The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by มณฑิดา ฝั่งซ้าย, 2024-01-28 22:01:42

108 (STS) มณฑิดา

108 (STS) มณฑิดา

43 4.5 แนวทางการสอนเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ทัศนา แขมมณี (2544 :15 - 16) กล่าวถึงการสอนเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ว่า ในการจัด กระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนผู้สอนจะต้องรู้และพัฒนานักเรียน ในเรื่อง ทักษะการไตร่ตรองและโครงสร้างกระบวนการคิดให้เกิดในตัวนักเรียน สิ่งสำคัญ คือผู้สอนต้องมีความ เชื่อมั่นในการรับผิดชอบของนักเรียน ในการที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง และเกิดความมั่นใจว่าการมีส่วนร่วม ของนักเรียนจะก่อให้เกิดความเพลิดเพลินเห็นคุณค่าในการเรียนรู้เป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะจัดสร้าง บรรยากาศในชั้นเรียนให้เป็นชั้นเรียนที่ส่งเสริม กระตุ้น ให้นักเรียนได้ทำงานอย่างอิสระและร่วมกันทำงาน ทุกคน จัดวางรูปแบบการคิดและยุทธศาสตร์การคิดให้เหมาะสม นอกจากนี้การสอนที่ส่งเสริมการคิด วิเคราะห์ประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1. สอนด้วยการตั้งคำถาม ทั้งคำถามเดียวและคำถามแบบชุด 2. สอนโดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) ฝึกการวิเคราะห์และสังเคราะห์ 3. การเรียนรู้แบบปรึกษาหารือ 4. บันทึกการเรียนรู้บันทึกข้อสงสัยความรู้สึกส่วนตัวความคิดที่เปลี่ยนไป 5. การถามตัวเองในการวางแผน จัดระเบียบ คิดไตร่ตรองในเรื่องการเรียนรู้ของตนเอง 6. การประเมินตนเองเพื่อประเมินความคิดความรู้สึกของตนเอง ดลิก ดลิกกานนท์ (2534 : 63 - 66) เสนอแนวทางในการฝึกให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ มีขั้นตอน ดังนี้ 1.วิเคราะห์ว่าอะไรคืออะไร ขั้นนี้ผู้เรียนต้องรวบรวมปัญหา หาข้อมูลพร้อมสาเหตุของปัญหาจาก การคิด การถาม การอ่าน หรือพิจารณาจากข้อเท็จจริงนั้นๆ 2. กำหนดทางเลือก เมื่อหาสาเหตุของปัญหานั้นได้แล้ว ผู้เรียนต้องหาทางเลือกที่จะแก้ปัญหา โดยพิจารณาจากความเป็นไปได้และข้อจำกัดต่าง ๆ ทางเลือกที่จะแก้ปัญหานั้นไม่จำเป็น ต้องมีทางเลือก เดียวอาจมีทางเลือกหลาย ๆ ทาง 3. เลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เป็นการพิจารณาทางเลือกที่ใช้แก้ปัญหานั้น โดยมีเกณฑ์การ ตัดสินใจที่สำคัญ คือผลดีผลเสียที่เกิดจากทางเลือกนั้นทั้งที่เกิดขึ้นในด้านส่วนตัว และสังคมส่วนรวม 4. ตัดสินใจ เพื่อพิจารณาเลือกอย่างรอบคอบในขั้นตอนที่ 3 แล้วจึงตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คิด ว่าดีที่สุด หลังจากนั้นครูต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เสนอความคิดของเขา และอภิปรายร่วมกัน ในกลุ่มโดย ครูต้องยอมรับความคิดเห็นของทุกคน ถ้าหากคำตอบของผู้เรียนมีการขัดแย้งขึ้นในกลุ่ม ครูต้องเป็นผู้ตั้ง คำถามด้วยการให้คิดต่อไปว่าคำตอบใดก่อให้เกิดผลในทางดีและไม่ดีอย่างไรบ้างอะไร เป็นประโยชน์แก่ ตนเองและสังคมมากที่สุด


44 แนวคิดนี้สอดคล้องกับ ศิริกาญจน์โกสุม และดารณี คำวัจนัง (2545 : 52 - 53) กล่าวถึงแนวทาง การสอนที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า ในการสอนเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ต้องเริ่มจากทักษะพื้นฐาน ขั้นต้น ไปสู่ทักษะขั้นสูง ดังนี้ 1. การสังเกตเป็นทักษะขั้นต้น ในการศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและทางสังคม ครูอาจฝึก ให้นักเรียนรู้จักการสังเกตโดยตรง เช่น สังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสังเกตความเป็นอยู่ของคนใน ชุมชน สังเกตการณ์การดำรงชีวิตของสัตว์สังเกตของจริง ฯลฯ และการสังเกตโดยทางอ้อม เช่น การสังเกต จากภาพถ่าย แผนที่ วีดีทัศ รูปจำลอง สไลด์การเล่นเกมบางประเภท เช่น เกมจับผิดหรือเกมจับคู่รูปภาพ เป็นต้น การฝึกการสังเกตจะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกการเฝ้าดูรายละเอียดของสถานการณ์ต่าง ๆ พฤติกรรม ของคน วัตถุสิ่งของรายงาน หรือบุคคล 2. การวัดและการใช้ตัวเลข ในชีวิตประจำวันของนักเรียนจะต้องเกี่ยวข้องกับการชั่งน้ำหนัก การวัดส่วนสูง การวัดไข้การวัดพื้นที่ปริมาตร การคำนวณทางคณิตศาสตร์การดูเวลา วันเดือนปี ที่เป็น ตัวเลข ซึ่งนักเรียนควรได้รับการฝึกทั้งโดยการคิดคำนวณและการสังเกตเพื่อประมาณการ 3. การจำแนกประเภท สิ่งของที่อยู่รอบตัวเราสามารถจัดเป็นประเภทได้หลายประเภท ตาม เกณฑ์ที่ใช้เช่น สีรูปร่าง อายุขนาด ลักษณะคล้ายคลึงหรือแตกต่าง ซึ่งนักเรียนควรได้รับการฝึกให้จำแนก ประเภท คน สัตว์สิ่งของ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมรอบตัวโดยใช้เกณฑ์ที่ตนเองสร้างขึ้นอย่าง สม่ำเสมอเพื่อฝึกการคิดวิเคราะห์ โดยจำแนกประเภทของสิ่งต่าง ๆ 4. การสื่อสาร สามารถสังเกตได้จากการฟัง พูด อ่าน เขียน รวมทั้งแสดงออกทางหน้าตาท่าทาง เป็นสิ่งที่นักเรียนควรได้รับการฝึกให้มีความสามารถรับรู้และส่งข่าวสาร ความรู้สึก แนวความคิดหรือ ปัญหาต่าง ๆ กับผู้อื่น 5. การใช้ความสัมพันธ์ระหว่าง ระยะทาง - เวลา เช่น ความสัมพันธ์ของวัตถุสิ่งของสถานที่บุคคล ซึ่งสัมพันธ์กัน ในแง่ของเวลาและระยะทางการลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามลำดับก่อนหลังที่สัมพันธ์กันกับ ความใกล้ไกลของระยะทาง 6. การทำนาย เป็นการคาดเดาถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยความมั่นใจมากกว่า การ เดา เพราะมีการศึกษาหลักฐานต่าง ๆ อย่างรอบคอบหรือการสังเกตการณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องจน มั่นใจว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว จะเกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งตามมา เช่น การเห็นมดย้ายรังอาจทำนายได้ ว่าอีกไม่นานจะเกิดฝนตกหนัก เป็นต้น 7. การอ้างอิง เป็นการคงความเห็น โดยพิจารณาจากหลักการทั่วไป ไปสู่เรื่องเฉพาะเป็นการ แสดงนัยสำคัญหรือการลงข้อสรุปหรือการตัดสินสาเหตุของบางสิ่งบางอย่าง


45 8. การนิยามปฏิบัติการเป็นการตัดสินสาเหตุของบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ให้ง่ายขึ้น 9. การแปลความหมายข้อมูลเป็นการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาแปลความหรือตีความ โดย วิธีการต่าง ๆ เช่น การหาค่าทางสถิติการเขียนกราฟแบบต่าง ๆ หรือการอธิบายแล้วสรุปผล 10. การตั้งสมมุติฐาน เป็นการคาดการณ์โดยอาศัยข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับ สาเหตุหรือผลที่เกิดขึ้น แล้วทดสอบว่าสมมุติฐานใดถูกต้องที่สุด โดยสังเกตการณ์หรือศึกษาเพิ่มเติม เพื่อส่งผลให้เกิดการปรับปรุง หรือตั้งสมมุติฐานใหม่ ชาตรีสำราญ (2548 :40 - 41) กล่าวถึง เทคนิคการปูพื้นฐานให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ได้สามารถ สรุปรายละเอียด ดังนี้ 1. ครูจะต้องฝึกให้เด็กหัดคิดตั้งคำถาม โดยยึดหลักสากลของคำถามคือใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร เพราะเหตุใด อย่างไร โดยการนำสถานการณ์มาให้นักเรียนฝึกค้นคว้าจากเอกสารที่ใกล้ตัวหรือสิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งคำถามเองโดยสอนวิธีตั้งคำถามแบบวิเคราะห์ในเบื้องต้น ฝึกทำบ่อย ๆ นักเรียน จะฝึกได้เอง 2. ฝึกหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล โดยอาศัยคำถามเจาะลึกเข้าไป โดยใช้คำถามที่ชี้บ่งถึงเหตุและ ผลกระทบที่จะเกิด ฝึกจากการตอบคำถามง่าย ๆ ที่ใกล้ตัวนักเรียน จะช่วยให้เด็ก ๆ นำตัวเองเชื่อมโยงกับ เหตุการณ์เหล่านั้นได้ดีที่สำคัญครูจะต้องกระตุ้น ด้วยคำถามย่อยให้นักเรียนได้คิดบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย เป็นคนช่างคิด ช่างถาม ช่างสงสัยก่อน แล้วพฤติกรรมศึกษาวิเคราะห์ก็จะเกิดขึ้นแก่นักเรียน จากแนวคิดที่กล่าวมา ผู้วิจัยพอสรุปได้ว่าการสอนเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ผู้สอนต้องจัด กิจกรรมและสิ่งแวดล้อม ที่ส่งเสริม กระตุ้น ให้นักเรียนมีส่วนร่วมและได้ทำงานอย่างอิสระ พัฒนาทักษะ ขั้นพื้นฐานไปสู่ทักษะที่ซับซ้อน ได้แก่การสังเกต การวัด การใช้ตัวเลข การจำแนกประเภท การสื่อสาร การใช้ความสัมพันธ์ระหว่างระยะทาง เวลา การทำนาย การอ้างอิง การนิยาม ปฏิบัติการ การแปล ความหมายข้อมูลและการตั้งสมมุติฐาน โดยการสอนการคิดวิเคราะห์ ต้องประกอบด้วยการวิเคราะห์ ความสำคัญ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์หลักการ 4.6 การวัดและการประเมินการคิดวิเคราะห์ การวัดและประเมินการคิดวิเคราะห์นั้น สามารถวัดได้หลายวิธี ซึ่งมีรูปแบบแนวทางมากมายจาก กลุ่มนักวัดผลทางการศึกษาและนักจิตวิทยา ซึ่งจะนำเสนอเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้สอนนำไปพัฒนา รูปแบบ และวิธีการของตนเอง ในการคิดออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้น ให้เกิดกระบวนการคิดอย่างมี ประสิทธิภาพ ดังนี้


46 ศิริชัย กาญจนวาสี (2544 :167 - 170) กล่าวว่า การวัดความสามารถในการคิดมีหลายวิธีแยกได้ 2 ประเภท คือ 1. แนวทางของนักวัดกลุ่มจิตมิติ (Psychometrics) แนวทางการวัดจิตมิตินี้เป็นแนวทางของกลุ่มนักวัดทางการศึกษาและนักจิตวิทยาที่พยายาม ศึกษาและวัดคุณลักษณะภายในของมนุษย์มาเกือบศตวรรษแล้ว เริ่มจากการศึกษา และวัดเชาวน์ปัญญา ศึกษาโครงสร้างทางสมองของมนุษย์มาด้วยความเชื่อว่า มีลักษณะเป็นองค์ประกอบ และมีระดับ ความสามารถแตกต่างกันในแต่ละคน ซึ่งสามารถวัดได้โดยการใช้แบบทดสอบมาตรฐาน ต่อมาได้ขยาย แนวความคิดของการวัดความสามารถทางสมองสู่การวัดผลสัมฤทธิ์บุคลิกภาพ ความถนัด และ ความสามารถในด้านต่าง ๆ รวมทั้งความสามารถในการคิด 2. แนวทางของการวัดจากการปฏิบัติจริง (Authentic Performance Measurement) แนวทางการวัดนี้เป็นทางเลือกใหม่ ที่เสนอโดยกลุ่มนักวัดการเรียนรู้ในบริบทที่เป็นธรรมชาติ โดย เน้นการวัดจากการปฏิบัติในชีวิตจริงหรือคล้ายจริงที่มีคุณค่าต่อตัวผู้ปฏิบัติมิติของการใช้กระบวนการคิด ในการปฏิบัติงาน ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและการประเมินตนเอง เทคนิคการวัดใช้การสังเกตงาน ที่ปฏิบัติจากการเขียนเรียงความการแก้ปัญหาในสถานการณ์เหมือนโลกแห่งความจริง และการรวบรวม งานในแฟ้มสะสมงาน หรือพัฒนางาน การวัดความสามารถในการติดตามแนวทางนักวัดกลุ่มจิตมิติส่วน ใหญ่สนใจการวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารญาณ ซึ้งได้มีการพัฒนาแบบทดสอบกันอย่าง หลากหลาย จะขอเสนอการวัด ความสามารถในการคิดเป็น 2 ลักษณะคือ 2.1 แบบสอบถามมาตรฐานที่ใช้สำหรับวัดความสามารถในการคิดแบบสอบมาตรฐานที่ มีผู้สร้างไว้แล้ว สำหรับใช้วัดความสามารถในการคิด สามารถจัดกลุ่มได้เป็น 2 ประเภทได้แก่ 2.1.1 แบบสอบการคิดทั่วไป เป็นข้อสอบที่มุ่งวัดให้ครอบคลุมความสามารถ ด้านการคิด โดยเป็นความคิดที่อยู่เป็นพื้นฐานของการใช้ความรู้ทั่วไป แบบสอบลักษณะนี้ส่วนใหญ่เป็น ข้อสอบแบบเลือกตอบ 2.1.2 แบบสอบความสามารถในการคิดลักษณะเฉพาะ เป็นข้อสอบที่มุ่งวัด ความสามารถในการคิดเฉพาะแบบที่แสดงถึงลักษณะของการคิด เช่น ความสามารถประเมินข้อมูลที่ได้ จากการสังเกตการคิดแบบนิรนัย เป็นต้น 2.2 การสร้างแบบวัดความคิดขึ้นมาใช้เอง ถ้าแบบสอบมาตรฐานสำหรับการคิดที่มีใช้กัน อยู่ทั่วไป ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการวัด เช่น ชุดเน้น ที่ต้องการขอบเขตความสามารถทางการคิดที่มุ่ง วัดหรือกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการใช้แบบสอบถาม ผู้สอนต้องหาวิธีสร้างแบบวัดการคิดขึ้นใช้เองเพื่อให้ เหมาะสมกับความต้องการในการวัดอย่างแท้จริง


47 2.2.1 หลักการสร้างแบบวัดความสามารถทางการคิด การคิดเป็นกิจกรรมทาง สมองที่เกิดขึ้นตลอดเวลาการคิดที่น่าสนใจในที่นี้เป็นการคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งเป็นการคิดที่นำไปสู่ เป้าหมายโดยตรงหรือคิดค้นข้อ สรุป อันเป็นคำตอบสำหรับตัดสินใจหรือแก้ปัญหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การคิดจึง เป็นความสามารถหนึ่งทางสมอง การคิดเป็นนามธรรมที่มีลักษณะซับซ้อนไม่สามารถมองเห็น ไม่สามารถ สังเกต สัมผัสวัดได้โดยตรง จึงต้องอาศัยหลักการวัดทางจิตมิติ(Psychometrics) มาช่วยในการวัดการวัด ความสามารถทางการคิดของบุคคล ผู้สร้างเครื่องมือต้องมีความรอบรู้ในแนวคิดหรือทฤษฎีเกี่ยวกับ การ คิด เพื่อนำมาเป็นกรอบหรือโครงสร้างของการคิด เมื่อมีการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของโครงสร้างหรือ องค์ประกอบของการคิดแล้ว จะทำให้ได้ตัวชี้วัดหรือลักษณะพฤติกรรมเฉพาะที่เป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถ บ่งชี้ถึงโครงสร้างหรือองค์ประกอบของการคิด จากนั้นจึงเขียนข้อความตามตัวชี้วัด หรือลักษณะ พฤติกรรมเฉพาะของแต่ละองค์ประกอบของการคิดนั้น ๆ (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2547 :171) ดังภาพ ภาพที่ 2.1 หลักการสร้างแบบวัดความสามารถทางการคิด ที่มา : ศิริชัย กาญจนวาสี (2547 :171) 2.2.2 ขั้นตอนการพัฒนาแบบวัดความสามารถทางการคิด ศิริชัย กาญจนวาสี (2544 : 175) ได้อธิบายขั้นตอนการพัฒนาแบบวัดความสามารถทางการคิดว่า มีขั้นตอนการดำเนินการที่ สำคัญ ดังนี้ ความสามารถทางการคิด โครงสร้างหรือองค์ประกอบของ ความสามารถทางการคิด นิยามเชิงปฏิบัติการ ของแต่ละองค์ประกอบ เขียนคำถามเชิงพฤติกรรมที่เป็น ตัวแทน และครอบคลุมแต่ละ องค์ประกอบ สิ่งที่มุ่งวัด (นามธรรม) รูปธรรม (ตัวชี้วัด) เครื่องมือ สำหรับใช้วัด


48 1) กำหนดจุดมุ่งหมายของการวัด ผู้พัฒนาแบบวัดจะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมาย ของการนำแบบวัดไปใช้ด้วยว่าต้องการวัดความสามารถทางการคิดทั่ว ๆ ไป หรือต้องการวัดความสามารถ ทางการคิดเฉพาะวิชา การวัดนั้นมุ่งติดตามความก้าวหน้าของความสามารถทางการคิดหรือต้องการเน้น การประเมินผล สรุปรวมสำหรับการตัดสินใจ รวมทั้งการแปลผลการวัด เน้นการเปรียบเทียบกับ มาตรฐานของกลุ่มหรือต้องการเปรียบเทียบกับ เกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ 2) กำหนดกรอบของการวัดและนิยามเชิงปฏิบัติการผู้พัฒนาแบบวัดควรศึกษา แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางการคิดตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการผู้พัฒนาแบบวัดควรเลือก แนวคิดหรือทฤษฎีที่เหมาะสมกับบริบท และจุดหมายที่ต้องการเป็นหลักแล้วศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อกำหนดโครงสร้างหรือองค์ประกอบของความสามารถทางการคิด ตามทฤษฎีและให้นิยามเชิง ปฏิบัติการขององค์ประกอบในเชิงรูปธรรมของพฤติกรรมที่สามารถบ่งชี้ถึงลักษณะแต่ละองค์ประกอบของ การคิดนั้นได้ 3) สร้างผังข้อสอบ การสร้างผังข้อสอบเป็นการกำหนดเค้าโครงของแบบวัดตาม ความสามารถทางการคิดที่ต้องการสร้าง ให้ครอบคลุมโครงสร้างหรือองค์ประกอบใดบ้าง ตามทฤษฎีและ กำหนดว่า แต่ละส่วนมีน้ำหนักตามความสำคัญมากน้อยเพียงใด ในกรณีที่ต้องการสร้างแบบวัด ความสามารถทางการคิดสำหรับใช้เฉพาะวิชาใดวิชาหนึ่ง ผู้พัฒนาแบบวัดจะต้องกำหนดเนื้อหาวิชานั้น ด้วยว่า จะใช้เนื้อหาใดบ้างที่เหมาะสม แล้วนำมาใช้วัดความสามารถทางการคิดพร้อมทั้งกำหนดน้ำหนัก ความสำคัญของแต่ละเนื้อหาวิชาในแต่ละองค์ประกอบ 4) เขียนข้อสอบ กำหนดรูปแบบของการเขียนข้อสอบ ตัวคำถาม ตัวข้อสอบ และวิธีการตรวจให้คะแนน เช่น กำหนดว่า ตัวคำถามเป็นลักษณะสถานการณ์สภาพปัญหา หรือข้อมูลนั้น ๆ อาจได้มาจากบทความรายงานต่าง ๆ บทสนทนาที่พบในชีวิตประจำวัน หรืออาจเขียนขึ้นมาเอง ส่วน คำตอบอาจเป็นข้อสรุปของสถานการณ์หรือปัญหานั้น 3 - 5 ข้อสรุป เพื่อให้ผู้สอบพิจารณาตัดสินใจว่า ข้อสรุปใดน่าเชื่อถือกว่ากัน น่าจะเป็นจริงหรือไม่ เป็นต้น ส่วนการตรวจให้คะแนนมีการกำหนดเกณฑ์การ ตรวจไว้เช่น ตอบถูกต้องตรงตาม เฉลยได้ 1 คะแนน ถ้าตอบผิดหรือไม่ตอบให้0 คะแนน เป็นต้น เมื่อ กำหนดรูปแบบของข้อสอบแล้วร่างข้อสอบตามผังข้อสอบที่กำหนดไวจนครบทุกองค์ประกอบ ภาษาที่ใช้ ควรเป็นไปตามหลักการเขียนข้อสอบที่ดีโดยทั่วไป 5) นำแบบวัดไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างจริงหรือกลุ่มใกล้เคียง แล้วนำผลจาก การตอบมาทำการวิเคราะห์หาคุณภาพโดยการทำการวิเคราะห์ข้อสอบและวิเคราะห์แบบสอบ


49 6) นำแบบวัดไปใช้จริงหลังจากวิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบเป็นรายข้อ และ วิเคราะห์คุณภาพของแบบสอบทั้งฉบับว่าเป็นไปตามเกณฑ์คุณภาพที่ต้องการแล้วจึงนำแบบวัด ความสามารถทางการคิดไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายจริง ในการใช้แบบวัดทุกครั้งควรมีการรายงานค่าความ เที่ยง (Reliability) ทุกครั้งก่อนนำผลการวัดไปแปลความหมาย สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2549 : 31) นำเสนอภาพขั้นตอนการพัฒนา แบบวัดความสามารถทางการคิด ดังนี้ ภาพที่ 2.2 ขั้นตอนการพัฒนาแบบวัดความสามารถทางการคิด ที่มา : สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2549 :31) 1. กำหนดจุดมุ่งหมายของแบบวัด 2. กำหนดกรอบของการวัดและนิยาม เชิงปฏิบัติการ 4. เขียนแบบวัด 3. สร้างผังแบบวัด กำหนดรูปแบบ ของตัวคำถาม ทบทวนร่าง ข้อสอบ ร่างข้อสอบ (รวมทั้งเฉลยและ แนวทางการให้คะแนน) 5. นำแบบวัดไปทดลองใช้ วิเคราะห์ ข้อสอบ คัดเลือกข้อสอบ และทดลองใช้ใหม่ วิเคราะห์แบบ สอบ 6. แบบวัดสำหรับนำไปใช้จริง


50 จากการศึกษาหลักการและขั้นตอนการวดและประเมินการคิดวิเคราะห์ สรุปได้ว่าผู้สร้างแบบวัด การคิดวิเคราะห์ต้องกำหนดจุดประสงค์ของการวัดและประเมิน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในการ วัดอย่างแท้จริง ในการวัดการคิดวิเคราะห์ผู้สร้างแบบวัดต้องมีความรอบรู้แนวคิดหรือทฤษฎีเกี่ยวกับการ คิด เพื่อนำมากำหนดโครงสร้างหรือองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์และกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของ แต่ละองค์ประกอบเพื่อทำให้ได้ตัวชี้วัดหรือลักษณะเชิงพฤติกรรม จากนั้นเขียนคำถามเชิงพฤติกรรมที่ สอดคล้องกับ จุดประสงค์ และครอบคลุมองค์ประกอบของการคิด ดังภาพ ภาพที่ 2.3 ขั้นตอนการวัดและประเมินการคิดวิเคราะห์ ที่มา : สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2549 :31) 4.7 ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ สุวิทย์ มูลค่า (2547 :39) กล่าวถึงประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ไว้ดังนี้ 1. ช่วยให้รู้ข้อเท็จจริง รู้เหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของเหตุการณ์ ต่าง ๆ รู้ว่าเรื่องนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ทำให้เราได้ข้อเท็จจริงที่เป็นรากฐานความรู้ในการนำไปใช้ใน การตัดสินใจแก้ปัญหาการประเมินสถานการณ์และการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง กำหนดจุดประสงค์ของการวัด และประเมิน กำหนดโครงสร้างหรือองค์ประกอบของ การคิดวิเคราะห์ นิยามเชิงปฏิบัติการของแต่ละ องค์ประกอบ (ตัวชี้วัด) เขียนคำถามเชิงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ และครอบคลุมองค์ประกอบ (การคิดวิเคราะห์)


51 2. ช่วยให้สำรวจความสมเหตุสมผลของข้อมูลที่ปรากฏและไม่ด่วนสรุปตามอารมณ์ ความรู้สึก หรืออคติแต่สืบค้นตามหลักเหตุผลและข้อมูลที่เป็นจริง 3. ช่วยให้ไม่ด่วนสรุปสิ่งใดง่าย ๆ แต่สื่อสารตามความเป็นจริงขณะเดียวกัน จะช่วยให้เราไม่ หลงเชื่อข้ออ้างที่เกิดจากตัวอย่างเพียงอย่างเดียวแต่พิจารณาเหตุผลและปัจจัยเฉพาะในแต่ละกรณีได้ 4. ในการพิจารณาสาระสำคัญอื่น ๆ ที่ถูกบิดเบือนไปจากความประทับใจในครั้งแรกทำให้เรามอง อย่างครบถ้วนในแง่มุมอื่น ๆ ที่มีอยู่ 5. ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกตการหาความแตกต่างของสิ่งที่ปรากฏพิจารณาตามความ สมเหตุสมผลของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินสรุปสิ่งใดลงไป 6. ช่วยให้หาเหตุผลที่สมเหตุสมผลให้กับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณ เวลานั้นโดยไม่พึ่งพิงอคติที่ก่อตัวอยู่ ในความทรงจำ ทำให้เราสามารถประเมินสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างสมจริงสมจัง 7. ช่วยประมาณการความน่าจะเป็น โดยสามารถใช้ข้อมูลพื้นฐานที่เรามีวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัย อื่น ๆ ของสถานการณ์ณ เวลานั้น อันจะช่วยเราคาดการณ์ความน่าจะเป็นได้สมเหตุสมผลมากกว่า จากแนวคิดข้างต้น สอดคล้องกับ จุฑามาศเจริญธรรม (2549 :35) กล่าวถึงประโยชน์ของ การคิดวิเคราะห์ไว้ทำนองเดียวกัน ดังนี้ 1. ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง 2. ช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปอะไรง่าย ๆ 3. ช่วยในการพิจารณาสาระสำคัญอื่น ๆ 4. ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกต 5. ช่วยให้เราหาเหตุผลที่สมเหตุสมผล 6. ช่วยประมาณการความน่าจะเป็น จากการศึกษาผู้วิจัยสรุปได้ว่าการคิดวิเคราะห์มีประโยชน์ต่อบุคคลและต่อส่วนรวม เริ่มตั้งแต่ ช่วยให้บุคคลมีเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ในการทำงาน หรือการตัดสินปัญหาเกิดทักษะการใช้สติปัญญา ซึ่งส่งผล กระทบต่อการทำงานในส่วนรวมที่จะไม่ก่อให้เกิดความผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อย แต่กลับส่งเสริมให้เกิด ความสำเร็จในการทำงานและการดำเนินชีวิต


52 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 งานวิจัยในประเทศ เฉลิมพร ทองพูนและพิกุล คำภีระปาวงค์ (2559, บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม(STS) เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี เพื่อส่งเสริม ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิด STS เรื่อง ปฏิกิริยาเคมีที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ( = 4.69 , S.D.= 0.48 ) และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.98/83.34 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) ความสามารถในการคิด แก้ปัญหาของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STS หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมตามแนวคิด STS อยู่ในระดับมาก ( = 4.18, S.D.= 0.53) จรัญญา ลมสมบุตร (2560, บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การสอนตามแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม (Science Technology and Society: STS) เรื่อง ร่างกายมนุษย์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า 1) การเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ร่างกายมนุษย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 77.67/79.17 เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75 2) นักเรียนมีผลการเรียนรู้ 1) ความ ตระหนักของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมในการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ใน 6 ลักษณะ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅= 4.78, S.D.= 0.38) สูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม ซึ่งอยู่ใน ระดับปานกลาง (x̅= 2.74, S.D.= 0.79) และด้านที่นักเรียนมีคามตระหนักสูงสุดได้แก่ด้านความเข้าใจ และการประเมินข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จากสื่อมวลชน (x̅= 4.83, S.D.= 0.34) ส่วนด้านที่นักเรียนมีความตระหนักน้อยที่สุด ได้แก่ด้านการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน (x̅= 4.73, S.D.= 0.39) 2) นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมอยู่ในระดับมาก (x̅= 2.59, S.D.= 0.03) สูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม 3) นักเรียนมีการเชื่อโยงแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม หลังจัดกิจกรรมอยู่ในระดับมาก (x̅= 2.81, S.D.= 0.72) ซึ่งสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม สิรินาถ ชุมพาที (2559, บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนว วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม (STS) ร่วมกับการใช้เครือข่ายสังคม เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์


53 ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า กิจกรรมการเรียนรู้มีกระบวนการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ขั้นคือ ขั้นที่ 1 ตั้งคำถามอย่างหลากหลาย ขั้นที่ 2 วางแผนหาคำตอบ ขั้นที่ 3 ค้นหาคำตอบ ขั้นที่ 4 สะท้อนความคิดอย่างสร้างสรรค์ ขั้นที่ 5 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขั้นที่ 6 ขยายขอบเขต ความรู้และความคิด และ ขั้นที่ 7 นำไปปฏิบัติจริง โดยนำเครือข่ายสังคมเข้ามาร่วมในการจัดการเรียนรู้ใน ขั้นหนึ่งขั้นใดขึ้นกับความเหมาะสมของกิจกรรมนั้น ๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน ประเมินความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด ( 12x"> =4.51 และ S.D. = 0.55) และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 78.09/76.40 ซึ่ง เป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 และผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ( 12x"> =16.86 และ S.D. = 3.00) สูงกว่าก่อนเรียน ( 12x"> = 10.57 และ S.D. = 2.30) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ระหว่างเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ โดยนักเรียน สามารถตั้งปัญหา คิดหาคำตอบ นำเสนอข้อมูล แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างสรรค์ชิ้นงานเพื่อแก้ปัญหาใน ประเด็นต่าง ๆ ที่พบด้วยวิธีการที่หลากหลาย มีขั้นตอนและไม่เหมือนใคร โดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ได้ 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ Iskander (2010,อ้างอิงใน , หน้า 48) ได้ทำการศึกษาถึงการประเมินผลวิธีการสอนตาม โปรแกรม STS เพื่อนำไปสู่การสอนวิทยาศาสตร์ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับครูที่เป็นผู้นำ จากปี ค.ศ. 2000 - 2010 ตามโปรแกร lowa Chataqua ผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในการอภิปรายและนักเรียน จำนวน 609 คน จากนักเรียนในเกรด 6 และเกรด 9 ครูแต่ละคนจะเลือกนักเรียน 2 ห้องเรียนเพื่อใช้ใน การศึกษาแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 1 ห้องเรียน และกลุ่มควบคุม 1 ห้องเรียน การเลือกห้องเรียนนั้นได้มาจาก ผู้นำและผู้บริหารโรงเรียนในแต่ละ อำเภอทำการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนกับนักเรียนทั้งสองกลุ่มใน 5 ด้าน วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนการทดสอบ ค่าทีและวิเคราะห์ ความ แปรปรวนร่วม โดยการเปรียบเทียบผลที่ได้จากการสอนตามโปรแกรม STS ผลการวิจัยพบว่า ในด้าน ความรู้ของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม มีความรู้เป็นพื้นฐานเท่าเทียมกันในกลุ่มการทดลองจะมีความรู้ในการ ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ ได้ดีกว่า เกิดการพัฒนาเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ต่อครูวิทยาศาสตร์ ต่ออาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ได้ดีกว่ามีความเข้าใจในด้านการใช้คำถาม การแก้ปัญหาและกลวิธีการเรียน การสอนในห้องเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนเพศหญิงในกลุ่มการทดลองมีการพัฒนา เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ต่อครูวิทยาศาสตร์ต่ออาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ดีกว่า


54 เพศหญิงในกลุ่มควบคุมและสามารถสรุปได้ว่า วิธีการสอนตามโปรแกรม STS เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการช่วยให้นักเรียนสามารถประยุกต์ความรู้ใช้ไปในชีวิตจริงมีการพัฒนาด้านเจตคติต่อ วิทยาศาสตร์ ต่ออาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ Hollenbeck (2006 : 1-6) ศึกษาทฤษฎีการสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเอง (CLM) จาก ความสัมพันธ์ของ ST5 จนค้นพบความรู้และรู้จักสิ่งที่ค้นพบการเรียนรู้ โดยอ้างอิงจากโครงการวิจัย lowa Chautauqua Model ในประเทศอเมริกา (Yager (1991) และ Yager, MacKinna และ Blunck (1992) ซึ่งพบว่า การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการเข้าถึง (Constructivism) หมายความว่าการเรียนรู้ใน ระยะยาวจะเกิดขึ้นและผู้เรียนได้รับความเชื่อมั่นในการแสวงหาปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จาก การจัดรูปแบบการเรียนการสอนแบบ STS ซึ่งผู้เรียนจะได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ความรู้ วิธีการ เทคโนโลยี การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาและสังคมมนุษย์ รวมถึงผลกระทบทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและชีวิตในหนึ่งหลักสูตรนักเรียนได้เรียนรู้ที่ดีที่สุดผ่านความเกี่ยวข้อง STS ผสมผสานเข้าไว้ ด้วยกัน (Interweaves) และแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองใน สาเหตุและผลกระทบ ของการผสมผสาน วิทยาศาสตร์ที่สอนในวิธีการ STS กับมนุษยศาสตร์ที่จะดึงดูดนักเรียน วิทยาศาสตร์กับงานที่เกี่ยวข้อง ประสบการณ์ของนักเรียน และสร้างหลักสูตรที่น่าสนใจ และวิชาที่น่าสนใจมากกว่ารูปแบบการเรียนแบบ ดั้งเดิม Akcay and Yager (2010 : 602-611) ศึกษาผลกระทบของวิธีการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี สังคม เกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียนในห้าด้านได้แก่ 1) โครงสร้างเนื้อหาการเรียนรู้ขั้น พื้นฐาน 2) กระบวนการเรียนรู้ทักษะที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นข้อมูลในการแสวงหาคำตอบสำหรับคำถาม เกี่ยวกับโลกธรรมชาติโดเมน 3) ความคิดสร้างสรรค์ คือ ปรับปรุงปริมาณและคุณภาพของคำถาม คำอธิบายและการทดสอบความถูกต้องของคำอธิบายที่สร้างขึ้นเองได้4) ทัศนคติที่มีต่อการพัฒนา ความรู้สึกเชิงบวกมากเกี่ยวกับประโยชน์ของวิทยาศาสตร์อาชีพ การศึกษาวิทยาศาสตร์ของครู วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 5) การใช้งานโดยใช้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการใน สถานการณ์ใหม่ โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 365 คน ใช้รูปแบบ STS กลุ่มสอง จำนวน 359 คน คือกลุ่มควบคุม ข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาวิเคราะห์ใช้วิธีการเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบ การเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ สังคม ซึ่งทำให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญที่ดีกว่าการเรียนในรูปแบบที่เน้นครูผู้สอน


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามลำดับหัวข้อดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. วิธีดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่กำลังศึกษาอยู่ โรงเรียน มัธยมวาริชภูมิ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคม (STS) เรื่อง ระบบ หมุนเวียนโลหิต สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 3 แผน เวลา 9 ชั่วโมง 2. แบบวัดการคิดวิเคราะห์ เป็นแบบทดสอบฉบับเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยวัดการคิดวิเคราะห์ชนิด 4 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ ตอนที่ 2 เป็นแบบทดสอบแบบอัตนัยวัดการคิดวิเคราะห์ จำนวน 2 ข้อ วิธีดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพเครื่องมือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคม (STS) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม 2 หน่วยการ เรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือตามขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตร จุดประสงค์การเรียนรู้ และขอบเขตของเนื้อหา วิชา ชีววิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมวาริชภูมิ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์


56 1.2 ศึกษารายละเอียดของเนื้อหาวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ตามแบบเรียนวิชาชีววิทยา เล่ม 2 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.3 วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา เพื่อแยกเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ 1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อการ เรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ซึ่งในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นสืบค้น (search) 2. ขั้นแก้ปัญหา (Solve) 3. ขั้นสร้างสรรค์(Create) 4. ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์(Share) 5. ขั้นนำไปปฏิบัติจริง (Act) 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยในชั้นเรียน พิจารณาตรวจสอบความถูกต้องทางภาษา และความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา จากนั้นปรับปรุงแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะดังกล่าว 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง ของเนื้อหาและความเหมาะสมของกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอน และองค์ประกอบอื่น ๆ โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence หรือ100) กำหนดค่า ดัชนีของแผนการจัดการเรียนรู้ที่นำไปใช้ได้ตั้งแต่ 0.6 ขึ้นไป (ส้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2538 : 208) ส่วนแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องต่ำกว่า 0.6 ได้ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ ของผู้เชี่ยวชาญต่อไป 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ต่อไป 2. แบบวัดการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post-test) เป็นแบบทดสอบ ฉบับเดียวกัน ใช้วัดการคิดวิเคราะห์ตามแนวคิดของ บลูม ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นข้อสอบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อกำหนดให้คะแนน ตอบถูกได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0 คะแนน รวมคะแนนเต็ม 20 คะแนน โดยวัดการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน 3 ด้าน ดังนี้ 1.วิเคราะห์เนื้อหา เป็นความสามารถในการแยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น จำนวน 10 ข้อ


57 2. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการค้นหาเชื่อมโยงเหตุผลในเรื่องราวหรือ เหตุการณ์นั้นว่า มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร จำนวน 4 ข้อ 3. วิเคราะห์หลักการเป็นความสามารถในการบอกวัตถุประสงค์ ทัศนคติหรือความคิดเห็น จำนวน 6 ข้อ แบบวัดการคิดวิเคราะห์โดยมีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551( ฉบับปรับปรุง 2560) สาระ วิทยาศาสตร์และศึกษาหลักการและวิธีการสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยและแบบทดสอบแบบอัตนัยจาก เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2. วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์ของกิจกรรมในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ 3. สร้างแบบวัดการคิดวิเคราะห์ให้ครอบคลุมการคิดวิเคราะห์ 3 ด้าน ได้แก่ วิเคราะห์เนื้อหา วิเคราะห์ความสัมพันธ์ และวิเคราะห์หลักการตามแนวคิดของบลูม รวมทั้งฉบับคะแนน 30 คะแนน 4. นำแบบวัดการคิดวิเคราะห์ เสนออาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้องแล้วนำไปปรับปรุง แก้ไข 5. นำแบบวัดการคิดวิเคราะห์ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของคำถาม คำตอบ ความเหมาะสมของเนื้อหา ภาษาที่ใช้ความยากง่ายและตัวเลือก(ข้อลวง) ของคำถาม แล้วนำมา หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC : Index of Item Objective Congruence) แล้วเลือกข้อสอบที่มีดัชนี ความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ซึ่งถือว่า มีความสอดคล้องในเกณฑ์ที่ยอมรับได้โดยค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบปรนัยที่หาได้อยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 และได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบอัตนัยเท่ากับ 0.87 ( ภาคผนวก) 6. ปรับปรุงแบบวัดการคิดวิเคราะห์ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ดังนี้ 6.1 ปรับปรุงข้อความภาษาให้มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย 6.2 ปรับปรุงการสะกดคำ และอักขรวิธีให้ถูกต้อง 6.3 ปรับปรุงลำดับของข้อสอบให้เรียงลำดับเนื้อหา 7. นำแบบวัดการคิดวิเคราะห์ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนมัธยมวาริชภูมิตำบลปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 8. นำไปใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัย


58 3. วิธีดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1. ให้นักเรียนทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทางการเรียน เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต และบันทึกผลการทดสอบไว้เป็นคะแนนก่อนเรียนเพื่อใช้สำหรับ การวิเคราะห์ข้อมูล 2. ดำเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 3. เมื่อสิ้นสุดการเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม แล้วทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน บันทึกผลการตรวจไว้เป็นคะแนนสอบหลังเรียนเพื่อใช้ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล 4. นำผลมาวิเคราะห์โดยวิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานและสรุปผลการวิจัย


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม 2) เพื่อศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียน เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ซึ่งผู้วิจัยขอนำเสนอผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และผลการศึกษาดังรายละเอียดต่อไปนี้ ตอนที่ 1 การคิดวิเคราะห์ ที่จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ระบบ หมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลคะแนนของนักเรียนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นรายบุคคลและภาพรวม ดังแสดงผลการวิเคราะห์ในตารางที่ 2 ตารางที่ 4.1 คะแนนที่ได้ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของผลการวัดการคิด วิเคราะห์ในรายวิชาชีววิทยา โดยใช้จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคล คนที่ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 9 45 14 70 2 7 35 17 85 3 5 25 12 60 4 11 55 17 85 5 11 55 15 75 6 8 40 15 75 7 12 60 16 80 8 7 35 12 60 9 4 20 11 55 10 10 50 18 90


60 ตารางที่ 4.1 คะแนนที่ได้ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของผลการวัดความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ในรายวิชาชีววิทยา โดยใช้จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคล (ต่อ) คนที่ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 11 7 35 133 65 12 10 50 16 80 13 7 35 14 70 14 8 40 16 80 15 6 30 12 60 16 12 60 18 90 17 10 50 16 80 18 8 40 15 75 19 11 55 17 85 20 12 60 18 90 21 12 75 18 90 22 7 35 13 65 23 6 30 12 60 24 7 35 16 80 25 11 55 17 85 26 12 60 18 90 27 5 25 16 80 28 13 65 17 85 29 10 50 15 75 30 8 40 16 80 31 12 60 18 90 32 8 40 13 65 33 7 60 17 85


61 จากตารางที่ 2 พบว่านักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา โดยใช้ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 8.85 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 44.26 และคะแนนเฉลี่ย หลังเรียนเท่ากับ 14.94 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 74.70 ตอนที่ 2 ผลศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียน เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ตาม แนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ผู้วิจัยได้นำคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียนเปรียบเทียบกับการทดสอบก่อนเรียน ด้วยการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t – test for One Sample) ตารางที่ 4.2 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว โดย เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนกับคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน ผลการทดลอง คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ t-test ก่อนเรียน หลังเรียน 8.85 14.94 2.84 2.26 44.26 74.70 34.09** หมายเหตุ ** มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 3 พบว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบหมุนเวียน โลหิต ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ได้คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 8.85 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 44.26 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 14.94 คะแนน คิดเป็นร้อย ละ 74.70 เมื่อเปรียบเทียบกัน ด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) ผล ปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ค่าเฉลี่ย (X̅) 8.85 44.26 14.94 74.70 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) 2.84 2.26


บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นการส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียน เรื่อง ระบบ หมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ผู้วิจัยสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตาม แนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม 2. เพื่อศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียน เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม สมมติฐานของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีสมมติฐานของการวิจัย ดังนี้ 1. นักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ สังคม มีการพัฒนาด้านการคิดวิเคราะห์ในวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต โดยนักเรียนมีคะแนน เฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม มี ความก้าวหน้าทางการเรียน วิธีดำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ปีการศึกษา 2566 จำนวน 208 คน จาก 7 ห้องเรียน 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 33 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคม (STS) เรื่อง ระบบ หมุนเวียนโลหิต สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 3 แผน เวลา 9 ชั่วโมง


63 2.2 แบบวัดการคิดวิเคราะห์ เป็นแบบทดสอบฉบับเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยวัดการคิดวิเคราะห์ชนิด 4 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1. ให้นักเรียนทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทางการเรียน เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต และบันทึกผลการทดสอบไว้เป็นคะแนนก่อนเรียนเพื่อใช้สำหรับ การวิเคราะห์ข้อมูล 2. ดำเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 3. เมื่อสิ้นสุดการเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม แล้วทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนทางการเรียนฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน บันทึกผลการตรวจไว้เป็นคะแนนสอบ หลังเรียนเพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล 4. นำผลมาวิเคราะห์โดยวิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานและสรุปผลการวิจัย 4. การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาชีววิทยา โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัย ดำเนินการโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ตามขั้นตอนดังนี้ 4.1 ศึกษาผลการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบ หมุนเวียนโลหิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการคำนวณหาคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อย ละ 4.2 ศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample)


64 สรุปผลการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้สามารถสรุปผลได้ดังนี้ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ทางการเรียนวิชา ชีววิทยา ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ได้คะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนเท่ากับ 8.85 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 44.26 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 14.94 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 74.70 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความก้าวหน้าทางการเรียนวิชาชีววิทยา ที่เรียนโดยการจัดการ เรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อน เรียน อภิปรายผลการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีประเด็นที่จะอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีมีผลการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ทางการเรียนวิชา ชีววิทยา ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ได้คะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนเท่ากับ 8.85 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 44.26 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 14.94 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 74.70 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1 ที่ว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยแผนการจัดการ เรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม มีการพัฒนาด้านการคิดวิเคราะห์ในวิชาชีววิทยา เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต โดยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้และมีการคิดวิเคราะห์ สอดคล้องกับทิศนา แขมมณี (2563, หน้า 266 -267) ได้กล่าวถึงการสอน การสอนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เป็นแนวคิดในการ จัดการเรียนรู้ที่เกิดจากสภาพบริบทของตนเองหรือสังคมตามสภาพความเป็นจริง โดยใช้มโนทัศน์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนสามารถ นำไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตได้จริง ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนแนวคิด พฤติกรรม และมีความตระหนัก ต่อวิทยาศาสตร์ทั้งตนเองและสังคมตามวิถีของความเป็นวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับนฤมล ยุตาคม (2561, หน้า 25) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในบริบทของประสบการณ์ของมนุษย์ เป็น แนวความคิดในการบูรณาการสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคมศึกษาเข้าด้วยกัน โดยการเน้น การศึกษาวิทยาศาสตร์ในสถานการณ์ชีวิตจริง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาและประเด็นต่าง ๆ ในปัจจุบันได้ และลงมือปฏิบัติจริง


65 2. ความก้าวหน้าทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรียน เรื่อง ระบบหมุนเวียนโลหิต ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาชีววิทยา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อ ที่ 2 ที่ว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม มี ความก้าวหน้าทางการเรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วัลยา บุณอากาศ (2556) ได้ศึกษาผลการ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการคิดวิเคราะห์วิชาชีววิทยาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม สูงกว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) การคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม สูงกว่า นักเรียนที่รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับ งานวิจัยของ ชยุตม์ ม้าเมือง และ ธนวัฒน์ ศรีศิริวัฒน์ (2563) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของดอก โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของดอกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยการ จัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมสูงกว่าก่อนเรียนโดย การจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม อย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้ จากการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ซึ่งผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ดังนี้ 1.1 ในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ครูผู้สอนควรศึกษาและ ทำความเข้าใจขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ชัดเจน จึงจะทำให้การเรียนของนักเรียนได้ฝึกใช้การ คิดวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีทั้งนักเรียนและครูผู้สอน 1.2 ในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ควรเตรียมสื่อให้พร้อม สำหรับการทำกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละครั้ง และควรจดบันทึกหลังสอนเพื่อให้ทราบปัญหา สิ่งที่ต้องแก้ไข เพื่อทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


66 1.3 ครูคอยสังเกตพฤติกรรมการทำงานของนักเรียนอย่างทั่วถึงและแจ้งการจัดกิจกรรมหรือการ ทดสอบให้นักเรียนทราบทันที เพื่อให้นักเรียนทราบผลงานของตนเองและกลุ่มตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้ นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นและเป็นแรงจูงใจในการทำกิจกรรมต่อไป 2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป ในการวิจัยครั้งต่อไป ผู้วิจัยขอเสนอแนะประเด็นที่ควรนำมาศึกษาดังนี้ 2.1 ในการจัดกิจกรรมโดยใช้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ควรใช้ควบคู่ไปกับ สื่อการสอนที่หลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น 2.2 ควรมีการปรับปรุงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ให้มีความเหมาะสมกับเนื้อหาและการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาชีววิทยา


67 เอกสารอ้างอิง วรรณี โสมประยูร. การสอนวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 4 กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนา พานิช, 2560. ณัฐวิทย์ พจนตันติ. (2546). การจัดการเรียนการสอนวิชาวิธีสอนชีววิทยาตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคม. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ทิศนา แขมมณี. (2554),. ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 14). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นฤมล ยุตาคม. (2542). "การจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โตยใช้โมเตลการสอนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคม (Science Technology and Society STS ModeV)," ศึกษาศาสตร์ ปริทัศน์. ปีที่ 14 ฉบับที่ 3. 29-48. ประทุม ชูชัด. (2544) รายงานการวิจัย เรื่อง การวิจัยในชั้นเรียน : การสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม/ทฤษฎีการสร้างความรู้ในขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. กรุงเทพฯ : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ (สสวท.). ยุบล ธงวิชัย, (2552). ความตระหนักและความสามารถในการวิเคราะห์ เรื่อง อาหารกับการดำรงชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และ สังคม. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การศึกษา บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. รพีพร โตไทยะ. (2540). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหา วิชา วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนแบบแก้ปัญหาตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. รัตนะ บัวสนธ์. (2552). การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : คำสมัย. ลิปปนนท์ เกตุทัต. (2553). ทิศทางและนโยบายในการจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของประเทศไทย สำหรับช่วงต้นของศตวรรษที่ 21. รายงานการประชุมวิชาการทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 4 ณ หอประชุมครุสภากระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2533.


68 วนัชฏา ชุ่ยล่อย. (2552). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสังคม ของครูชีววิทยา. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตรศึกษมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์. Aikenhead, G. (1988). Teaching Science through a Science - Technology - Society - Environment Approach : An Instruction Guide. New York : Teacher College Press. SARAKHAM UNIVERSITY Aikenhead, G. S. and A.G. Ryan. (1992). "The Development of New Instrument : Views on Science Technology Society (VOSTS)," Science Education. Vol.76 No.5 : 477-491. Bybee, R.W. (1985). The Sisyphean Question in Science Education: What should the Scientifically and Technologically Literate Person Know, Value and do as a Citizen?. Washington, DC: National Science TeacherAssociation. Cited in G. A. (1994). "Consequences to Learning Science Through STS: A Research". New York: Teacher College Press.


69 ภาคผนวก


70 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ


71 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย 1. นางชิดชนก โยปทุม ครูสาขาวิชาชีววิทยา โรงเรียนมัธยมวาริชภูมิอ.วาริชภูมิจ.สกลนคร 2. นางสาวพิมพ์ปภัทร แก้วดี ครูสาขาวิชาชีววิทยา โรงเรียนมัธยมวาริชภูมิอ.วาริชภูมิจ.สกลนคร 3. นางสาวจิรัชญา แก้วฝ่าย ครูสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนมัธยมวาริชภูมิอ.วาริชภูมิจ.สกลนคร


72 ภาคผนวก ข เครื่องมือในการวิจัย


73 แผนการจัดการเรียนรู้ที่6 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 14 ระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง 12 ชั่วโมง เรื่อง โครงสร้างหัวใจและทิศทางการไหลของเลือด เวลา 5 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การลำเลียงสาร และการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การเคลื่อนที่ การ สืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมทั้งนำความรู้ไป ใช้ประโยชน 2. ผลการเรียนรู้ 2.1 อธิบายโครงสร้างและการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในมนุษย์ 2.2 สังเกต และอธิบายโครงสร้างหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ทิศทางการไหลของเลือดผ่าน หัวใจของมนุษย์และเขียนแผนผังสรุปการหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ 3. สาระสำคัญ หัวใจ (Heart) เป็นอวัยวะที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac muscle) อยู่บริเวณช่องอก ค่อนไปทางด้านซ้าย ถูกห่อหุ้มด้วยถุงเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardium) ซึ่งภายในถุงจะมีของเหลวบรรจุอยู่ เล็กน้อย ทำหน้าที่หล่อลื่นระหว่างถุงหุ้มหัวใจและหัวใจเพื่อป้องกันการเสียดสีขณะหัวใจบีบตัว 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างและการทำงานของหัวใจได้ - นักเรียนสามารถอธิบายทิศทางการไหลของเลือดผ่านหัวใจของมนุษย์ได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถสร้างโมเดลอย่างง่ายสรุปการหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ได้ - นักเรียนสามารถใช้เครื่องมือผ่าตัดในกิจกรรมได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้และมีความรับผิดชอบ


74 5. สาระการเรียนรู้ ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ ประกอบด้วย หัวใจ หลอดเลือด และเลือด ซึ่งเลือดไหลเวียนอยู่ เฉพาะในหลอดเลือด หัวใจมีเอเตรียมทำหน้าที่รับเลือดเข้าสู่หัวใจ และ เวนตริเคิลทำหน้าที่สูบฉีด เลือดออกจากหัวใจ โดยมีลิ้นกั้นระหว่างเอเตรียมกับเวนตริเคิล และระหว่างเวนตริเคิลกับหลอดเลือดที่นำ เลือดออกจากหัวใจ เลือดออกจากหัวใจทางหลอดเลือดเอออตาร์อาร์เตอรี อาร์เตอริโอล หลอดเลือดฝอย เวนูล เวน และเวนาคาวา แล้วเข้าสู่หัวใจขณะที่หัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือด ทำให้เกิดความดันเลือดและชีพจร สภาพการทำงานของร่างกาย อายุ และเพศของมนุษย์ เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือดและชีพจร 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม (STS) ชั่วโมงที่ 1 – ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 1 ขั้นสืบค้น (Search) 1. ครูพูดเปิดประเด็นเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหัวใจ โดยครูยกตัวอย่างชื่อโรค ขึ้นมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคลิ้นหัวใจตีบและรั่ว และโรคหัวใจล้มเหลว แล้วถามว่าคำถาม กระตุ้นนักเรียนว่า “นักเรียนคิดว่าโรคเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดจากความผิดปกติใดใน ร่างกายมนุษย์” แนวคำตอบ : ให้นักเรียนตอบคำถามตามความเข้าใจของนักเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นแก้ปัญหา (Solve) 1. นักเรียนในชั้นเรียนภายในห้องแบ่งกลุ่มออกเป็น 7 กลุ่ม แล้วเลือกโรคที่ตนเองสนใจที่จะศึกษา จากที่ครูกล่าวในตอนเปิดชั้นเรียน เพื่อเตรียมตัวศึกษาการทำงานของหัวใจ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำ ให้เกิดโรคที่ครูกล่าวมาข้างต้น จากการทำการทดลองการศึกษาหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และ ศึกษาทิศทางการไหลของเลือดผ่านหัวใจของมนุษย์ 2. ตัวแทนกลุ่มออกมารับอุปกรณ์หน้าชั้นเรียน 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันทำกิจกรรมการศึกษาหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เพื่อศึกษา โครงสร้างหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมและการไหลของเลือดผ่านลิ้นหัวใจ จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 4 โดยนักเรียนแต่ละคนแบ่งหน้าที่ตามความถนัดของตนเอง โดยมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมี ดังต่อไปนี้ - สมาชิกคนที่ 1 : ทำหน้าที่เตรียมวัสดุอุปกรณ์การศึกษาหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม - สมาชิกคนที่ 2 : ทำหน้าที่อ่านวิธีการทำกิจกรรม และนำมาอธิบายให้สมาชิกภายในกลุ่มฟัง


75 - สมาชิกคนที่ 3 : ทำหน้าที่บันทึกผลการทำกิจกรรม - สมาชิกคนที่ 4 - 5 : ทำหน้าที่นำเสนอผลที่ได้จากการทำกิจกรรม 4. นักเรียนบันทึกผลที่ได้จากการศึกษาลงไปในแบบบันทึกผลการทดลอง ชั่วโมงที่ 3 – ชั่วโมงที่ 4 ขั้นที่ 3 ขั้นสร้างสรรค์ (Create) 1. นักเรียนภายในกลุ่มร่วมกันนำข้อมูลที่ได้จากการทำการทดลองมาร่วมกันวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ ทำให้เกิดโรคของกลุ่มตนเองที่เลือกมาศึกษาและเขียนลงในกระดาษชาร์จ 2. นักเรียนภายในกลุ่มร่วมกันสร้างโมเดลโครงสร้างภายในของหัวใจจากอุปกรณ์ที่ครูมอบหมาย ให้นักเรียนเตรียมมา ได้แก่ กระดาษร้อยปอน์ดขนาด A3, ไซริงค์ขนาด 3 มิลลิลิตร 4 อัน, สีผสมอาหาร 2 สี, ดินสอสี, สายน้ำเกลือ และเขียนแผนภาพทางการไหลของเลือดผ่านหัวใจของมนุษย์ลงในกระดาษชาร์จ ชั่วโมงที่ 5 ขั้นที่ 4 ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ (Share) 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลที่ได้จากการศึกษาหน้าห้องเรียน ตามหัวข้อที่กลุ่มของ ตนเองศึกษา 2. นักเรียนและครูร่วมกันสรุป ดังนี้ “โครงสร้างของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมีลักษณะคล้ายกับ หัวใจของมนุษย์ ประกอบด้วยหัวใจห้องบน 2 ห้อง และห้องล่าง 2 ห้อง ผนังห้องหัวใจทั้ง 4 ห้อง มีความ หนาแตกต่างกัน ซึ่งสัมพันธ์กับการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจเพื่อส่งเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากนั้น ระหว่างหัวใจห้องบนกับห้องล่างและระหว่างห้องล่างกับหลอดเลือดมีลิ้นป้องกันการไหล ย้อนกลับของเลือด การหมุนเวียนเลือดผ่านหัวใจ ซึ่งเลือดที่มีแก๊สออกซิเจนต่ำจะเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา และไหลผ่านลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid valve) ลงสู่ห้องล่างขวา แล้วไหลผ่านลิ้นพัลโมนารีเซมิลูนาร์ (Pulmonary semilunar valve) เข้าสู่หลอดเลือดพัลโมนารีอาร์เตอรี(Pulmonary artery) เพื่อไป แลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอด กลายเป็นเลือดที่มีแก๊สออกซิเจนสูงกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายและไหลผ่านลิ้น ไบคัสปิด (Bicuspid valve) ลงสู่ห้องล่างซ้าย แล้วไหลผ่านลิ้นเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve) เข้าสู่หลอดเลือดเอออร์ตา (Aorta) เพื่อไปยังแลกเปลี่ยนแก๊สที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย” 3. ครูถามคำถามเพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของนักเรียน และอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่ นักเรียนยังไม่เข้าใจ โดยมีชุดคำถามดังนี้


76 “หัวใจมีโครงสร้างภายในอย่างไร” แนวตอบ: หัวใจมนุษย์ประกอบด้วย 4 ห้อง ได้แก่ ห้องบน 2 ห้อง และห้องล่าง 2 ห้อง โดยมีลิ้น กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง ได้แก่ ลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid valve) กั้นระหว่างหัวใจห้องบน ขวากับห้องล่างขวา ลิ้นไบคัส (Bicuspid valve) ปิดกั้นระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายกับห้องล่างซ้าย และลิ้น กั้นหัวใจห้องล่างกับหลอดเลือด ได้แก่ ลิ้นเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve) กั้นระหว่าง หัวใจห้องล่างซ้ายกับหลอดเลือดเอออร์ตา (Aorta) และลิ้นพัลโมนารีเซมิลูนาร์ (Pulmonary semilunar valve) กั้นระหว่างหัวใจห้องล่างขวากับหลอดเลือดพัลโมนารีอาร์เตอรี (Pulmonary artery) “ลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid valve) และลิ้นไบคัสปิด (Bicuspid valve) มีลักษณะแตกต่างกัน อย่างไร” แนวตอบ: ลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid valve) มีลักษณะเป็นแผ่น 3 ชิ้น ประกบกัน แต่ลิ้นไบคัส (Bicuspid valve) ปิดมีลักษณะเป็นแผ่น 2 ชิ้น ประกบกัน “เลือดมีกระบวนการหมุนเวียนผ่านหัวใจอย่างไร” แนวตอบ: เลือดที่มีแก๊สออกซิเจนต่ำจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาและไหล ผ่านลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid valve) ลงสู่ห้องล่างขวา แล้วไหลผ่านลิ้นพัลโมนารีเซมิลูนาร์ (Pulmonary semilunar valve) เข้าสู่หลอดเลือดพัลโมนารีอาร์เตอรี (Pulmonary artery) เพื่อไปแลกเปลี่ยนแก๊สที่ ปอด กลายเป็นเลือดที่มีแก๊สออกซิเจนสูงกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายและไหลผ่านลิ้นไบคัสปิด (Bicuspid valve) ลงสู่ห้องล่างซ้าย แล้วไหลผ่านลิ้นเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve)เช้าสู่หลอดเลือด เอออร์ตา (Aorta) เพื่อไปยังแลกเปลี่ยนแก๊สที่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ขั้นที่ 5 ขั้นนำไปปฏิบัติจริง (Act) 1. นักเรียนภายในกลุ่มช่วยกันเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการศึกษาของกลุ่มตนเองในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านช่องออนไลน์ของตนเอง ตามความถนัดของนักเรียน เช่น โปสเตอร์ คลิปวิดีโอ เป็นต้น หรืออื่น ๆ เช่น การจัดป้ายนิเทศ 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 Power point ประกอบการสอน เรื่อง โครงสร้างหัวใจและทิศทางการไหลของเลือด 7.1.2 แบบบันทึกการทดลอง 7.1.3 อุปกรณ์ทำการทดลองโครงสร้างหัวใจ


77 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 4 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - อธิบายโครงสร้างและการทำงานของหัวใจได้ - อธิบายทิศทางการไหลของเลือดผ่านหัวใจ ของมนุษย์ได้ - การถามตอบ - การนำเสนอ หน้าชั้นเรียน - แบบสังเกต การตอบคำถาม - แบบประเมิน การนำเสนอ นักเรียนทั้ง ห้องผ่าน เกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - สร้างโมเดลอย่างง่ายสรุปการหมุนเวียนเลือด ของมนุษย์ได้ - ใช้เครื่องมือผ่าตัดในกิจกรรมได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย - บันทึกผลการ ทดลอง - ชิ้นงาน - แ บ บ ประเมินผลการ ทดลอง - แบบประเมิน ชิ้นงาน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้และมีความ รับผิดชอบ - สังเกต พฤติกรรม ในขณะทำ กิจกรรมในชั้น เรียน - แบบสังเกต พ ฤ ต ิ ก ร ร ม รายบุคคล


78 แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ ด้านความรู้ ด้านทักษะ/กระบวนการ และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง ให้ทำเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องรายการพฤติกรรมที่นักเรียนปฏิบัติ เลขที่ รายการประเมิน ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ (P) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(A) ผลการประเมิน ผลการปนะเมิน 3 2 1 0 ผลการประเมิน ผ่าน ไม่ผ่าน ผ่าน ไม่ผ่าน ผ่าน ไม่ผ่าน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21


79 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 จำนวนนักเรียนที่ผ่าน ด้านความรู้ (K)……………………………..……คน คิดเป็นร้อยละ............ ด้านทักษะ (P)……………………………..……คน คิดเป็นร้อยละ............ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)………คน คิดเป็นร้อยละ............ จำนวนนักเรียนที่ไม่ผ่าน ด้านความรู้ (K)……………………………..……คน คิดเป็นร้อยละ............ ด้านทักษะ (P)……………………………..……คน คิดเป็นร้อยละ............ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)………คน คิดเป็นร้อยละ............ ลงชื่อ ............................................ (ผู้สอน) (นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย) นักศึกษาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ............/............../..............


80 ปฏิบัติการ โครงสร้างหัวใจสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม วันที่ทำการทดลอง....................................................... สมาชิกในกลุ่มที่.................................... ห้อง............................ 1. ………………………………..………………...........................................…… เลขที่………............. 2. ………………………………..………………...........................................…… เลขที่………............. 3. ………………………………..………………...........................................…… เลขที่………............. 4. ………………………………..………………...........................................…… เลขที่………............. 5. ………………………………..………………...........................................…… เลขที่………............. จุดประสงค์ของการทดลอง 1. ศึกษาโครงสร้างของหัวใจสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม 2. บอกความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับหน้าที่ของหัวใจแต่ละห้องรวมทั้งหลอดเลือดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ วัสดุอุปกรณ์ 1. หัวใจหมู หรือหัวใจวัว 2. ถุงมือยาง 3. แท่งแก้วคนสาร 4. เครื่องมือผ่าตัด 5. ถาดผ่าตัด วิธีการทดลอง ศึกษาหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งชนิดใดต่อไปนี้ เช่น หัวใจหมู หัวใจวัว โดยให้ นักเรียนสวมถุงมือยาง นำหัวใจมาล้างให้สะอาดแล้วดำเนินการดังนี้ 1. สังเกตขนาด รูปร่างภายนอก และหลอดเลือดเล็กๆ ที่ผิวรอบนอกสุดของหัวใจ 2. สังเกตความหนาของผนังหลอดเลือดที่ติดต่อกับหัวใจ ใช้แท่งแก้วหรือนิ้วมือสอดลงไปตาม หลอดเลือด ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 3. ใช้กรรไกรตัดผนังหลอดเลือดนั้นเข้ามาจนถึงโคนหลอดเลือด และตัดต่อเข้าไปจนถึงผนังห้อง หัวใจ สังเกตลักษณะลิ้นของหัวใจที่กั้นระหว่างห้องเอเตรียมและห้องเวนตริเคิล ใช้กรรไกรตัดส่วนปลาย ล่างสุดของหัวใจห้องเวนตริเคิลให้เป็นช่อง และลองปล่อยให้น้ำไหลต้านลิ้นหัวใจ สังเกตว่าลิ้นเปิดหรือปิด


81 4. ใช้มีดผ่าผนังหัวใจต่อไปจนถึงโคนหลอดเลือดเส้นหนึ่ง ใช้แท่งแก้วหรือนิ้วมือสอดไปตามหลอด เลือดที่ติดต่อกับหัวใจห้องนี้ สังเกตลิ้นที่อยู่โคนหลอดเลือดนี้ 5. ทำเช่นเดียวกับข้อ 3 และ 4 กับหลอดเลือดใหญ่อีกเส้นหนึ่งแล้วผ่าหัวใจตามยาวออกเป็นซีก ซ้ายและขวา สังเกตห้องทั้ง 4 ภายในหัวใจ 6. ใช้เข็มเขี่ยตรงบริเวณลิ้นที่กั้นภายในหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจ ห้องเวนตริเคิลซ้าย ซึ่งมี 3 แฉก เพื่อศึกษาช่องทางที่เลือดจะไปเลี้ยงหัวใจ 7. รายงานสรุปผลการศึกษาโครงสร้างหัวใจและทิศทางการหมุนเวียนเลือดผ่านหัวใจ ข้อแนะนำ การจะศึกษาว่าหัวใจด้านใดเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง ดูจากด้านที่หลอดเลือดตรงกลางหัวใจ 2 เส้นหลอดเลือดที่มีผนังหนาที่สุด และมีทางติดต่อกับหัวใจ ห้องล่างซ้าย คือ หลอดเลือดเอออร์ตา ( Aorta ) กับอีกเส้นที่มีขนาดเล็กกว่า เส้นนี้นำเลือดออกจากหัวใจห้องล่างขวาส่งไปยังปอด คือ เส้นพัล โมนารีอาร์เตอรี ( Pulmonary Artery ) การจะสังเกตว่าหัวใจซีกใดเป็นซีกซ้ายหรือซีกขวา ดูได้จากเส้นเอออร์ตา ซีกที่เส้นเอออร์ตาออกมานั้นคือหัวใจซีกซ้าย นอกจากนั้นยังอาจดูได้จากขนาดหัวใจ ซีกซ้ายจะมีขนาดใหญ่และขนาดกล้ามเนื้อหนากว่า ห้องบนซ้ายของหัวใจมีหลอดเลือดพัลโมนารีเวน ( Pumonary Vein ) 2 คู่ ซึ่งรับเลือดจากปอดซ้ายและขวากลับเข้าหัวใจ ส่วนห้องบนขวามีหลอดเลือด 2 เส้น คือ ซูพีเรีย เวนาคาวา และอินฟีเรีย เวนาคาวา รับเลือดจากส่วนต่าง ของร่างกาย ผลการศึกษา 1. ขนาดของหัวใจที่ศึกษา กว้าง เซนติเมตร ยาว เซนติเมตร หนา เซนติเมตร 2. ศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของผนังหัวใจทั้ง 3 ชั้น ชื่อ ลักษณะ ผนังชั้นนอก ผนังชั้นกลาง ผนังชั้นใน


82 4. ศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของหัวใจทั้ง 4 ห้อง - หัวใจห้องที่มีผนังหนาที่สุดคือ สาเหตุเนื่องจาก - หัวใจห้องที่มีผนังบางที่สุดคือ สาเหตุเนื่องจาก 3. ลิ้นหัวใจ ชื่อลิ้นหัวใจ บริเวณที่พบ ลักษณะ 1. 2. 3. 4. คำถามท้ายกิจกรรม 1. ความหนาแน่นของผนังห้องหัวใจทั้ง 4 ห้อง แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ลักษณะดังกล่าวนี้สัมพันธ์กับ การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจอย่างไร


83 2. จงเติมชื่อและหน้าที่ตามหมายเลขที่กำหนดให้ หมายเลข ชื่อ หน้าที่ 1 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 2 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 3 ............................... ............................... ........................................................................................................................ 1 2 3 4 5 6 7 8 15 9 10 11 12 13 14


84 ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 4 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 5 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 6 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 7 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 8 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 9 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 10 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 11 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 12 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 13 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 14 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................ 15 ............................... ............................... ........................................................................................................................ ........................................................................................................................


85 บันทึกหลังสอน บันทึกพฤติกรรมหลังการสอน (สิ่งที่พบจากการสอน/ปัญหาอุปสรรค/ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข) ผลการสอน ด้านความรู้(K) ม. 5/1 ......…………………………………………………………………………………………………………………………………………...... ..………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………...………………………………………………………………………………………………………………………………………… ด้านทักษะ กระบวนการ (P) ม. 5/1 ......…………………………………………………………………………………………………………………………………………...... ..………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. .…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) ม. 5/1 ......…………………………………………………………………………………………………………………………………………...... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา / อุปสรรค ......…………………………………………………………………...........................................................................……… . ……..………………………………………………………………………………………………………………………………....………… ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข ......…………………………………………………………………...........................................................................……… ……….………………………………………………………………………………………………………………………………....……… ลงชื่อ………………......…........….…………. (นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย) ผู้สอน วันที่…......เดือน………….....พ.ศ…...…..


86 ข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นของครูพี่เลี้ยง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………...…………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………….................................................................................................................... ลงชื่อ........................................................... (นางสาวชิดชนก โยปทุม) ครูพี่เลี้ยง วันที่……..เดือน………………..พ.ศ………… ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย (ตรวจสอบ/นิเทศ/เสนอแนะ/รับรอง) …………………………………………………………………….....………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………..……………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………….....………………………………………………… ……………………………………………………........................................................................................................... ลงชื่อ …………………………………………….... (นางสุภาภรณ์ ภูดินทราย) ครูนิเทศก์ฝ่ายวิชาการ วันที่……..เดือน………………..พ.ศ…………


87 แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ระบบหมุนเวียนเลือด ว32243 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 1. ระบบหมุนเวียนเลือดมีหน้าที่สำคัญอย่างไร (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) ก.ทำให้สารที่มีอนุภาคใหญ่ มีขนาดเล็กลง ข.ควบคุมการหมุนเวียนสารต่าง ๆ ในร่างกาย ค. ลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ไปทั่วร่างกาย ง.ลำเลียงสารที่เซลล์ต้องการและลำเลียงสารที่เซลล์ไม่ต้องการไปกำจัดออก 2. “หัวใจห้องล่างซ้ายมีผนังหนามากกว่าห้องอื่น ๆ” ประจักษ์พยานนี้บอกให้เราทราบว่าหัวใจห้องล่าง ซ้ายควรทำหน้าที่... (การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์) ก. สูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนมาก ข. สูบฉีดเลือดเข้าสู่เส้นเลือดขนาดใหญ่ ค. สูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย ง. สูบฉีดเลือดที่มีปริมาณมากกว่าห้องอื่นๆ 3. ในขณะที่เกิดการบีบของ เวนทริเคิล โครงสร้างใดในหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ เลือดไหลเข้าไปยัง เอเตรียม (การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ) ก. ลิ้นเซมิลูนาร์ ข. ไซนัสเวโนซัส ค. ไซโนเอเทรียลโนด ง. ลิ้นเอทริโอเวนทริคูลาร์ 4. ข้อใดคือหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดขาว (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) ก.ช่วยให้เลือดแข็งตัว ข.ทำลายเชื้อโรค หรือสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ค.สร้างไขกระดูก ง.ถูกทุกข้อ 5. เมื่อปี 2019 ทุกประเทศกำลังประสบปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรน่า ดังนั้นร่างกายเรามีโครงสร้าง ในข้อใดต่อไปนี้มีหน้าที่ในการต่อต้านไวรัสโคโรน่าไม่ให้มีผลในการทำร้ายร่างกายของเรา (การคิด วิเคราะห์เชิงหลักการ) ก. เม็ดเลือดขาว ข. น้ำเลือด ค. เม็ดเลือดแดง ง. เกล็ดเลือด


88 6. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้(การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) 1) เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น การรวมตัวของออกซิเจนกับเฮโมโกลบินจะลดลง 2) เมื่อเลือดมีปริมาณออกซิเจนมาก จะทำให้การรวมตัวของออกซิเจนกับเฮโมโกลบินเกิดได้ดี 3) เมื่อเลือดมีความเป็นกรดมาก การรวมตัวของเฮโมโกลบินกับออกซิเจนจะลดลง ข้อใดถูกต้อง ก. ข้อ 1) และ 2) ข. ข้อ 1) และ 3) ค. ข้อ 2) และ 3) ง. ถูกต้องทุกข้อ 7. เลือดที่ผ่านหัวใจของปลาแตกต่างจากเลือดที่ผ่านหัวใจของมนุษย์อย่างไร (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) ก. เป็นเลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนต่ำเท่ากัน ข. เป็นเลือดที่มีทั้งเลือดดำและเลือดแดงปนกัน ค. เป็นเลือดที่ผ่านการแลกเปลี่ยนแก๊สที่เหงือกมาแล้วเท่านั้น ง. เป็นเลือดที่ไม่ได้ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดเลือดตลอดเวลา 8. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรเปิดมีข้อดีอย่างไร (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) ก. ทำให้การหมุนเวียนเลือดเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ข. มีการแลกเปลี่ยนแก๊สของอวัยวะภายในได้โดยตรงกับเลือด ค. เลือดจะไม่ไหลอยู่ในหลอดเลือด แต่จะไหลอยู่ในฮีโมซิล ง. เลือดไม่ต้องไหลผ่านหัวใจโดยตรง แต่จะผ่านไปตามท่อลมเพื่อสัมผัสกับทุก ๆ เซลล์ของอวัยวะ ภายใน 9. ไส้เดือนดินมีระบบหมุนเวียนเลือดดังรูปใด (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) ก. ข. ค. ง.


89 10. โรคความดันโลหิตสูงอันเนื่องมาจากหลอดเลือดตีบตันอาจมีสาเหตุมาจากข้อใด (การคิดวิเคราะห์ ความสัมพันธ์) 1) ผนังหลอดเลือดสะสมคอเลสเตอรอล 2) ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง 3) เซลล์รับคอเลสเตอรอลได้น้อยกว่าปกติ ก. ข้อ 1) ข. ข้อ 2) และ 3) ค. ข้อ 1) และ 3) ง. ถูกต้องทุกข้อ 11. การให้เลือดมีหลักการอย่างไร (การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ) ก. ผู้ให้และผู้รับต้องมีหมู่เลือดเดียวกันเท่านั้น ข. เลือดผู้ให้ต้องไม่มีแอนติเจนตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ ค. เลือดผู้ให้ต้องไม่มีแอนติบอดีตรงกับแอนติเจนของผู้รับ ง. เลือดผู้ให้ต้องไม่มีทั้งแอนติเจนกับแอนติบอดีตรงกับผู้รับ 12. ถ้านักเรียนมีเลือดหมู่ A จะรับเลือดจากน้องชายที่มีเลือดหมู่ AB ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด (การคิด วิเคราะห์ความสัมพันธ์) ก. ได้ เพราะมีสายเลือดเดียวกัน แอนติเจนและแอนติบอดีจะไม่ทำปฏิกิริยาต่อกัน ข. ได้ เพราะผู้ให้และผู้รับมีแอนติเจนชนิดเดียวกัน และเลือดของผู้ให้ไม่มีแอนติบอดี ค. ไม่ได้ เพราะแอนติเจนของผู้ให้จะทำปฏิกิริยากับแอนติบอดีของผู้รับ ง. ไม่ได้ เพราะแอนติเจนของผู้รับจะทำปฏิกิริยากับแอนติบอดีของผู้ให้ 13. พ่อมีกรุ๊ปเลือด AB แม่มีกรุ๊ปเลือด O มีลูกชายหน้าตาน่ารัก 1 คน ประสบอุบัติเหตุที่ต่างประเทศขณะ ไปศึกษา จากสถานการณ์ดังกล่าวหากลูกชายต้องเติมเลือด นักเรียนคิดว่าลูกชายจะสามารถเติมเลือดกรุ๊ป ใดไม่ได้เด็ดขาด (การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ) ก. A ข. B ค. AB ง. O 14. ถ้าลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างห้องบนซ้ายและล่างซ้ายถูกทำลายลง น่าจะเกิดผลอย่างไร (การคิดวิเคราะห์ ความสัมพันธ์) ก. เลือดในร่างกายจะมี CO2 เพิ่มขึ้น ข. เลือดในร่างกายจะมีความดันลดลง ค. เลือดในร่างกายจะมีปริมาณลดลง ง. เลือดที่ปอดจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น


90 15. ในการเจาะเลือดเพื่อตรวจหรือบริจาคโลหิตจำเป็นต้องเจาะจากหลอดเลือด vein เพราะมีแรงดันต่ำ และมีลักษณะอย่างไร (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) ก. ผนังบางที่สุด ข. ขนาดใหญ่ที่สุด ค. มองเห็นได้ง่าย ง.ปริมาณของเลือดอยู่ภายในมากที่สุด 16. กำหนดให้(การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) A = พัลโมนารีอาร์เตอรี B = พัลโมนารีเวน C = ลิ้นไตรคัสปิด D = ลิ้นไบคัสปิด E = เอ ออร์ตา ข้อใดเรียงล้าดับการไหลผ่านของเลือดในหัวใจได้ถูกต้อง ก. A → C → D → E → B ข. B → C → E → D → A ค. C → A → B → D → E ง. D → E → A → C → B 17. ข้อใดมีความสัมพันธ์กัน (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยง กล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดที่นำเลือดจากขา เข้าสู่หัวใจ หลอดเลือดที่นำเลือดจากหัวใจ ไปยังปอด ก. ซูพิเรียเวนาคาวา อินฟิเรียเวนาคาวา พัลโมนารีอาร์เตอรี ข. พัลโมนารีอาร์เตอรี ซูพิเรียเวนาคาวา อินฟิเรียเวนาคาวา ค. อินฟิเรียเวนาคาวา พัลโมนารีอาร์เตอรี ซูพิเรียเวนาคาวา ง. โคโรนารีอาร์เตอรี อินฟิเรียเวนาคาววา พัลโมนารีอาร์เตอรี 18. ข้อใดถูกต้อง (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) 1) การไอหรือจามเป็นกลไกการกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมในเมือกที่อยู่เหนือเซลล์เยื่อบุในโพรง จมูก 2) โพรงจมูกมีหน้าที่ในการปรับความชื้นและอุณหภูมิของอากาศที่ผ่านเข้าไปในโพรงจมูก 3) ต่อมทอนซิลเป็นอวัยวะที่อยู่ด้านข้างคอหอย ทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคที่เข้าทางลมหายใจ ก. ข้อ 1) และ 2) ข. ข้อ 2) และ 3) ค. ข้อ 1) และ 3) ง. ข้อ 1) 2) และ 3)


91 19. ส่วนประกอบของเลือดในข้อใดมีหน้าที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว เมื่อมีการไหลของเลือดออกสู่ภายนอก ร่างกาย (การคิดวิเคราะห์เนื้อหา) ก.น้ำเลือด ข.เกล็ดเลือด ค.เม็ดเลือดขาว ง.เม็ดเลือดแดง 20. เมื่อมีคนประสบอุบัติเหตุมีบาดแผลเลือดออกจะเกิดเหตุการณ์ในข้อใด (การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ) ก. การไหลเวียนเลือดจะหยุดทันที ข. การไหลเวียนของเลือดจะช้าเร็วสลับกันไปเรื่อย ๆ ค. การไหลเวียนของเลือดจะปกติและมีกลไกการแข็งตัวของเลือดปิดปากแผล ง. การไหลเวียนของเลือดจะเร็วขึ้น เพื่อชดเชยเลือดที่เสียไป


92 ภาคผนวก ค คุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย


Click to View FlipBook Version