การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้ แบบเรียนรวมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) เมธิกานต์ อยู่เชื้อ วิทยานิพนธ์เสนอคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตร ปริญญาการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มีนาคม 2566 ลิขสิทธิ์เป็นของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
วิทยานิพนธ์ เรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง)” ของ นางสาวเมธิกานต์ อยู่เชื้อ ได้รับการพิจารณาให้นับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ……………………………….........………...........................…อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ (ผศ.ดร.อัจฉรา ศรีพันธ์)
ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมของนักเรียนที่มีความ ต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) ผู้วิจัย เมธิกานต์ อยู่เชื้อ อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.ณัฐเชษฐ์ พูลเจริญ ผศ.ดร.อัจฉรา ศรีพันธ์ ประเภทสารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ กศ.บ. สาขาวิชาคณิตศาสตร์, มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2566 คำสำคัญ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้และศึกษาพฤติกรรม รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) โดยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี 4/2 จำนวน 2 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้และแบบสังเกตพฤติกรรม ดำเนินการทดลองโดย ทดสอบก่อนเรียนและ ดำเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม ระหว่าง ดำเนินการสอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษและทำการทดสอบหลังเรียน วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติได้แก่ ค่าเฉลี่ย, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า ผลการหาความ เหมาะสมของการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และผลการศึกษาพฤติกรรมของ นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ของ ด.ช A และ ด.ช B อยู่ในระดับพอใช้และระดับดีตามลำดับ
ประกาศคุณูปการ งานวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงไปได้เพราะได้รับความกรุณาอย่างยิ่งจาก ผศ.ดร.ณัฐเชษฐ์ พูลเจริญ และผศ.ดร. อัจฉรา ศรีพันธ์อาจารย์ที่ปรึกษา และนางสาวเฉลิมขวัญ จุ้ยสีแก้ว คุณครูพี่เลี้ยง ที่เสียสละเวลาให้คำปรึกษา แนะนำ ช่วยเหลือและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆมาโดยตลอด จนทำให้ผู้วิจัยได้มีความรู้ ความเข้าใจในการทำ วิจัยมากยิ่งขึ้น ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณครอบครัว และเพื่อนๆนิสิตทุกคนที่ได้ให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ คอยให้ กำลังใจ ห่วงใย และเป็นแรงสนับสนุนทำให้การวิจัยครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ คุณค่าหรือประโยชน์ใดๆที่เกิด จากวิจัยนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องมือบูชาพระคุณของบิดา มารดา ครู อาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทุกท่าน เมธิกานต์ อยู่เชื้อ
สารบัญ บทที่ หน้า 1 บทนำ………………………………………………………………………………………….…………..………..……………....……1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา………………………………………………………………………….….……1 วัตถุประสงค์ของกาวิจัย………………………………………………………………………………………………….…..…3 สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………….….…..…3 ขอบเขตของการวิจัย………………………………………………………………………………………………….…...…….4 นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………………………………….…………….…..……5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ……………………………………………………………………………………………....……5 กรอบแนวคิดของการวิจัย……………………………………………………………………………………………….……..5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………..……………..….…6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) รายวิชา คณิตศาสตร์……………………………………………………………………………………………………………...…….……8 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์……………………………………………….....….11 เด็กที่มีความต้องการพิเศษ……………………………………………………………………………………………...……22 การจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม………………………………………………………………………………………..…..49 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้……………………………………………………………………………………………..….…..60 พฤติกรรม…………………………………………………………………………………………………………………………..66 วิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………………………………..………..…..73 3 วิธีดำเนินการวิจัย……………………………………………..………………………….…………………………….………….77 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง……………………………………………………………………………………………...…..77 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย……………………………………………………………………………………………….….….77 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………..….….….78 การเก็บรวบรวมข้อมูล……………………………………………………………………………………………………..….83
บทที่ หน้า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………………………..……84 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.........................................................................................................................87 ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม…………………………………………………………..87 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้....................................................................88 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาพฤติกรรม......................................................................................... .............88 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……………………………………………………….……………..………..…..91 สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………………………………….….…….…..…91 อภิปรายผล…………………………………………………………………………………………………….…………....……92 ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………..…….……..….95 บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………………………..…...96 ภาคนวก………………………………………………………………………………………………………………………………….102 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย………………………………………………..……103 ภาคผนวก ข เครื่องมือการวิจัย……………………………………………………………………………………...….105 ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์หาคุณภาพเครื่องมือ……………………………………………………..…..….280 ประวัติผู้วิจัย……………………………………………………………………………………………………………………..….…290
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องทศนิยม จำนวน 14 แผน เวลา 24 ชั่วโมง…………………………………….….78 2 มาตรฐานการเรียนรู้กับตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ของแบบทดสอบก่อนเรียน ลักษณะปรนัย จำนวน 10 ข้อ.............................................................................................................80 3 มาตรฐานการเรียนรู้กับตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ของแบบทดสอบก่อนเรียน ลักษณะอัตนัย จำนวน 3 ข้อ…………………………………………………………………………………………………..81 4 มาตรฐานการเรียนรู้กับตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ของแบบทดสอบหลังเรียน ลักษณะอัตนัยจำนวน 5 ข้อ................................................................................................................81 5 ผลการหาความเหมาะสมของการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม ของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง)……………………………………………………………………………………………………….….……..87 6 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการ เรียนรู้แบบเรียนรวมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน…………………….…………….…..…88 7 ผลการศึกษาพฤติกรรม รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม ของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) ของ ด.ช.A…………………………………………………………………………………………….…..…88 8 ผลการศึกษาพฤติกรรม รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม ของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) ของ ด.ช.B………………………………………………………………………………………………….…89
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เยาวชนทุกคนคือกำลังสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติของเราเจริญก้าวหน้า การวางรากฐานการศึกษาที่ มั่นคงให้แก่เยาวชนของชาติ เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีการปรับตัว พร้อมรับมือกับปัญหาและความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่จะเข้ามา การได้รับ การศึกษาที่ดีจะทำให้เยาวชนเติบโตมาอย่างมีภูมิคุ้มกัน มีความรู้และความสามารถมาใช้ในการประกอบอาชีพ ทำ ให้สามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้ มนุษย์ทุกคนถึงแม้จะเกิดมามีความแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกคน นั้นสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุขคือการที่เราปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม ทุกคนต่างมีสิทธิและ เสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย คนชรา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่มีความต้องการพิเศษ ทุกคนล้วนเป็นพลเมือง ที่สำคัญของประเทศชาติที่สมควรจะได้รับการศึกษาที่ดีทั้งสิ้น ซึ่งถ้าเราพูดถึงกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ หรือที่เราเรียกกันว่า เด็กพิเศษ บุคคลเหล่านี้ก็เป็นเยาวชนของชาติที่สำคัญกลุ่มหนึ่ง ที่จะช่วยขับเคลื่อน ประเทศชาติของเราให้เจริญก้าวหน้าได้ ถ้าได้รับการศึกษาอย่างถูกต้อง โดยพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 ได้ระบุเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ทางการศึกษาและแนวทางการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษไว้ ดังนี้ หมวด 2 สิทธิ และหน้าที่ทางการศึกษา มาตรา 10 การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับ การศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย โดยระบุ เกี่ยวกับการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษไว้ว่า การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความ บกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพล ภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาส ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ โดยมีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อบริการ และความช่วยเหลืออื่นใด ทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดกฎในกระทรวง ทั้งยังระบุเกี่ยวกับรูปแบบของการจัดการศึกษา สำหรับบุคคลที่มีความพิเศษว่าต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น (จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์, 2559, 30) เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หรือ เด็กพิเศษ คือ บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่มีลักษณะแตกต่างจากเด็ก ปกติทั่วไปในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์หรือสังคม ซึ่งมีความต้องการจำเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือเป็น พิเศษด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้ได้รับการพัฒนา สามารถเรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ตลอดจนดำรง ตนอยู่ในสังคมได้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล (จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์, 2559, 3) ซึ่งการจัดการศึกษาใน
2 ปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มบุคคลนี้มากขึ้น โดยลักษณะการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลกลุ่มนี้จะมีด้วยกันอยู่ 2 ลักษณะคือ การจัดการเรียนรู้แบบเรียนร่วม (Inclusive Education) และการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม (Integrative Education) ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบเรียนร่วม เป็นการจัดการศึกษาให้เด็กที่มีความต้องการจำเป็น พิเศษ มีโอกาสเข้าไปในระบบการศึกษาปกติ โดยเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ได้เรียนและทำ กิจกรรมร่วมกับเด็กทั่วไป โดยมีครูทั่วไปและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือและรับผิดชอบร่วมกัน สามารถทำได้หลาย ลักษณะ ส่วนการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม เป็นการจัดให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวมกับเด็กทั่วไปในชั้น เรียนของโรงเรียนทั่วไป ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม เด็กจะเป็นผู้เลือกโรงเรียนเอง ไม่ใช่โรงเรียนเลือกรับ เด็กเหมือนอย่างเช่นการจัดการเรียนรู้แบบเรียนร่วม โดยครูและโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนเพื่อ สนองตอบความต้องการของนักเรียนทุกคน และเฉพาะบุคคลได้(จินตหรา เขาวงค์, 2553) อีกทั้งจะเห็นได้ว่าใน ปัจจุบันประเทศไทยก็ได้มีโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะหลายแห่งที่มีความพร้อมและสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับเด็กแต่ละประเภท เพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเด็กพิเศษก็เป็นเยาวชนกลุ่ม หนึ่ง ถ้าได้รับการศึกษาที่ดีและถูกต้อง พวกเขาก็จะสามารถเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สามารถดำรงชีวิตอยู่ ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้ไม่ต่างไปจากเด็กปกติทั่วไป โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) ก็เป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่เปิดโอกาสให้กับเด็กทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ปกติทั่วไป เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หรือเด็กด้อยโอกาส นักเรียนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาทั้งสิ้น ภายใต้ การดูแลของคุณครูภายในโรงเรียนและความร่วมมือของผู้ปกครอง โดยโรงเรียนเปรียบเสมือนเป็นบ้านที่อบอุ่นและ ปลอดภัย มุ่งสร้างปัญญาภายในโดยใช้รูปแบบ Active Learning มุ่งสู่การเป็นโรงเรียนนวัตกรรม โดยมุ่งเน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ในปัจจุบันวิชาคณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักใช้ความคิด มีการคิดอย่างเป็น เหตุผล สร้างกระบวนการเรียนรู้ และการคิดอย่างเป็นระบบ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดอย่างสร้างสรรค์ สามารถ วิเคราะห์ปัญหาสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน ละเอียด และ รอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังสามารถเชื่อมโยงไปยัง ศาสตร์อื่นๆ เป็นรากฐานสำคัญ นำไปสู่การพัฒนาความคิด และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ การสร้างทักษะทางคณิตศาสตร์ที่ดีผ่านการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมให้กับนักเรียนที่มีความต้องการ พิเศษเป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับนำมาประยุกต์ใช้ในห้องเรียนของโรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) มากที่สุด เพราะวิธีการจัดการเรียนรวมนี้เป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นและมีบรรยากาศที่เป็นจริงตามสภาพสังคมในปัจจุบัน โรงเรียน เทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) เป็นโรงเรียนที่ผู้ปกครองส่งลูกหลานมาเรียนเพราะโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ภายในตัวเมือง
3 พิษณุโลกที่เปิดรับเด็กทุกประเภท เด็กส่วนใหญ่จะเป็นเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาส มีทั้งเด็กที่เรียนเก่ง เด็กที่ เรียนอ่อน รวมไปถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งภายใต้สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นนี้ ครูจะต้องมีการจัดการเรียน การสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนทุกคน ถึงแม้เด็กแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันตามศักยภาพในการเรียนรู้ แต่ นักเรียนก็ไม่ได้รู้สึกถึงความแบ่งแยก เพราะทุกคนต่างก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกันโดยการให้ความร่วมมือช่วยเหลือกัน ของคุณครู และเพื่อนคนอื่นๆภายในชั้นเรียน นอกจากจะทำให้นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษได้รับความรู้แล้ว ยัง เป็นการฝึกให้นักเรียนอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอีกด้วย ผู้วิจัยจึงได้คิดที่จะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยจัดทำแผนการ จัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษและนักเรียนปกติ ผ่านเทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบเรียนรวม เพื่อให้นักเรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม ได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้อย่าง มีประสิทธิภาพ และศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน เทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) เพื่อสังเกตพฤติกรรมที่นักเรียนแสดงออกในชั้นเรียน เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ ในครั้งต่อไป และช่วยสร้างเจตคติที่ดีในวิชาคณิตศาสตร์ให้กับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษและนักเรียนปกติ ทั่วไปในการเรียนรวมกัน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม ของนักเรียนที่มีความ ต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้ แบบเรียนรวมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่า มะปราง) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3. เพื่อศึกษาพฤติกรรม รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม ของ นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) สมมติฐาน 1. นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน
4 2. นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) มี คะแนนพฤติกรรม รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมอยู่ในระดับดี ขอบเขตของการวิจัย 1. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน เทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 34 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน เทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) โดยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี 4/2 จำนวน 2 คน 2. ขอบเขตด้านตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม ตัวแปรตาม คือ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ 2. คะแนนพฤติกรรม 3. ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา ผู้วิจัยได้กำหนดเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 บทที่ 7 ทศนิยม ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 4. ขอบเขตด้านระยะเวลา ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 เป็นเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ชั่วโมง เป็นเวลาทั้งหมด 24 ชั่วโมง 5. ขอบเขตด้านพื้นที่ โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) เลขที่ 226 ถนนบรมไตรโลกนารถ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง พิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก รหัสไปรษณีย์ 65000
5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีลักษณะต่างจากเด็กปกติทั่วไป มีหลายประเภทและมี พฤติกรรมต่างกัน ที่ต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือตามความเหมาะสมตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ในการพัฒนาทั้ง ทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เพื่อให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษนี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนใน สังคมได้อย่างมีความสุข 2. การจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม หมายถึง การจัดกิจกรรมทางการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้กับนักเรียน ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเด็กปกติทั่วไป และเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งครูจะต้อง มีการจัดรูปแบบการเรียนการสอน เทคนิค วิธีการต่างๆ ที่เหมาะสมกับนักเรียนทุกคนในการเรียนรวมกันในชั้น เรียนปกติ สามารถทำให้นักเรียนทุกคนได้รับความรู้ตามศักยภาพและความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่และมี ประสิทธิภาพ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ หมายถึง ผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่ได้รับจากกระบวนการ การจัดการ เรียนรู้ของครู ผ่านวิธีการวัดและประเมินผลตามความเหมาะสม ซึ่งเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถของ นักเรียนที่ได้รับหลังจากการจัดการเรียนการสอน 4. พฤติกรรม หมายถึง การกระทำ การแสดงออกของมนุษย์เพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่อยู่รอบตัว ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมดีขึ้น 2. ครูผู้สอนได้รับองค์ความรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม 3. เป็นข้อมูลสำหรับผู้บริหารในการนำการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม ไปชี้แนะให้กับครูในโรงเรียนได้ ลองปรับใช้กับวิชาอื่นๆ กรอบแนวคิดของการวิจัย การจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม 1. ขั้นนำ 2. ขั้นสอน 3. ขั้นสรุป 4. ขั้นประเมินผล ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คะแนนพฤติกรรม
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้ แบบเรียนรวมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่า มะปราง) ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) รายวิชา คณิตศาสตร์ 1.1 ความสำคัญของคณิตศาสตร์ 1.2 การเรียนรู้คณิตศาสตร์ 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 1.4 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ 1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ในการเรียนคณิตศาสตร์ 1.6 คุณภาพผู้เรียน 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2.1 ความหมายและลักษณะสำคัญของคณิตศาสตร์ 2.2 หลักการสอนคณิตศาสตร์ 2.3 การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2.4 คณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา 3. เด็กที่มีความต้องการพิเศษ 3.1 ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 3.2 ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 3.3 หลักการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ
7 3.4 วิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ 4. การจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม 4.1 ความหมายการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม 4.2 หลักการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม 4.3 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม 4.4 เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวม 5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ 5.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ 5.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ 5.3 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ 6. พฤติกรรม 6.1 ความหมายพฤติกรรม 6.2 การจัดการพฤติกรรมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ 6.3 ความหมายการสังเกตพฤติกรรม 6.4 หลักการสังเกตพฤติกรรม 7. วิจัยที่เกี่ยวข้อง
8 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) รายวิชาคณิตศาสตร์ 1.1 ความสำคัญของคณิตศาสตร์ วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ (2557) การที่คณิตศาสตร์มีความสำคัญ เพราะคณิตศาสตร์ไม่ใช่แค่การคำนวณ แต่ คณิตศาสตร์คือกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล เป็นขั้นตอน เพื่อใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ซับซ้อน ถ้าเด็กมีความสามารถ คิดอย่างคณิตศาสตร์ได้จะทำให้เป็นคนที่มีคุณภาพ เพราะรู้จักคิดวิเคราะห์ มีเหตุผล รู้จักการนำความรู้ไป แก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตและการทำงาน คณิตศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่มีค่าต่อการพัฒนาคุณภาพของประชาชนทุกชาติ เพราะคณิตศาสตร์ไม่ใช่แค่เรื่องของงานด้านการแพทย์ วิศวะ แม้งานด้านธุรกิจ จิตวิทยา การวิจัยค้นหาความจริง ในศาสตร์ต่าง ๆ ทุกด้าน รวมทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน คณิตศาสตร์ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น กระทรวงศึกษาธิการ (2561 ) คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถ วิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจแก้ปัญหา ได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็น เครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และศาสตร์อื่นๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากร บุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึง จำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญ ช่วยให้มนุษย์เกิดการคิดอย่างมีเหตุผล คิดอย่างสร้างสรรค์ มีระบบ แบบแผน มีความเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน และสามารถนำไปต่อยอด เป็นประโยชน์ต่อทางด้านวิชาการ การศึกษามากมาย 1.2 การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดสาระพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนทุกคนไว้ 3 สาระ ได้แก่ จำนวนและพีชคณิต ระบบจำนวนจริง สมบัติเกี่ยวกับจำนวนจริง อัตราส่วน ร้อยละ การประมาณค่า การ แก้ปัญหาเกี่ยวกับจำนวน การใช้จำนวนในชีวิตจริง แบบรูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน เซต ตรรกศาสตร์ นิพจน์ เอก นาม พหุนาม สมการ ระบบสมการ อสมการ กราฟ ดอกเบี้ยและมูลค่าของเงิน เมทริกซ์ จำนวนเชิงซ้อน ลำดับ และอนุกรม และการนำความรู้เกี่ยวกับจำนวนและพีชคณิตไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
9 การวัดและเรขาคณิต ความยาว ระยะทาง น้ำหนัก พื้นที่ ปริมาตรและความจุ เงินและเวลา หน่วยวัด ระบบต่างๆ การคาดคะเนเกี่ยวกับการวัด อัตราส่วนตรีโกณมิติ รูปเรขาคณิตและสมบัติของรูปเรขาคณิต การนึก ภาพ แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ทฤษฎีบททางเรขาคณิต การแปลงทางเรขาคณิตในเรื่องการเลื่อนขนาน การ สะท้อน การหมุน เรขาคณิตวิเคราะห์ เวกเตอร์ในสามมิติ และการนำความรู้เกี่ยวกับการวัดและเรขาคณิตไปใช้ใน สถานการณ์ต่างๆ สถิติและความน่าจะเป็น การตั้งคำถามทางสถิติ การเก็บรวบรวมข้อมูล การคำนวณค่าสถิติ การนำเสนอ และแปลผลสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ หลักการนับเบื้องต้น ความน่าจะเป็น การแจกแจงของตัว แปรสุ่ม การใช้ความรู้เกี่ยวกับสถิติและความน่าจะเป็นในการอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ และช่วยในการตัดสินใจ 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การดำเนินการของ จำนวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติของการดำเนินการ และนำไปใช้ มาตรฐาน ค 1.2 เข้าใจและวิเคราะห์แบบรูป ความสัมพันธ์ ลำดับและอนุกรม และนำไปใช้ มาตรฐาน ค 1.3 ใช้นิพจน์ สมการ และอสมการ อธิบายความสัมพันธ์ หรือช่วยแก้ปัญหาที่ กำหนด สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณิต มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัดและคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัด และ นำไปใช้ มาตรฐาน ค 2.2 เข้าใจและวิเคราะห์รูปเรขาคณิต สมบัติของรูปเรขาคณิต ความสัมพันธ์ระหว่าง รูปเรขาคณิตและทฤษฎีบททางเรขาคณิต และนำไปใช้ สาระที่ 3 สถิติและความน่าจะเป็น มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา มาตรฐาน ค 3.2 เข้าใจหลักการนับเบื้องต้น ความน่าจะเป็น และนำไปใช้
10 1.4 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์เป็นความสามารถที่จะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้สิ่ง ต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ในที่นี้ เน้นที่ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็น และต้องการพัฒนาให้เกิดขึ้นกับนักเรียน ได้แก่ความสามารถต่อไปนี้ 1. การแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการทำความเข้าใจปัญหา คิดวิเคราะห์ วางแผนแก้ปัญหา และ เลือกใช้วิธีการที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบพร้อมทั้งตรวจสอบความถูกต้อง 2. การสื่อสารและการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ เป็นความสามารถในการใช้รูป ภาษาและสัญลักษณ์ ทางคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร สื่อความหมาย สรุปผล และนำเสนอได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน 3. การเชื่อมโยง เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ทางคณิตสาสตร์เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เนื้อหาต่างๆ หรือศาสตร์อื่นๆ และนำไปใช้ในชีวิตจริง 4. การให้เหตุผล เป็นความสามารถในการให้เหตุผล รับฟังและให้เหตุผลสนับสนุนหรือโต้แย้ง เพื่อนำไปสู่ การสรุป โดยมีข้อเท็จจริงทางคณิตศาสตร์ยอมรับ 5. การคิดสร้างสรรค์ เป็นความสามารถในการขยายแนวคิดที่มีอยู่เดิม หรือสร้างแนวคิดใหม่เพื่อปรับปรุง พัฒนาองค์ความรู้ 1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ในการเรียนคณิตศาสตร์ การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ควรมุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ต่อไปนี้ 1. ทำความเข้าใจหรือสร้างกรณีทั่วไปโดยใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษากรณีตัวอย่างหลายๆกรณี 2. มองเห็นว่าความสามารถใช้คณิตศาสตร์แก้ปัญหาในชีวิตจริงได้ 3. มีความมุมานะในการทำความเข้าใจปัญหาและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 4. สร้างเหตุผลเพื่อสนับสนุนแนวคิดของตนเองหรือโต้แย้งแนวคิดของผู้อื่นอย่างสมเหตุสมผล 5. ค้นหาลักษณะที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และประยุกต์ใช้ลักษณะดังกล่าวเพื่อทำความเข้าใจหรือแก้ปัญหาใน สถานการณ์ต่างๆ
11 1.6 คุณภาพผู้เรียน เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1. อ่าน เขียนตัวเลข ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับไม่เกิน 100,000 และ 0 มีความรู้สึกเชิงจำนวน มีทักษะ การบวก การลบ การคูณ การหาร และนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 2. มีความรู้สึกเชิงจำนวนเกี่ยวกับเศษส่วนที่ไม่เกิน 1 มีทักษะการบวก การลบ เศษส่วนที่ตัวส่วนเท่ากัน และนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 3. คาดคะเนและวัดความยาว น้ำหนัก ปริมาตร ความจุ เลือกใช้เครื่องมือและหน่วยที่เหมาะสม บอกเวลา บอกจำนวนเงิน และนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 4. จำแนกและบอกลักษณะของรูปหลายเหลี่ยม วงกลม วงรี ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ทรงกลม ทรงกระบอก และกรวย เขียนรูปหลายเหลี่ยม วงกลมและวงรีโดยใช้แบบของรูป ระบุรูปเรขาคณิตที่มีแกนสมมาตรและจำนวน แกนสมมาตร และนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 5. อ่านและเขียนแผนภูมิรูปภาพ ตารางทางเดียว และนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 1. อ่าน เขียนตัวเลข ตัวหนังสือแสดงจำนวนนับ เศษส่วน ทศนิยมไม่เกิน 3 ตำแหน่ง อัตราส่วน และร้อย ละ มีความรู้สึกเชิงจำนวน มีทักษะการบวก การลบ การคูณ การหาร ประมาณผลลัพธ์ และนำไปใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ 2. อธิบายลักษณะและสมบัติของรูปเรขาคณิต หาความยาวรอบรูปและพื้นที่ของรูปเรขาคณิต สร้างรูป สามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยมและวงกลม หาปริมาตรและความจุของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก และนำไปใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ 3. นำเสนอข้อมูลในรูปแผนภูมิแท่ง ใช้ข้อมูลจากแผนภูมิแท่ง แผนภูมิรูปวงกลม ตารางสองทาง และกราฟ เส้นในการอธิบายเหตุการณ์ต่างๆและตัดสินใจ 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2.1 ความหมายและลักษณะสำคัญของคณิตศาสตร์
12 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2555 ได้ให้ความหมายของคณิตศาสตร์ว่า วิชาว่าด้วย การคำนวณ ทศชิต บรรลุศิลป์(2554) คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นนามธรรม มีโครงสร้างประกอบด้วยคำที่เป็น อนิยาม บทนิยาม สัจพจน์ และพัฒนาทฤษฎีบทต่างๆ โดยอาศัยการให้เหตุผลอย่างสมเหตุสมผล ปราศจากข้อขัดแย้งใดๆ คณิตศาสตร์เป็นระบบที่คงเส้นคงวา มีความถูกต้อง เที่ยงตรงมีความเป็นอิสระและมีความสมบูรณ์ในตัวเอง คณิตศาสตร์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับแบบรูปและความสัมพันธ์คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็น ภาษาสากลที่ทุกคนเข้าใจตรงกันในการสื่อสาร สื่อความหมาย และถ่ายทอดความรู้ระหว่างศาสตร์ต่าง ๆ จึงสรุป ลักษณะของคณิตศาสตร์ ดังนี้ 1. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับแนวความคิด ( Concept ) คือการสรุปข้อคิดที่เหมือนกัน 2. คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นนามธรรม ( Abstract ) เป็นเรื่องของความคิด 3. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ใช้สัญลักษณ์ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนความคิดเป็นเครื่องมือที่ใช้ฝึกสมองช่วยให้เกิด การคิดคำนวณ การแก้ปัญหา การพิสูจน์ คือ + – × 4. คณิตศาสตร์เป็นภาษาอย่างหนึ่งมีการกำหนดสัญลักษณ์ที่รัดกุมสื่อความหมายที่ถูกต้องเพี่อแสดง ความหมายแทนความคิด เช่น 5 - 2 = 3 ทุกคนมีความเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงอะไร จะได้คำตอบเป็นอย่าง เดียวกัน 5. คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นตรรกศาสตร์ มีการแสดงเป็นเหตุเป็นผลต่อกันทุกขั้นตอนของความคิด มี ความสัมพันธ์กัน เช่น 2 × 3 = 6 และ 3 × 2 = 6 เพราะฉะนั้น 2 × 3 = 3 × 2 6. คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นปรนัยอยู่ในตัวเอง มีความถูกต้องเที่ยงตรงสามารถพิสูจน์หรือทดสอบได้ด้วย หลักเหตุผล และการใช้กฎเกณฑ์ที่แน่นอน 7. คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ โดยสร้างแบบจำลองและศึกษาความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ ต่างๆ มีการพิสูจน์ ทดลอง หรือสรุปอย่างมีเหตุผล ตามความจริง 8. คณิตศาสตร์เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ความงามของคณิตศาสตร์คือความมีระเบียบแบบแผน และความ กลมกลืนที่เกิดขึ้นภายใน 9. คณิตศาสตร์มีความเป็นกรณีทั่วไป ( Generalization ) เป็นวิชาที่มุ่งจะหากรณีทั่วไปของสิ่งต่างๆ แทนที่จะหากรณีเฉพาะเท่านั้น เช่น เมื่อ 2 × 3 = 3 × 2 กรณีทั่วไปจะได้ว่า
13 10. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีโครงสร้าง โครงสร้างของวิชาคณิตศาสตร์ในรูปที่สมบูรณ์แล้วจะเริ่มด้วย ธรรมชาติ ซึ่งอาจจะเป็นทางฟิสิกส์ ชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา ฯลฯ เราพิจารณาเนื้อหาเหล่านี้แล้วสรุปในรูป นามธรรม สร้างแบบจำลองทางคณิตสาสตร์ของเนื้อหานั้นๆ จากนั้นจะใช้ตรรกวิทยาสรุปผลเป็นกฎหรือทฤษฏี และนำผลเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในธรรมชาติต่อไป ชไมพร บุญสวัสดิ์ (2557) นักคณิตศาสตร์ได้ให้ความหมายว่า "เมื่อมนุษย์เริ่มมีการสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว พวกเขาเกิดความสงสัยในสิ่งรอบตัวเขา ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงพยายามหาเหตุผลที่จะอธิบายสิ่ง เหล่านั้นอย่างเป็น ขั้นตอน และ เป็นระบบ" จากนั้นพยายามสร้างสัญลักษณ์เพื่อทำให้คำอธิบายเป็นรูปธรรมและ สื่อสารให้พวกเขาเข้าใจตรงกัน สิ่งเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของวิชา คณิตศาสตร์ ดังนั้นจึงสามารถสรุปลักษณะ สำคัญของวิชา คณิตศาสตร์ ได้ดังนี้ 1. วิชาคณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผล เราใช้ คณิตศาสตร์ พิสูจน์อย่างมีเหตุผลว่าสิ่งที่เราคิด ขึ้นนั้น เป็นจริงหรือไม่ คณิตศาสตร์ ช่วยให้คนเป็นผู้มีเหตุผล เป็นคนใฝ่หาความรู้ ตลอดจนพยายามคิดค้นสิ่งที่ แปลกและใหม่ ฉะนั้น คณิตศาสตร์ จึงเป็นพื้นฐานแห่งความเจริญของเทคโนโลยีด้านต่างๆ 2. วิชาคณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่เกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ มนุษย์สร้างสัญลักษณ์แทนความคิดนั้นๆ และ สร้างกฎในการนำสัญลักษณ์มาใช้ เพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจตรงกัน คณิตศาสตร์ จึงมีภาษาเฉพาะของตัวมันเอง เป็นภาษาที่กำหนดขึ้นด้วยสัญลักษณ์ที่รัดกุมและสื่อความหมายได้ถูกต้อง เป็นภาษาที่มีตัวอักษร ตัวเลข และ สัญลักษณ์แบบความคิด เป็นภาษาที่ทุกชาติที่เรียน คณิตศาสตร์ จะเข้าใจตรงกัน เช่น a + 3 = 15 ทุกคนที่เข้าใจ คณิตศาสตร์ จะอ่านประโยคสัญลักษณ์นี้ได้และเข้าใจความหมายตรงกัน 3. คณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่มีรูปแบบ เราจะเห็นว่าการคิดทาง คณิตศาสตร์ นั้นจะต้องมีแบบแผน มีรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ทุกขั้นตอนจะตอบได้และจำแนกออกมาให้เห็นได้จริง 4. คณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่มีโครงสร้าง คณิตศาสตร์ จะเริ่มต้นด้วยเรื่องง่ายก่อน เช่น เริ่มต้นด้วยการบวก การลบ การคูณ การหาร เรื่องง่ายๆ นี้จะเป็นพื้นฐานนำไปสู่เรื่องอื่นๆ ต่อไป เช่น เรื่องเศษส่วน ทศนิยม ร้อยละ เป็นต้น 5. คณิตศาสตร์ เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เช่น เดียวกับศิลปะอื่นๆ ความงามของ คณิตศาสตร์ ก็คือ ความมี ระเบียบและความกลมกลืน นัก คณิตศาสตร์ ได้พยายามแสดงความคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ มี ความคิดริเริ่มที่จะแสดงความคิดใหม่ๆ และแสดงโครงสร้างใหม่ๆ ทาง คณิตศาสตร์ ออกมา
14 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2556) กล่าวว่า คณิตศาสตร์มีโครงสร้าง ซึ่ง ประกอบด้วยคำอธิบาย บทนิยาม สัจพจน์ ที่เป็นข้อตกลงเบื้องต้น จากนั้นจึงใช้การให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลสร้าง ทฤษฎีบทต่างๆขึ้น และนำไปใช้อย่างเป็นระบบ คณิตศาสตร์มีความถูกต้อง เที่ยงตรง คงเส้นคงวา มีระเบียบแบบ แผน และมีความสมบูรณ์ในตนเอง คณิตศาสตร์จึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบและความสัมพันธ์ โดยอาจสร้างข้อความคาดการณ์จากการสังเกต การปฏิบัติหรือแก้ปัญหาซ้ำๆ และตรวจสอบการคาดการณ์ เพื่อให้ ได้ข้อสรุปและนำไปใช้ประโยชน์ คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นภาษาสากลที่ทุกคนเข้าใจตรงกันในการสื่อสาร สื่อ ความหมาย และถ่ายทอดความรู้ระหว่างศาสตร์ต่างๆ สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่มีลักษณะเป็นนามธรรม เกี่ยวกับการคิด มีโครงสร้างที่เป็นข้อตกลง เบื้องต้น สามารถนำไปใช้ได้อย่างเป็นระบบ มีความเป็นเหตุเป็นผล ถูกต้องเที่ยงตรง มีความเป็นสากลที่สามารถ อธิบาย และสื่อออกไปให้ทุกคนเข้าใจตรงกันได้ และเป็นรากฐานของศาสตร์อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจำวัน 2.2 หลักการสอนคณิตศาสตร์ ในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เพื่อให้นักเรียนประสบผลสำเร็จได้นั้น ไม่เพียงแต่ครูผู้สอนจะมี ความความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาและวิธีสอนอย่างดียิ่งเท่านั้น ครูผู้สอนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับหลักการ สอนเป็นอย่างดีด้วย เพื่อจะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น วัชรี กาญจน์กีรติ(2554) ได้กล่าวถึง หลักการสอนคณิตศาสตร์ที่สำคัญคือ 1. สอนให้ผู้เรียนเกิดมโนทัศน์หรือได้ความรู้ทางคณิตศาสตร์จากการคิดและมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม กับผู้อื่น ใช้ความคิดและคำถามที่นักเรียนสงสัยเป็นประเด็นในการอภิปราย เพื่อให้ได้แนวคิดที่หลากหลาย และ เพื่อนำไปสู่ข้อสรุป 2. สอนให้ผู้เรียนเห็นโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ ความสัมพันธ์และความต่อเนื่องของเนื้อหาคณิตศาสตร์ 3. สอนโดยคำนึงว่าจะให้นักเรียนเรียนอะไร (What) และเรียนอย่างไร (How) นั่นคือ ต้องคำนึงถึงทั้ง เนื้อหาวิชาและกระบวนการเรียน 4. สอนโดยการใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรมอธิบายนามธรรม หรือการทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรมมากๆ เป็นนามธรรม ที่ง่ายขึ้นหรือพอที่จะจินตนาการได้มากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์บางอย่างไม่สามารถหาสื่อมา อธิบายได้
15 5. จัดกิจกรรมการสอนโดยคำนึงถึงประสบการณ์และความรู้พื้นฐานของนักเรียน 6. สอนโดยใช้การฝึกหัดให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ทั้งการฝึกรายบุคคล การฝึกเป็นกลุ่ม การฝึกทักษะย่อยทางคณิตศาสตร์ และการฝึกทักษะรวมเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น 7. สอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหา สามารถให้เหตุผล เชื่อมโยง สื่อสาร และคิด อย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนเกิดความอยากรู้อยากเห็นและนำไปคิดต่อ 8. สอนให้นักเรียนเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคณิตศาสตร์ในห้องเรียนกับคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน 9. ผู้สอนควรศึกษาธรรมชาติและศักยภาพของผู้เรียน เพื่อจะได้กิจกรรมการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียน 10. สอนให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนคณิตศาสตร์ รู้สึกว่าวิชาคณิตศาสตร์ไม่ยาก และมีความ สนุกสนานในการทำกิจกรรม 11. สังเกต และประเมินการเรียนรู้ และความเข้าใจของผู้เรียนขณะเรียนในห้อง โดยใช้คำถามสั้นๆ หรือ การพูดคุยปกติ อติชาต เกตตะพันธุ์ (2558) ได้กล่าวถึงหลักการสอนคณิตศาสตร์ไว้ดังนี้ 1. เมื่อสอนแล้วนักเรียนไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งดุ ผู้ใหญ่หลายคนที่เกลียดคณิตศาสตร์เพราะเคยถูกครูดุ จากนั้นก็ฝังใจคำพูดนั้นมาทั้งชีวิต ถ้าครูไม่อยากทำร้ายนักเรียนทั้งชีวิต ครูต้องใจเย็นๆ ต้องไม่พูดดูถูกนักเรียน การ ที่ครูจะเก่งคณิตศาสตร์ก็ใช่ว่าครูจะเก่งในทุกเรื่อง นักเรียนเองก็เช่นกัน 2. ถ้าอธิบายด้วยวิธีเดิมหลายครั้งแล้วยังไม่เข้าใจ ครูจะต้องเปลี่ยนวิธีอธิบาย มีครูบางท่านอธิบาย นักเรียนด้วยวิธีเดียวกันหลายครั้ง ในการอธิบายครั้งหลังๆ มักจะอารมณ์เสียใส่นักเรียน สิ่งที่ควรคิดคือ หากสอน ด้วยวิธีหนึ่งไม่ได้ผล ครูก็ควรอธิบายด้วยวิธีอื่น หรืออธิบายทีละขั้นและเช็คกว่านักเรียนไม่เข้าใจตรงจุดไหน 3. สอนให้นักเรียนเข้าใจจริงๆ ไม่เน้นการท่องจำหรือวิธีลัดมากเกินไป ครูไม่ควรสอนนักเรียนโดยเน้น แต่การท่องสูตรและวิธีลัดเพื่อทำข้อสอบ วิธีนี้ไม่ดีกับนักเรียนในระยะยาว แต่ต้องสอนให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหา จริงๆ เพื่อในอนาคตเขาจะได้นำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆ ได้ และเมื่อเจอโจทย์ที่แตกต่างจากที่เคยเห็นก็จะ สามารถทำโจทย์ได้ 4. อธิบายภาพรวมก่อนจะสอน ก่อนจะสอนแต่ละเรื่อง ครูควรอธิบายภาพรวมก่อนว่าจะเรียนเกี่ยวกับ อะไรบ้าง และมันเชื่อมโยงกับความรู้ที่เคยเรียนมาอย่างไร จะช่วยให้จับประเด็นได้ดีขึ้น
16 5. มีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจในห้องเรียนบ้าง ครูอาจเล่าประวัตินักคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจ เกมคณิตศาสตร์ สนุกๆ เรื่องใกล้ตัว หรือเรื่องตลก ถ้าเรื่องที่เล่าไม่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ก็ควรจะให้เด็กตื่นตัว หายง่วง หรือหาย เครียดได้ 6. อธิบายถึงประโยชน์เรื่องที่สอน ครูควรบอกนักเรียนว่า การเรียนรู้แต่ละเรื่องนั้นมีประโยชน์ต่อชีวิต อย่างไร เช่น การไปเรียนต่อระดับสูง และการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน 7. ให้นักเรียนฝึกทำแบบฝึกหัดเป็นประจำ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ดีทีสุดอย่างหนึ่งก็คือ การทำ แบบฝึกหัด ครูต้องกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้ในการทำแบบฝึกหัดอยู่เสมอ เช่น การให้คะแนน การตรวจ แบบฝึกหัดที่นักเรียนทำเป็นประจำ และไม่ลืมการชมเชยสิ่งที่นักเรียนทำได้ดีเพื่อเสริมแรง และอธิบายสิ่งที่ทำผิด เพื่อให้นักเรียนเข้าใจให้ถูกต้อง 8. ทำให้นักเรียนรู้ว่าครูอยากช่วยเหลือเขาจริงๆ ทำให้เหมือนพ่อแม่ที่นักเรียนรู้สึกว่า ไม่ว่านักเรียนจะ เป็นอย่างไรครูก็รักเขาตลอด การที่นักเรียนรู้สึกดีกับครูจะทำให้นักเรียนรู้สึกดีกับวิชาที่เรียนไปพร้อมกัน 9. ถามนักเรียนบ้างว่าเขาอยากให้ครูสอนอย่างไร ครูอาจจะสอบถามจากนักเรียนโดยตรง และสอบถาม ผ่านแบบสอบถาม ซึ่งจะทำให้ครูได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย ทั้งกำลังใจ และเรื่องที่ควรปรับปรุงให้เหมาะกับ นักเรียนมากขึ้น อย่างไรก็ตามครูที่ทำแบบประเมินต้องเป็นคนที่ใจกว้างในการรับฟังความเห็น ของผู้อื่น 10. สอนให้นักเรียนเข้าใจตัวเองว่า คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง เรื่องนี้สำคัญมาก คนที่ประสบ ความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่จะเก่งแค่เพียงบางเรื่อง การบอกเขาจะทำให้เขาไม่กดดันตัวเองเกินไป อย่างไรก็ตาม ควรแจ้งเขาว่า หากเขาเก่งคณิตศาสตร์ในระดับปานกลางขึ้นไป เขาจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่าย และเร็วขึ้น 11. ให้นักเรียนมีโอกาสทำกิจกรรมการเรียนรู้บ้าง ครูควรทำกิจกรรมการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์บ้าง ใน โรงเรียนควรทำอย่างน้อยภาคการศึกษาละหนึ่งครั้ง นักเรียนทุกคนจะจำเรื่องที่เรียนผ่านกิจกรรมได้ดีกว่าการเรียน แบบบรรยาย 12. ให้นักเรียนได้เข้าค่ายคณิตศาสตร์ ครูในโรงเรียนควรจัดกิจกรรมค่ายให้แก่นักเรียน เพราะมันมีผลต่อ ทัศนคติของนักเรียนมาก ทั้งนี้ผู้ปกครองก็สามารถให้นักเรียนไปสมัครเข้าค่ายคณิตศาสตร์เช่นกัน 13. แนะนำแหล่งเรียนรู้ที่นักเรียนสามารถไปศึกษาต่อเองได้เอง นักเรียนบางคนพร้อมและอยากที่จะ เรียนรู้ เพียงแต่ครูต้องแนะนำ ครูอาจแนะนำหนังสือดีๆ เว็บไซต์ และแหล่งเรียนรู้ให้นักเรียนไปศึกษาเอง
17 สรุปได้ว่า หลักการสอนคณิตศาสตร์ในปัจจุบัน คือ ครูต้องมีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนให้ เหมาะสมกับนักเรียน สอนโดยการใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรมอธิบายนามธรรม นักเรียนเกิดทักษะการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ครูเป็นผู้คอยชี้แนะ ดูแล ฝึกฝน เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักค้นคว้าหา ความรู้ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 2.3 การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สมิทและราแกน (Smith & Ragan 1999:114-115) ได้นำเสนอขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนที่ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับผลการเรียนรู้ประเภทใดก็ได้ ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นนำ (introduction) ขั้นสอน (body) ขั้นสรุป (conclusion) และขั้นประเมินผล (assessment) มาใช้เป็นขั้นตอนใน การนำเสนอเหตุการณ์การเรียนการสอนของกานเย และวิเคราะห์ลักษณะของเหตุการณ์การเรียนการสอน ตาม ลักษณะบทบาทของนักเรียนและครูซึ่งแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ แบบที่ 1 เป็นแบบที่นักเรียนเป็นฝ่ายริเริ่มหรือเป็นผู้มีบทบาทนำ โดยนักเรียนเป็นผู้สืบสอบค้นพบความรู้ ด้วยตนเอง (exploratory) หรือแบบที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (student-center) แบบที่ 2 เป็นแบบที่ครูเป็นฝ่ายริเริ่มหรือเป็นผู้มีบทบาทนำในการเสนอการเรียนการสอนโดยใช้การบอก อธิบายให้แก่นักเรียน (expository) หรือแบบที่ครูเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (teacher-center) แบบที่ 3 เป็นแบบที่ครูและนักเรียนมีบทบาทร่วมกันในเหตุการณ์การเรียนการสอน ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนนอกจากจะคำนึงถึงขั้นตอนในการนำเสนอกิจกรรมการเรียนการสอนว่ามี ลำดับอย่างไรแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงลักษณะของบทบาทครูและนักเรียนในขั้นตอนการเรียนการสอนด้วยว่าเป็น อย่างไร ขั้นตอนในการนำเสนอการเรียนการสอนแต่ละขั้นที่นำเสนอ มีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้ 1. ขั้นนำ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมความพร้อมของนักเรียน ส่งเสริมความสนใจและกระตุ้นให้นักเรียนได้ ระลึกถึงความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้เรื่องใหม่ ซึ่งเก็บไว้ในความจำระยะยาว นำกลับมาสู่ความจำทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนรู้เรื่องใหม่ เหตุการณ์การเรียนการสอนในขั้นนี้ประกอบด้วย 1.1 การสร้างความสนใจ ทำได้โดยการตั้งคำถามที่ดึงความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียนในเรื่องที่ นักเรียนสนใจหรือเรื่องที่เป็นประสบการณ์ใกล้ตัว ครูอาจใช้การสาธิต การนำเสนอภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่ง ที่จะเรียนเป็นการดึงความสนใจของนักเรียน
18 1.2 การบอกจุดประสงค์แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนรับรู้ว่าพฤติกรรมหรือการกระทำอย่างใดที่แสดงผล การเรียนรู้ของตนหรือเป็นสิ่งที่ผู้สอนคาดหวัง เพื่อให้นักเรียนสามารถตั้งจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนในการเรียนรู้ใน ครั้งนั้น ๆ 1.3 การกระตุ้นให้นักเรียนระลึกถึงการเรียนรู้ที่มีมาก่อน เพื่อให้นักเรียนเห็นความสัมพันธ์ของการ เรียนรู้สิ่งใหม่กับสิ่งที่นักเรียนรู้มาก่อน เพื่อให้การเรียนรู้สิ่งใหม่ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำได้โดยการ พูดคุย สนทนา การใช้คำถามกระตุ้นให้เกิดการทบทวนประสบการณ์เดิมของนักเรียน 2. ขั้นสอน มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนได้ดึงเอาความรู้เดิมที่เกี่ยวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่นำออกมาใช้สร้าง ความรู้ ความเข้าใจกับสารสนเทศใหม่ที่ได้รับ เหตุการณ์การเรียนการสอนในขั้นนี้ประกอบด้วย 2.1 การนำเสนอความรู้และสื่อการเรียนรู้ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีเช่น การสาธิต การนำเสนอตัวอย่าง การบอกเล่าโดยตรง การให้นักเรียนเป็นผู้ค้นพบ ในการนำเสนอความรู้อาจใช้วิธีอุปนัยหรือวิธีนิรนัย ถ้าเป็นการ เรียนรู้ความคิดรวบยอดที่เป็นรูปธรรมควรใช้วิธีอุปนัย โดยให้นักเรียนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายแล้วสรุป ความหมายของสิ่งนั้นด้วยตนเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องนามธรรมควรใช้วิธีนิรนัย และอาจนำเสนอด้วยภาพหรือแผนภูมิ 2.2 การนำเสนอและชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ให้กับนักเรียน ถ้าเป็นเรื่องใหม่ที่นักเรียนไม่เคยรู้มาก่อน ก็จำเป็นต้องบอกโดยตรง ถ้าเป็นเรื่องที่นักเรียนสามารถค้นพบได้ด้วยหลักเหตุผล ครูก็อาจนำเสนอความรู้โดยวิธี ให้นักเรียนค้นพบความรู้นอกจากนี้ครูควรคำนึงถึงความแตกต่างของนักเรียน นักเรียนบางคนต้องการการชี้แนะ จากครูมากและบางคนก็ไม่ต้องการการชี้แนะ ดังนั้นครูจึงควรใช้วิจารณญาณในการดำเนินการ 2.3 การให้นักเรียนปฏิบัติและฝึกฝนจากแบบฝึกหัดหรือตัวอย่างต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่อง แท้ 2.4 การให้ข้อมูลป้อนกลับแก่นักเรียน ข้อมูลป้อนกลับที่ให้กับนักเรียนมีจุดมุ่งหมายแบ่งได้2 ประการ คือ ประการแรกมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่นักเรียนให้เกิดความมั่นใจในการเรียนรู้และจุดมุ่งหมาย ประการสุดท้ายเพื่อให้สารสนเทศเกี่ยวกับผลการปฏิบัติของนักเรียนว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร ช่วยให้นักเรียนทราบ ความก้าวหน้าของการปฏิบัติว่าเป็นอย่างไร มีความเหมาะสมหรือไม่ ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และชี้ให้เห็นแนวทาง ที่จะปรับปรุงแก้ไข 3. ขั้นสรุป จุดมุ่งหมายในขั้นนี้เพื่อให้นักเรียนได้สรุป และทบทวนความรู้ที่ได้รับว่าเพิ่มขึ้นจากเดิมหรือไม่ อย่างไร จะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างไร เหตุการณ์การเรียนการสอนในขั้นนี้ ประกอบด้วย
19 3.1 การรวบรวมและสังเคราะห์สิ่งที่เรียนรู้ใหม่ เทคนิควิธีที่จะช่วยในการสรุปความรู้ที่นิยมใช้กัน ได้แก่ การใช้ผังกราฟิก (graphic organizer) คือ แบบของการสื่อสารเพื่อใช้นำเสนอข้อมูลหรือความรู้ที่ได้จากการ รวบรวมอย่างเป็นระบบ ให้มีความเข้าใจง่าย กะทัดรัด ชัดเจน ผังกราฟิกได้มาจากการนำข้อมูลดิบในเรื่องใดเรื่อง หนึ่งมาทำการจัดกระทำข้อมูลโดยอาศัยทักษะการคิด เช่น การสังเกต เปรียบเทียบ การแยกแยะ การจัดประเภท การเรียงลำดับ การใช้ตัวเลข การวิเคราะห์ การสร้างแบบแผน จากนั้นจึงมีการเลือกผังกราฟิกเพื่อนำเสนอข้อมูลที่ จัดกระทำแล้วตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ผู้นำเสนอ 3.2 การส่งเสริมให้นักเรียนจดจำความรู้และถ่ายโอนความรู้ โดยให้นักเรียนนำความรู้ไปใช้กับ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างไปจากแบบฝึกหัด 4. ขั้นประเมินผล จุดมุ่งหมายในขั้นนี้เพื่อให้ครูรู้ว่านักเรียนเกิดผลการเรียนรู้ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ และ เป็นข้อมูลในการจัดการเรียนการสอนเพื่อซ่อมเสริมหรือดำเนินการปรังปรุงแก้ไข สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยทั่วไป ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นนำ (introduction) ขั้นสอน (body) ขั้นสรุป (conclusion) และขั้นประเมินผล (assessment) โดยมีครูและนักเรียนเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ ครู ควรเลือกการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักเรียน เพื่อให้การเรียนนั้นเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด 2.4 คณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีลักษณะเฉพาะและเนื้อหามีความเป็นนามธรรมสูง การสอนคณิตศาสตร์ให้เกิดผล สำเร็จตามวัตถุประสงค์จึงต้องเข้าใจธรรมชาติและแก่นของวิชานี้ โดยเฉพาะการสอนคณิตศาสตร์ในระดับ ประถมศึกษา ครูผู้สอนต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในสามองค์ประกอบหลัก ซึ่งถือ เป็นหัวใจของการสอนคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษา อันประกอบด้วยส่วนที่เป็นความคิดรวบยอด (Concept) ส่วนที่เป็นทักษะการคิดคำนวณ (Skill) และส่วนสุดท้ายคือส่วนที่เป็นการแก้ปัญหา/สถานการณ์ (Problem Solving) ในบรรดาองค์ประกอบทั้งสามส่วนนี้ การแก้ปัญหา/สถานการณ์เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และสิ่งที่สำคัญ ที่สุดในการแก้ปัญหา/สถานการณ์ คือทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Process Skill) Matholia (2562) ความท้าทายกับการสอนในปัจจุบันคือการสอนที่รวมนักเรียนที่มีความสามารถแตกต่าง กันใน 1ห้องเรียน ซึ่งหมายถึงนักเรียนมีความสามารถความเร็วในการเรียนรู้ต่างกัน แต่ครูจะมีวิธีอย่างไรในการให้ นักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจไปพร้อมๆกัน การสอนคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาให้ได้ประสิทธิภาพมี ดังนี้ 1. ใช้อุปกรณ์เสริมที่จับต้องได้ คณิตศาสตร์ประถมศึกษาอาจจะยากต่อการทำความเข้าใจเพราะเป็นการ เริ่มต้นของการเรียนรู้ตัวเลข คอนเซปนามธรรม และยากต่อการทำให้เห็นเป็นภาพแบบรูปธรรม ดังนั้นคุณครู
20 จะต้องจินตนาการว่าเราเป็นเหมือนกับเด็กวัย 5 ขวบที่เพิ่งเริ่มทำการบวกลบเลขเป็นครั้งแรก การที่จะทำให้ นักเรียนเข้าใจถึงคอนเซปอาจจะอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมให้นักเรียนได้เห็นถึงรูปธรรม จับต้องได้ และนักเรียนถึงจะ เริ่มเข้าใจคอนเซปนั้นๆ อย่างเช่น เลโก้ ตัวต่อไม้ ดินเหนียว หรือของใกล้ตัวอื่นที่นักเรียนชอบ อาจจะมีหลากหลาย สีสันเพื่อดึงดูดความสนใจของนักเรียนไปในตัว 2. ใช้รูปภาพร่วมด้วย จากผลการวิจัยหนังสือเรียนที่มีแต่ข้อความและตัวอักษรมากกว่ารูปภาพกราฟฟิค ไม่สามารถทำให้นักเรียนได้เข้าใจบทเรียนได้อย่าง สิ่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดกับกาเรียนการสอนของเด็กวัย ประถมคือการมีรูปภาพและกราฟฟิคประกอบกับบทเรียนและแบบฝึกหัด 3. หาแหล่งการเรียนรู้หลายๆรูปแบบมาประกอบการเรียนการสอน การเรียนรู้ปัจจุบันไม่ได้มีจำกัดอยู่ใน ในหนังสือ หรือห้องเรียน ด้วยเทคโนโลยีก้าวหน้า และสื่ออินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งที่เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสำหรับทุกคน ทุกเพศและทุกวัน คุณครูควรจะนำสื่อหล่านี้มาปรับเป็นการเรียนให้นักเรียน อย่างเช่นการเรียนผ่านเวปไซด์ (website) หรือ แอพพลิเคชั่น (application) 5. นำเนื้อเรื่องรอบๆตัวมาปรับใช้กับบทเรียนเพื่อเพิ่มความเข้าใจมากขึ้น การนำบทเรียนและเรื่องราว สถานการณ์รอบๆตัวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มามีส่วนร่วมกับการสอนจะให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การ ตั้งโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์อาจจะเป็นโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนได้ในชีวิตประจำวัน 6. มีการสรุปการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนบ่อยๆ การประเมินผลการเรียนรู้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อที่คุณครูจะได้ทราบ progress และความก้าวหน้า ถึงความเข้าใจของนักเรียน ซึ่งการประเมินบ่อยๆจะสามารถ ทำให้ทราบว่านักเรียนคนไหนที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษก่อนที่จะข้ามไปยังบทเรียนถัดไป 2.4.1 การใช้สื่อการสอนในคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษา คณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนามธรรมในการสร้างความเข้าใจ ระยะเริ่มแรกของการสอนหากใช้สิ่งที่ เป็นรูปธรรมช่วยอธิบายนามธรรมจะง่ายต่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอนจึงมีความสำคัญต่อการสร้าง ประสิทธิภาพในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์อย่างยิ่ง เด็กในวัยประถมศึกษาสามารถเรียนรู้และเข้าใจแนวคิดทาง คณิตศาสตร์ได้ ถ้าครูจัดบทเรียนโดยใช้สื่อการสอนคณิตศาสตร์ได้เหมาะกับวัย ระดับความรู้ และความสามารถ ของผู้เรียน หมายความว่าสื่อการสอนคณิตศาสตร์จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีประสบการณ์มีความคิดที่เป็น เหตุผล กิจกรรมการเรียนการสอนที่มีต่อสิ่งของ รูปภาพ สิ่งที่แทนสิ่งของที่กล่าวถึงจะช่วยให้ผู้เรียนสัมผัสกับ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกระบวนการความคิดที่เป็นเหตุผล การพัฒนาปัญญาของเด็ก มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
21 วัฒนธรรมและภาษาของชุมชนนั้น ๆ ถ้าผู้เรียนมีประสบการณ์จากของจริง หรือสิ่งที่ทราบของจริงในเรื่องนั้น บ่อย ๆ สมชาย ลีลานิตย์กุล (2553) ได้ให้แนวทางในการผลิตและเลือกสื่อการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ไว้ดังนี้ 1. ต้องผลิตสื่อตามเนื้อหาที่ผ่านการวิเคราะห์แล้ว โดยกำหนดเป็นหน่วยที่แยกย่อยลงไปจนถึงหนึ่งหน่วย ต่อการสอน 1 ครั้ง 2. ควรผลิตและเลือกสื่อการสอนในลักษณะที่มีสื่อมาประกอบกันเป็นชุดการสอน 1 ชุด สำหรับการสอน 1 ครั้ง โดยมีชุดอุปกรณ์ประกอบด้วย 3. ต้องตระหนักอยู่เสมอว่า การสอนคณิตศาสตร์ทำไม่ได้เพียงด้วยการพูดให้ฟัง ดังนั้นจึงควรผลิตและใช้ สื่อการสอนในทุกโอกาสที่จะทำได้ 4. การผลิตและเลือกสื่อการสอน ควรคำนึงถึงธรรมชาติของสื่อในการที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ รูปธรรม ให้ ผู้เรียนมากที่สุด ทั้งที่เป็นสื่อที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น เช่น เมล็ดพืช ก้อนกรวด ก้อนหิน ฯลฯ และสื่อที่มีผู้ผลิต จำหน่าย เช่น ไม้บล็อก หรือภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นการเกิดรูปทรงต่าง ๆ โดยเทคนิคการสร้างภาพเคลื่อนไหวเข้า ช่วย 5. การเรียนคณิตศาสตร์ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน การฝึกฝนแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จึงเป็นกิจกรรมที่ต้อง บูรณาการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตสื่อการสอนคณิตศาสตร์ 6. ก่อนผลิตและเลือกสื่อการสอนคณิตศาสตร์ ครูควรได้ศึกษาวิธีการจากระบบสื่อการสอน คณิตศาสตร์ที่ มีผู้คิดขึ้นแล้ว เพื่อเป็นแนวทางในการผลิตสื่อ สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา ครูควรจัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับช่วงวัย เด็กในวัย ประถมสามารถเรียนรู้และเข้าใจแนวคิดทางคณิตศาสตร์ได้ถ้าครูมีการจัดการเรียนรู้ที่ดี มีสื่อการสอนที่เหมาะสม สื่อจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อครูได้นำไปใช้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี ทั้งนี้เพื่อให้การจัดกิจกรรมการสอนบรรลุผลตาม จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ที่วางไว้
22 3. เด็กที่มีความต้องการพิเศษ 3.1 ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษ อัมพวรรณ สิริรักษ์(2556) เด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือ เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร จากการให้ความช่วยเหลือ และสอนตามปกติ ทั้งมีสาเหตุมาจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และ อารมณ์ จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัดฟื้นฟูและให้การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะความ ต้องการของเด็ก จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์ (2559: 2-3) เด็กพิเศษ เป็นคำสั้นๆที่มาจากคำเต็มๆว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หรืออาจใช้คำอื่นที่มีความหมายทำนองเดียวกัน เช่น ผู้เรียนลักษณะพิเศษ หมายถึง บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ มีลักษณะแตกต่างจากเด็กปกติทั่วไปในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์หรือสังคม ซึ่งมีความต้องการจำเป็นที่ จะต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้ได้รับการพัฒนา สามารถเรียนรู้ และปฏิบัติกิจกรรม ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล กาญจนา โม่งปราณีต (2559) เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความจำเป็นต้องได้รับความ ช่วยเหลือ เนื่องด้วยการขาดความสามารถไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย จิตใจ หรือสติปัญญา ประเภทของความ ต้องการพิเศษมีความหลากหลายและอาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมีผลให้พฤติกรมของเด็กมีความแตกต่างกันไป ด้วย ดังนั้นการเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องลักษณะบางประการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะช่วยทำให้สามารถ คาดการณ์ได้ว่าเด็กที่ได้พบเห็นนั้นน่าจะเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษประเภทใด ซึ่งจะสามารถจัดบริการทาง การศึกษา และให้การช่วยเหลือเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการพิเศษของเด็กได้ ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา (2560) เด็กพิเศษ มาจากคำเต็มว่า “เด็กที่มีความต้องการพิเศษ” หมายถึงเด็กกลุ่ม ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือเป็นพิเศษ เพิ่มเติมจากวิธีการตามปกติ ทั้งในด้านการใช้ชีวิตประจำวัน การ เรียนรู้และการเข้าสังคม เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพของเขาเอง โดยออกแบบการดูแล ช่วยเหลือ เด็กตามลักษณะความจำเป็น และความต้องการของเด็กแต่ละคน Motherhood (2563) เด็กพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความต้องการพิเศษ ที่จะได้รับการดูแลและส่งเสริมใน ด้านต่างๆมากกว่าเด็กปกติทั่วไป พ่อแม่และโรงเรียนจำเป็นต้องจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความพิเศษของเขา เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสและพื้นที่ในการแสดงความสามารถ เพราะเด็กกลุ่มนี้ต้องการการยอมรับ รวมทั้งต้องการ ความเข้าใจจากคนรอบข้างมากพอที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่เขาได้อย่างถูกต้อง
23 สรุปได้ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีลักษณะต่างจากเด็กปกติทั่วไป มีหลายประเภท และมีพฤติกรรมต่างกัน ที่ต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือตามความเหมาะสมตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ในการ พัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เพื่อให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษนี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับ คนในสังคมได้อย่างมีความสุข 3.2 ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ อัมพวรรณ สิริรักษ์ (2556) กระทรวงศึกษาธิการได้จำแนกเด็กที่มีความต้องการพิเศษออกเป็น 2 ประเภท ตามพระราชบัญญัติการศึกษา 2542 คือประเภทของเด็กที่มีลักษณะเบี่ยงเบนจากเกณฑ์ปกติของเด็กปกติไปในเชิง บวก และประเภทของเด็กที่มีลักษณะเบี่ยงเบนจาเกณฑ์ปกติไปในเชิงลบ 1. ประเภทของเด็กที่มีลักษณะเบี่ยงเบนจากเกณฑ์ปกติไปในเชิงบวก ได้แก่ เด็กปัญญาเลิศและเด็กที่มี ความสามารถพิเศษ เป็นเด็กที่แสดงออกออกซึ่งความสามารถอันโดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน ในด้าน สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ภาษา การเป็นผู้นำ การสร้างงานด้านทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง ดนตรี กีฬา และความสามารถทางวิชาการในสาขาใดสาขาหนึ่งหรือหลายสาขาอย่างเป็นที่ประจักษ์เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่มี อายุระดับเดียวกัน สภาพแวดล้อมเดียวกัน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ2541) 2. ประเภทของเด็กที่มีลักษณะเบี่ยงเบนจากเกณฑ์ปกติของเด็กปกติไปในเชิงลบ ได้แก่ เด็กที่มีความ บกพร่อง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้จำแนกไว้ 9 ประเภท (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภท และหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ.2552) ดังนี้ 2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น 2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย การเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ 2.5 เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ 2.6 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 2.7 เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ 2.8 เด็กออทิสติก
24 2.9 เด็กพิการซ้ำซ้อน ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา (2560) เด็กพิเศษ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1. เด็กที่มีความสามารถพิเศษ เด็กกลุ่มนี้มักไม่ค่อยได้รับการดูแล ช่วยเหลืออย่างจริงจัง เนื่องจาก เรามัก คิดว่าพวกเขาเก่งแล้ว สามารถเอาตัวรอดได้ บางครั้งกลับไปเพิ่มความกดดันให้มากยิ่งขึ้น เพราะคิดว่าพวกเขา น่าจะทำได้มากกว่าที่เป็นอยู่อีก วิธีการเรียนรู้ในแบบปกติทั่วไปก็ไม่ตอบสนองความต้องการในเรียนรู้ของเด็ก ทำ ให้เกิดความเบื่อหน่าย ทำให้ความสามารถพิเศษที่มีอยู่ไม่ได้แสดงออกอย่างเต็มศักยภาพ เด็กที่มีความสามารถ พิเศษ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้ 1.1 เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูง คือ กลุ่มเด็กที่มีระดับสติปัญญา (IQ) ตั้งแต่ 130 ขึ้นไป 1.2 เด็กที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้าน อาจไม่ใช่เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูง แต่มีความสามารถ พิเศษเฉพาะด้านที่โดดเด่นกว่าคนอื่นในวัยเดียวกัน อาจเป็นด้าน คณิตศาสตร์ - ตรรกศาสตร์ การใช้ภาษา ศิลปะ ดนตรี กีฬา การแสดง ฯลฯ 1.3 เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ 2. เด็กที่มีความบกพร่อง มีการแบ่งหลายแบบ ในที่นี้จะยึดตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่แบ่ง ออกเป็น 9 กลุ่ม ดังนี้ 2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น 2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางการสื่อสาร 2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และการเคลื่อนไหว 2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางอารมณ์ และพฤติกรรม 2.6 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Intellectual Disabilities) 2.7 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities) 2.8 เด็กออทิสติก (รวมถึงความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้านอื่นๆ - PDDs) 2.9 เด็กที่มีความพิการซ้อน
25 3. เด็กยากจนและด้อยโอกาส เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ขาดแคลนปัจจัยที่จำเป็นในการ เจริญเติบโต และการเรียนรู้ของเด็ก และรวมถึงกลุ่มเด็กที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาจากสาเหตุอื่นๆ เช่น เด็กเร่ร่อน เด็กถูกใช้แรงงาน เด็กต่างด้าว เป็นต้น เด็กกลุ่มต่างๆที่กล่าวถึง เป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ควรได้รับการดูแลเพิ่มเติมด้วยวิธีการพิเศษ ซึ่ง ต่างไปจากวิธีการตามปกติ เพื่อช่วยให้สามารถพัฒนาได้เต็มตามศักยภาพที่มีอยู่ได้ เพื่อให้มีสุขภาพกาย สุขภาพจิต ที่ดี มีโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมและได้รับการยอมรับในสังคม คำว่า "เด็กพิเศษ" ในปัจจุบันมักหมายถึง กลุ่ม เด็กที่มีความบกพร่องเท่านั้น ส่วนเด็กที่มีความสามารถพิเศษ กับกลุ่มเด็กยากจนและด้อยโอกาส มักไม่ค่อยเรียกว่า เป็นเด็กพิเศษ กองบรรณาธิการ honestdocs (2563) เด็กพิเศษแยกออกเป็น 3 กลุ่ม 1. เด็กที่มีความสามารถพิเศษ หรือที่เรียกว่า เด็กอัจฉริยะ เด็กพิเศษกลุ่มนี้จะมีความสามารถด้านต่างๆ สูงกว่าเด็กปกติทั่วไป โดยจะเป็นเด็กที่มีความฉลาด หรือระดับสติปัญญา (IQ) สูงกว่าเกณฑ์ปกติ (มากกว่า 130 ขึ้น ไป) และมีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) สูง เช่น เด็กปัญญาเลิศจะมีสติปัญญาสูง ฉลาด หรือมีความสามารถ ทางด้านกีฬา ดนตรี เป็นเลิศ ซึ่งผู้ปกครองจะเห็นจุดเด่นเหล่านี้ได้ชัดเจน เด็กพิเศษกลุ่มนี้ต้องการการส่งเสริมที่ ต่างจากเด็กปกติ เพราะสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กปกติมาก อาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างในชั้นเรียน หรือได้รับ การเรียนรู้ที่ไม่เหมาะสมกับความสามารถ 2. เด็กที่มีความบกพร่อง เด็กพิเศษกลุ่มนี้จะมีปัญหาด้านต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กเรียนรู้ช้า หรือมี พัฒนาการบางด้านที่ไม่เท่าเด็กปกติในช่วงวัยเดียวกัน ดังนั้น เด็กกลุ่มนี้จึงต้องการความช่วยเหลือ และวิธีการดูแล ที่แตกต่างจากเด็กปกติทั่วไป โดยแบ่งออกเป็น 9 ประเภท ได้แก่ 2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Children with mental retardation) เด็กพิเศษกลุ่ม นี้จะมีความบกพร่องในการทำงานของกระบวนการทางปัญญา และมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการปรับตัวตั้งแต่ 2 ประการขึ้นไป โดยระดับสติปัญญาจะต่ำกว่า 70 และอาการจะต้องปรากฏก่อนอายุ 18 ปี ตัวอย่างการบกพร่อง ทางสติปัญญา เช่น กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม กลุ่มอาการเวโลคาร์ดิโอเฟเชียล กลุ่มอาการของทารกที่ถือกำเนิด จากมารดาที่ดื่มแอลกอฮอล์ โรคท้าวแสนปม ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด กลุ่มอาการวิลเลี่ยม กลุ่ม อาการฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) กลุ่มอาการเพรเดอร์-วิลลี (Prader-Willi Syndrome: PWS) 2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with hearing impaired ) เด็กพิเศษกลุ่มนี้ จะมีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน ทำให้รับฟังเสียงได้ไม่ชัดเจน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ
26 เด็กหูหนวก สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้จากการไม่ตอบสนองเมื่อเรียก พูดไม่ชัด หรือมีเสียงแปลกผิดปกติ และยังมักแสดงท่าทางมากกว่าพูด ไม่สามารถทำตามสั่งได้ ในบางรายอาจมีพฤติกรรมซนและสมาธิสั้นร่วมด้วย 2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น (Children with visual impairments children) หมายถึง เด็กที่มองไม่เห็นหรือเห็นแบบเลือนลาง และมีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง โดยเด็กอาจแสดง อาการได้หลากหลาย เช่น ปวดศีรษะ เคืองตา ขยี้ตาบ่อยๆ เพ่งอ่านหนังสือใกล้ๆ มีปัญหาในการแยกตัวอักษรหรือ รูปทรง เหม่อลอย ไม่มีสมาธิ ไม่สนใจเรียน เดินซุ่มซ่าม และชนวัตถุบ่อยๆ 2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with physical and health impairments) หมายถึง เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนหายไป กระดูกและ กล้ามเนื้อพิการ เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง หรือเฉียบพลัน บางรายอาจพิการทางระบบประสาทสมอง มีความลำบากใน การเคลื่อนไหวจนเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมต่างๆ 2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with speech and language disorders) หมายถึง เด็กที่พูดไม่ชัด ลีลาจังหวะการพูดผิดปกติ ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่ สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดั่งตั้งใจ ทำให้เวลาต้องพูดคำที่ออกเสียงยาก ซับซ้อน หรือยาวจะมีปัญหามาก นอกจากนี้ เด็กพิเศษอื่นๆ ที่มีอาการพูดและใช้ภาษาที่ผิดปกติ ก็จัดอยู่ในเด็กกลุ่ม นี้เช่นกัน สังเกตอาการได้จากการพูดที่ผิดแปลกไปจากคนทั่วไป ทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง หรือสื่อความหมายต่อกันไม่ได้ 2.6 เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with behaviorally and emotional disorders) หมายถึง เด็กที่ควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกติแบบเด็กปกตินานๆ ไม่ได้ หรือเด็กที่ ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้ ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม สร้างความ ไม่พอใจให้กับผู้อื่น ทำให้เด็กพิเศษกลุ่มนี้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อยสอดคล้องกับสภาพการณ์ 2.7 เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (Children with learning disabilities) หมายถึง เด็กที่มี ปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง โดยมีความบกพร่องหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งอย่างขึ้นไป ทำให้เด็กพิเศษเหล่านี้มี ปัญหาทางการใช้ภาษา การพูด และการเขียน 2.8 เด็กออทิสติก (Autistic) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมาย พฤติกรรมสังคมและความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้อาการต่างๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนเป็น ระยะๆ เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง แตกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ ที่เป็นเด็กออทิสติกเหมือนกัน เนื่องจากเด็กออทิสติกจะแสดงอาการความรุนแรงมากน้อยต่างกัน ประกอบกับเด็กแต่ละคนมีบุคลิกภาพของ
27 ตัวเอง ทำให้ต้องจัดวิธีการดูแลเฉพาะแต่ละบุคคล ผู้ปกครองจึงควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาการ ออทิสติกนั้นจะคงอยู่ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่สามารถสอนให้เขาดูแลตัวเองขั้น พื้นฐานได้ เช่น การรับประทานอาหาร การดูแลตัวเอง สามารถสอนงานฝีมือเพื่อเลี้ยงชีพได้ เป็นต้น เมื่อพิจารณา เปรียบเทียบพัฒนาการทางทักษะด้านต่างๆ ของเด็กออทิสติกใน 4 ด้าน คือ ด้านทักษะการเคลื่อนไหว ด้านทักษะ การรับรู้เกี่ยวกับรูปทรงขนาดและพื้นที่ ด้านทักษะภาษาและการสื่อความหมาย และด้านทักษะทางสังคม จะ พบว่า เด็กออทิสติกมีพัฒนาการด้านภาษาและพัฒนาการด้านสังคมต่ำมาก แต่จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว ด้านการรับรู้รูปทรงขนาดและพื้นที่สูง ถ้าความแตกต่างระหว่างทักษะ 2 อย่างแรก ต่ำกว่าทักษะ 2 อย่างหลังมาก เท่าใด ความเป็นไปได้ของออทิสติกก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น โดยพัฒนาการที่ผิดปกตินี้ อาจก่อให้เกิดความเสียหาย อย่างรุนแรงตลอดชีวิต ส่วนใหญ่มักจะเริ่มปรากฎอาการในระยะ 3 ปีแรกของชีวิต 2.9 เด็กพิการซ้ำซ้อน (Children with multiple handicaps) เด็กพิเศษกลุ่มนี้จะมีความ บกพร่องมากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก เช่น ปัญญาอ่อน-ตาบอด ปัญญา อ่อน-ร่างกายพิการ หูหนวก-ตาบอด เป็นต้น 3. เด็กยากจนหรือเด็กด้อยโอกาส เด็กพิเศษกลุ่มนี้เป็นเด็กที่ต้องอยู่ในสภาวะยากลำบาก หรือเจอปัญหา ต่างๆ ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต และจะมีชีวิตความเป็นอยู่ด้อยกว่าเด็กปกติทั่วไปมาก ขาดโอกาส หรือไม่มีโอกาสที่จะ เข้ารับบริการทางการศึกษา ทำให้ไม่ได้รับการพัฒนาทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และจิตใจ ตัวอย่าง เด็กพิเศษกลุ่มนี้ เช่น เด็กต่างด้าว เด็กเร่ร่อน เด็กที่ถูกเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสม ปล่อยปละละเลย ถูกทอดทิ้ง หรือ ถูกทารุณกรรม ฯลฯ จัดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทัตพร อิสสรโชติ(2565) เด็กพิเศษแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ เด็กที่มีปัญญาเลิศหรือมีความสามารถพิเศษ เด็กที่มีความบกพร่องในด้านต่าง ๆ และเด็กยากจนหรือด้อยโอกาส ดังนี้ 1. เด็กที่มีปัญญาเลิศหรือมีความสามารถพิเศษ (Gifted or Talented Child) คือ เด็กที่มีความฉลาดและ สติปัญญาที่สูงกว่าเกณฑ์ปกติ คือ มี IQ 130 ขึ้นไป มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถทำให้สำเร็จได้จริง รวมถึงเด็กที่มีความสามารถเฉพาะทางที่สูงกว่าปกติ เช่น ดนตรี คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา ศิลปะ กีฬา เด็ก กลุ่มนี้ถือเป็นเด็กพิเศษที่ควรได้รับการสนับสนุนทางความสามารถ และอาจต้องได้รับการเยียวยาจิตใจ เพราะ ครอบครัว เพื่อนฝูงและที่โรงเรียนอาจคาดหวังในความสามารถและสติปัญหาที่เป็นเลิศจนเด็กรู้สึกกดดันมาก หรือ ถูกละเลยความรู้สึก หรืออาจไม่ได้รับการดูแลทางร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ระบบการศึกษาแบบปกติอาจไม่
28 ตอบสนองต่อความต้องการของเด็กกลุ่มนี้ จึงอาจทำให้เด็กเบื่อหน่าย ไม่ตั้งใจเรียน ไม่มีสมาธิ แยกตัวหรือซึมเศร้า ได้ 2. เด็กที่มีความบกพร่องในด้านต่าง ๆ ซึ่งตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภท และหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552 ได้แบ่งเด็กพิเศษกลุ่มนี้ออกเป็น 9 กลุ่ม ดังนี้ 2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น อาจมีความรุนแรงแตกต่างกันออกไป เช่น ตาบอด การมองเห็นเลือนลาง ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของดวงตา หรือเกิดจากอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการมองเห็น 2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เด็กที่สูญเสียการได้ยินในระดับหูตึงถึงระดับหูหนวก 26- 90 เดซิเบล โดยอาจเป็นความบกพร่องทางร่างกายตั้งแต่กำเนิด หรืออาจเกิดขึ้นภายหลัง 2.3 บุคคลที่มีความบกพร่องทางการสื่อสาร เด็กที่มีความผิดปกติในการเปล่งเสียง เช่น พูดไม่ชัด จังหวะการพูดผิดปกติ เช่น พูดติดอ่าง พูดรัว ๆ หรือความผิดปกติในการเข้าใจภาษาพูด การเขียน ไม่เข้าใจคำถาม หรือเข้าใจแต่ตอบไม่ได้ อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการพูดและการฟัง เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ หูหนวก 2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วนหรือขาด หายไปบางส่วน กระดูกหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ ทำให้มีอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง มีโรคประจำตัวต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีอุปสรรคต่อการศึกษา เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ 2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เด็กที่มีความผิดปกติของสมองบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนรู้ ส่งผลต่อความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรืออาจเป็นหลายด้านรวมกัน เช่น บกพร่องทางภาษา การ คำนวณ หรือการคิดวิเคราะห์ 2.6 เด็กที่มีความบกพร่องทางอารมณ์และพฤติกรรม เด็กที่อารมณ์แปรปรวนหรือเบี่ยงเบนจาก ปกติอย่างมาก อาจเกิดจากความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนการรับรู้ อารมณ์ และความคิด เช่น โรค ซึมเศร้า โรคจิตเวท 2.7 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่มีระดับเชาว์ปัญญาหรือ IQ ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ คือต่ำ กว่า 90-109 หรือมีพฤติกรรมปรับตนบกพร่องตั้งแต่ 2 ทักษะจาก 10 ทักษะ ที่แสดงอาการก่อนอายุ 18 ปี ได้แก่ การสื่อความหมาย การดูแลตนเอง การดำรงชีวิตในบ้าน ทักษะทางสังคม การควบคุมตนเอง การใช้แหล่ง
29 ทรัพยากรในชุมชน การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน การใช้เวลาว่าง การทำงาน และการมีสุขอนามัยและความ ปลอดภัย 2.8 เด็กออทิสติก เด็กที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาท ส่งผลทำให้เกิดความ บกพร่องทางพัฒนาการทางสังคม เช่น ไม่แสดงออกทางสีหน้า ไม่สบตา ขาดความสนใจผู้อื่น ความบกพร่องทาง ภาษา เช่น ใช้ภาษาแปลก ๆ พูดซ้ำคำ หรือสื่อสารไม่เข้าใจ ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ และความบกพร่องทางพฤติกรรม เช่น การหมุนตัวไม่หยุด ชอบทำกิจกรรมกิจกรรมซ้ำ ๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง 2.9 เด็กที่มีความพิการซ้อน เด็กที่มีความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหนึ่งประเภท เช่น เด็กตาบอดที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่บกพร่องทางการได้ยินร่วมกับบกพร่องทางการสื่อสาร 3. เด็กยากจนหรือด้อยโอกาส คือ เด็กที่มีฐานะทางครอบครัวยากจน อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการส่งเสริม พัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของเด็ก เช่น การเจริญเติบโตทางร่างกาย อาหาร การศึกษา การรักษาพยาบาล หรือการ เข้าสังคม นอกจากนี้อาจรวมถึงเด็กด้อยโอกาสอย่างเด็กเร่ร่อน เด็กต่างด้าว เด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกทารุณกรรม เป็นต้น เด็กพิเศษกลุ่มนี้อาจถูกกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจ หรือไม่ได้รับการพัฒนาทางร่างกายและ สติปัญหาอย่างเต็มศักยภาพ จึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษทั้งการสงเคราะห์และการคุ้มครองสวัสดิภาพให้มี สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สรุปได้ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ มีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ 1.เด็กที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ 2.เด็กที่มี ความบกพร่องในด้านต่างๆ และ 3.เด็กด้อยโอกาส ซึ่งโรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) เป็นโรงเรียนที่เปิดรับ เด็กทุกประเภทเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งเด็กปกติและเด็กที่มีความต้องการ พิเศษ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่จัดอยู่ในกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องในด้าน ต่างๆ คือ เด็กออทิสติก เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และเด็กสมาธิสั้น 3.3 หลักการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ศรียา นิยมธรรม (2546) ได้เสนอแนวความคิดและหลักการจัดการศึกษาพิเศษ ดังนี้ 1. ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการที่จะได้รับบริการทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นคนพิการหรือคนปกติ เมื่อรัฐจัดการศึกษาให้แก่เด็กปกติแล้ว ก็ควรจัดการศึกษาให้แก่เด็กพิเศษด้วย หากเด็กพิเศษไม่สามารถเรียนใน โปรแกรมการศึกษาที่รัฐจัดให้เด็กปกติได้ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะจัดการศึกษาให้สนองต่อความต้องการของเด็ก พิเศษ
30 2. เด็กพิเศษควรได้รับการศึกษาควบคู่ไปกับการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพทุกด้านโดยเร็วที่สุดในทันทีที่ทราบ ว่าเด็กมีความต้องการพิเศษ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะเรียนต่อไปและมีพัฒนาการทุกด้านถึงขีด สูงสุด 3. การจัดการศึกษาควรคำนึงถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมกับคนปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนการ สอนเด็กเหล่านี้จึงควรจัดให้มีการเรียนร่วมกับเด็กปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เว้นแต่เด็กพิเศษผู้นั้นมีสภาพ ความพิการหรือความบกพร่องในขั้นรุนแรง จนไม่อาจเรียนร่วมได้ อย่างไรก็ตามควรจัดให้เด็กพิเศษได้สัมผัสกับ สังคมปกติ 4. การจัดการศึกษาพิเศษต้องปรับให้เหมาะสมกับสภาพความเสียเปรียบของเด็กพิเศษแต่ละประเภท โดยใช้แนวการศึกษาของเด็กปกติ 5. การศึกษาพิเศษและการฟื้นฟูบำบัดทุกด้าน ควรจัดโปรแกรมให้เป็นรายบุคคล ในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนบางอย่าง อาจจัดเป็นกลุ่มเล็กสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องหรือมีความต้องการคล้ายคลึงกัน และอยู่ ในระดับความสามารถที่ใกล้เคียงกัน 6. การจัดโปรแกรมการสอนเด็กพิเศษ ควรเน้นที่ความสามารถของเด็กและให้เด็กมีโอกาสได้ประสบ ความสำเร็จมากกว่าจะคำนึงถึงความพิการหรือมีความบกพร่อง เพื่อทำให้เด็กมีความมั่นใจว่า แม้ตนจะมีความ บกพร่องแต่ก็ยังมีความสามารถบางอย่างเท่ากับหรือดีกว่าคนปกติซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น 7. การศึกษาพิเศษ ควรมุ่งให้เด็กมีความเข้าใจ ยอมรับตนเอง มีความเชื่อมั่น มีสัจการแห่งตน และมุ่งให้ ช่วยตนเองได้ ตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม 8. การศึกษาพิเศษควรจัดทำอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เกิดเรื่อยไป ขาดตอนไม่ได้และควรเน้นถึงเรื่องอาชีพ ศรินธร วิทยะสิรินันท์ (2555) เด็กพิเศษมักเป็นผู้เรียนที่ท้าทายความสามารถของครู แต่ในทางตรงกัน ข้าม การสอนเด็กกลุ่มนี้จะช่วยให้ครูต้องกลับไปทบทวนหลักและเทคนิควิธีการสอน ตลอดจนคิดประดิษฐ์สื่อที่ น่าสนใจและช่วยให้เด็กเรียนรู้ ดังนั้นการสอนเด็กพิเศษจึงเป็นเครื่องมือในการพัฒนาวิชาชีพครูของตนอย่างดี เยี่ยม หลักการสอนเด็กพิเศษโดยทั่วไปดังนี้ 1. ยอมรับเด็กตามระดับที่เป็นอยู่ ไม่ใช่คาดหวังให้นักเรียนทำได้เหมือนนักเรียนคนอื่นในชั้นและทำให้ครู ผิดหวังและโกรธเมื่อนักเรียนไม่สามารถทำได้อย่างที่คาดหวัง การเรียนรู้ที่จะยอมรับเด็กตามความเป็นจริงเป็นการ
31 พัฒนาตนอย่างสำคัญของครูเพราะครูที่ดีควรรู้จักและทำงานกับนักเรียนของตนได้ตามระดับความสามารถที่ แท้จริงของนักเรียน 2. ศึกษานักเรียนที่มีความต้องการพิเศษและพิจารณาว่ามีด้านใดของนักเรียนที่ต่างจากนักเรียนคนอื่นๆ 3. ตั้งวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ของนักเรียนให้สมเหตุสมผล พอจะเป็นไปได้ภายในเวลาไม่นานเกินไป 4. ย่อยงาน (task analysis) หมายถึงการที่พิจารณาว่าสิ่งที่อยากให้นักเรียนทำได้นั้น ประกอบด้วย องค์ประกอบอะไรบ้างหรือมีลำดับขั้นของความสามารถอะไรบ้าง จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์ (2559: 45-48) การจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษ เป็นการศึกษาที่จัดขึ้นสำหรับ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งมีความแตกต่างจากเด็กปกติ ดังนั้น ในการจัดการศึกษาจึงต้องมี หลักในการจัดการที่ชัดเจน ดังนี้ 1. หลักการพัฒนาเด็กพิเศษอย่างเต็มตามศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของเด็กพิเศษ เป็นการดำเนินการเพื่อให้เด็กพิเศษเกิดพัฒนาการทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา อย่างเต็มที่เท่าที่จะ สามารถพัฒนาได้ โดยคำนึงถึงความต้องการพิเศษของเด็กพิเศษแต่ละคน ซึ่งจะมีแตกต่างกันไป ผู้จัดการศึกษาจึง ควรดำเนินการดังนี้ 1.1 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กพิเศษ ข้อมูลที่ควรรวบรวมประกอบด้วย ข้อมูลพื้นฐานส่วนตัว ของเด็กพิเศษ ข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการจำเป็นพิเศษ ข้อมูลเกี่ยวกับบริบทที่เกี่ยวข้อง 1.2 ประเมินความต้องการจำเป็นของเด็กพิเศษ 1.3 กำหนดแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมและผลการ ประเมินความต้องการจำเป็นของเด็กพิเศษ 1.4 จัดการศึกษาตามแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยมีการประเมินผลการจัดการศึกษาอย่าง สม่ำเสมอ และปรับปรุงแผนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 1.5 รายงานผลการจัดการศึกษาแก่ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องให้ทราบอย่างสม่ำเสมอ 2. หลักการจัดการศึกษาพิเศษเพื่อการดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข เป็นการหลักการที่เน้นให้ ผู้จัดการศึกษาตระหนักถึงความจำเป็น และความสำคัญที่จะส่งเสริมให้เด็กพิเศษมีทักษะในการดำรงชีวิตและ สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ซึ่งควรมีการดำเนินการดังนี้
32 2.1 จัดการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องทักษะชีวิต ในเรื่องนี้มีสิ่งที่เด็กพิเศษควรได้รับการจัดการเรียนรู้จน เกิดทักษะที่ดีเพียงพอที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ 2.11 ทักษะการช่วยเหลือตนเอง ประกอบด้วย ทักษะการเคลื่อนไหว ทักษะด้านภาษาและ การสื่อสาร ทักษะการดำรงชีวิตอย่างอิสระ 2.1.2 ทักษะทางวิชาการ 2.1.3 ทักษะทางสังคม 2.1.4 ทักษะการงานและอาชีพ 2.2 จัดให้มีแหล่งเรียนรู้และจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับเรื่องทักษะชีวิต โดยเฉพาะเรื่องอาชีพที่เด็ก พิเศษจะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้อย่างสะดวกและเหมาะสม 3. หลักความเสมอภาค เป็นหลักการที่ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาพึงตระหนักและยึดเป็นหลักในการ จัดการศึกษาแก่เด็กพิเศษในทุกรูปแบบ แนวการดำเนินการภายใต้หลักการข้อนี้คือ ผู้จัดการศึกษาจะต้องเปิด โอกาสให้เด็กพิเศษทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษด้านใดจะต้องมีโอกาสได้รับการศึกษา ตลอดจนมี โอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร สื่อ เทคโนโลยี และมีโอกาสได้รับการพัฒนาทั้งด้านร่างงกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาอย่างเต็มที่ตามศักยภาพเท่าที่เด็กพิเศษจะสามารถพัฒนาได้ 4. หลักการมีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษาควรเปิดโอกาสให้เด็กพิเศษ ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรที่ เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในประเด็นต่อไปนี้ 4.1 การมีส่วนร่วมกำหนดแผนการศึกษารายบุคคล การกำหนดแผนการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษ ลักษณะพิเศษจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่าย เช่น ผู้บริหารหรือครูฝ่ายวิชาการ ครูการศึกษา พิเศษ ครูประจำชั้น ผู้ปกครอง 4.2 การมีส่วนร่วมจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เนื่องจากการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กพิเศษลักษณะ พิเศษต้องใช้วิธีการ เทคนิค ตลอดจนสื่อการสอนที่หลากหลาย บางครั้งอาจต้องใช้การสอนโดยครูหลายคนหรือที่ เรียกว่าการสอนเป็นทีม การร่วมกันออกแบบและจัดการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่ครูและผู้เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญ 4.3 การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กพิเศษ การประเมินผลการเรียนรู้ของเด็ก พิเศษควรเป็นการประเมินตามสภาพจริง ที่ทั้งครูและผู้ปกครองนักเรียนร่วมกันประเมิน ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ ครบถ้วนและใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด
33 4.4 การมีส่วนร่วมในการระดมความช่วยเหลือเพื่อการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษ ทั้งในส่วนที่ เป็นกำลังทรัพย์ กำลังความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และการร่วมกันกำกับดูแลการจัดการศึกษาสำหรับเด็ก พิเศษให้มีประสิทธิภาพบรรลุผลตามที่ร่วมกันกำหนดไว้ 5. หลักความสอดคล้อง การจัดการศึกษาตามหลักการข้อนี้ ผู้จัดการศึกษาควรดำเนินการดังนี้ 5.1 จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของเด็กพิเศษ 5.2 จัดการศึกษาให้เหมาะสมกับความสามารถในการรับรู้และการเรียนรู้ 5.3 จัดการศึกษาให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กพิเศษ สรุปได้ว่า หลักการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ อย่างแรกจะต้องเปิดโอกาสให้ นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป มีการจัดการเรียนรู้ตาม ศักยภาพของเด็กแต่ละคน โดยได้รับความร่วมมือกันระหว่างผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ครูต้องศึกษาและทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมของเด็กแต่ละประเภท กำหนดแผนการศึกษา มีการประเมินตาม สภาพจริง และปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ เน้นความสามารถของเด็ก ฝึกทักษะในการดำรงชีวิตเพื่อให้เด็กที่มี ความต้องการพิเศษสามารถอยู่ร่วมกันกับคนในสังคมได้อย่างมีความสุข 3.4 วิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ การวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทศนิยม โดยการจัดการเรียนรู้ แบบเรียนรวมของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่า มะปราง) กลุ่มตัวอย่างของผู้วิจัยเป็นนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษทั้งหมด 3 คน ซึ่งเป็นนักเรียนที่จัดอยู่ในกลุ่ม เด็กที่มีความบกพร่องในด้านต่างๆ ได้แก่ เด็กออทิสติก เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด และเด็กสมาธิสั้น ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ 3.4.1 วิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กออทิสติก ณัชพร ศุภสมุทรและคณะ (2558) เนื้อหาของหลักสูตรในการสอนเด็กกลุ่มออทิสติกจะมีการแบ่งเนื้อหา ออกเป็น 9 ทักษะ ได้แก่ ทักษะความเข้าใจ ทักษะการเลียนแบบ ทักษะการรับรู้ทักษะการช่วยเหลือตนเอง ทักษะ ด้านสังคม ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก ทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ทักษะพื้นฐานทางวิชาการ ทักษะการสื่อสาร และ กิจกรรมเสริมพิเศษ 1 กิจกรรม เทคนิคการสอนเด็กกลุ่มออทิสติก มีดังนี้ 1. ควบคุมพฤติกรรมที่ผิดปกติ และส่งเสริมพฤติกรรมสร้างสรรค์ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคม
34 2. การวิเคราะห์งาน (Task Analysis) 3. การกระตุ้นให้เด็กทำตาม (Prompting) 4. การกระตุ้นทางกาย (Phyiscal Prompting) 5. การกระตุ้นทางวาจา (Verbal Prompting) 6. การเน้น (Highlighting) 7. การเลียนแบบ (Imitation) 8. การจัดสภาพแวดล้อม (Classroom environment) หลักการสอนเด็กออทิสติก 1. สอนเป็นรายบุคคล และตามระดับความสามารถของเด็ก 2. สอนจากง่ายไปยาก ใกล้ตัวไปไกลตัว 3. สอนโดยใช้หลัก 3 R 4. สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง 5. เวลาในการทำกิจกรรมไม่ควรเกิน 15-20นาที 6. การเรียนรู้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งนี้การเรียนรู้ได้ดีขึ้นอยู่กับครูผู้สอน พฤติกรรมการเรียนรู้ และตัวเด็กเอง หลักสำคัญของครูสอนเด็ก กลุ่มออทิสติกคือ ครูต้องมีความยืดหยุ่นสูง คำนึงถึงวิธีการเรียนรู้ของเด็กเป็นสำคัญ ต้องมีเจตคติที่ดี มีเมตตา คลุก คลีกับเด็กจนเด็กยอมรับและนอกจากนี้ยังมีเทคนิคการปรับพฤติกรรม คือ การไม่สนใจ การเบี่ยงเบนความสนใจ การให้แรงเสริมทางบวก การแยกเด็กให้อยู่ตามลำพังการลงโทษหรือเป็นการลงโทษโดยตัดรางวัล และการสร้าง พฤติกรรมใหม่ โดยครูช่วยเหลือให้เด็กทำพฤติกรรมที่ต้องการแล้วลดการช่วยเหลือลง มีการให้กำลังใจด้วยการให้ รางวัล และครูแสดงพฤติกรรมให้เด็กดูเป็นตัวอย่าง แบร์รี เอ็ม. พริแซนต์(2558) วิธีสอนเด็กออทิสติกที่คุณครูทำมีอยู่หลายวิธีที่ถูกต้อง และในบางกรณี เมื่อ ครูนำวิธีเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม ก็จะรับประกันได้ว่าการสอนเด็กออทิสติกให้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จะประสบ ผลสำเร็จได้อย่างดีเยี่ยมอย่างแท้จริง ซึ่งมีวิธีการดังนี้
35 1. ใช้รูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับเด็กออทิสติก เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด เรื่องวิธีการสอน ครูมีวิธีสอนเด็ก ให้เรียนรู้หลายแบบ ทั้งนี้เพราะครูเข้าใจว่าเด็กๆ เองก็มีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน สำหรับเด็ก ออทิสติก นั้น เด็กจะเรียนรู้ได้ไม่ดีนัก ถ้าเด็กต้องใช้เวลาในการเรียนเรื่องนั้นๆ เป็นระยะเวลานานๆ โดยที่ครูใช้การพูดและ การบรรยายเป็นวิธีหลักในการสอน โดยทั่วไปแล้วเด็กออทิสติกจะเรียนรู้ได้ดีมากยิ่งขึ้น หากได้เรียนรู้ผ่าน ประสบการณ์ หรือ “การเรียนรู้ผ่านรูปแบบหลายมิติ (Multimodal Fashion)” กล่าวคือ เด็กได้เรียนรู้ผ่านการ สัมผัส ผสมผสานกับการได้มองเห็น ได้มีประสบการณ์ และได้ลงมือทำ ไม่ใช่เพียงแต่เรียนรู้ผ่านการฟังและ ประมวลผลสิ่งที่ครูบรรยายหรือสอนแต่เพียงรูปแบบเดียว 2. ให้โอกาสเด็กได้แสดงออกซึ่งความสามารถและศักยภาพในตัวตามที่เด็กมีอยู่ ครูผู้สอนต้องให้เด็กออทิ สติกได้แสดงออกซึ่งศักยภาพที่มีอยู่ ดอกเตอร์ แบร์รี เอ็ม. พริแซนต์ ได้ยกตัวอย่างว่ามีครูสอนดนตรีท่านหนึ่งที่ไม่ เคยเข้าฝึกอบรมพิเศษใดๆ เรื่องวิธีสอนเด็กออทิสติกแต่ครูท่านนี้มีเด็กออทิสติกเรียนร่วมในชั้นเรียน และในการ เรียนการสอนของครู ท่านต้องทำให้มั่นใจเสมอว่าเด็กๆ ทุกคนจะได้เข้ากลุ่มและร่วมทำสิ่งต่างๆ ที่เด็กทำได้ดีจาก การส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้ทำสิ่งที่ตนเองถนัดและทำได้ดีนี้ ครูพบว่ามีเด็กนักเรียนออทิสติกคนหนึ่งของเขามี ระดับเสียงที่ดีเยี่ยมและร้องเพลงได้ไพเราะ ครูก็ต่อยอดความสามารถของเด็กด้วยการลงมือสอนเด็กคนนั้นเรื่อง การขับร้องอย่างจริงๆจังๆต่อไป 3. พูดคุยและแสดงทีท่ากับเด็กออทิสติกแบบให้เกียรติกันและกัน ในกรณีที่ครูรู้ว่าเด็กมีปัญหาหรือความ บกพร่อง ครูจะไม่พูดถึงเด็กในแง่ลบต่อหน้าเด็กคนอื่นๆ ในชั้นเรียน ทั้งนี้เพราะที่จริงแล้วเด็กออทิสติกเข้าใจสิ่ง ต่างๆมากกว่าที่เราคิดว่าพวกเขาเข้าใจ บางครั้งอาจดูเหมือนว่าเด็กมองไปทางอื่น ไม่สนใจเรา หรือไม่มีทีท่าว่าจะ เข้าใจเรื่องที่เราพูด แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น กลับกลายเป็นว่าเด็กกำลังคิดประมวลผลข้อมูลต่างๆที่ตนเองได้รับ อยู่ต่างหาก ดังนั้น การพูดคุยและแสดงท่าทีให้เกียรติเด็กจึงเป็นเรื่องสำคัญมากอีกประการหนึ่งที่ต้องทำ 4. ช่วยบอกให้เด็กได้รู้ว่าจะเกิดอะไรในลำดับถัดไป การบอกให้เด็กออทิสติกรู้และคาดคะเนได้ถึงสิ่งที่จะ เกิดขึ้นล่วงหน้าเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อได้ทำเด็กจะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดียิ่งขึ้น มีงานเขียนหลายเรื่องที่ระบุว่าเมื่อบุคคล ออทิสติกคาดคะเนหรือได้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในลำดับถัดไป จะช่วยพวกเขาได้เป็นอย่างมาก และแม้แต่ เราซึ่งเป็นคนปกติ การได้รู้ล่วงหน้าก่อนเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในชีวิตก็ช่วยเราได้มากเหมือนกัน 5. ให้การยอมรับว่าเด็กออทิสติกเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าของชุมชน (โรงเรียน) เรื่องเด็กออทิสติกนี้ ไม่ได้มีแต่ ครูผู้สอนเท่านั้นที่จะช่วยเด็กได้ ทั้งนี้หากผู้บริหารของสถานศึกษา (ไม่ว่าจะเป็นครูใหญ่หรือครูผู้ช่วยฝ่ายปกครอง) ให้การยอมรับว่าเด็กออทิสติกเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าของโรงเรียน ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์หรือพูดคุยกับเด็กแบบใ ห้ เกียรติกันและกัน การแสดงออกเช่นนี้จะกลายเป็นต้นแบบการปฏิบัติสำหรับครูท่านอื่น ๆ ช่วยทำให้โรงเรียน
36 กลายเป็นชุมชนของคนที่มีความรัก ความใส่ใจ และเข้าใจกันและกัน และช่วยให้ผู้ปกครองของเด็กออทิสติกรู้สึกดี ที่ลูกๆของพวกเขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมและชุมชนที่ยอมรับว่าลูกของพวกเขาเป็นเด็กที่มีคุณค่าได้อีกด้วย จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์ (2559: 70-73) ในการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กออทิสติก ครูและผู้เกี่ยวข้องควร ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเรียนรู้ของเด็กออทิสติก องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ วิธีการ จัดการเรียนรู้ และข้อควรคำนึงในการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กออทิสติก เด็กออทิสติกส่วนใหญ่มีปัญหาที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนาการในด้านการสื่อสาร ด้านสังคม และมีพฤติกรรมการทำซ้ำๆ ปัญหาที่พบได้แก่ มีความปกติของการ พูด การไม่สบตา ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และด้านพฤติกรรมการทำซ้ำๆ เด็กพิเศษกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้เช่นเดียวกับ เด็กพิเศษปกติแต่จะต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาทักษะด้านภาษา การสื่อความหมาย รวมทั้งควรได้รับการ แก้ไขเกี่ยวกับพฤติกรรมซึ่งอาจเป็นอุปสรรคของการเรียนรู้เสียก่อน จากนั้นจึงจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ของเด็กออทิสติกต่อไป การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กออทิสติก ครูควรดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องหลักสูตร การจัดการ เรียนรู้ สื่อ และการวัดประเมินผลการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ด้านหลักสูตร การจัดหลักสูตรการศึกษาสำหรับเด็กออทิสติก จัดโดยใช้หลักสูตรปกติเป็นหลัก และ ปรับเพิ่มเติมหลักสูตรในสาระที่เกี่ยวกับการสื่อความหมายและการพัฒนาทักษะทางสังคม 2. ด้านการจัดการเรียนรู้ เด็กออทิสติกส่วนใหญ่ขาดทักษะการสื่อความหมายและทักษะทางสังคม มีการ แสดงออกน้อย ไม่ค่อยมีความมั่นใจ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรจัดแบ่งเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน ให้เด็กทำกิจกรรม ทีละขั้น นอกจากนี้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ควรอออกแบบกิจกรรมที่ให้เด็กได้ทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม เพื่อ เสริมสร้างประสบการณ์ทางสังคมของเด็กพิเศษให้มีมากขึ้น 3. ด้านสื่อ เนื่องจากเด็กออทิสติกมีปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสาร สื่อที่ใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ส่วนใหญ่เป็น สื่อที่ให้เด็กพิเศษรับรู้ทางการเห็น เป็นสื่อที่มีลักษณะเป็นรูปภาพและสัญลักษณ์ที่ครูใช้ในการสื่อสารแทนการใช้ คำพูดกับเด็กออทิสติก สื่อที่ใช้ เช่น 3.1 ภาพตารางและปฏิทิน ทำเพื่อให้เด็กได้รับทราบว่าเวลาใดควรทำอะไร เช่น ตารางการปฏิบัติ ตัวประจำวัน ตารางประจำสัปดาห์ ปฏิทินประจำเดือน ปฏิทินประจำเดือนของผู้ปกครอง 3.2 ภาพเพื่อการให้ข้อมูล เป็นการให้ข้อมูลหรือเตรียมการก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เพื่อให้ รับรู้ถึงลำดับเหตุการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น
37 3.3 ภาพเพื่อการควบคุมสิ่งแวดล้อม เป็นการจัดทำทางเลือก จัดทำสิ่งที่ร้องขอ การเจรจาต่อรอง การปฏิเสธถ้าไม่ต้องการ เช่น ในการทำกิจกรรมออกกำลังกาย ครูให้ดูภาพว่าจะเลือกกิจกรรมอะไรระหว่างการ เล่นฟุตบอลกับการว่ายน้ำ 3.4 ภาพเพื่อใช้พัฒนากฎระเบียบต่างๆ เช่น เมื่อต้องการบอกให้เด็กพิเศษทิ้งขยะในทั้ง ครูจะติด ภาพไว้ใกล้กับถังขยะหรือติดป้ายเพื่อบอกให้ทราบว่าไม่อนุญาตให้เด็กพิเศษคุยกันในบริเวณนี้ ครูจะติดภาพไว้ใน บริเวณที่ห้ามใช้เสียง 3.5 ภาพเพื่อการแนะนำพฤติกรรม 3.6 ภาพเพื่อการจัดการกับตนเอง เป็นภาพที่แสดงให้เห็นขั้นตอนในการปฏิบัติของเด็ก ออทิ สติกเกี่ยวกับการจัดการตนเอง เช่น ขั้นตอนในการอาบน้ำ 3.7 ภาพนำเสนอกิจกรรม เป็นการนำภาพให้เด็กพิเศษดูเพื่อให้เด็กพิเศษทราบสิ่งที่ต้องการให้ เรียนรู้หรือปฏิบัติ 3.8 ภาพเพื่อการกระตุ้นเตือน การให้ดูภาพเด็กนอนบนเตียงเพื่อสื่อสารให้ทราบว่าขณะนี้เป็น เวลานอน ให้เด็กพิเศษไปนอนในบริเวณที่นอนของตน เป็นต้น 4. ด้านประเมินผลการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้เด็กออทิสติกควรใช้การประเมินตามสภาพจริง เน้นการประเมินเพื่อให้ทราบพัฒนาการในการเรียนรู้ ควรทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ ทราบผลการเรียนรู้ที่แท้จริง ในการทดสอบครูอาจต้องใช้สื่อประกอบคำสั่งที่ใช้ในการทดสอบเพื่อให้เด็กพิเศษ เข้าใจว่าต้องการให้เด็กพิเศษปฏิบัติเรื่องใด และควรทำเมื่อเห็นว่าเด็กพิเศษมีความพร้อมที่จะรับการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ สรุปได้ว่า วิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กออทิสติก ครูจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรม ของเด็ก รู้จักมีความยืดหยุ่น ครูจะต้องรู้จักยอมรับกับระดับความสามารถของเด็กและพฤติกรรมของเด็กให้ได้ ก่อนที่จะสอนให้เด็กรู้จักยอมรับในตนเอง มีการพูดคุยและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้ เหมาะกับศักยภาพของเด็ก จัดกิจกรรมที่สามารถเพิ่มทักษะการสื่อความหมายและทักษะทางสังคม โดยหลักใน การจัดกิจกรรมคือ ครูจะต้องมีความชัดเจน จัดการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกถึง ความสามารถ มีการใช้สื่อที่หลากหลาย ใช้สื่อที่เป็นรูปและสัญลักษณ์ต่างๆแทนการใช้คำพูด มีการใช้เทคนิคต่างๆ การจัดการพฤติกรรมอย่างเหมาะสม เช่น การเสริมแรงทางบวก จัดให้มีการวัดและประเมินผล โดยประเมินผลตาม สภาพจริง
38 3.4.2 วิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด อรนุช ลิมตศิริ(2557) การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด กลยุทธ์ในการ จัดการเรียนการสอนครอบคลุมถึงวิธีการดังต่อไปนี้ 1. การบำบัด (Therapy) วิธีการบำบัดสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด ที่ได้รับการนิยมมากที่สุด คือ การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) โดยผู้ให้การบำบัด ให้เด็กเล่นของเล่นที่เหมาะสมกับเด็ก ชักจูงให้เด็กได้ สัมผัส จับต้องและสำรวจของเล่นชิ้นนั้น ต่อมาจะมีการถามคำถาม เช่น ของเล่นนี้สีอะไร ทำอะไรได้บ้าง เป็นต้น และกระตุ้นให้เด็กตอบคำถาม ถ้าเด็กตอบคำถามเพียงคำเดียวสั้นๆ ผู้ให้การบำบัดจะขยายคำตอบเด็ก และเป็น แบบอย่างที่ถูกต้องในการพูดให้กับเด็ก 2. Interactive Approach บางครั้งเรียกว่า Incidental Teaching และ Social Language Learning เป็นวิธีการที่ผู้ปกครอง ครูที่จบมาทางด้านการศึกษาพิเศษ หรือนักแก้ไขการพูด พยายามใช้ธรรมชาติของเด็ก เพื่อให้เด็กได้พูดคุยว่าเด็กกำลังทำอะไรอยู่ หรือปรารถนาที่จะทำอะไร เช่น ขณะที่เด็กรับประทานอาหาร กำลัง เล่น หรือไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆในชุมชนตน ซึ่งอาจเป็นร้านอาหาร ร้านค้า เป็นต้น วัตถุประสงค์ของวิธีการนี้เพื่อ ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสพูดให้มากที่สุด และเพื่อพัฒนาความสามารถทางคำศัพท์และการใช้ภาษาได้ถูกต้องมากขึ้น 3. การใช้คอมพิวเตอร์ นักแก้ไขการพูดใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งในการบำบัด เนื่องจากการ ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยดึงดูดความสนใจของเด็กในการฝึกทำแบบฝึกหัด ทำให้เด็กลดความคับข้องใจในการเขียน 4. การช่วยเหลือเด็กที่มีความผิดปกติทางด้านจังหวะของการพูด ครูประจำชั้นสามารถทำงานร่วมกับนัก แก้ไขการพูดในการให้ความช่วยเหลือเด็กที่มีความผิดปกติทางด้านจังหวะของการพูด โดยเฉพาะเด็กที่ติดอ่าง โดย การฝึกให้เด็กเหล่านั้นเผชิญกับปัญหาและจัดประสบการณ์ทางด้านการพูดภายนอกห้องเรียน เช่น การไปซื้อของ การใช้โทรศัพท์ การถามทาง รวมทั้งการอภิปรายต่างๆที่เด็กปกติได้รับมอบหมายในห้องเรียน ควรให้เด็กที่ติดอ่าง นี้ได้มีส่วนร่วมอภิปรายด้วย แต่ทั้งนี้ครูไม่ควรขัดจังหวะ หรือสอดแทรกในขณะที่เด็กพูด บุญส่ง ขนานแข็ง (2562) การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา การศึกษาของเด็กในวัยเรียน ครูที่มีการสังเกตจะทำการส่งต่อเด็กที่มีทักษะการสื่อความหมายที่ไม่ดีไปรับความ ช่วยเหลือพิเศษ เมื่อเด็กถูกคัดแยกว่ามีความบกพร่องทางการพูดหรือภาษา และได้รับการบริการพิเศษจากนัก แก้ไขการพูดแล้ว ครูควรทำงานและให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับนักแก้ไขการพูด นักแก้ไขการพูดสามารถให้ การแนะแนวและคำแนะนำที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงไปใช้ในชั้นเรียนปกติ ตัวอย่างเช่น นักแก้ไขการพูดอาจจะ แนะนำหนทางที่ครูสามารถเพิ่มพูนภาษาพูดของเด็ก คือการเป็นผู้ฟังที่สนใจ ให้โอกาสเด็กได้พูดถึงสิ่งที่สนใจมาก
39 ขึ้น ถามคำถามปลายเปิดที่สนับสนุนให้เด็กพูดคุยมากขึ้น นักแก้ไขการพูดและครูสามารถทำการสอนเป็นคณะใน หน่วยการเรียนเฉพาะซึ่งบูรณาการการเรียนการสอนภาษาเข้าไปในหลักสูตรปกติ ครูสามารถปรับปรุงการสอนของ ตนเองและปรับสิ่งแวดล้อมทางภาษาในชั้นเรียนเพื่อให้เหมาะสมกับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาได้ โดยใช้หลักการและวิธีสอน ดังนี้ หลักการสอน 1. พูดให้ช้าลง 2. จัดสิ่งแวดล้อม สื่อความหมายที่ผ่อนคลาย โดยใช้การหยุดเป็นช่วงสั้นๆ ระหว่างการโต้ตอบ 3. จัดรูปแบบของภาษาที่ดีด้วยการปรับให้ง่ายและเหมาะสม 4. ยอมรับสิ่งที่เด็กพูดมากกว่าพูดอย่างไร โดยเฉพาะเด็กติดอ่าง 5. จัดวางหลักการสนทนาที่ดี โดยที่ไม่มีการขัดการสนทนา จะเป็นการสลับการพูด 6. ฟังนักเรียนพูดอย่างเอาใจใส่ 7. จัดให้มีครูสอนพิเศษ 8. ให้การชมเชยแก่เด็กสำหรับความพยายาม 9. ประเมินผลงานจากผลลัพธ์ ไม่ใช่ระดับการเรียนรู้เฉพาะ 10. จัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อว่าเด็กจะได้สามารถทำได้ดี อย่างน้อยก็บางงานในหลายวิชาของภาค เรียนหรือของปีการศึกษา ลักษณะการจัดการเรียนการสอน 1. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ควรเข้าเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 2. หลักสูตรที่ใช้คือ หลักสูตรปกติอาจปรับกิจกรรมพิเศษในหลักสูตรเป็นการสอนเพื่อแก้ไขการพูดโดยครู ประจำชั้นในกรณีที่เด็กมีความผิดปกติไม่มากนัก และมีครูเดินสอนซึ่งมีความชำนาญในการสอนเพื่อแก้ไขการพูด เวียนมาสอนเด็กในกรณีที่เด็กมีความผิดปกติรุนแรง 3. การแก้ไขการพูดควรให้บริการแก่เด็กเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ตั้งแต่เริ่มค้นพบความผิดปกติ ก่อนที่ความ ผิดปกตินั้นจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
40 4. การแก้ไขการพูดควรให้บริการควบคู่กันไปกับการศึกษาปกติในโรงเรียน สื่อการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนโดยทั่วไปเหมือนกับของเด็กปกติ โดยครูปรับให้เหมาะสมกับกิจกรรมการสอน เด็กที่ มีความบกพร่องทางการพูดหรือภาษา หนังสือเกี่ยวกับวรรณคดีสำหรับเด็กอาจจะเป็นหนังสืออ่านง่าย นิทาน หนังสือเล่มใหญ่ เหมาะสำหรับการสอนภาษาและการพูดของเด็ก เกมต่างๆ ที่อาจใช้บัตรคำหรือภาพประกอบการ เล่นบัตรคำ และภาพควรจะมีขนาดและสีสันที่เหมาะสม ปลอดภัย และจูงใจเด็ก เป็นต้น โดยพิจารณาให้เหมาะสม กับวุฒิภาวะ ระดับชั้นเรียน และระดับความสามารถของเด็ก การให้ความช่วยเหลือและสิ่งอำนวยความสะดวก โรงเรียนควรจัดให้มีตารางเวลาสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดหรือภาษาได้ฝึกพูด แก้ไขการพูดที่ บกพร่องกับนักแก้ไขการพูด ส่งครูเข้าอบรมวิธีการสอนเด็กประเภทนี้ จัดสิ่งแวดล้อมในห้องเรียนและรอบบริเวณ โรงเรียน รวมทั้งกิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมร่วมหลักสูตรที่สนับสนุนการพูดและการใช้ภาษาของเด็ก บรรยากาศในการสอน 1. ห้องเรียนหรือสถานที่สอนพูดสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดแลพภาษาควรเงียบ ไม่มีเสียง รบกวน ทั้งต้องไม่พลุกพล่าน เพราะจะทำให้สมาธิของผู้สอนและเด็กที่รับการฝึกเสียไป 2. แสงสว่างต้องมีพอ จะช่วยลดความเครียดของเด็กลงไปได้ อากาศถ่ายเทได้ดี มีแสงสว่าง การประเมินผลการเรียน เนื่องจากการเรียนการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาให้หลักสูตรปกติ จึงประเมินผลตาม ระเบียบการประเมินตามหลักสูตร โดยเน้นการประเมินผลที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ การกระทำ การแสดงอออกของเด็ก หลายๆด้านตามสภาพความเป็นจริง มีการใช้ข้อมูลและวิธีการที่หลากหลายในการประเมิน เช่น การสังเกต การ ตรวจงาน และการประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน เป็นต้น ปัณณ์พัฒน์ จันทร์สว่าง (2565) ได้กล่าวว่า แนวทางของครูในการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความ บกพร่องทางการพูด มีดังนี้
41 1. ศึกษาเกี่ยวกับความบกพร่องทางการพูดและภาษาของเด็กแต่ละคนให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้เพราะเด็กแต่ ละคนย่อมมีปัญหาที่แตกต่างกัน ดังนั้น ครูจึงจำเป็นต้องทราบลักษณะความบกพร่องและผลกระทบที่มีต่อ ความสามารถในการสื่อสารของเด็กเป็นรายบุคคล 2. ตระหนักว่าครูมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนชีวิตเด็กเช่นกัน โดยการหมั่นสังเกตจนพบจุดแข็งของเด็ก รวมถึงสิ่งที่เด็กสนใจเป็นพิเศษ แล้วจึงสนับสนุนให้เด็กทำกิจกรรมเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อต่อยอด ความสามารถ อันถือเป็นการสร้างโอกาสให้เด็กก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ในอนาคต 3. ให้การอำนวยความสะดวกที่จำเป็น เช่น ในการทำกิจกรรม การทำการบ้าน การทำข้อสอบ ทั้งนี้การ ช่วยเหลือที่เหมาะสมดังกล่าว จะสามารถทำให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้เกี่ยวข้องที่สามารถให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการสอนเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ มีความบกพร่องทางภาษาและการพูด รวมไปถึงหาหนทางในการปรับหลักสูตรการเรียนให้เหมาะกับเด็กที่มีปัญหา 5. หาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งในชุมชนและนอกชุมชนที่ให้การช่วยเหลือและสนับสนุน การศึกษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้เด็กได้รับการช่วยเหลือและ สนับสนุนที่มากขึ้น 6. ติดต่อกับผู้ปกครองของเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อร่วมกันสังเกต พฤติกรรมการแสดงออกของเด็กระหว่างบ้านและโรงเรียน รวมทั้งถือเป็นการประเมินแนวโน้มการพัฒนาของเด็ก เพื่อวางแผนการช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กต่อไปในอนาคต สรุปได้ว่า วิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด ครูต้องศึกษาถึงความบกพร่อง ทางการพูดของเด็กให้ชัดเจนว่าเด็กมีปัญหาอะไร เพื่อให้การจัดการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การสอนเด็ก ที่มีความบกพรองทางการพูดนั้น อันดับแรกครูจะต้องเป็นผู้ฟังที่ดี เป็นแบบอย่างที่ถูกต้องในการพูด เปิดโอกาสให้ เด็กได้พูดถึงสิ่งที่สนใจ ไม่ขัดการสนทนาและยอมรับในสิ่งที่เด็กพูด ในการจัดกิจกรรมต่างๆครูควรพูดให้ช้าลง ปรับ รูปแบบการใช้ภาษาให้ง่ายและเหมาะสมกับระดับความรู้ ความสามารถของนักเรียน ครูมีการใช้คำถามปลายเปิด เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดและมีการพูดคุยกันมากขึ้น มีการหยุดเป็นช่วงสั้นๆระหว่างการตอบโต้ และครูคอยขยายคำตอบของนักเรียนเพื่อฝึกให้นักเรียนได้รู้จักคิด มีการปรับสภาพแวดล้อมภายในชั้นเรียน และมี การใช้สื่ออย่างเหมาะสมและน่าสนใจ อาจเป็นบัตรคำหรือบัตรรูปภาพ และใช้วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง 3.4.3 วิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กสมาธิสั้น
42 ณัชพร ศุภสมุทรและคณะ (2558) กล่าวว่า โรคสมาธิสั้น เป็นการขาดความสามารถ ความตั้งใจ ความ สนใจต่อกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่กำลังกระทำอยู่ เป็นความผิดปกติทางพฤติกรรมชนิดหนึ่งที่เด็กมักแสดงออก จนเป็นลักษณะเฉพาะตัว ประกอบด้วยพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับวัย หรือระดับพัฒนาการปกติมาตรฐาน ซนมาก ไม่มีระเบียบ วอกแวก ขาดสมาธิ มักทำอะไรก่อนคิด วู่วาม ก้าวร้าว คำแนะนำสำหรับครูในการช่วยเหลือเด็กสมาธิ สั้น มีดังนี้ 1. จัดให้เด็กนั่งหน้าชั้น หรือใกล้ครูให้มากที่สุดในขณะสอน 2. จัดให้เด็กนั่งอยู่กลางห้อง หรือให้ไกลจากประตู หน้าต่าง หรือนั่งอยู่ในวงของเด็กที่ตั้งใจเรียน 3. เขียนการบ้าน หรืองานที่เด็กต้องทำในชั้นเรียนให้ชัดเจนบนกระดาน 4. ตรวจสมุดจดงานของเด็ก เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กจดงานได้ครบ สมุดจดการบ้านพร้อมลายเซ็นคุณครูและ ผู้ปกครองเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับเด็กกลุ่มนี้ ซึ่งใช้ดูการทำงานของเด็ก ถ้าเด็กทำไม่เสร็จจริงๆ ควรช่วยและเป็น หนทางที่จะติดต่อกันระหว่างครูกับผู้ปกครอง 5. อย่าสั่งงานให้เด็กทำ (ด้วยวาจา) พร้อมกันทีเดียวหลายๆคำสั่ง ควรให้เวลาให้เด็กทำเสร็จทีละอย่าง ก่อนให้คำสั่งต่อไป 6. คิดรูปแบบวิธีเตือนหรือเรียกให้เด็กกลับมาสนใจบทเรียนโดยไม่ให้เด็กเสียหน้า การลงโทษต้องอยู่ใน เกณฑ์ที่พอเหมาะ ไม่ประจานความคิด 7. จัดให้เด็กที่อยู่ไม่นิ่ง มีโอกาสใช้พลังงานในทางสร้างสรรค์ เช่น มอบหมายหน้าที่ให้ช่วยครูเดินแจกสมุด ให้เพื่อน ๆ ในห้อง เป็นต้น 8. ให้คำชมเชยหรือรางวัล เมื่อเด็กปฏิบัติตัวดีหรือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ 9. หลีกเลี่ยงการใช้วาจาตำหนิ ว่ากล่าวรุนแรง หรือทำให้เด็กอับอายขายหน้า 10. หลีกเลี่ยงการตีหรือการลงโทษทางร่างกาย เมื่อเด็กกระทำผิด ใช้การตัดคะแนน งดเวลาพัก ทำเวร หรืออยู่ต่อหลังเลิกเรียน (เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ) เมื่อเด็กทำความผิด 11. ให้เวลากับเด็กนานขึ้นกว่าเด็กปกติระหว่างการสอน เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้ทำงานช้า ไม่ควรปรับหรือหัก คะแนนในการทำงานช้า
43 12. ชี้ชวนให้ผู้ปกครองหาที่ที่สงบในการทำงานของเด็ก โดยตั้งเวลาสำหรับทำงาน เวลาสำหรับพ่อแม่ ตรวจการบ้าน เวลาจัดกระเป๋า ทบทวนบทเรียนโดยสม่ำเสมอ 13. ขณะพูดครูควรสบตา มีความสงบและมีความตั้งใจดี 14. เวลาครูออกคำสั่ง ควรมีความชัดเจน รัดกุม เป็นขั้นตอน เข้าใจง่าย พยายามหลีกเลี่ยงค่ำสั่งหลายๆ อย่างพร้อมๆกัน สั่งแล้วควรสังเกตว่าเด็กเข้าใจหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจต้องอธิบายซ้ำ 15. ให้ความเป็นกันเอง เปิดโอกาสให้เด็กซักถาม (เด็กกลุ่มนี้ มักจะไม่ถาม) 16. ปรับเปลี่ยนงานให้ดูง่ายขึ้น โดยเฉพาะถ้ารู้จุดอ่อนจุดแข็ง ในความสามารถของเด็กจะช่วยทำให้การ เรียนการสอนไปได้เร็ว ซึ่งบางรายอาจต้องใช้ครูการศึกษาพิเศษช่วยในบางด้าน การสอบเพื่อที่จะหาระดับความรู้ ไม่ใช่เพื่อวัดระดับความตั้งใจ 17. เด็กกลุ่มนี้มีความอดทนต่ำ ควบคุมตัวเองได้น้อย ยิ่งถ้าถูกกดดันมากๆ หรือเหนื่อยมาก มักจะแสดง ออกเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีท่าทีที่ใช้ต้องสงบ อย่าชวนทะเลาะหรือตวาดใส่เด็ก มีการเตือนถึงผลที่จะตามมาหลัง พฤติกรรมที่ไม่ดีหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ เยาะเย้ย ถากถาง เนื่องจากเด็กสมาธิสั้น จะมีความลำบากที่จะอยู่ใน กฎเกณฑ์ 18. กระตุ้นให้เด็กมองตัวเองในแง่ที่ดี และชื่นชมตัวเอง เช่น “วันนี้นั่งอยู่กับที่ได้นานขึ้น ดีจริงๆ และถาม ว่าเด็กรู้สึกอย่างไร 19. ให้รางวัล คำชม เมื่อเด็กตั้งใจ พยายาม หรือประพฤติตัวดีมีการสะสมคะแนน เพื่อสร้างแรงจูงใจ 20. มีกฎระเบียบในห้องทุกคนปฏิบัติให้เหมือนกัน ชัดเจน ไม่มีสิทธิพิเศษสำหรับเด็กสมาธิสั้นในการงด เว้นกฎ การลงโทษ สถาบันสุขภาพจิตและวัยรุ่นราชนครินทร์ร่วมกับศูนย์กายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล (2559) ได้ กล่าวว่า การช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นนั้น นอกจากแพทย์จะให้ยากินเพื่อให้มีสมาธิในการเรียนแล้ว ครู และพ่อแม่มีส่วนช่วยอย่างมาก การฝึกทักษะหลายประการที่เด็กสมาธิสั้นยังขาดอยู่ ซึ่งการขาดทักษะเหล่านั้น แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมต่างๆ เช่น ดื้อ ซน พูดไม่ฟัง ไม่มีระเบียบวินัย ไม่คิดก่อนทำ ไม่รอบคอบ ประมาท เลินเล่อ เอาแต่ใจตัวเอง การแก้ไขพฤติกรรมต่างๆส่วนใหญ่จะยากลำบาก การฝึกทักษะที่ดีให้เกิดขึ้นก่อน จึงมี ความสำคัญมากเพื่อป้องกันเด็กสมาธิสั้นมีพฤติกรรมไม่ดีจนติดเป็นนิสัยไปจนโต ซึ่งการฝึกทักษะมักต้องใช้ เวลานาน ต้องอาศัยความอดทน ความเอาจริงเอาจัง ความสม่ำเสมอและความร่วมมือของครูและพ่อแม่อย่างมาก