มา” ก็ถูกตอ ง แตสุนทรภูเปนชื่อเรียกกนั ทหี ลงั เมือ่ ไมไดเปน
อาลักษณแลว ขาพเจายังไมพบหลักฐานที่แนนอนวา มีใครเรียก “สุนทรภู” ใน
รัชกาลท ี่ ๓ หรือแมแตใ นรชั กาลที่ ๔ เทาที่เคยมีในเพลงยาวเจาพระแตงในรัชกาลที ่
๓ เรียกวา “ทานสุนทร” (ทานสุนทรแพชัดไมทัดคํา) แล “สุนทร” (วา
สนุ ทรแพฉนั ขนั พอพอ) ในนริ าศดงรงั วา “พระสุนทร” (พระคณุ ใครไมเ ทาคณุ พระสุนทร)
ฉะนั้น ท่ีคํากํากับดวงชะตาวา สุนทรภ ู อาลักษณขี้เมา คงจะเปนคําเขียนท ี
หลงั ตามความเขา ใจของผเู ขยี น
ถาจะกลับยอนดูในอีกแงหนึ่ง ก็จะเห็นสุนทรภูเขียนไวในนิราศเมืองแกลง
ซ่งึ เปนนิราศเร่ืองแรกวา
อยบู รุ ินกินสาํ ราญทั้งหวานเปรยี้ ว
ตงั้ แตเทย่ี วยากไรมาไพรศร ี
แตน ํา้ ตาลมิไดพ านในนาภ ี
ปฐวีวาโยก็หยอ นลงฯ
และในรําพันพิลาป ซึ่งเปนบทสุดทายในชีวิตบวช แตงหลังนิราศเมืองแก
ลง ๓๕ ป วา
ดงั ไขห นักรักษาวางยาทพิ ย
ฉนั ทองหยบิ ฝอยทองไมตองสึกฯ
(ทองหยิบฝอยทองดูจะเปนของโปรดอยูหนอย) กลอนท้ังสองรายนี้ประกอบกับ
คําที่เลากันมาวาเม่ืออยูวัดเทพธิดาชอบฉันนํ้าเช่ือม ดูสุนทรภูจะเปนคน “คอหวาน”
อยสู ักหนอย ผิดวิสัยนกั เลงเหลาถนัด
เร่อื งนี้ขอปลอ ยไวเพยี งเทา น้พี ลางกอ น ประเด๋ยี วสนุ ทรภูจ ะขาวเรว็ เกินไป
ทานจันทรทรงท้ิงประโยคสุดทายเกี่ยวกับความเช่ือถือวาสุนทรภูเปนอาลักษณขี้
เมาเอาไววา...เรื่องนี้ขอปลอยไวเพียงเทานี้พลางกอน ประเดี๋ยวสุนทรภูจะขาวเร็ว
เกินไป
แทท ี่จริงผมคิดวา ไมจ าํ เปน จะตองทําใหส ุนทรภขู าว ในขณะเดียวกันถาหากสุนทร
ภูจะดาํ ไปบา งกไ็ มเห็นจะเสียหายท่ีตรงไหน
เรอ่ื งท่วี า สนุ ทรภเู ปนอาลักษณขี้เมานีต้ ามความเขาใจทวั่ ไปดเู หมือนสุนทรภูจะกอด
ขวดเหลาตลอด ๒๔ ช่ัวโมง ตองกินเหลาตลอดเวลา ไมกินเหลาแลวกลอนไม
ออก ขอน้ีเห็นจะเปนไปไมได คนขี้เมาหยําเปเขียนหนังสือก็แทบจะไมเปนตัวแลว
ไมต องเขยี นเปนกลอนหรอก
32
แตสุนทรภูต องเคยกินเหลาแนๆ ขอนี้ไมตองมาเถียงกันใหเสียเวลา และการ
กนิ เหลา ของสุนทรภกู ไ็ มใชเรอื่ งเสยี หายรายแรงอะไร ใครๆ ก็กินได ย่ิงสุนทรภูเปน
นกั เลงทางเพลงดว ยแลว จะวาไมก นิ เหลา นัน้ เปนไปไมได
เมือ่ ลอยเรอื ไปจอดอยูท่ีปากคลองสระบวั หนา วัดพระเมร ุ อยุธยา สนุ ทรภูบอก
วา
บางฉลองผา ปาเสภาขบั
ระนาดรบั รวั คลายกบั นายเสง็
และวา
อา ยลาํ หนึง่ ครึ่งทอนกลอนมันมาก
ชา งยาวจากเล้ือยเจอื้ ยจนเหนอื่ ยหู
ไมจ บบทลดเลีย้ วเหมอื นเงย้ี วง ู
จนลูกคขู อทุเลาวาหาวนอน
เหน็ ชดั ๆ วาสุนทรภูเปนนักเลงปพาทย นักเลงเสภา และดูเหมือนจะเปนพอ
เพลงท่ีวาสักวากลอนสดไดทุกประเภท จะวาไปแลวพ้ืนกลอนเพลงของสุนทรภูจะตอง
แมน ยํามาก มฉิ ะนั้นทา นไมอาจจะสรา งฉันทลกั ษณท่เี ปน เอกลกั ษณไ ดอ ยางน้ ี
เมื่อทา นเปน นักเลงเพลงสดท่ีบอกเสภาขับรับปพาทยเปนพ้ืนคูกับครูแจงวัดระฆังฯ
กไ็ มนา ประหลาดทใ่ี ครจะกราบทลู สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพวาสุนทรภูน้ันถาได
ด่มื เหลาเขาไป กลอนคลอ งถึงกับสองคนจดไมท นั
นักเลงพอ เพลงสดก็เปน อยางน้ีทง้ั น้นั ไมจําเปน ตอ งสุนทรภูเพียงคนเดียวท่ีเปน
อยา งน้ ี เพราะพอเพลงแมเพลงเขารองดนกันสดๆ บอกกันสดๆ ยิ่งนักเลงเสภาแลว
ดนกลอนสง สมั ผัสกนั ฉบั ๆ จดไมทนั กลอนสดอยางนี้ถาหากไมไดเหลาไปตอเช้ือแลว
มันฝดอยูเหมือนกัน แตมืออาชีพจริงๆ เขาก็ไมฝดนักหรอก เพราะกลอนจํามีมาก
หากนักเลงกลอนสดสนุกๆ แลวตองอาศัยเหลาเขาปากไประเบิดคอจะทําใหคิดกลอน
คลอ งขนึ้ แมนยําขึ้น และกลา เลนโวหารทาทายตอบโต
แตเรื่องอยางน้ีก็จําเพาะตอนที่วากลอนสดเทานั้น จะกินเหลากันก็ตอนน้ีเทา
น้ันเอง เมือ่ พน ไปแลวก็ไมกิน ย่ิงงานของสนุ ทรภไู มใ ชงานประเภทกลอนดนสดเหมือน
ครูแจง หากเปนงานเขียนทีม่ ลี ักษณะกลั่นกรอง เพราะฉะน้ันถาหากกินเหลาเมาแลว
คงเขยี นไมไ ด กรองไมได
ถาหากสุนทรภจู ะกนิ เหลาเมากจ็ าํ เพาะตอนท่ีไมไ ดแตง กลอน หรือจําเพาะตอนท ่ี
เลนเสภาสดกับครูแจง เม่อื จะแตงหนังสือกันจรงิ ๆ แลว ไมกนิ เหลามาแน
33
ง า น ข อ ง สุ น ท ร ภู ท้ั ง ห ม ด ไ ม ใ ช ง า น ข อ ง ค น กิ น เ ห ล า เ ม า ม า ย อ ย า ง ที่ ว า เ ป น
“อาลักษณข ี้เมา” ตรงขามผมกลบั มีความเห็นวาเปนงานของคนท่ีรังเกียจอบายมุขเสีย
ดวยซ้าํ ไป
แลว ทาํ ไมจึงมเี รอื่ งบาปกรรมนํ้านรกเจียวอกเรา ใหมัวเมาเหมือนหนึ่งบาเปนนา
อาย?
เรื่องอยางนเ้ี ปนไปไดว า เมอื่ วยั รุน นน้ั สุนทรภูเ คยสมบุกสมบันและเสพสุรามาไมแพ
นักเลงเหลา อืน่ ๆ แตห ลงั จากนนั้ ก็เลกิ หรอื กนิ แตพองามตามมารยาท
ในอกี แงหนึ่งเปนเง่อื นไขของศลิ ปนหรือกวี
ทา นจนั ทรทรงอธิบายเก่ียวกับศิลปนหรือกวีเอาไว โดยทรงยกขอความที่คัดมา
จากหนังสือชื่อกลอนแลนักกลอน ของ น.ม.ส. ที่มีใจความวา กวีตองมี
คุณสมบัติบางอยาง เชน เนรมิตภาพข้ึนไดในความนึกของตน และแปลความน้ัน
เปนถอยคาํ ไพเราะได ถา จะเปรยี บชางเขียนก็คือเนรมิตภาพท่ีจะเขียนไดและแปลเนรมิต
น้ันดว ยสลี งกระดาษหรอื ผา ใบ หรอื สถาปนิกแปลภาพเนรมติ ดวยอิฐปนู เปนตึกรามได
“คณุ สมบตั ิของกว”ี
เม่ือกลาวดังน้ีแลว ก็เห็นไดวา ความสามารถเนรมิตภาพขึ้นในความนึกน้ัน
มใิ ชคณุ สมบตั ขิ องกวีโดยเฉพาะ แตกวีดีตองม ี ไมมีไมได เม่ือมีความสามารถเชนนั้น
แลว ถา เปน กวดี ีก็ยงั ตองมีคุณสมบตั อิ กี อยา งหนึ่งซ่ึงคนอื่นๆ นอยจําพวกจะม ี คือ
ความสามารถทอดน้าํ ใจลงไปเปนจรงิ เปนจังจนลืมอืน่ หมด จะพูดขอน้ีใหเห็นงายตองเอา
โขนละครมาเปรียบ คือ โขนละครตัวดีถาเปนตัวอะไรก็ลืมตนเอง จนกลายเปนตัว
นั่นเปน จริงๆ เหมอื นโขนตอนถวายลิง ถา ทศกณั ฐด ีกม็ ักจะโกรธจริงจนคนดูเห็นไดวา
ไมไดแกลง โขนตัวลืมเคยมีพอลูกคูหน่ึง พอเปนฤษ ี ลูกเปนทศกัณฐ เม่ือเลน
ตอนถวายลงิ ทศกัณฐโ กรธจริงตลี ิง ลิงหลบ ถูกฤษีเขาจรงิ ๆ จนเปนรอยไปท้ังตัว
พอเขา โรงถอดหัวโขนออกแลว ผีทศกณั ฐอ อก ลูกตกใจเขาไปกราบไหวขอโทษพอ พอ
ไมโกรธ กลบั ชอบใจวาลกู เปน ทศกณั ฐด ี เลน ถูกบท
โขนตัวดสี วมหวั ทศกัณฐเ ขากลายเปน ทศกัณฐไ ป เพราะทอดนํ้าใจลงไปเปนจริง
เปนจังตามบทฉันใด กวีดียอมจะทอดน้ําใจลงไปในกาพยที่แตงฉันน้ัน ถากวีรูสึก
จริงจังในเวลาแตง ผูอานจะเห็นความจริงจังในเวลาอาน ถาทานเคยอานหนังสือวา
ดว ย เชกสเปยทานอาจเคยพบแลวท่เี ขาเขยี นไววาเมอื่ เชกสเปย เขยี นบรรยายถงึ ตวั แฮมเลต็
นายโรงเอกน้ัน ตวั เชกสเปย กลายเปน แฮมเล็ตไปเองหาใชเ พียงแตบรรยายไม
มีนกั กลอนไทยคนหน่ึงกลา วใหคนอ่ืนฟง วา เม่ือกาํ ลังแตงกลอนเรื่องหน่ึงอยูน้ัน
ในเวลาท่ีเขียนวาดว ยนางเอก ไดเ กดิ เสนห านางน้ันเหมือนรักผูหญิงมีตัวมีตน เม่ือวา
ถึงตอนท่ีนางเอกไดทุกขก็สงสารจริงๆ จนเกิดเศรา ภายหลังรูสึกตัวก็กลับเห็นขัน
34
แตพ อใจกลอนของตนในตอนนัน้ ๆ ย่ิงนัก
ท่ีเรียกวาความสามารถทอดใจลงไปเปนจริงเปนจังนั้น หมายความดังที่
ยกตวั อยา งมาน ้ี การทอดใจลงไปน้ันเปนไปเอง ไมไดแกลง ถาจะวาก็เหมือนผีเขาสิง
แตถา แตง เร่ืองซึง่ ไมพ อใจ ไมม ปี ติทจ่ี ะแตง ผีไมส งิ กท็ อดใจลงไปไมได เหตดุ งั นจ้ี ึงมีคาํ
ฝรง่ั กลาววา กวจี ะแตงกาพยเ หมอื นผูทําของขายทาํ สนิ คา ซงึ่ มีผูสั่งซอ้ื นนั้ ไมได
(จบความจากกลอนแลนักกลอน)
สุนทรภูทอดตัวลงไปในนิทานเพียงไร พอจะรูกันไดโดยไมตองอธิบาย ที่จะ
อธิบายก็เพียงวาในนิราศตางๆ สุนทรภูทอดตัวลงไปในสุนทรภ ู กลาวอีกนัยหน่ึง
สนุ ทรภูเปนทั้งกวีผูแตงนิราศแลตัวเอกในเร่ืองพรอมกัน อารมณท่ีเกิดในขณะที่แตงน้ัน
จะเปน อารมณของสุนทรภูผูเปนกว ี หรือสุนทรภูผูเปนตัวละคร หรือแมแตสุนทรภูผ ู
บวชเปน พระ เปน เรือ่ งทีจ่ ําเปน ตอ งพยายามแยกจากกัน
ตามทไี่ ดหยิบขอตา งๆ จากนริ าศภูเขาทองและเพลงยาวถวายโอวาทมาจาระไนเปน
ขอๆ ดูจะเปนการทําใหเขาใจกลอนของสุนทรภูยากข้ึน ฉะนั้นจะลองสรุปเสียท ี
กอ นอื่นขาพเจาขอซ้ําวาไมมีความจําเปนที่จะถือวาสุนทรภูเปนกวีดานเดียว ควรถือวา
เปนศิลปนมากกวา และท่สี นุ ทรภูแตง สองเร่ืองน้กี ็เพื่อ “กลอมอารมณ” ผูอาน ไมใชเพ่ือ
เลาประวตั ติ ัวเองเปน สําคญั
เมอื่ สนุ ทรภูหนีราชภัยออกบวชในปส วรรคต และไดหลบไปอยูเพชรบุรี เรื่องก ็
คงเปนท่ีโจษจันกันมาก ครั้นเมื่อหายหนาไปสามป แลวกลับมาอยูท่ีวัดราชบูรณะใน
ปลายป ๒๓๗๐ เม่ือขาวการกลบั ของสุนทรภูแพรสะพัดออกไป พวกนักเลงเพลงยาว
ทงั้ หญิงชายก็คงจะมวั่ สุมเยีย่ มเยยี น “ทานอาจารย” เจ๊ียวจาวกันพอดู เปนเหตุใหเกิดขอ
ครหาบาง อันจะมีมูลหรือไมไมสําคัญ (จะหยิบยกธิบดีเปนท่ีต้ัง ก็ใชถังแทนสัดเห็น
ขัดขวาง) นอกจากน้ันยังมีเร่ืองสันนิษฐานตางๆ นานาวา พระเจาอยูหัวจะทําอยางไร
ฯลฯ มีผูถามสุนทรภ ู ใจความ ไฉนจงึ กลับมากรุงเทพฯ อีก ก็ไหนวาจะไมเหยียบแผนดิน
ของทา น สุนทรภกู ็แกว า ท่บี วชอยูน อี้ ยูธรณีสงฆต างหาก (และไดย นิ เลา วาท่ีไปเรือก็ไมใช
แผนดินของทาน เปนของแมคงคา ในที่สุดเมื่อสึกแลว สุนทรภูก็ยอมรับสารภาพวา แพ
ทา น! ไดยินเลา มาอยางนีเ้ ทจ็ จรงิ เพยี งไหนไมทราบ) เรือ่ งชะตาของสุนทรภูก็อยูในตาชั่ง
เชน นี้จนกระทัง่ ถึงออกพรรษา เสด็จพระราชดําเนินไปทอดกฐินท่ีวัดราชบูรณะ ไมแสดง
อาการกริ้วโกรธประการใด (อาจจะทัก “พระภู” เพราะเคยรูจักกันมาแตกอนก็ได)
เปนอนั วา ความกลัวหรือสนั นษิ ฐานตา งๆ เปนเรอื่ งโคมลอยทง้ั เพ
ระหวางนั้น สุนทรภูไดต้ังใจไวเดิมวา ออกพรรษาแลวจะไปเท่ียวหัวเมือง
เมอื่ กลับมาแลว แตงนิราศภูเขาทอง ก็สวมรอยอารมณความเชื่อของคนตางๆ โดยครวญ
ครํ่าถึงพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลานภาลยั และแตงไปในทํานอง “ไมม แี ผนดินพสุธา
35
จะอาศัย” การไปกรุงเกาของสุนทรภูคราวนี้ ดูจะไปเท่ียวมากกวาประโยชนอื่น เม่ือผาน
จวนขา หลวงในเวลาจวนจะคาํ่ และจะตองเลยไปจอดคางคืนท่ีหนาวัดพระเมรุ (อาจต้ังใจ
แวะขาลองกไ็ ด) ก็ครวญเสียวา
มาทางทาหนาจวนจอมผรู ้งั
คดิ ถึงครั้งกอ นมานํา้ ตาไหล
จะแวะหาถาทา นเหมือนเมอื่ เปน ไวย
ก็จะไดรับนิมนตขึ้นบนจวน
แตยามยากหากวาถาทา นแปลก
อกมแิ ตกเสยี หรอื เราเขาจะสรวล
เหมอื นเข็ญใจใฝสูงจนเกินควร
จะตอ งมว นหนา กลบั อัประมาณฯ
วันรงุ ขนึ้ เม่อื ไปนมสั การภเู ขาทองไดพระบรมธาตุองคหนึ่ง คร้ันเม่ือพระธาตุหนีก็
เกดิ โมโหเรงกลับกรงุ เทพฯ ทนั ท ี
บทครวญของสุนทรภูเร่ืองนี้ แปลกกวานิราศธรรมดาท่ีครวญถึงหญิง ผูคนท่ียัง
รําลึกถงึ พระพุทธเลิศหลานภาลัย ยังคงมีอยูมากในสมัยน้ัน จึงเปนท่ีจับใจโจษกันแซ
สุนทรภูจึงพดู ไดเ ตม็ ปากในบทตอ ไปวา
อยา งหมอมฉันอันท่ดี แี ลชว่ั
ถึงลับตวั กแ็ ตช อ่ื เขาลือฉาว
เปน อาลักษณน กั เลงทําเพลงยาว
เขมรลาวลอื เลือ่ งถึงเมอื งนครฯ
คร้ันเมื่อสุนทรภูกลับมาอยูที่วัดเลียบได ๖ เดือน เจาฟากุณฑลทิพยวดี
ไดใหเจาฟากลางและเจาฟาปวไปเรียนหนังสือเหมือนอยางเจาฟาอาภรณในแผนดินกอน
เมื่อ “ในวันนั้นวันอังคารพะยานอยู ปฉลูเอกศกแรมหกคํ่า” (พ.ศ. ๒๓๗๒) แตเม่ือ
สุนทรภูถวายพระอักษรไปได ๓-๔ เดือน ก็คิดจะเดินทางไปหัวเมืองอีก คราวนี้จะไปนาน
หนอ ย (เขาใจวา เกี่ยวกับเรอื่ งเลนแรแปรธาต ุ หรือลายแทง) สุนทรภูจึงแตงเพลงยาวถวาย
โอวาทในระหวางพรรษาเปน การออกตัวอยหู นอ ย เพราะไดถ วายอกั ษรเวลาเพียงไมกี่เดือน
ทข่ี า พเจาอธิบายนีเ้ พราะเจาฟา กลางพระชนมายุเพยี ง ๑๑ ขวบ เจา ฟาปว ๘ ขวบ ดจู ะไม
ถึงวัยท่ีจะทรงซึมทราบในอรรถรสแหงกลอนอยางเที่ยงแท จึงเช่ือวาสุนทรภูแตงเพ่ือ
“กลอมอารมณ” ผูใหญชาววังมากกวา
สุนทรภูไปหัวเมืองคราวนี้ ถาไปคางพรรษาก็เขาใจวาจะเปนเพียงพรรษาเดียว
36
(พ.ศ. ๒๓๗๓) แลวกลับมากรงุ เทพฯ
ท่ีขาพเจาตีความสุนทรภูดั่งน้ี ทานผูอานพึงพิจารณาศิลปนเชน ชาลี
แชปลนิ เทียบ ทา นผูน ี้เปน ดาราหนังรุนเกา เลนเรื่องทีไรคนดูเต็มโรง เปนเศรษฐี
มหาเศรษฐี แตบทท่ีเลนเปนบทคนขอทาน ฉะนั้นเราจะเช่ือบทท่ีชาลี แชปลิน แสดง
หรือเช่ือขอเท็จจริงจากรายไดของศิลปนผูน้ี? ฉันใดชาล ี แชปลิน ฉันน้ันสุนทรภ ู
หากทา นยงั สงสยั ขอ นี ้ ทานจงพจิ ารณาวาเมื่อสนุ ทรภไู ปภูเขาทองนนั้ มีลูกศิษยไปดวยก่ี
คน การไปหัวเมืองแตละครั้งไปอยางคนอนาถา หรือไปอยางหรูมีลูกศิษยลูกหาเต็มลํา
เรอื ? แลว จะไปอดอยากกนั ทง้ั หมดหรอื ? หรือ สนุ ทรภ ู คือ ชาล ี ภ?ู
ไมมที ่พี สุธาจะอาศยั
เหมือนนกไรรังเรอ ยูเอกา
ทา นจนั ทรท รงท้ิงปญ หาเอาไววา...เม่ือสุนทรภูไปภูเขาทองน้ันมีลูกศิษยไปดวยกี่
คน การไปหวั เมอื งแตล ะคร้งั ไปอยางคนอนาถาหรือไปอยางหรูมลี กู ศิษยลูกหาเตม็ ลําเรือ
มาถงึ ตรงนผี้ มตองยอ นกลับไปถงึ เร่ืองมาตรฐานของชวี ติ มนุษย
ทานขนุ ยากจนกวาคุณหลวง...คุณหลวงยากจนวาคุณพระ...คุณพระยากจนกวา
พระยา..พระยายากจนกวา เจาพระยา เจาพระยายากจนกวา สมเดจ็ เจาพระยา...ฯลฯ ตอ กนั
ไปเปน ทอดๆ
แตค วามยากจนของเจาพระยากับความยากจนของทานขุนก็คงจะแตกตางกันไม
นอ ยทงั้ ๆ ทบ่ี อกวายากจนเหมอื นกัน
ดังนนั้ ความยากจนของสุนทรภูทีว่ า ไมม ีพสธุ าจะอาศัยหรือเหมือนนกไรรังอยูเอกา
นัน้ สนุ ทรภเู ปรยี บกบั ใคร? สุนทรภูเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่มียศถาบรรดาศักด์ิเสมอกัน
หรือสุนทรภูเ ปรียบเทียบกับฐานะความเปนอยูของเจา พระยาหรือสงู กวา นนั้ ขึ้นไป
เพราะเมือ่ พยายามตอบปญหาที่ทา นจันทรท รงตงั้ ปุจฉาแลวจะเห็นวา สุนทรภไู มเ คย
เดนิ ทางอยา งคนอนาถาหากมีบริวารมีลูกศิษยลูกหาไปกันหลายๆ คนทุกคร้ัง ถาเทียบ
ถงึ สมัยนก้ี ันอยางสนกุ ๆ แลวจะเห็นวา สุนทรภูเดินทางดวยรถตูติดแอรเย็นฉํ่าอยางดี
มเี ฟอรนเิ จอรครบครัน มคี นขับรถพรอ มและมบี รวิ ารตดิ ตามอีกหลายคนคอยดูแลและ
คอยบรกิ าร ฯลฯ
อยางนี้แลวจะวาเหมอื นนกไรรังเรเอกากระไรได
ทา นจนั ทรทรงเร่ิมชีใ้ หเ หน็ ประเด็นตางๆ เหลานี้นับจากนิราศเมืองเพชร ซ่ึงจะขอ
คัดมาเสนอดงั นี้
37
นิราศเรอื่ งนี้ ตามพระนิพนธสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพในเรื่องประวัติ
สนุ ทรภ ู เปนนริ าศเร่ืองที่สุนทรภูแตงหลังนิราศพระประธม เหตุท่ีทรงสันนิษฐานเชนน้ัน
ดูเหมือนจะเปนเพราะ “ลงนาวาหนาวัดนมัสการ อธิษฐานถึงคุณกรุณา” (วัดแจง) แลว
นริ าศเริม่ แต “แตนาวาเลี้ยวลองเขา คลองนอ ย” (คลองบางหลวง) สวนเหตุท่ีไปน้ันเพราะ
อาสาพระบาทสมเด็จพระปนเกลาเจาอยูหัวไปหาของตองพระประสงคที่เมืองเพชรบุรี
(อนาถหนาวคราวมาอาสาเสดจ็ ...ถึงตา งเขตของประสงคคงอาสา) แตจะเปนสิ่งของอะไร
ไมป รากฏชัดแจง
คุณธนิต ในเชิงอรรถประกอบพระนิพนธ กําหนดปท่ีไประหวาง พ.ศ.
๒๓๘๘-๒๓๙๒ (หลังกรมหมืน่ อปั สรสดุ าเทพสน้ิ พระชนม แตยงั ไมทันเปลยี่ นแผน ดิน)
เชนน้ีขาพเจาไมสามารถตกลงดวยได การไปคร้ังนี้ลูกที่ช่ือพัดไปดวย (กับหนูพัดจัดธูป
เทียนดอกไม จัดขึ้นไหวพระสัมฤทธ์พิ ษิ ฐาน) สมมุตวิ าหนูพดั เกิดปที่สุนทรภูบวชเปน
อยางชา (พ.ศ. ๒๓๖๗) ถา จะเช่ือตามศักราชทีค่ ณุ ธนติ สันนิษฐานก็จะตองถึงอายุบวช
เมื่อไปเพชรบุร ี ขาพเจาไมเช่ือวาสุนทรภูจะยังคงเรียกเด็กในวัยน้ันวา “หนู” ถาจะ
พิจารณาอาการกิริยาของลูกตามท่ีสุนทรภูแตงไวในเร่ืองนิราศเมืองเพชรฯ ก็จะตองแตง
กอ น นริ าศวัดเจา ฟา
กลา วฝายคณุ ฉนั ทในเรอ่ื ง ๑๐๐ ปข องสนุ ทรภ ู คุณฉันทวา เร่ืองนี้แตงใน พ.ศ.
๒๓๗๔ เหตุท่ีวาเชนน้ันเพราะ ก) สํานวนกลอนยังอยูในวัยท่ีไมแกนัก ข) ออกเดินทาง
จากวดั อรุณฯ เพราะไดไ ปทว่ี ดั นัน้ ตงั้ แตกลบั มาจากภูเขาทอง จําพรรษาที่นั่นหน่ึงพรรษา
กอ นยา ยไปวัดโพธิ์เมื่อพระองคเจาลักขณานุคุณทรงพระผนวชใน พ.ศ. ๒๓๗๕ (ตาม
พระนพิ นธสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงฯ)
สวนท่ีอาสาไปหาของท่ีตองพระประสงคน้ัน คุณฉันทวาอาสาพระองคเจา
ลักขณานุคุณ ไมใชพระบาทสมเด็จพระปนเกลาเจาอยูหัว แลของที่พระประสงคคือลูก
สาวขุนแพง แหง เมอื งเพชรฯ กลาวอกี นัยหนง่ึ สนุ ทรภูเปนแมสื่อไปทําความตกลงขอลูก
สาวเขา ดวยเหตุนี้จึงไมบงชัดในกลอนวาเปนพระไปหรือเปนคฤหัสถไป เพราะเปน
เรอื่ งทต่ี อ งอาบตั อิ ยา งนา เกลยี ด จึงงําเง่ือนไว
ขาพเจา รบั วา พ.ศ. ๒๓๗๔ น้ันถกู ตอง (แตดวยเหตผุ ลคนละอยางกบั คณุ ฉนั ท)
สวนท่ีวาไปเปนแมสื่อก็อาจเปนไป แลวแตทานจะชอบหรือไม แตท่ีออกเดินทางจากวัด
อรุณฯ ขาพเจาไมรับเพราะขาพเจาวาสุนทรภูไมเคยไปอยูวัดอรุณฯ เลย ขาพเจาวา
สุนทรภอู อกเดนิ ทางจากวดั เลยี บ แจวขามแมน ํา้ เล้ยี วเขาคลองบางหลวง ระยะทางจากวัด
เลยี บและวัดอรณุ ฯ ถึงปากคลองก็พอๆ กัน ไมตองผานพระราชวังเดิมดวย มิฉะนั้น
สุนทรภูก็คงจะพดู อะไรสักคาํ สองคาํ เปนแนแ ท
อยา งไรกด็ ี ท่คี ณุ ฉันทจับเงื่อนในนริ าศเมืองเพชรฯ ถูก วามิไดแตงเมื่อสึกแลว
ตอ งถอื วา เปน ชิน้ โบวแ ดงในหนงั สือ ๑๐๐ ปข องสุนทรภ ู สมควรแกก ารสรรเสริญ
38
นริ าศเรอ่ื งนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดาํ รงฯ ทรงยกยองวากลอนดีนัก นอกจากนั้น
ยงั มรี ายละเอียดเก่ียวกับประวัติสุนทรภูเม่ือกอนรับราชการปนอยูมาก ซ่ึงทานผูอานจะ
หยบิ ข้ึนมาเปน ขอ สาํ คัญในประวตั ิสนุ ทรภูบางกไ็ ด
ทานผูอานสังเกตหรือเปลาวา เม่ือไปเมืองเพชรฯ นั้น มีลูกแลลูกศิษยติดสอย
หอ ยเรอื ไปดว ยก่มี ากนอย ถา ยังไมไดส ังเกตก็ไมเปน ไร สังเกตในเร่อื งตอ ๆ ไปกไ็ ด ลูกคนโต
ที่ช่ือพัดไปดวยท้งั เม่อื ไปไหวพ ระภูเขาทองและเพชรบุรี เขาใจวาเมื่อบวชใหมๆ ไปหัวเมือง
คร้ังแรกเปนเวลาสามปกอนมาอยูวัดราชบูรณะ เม่ือตน พ.ศ. ๒๓๗๑ ก็ดูเหมือนไดไป
ดวย ไป “ถูกปอบมนั ลอบใช”
สว นลกู อีกคนหนึ่งท่ีช่ือตาบ คงอยกู ับแมจ นแมที่ช่ือน่ิมตายจงึ ไดม าอยกู บั บดิ าแลได
ไปวัดเจา ฟา ดวย ในนริ าศเร่อื งน้หี นพู ดั บวชเปนสามเณร
ในจาํ พวกหนูอืน่ ๆ ทไี่ ปเพชรบุร ี มีหนนู ิลแลหนูนอย (กบั หนูนลิ หนูพัดเขา มสั
การ...ใหหนูนอยคอยนับในนาวา) สวนท่ีไปวัดเจาฟามีหนูกลั่น (ท้ังหนูกลั่นจันทรมากบ ุ
นนากนอ ย) หนูกล่ันผนู เี้ ปน ลูกเล้ียง ดงั มบี อกไวในนิราศสพุ รรณ วา “กลั่นชุบอุปถัมภลวน
ลกู เลี้ยงเที่ยงธรรมฯ” (ชุบเปนลกู เล้ียงอีกคนหน่ึง ไมใ ชเปนคาํ สมั ผสั )
นอกจากที่ออกชื่อมาแลว ยังมีนายมานายแกวคนแจวเรือ นองนายแกวช่ือนาย
ชอง, เจกกล่ิน, นายรอดคนแจวเรืออีกคนหน่ึง ฯลฯ ท้ังน้ีพอจะเห็นไดวาครอบครัวของ
สุนทรภูใ หญโ ตมาก ฉะนนั้ ทีว่ าสนุ ทรภูต กทุกขไ ดย ากอบั จนถึงกับอด เปน เรื่องท่ียังเชื่อไมได
เพราะถา เปนเชนน้ันจริง ไปไหนมิตองพากันไปอดทลี ะครึง่ โหลหรอื
ทา นจันทรทรงวินจิ ฉยั ถงึ นิราศวัดเจา ฟาวา
เณรหนูพดั หัดประดิษฐคิดอกั ษร
เปน เรอื่ งความตามติดทานบิดร
กาํ จัดจรจากนเิ วศนเชตพุ นฯ
ที่นิราศวัดเจาฟาขึ้นตนดังนี้ เปนเร่ืองใหสันนิษฐานไดหลายอยาง สมเด็จฯ กรม
พระยาดํารงราชานุภาพทรงสันนิษฐานวา เม่ือพระองคเจาลักขณานุคุณทรงพระผนวชใน
พ.ศ. ๒๓๗๕ ไดเ สด็จไปประทบั ท่ีวัดพระเชตุพนแลไดชวนสุนทรภูไปอยูดวย ในเวลานั้น
ลูกทช่ี ื่อพดั กาํ ลงั บวชเปนสามเณร สุนทรภจู ึงแกลง แตงเปนสาํ นวนเณรหนพู ดั
คุณฉันทถือตามพระนิพนธเปนสวนใหญ ผิดกันแต พ.ศ. คุณฉันทวามิไดไปใน
พ.ศ. ๒๓๗๕ แตไปสองปตอมา คือ พ.ศ. ๒๓๗๗ เหตุท่ีวาเชนน้ันเพราะหนูตาบไป
ดวยแลในบทวาหนูตาบเปนกําพรา (เหมือนอกนองตาบนอยกลอยฤทัย มาตามติดบิดา
กําพราแม) สวนในเร่ืองนิราศพระประธม แตงใน พ.ศ. ๒๓๘๕ บอกวาเมียที่ชื่อนิ่มได
ตายไปแลว เกา ป
39
เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจติ
ไมลมื คดิ น่มิ นอยละหอยหา
เคยรวมสุขทุกขร อนแตกอ นมา
โอส ้ินอายเุ จา ไดเกาป
แตกอ นกรรมนําสตั วใ หพ ลัดพราก
จึงจาํ จากนิม่ นองใหห มองศรี
เคยไปมาหานอ งในคลองน ้ี
เหน็ แตท ่ที องคลองนองนํ้าตา
สงสารบุตรสดุ เศรา ทุกเชาคาํ่
ดว ยเปน กาํ พราแมช ะแงหา
เขมน มองคลองบา นดูมารดา
เชด็ นํา้ ตาโทรมซาบลงกราบกรานฯ
ลูกของน่มิ คือตาบอยา งไมตองสงสัย เพราะพัดไมไ ดไ ปไหวพระประธมดว ย ฉะนั้นที ่
คณุ ฉนั ทจ ะจับนิราศวดั เจาฟา มาชนกบั นริ าศพระประธม บวกลบคณู หารศักราชวานิราศวัด
เจาฟา แตงใน พ.ศ. ๒๓๗๗ ก็เปน หลักฐานท่ีด ี ครน้ั แลวคุณฉนั ทผ ิด สมเดจ็ ฯ ถกู ท้ังจะ
เปนเพราะสุนทรภูหรือคุณฉันทคนใดคนหนึ่งนับนิ้วไมถวนหรืออยางไรก็ตาม แตหนูตาบ
ไดมาอยกู ับบดิ าแลว แต พ.ศ. ๒๓๗๖ ดงั จะเห็นไดต อไป
ในตอนพระองคเจาลักขณานุคุณที่เขียนไวกอนแลว ขาพเจาไดกลาววายังไมเคย
พบหลกั ฐานหรอื จดหมายเหตวุ า พระองคเจาลักขณานุคณุ ไดทรงผนวชท่ไี หนแลเม่ือไร ท่ีจะ
สันนิษฐานวาไดทรงพระผนวชเมอื่ พระชันษาครบก็ควร แลท่วี า เมอ่ื ทรงผนวชแลว (ทว่ี ดั พระ
แกว ) จะไดเสดจ็ ไปประทบั ที่วดั พระเชตพุ น ก็ควรเชนเดยี วกัน เพราะสมเด็จพระปรมานุชิต
ฯ ประทบั อยูทว่ี ัดนั้น (ขณะนั้นดํารงพระยศเปนกรมหม่ืนนุชิตชิโนรส) แตที่จะวาสุนทรภูได
ตามเสด็จไปอยูวดั โพธดิ์ ว ยน้นั เหตุผลมนี อ ยเตม็ ที นอกจากนริ าศวดั เจา ฟา จะวา “กาํ จดั จร
จากนิเวศนเ ชตุพน” ในเรื่องพระองคเจาลักขณานุคุณกับสุนทรภู ขาพเจานึกวาจนกวาจะ
พบบทสรรเสริญทว่ี าสนุ ทรภูแตงถวาย ยิ่งพูดนอยย่ิงเปนกําไร ฉะน้ันในขณะน้ีขาพเจาขอ
ถือความตามรําพันพิลาปที่ออกช่ือเสียงสองวัดในกรุงเทพฯ ที่สุนทรภูเคยอยู คือวัดราช
บรู ณะแลวัดเทพธดิ า สนั นษิ ฐานวา สุนทรภูไมเคยไปอยูที่วัดโพธิ์เลย แลเมื่อสุนทรภูไปวัด
เจา ฟา วดั เทพธดิ ายังไมสราง ฉะนัน้ ขาพเจา วาสนุ ทรภูอยูท วี่ ัดเลียบตลอดเวลาจนยา ยไป
อยูวัดเทพธิดาใน พ.ศ. ๒๓๘๒ จริงอยูสุนทรภูอาจไดไปคางท่ีโนนท่ีน่ีพรรษาสอง
พรรษา แตเมื่อกลับมากรงุ เทพฯ กก็ ลบั มา “รงั ” ทว่ี ดั ราชบูรณะ
แตท ําไมในนริ าศวัดเจาฟา จงึ วา “กําจดั จรจากนิเวศนเชตพุ น” นนั้ สนั นษิ ฐาน ถา
พระองคเจาลักขณานุคุณไดทรงผนวชแตสุนทรภูมิไดไปอยูที่วัดโพธ์ิดวย ก็อาจใหลูกบวช
40
เปนสามเณรไปเปนมหาดเล็ก หรือมิฉะนั้นก็สันนิษฐานวา ทาวัดโพธ์ิเปนทาเรือที่สําคัญ
นิราศพระแทน ดงรังกต็ ้ังตนทนี่ ั่น (ลงนาวาหนา วดั พระเชตพุ น) นริ าศถลาง ของนายม ี
กต็ ั้งตนท่นี ่นั (กล็ อ งไปจากทาหนา วดั โพธ)์ิ ใครจะไปลงเรอื ทีท่ า วดั โพธิ์ไมจ ําเปน ตองบวช
อยูท่ีวัดน้ัน แมแตทุกวันนี้ใครจะไปอยุธยาก็ไปลงเรือที่ทาเตียนโดยไมตองไปบวชอยูที่วัด
โพธ์ิเสยี กอน จะไปเชยี งใหมขึ้นรถไฟที่หัวลําโพง ก็มิไดหมายความวาบวชอยูท่ีวัดสถาน ี
หรือจะไปเมอื งนอกขน้ึ เรือบินที่ดอนเมือง ก็มิไดหมายความวาบวชอยูท่ีวัดทาอากาศยาน
ตรงกันขามใครบวชอยูที่วัดหัวลําโพง ถาจะไปเมืองนอกก็จะตองไปขึ้นเรือบินที่ดอนเมือง
เชน นเี้ ปนของธรรมดาในการเดนิ ทางไปเมืองนอกเมอื งนา
นอกจากหนาวัดโพธ์ิท่ีเปนทาเรือสําคัญ ยังมีมหานาคอีกแหงหน่ึงที่เปนทาเรือ
สําคญั ในสมยั น้นั ดวย
นิราศพระแทนดงรัง อยูในบาญชีหนังสือที่วาสุนทรภูแตงเรื่องนี้ใน พ.ศ.
๒๓๗๙ (ในปวอกนักษัตรอัฐศก) ตามความในรําพันพิลาป สุนทรภูบวชอยูจน
พ.ศ. ๒๓๘๕ ฉะน้นั คุณธนติ จึงไดส นั นษิ ฐานเร่ืองน้แี ลผแู ตง ใจความวา
๑. ใน พ.ศ. ๒๓๗๙ สนุ ทรภเู ปนพระ ฉะนนั้ ไมน า จะแตงสํานวนโลดโผน
เชน ในเร่ืองนี้
๒. ถาสุนทรภูไมไดแตง ใครแตง? ตอบวานายมี หรือเสมียนมี หรือหมื่น
พรหมสมพตั สร ผูเปน ลูกศษิ ยส นุ ทรภู (ในนริ าศถลางไดก ลา ววา “ฉนั เปนศิษยส นุ ทร
ยังออ นศักด์ิ”) นายมีเคยบวชอยวู ัดเชตพุ นฯ แลนอกจากนิราศถลาง แลนิราศพระแทน
ดงรงั ยังไดแตงนิราศเดือน แลนิราศสุพรรณ (คํากลอน) ไวอีกสองเร่ือง จับความใน
นิราศสุพรรณ แลนริ าศพระแทน ดงรัง ชนกัน ก็จะเห็นวาเปนผูเดียวกันแตง เพราะ
ความรับกัน
ในนริ าศพระแทนฯ ซง่ึ เปนบทครวญ วา
นิราศรกั หักใจอาลยั หวน
ไปพระแทน ดงรังตั้งแตค รวญฯ
แลในนริ าศสพุ รรณ ซ่งึ ไมแ ตง เปน บทครวญ วา
ใชจะคดิ ครวญคร่าํ รํา่ สวาท
ใชนิราศรา งนชุ สดุ กระสนั
ประดิษฐก ลอนคอนคาํ เปนสาํ คัญ
ไปสพุ รรณคราวนีไ้ มมคี รวญ
ไมเหมอื นไปพระแทนแสนเทเวศ
ทางประเทศรวมกันคิดหนั หวน
41
ไมกลา วซํา้ ร่าํ ไรอาลยั ครวญ
กร็ บี ดว นเรอื มาในสาชลฯ
ถาขาพเจามีโบวแดงเหลือพอท่ีจะแจกได (เหตุท่ีไมมีเพราะสงไปไตหวันเสีย
หมดแลว) ก็นึกอยากใหคุณธนิตสักสองสามอัน เพราะคุณธนิตสันนิษฐานไวอยาง
เด็ดขาดไมมีท่ีสงสัยอีกเลยวาใครเปนผูแตงเรื่องนิราศพระแทนดงรัง สวนสมเด็จฯ กรม
พ ร ะ ย า ดํ า ร ง ร า ช า นุ ภ า พ เ ห ตุ ที่ ท ร ง สั น นิ ษ ฐ า น ว า สุ น ท ร ภู แ ต ง เ ร่ื อ ง น้ี ก็ เ พ ร า ะ ไ ม ไ ด
ทอดพระเนตรเร่ืองรําพนั พิลาป เมอื่ ทรงพระนิพนธ แตก็ไดทรงสังเกตกระบวนกลอนไว
วา “เรอื่ งนิราศทีแ่ ตง ก็วา อยา งดาดๆ ดูไมม อี กมใี จ”
แตถึงกระนั้นยังมีเกจิอาจารยบางทานที่ชํานาญการอานความในกลอนมากกวา
อา นรส ต้ังขอสงสัยวา ในนริ าศพระแทนดงรัง ครวญถึงหญิงชื่อมวงซึ่งตรงกับชื่อมาดาม
ของสุนทรภผู หู นง่ึ จึงสงสยั วาทีค่ ุณธนติ สนั นษิ ฐานน้ัน จะผดิ หรือถูกไมท ราบ ขอนี้ไมนา
นาํ ขึน้ มาเปน ที่สงสัยเลย เพราะช่อื คนสมยั กอนซาํ้ กนั บอ ย เปนตน สุนทรภูมีเมียชื่อนิ่ม ช่ือ
มวง มีนองชื่อน่ิม ช่ือฉิม มีหลานท่ีเมืองแกลงชื่อมวง ชื่อคํา รวมเปนสองน่ิมสองมวง
ฉะนั้นที่เสมยี นมจี ะกลา วถึงมวงคนที่สามกไ็ มนา จะแปลกเลย
สามปกอนเสมียนมีไปพระแทนในปวอกอัฐศก สุนทรภูก็ไดไปไหวพระแทนดงรัง
เหมือนกัน (ในเดอื นสป่ี มะเสง็ เพง็ วนั อังคาร ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๗๖) ในการไปคร้ังนี ้
หนพู ัดแลหนตู าบไปดว ย หนูพัดยังบวชเปนสามเณรอยู นอกจากนั้นหนูกลั่นในนิราศวัด
เจา ฟา ก็ไปดวย หนูกล่ันผูนีเ้ ปนลูกเล้ยี งของสนุ ทรภู เรยี กหนูตาบวานอง เรียกหนูพัด
วาพีเ่ ณร ตัวหนูกลน่ั เองบวชเปนสามเณร (จงึ สนั นษิ ฐานวานิราศวดั เจาฟา แตง ใน พ.ศ.
๒๓๗๕ เพราะแตงกอนหนูกล่ันบวช) ในการไปพระแทนฯ คร้ังน้ี สุนทรภูมิไดแตง
นิราศ เปน สํานวนเณรหนกู ล่นั เข่ียนชื่อสมุดไทยไวดงั หวั ขางบนน ี้
สุนทรภูออกเดินทางจากมหานาค ผานเชิงเลนคลองโองอางออกแมนํ้าท่ีวัดราช
บรู ณะเขาคลองบางหลวง ในปนัน้ วัดเทพธิดายังไมไดสรา ง ฉะน้ันขา พเจา เขา ใจวา อยทู วี่ ดั
เลยี บนนั้ เอง แตไปลงเรือท่มี หานาคเพราะเปน แหลง กลาง เหมือนลงเรือที่ทาหนาวัดโพธ์ ิ
เมอื่ ไปวัดเจาฟา เพราะเปน ทา สําคญั ไมใ ชเ พราะบวชอยูท ีว่ ดั โพธิ์ ผปู วารณาเรืออาจอยูใกล
มหานาค นดั แนะใหไ ปพรอ มกนั ที่นั้นแลว ออกเดินกลางดึกเม่ือนํา้ ขึ้นเต็มคลอง ยอ นผา นวดั
โดยไมแ วะ เพราะเปน เวลากลางคนื
เรื่องน้ียงั ไมเ คยพมิ พเ ลย ท่เี รียกชอ่ื เสยี ใหมเพ่อื ใหผดิ กบั ของเสมียนมี
ถามวา เณรกลัน่ แตง นิราศพระแทนฯ หรือเปลา หรือสุนทรภูแกลงแตงเปนสํานวน
เณรหนูกล่ันเหมือนอยางแกลงแตงนิราศวัดเจาฟา เปนสํานวนเณรหนูพัด หรือเณร
หนพู ดั แตงนิราศวัดเจาฟา
ตอบวา เณรกลั่นแตง แลถึงแมส นุ ทรภจู ะไดชวยแกเ กลาใหบางก็ตาม แตเณร
42
กลั่นแตงนิราศเณรกล่ันอยางไมมีปญหา สวนนิราศวัดเจาฟา เปนสํานวนสุนทรภ ู
สาํ นวนอยางนั้นเปนของผอู ื่นไมได เมือ่ พดู เชนน้แี ลว ก็ชกั จะสงสัยวาสุนทรภูเปนกวีชนิด
ไหนแน เรอ่ื งน้ีถา มเี นือ้ ที่เหลอื จะนาํ มากลาวอีกทหี นง่ึ ถา ไมม กี แ็ ลว ไป
สวนทวี่ า นิราศพระแทนฯ เปน สํานวนหนกู ลนั่ น้นั นอกจากมีกลอนหลวมปนอย ู
มาก ยังมีขอความบางแหงซ่ึงสุนทรภูแตงไมได จะยกตัวอยางเพียงรายเดียว คือตอน
เลนน้ําท่ีบางแขยง
กบั หนตู าบอาบนํา้ ปลาํ้ กนั เลน
พเี่ ณรเห็นไลโลดกระโดดหน ี
ชวยคุณพอ กอ พระทรายคลา ยเจดีย
ไวตรงท่ีทา วัดไดม สั การ
แลว วง่ิ เตนเลน ทรายทชี่ ายหาด
ทะลดุ ทะลาดลม ลกุ สนกุ สนาน
ลงนอนขวางทางนํา้ เลนสําราญ
วากุมารมทั รไี มม ีเคลือ
ครัน้ แดดรม ลมรน่ื คอยช่ืนแชม
ออกจากแหลมบางแขยงขน้ึ แขวงเหนอื
แมนาํ้ ตืน้ พื้นสงู ลงจงู เรือ
สนุกเหลอื เลน น้ํายังคํา่ ไป
ตอบดิ รนอนตน่ื ขนื ใหข้นึ
ยงั วง่ิ คร้นื โครมครามหามไมไ หว
ตอ สดุ ขัดผลดั ผา ยังอาลัย
ถึงบา นใหญช ื่อวาโพธารามฯ
ท่ีวา สุนทรภูแตงกลอนขางบนน้ไี มได เพราะในเวลาน้ันสุนทรภูอายุเกือบ ๕๐
เกินวัยท่ีจะสนุกไดเชนน้ัน ถึงแมจะแกลงแตงก็ไมเหมือน จะตองขาด Sincerity
ในงาน
เมื่อเณรกลั่นแตงนิราศเรื่องน ้ี อายุนอยกวาสุนทรภูเม่ือแตงนิราศเมืองแกลง
แลนิราศพระบาท นอ ยกวานายนรนิ ทรธ ิเบศ (อิน) เม่อื แตงนิราศนรินทร แทบจะไม
มีบทไหนในวรรณคดีที่ผูแตงอายุนอยเทานี้ ตามธรรมดาโคลงกลอนบทหนึ่งๆ ตองถือ
เปน “สําเร็จ” อยูใ นตวั เราจะพิจารณาไดก็แตตัวบทเทาที่กวีแตงไว ไมควรพิจารณา
ใหม ากนักวากวีนัน้ จะอาย ุ ๑๖ หรอื ๖๐ หรอื ๑๖๐ แตใ นเร่ืองท่ีหนูกลั่น
แตง เห็นสมควรพจิ ารณาใหก วางขวางกวาน้ัน เพราะเปน เรอ่ื งที่นาํ มาประกอบประวัติ
43
สุนทรภไู ดอ ยา งดี
กลา วถึงรสคํา หนกู ลนั่ ใชล ีลาเดยี วกับสุนทรภ ู มเี สยี งตัวผกู ระทบเสียงตัวเมีย
ซง่ึ แมแตลกู ศิษยเ อกเชนเสมียนมีหรือหมอมราโชทัย ในนิราศลอนดอน ก็ไมถึง ยิ่ง
นายตาบผเู ปน บุตร ซง่ึ แตง นริ าศนายตาบ ในรัชกาลท ี่ ๕ ย่ิงไมถ งึ ใหญ ดังจะเห็น
ไดต อไป
ขาพระพุทธเจา นายตาบแตงอักษร
เปน บุตรพระสนุ ทรโวหาร
จางวางอาลักษณพนักงาน
ในพระบวรวงั สถานตาํ แหนงใน
แมนผดิ ม่ังพลัง้ ในคําทาํ อกั ษร
เปน ดวยกลอนพาความตามวสิ ัย
ขอพระองคจ งโปรดยกโทษภัย
มชี ีวติ อยใู ตฝาธลุ ีครง้ั น้เี อยฯ
กลา วถงึ รสความ ตามธรรมดานริ าศตอ งมีครวญถงึ “นางในนริ าศ” ทแ่ี ตงเปนคาํ
กลอนมกั เลาเรอื่ งการเดนิ ทางผสมเขา ไปกบั การครวญถึงนางนั้น สวนมากรูสึกวาครวญ
เปน พธิ ีเทา นั้น ในนิราศเรอ่ื งตางๆ ของสุนทรภ ู เพื่อนออกชื่อผูหญิงจริงแทนที่จะ
ครวญถึงนางอันเปนเพียงแตคุณนาม แตถึงกระนั้นเราอานก็ยังรูสึกวาครวญเปนพิธี
มากกวา อยา งทสี่ ุนทรภูเองเคยแตง ไวใ นนริ าศภูเขาทองวา
ใชจ ะมที ร่ี กั สมัครมาด
แรมนริ าศรา งมติ รพิสมยั
ซง่ึ ครวญครํ่าทําทพี ริ ี้พไิ ร
ตามนสิ ยั กาพยก ลอนแตกอนมา
เหมอื นแมค รวั ขว้ั แกงแพนงผดั
สารพัดเพยี ญชนงั เครือ่ งมังสา
อันพรกิ ไทยใบผกั ชเี หมือนสกี า
ตอ งโรยหนาเสียสกั หนอยอรอ ยใจฯ
นิราศท่แี ปลกจากนิราศธรรมดาท่ีครวญถึง “นางในนิราศ” มี นิราศภูเขาทอง
ของสุนทรภ ู เรื่องนี ้ ถึงแมจ ะมคี รวญถงึ สีกา “โรยหนา เสียสักหนอ ยอรอยใจ” เปน
บทท่คี รวญถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา ฯ ซึ่งไดเสด็จสวรรคตไปแลวสามส่ีป ท่ ี
สุนทรภจู ะครวญถึงเมียในระหวา งทีบ่ วช หรอื แมแตเ มอ่ื เมียท่ีครวญถึงตายไปนานแลว เรา
44
เช่อื วาครวญเปนพธิ ีมากกวาครวญอยางจริงจงั แตท่คี รวญถึงในพระโกศ เราไมทราบ
แนวาครวญจริงๆ หรือไม ถาจริงก็เปนบทท่ีมี Sincerity ปนอยูมาก ถาไมจริง ก ็
แปลวาสนุ ทรภูเ ปนศลิ ปน อยางเอก เพราะตง้ั แตแรกแตงจนทุกวันนี้ ผูอานตลอดเวลา
เปน รอ ยปลวนแตเ ชือ่ วาครวญจริง ประสาอะไรแมแ ตข า พเจาเองกย็ ังเชื่อ
นิราศที่เณรกล่ันแตงก็ครวญอยาง “นอกตํารา” เพราะแทนท่ีจะครวญเพราะ
รางนาง กลับครวญเพราะเปนกําพรา บทนี้ของเณรกล่ันมี Sincerity พอๆ กับ
นิราศภูเขาทอง ถาทานไมเช่ือขอน้ีลองพิจารณานิราศวัดเจาฟา ท ่ี “เณรหนูพัด”
ครวญแทนหนตู าบวาเปนกาํ พรา แมม าอยูกับพอ หรือนิราศพระประธม ท่ีสุนทรภูครวญ
แทนหนูตาบท่ีเปนกําพราเชนเดียวกัน วาของหนูกลั่น หนูพัด แลสุนทรภู ไหนจะ
รูสกึ จรงิ กวากัน
หนูกลน่ั จะไดแตง อะไรไวอ กี หรือไม ไมป รากฏ คดิ ๆ ก็นา เสียดายเพราะเด็กใน
วยั ๑๕–๑๖ ที่ขนึ้ ตน ไดอ ยา งบทน้นี า จะไดแตง ของดีๆ ไวอ ีกมาก หรอื เมื่อมาคิดอีก
ทที นี่ รนิ ทรอ นิ แลหมอ มราโชทยั มีเหลอื เพียงนิราศนรินทร แลนิราศลอนดอน คนละ
เรื่องเดียวอาจทําใหส องเร่ืองนัน้ เดนขนึ้ ฉนั ใด นริ าศเณรกลั่น ก็ฉันน้นั
เม่ือเราอานนิราศเณรกลั่น เรารูจักแลเห็นภาพเณรหนูกลั่น แตในท่ีสุดเณร
หนูกลั่นยังเปนแตเงาฉายของสุนทภู ส่ิงตางๆ ในประวัติสุนทรภูที่เราอาจสงสัยในบท
อื่นๆ มาแตกอน มากระจางแจง ในนิราศเรือ่ งนี ้ เปน ตน ในนิราศวัดเจา ฟา เมอื่ เรือ
ไปจอดคา งคืนที่วดั มอญเชงิ รากวา
ดึกกําดัดสตั วหลบั ประทบั นอน
ทีว่ ัดมอญเชงิ รากริมปากคลอง
ตนไทรครึม้ งึ้มเงียบเซียบสงัด
พระพายพัดแผว ผานหนาวสยอง
เปน ปา ชาอาวาสปศ าจคะนอง
ฉนั พนี่ อ งมไิ ดค ลาดบาทบิดา
ทานนอนหลบั ตรับเสยี งสําเนยี งเงียบ
เยน็ ยะเยียบเยือกสยองพองเกศา
เสียงผผี วิ หวิวโหวยโหยวิญญา
ภาวนาหนาวน่ิงไมต งิ กาย
บรรดาศษิ ยบดิ รท่นี อนนอก
ผมี นั หลอกลากปลํา้ พลกิ ควา่ํ หงาย
ลกุ ขน้ึ บอกกลอกกลัวทุกตวั นาย
มนั สาดทรายกรวดโปรยเสียงโกรยกราว
45
ข้นึ สั่นไทรไหวยวบเสียงสวบสาบ
เปนเงาวาบหวั หกเหน็ อกขาว
หนกู ล่นั กลาควาไดร ากไทรยาว
หมายวาสาวผมผรี องนแ่ี น
พอพระตน่ื ฟน กายคอ ยคลายจิต
บรรดาศิษยล อ มขา งไมหางแห
ทานหมดองครองเครงไมเล็งแล
ขนึ้ บกแตอ งคเ ดียวดูเปล่ียวใจ
สํารวมเรียบเลียบรอบขอบปาชา
ภาวนาตามสงฆไ มห ลงใหล
เหน็ ศพฝงบังสกุ ุลสงบุญไป
เห็นแสงไฟรางรางสวางเวียน
ระงับเงียบเซยี บเสียงสาํ เนยี งสงัด
ประดิพัทธพทุ ธคณุ คอยอนุ เศยี ร
บรรดาศิษยค ิดกลา ตางหาเทยี น
จาํ เรญิ เรียนรุกขมูลพูลศรทั ธา
อสภุ ธรรมกรรมฐานประหารเกต ุ
หวนสังเวชวาชีวังจะสงั ขาร
อันอนิ ทรียวบิ ัติอนัตตา
ท่ปี าชา น้แี ลเหมอื นกบั เรือนตาย
กลบั หายกลัวมวั เมาไมเขาบา น
พระนพิ านเพม่ิ พนู เพียงสูญหาย
อันรปู เหมอื นเรือนโรคใหโ ศกสบาย
แลว ตางตายตามกันไปมนั่ คง
คอยคดิ เห็นเยน็ เยยี บไมเกรียบกรบิ
ประสานสบิ นิว้ นงั่ ดงั ประสงค
พยายามตามจริตทานบิตรุ งค
สาํ รวมทรงศีลธรรมที่จาํ เจน
ประจงจดบทบาทคอ ยยาตรยา ง
ประพฤตอิ ยา งโยคามหาเถร
ประทบั ทุกรกุ รอบขอบพระเมรุ
จนพระเณรในอารามตนื่ จามไอ
ออกจงกรมสมณาษมาโทษ
46
รม นิโรธนอ งไมเส่ือมทเี่ ล่ือมใส
แผกุศลจนจบทง้ั ภพไตร
จากพระไทรแสงทองผอ งโพยมฯ
เม่ือขา พเจาอานกลอนตอนน้คี รั้งแรกกส็ งสยั ประวตั ิสนุ ทรภใู นตอนบวชเทา ท่ีเชอ่ื กนั
มา วาจะคลาดเคลอ่ื นขนาดผิดหมดกแ็ ทบจะวาได เพราะพระที่ขนึ้ ไปทํากิจจงกรมในปา ชา
เวลากลางดึกเชนน้ีจะเปนพระข้ีเมา หรือผูที่อาศัยผาเหลืองหากินไมได จะตองเปนพระที่
เครง เห็นทุกขแลวอยากหาทางท่ีจะพนทุกขโดยปฏิบัติ แตในเรื่อง “พระภู” ในเมื่อม ี
หลักฐานแตเพียงในนิราศวัดเจาฟาแหงเดียว ขาพเจาก็ไดแตหุบปากไวกอน ท้ังๆ ที ่
ปากคันอะโข ครั้นเมื่อมาพบความเดียวกันในนิราศเณรกล่ัน ผิดกันก็เพียงแตเณรหนูพัด
กลัวผี เณรหนูกล่ันกลัวเสือ ก็เปนโอกาสที่จะพนใหหายคันได ความในนิราศเณรกลั่น
ตอไปนี้อยูในตอนไปจอดคางคืนท่ีวดั รางบางพัง
ถงึ บางพงั วังวนสาชลเช่ียว
เปน เกลียวเกลยี วกลง้ิ ควางเหมือนหางหน ู
เห็นวัดรางขา งซายชายสนิ ธู
เขาหยุดอยูนอนคางทบี่ างพัง
พอพลบคาํ่ ลําเดียวดูเปลี่ยวอก
แตเ สียงนกเซ็งแซดังแตรสงั ข
ขา งซายปาขวาชลเปน วนวงั
เสียงคางดังอ้ืออา บนคาไม
ฝายคณุ พอ บรกิ รรมแลวจาํ วัด
พ่ีเณรพดั หนตู าบตา งหลับใหล
ยิง่ ดกึ ดนื่ คร้นื เครงวังเวงใจ
เสียงเรไรหร่งิ แรแ ซสําเนยี ง
จะเคลมิ้ หลับวับแวว ถึงแกว ห ู
เหมือนคนกูเกร่นิ เรียกกนั เพรยี งเสียง
เสียงเผาะเผาะเหาะยอ งคอยมองเมยี ง
เห็นเสือเล่ียงหลกี ออ มเทย่ี วดอ มมอง
ดูนา กลัวตวั ขาวราวกบั นนุ
แบงสวนบญุ บน ภาวนาสนอง
ท้งั ในนํ้าทําเลตะเขคะนอง
ขนึ้ คลานรอ งฮูมฮมู นํา้ ฟูมฟาย
เดชะกจิ บิตรุ งคซึ่งทรงพรต
47
เหน็ ปรากฏกาํ จัดสัตวทัง้ หลาย
มนั หลีกเลยเฉยไปไมใ กลกราย
เหมอื นมคี ายเขอื่ นรอบประกอบกนั
จนลว งสามยามเวลาบิดาตนื่
ประเคนผืนกาสานํา้ ชาฉนั
เงยี บสงดั สตั วป า พนาวัน
เสยี งไกขนั แจว แจวแวววิญญา
ทา นอวยพรสอนพระธรรมกรรมฐาน
ทางนพิ พานพนทุกขเ ปน สุขา
ไดเรียนธรรมบําเพ็งภาวนา
เม่ือนอนหนาวดั รา งคุงบางพัง
แลวบดิ าพาเดนิ ขึน้ เนินวดั
เงียบสงัดงมึ ปา ขางหนาหลัง
เขา นโิ ครธโบสถใหญรม ไมรัง
สาํ รวมนั่งนกึ ภาวนาใน
ดวยเดชะพระมหาสมาธ ิ
เปนคตติ ามศรทั ธาอชั ฌาสยั
พอแสงทองสอ งฟา นภาลยั
ลาพระไทรสาขาลงมาเรอื ฯ
นอกจากการบําเพญ็ กิรยิ า ตามประสาท่ีเรามักเรียกกนั อยา งสนกุ ๆ ทกุ วนั นีว้ า ยุบ
หนอ พองหนอ แลว พระภูยังไดแสดงอาการเปนพระที่แทอีก เชน บิณฑบาตไขเตาจาก
ชาวบา น เพอื่ ฝง ใหสตั วท ่ปี ฏสิ นธไ์ิ ดเกิด
เตาขนึ้ ไขไวท ุกหาดไมขาดคน
เท่ียวขดุ คนไขไ ดดว ยงา ยดาย
สาธุสะพระบดิ าเมตตาเตา
บณิ ฑบาตเขาเขาเห็นพระกถ็ วาย
เอาใสไ วในหลุมทกุ ขุมทราย
แลวเกลี่ยทรายสมุ ทับใหล บั ตา
เปนประโยชนโปรดสัตวท ป่ี ฏิสนธ์ิ
ใหรอดพน ความตายไดห นักหนาฯ
และเมื่อฉันอาหารทช่ี าวปา เขามาถวายอยา งหนา เฉยตาเฉย
48
ฝา ยพวกเขาชาวปาทาํ อาหาร
แกงผักหวานกบั ปลารา มาถวาย
ท้งั แยบึ้งอ่งึ ยางมาวางราย
ทง้ั หญิงชายชาวปาศรทั ธาครัน
ท้งั ปลาทปู ปู าประสายาก
ไมมหี มากเปลือกไมจบี ใสข ัน
ถวายพระพระประโยชนโปรดพวกนั้น
อตุ สาหฉนั ของปา ไมอาเจยี น
แตหนูตาบกับพี่เณรเราเหน็ อ่ึง
กบั แยบ ึ้งเบือนอายไมหายเหียน
พอเสร็จพระยถาลานายเกวยี น
ตามทางเตยี นตัดตรงเขา ดงรงั ฯ
ตัวอยางที่นํามาลงเหลาน้ี ไมใชคําของสุนทรภูเอง ฉะนั้นจะควรเชื่อไดหรือไมวา
“พระภ”ู เปน คนละคนกับ “ชาลีภ”ู ผเู ปนศิลปน
สว นหนกู ลั่นทีม่ าเปนลกู เล้ยี งสุนทรภนู ้ัน เปนผูมตี ระกูล มีปูเปนพระยาสุนทรเสนา
มีปาซึ่งวาเปนผูสรางวัดหมู (วัดอัปสรสวรรค) ตามประวัติวัดหมู วาเจาจอมนอยใน
พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกลาเจาอยูหัวเปนผูปฏิสังขรณวัดโบราณที่รางไป เจาจอมนอยผูน้ ี
เปนบตุ รเี จา พระยาพลเทพ (ฉมิ ) มีฉายาเพื่อใหผ ดิ กับเจาจอมนอยอกี สองคนวาจอมนอยส ุ
หรานากง เจาจอมนอยผูนี้เหน็ จะไมใชปาตัวของเณรกล่ัน เพราะไดออกชื่อปูไววาเปนพระ
ยาสนุ ทรเสนา เหน็ จะพอสันนษิ ฐานไดโ ดยไมพ ยายามเปด หนังสือคน วาพระยาสุนทรเสนา
เปนนอ งหรือเกีย่ วดองกบั เจา พระยาพลเทพ (ฉิม) ขาพเจาไมอยากไลเรื่องญาติโกโญติกา
ของหนกู ลัน่ ไปกวานี้ เอาความส้ันๆ วา สุนทรภูคงจะเปนที่ใกลชิดนับหนาถือตาของพวก
ขนุ นางแลชาววัง มใิ ชเ ปนพระข้ีเมาอยางท่ีเชือ่ กนั มาแตกอน มิฉะนั้นเด็กมีฐานะขนาดเณร
กลั่นคงจะไมไดมาเปนลูกเลี้ยง ความขอ นี้มีพยานหลักฐานยืนยันท่ีวาสุนทรภูมีลูกศิษยเปน
เจาฟาถึงสามพระองค (เจาฟาอาภรณ, เจาฟากลาง, แลเจาฟาปว) มีเจาฟากุณฑลฯ
พระองคเจา ลักขณานคุ ุณ แลตอไปกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ แลพระบาทสมเด็จพระปนเกลา
เจา อยหู ัว ทรงอุปการะเปนระยะๆ ฉะนั้นขาพเจาจึงวาไวแตตนวาสุนทรภูจะไปตกทุกขได
ยากทไี่ หนกัน ท่จี ะพาลกู แลลกู ศิษยใ นครอบครัวอันใหญโ ตไปอดขา วกันหมดนั้น ยอ มเปนไป
ไมไ ด เจา นายผูประทานอุปการะแกสุนทรภูลวนแตเปนเจาใหญนายโตท้ังส้ิน ทานคงไมได
ทอดท้งิ อยางทีเ่ ขาใจกนั มาแตก อ นในศตวรรษเกาของสุนทรภ ู
ในระหวา งหกปหลังแตก ลบั มาจากไปไหวพระแทน ดงรังใน พ.ศ. ๒๓๗๖ แลเม่ือ
ยา ยไปอยูวดั เทพธดิ าใน พ.ศ. ๒๓๘๒ สุนทรภูจะไดทําอะไรบางเปนเร่ืองท่ีเรารูนอยกวา
49
ใน ๖ ปกอ น คือระหวา งกลบั มาอยูวัดราชบรู ณะแลทีไ่ ปพระแทนฯ ใน พ.ศ. ๒๓๗๑ เวน
แตเ ราจะซอยระยะเวลาทส่ี ุนทรภูบวชออกเปนงวด งวดละ ๓ ป แทน ๖ ป ถาทําเชนน้ัน
ความเคลอื่ นไหวของสุนทรภูก็กระจางแจงขึ้นทันที แตกอนท่ีจะทําได จําเปนตองเสียเวลา
แลเนอ้ื ท่ีนําขอ สนั นิษฐานตางๆ มาลงบา ง
คุณฉันทวาเม่ือกลับมาจากวัดเจาฟา ใน พ.ศ. ๒๓๗๗ สุนทรภูไดยายจากวัด
โพธ์ิไปอยูวัดมหาธาตุ เพื่อใกลชิดกับตําหนักที่ประทับของพระองคเจาลักขณานุคุณ เพื่อ
สะดวกในการสง เสยี พอถึง พ.ศ. ๒๓๗๘ พระองคเจาลักขณานคุ ุณส้นิ พระชนม สุนทรภู
หมดที่พ่ึงจึงไดลาผนวชไปลอยเรือแตงกลอนประกอบการคาขาย ครั้นถึงปฉลู พ.ศ.
๒๓๘๓ ประกอบกับหนูพัดอายุครบบวช สุนทรภูจึงไดเขาไปเฝาสมเด็จพ ระปรมานุชิต
ชโิ นรสขอประทานบวชใหม แตหาไดอยูท่ีวัดโพธิ์ไม ทรงแนะนําใหไปอยูวัดราชบูรณะที่เคย
อยมู าแตก อนแลว แตยังมิทนั ไดจ ําพรรษากย็ ายไปอยวู ดั เทพธดิ า ในระหวางที่สุนทรภูครอง
เพศฆราวาสอยปู ระมาณ ๕ ปน ั้นเปน ระยะเวลาท ่ี “ปลอยแก” แตไดเมียอยูประจําคนหนึ่ง
ชอื่ มว งมลี กู ดวยกันช่อื หนูนอ ย
ความตางๆ ทค่ี ุณฉนั ทใชป ระกอบการสันนษิ ฐานมีอยูใ นนิราศสุพรรณ รําพนั พลิ าป
แลนิราศพระประธม ในทีน่ ้ีไมจําเปนท่ีจะยกเหตุผลของคุณฉันทมามากราย เพียงแตตอน
ตีความวาสมเด็จพระปรมาฯ บวชใหทั้งพอลูก แลวใหไปอยูวัดราชบูรณะรายเดียวก็พอ
กลอนในราํ พันพิลาปวา
พระฤาษีทชี่ ว ยชุบเสือโค
ใหเรอื งฤทธอ์ิ ศิ โรเดโชชยั
แลว ไมเลยี้ งเพยี งแตช ุบอปุ ถัมภ
พระคณุ ล้ําโลกาจะหาไหน
ชว ยช้ที างกลางปา ใหค ลาไคล
หลวชิ ัยคาวีจาํ ลลี าฯ
กอนท่ีทานผูอานจะตั้งคําถามวาสมเด็จพระปรมาฯ เคยบวชเปนฤาษีเม่ือไร
ขา พเจา ใครอ ธิบายเสียหนอ ยวา เมอ่ื คณุ ฉนั ทแตง ๑๐๐ ปของสุนทรภ ู คุณฉันทไมไดอาน
นิราศเณรกล่ัน ฉะน้ันก็ไดแตวาไปเทาท่ีมีหลักฐานอยูในมือ ถาไดอานนิราศเณรกลั่น
เสียกอนก็อาจเขียนเร่ืองไปคนละอยาง ไมตกอยูในศตวรรษเกาใครจะไปรู ในทํานอง
เดยี วกันก็เม่ือสมเดจ็ กรมพระยาดํารงราชานุภาพทรงพระนิพนธเร่ืองประวัติสุนทรภ ู โดยม ิ
ไมทอดพระเนตรเรื่องรําพันพิลาป (ซึ่งมีบอกท้ังปบวชปสึก) ยอมตองมีคลาดเคล่ือนบาง
ธรรมดา ฉะนั้นที่คุณฉันทสันนิษฐานนั้นไมพึงถือเปนขอตําหนิ ท่ีแทควรสรรเสริญในดาน
การอุตสาหะ
สุนทรภูแตงรําพันพิลาปเปนบทฝน (สุนทรทําคําประดิษฐนิมิตฝน) กลาวอีกนัย
50
หน่ึงแกลงแตงเรื่องใหเลอะ (ลืมวันเดือนเชือนเฉยแกลงเลยละ เห็นแตพระอภัยพระทัยดี
ชวยแจวเรือเก้ือหนุนทาํ บญุ ดวย) ฉะนัน้ จําเปนตองระวงั ในการอาน มิฉะนั้นก็จะเลอะตาม
เปนตนในตัวอยา งกลอนทยี่ กมา ถา จะอานอยางเถรตรง ก็จะเห็นวาพระอภัยมณ ี (สมเด็จ
กรมพระยาบาํ ราบปรปก ษ) ทรงทาํ บุญโดยแจวเรือ! สวนในเรื่องลูกเมียที่ไดใหมไมควรจะ
ลืมวาในนิราศสุพรรณ สุนทรภูออกชื่อเมียแทบทุกคน มีแมจัน, นิ่ม, งิ้ว, มวง ฯลฯ ไม
นา จะถือวา ไดแมมว งมาเปน ขา วใหมป ลามนั กวาหรือพิสดารกวา “นางในนิราศ” คนอ่ืนๆ
แลวหนูนอยท่ีไปไหวพระปฐมเจดียดวยนั้น (เจาหนูนอยพลอยวาฟาตกนํ้า) เผอิญไปชื่อ
พองกับหนูนอ ยทีไ่ ปเพชรบุร ี (ใหหนูนอยคอยนับในนาวา) คุณฉันทอธิบายเอาใหญวาหน ู
นอยในสองนิราศผิดกันอยางไร ขาพเจาเห็นจะไมอธิบายแลไมลงคําอธิบายของคุณฉันท
ดวย
สว น พ.ศ. ที่แตง สามเรื่องทีค่ ุณฉันทน าํ มาประกอบการสันนิษฐานตามท่ีเขาใจกัน
ในปจจบุ นั นิราศสุพรรณแตง จากวดั เทพธิดาใน พ.ศ. ๒๓๘๔ (เหตุท่ีวาเชนนั้นดูเหมือน
จะเปน เพราะออกเดนิ ทางจากมหานาค “ไปทางเรือเหลอื สลดดว ยปลดเปลื้อง” แลในรําพัน
พิลาปวา “จนถึงปลายปฉลูมีธุระ” รําพันพิลาปแตงใน พ.ศ. ๒๓๘๕ (โอปน้ีปขาล
สงสารวดั ) สว นนิราศพระประธม แตงเมื่อปลายปข าลนนั้ เองเมื่อสกึ แลว)
ตอนนล้ี องจบั ศกั ราชใหม ต้ังตนดว ยนริ าศสุพรรณ
ท่จี ะวา นริ าศสุพรรณแตงใน พ.ศ. ๒๓๘๔ เพราะในรําพนั พิลาปวา “ปลายปฉล ู
มีธุระ” ไมเปนเหตุแลที่จะวาแตงจากวัดเทพธิดาเพราะออกเดินทางจากมหานาคก็ไมเปน
เหตุ เพราะจะตอ งแจวเรือถอยหลัง ระยะทางเดินในเรื่องนนั้ ผา นวดั สระเกศ เชิงเลนคลอง
โองอา ง ออกแมนํ้าท่วี ัดเลียบแลว เขา คลองบางกอกนอย ระยะทางนี้เหมือนกบั ในนิราศเณร
กลั่น (แตง พ.ศ. ๒๓๗๖ กอนสรางวัดเทพธิดา) ผิดกันแตท่ีนิราศเณรกล่ันเขาคลอง
บางกอกใหญแ ลไมไดออกชอ่ื วัดสระเกศ ที่ทง้ั สองเรอ่ื งไมพดู ถงึ วดั เทพธดิ าเลย ชวนใหค ดิ วา
นิราศสุพรรณก็แตงกอนสรางวัดเทพธิดาเชนเดียวกับนิราศเณรกล่ัน ขาพเจาวานิราศ
สุพรรณแตง พ.ศ. ๒๓๗๙ ทีพ่ ดู น้พี ดู ดวยความรสู ึก มิใชเ พราะสันนิษฐานหรือเดาเทาที่
สังเกตมา จะเปน ดว ยเหตผุ ลกลใดไมทราบ ความรูสึกของขาพเจาในเร่ืองวรรณคดีไมคอย
ผดิ ในเร่ืองปแตงนิราศสุพรรณ ขาพเจาอาจพลาดสักปหนึ่งขางหนาหรือหลัง แตรูสึกวา
ไมไดแตง ใน พ.ศ. ๒๓๘๔ จากวดั เทพธดิ าอยางแนนอน
ถา จะเช่อื วา นริ าศสพุ รรณแตง พ.ศ. ๒๓๗๙ แลว ยึดปนีเ้ ปนหลักแยกระยะเวลา
ที่สุนทรภูบวชออก เปนงวดๆ งวดล ะ ๓ ป ประวัติสุ นทรภูก็จะล งรอย กวาเกาเปนกอ ง
ในตอนนล้ี องทวนความสักหนอยเพราะเทา ทีแ่ ลวมา ดจู ะไดข ัดคอทานเกจิอาจารยมากกวา
พูดจาอะไรทเี่ ปนเร่อื งเปน ราว การลม ของเกา น้นั งาย แตการตงั้ ของใหมข้ึนมาแทนยาก
พ.ศ. ๒๓๖๗ : สุนทรภูออกบวชแลวไปหัวเมือง ลูกไปดวยคนหนึ่งอายุจะ
ประมาณ ๗-๘ ขวบ