The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบความรู้ลำต้น(1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kanungnit_29, 2021-09-25 04:06:37

ใบความรู้ลำต้น(1)

ใบความรู้ลำต้น(1)

ใบควำมรู้
เรือ่ ง โครงสร้ำงและหน้ำท่ีของลำต้น

ลำต้น (Stem) เป็นอวยั วะของพืชทสี่ ่วนใหญ่จะเจรญิ ขนึ้ เหนือดิน เจรญิ มาจากสว่ นท่ีเรยี กวา่ Hypocotyl
ของเมล็ด ประกอบด้วยสว่ นสาคัญ 2 สว่ นคือ ข้อ (Node) ส่วนใหญ่มักมีตา (Bud) ซ่ึงจะเจริญไปเปน็ ก่ิง ใบ
หรือดอก ตอ่ ไป และ ปล้อง (Internode) ซึ่งอยู่ระหว่างข้อ โดยในพืชใบเล้ียงเดีย่ วจะเห็นขอ้ และปล้องชัดเจน
แตใ่ นพืชใบเล้ยี งคู่ เห็นข้อและปล้องชดั เจนในขณะที่เปน็ ต้นอ่อนหรือกง่ิ อ่อน แต่เมื่อเจริญเติบโตและมี Cork มา
หมุ้ ทาใหเ้ หน็ ข้อและปล้องไม่ชัดเจน ลาตน้ เป็นโครงสร้างของพชื ท่ีเจริญถัดขน้ึ มาจากราก ลาต้นมขี ้อปลอ้ ง
บริเวณขอ้ จะมีใบ ที่ซอกใบมีตา ลาต้นทาหน้าที่ชูกงิ่ ใบ ดอก ผล และทาหนา้ ทล่ี าเลยี งอาหาร ธาตอุ าหาร และ
น้า
เน้ือเยอ่ื บริเวณปลำยยอด

เม่อื ตัดตามยาวผา่ นกลางส่วนปลายยอด แลว้ นาไปศึกษาลกั ษณะเนื้อเยื่อโดยใช้กล้องจุลทรรศน์กาลังขยาย
ตา่ งๆ จะเหน็ เซลล์มลี ักษณะขนาด รูปร่าง และการเรยี งตวั เปน็ บรเิ วณตา่ งๆ ดังนี้

ใบอ่อน (young leaf)
ใบเร่ิมเกดิ (leaf primordium)

เนอ้ื เยอ่ื เจริญปลายยอด

(apical meristem)

ลาตน้ อ่อน ตาตามซอกเริ่มเกดิ (axillary
(young stem) bud primordium)

ภาพ : เนอื ้ เย่อื บริเวณปลายยอด ท่ีมา : http://www.biologie.unihamburg.de/
1. เน้อื เยอื่ เจรญิ ปลายยอด (apical meristem) เปน็ บรเิ วณปลายสุดของลาตน้ เซลล์บรเิ วณนจ้ี ะ
แบง่ ตวั อยูต่ ลอดเวลา มีการเจริญไปเป็นลาต้น ใบ และตาตามซอก(axillary bud)
2. ใบเริม่ เกิด (leaf primordium) อยตู่ รงด้านขา้ งของปลายยอดสว่ นที่เปน็ ขอบของความโคง้ ถา้ พชื
ตวั อย่างทศี่ ึกษามีใบแบบตรงขา้ มกนั จะเห็นใบเร่ิมเกดิ อยู่ 2 ขา้ ง ใบเร่มิ เกดิ นี้ต่อไปจะพัฒนาเป็นใบอ่อน ตรงโคน
ของใบเร่ิมเกิดจะเห็นเซลล์ขนาดเล็กรูปร่างยาวเรียงตัวเปน็ แนวยาวจากลาตน้ ขน้ึ ไปจนถงึ ใบอ่อน

3. ใบออ่ น (young leaf) เปน็ ใบท่ยี ังเจรญิ เติบโตไมเ่ ต็มท่ี เซลลข์ องใบยังมีการแบ่งเซลล์ และ
เจรญิ เติบโตเปล่ยี นแปลงเซลล์ตอ่ ไปอกี จนในทส่ี ุดจะได้เป็นใบที่เจรญิ เตม็ ท่ี ระยะท่ีใบอ่อนยังไม่กางออกเตม็ ที่จะ
เห็นตาตามซอกเริ่มเกิด (axillary bud primordium) ซ่ึงต่อไปจะพฒั นาไปเปน็ ตาตามซอกเมื่อใบทร่ี องรับอยู่น้ัน
เจริญเตม็ ท่ี

4. ลาต้นอ่อน (young stem) อยู่ถดั จากตาแหน่งใบเริม่ เกิดลงมา ลาตน้ ส่วนใตใ้ บอ่อนก็ยงั เป็นลาต้น
ระยะทย่ี ังเจริญไม่เต็มที่ กล่าวคือ เซลล์บางบริเวณอาจพัฒนาไปจนเจริญเต็มทใี่ นระดบั หนึ่งแล้ว แตบ่ างบรเิ วณ
ยังแบง่ เซลลเ์ พ่ือเพมิ่ จานวน และขยายขนาดต่อไปได้อีก
โครงสร้ำงภำยในลำต้น

1. เอพเิ ดอร์มสิ อยู่นอกสดุ ประกอบด้วยเซลล์ผวิ เรยี งเปน็ แถวเดยี ว บางเซลลอ์ าจเปลย่ี นไปเป็นขนผวิ
ดา้ นนอกของเซลล์ในชน้ั นจี้ ะมีสารคิวทินเคลือบอยู่

2. คอร์เทกซ์ เป็นสว่ นทีอ่ ยถู่ ัดจากเอพเิ ดอร์มิสเขา้ มาประกอบดว้ ยเซลล์หรือเน้ือเยื่อหลายชนดิ สว่ น
ใหญ่เป็นเน้ือเย่ือพาเรงคิมาและมคี อลเลงคิมา (collenchyma) อยใู่ ต้ผวิ หรืออยตู่ ามสนั ของลาต้น

3. สตลี สาหรับพืชใบเลย้ี งคู่จะกวา้ งมากและแยกจากชน้ั คอรเ์ ทกซไ์ ด้ไมช่ ัดเจน ประกอบด้วย
3.1 มัดทอ่ ลาเลียง อยู่เปน็ กลุม่ ๆ ดา้ นในเปน็ ไซเล็ม ดา้ นนอกเป็นโฟลเอม็ เรียงตัวในแนวรศั มี

เดยี วกนั
3.2 วาสควิ ลารเ์ รย์ เป็นเนือ้ เยอื่ พาเรงคมิ าที่อยู่ระหวา่ งมดั ท่อลาเลยี ง เช่ือมต่อระหวา่ งคอร์

เทกซแ์ ละพิท
3.3 พิธ อยู่ชนั้ ในสุดเป็นไส้ในของลาต้นประกอบด้วยเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ทาหน้าท่สี ะสมแป้ง

หรอื สารต่างๆ

ภาพ : โครงสรา้ งภายในของลาตน้ พืชใบเลีย้ งเดีย่ ว
ทีม่ า : http://function-planty.exteen.com/images/real%20pri%202.jpg

ภาพ : โครงสรา้ งภายในของลาตน้ พืชใบเล้ยี งคู่
ทีม่ า : http://function-planty.exteen.com/images/real%20pri%202.jpg
สาหรบั ลาตน้ พชื ใบเลย้ี งเดีย่ วชัน้ ของเน้ือเย่ือต่างๆคลา้ ยกบั ในพืชใบเลีย้ งคู่ แต่แตกต่างกนั ตรงท่มี ดั
ท่อลาเลียงในพืชใบเลย้ี งเดี่ยวจะกระจายอยู่ทั่วไป ไมม่ วี าสควิ ลาร์แคมเบียมค่ันระหวา่ งไซเล็ม และโฟล
เอม็ พืชบางชนดิ พิธจะสลายไปกลายเป็นชอ่ งกลวงอยู่ใจกลางลาต้น เรยี กว่า ช่องพิธ (pith cavity) พบมากใน
บริเวณปลอ้ ง

กำรเจรญิ เติบโตข้นั ท่ีสองของลำตน้
การเจริญข้นั ที่สองของลาต้น เกิดจากการแบ่งเซลลอ์ อกทางดา้ นข้างของวาสควิ ลาร์แคมเบยี ม
(Vascular cambium) ซึง่ พบขนั้ ระหวา่ งเน้ือเยอื่ ลาเลยี งน้าและแร่ธาตุ (Xylem) และ เน้ือเยือ่ ลาเลียงอาหาร
(Phloem) การแบ่งเซลล์ของวาสคิวลาร์แคมเบยี มจะแบ่งได้ 2 ทศิ ทาง คอื แบ่งเข้าดา้ นในและแบ่งออกด้านนอก
การแบง่ เขา้ ดา้ นในของวาสควิ ลารแ์ คมเบียมจะเกิดได้เร็วกว่าแบ่งออกด้านนอก และเจริญเปน็ เนือ้ เย่ือลาเลยี งนา้
และแรธ่ าตุรียกเนื้อเย่ือลาเลียงน้าและแรธ่ าตุท่เี กิดจากวาสควิ ลาร์แคมเบยี มว่า เนื้อเยื่อลาเลยี งนา้ และแรธ่ าตุข้นั
ทส่ี อง (Secondary Xylem) การแบง่ ออกทางด้านนอกแบ่งได้ชา้ กว่าเข้าด้านในและเจริญไปเป็นเนื้อเย่อื ลาเลียง
อาหารเรียกเนื้อเย่ือลาเลยี งอาหารทเี่ ปลยี่ นแปลงมาจากวาสคิวลาร์แคมเบียมว่า เน้ือเย่ือลาเลยี งอาหารขั้นที่
สอง (Secondary phloem)

ภำพ กำรเปลี่ยนแปลงของลำตน้ พชื ใบเลี้ยงคขู่ ณะเกดิ กำรเจริญเตบิ โตข้นั ทีส่ อง
ทม่ี ำ : http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html

การแบ่งเซลลเ์ พิ่มจานวนของวาสคิวลาร์แคมเบยี มเพ่อื เจริญไปเป็นเน้ือเยอื่ ลาเลยี งนนั้ ทาให้เซลลท์ ีเ่ กดิ มาใหม่
ดันให้โฟลเอม็ ข้นั แรก รวมถงึ เน้อื เยอ่ื ในชั้นคอร์เทกซ์ (Cortex) ถูกเบยี ดใหต้ ายและสลายไปเรือ่ ยๆ จนกระทง่ั
เหลอื เนือ้ เยื่อพาเรงคิมา (Parenchyma tissue) ประมาณ 1-2 แถว เนื้อเย่อื พาเรงคมิ าเหล่าน้ีจะเปลี่ยน
กลายเป็นเน้ือเย่ือเจรญิ ชนิด คอร์กแคมเบียม (Cork cambium) ซ่ึงคอร์กแคมเบยี มจะแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวน
เพ่มิ ขนึ้ การแบ่งเซลล์ของคอร์กแคมเบียมแบง่ ได้ สองทศิ ทางแบ่งเขา้ ด้านใน หรอื แบง่ ออกทางดา้ นนอกการแบ่ง
เข้าด้านในของคอร์กแคมเบียมจะแบง่ ได้ชา้ กวา่ แบง่ ออกด้านนอกมากการแบ่งตัวออกทางดา้ นนอกแบ่งตวั เพอ่ื
สรา้ งเน้อื เยื่อคอร์ก การเพ่ิมจานวนของเนื้อเย่ือคอร์กทาให้เนือ้ เยอ่ื เอพิเดอร์มิสถกู เบยี ดให้ตายและสลายไปทา
ใหเ้ ปลือกภายนอกของลาตน้ ทีม่ ีการเจรญิ เตบิ โตขัน้ ที่สองเปน็ เน้อื เยื่อคอร์ก

ภำพ กำรเกิดเนื้อเยอ่ื คอรก์
ทม่ี า : http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html

ใน 1 ปี วาสควิ ลาร์แคมเบยี มจะมีการแบ่งเซลลเ์ พมิ่ ข้ึนตามจานวนมากน้อยตา่ งกนั ในแตล่ ะฤดู ซง่ึ ข้นึ จะ
ขึน้ อยกู่ ับปรมิ าณน้าและอาหาร เซลลช์ ัน้ ไซเลม็ ทีส่ ร้างขึน้ ในฤดูฝนจะเจรญิ เรว็ มีขนาดใหญ่ทาให้ไซเล็มกวา้ งและ
มกั มสี ีจาง สว่ นในฤดูแล้งจะไดเ้ ซลล์ขนาดเล็กมีสเี ข้ม ลกั ษณะดงั กลา่ วทาให้เนื้อไม้มีสจี าง และสีเข้มสลับกนั
มองเห็นเป็นวง เรยี กว่า วงปี (annual ring)

ภาพ วงปี ทาี่ : http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html
แก่นไม้ (heart wood) มาจากไซเลม็ ขนั้ ต้นทด่ี ้านทีอ่ ยใู่ นสดุ ของลาต้นหรือรากที่มอี ายมุ ากแล้วอดุ ตนั
กระพไี ้ ม้ (sapwood) คอื ไซเลม็ ท่ีอยรู่ อบนอกซง่ึ มสี จี างกวา่ ชนั้ ในทาหน้าที่ลาเลยี งนา้
เนอื ้ ไม้ (wood) คอื เนอื ้ เย่อื ไซเลม็ ทงั้ หมด (กระพไี ้ ม้+ แก่นไม้)
เปลอื กไม้ (bark) คอื สว่ นที่อยถู่ ดั จากวาสควิ ลาร์แคมเบียม ออกมา ประกอบด้วย โฟลเอม็ ขนั้ ท่ี 2 ทาหน้าที่ลาเลยี งอาหาร
,คอร์กแคมเบียม, คอร์ก

ภำพโครงสร้ำงลำต้นท่มี กี ำรเจริญข้ันที่สอง

ตำรำงแสดงควำมแตกต่ำงระหว่ำงลำตน้ พืชใบเลยี้ งค่กู บั ลำตน้ พชื ใบเลยี้ งเดี่ยว

ลำต้นพืชใบเลย้ี งเด่ียว ลำต้นพืชใบเล้ยี งคู่

1. มีข้อและปล้องเหน็ ได้ชัดเจน 1. เหน็ ได้ไมช่ ัดเจนนัก

2. ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา 2. มีกง่ิ ก้านสาขามาก

3.มัดท่อน้าทอ่ อาหารกระจายไปท่วั ลาต้น 3. มัดท่อนา้ ท่ออาหารเรียงตัวเป็นวงรอบลาต้น

4. ส่วนมากไมม่ ีแคมเบยี ม 4. ส่วนมากมแี คมเบยี ม นอกจากพชื ล้มลกุ บาง

5. ส่วนมากไมม่ ีการเจริญขั้นท่สี อง ชนิดไม่มี

6. สว่ นมากไม่มีวงปี 5. ส่วนมากมกี ารเจรญิ ขัน้ ทสี่ องและเจรญิ ไป

7. โฟลเอ็มและไซเลม็ มีอายุการในการทางาน เร่ือยๆสัมพันธก์ บั ความสูง

6. สว่ นมากมวี งปี

7. โฟลเอ็มและไซเล็มมอี ายุการทางานสั้น แต่จะ

มีการสรา้ งข้นึ มาทดแทนอยเู่ รื่อยๆโดยแคมเบียม

หน้ำท่แี ละชนิดของลำต้น

ลาต้นนอกจากจะทาหน้าทส่ี ร้างใบและก่ิง ยงั ช่วยพยุง

กิ่งก้านสาขา ชใู บกางออกเพอ่ื รับแสง

เพราะแสงแดดเปน็ ส่ิงจาเปน็ อยา่ งยง่ิ ต่อการสร้างอาหารของใบและการ

สร้างดอก ลาต้นยังมหี นา้ ท่ีสาคัญอีกอย่างหน่งึ คือ ลาเลยี งน้า ธาตุ

อาหารและสารต่างๆที่พืชสร้าง สง่ ผา่ นไปยงั ส่วนตา่ งๆ นอกจากนีล้ าตน้

อาจมีหนา้ ทีพ่ เิ ศษอนื่ ๆ อกี บางส่วนของลาตน้ เปลย่ี นแปลงไป บางชนิดเปลยี่ นเป็นหนาม เช่น
มะนาว ส้ม เฟอื่ งฟา้ บางชนิดเปล่ียนไปเป็นมือเกาะ เชน่ พวงชมพู องุ่น

พืชท่ีเจริญในที่แห้งแล้งและอุณหภมู สิ ูง จะมวี ิวฒั นาการของใบเปลย่ี นไปเปน็ หนาม ลาต้นอวบนา้
ทลี่ าต้นมีคลอโรฟิลลใ์ ช้สงั เคราะห์แสงแทนใบ เชน่ กระบองเพชร พญาไร้ใบ

พืชบางชนดิ ลาตน้ อยใู่ ต้ดนิ ทาใหเ้ ขา้ ใจผดิ ว่าลาตน้ เป็นราก ลาตน้ เหล่านีม้ ีรากเลก็ ๆ งอกออกมา
คลา้ ยกับรากแขนงที่แตกออกมาจากรากแกว้ ลาตน้ ใตด้ ินจะมีตา ข้อปลอ้ งและใบเกลด็ คลุมตา เชน่ เผือก มัน
ฝร่ัง แห้ว ขิง ขา่

ภาพ : มนั ฝร่ังและขงิ
ท่มี า : http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/image%20stem/tuber.jpg


Click to View FlipBook Version