The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงานระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kunaoor, 2023-11-09 13:13:00

โครงานระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส_clone

โครงานระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส

โดย นายคุณากร ภูถาดงา รหัสประจําตัว65122930104 นายธนชาติ ธนงศักดิ์ รหัสประจําตัว65122930108 นางสาวปรมิตา โสมศรี รหัสประจําตัว 65122930116 นางสาวโยษิตา ชาชํานาน รหัสประจําตัว 65122930117 นางสาวอภิญดา ม่งงาม รหัสประจําตัว ุ 65122930119 นางสาวPichvoleak Kun รหัสประจําตัว 65122930120 โครงงานนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566


ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส โดย นายคุณากร ภูถาดงา รหัสประจําตัว65122930104 นายธนชาติ ธนงศักดิ์ รหัสประจําตัว65122930108 นางสาวปรมิตา โสมศรี รหัสประจําตัว 65122930116 นางสาวโยษิตา ชาชํานาน รหัสประจําตัว 65122930117 นางสาวอภิญดา ม่งงาม รหัสประจําตัว ุ 65122930119 นางสาวPichvoleak Kun รหัสประจําตัว 65122930120 โครงงานนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566


ก บทคัดย่อ โครงงานนี้เป็ นระบบจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลสซึ่งในระบบจะประกอบไปด้วย ผู้ดูแลระบบ (admin) และส่วนผู้ใช้ทัวไป ซึ่งในส่วนผู้ดูแลระบบ ( ่ admin) จะสามารถกดเพิ่ ม ลบ แก้ไขรายละเอียดข้อมูลห้องพัก และสามารถค้นหาข้อมูลห้องพักที่ยังว่างให้ผู้ใช้ทัวไปที่มาติดต่อ ่ สอบถามได้อย่างรวดเร็ว และสามารถจัดการข้อมูลประชาสัมพันธ์ และโปรโมชันเกี่ยวกับห้องพัก ่ ให้ผู้ใช้ทัวเข้าชมได้ และในส่วนผู้ใช้ ่ จะสามารถเลือกดูข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของห้องพักได้ ตามที่สนใจ และค้นหาแบบห้องพักที่สนใจ และทําการจองผ่านทางออนไลน์ได้ นอกจากนี้ระบบ ยังมีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็ นระเบียบซึ่ง ส่งผลดีต่อผู้ใช้งานและผู้ดูแลระบบ ทําให้ข้อมูล ถูกเก็บอย่าง ปลอดภัย ทําให้ง่ายต่อการค้นหาและ ใช้งาน ซึ่งวัตถุประสงค์ในการพัฒนาโครงงานนี้ก็ เพื่อ วิเคราะห์ระบบจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส ขึ้นมาตามขอบเขตการทํางานที่ตั้ งไว้


ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานนี้สําเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจากอาจารย์ดร.สุทิพย์ เป้งทอง อาจารย์ที่ ปรึกษาโครงงานที่ได้ให้คําเสนอแนะ แนวคิด ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ มาโดยตลอด จน โครงงานเล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้ศึกษาขอกราบขอบพระคุณเป็ นอย่างสูง ขอกราบขอบพระคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครอง ที่ให้คําปรึกษาในเรื่องในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้ ง เป็ นกําลังใจที่ดีเสมอมา ขอขอบคุณคุณอุดมภรณ์ กันยามา ผู้จัดการโรงแรมเดอะไนน์เพลส ที่ช่วยสละเวลามาให้ สัมภาษณ์ข้อมูลสําหรับโครงงานนี้ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ในสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นปี ที่ 2 ทุกคนที่ให้คําปรึ กษา คําแนะนําดี ๆ และให้กําลังใจในการทําโครงงานในครั้งนี้ จนกระทังโครงงาน่ ออกมาสําเร็จลุล่วง ไปด้วยดี คุณากร ภูถาดงาและคณะผู้จัดทํา


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ สารบัญรูป ช บทที่ 1 บทนํา 1.1ความเป็ นมาและความสําคัญของปัญหา 1 1.2วัตถุประสงค์ 2 1.3ขอบเขตของโครงงาน 2 1.4 แผนระยะเวลาการดําเนินงาน 3 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 1.6คํานิยามศัพท์เฉพาะ 4 บทที่ 2 หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1แนวคิดของการประกอบธุรกิจโรงแรม 6 2.2แนวคิดเกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ 14 2.3แนวคิดเกี่ยวกับการวิเคราะห์และออกแบบระบบ 18 2.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบหน้าจอ 24


ง สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่3 ขั้นตอนการดําเนินงาน 3.1 ER Diagram ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส 27 3.2 Data Dictionary 28 3.3 Context Diagram 31 3.4 แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram) 32 3.5คําอธิบายการประมวลผลของโปรเซส ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส 45 บทที่ 4 ผลการดําเนินงาน 4.1 ส่วนหน้าของผู้ใช้งาน 57 4.2 ส่วนหน้าของผู้ดูแลระบบ 68 บทที่5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการดําเนินงาน 75 5.2 ข้อเสนอแนะ 78 เอกสารอ้างอิง ภาคผนวก ภาคผนวกก : หนังสือขอเชิญเป็ นผู้เชี่ยวชาญ 83 ภาคผนวก ข : ตัวอย่างเอกสารของโรงแรมเดอะไนน์เพลส 85 ภาคผนวก ค : ภาพการลงพื้นที่ 89 หน้าที่รับผิดชอบสมาชิกในกล่มุ 92


จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1.4.1 ตารางแสดงระยะเวลาดําเนินงาน 3 3.2.1 Hotel (โรงแรม) 28 3.2.2 Hote Phone Number (เบอร์โทรศัพท์โรงแรม) 28 3.2.3 Employee (พนักงาน) 28 3.2.4 Employee Phone Number (เบอร์โทรศัพท์พนักงาน) 28 3.2.5 Room (ห้องพัก) 29 3.2.6 Reservation (การจอง) 29 3.2.7 Payment (การชําระเงิน) 29 3.2.8 Lease Agreement (สัญญาเช่า) 30 3.2.9 Customer (ลูกค้า) 30 3.2.10 Customer Phone Number (เบอร์โทรศัพท์ลูกค้า) 30 3.2.11 Review and Feedback (รีวิวและความคิดเห็น) 30 3.5.1 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 1 ระดับ 1 45 3.5.2 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 2 ระดับ 1 46 3.5.3 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 3 ระดับ 1 47 3.5.4 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 4 ระดับ 1 48 3.5.5 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 5 ระดับ 1 49 3.5.6 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 6 ระดับ 1 50


ฉ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 3.5.7 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 7 ระดับ 1 51 3.5.8 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 8 ระดับ 1 52 3.5.9 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 9 ระดับ 1 53 3.5.10 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่10 ระดับ 1 54 3.5.11 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 6ระดับ 2 55 3.5.12 แสดงคําอธิบายการประมวลผลของแผนภาพกระแสข้อมูลโปรเซสที่ 7 ระดับ 2 56


ช สารบัญรูป รูปที่ หน้า 2.1 โปรแกรม Diagrams.net 24 2.2 โปรแกรม Canva 25 2.3 โปรแกรม Microsoft Excel 26 3.1 ER Diagram ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส 27 3.2 แสดง Context Diagram ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส 31 3.3 แสดง Data Flow Diagram Level 0 ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส 32 3.4 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 1 33 3.5 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 2 34 3.6 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 3 35 3.7 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 4 36 3.8 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 5 37 3.9 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 6 38 3.10 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 7 39 3.11 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 8 40 3.12 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 9 41 3.13 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 10 42 3.14 แสดง Data Flow Diagram Level 2 Process 6 43 3.15 แสดง Data Flow Diagram Level 2 Process 7 44


ซ สารบัญรูป (ต่อ) รูปที่ หน้า 4.1 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าลงชื่อเข้าใช้งาน 57 4.2การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าสร้างบัญชี 58 4.3การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าจอง 59 4.4 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้ารายละเอียดห้องพัก 60 4.5 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้ารายละเอียดการจอง 61 4.6 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าการชําระเงิน 62 4.7 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าการชําระเงินสําเร็จ 63 4.8 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้ารายละเอียดสัญญาเช่า 64 4.9 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้ารายละเอียดสัญญาเช่า 65 4.10 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้ารีวิวและความคิดเห็น 66 4.11 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้ารีวิวและความคิดเห็น 67 4.12 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าแสดงข้อมูลพนักงาน 68 4.13 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าแสดงข้อมูลลูกค้า 69 4.14 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าแสดงข้อมูลการชําระเงิน 70 4.15 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าแสดงข้อมูลการจอง 71 4.16 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าแสดงข้อมูลห้องพัก 72


ฌ สารบัญรูป (ต่อ) รูปที่ หน้า 4.17 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าแสดงข้อมูลรีวิวและความคิดเห็น 73 4.18 การออกแบบหน้าจอแสดงผล หน้าแสดงข้อมูลสัญญาเช่า 74


บทที่ 1 บทนํา 1.1 ความเป็ นมาและความสําคัญของปัญหา ปัจจุบันอุตสาหกรรมโรงแรม มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นลักษณะการดําเนินการจัดการ ของโรงแรมในปัจจุบันมีความแตกต่างกัน เนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ ขนาดของที่พักแรมสถานที่ตั้ ง สิ่งอํานวยความสะดวกที่มีไว้บริการ เป็ นต้น ในอดีต การบริหารในธุรกิจที่พักแรมส่วนมากเจ้าของ กิจการจะเป็ นผู้ดูแลและบริหารงานเองเนื่องจากคู่แข่งในธุรกิจยังมีน้อย แต่ในปัจจุบันได้มีการ เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากโรงแรมมีขนาดใหญ่จํานวนหลายร้อยห้องพักและมีส่งอํานวยความ สะดวกที่ครบครันเกิดขึ้นเป็ นจํานวนมาก จึงจําเป็ นต้องสร้างสิ่งดึงดูดใจต่าง ๆ ให้ลูกค้าใช้บริการ และเกิดความประทับใจ ประกอบกับการเดินทางที่สะดวกสบายมากขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้มีการ เดินทางระหว่างประเทศเพิ่ มมากขึ้น ดังนั้นระบบการจัดการในธุรกิจที่พักจึงจําเป็ นต้องใช้หลักการ บริหารตามมาตรฐานสากลและการบริหารงานอย่างมืออาชีพ [1] ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เป็ นธุรกิจบริการด้านที่พักแรม (Accommodation) ซึ่งจัดประเภท มาตรฐานอุตสาหกรรมไทย (Thai Standard Industrial Classification; TSIC Rev. 4, ปี 2551) เป็ น รหัส 55101 หมายถึง การจัดที่พักแรมแบบให้เช่าเป็ นรายวัน หรือรายสัปดาห์ สําหรับผู้ที่มาพักแรม ระยะสั้น โดยรวมถึงห้องพักแขกและห้องชุดที่มีการตกแต่งพร้อมเข้าพัก หรื อห้องชุดพร้อม เครื่องครัว โดยมีหรือไม่มีแม่บ้านให้บริการก็ตาม และอาจรวมถึงการให้บริ การอื่นๆ เช่น การ ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มที่จอดรถ บริการซักรีด สระว่ายนํ้ า และห้องออกกําลังกาย สิ่งอํานวย ความสะดวก ด้านนันทนาการ และห้องประชุม รวมถึงที่พักที่จัดโดย โรงแรม โรงแรมรีสอร์ท โรงแรมห้องชุด ที่พักและโรงแรมริมทางหลวงโดยไม่รวมเกสต์เฮ้าส์ ที่พักสัมผัสวัฒนธรรมชนบท (Home Stay) และที่พักแรมอื่นๆที่นอกเหนือจากที่กล่าวมาธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เป็ นธุรกิจ บริ การธุรกิจหนึ่ งที่มีความสําคัญอย่างมากในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่นับเป็ น อุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่า 9 แสนล้านบาท


2 จากเบื้องต้นเพื่อเป็ นการวิเคราะห์ระบบงาน คณะผู้จัดทําโครงงานได้เล็งเห็นความสําคัญที่ จะวิเคราะห์ระบบงานด้านการจองที่พักของโรงแรมเดอะไนน์เพลสให้เป็ นระบบงานใหม่ที่มี ความสามารถในการบันทึกข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค้นหาข้อมูลที่บันทึกได้อย่างรวดเร็ว ตรวจสอบข้อมูลได้อย่างแม่นยํา เพื่อเพิ่ มประสิทธิภาพในการทํางานต่อไป 1.2วัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส 1.3 ขอบเขตของโครงงาน ในการศึกษาระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส มีกําหนดขอบเขตงานการวิเคราะห์ ระบบการจองที่พักโรงแรมไว้ ดังนี้ 1.3.1 Admin 1.3.1.1 สามารถเข้าระบบและออกจากระบบในส่วนของการจัดการระบบได้ 1.3.1.2 สามารถเพิ่ ม ลบ แก้ไข รายละเอียดข้อมูลห้องพัก 1.3.1.3 สามารถเพิ่ ม ลบ แก้ไข รายละเอียดการจองห้องพักได้ 1.3.1.4 สามารถค้นหาข้อมูลห้องพักที่ยังว่างให้ลูกค้าที่มาติดต่อสอบถามได้อย่างรวดเร็วขึ้น 1.3.1.5 สามารถจัดการข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์และโปรโมชันเกี่ยวกับห้องพักให้ลูกค้า ่ เข้า ชมได้ 1.3.2 User (ผู้ใช้ทัวไป) ่ 1.3.2.1 สามารถเลือกดูข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของห้องพักได้ตามที่สนใจ 1.3.2.2 สามารถดูข้อมูลประชาสัมพันธ์ของโรงแรมได้ 1.3.2.3 ค้นหาแบบห้องพักที่สนใจ และทําการจองผ่านทางออนไลน์ได้


3 1.4 แผนระยะเวลาดําเนินงาน ตารางที่ 1.4.1 ตารางแสดงระยะเวลาดําเนินงาน หมายเหตุสัญลักษณ์ คือ ระยะเวลาในการดําเนินงาน


4 1.5 ประโยชน์ที่จะได้รับ 1.5.1ได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับระบบการจองที่พักของโรงแรมเดอะไนน์เพลส 1.5.2 ได้นําระบบสารสนเทศมาใช้กับระบบการจองที่พักของโรงแรมได้ 1.6 คํานิยามศัพท์เฉพาะ 1.6.1ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร(Management Information System: MIS) หมายถึง ระบบ ที่ให้ สารสนเทศที่ผู้บริหารต้องการตอบสนองกับผู้บริหารได้ทันทีเพื่อให้สามารถทํางานไปอย่างมี ประสิทธิภาพโดยจะรวมทั้ งสิ่งที่คาดว่าจะเป็ นอนาคตMISจะให้สารสนเทศภายในช่วงเวลาที่เป็ น ประโยชน์ เพื่อให้ผู้บริหาร 1.6.2เซิร์ฟเวอร์หมายถึง เครื่องหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งทํางานให้บริการในระบบ เครือข่ายแก่ลูกข่าย (ซึ่งให้บริการผู้ใช้อีกหนึ่ง) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทําหน้าที่เป็ นเซิร์ฟเวอร์นี้ควร จะมีประสิทธิภาพสูงมีความเสถียรสามารถให้บริการแก่ผู้ใช้ได้เป็ นจํานวนมากภายในเซิร์ฟเวอร์ ให้บริการได้ด้วยโปรแกรมบริการ ซึ่งทํางานอยู่บนระบบปฏิบัติการอีกชั้ นหนึ่ง 1.6.3 นันทนาการ หมายถึง การทําให้ชีวิตสดชื่น โดยการเสริมสร้างพลังงานขึ้นใหม่ หลังจากที่ ร่างกายใช้พลังงานแล้วเกิดเป็ นความเหนื่อยเมื่อยล้าทางร่างกาย จิตใจและทั้ งสมอง เมื่อบุคคลเข้า ร่วมกิจกรรมนันทนาการจะช่วยขจัด หรือผ่อนคลายความเหนื่อยเมื่อยล้าทางด้านร่างกายและจิตใจ ในความหมายนี้ นันทนาการจึงเป็ นการตอบสนองความต้องการทางกายและจิตใจของ บุคคลได้อย่างแท้จริง 1.6.4 ดาต้าโฟล์หมายถึง เป็ นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเขียนแบบระบบใหม่ ใน การเขียนแผนภาพจําลองการทํางานของกระบวนการ Process(โปรเซส) ต่าง ๆ ในระบบ และเป็ น แผนภาพแสดงการไหลของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายนอกเข้ามาในระบบ เพื่อแสดงวิธีการไหล ของข้อมูลจากกระบวนการหนึ่งไปอีกกระบวนการหนึ่ง 1.6.5 โฮสเทล(Hostel) หมายถึง ที่พักราคาประหยัด มีเพียงสิ่งอํานวยความสะดวกพื้นฐาน ทัว่ ไป เช่น ที่นอน ตู้ล็อคเกอร์ ห้องอาบนํ้ า เป็ นต้น ให้นึกง่าย ๆ คือ คล้ายกับหอพักนักศึกษา ที่เรา ต้องมีรูมเมท นอนรวมกัน ใช้ห้องนํ้ าร่วมกัน ใช้ครัวร่วมกัน ห้องรับแขกด้วยกัน โฮสเทล ( Hostel ) บางที่ก็จะแยกห้องสําหรับชายหญิงเอาไว้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะนอนรวมกัน หรือบางที่ เองก็มีห้องพักเดี่ยวไว้ให้บริการอีกเช่นกัน 1.6.6 โรงเตี๊ยม หมายถึง สถานที่ประกอบธุรกิจที่บริการที่พักสําหรับนักเดินทางที่มักจะมี บริการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหาร ที่มักจะตั้ งในชนบทริมถนนที่ใช้ในการเดินทาง โรงเตี๊ยมในยุโรปอาจจะเริ่มสร้างขึ้นเมื่อมีการสร้างถนนโรมันเมื่อสองพันปี ที่ผ่านมา โรงเตี๊ยมบาง


5 โรงในยุโรปมีอายุหลายร้อยปี นอกจากจะเป็ นที่พักสําหรับนักเดินทางแล้ว โรงเตี๊ยมของยุโรปก็ อาจจะเป็ นสถานที่สําหรับการพบปะสังสรรค์ของผู้คนในท้องถิ่ นด้วย 1.6.7 เกสต์เฮาส์หมายถึง เป็ นที่พักแบบโรงแรมราคาไม่แพง บางแห่งเป็ นบ้านส่วนตัวที่ได้รับการ ดัดแปลงเพื่อใช้เป็ นที่พักโดยเฉพาะ เจ้าของมักจะอาศัยอยู่ในพื้ นที่ที่แยกจากกันโดยสิ้ นเชิงภายในที่ พัก และเกสต์เฮาส์อาจทําหน้าที่เป็ นธุรกิจที่พักรูปแบบหนึ่ง


บทที่ 2 หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ในระบบการจองที่พักโรงแรม ผู้ศึกษาได้ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร และงานวิจัยจากหลายแห่ลง ซึ่งมีเนื้อหาที่จะนํามาเสนอในส่วนของงานที่เกี่ยวข้องมีสาระสําคัญ โดยสรุปตามลําดับดังนี้ 2.1 แนวคิดของการประกอบธุรกิจโรงแรม 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ 2.3แนวคิดเกี่ยวกับการวิเคราะห์และออกแบบระบบ 2.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบหน้าจอ 2.1แนวคิดของการประกอบธุรกิจโรงแรม แนวโน้มการขยายตัวอย่างเพิ่ มขึ้น ประกอบกับมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมมีการขยายตัวตามไปด้วย ในการเดินทางของนักท่องเที่ยวมีปัจจัยข้อจํากัด เรื่องที่ไม่สามารถเดินทางไปยังสถานที่ ท่องเที่ยวที่เป็ นจุดหมายปลายทางได้ครบทุกแห่งภายใน หนึ่งวัน จึงมีความจําเป็ นต้องพักค้างคืน โดยการใช้บริการจากธุรกิจโรงแรม เพื่อให้ได้รับความ ปลอดภัยและมีที่พักผ่อนให้ถูกสุขลักษณะ และอนามัย รวมถึงการได้รับความสะดวกสบายใน ระหว่างการเดินทาง ด้วยเหตุจําเป็ นดังกล่าวจึงเป็ นช่องทางให้ธุรกิจโรงแรมเข้ามามีบทบาทในการ รองรับและให้บริการแก่นักท่องเที่ยวกันอย่างแพร่หลาย [2] 2.1.1 วิวัฒนาการของการประกอบธุรกิจโรงแรม


7 2. 1. 1.1 วิวัฒนาการของการประกอบธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศการประกอบธุรกิจ โรงแรมมีประ วัติความเป็ นมายาวนานมากเกือบ 2,000 ปีเพราะไม่ว่ายุคสมัยใด นักท่องเที่ยวไม่ สามารถเดินทางไปถึงสถานที่ต่าง ๆ ได้ทั้ งหมดภายในเวลา หนึ่งวัน จึงทําให้เกิดธุรกิจโรงแรมขึ้น สําหรับให้บริการที่พักผ่อนหรือพักค้างคืนสําหรับ นักท่องเที่ยวในระหว่างการเดินทาง ธุรกิจ โรงแรมและผู้เดินทางจึงเป็ นของคู่กันมาตั้ งแต่สมัยโบราณ และมีวิวัฒนาการที่ใกล้ชิดกับการ เดินทางเสมอ โดยรูปแบบของธุรกิจโรงแรม จะผันแปรไปตามวัตถุประ สงค์ของผู้เดินทางและ ความเจริญก้าวหน้าของระบบการคมนาคมขนส่งอย่างสอดคล้องกัน [3] วิวัฒนาการของการประกอบธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศที่สําคัญของโลก สามารถแบ่งได้เป็ น 3 กรณี ดังต่อไปนี้ กรณีแรก การประกอบธุรกิจโรงแรมในกลุ่มประเทศภาคพื้ นยุโรป * เริ่มต้นในยุคโบราณ (Early History) ในการเดินทางของมนุษย์ทั้ งทางบกและ ทางทะเล มีวัตถุประสงค์เพื่อการอพยพย้าย ถิ่ น ค้าขายสินค้า ปกครองดินแดนอื่น ๆ หรือแม้แต่การจารึกแสวงบุญและประกอบพิธีกรรมทาง ศาสนา ทําให้เกิดที่พักแรมแบบทาเวิร์น (Tavern) ซึ่งปรากฎในมหากาพย์ liad and Odyssey ของจินตกวีที่ชื่อ โฮเมอร์ (Homer) จึงมีการจัดที่พักแรม ให้กับผู้เดินทาง โดยสะท้อนแนวคิดว่า ผู้คนในยุคนั้นเชื่อว่า ผู้มาเยือนถิ่ นของตน อาจเป็ นทั้ ง ตัวแทนของภูตผีหรือพระเจ้า ซึ่งถ้ามีการ รับรองอย่างดี ย่อมทําให้ผู้ต้อนรับนั้นได้บุญตามความเชื่อ ทางจิตวิญญาณซึ่งมีลักษณะมุ่งเน้นไมตรี จิตเป็ นสําคัญ อาณาจักรโรมัน (Roman Empire) เมื่ออาณาจักรโรมันได้รับชัยชนะครอบครองพื้นที่ บางส่วนของทวีปยุโรปแล้ว จึงมีการสร้างถนนสายหลักยาว 51,000 ไมล์ เพื่อเชื่อมโยงดินแดนที่อยู่ ในครอบครองและเมืองสําคัญ ทําให้เกิดการประกอบธุรกิจโรงแรมตามถนนสายดังกล่าว สําหรับ ให้บริการพ่อค้าต่างแดน ข้าราชการ หรือนักเดินทาง รวมถึงที่พักแรมสําหรับผู้เดินสาร (Posting House) ในกิจการสื่อสารและไปรษณีย์ ต่อมาอาณาจักรโรมันล่มสลาย ทําให้ทวีปยุโรปเข้าสู่ยุค กลาง (The Middle Ages) ซึ่งเป็ นยุคมืด เพราะเกิดสงครามและการปล้นสะดม ทําให้ประชาชน ประสบภาวะยากจนและความไม่ปลอดภัย ทําให้ผู้คนไม่นิยมเดินทาง เมื่อเป็ นเช่นนี้ทําให้ธุรกิจ ที่ พักแรมส่วนใหญ่ต้องปิ ดกิจการลง โดยที่นักเดินทางในยุคนี้จะมีแต่เพียงนักบวช นักแสวงบุญ เป็ น ส่วนมาก ซึ่งพวกเขาจะพักแรมอยู่ตามวัด หรือที่พักแรมขนาคเล็กซึ่งตั้ งอยู่ใกล้วัด ซึ่งมีมาตรฐาน การบริการที่ตํ่ามาก มีเพียงแค่การปูฟูกไว้รับรองแขกเพื่อพักรวมกันในห้องโถงกลาง และให้บริการ แบบประหยัด เช่น ขนมปัง เนื้อสัตว์ เบียร์ เป็ นต้น ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (The Renaissance) เกิด ระบบคมนาคมขนส่ง โดยใช้รถม้โดยสารสําหรับเดินทางไกลที่ใช้เวลาในการเดินทางหลายวัน ทํา


8 ให้เกิดธุรกิจที่พักแรมขึ้นตามเส้นทาง ที่รถม้าวิ่ งผ่าน เพื่อรองรับผู้โดยสารและม้า ที่จําเป็ นต้องค้าง คืนในระหว่างการเดินทาง จึงทําให้เกิด ที่พักแรมประเภท "โรงเตี๊ยม" (Inn) กรณีที่สอง ความเป็ นมาของการประกอบธุรกิจโรงแรมในประเทศอังกฤษ ธุรกิจที่พักแรมเจริญ เติบ โตไปตามเส้นทางของระบบการคมนาคม กล่าวคือ ในยุคที่มีการเดินทางไกลด้วยรถม้า โดยมา จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ไปสู่เมืองอะดินบะระ สก็อตแลนด์ธุรกิจที่พักแรมก็เจริญเติบ โต ขึ้นตามเส้นทางที่รถม้โดยสารสัญจรผ่านด้วย ซึ่งต่อมาเมื่อการคมนาคมขนส่งทางรถไฟขยายตัว มี เส้นทางเชื่อมโยงไปยังประเทศต่าง ๆ ทําให้ชาวอังกฤษสามารถเดินทางไปยังอาณานิคม และทวีป อเมริกาซึ่งเพิ่ งถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1492 โดย Chritopher Columbus จึงทําให้การประกอบธุรกิจ โรงแรมแพร่ขยายเข้าไปสู่ประเทศดังกล่าวมากยิงขึ ่ ้น [4] กรณีที่สาม ความเป็ นมาของการประกอบธุรกิจโรงแรมในสหรัฐอเมริกา เริ่มจากการขยายตัว ของการคมนาคมขนส่งทางรถไฟ ซึ่งช่วยให้ประชาชนเดินทางได้โดยสะดวกยิงขึ ่ ้น รวมทั้ งพ่อค้าก็ สามารถประกอบธุรกิจการค้าได้มากขึ้น จึงมีส่วนช่วยกระตุ้น ให้เกิดความนิยมเดินทางท่องเที่ยว และดําเนินธุรกิจการค้าอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้ธุรกิจที่พักแรม บริเวณใกล้สถานีรถไฟขึ้น เกิดการ พัฒนาจนกลายเป็ นโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีความหรูหรา พร้อมจัดสรรสิ่งอํานวยความสะดวกให้กับ นักเดินทาง ซึ่งโรงแรมลักษณะนี้เรียกว่า แกรนด์ โฮเต็ล(Grand Hotel) ต่อมา เมื่อมีการคมนาคมทางอากาศและทางรถยนต์ได้รับความนิยมมากขึ้น ทําให้ธุรกิจ โรงแรมปรับเปลี่ยนทําเลที่ตั้ งจากเดิมที่ยึดตามแนวเส้นทางรถไฟ โดยเปลี่ยนไปอยู่ใกล้กับ สนามบินและถนนสายหลักมากขึ้น การประกอบธุรกิจ โรงแรมมีการขยายตัวและเติบโต อย่าง รวดเร็ว จึงมีการสร้างโรงแรมจํานวนเพิ่ มสูงขึ้นถึงจํานวนหนึ่งร้อยแห่ง และมีการพัฒนาธุรกิจ ที่พัก แรมในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น ในเมืองดักลาส มลรัฐแอริ โซนา มีการสร้างห้องพักที่มีลานจอดรถ ส่วนตัวอยู่ในบริเวณเดียวกัน เรียกว่า "โมเต็ล (Motel)" ซึ่งเป็ นการรวบคําของ Motorcar และ Hote [5] 2.1.1.2วิวัฒนาการของการประกอบธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยความเป็ นมาของที่พักแรม ในประเทศไทยนั้นมีมาตั้ งแต่สมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา เกิดขึ้นจากชาวบ้านต่างเมือง เดินทางไปมาเพื่อทําการค้าขาย หรือเพื่อการเล่น การพนันหวย ก ข กันภายในเมืองแล้วไม่สามารถ เดินทางกลับภูมิลําเนาได้ภายในวันนั้น จึงทําให้ต้องขออาศัยพักค้างแรมตามบ้านเรือนของญาติพี่ น้อง เพื่อนฝูง หรือแม้กระทังตามวัดวาอาราม่ ซึ่งพอนานวันจึงเกิดความไม่สะควกและมีจํานวน ผู้คนที่มากยิงขึ ่ ้น จึงมีการสร้าง "ศาลาที่พักคนเดินทาง" ไว้ในหมู่บ้าน ริมทางเดินในป้าและริม แม่นํ้ าลําคลอง โดยมีลักษณะเป็ นเรือนแถว ชั้ นเดียว เป็ นห้องพักรวมสําหรับใช้พักอาศัยกินอยู่หลับ นอน โดยการประกอบธุรกิจ โรงแรมของ ประเทศไทยมีประวัติความเป็ นมา ดังนี้" [6]


9 การประกอบธุรกิจโรงแรมเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2405 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดที่พักแรมซึ่งเรียกว่า "บอร์ดดิ้ ง เฮ้าส์ (Boarding House)" สําหรับใช้รองรับนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งเป็ น ผลสืบ เนื่องมาจากการทําสนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศอังกฤษและประเทศต่าง ๆ ในทวีป ยุโรป ที่สามารถเจรจาตกลงทําค้าขายกันได้อย่างเสรี จึงทําให้ชาวต่างชาตินิยมเดินทางเข้ามา ใน ประเทศไทยและมีถิ่ นพํานักอยู่ทัวราชอาณาจักร ไทย ซึ่งได้แก ่่ นักการทูต พ่อคํ้ าา นายทหาร มิชชันนารี เป็ นต้น ในปี พ.ศ. 2409 รัฐบาลไทยได้สร้างที่พักตากอากาศชายทะเลขึ้นแห่งแรก เนื่องจาก ชาวต่างชาติ นิยมการพักผ่อนตากอากาศ แต่คนไทยสมัยนั้นยังไม่รู้จักการพักผ่อนตากอากาศชายทะเล พระบาทสมเด็จพระจอมเกลํ้ าาเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดําริให้สร้างพระตําหนักมหาราชา และพระ ตําหนัก มหาราชินี ที่ตําบลอ่างหิน จังหวัดชลบุรี สําหรับให้ชาวต่างชาติเช่าตากอากาศ ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการสร้างโรงแรมโอเรียลเต็ล (Oriental Hotel) ในปี พ.ศ. 2419 ซึ่งนับเป็ นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย โดยสร้างเป็ น อาคารไม้ชั้นเดียวขนานไปกับริมฝั่ งแม่นํ้ าเจ้าพระยา โดยนาย C. Saljie นักเดินเรือชาวเคนมารัก ซึ่ง ต่อมา มีการปรับปรุง ขยายเป็ นตึก พร้อมมีสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับผู้พัก เช่น หนังสือพิมพ์ บิลเลียด เช่าเรือ และเป็ นโรงแรมที่มีไฟฟ้าใช้ในเดือนเมบายน พ.ศ. 2434 ในช่วงปี พ.ศ. 2468-2477 เศรษฐกิจประเทศไทยประสบภาวะลําบาก เนื่องจากวิกฤต เศรษฐกิจ ทัวโลก ทําให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้วังพญาไท ่ เป็ น "โฮเต็ลวังพญาไท" เปิดดําเนินการครั้งแรกเมื่อเดือนชันวาคม พ.ศ. 2469 ซึ่งจัดเป็ นโรงแรม ที่ขอด เยี่ยมที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เมื่อเทียบกับประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่ น ประเทศอินเดียและ ประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากเป็ นโรงแรมที่ดัดแปลงมาจากพระราชวังจึงมีความหรูหรา มีการประดับ ตกแต่งอาคารด้วยศิลปะที่วิจิตรงดงาม มีห้องอาหาร ห้องนังเล่น ห้องเต้นรํา และสนามเทนนิส ่ ซึ่ง ปัจจุบัน โฮเต็ลวังพญาไทกลายเป็ น โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตามคําสั่ งของคณะปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การควบคุมการประกอบธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย กิจการโฮเต็ลในสมัย พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สะท้อนให้เห็นถึงความหรูหรา วิจิตรงดงาม และวัฒนธรรมอันดีของ ชาวไทยซึ่งสามารถผสมผสานให้เข้ากับรสนิยมการพักผ่อนหย่อนใจแบบชาติตะวันตก แต่ในช่วง ปี พ.ศ. 2464-2478 มีนายทุนชาวจีนซึ่งนิยมการทําธุรกิจที่พักแรม ประเภท โฮเต็ลเพื่อเลียนแบบชาติ ตะวันตกกันมากขึ้น แต่มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้โฮเต็ลเพื่อเป็ น สถานที่สําหรับการค้าประเวณีแอบ แฝง รวมถึงใช้เป็ นแหล่งที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพของ หญิงโสเภณี ซึ่งปัญหาคังกล่าวเกิดขึ้น


10 เนื่องจากในสมัยนั้นประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุม เรื่องการค้าประเวณีของหญิง โสเภณีที่ อาศัยโรงแรมเป็ นสถานที่ประกอบอาชีพ ในปี พ.ศ. 2470 จึงทําให้รัฐบาลเร่งดําเนินการผลักคันให้ เกิดบทบัญญัติที่มีชื่อว่า "พระราชบัญญัติที่พักคนเดินทาง" โดยมีเจตนารมณ์ที่จะกําจัดคนสําส่อนมิ ให้ใช้ที่พักสําหรับคนเดินทางเพื่อเป็ นสถานที่สําหรับ การค้าประเวณีแอบแฝง ภายหลังจากนั้น รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 247: ขึ้น โดยมีผลบังกับใช้เมื่อ วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2479 เพื่อใช้บังคับกับธุรกิจโรงแรมให้เป็ นระเบียบเรียบร้อยและควบคุม ป้องกันมิให้เกิดอาชญากรรม ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้มีเจตนารมณ์สํากัญ กล่าวคือ มุ่งหมายที่จะ แก้ไขปัญหาเรื่องการคําเนินธุรกิจที่พักแรมของนายทุนชาวจีนในย่านชุมชนชาวจีนที่มีเจตนาแอบ แฝงค้าประเวณีเป็ นอันดับแรก โดยใช้วิธีแบ่งแยกประเภทของที่พักแรมที่มีการจัดการลักษณะ โฮเต็ลตามแบบฝรั่ งให้เป็ นโรงแรมชั้นหนึ่ง ออกจากที่พักแรมประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ กิจการโฮเต็ลของชาวจีนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าหญิง โสเภณีแอบแฝงให้เกิดความชัดเจน นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลยังมีนะโยบายให้ความสําคัญในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยว กายในประเทศจึงทําให้พระราชบัญญัติฉบับนี้มีเจตนารมณ์เพื่อการปรับปรุงคุณภาพของสถานที่ พักแรม และแบ่งแยกให้มีระดับแตกต่างกันเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวให้มี โอกาสเลือกและใช้บริการธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ทั้ งนี้ พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2478 ซึ่งเป็ นบทบัญญัติที่ใช้บังคับสําหรับการควบคุม ธุรกิจ โรงแรมได้ถูกปรับปรุงแก้ไขอยู่หลายครั้ง ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติโรงแรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2484 แก้ไขเรื่องให้ใบอนุญาตได้เฉพาะโรงแรมเดียว พระราชบัญญัติโรงแรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2495 แก้ไขเพิ่ มเติมเรื่องการเรียกเก็บค่าธรรมนียมจากผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต และพระราชบัญญัติ โรงแรม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2503 กําหนดให้เจ้าสํานักโรงแรมหรือผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในขณะนั้น ต้องจดรายชื่อผู้เข้าพักทุกครั้งที่เข้าพักเพื่อประ โยชน์ในการจัดเก็บภาษี จนกระทังรัฐบาล่ ได้ ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติโรงแรมฉบับก่อนหน้าทั้ งหมดและประกาศให้ใช้บังคับ พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 แทน ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 [7] 2.1.2 ความหมายของการประกอบธุรกิจโรงแรม ราณี อิสิชัยกุล ได้ให้ความหมายของคําว่า "ธุรกิจ" หมายถึง กิจกรรมด้านการผลิตสินค้า หรือ บริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยมีจุดมุ่งหมายในการแสวงหากําไร ส่วนคําว่า "ธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism Business)" หมายถึง กิจกรรมด้านการผลิตสินค้าและบริการเพื่ออํานวย ความสะดวกและตอบสนองของนักเดินทางเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถท่องเที่ยวได้ตาม วัตถุประสงค์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหาผลกําไร[8]


11 คําว่า "พักแรม" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายถึง พักค้างคืน เช่น ลูกเสือไปพักแรม ส่วนคําว่า "ที่ (Place หรือ Position)" มาจากคําว่า สถานที่ ซึ่งหมายถึง ที่ตั้ ง หรือ แหล่ง เช่น สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ตากอากาศ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เมื่อรวมความหมาย ทั้ ง สองเข้าด้วยกัน "ที่พักแรม" จึงหมายถึง สถานที่สําหรับพักค้างคืน เพียงแต่ไม่ใช่การค้างคืนประจํา เป็ นปกติ เช่น บ้าน หรือหอพัก แต่ควรตีความให้ถูกต้องว่าหมายถึง สถานที่สําหรับพักค้างคืนเป็ น การชัวคราว ในขณะหรือระหว่างเดินทางเพื่อท่องเที่ยว ทํากิจธุระ อบรม สัมมนา เป็ นต้น ่ ดังนั้น ธุรกิจที่พักโรงแรม หรือการประกอบธุรกิจโรงแรม จึงหมายถึง การให้บริการด้วยการ จัดสถานที่ (Place) เพื่อใช้สําหรับรองรับผู้เดินทางที่ต้องการพักค้างคืนในระหว่างการเดินทาง ท่องเที่ยวหรืออบรม หรือสัมมนา หรือทํากิจธุระอื่น และมีการอํานวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ เช่น การบริการอาหารและเครื่องดื่ม ความสะอาด ความปลอดภัยในขณะที่พักอาศัย โดยมี จุดมุ่งหมายในการแสวงหากําไรจากการให้บริการดังกล่าว[9] การประกอบธุรกิจโรงแรมให้บริการที่พักในรูปแบบและลักษณะต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายและมี แนวโน้มที่จะมีการขยายตัวมากยิงขึ ่ ้นเพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่ง รูปแบบการให้บริการค้านที่พักแรมในปัจจุบันมีชื่อเรียกที่ หลากหลาย และรูปแบบที่พัก ที่แตกต่าง กัน เช่น Resorts, Service Apartment, Mansion, Inn, Motel, Guesthouse, Homestay เป็ นต้น โดยเฉพาะอย่างยิง สถานที่พักของทางราชการที่มีการให้ประชาชนทั ่ วไปเช่าพักได้ เช่น ่ ที่พักของ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทําให้เกิดความสับสนว่ากิจการที่พักแรมประเภทใดบ้างที่เป็ นโรงแรม หรือไม่ เป็ นโรงแรมตามกฎหมาย[10] 2.1.3 ประเภทของการประกอบธุรกิจโรงแรม การประกอบธุรกิจโรงแรม เป็ นธุรกิจบริการที่มีความสําคัญอย่างหนึ่งที่สามารถตอบสนอง ความต้องการของแขกผู้มาพัก ในการพักค้างคืนระหว่างการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้และ เนื่องจากกิจกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบันมีความหลากหลายและแปลกใหม่มากขึ้น จึงทําให้มีการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ ไปตามกิจกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งประเภท ของการประกอบธุรกิจโรงแรมมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้[11] 2.1.3.1โรงแรม (Hotel) มาจากภาษาฝรั่ งเศสสมัยเก่าว่า Ostel ซึ่งหมายถึง สถานที่ ประกอบการซึ่งมีอาหารเครื่องดื่ม และที่พักสําหรับให้บริการคนเดินทางที่ จ่ายแก่บริการนั้น ทั้ งนี้ โรงแรมมีความสํากัญ ต่ออุดสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะเป็ น ที่รู้จักและ นิยมในหมู่นักเดินทางมากที่สุด ซึ่งแขกผู้มาพักมักคาดหวังว่าจะได้รับการบริการที่ หรูหราและมีสิ่งอํานวยความสะดวกพร้อมบริการเสริมในด้านต่าง ๆ เช่น บริการอาหาร เครื่องดื่ม สระว่ายนํ้ า บริการซักรีด ห้องออกกําลังกาย รวมถึงมาตรฐานบริการที่สะอาด ยอดเยี่ยมและ


12 ปลอดภัย ยิงหากโรงแรมมีการ่ บริการที่มีมาตรฐานสูงเทียบเท่ากับระดับสากลได้มากเท่าใด ย่อม สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปใช้บริการได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะเปี บการสร้างรายได้ให้แก่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เป็ น อย่างมาก 2.1.3.2รีสอร์ท (Resort) เป็ นสถานที่พักตากอากาศที่สร้างขึ้นในรูปแบบบ้านพักหรืออาคาร หลายหลังโดยมีห้องพักจํานวนหนึ่งให้แก่แขกผู้พักและเก็บค่าบริการเป็ น "ค่าเช่า" ซึ่งแขกผู้พักมี วัตถุประสงค์เพื่อต้องการการพักผ่อน (Recreation) หรือเพื่อหาความเพลิดเพลินด้วยการทํา กิจกรรมตามอัธยาศัย หรือในบางกรณีอาจมีการจัดกิจกรรม การสัมมนาเชิงวิชาการรวมอยู่ด้วยก็ได้ 2.1.3.3โมเต็ล (Motel) เป็ นสถานที่พักแรมที่รวมถ้อยคําว่า Motcr-car เข้ากับ Hote! ซึ่งมีทําเล ที่ตั้ งอยู่ใกล้กับ ถนนสายหลักหรือริมถนนของชานเมือง เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ขับรถเดินทางมาไกล สามารถนํารถเข้าจอดใกล้บริเวณห้องพักของตนได้ ซึ่งโมเต็ลมักเป็ นที่พักแรมขนาดเล็ก ประมาณ 50 ห้องแบ่งเป็ นส่วนห้องพักและส่วนของที่จอดรถของแขกผู้พัก ซึ่งผู้ที่ใช้บริการมักเป็ นผู้ที่ ต้องการพักค้างคืนเพียงคืนเดียวเพื่อพักผ่อนเอาแรงแล้วขับรถยนต์ท่องเที่ยวต่อไปในวันรุ่งขึ้น 2.1.3.4โฮมสเตย์ (Home Stay) เป็ นที่พักแรมซึ่งเจ้าของบ้านจัดสร้างห้องหรือดัดแปลงห้อง ภายในบ้านให้เป็ น ห้องพักสําหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยมีการจัดเตรียมอาหารท้องถิ่ นให้แก่ นักท่องเที่ยวที่มาพักรวมทั้ งมีการจัดกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็ นการมุ่งเน้นให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิถี ชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชนนั้น และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นระหว่าง เจ้าของบ้านกับ แขกผู้มาเยือน ทําให้เกิดมิตรภาพที่ดีแก่กัน ซึ่งธุรกิจที่พักแรมแบบโฮมสเตย์นั้นมักมี ต้นทุน ในการลงทุนน้อย จึงทําให้ทุกครอบครัวและทุกชุมชนสามารถดําเนินการ ได้เอง อันเป็ นการ สร้างรายได้และการพึ่งพาตนเองให้แก่ชาวบ้านในชุมชนได้เป็ นอย่างดี[12] 2.1.3.5 ฟาร์มสเตย์ (Farm Stay) เป็ นการจัดที่พักและบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวใน ฟาร์ม ซึ่งเป็ นเรือกสวน ไร่นา หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยตั้ งอยู่ในภูมิประเทศที่สวยงามประกอบกับ เป็ นแหล่งวัฒนธรรม เฉพาะที่น่าสนใจ นักท่องเที่ยวจะ ได้เรียนรู้การประกอบอาชีพ กิจกรรม ประจําวันของครอบครัวในท้องถิ่ นและได้เที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญในบริเวณนั้นด้วย 2.1.3.6 เกสต์เฮาส์ (Guesthouse) เป็ นที่พักแรมที่มีลักษณะเป็ นบ้าน (House) มักอยู่บนเส้นทาง ถนนใกล้กับแหล่ง ที่ผู้มาเช่าพักจะต้องเข้าไปทําธุรกิจหรือท่องเที่ยว ซึ่งเหมาะสําหรับนักท่องเที่ยว ที่ต้องการเช่า สําหรับนอนพักผ่อนเฉพาะในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันจะออกไปท่องเที่ยวยัง แหล่ง ท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั้ งนี้ เกสต์เฮาส์มักมีอัตราค่าเช่าที่ค่อนข้างตํ่า โดยที่ภายในห้องพักอาจมี เตียงและห้องนํ้ ารวมไว้เพื่อให้บริการ ซึ่งต่อมามีการพัฒนาให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกในห้องพัก เพิ่ มมากขึ้น เช่น มีโทรทัศน์ สัญญาณอินเตอร์เน็ต เครื่องปรับอากาศ ตลอดจนมีอาหารและ เครื่องดื่ม ไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวด้วย


13 2.1.3.7 เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ (Service Apartment) เป็ นรูปแบบที่พักที่ดัดเปลงมาจากอพาร์ ทเมนต์ที่ก่อสร้างเพื่อขาย หรือเพื่อให้เช่าเป็ น รายเดือบหรือมากกว่ารายเดือนขึ้นไป โดยมีสัญญาเช่า และมีการวางมัดจํา เมื่ออพาร์ทเมนต์เหล่านี้มีปัญหาจึงดัดแปลงเป็ นเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ที่เปิ ด บริการให้เช่ารายวันและราคาถูกกว่า โรงแรมโดยทัวไปเพราะมาตรฐานการให้บริการลักษณะ ่ ห้องพัก หรือสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ อาจจะมีไม่เท่ากับการบริการของโรงแรม [13] 2.1.3.8คอนโดมิเนียมโฮเต็ล (Condominium Hotel) คือการรวมเอารูปแบบของห้องชุดกับ คอนโดมิเนียมเข้าด้วยกันแทนที่ห้องพักธรรมคาทัวไป ห้องพักมีลักษณะคล้ายกับบ้านหลังหนึ่ง ซึ่ง ่ ประกอบด้วย ห้องนอน ห้องนํ้ า ห้องรับแขก ห้องครัว และห้องอื่น ๆ ส่วนใหญ่เจ้าของมักทําสัญญา จ้างบริษัทเข้าไปบริหารเพื่อทําธุรกิจเปิ ดให้เช่าห้องพักแบบรายวันชัวคราวแบบโรงแรม่ 2.1.3.9 ห้องพักพร้อมอาหารเช้า (Bed & Breakfast : B & B) เป็ นที่พักแรมขนาดเล็กซึ่งเกิด จากเจ้าของบ้านยังมีห้องว่างเหลืออยู่ จึงจัดเป็ น ห้องนอนสําหรับแบ่งให้นักท่องเที่ยวเข้าพักเพื่อ แลกกับค่าเช่า โดยค่าเช่าจะคิดรวมกับบริการในการจัดเตรียมอาหารเช้า โดยไม่รวมไปถึงอาหารมื้อ อื่น ๆ ซึ่งมักได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเป็ นอย่างมาก เพราะมีลักษณะที่สามารถ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสานสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของบ้านกับนักท่องเที่ยวซึ่งมาจากท้องถิ่ น และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทําให้ต่างฝ่ ายได้รับความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แปลกใหม่ โคยที่พักมักมีราคาถูกและให้บริการอย่างเป็ นกันเอง 2.1.3.10 บังกะโล (Bungalow) เป็ นบ้านพักยกพื้นชั้นเดียว มีระเบียงกว้าง สร้างด้วยรูปแบบ และวัสดุที่ง่ายไม่ซับซ้อน อยู่ใกล้บริเวณที่ท่องเที่ยว แต่ไม่มีสิ่งอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้มาพัก มากเท่าใดนัก มักตั้ งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและยังมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ เช่น บริเวณ ชายทะเล เกาะ อ่าว ภูเขา นํ้ าตก ทะเลสาบ เป็ นต้น ซึ่งมีความสัมพันธ์ควบคู่ไปกับการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ (Ecotourism) 2.1.3.11ลอดจ์ (Lodge) เป็ นที่พักแรมที่มีสิ่งอํานวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้เข้าพัก เช่นเดียวกับ โรงแรม เพียงแต่ขังไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็ นโรงแรม ซึ่งในปัจจุบันที่พัก ประเภทนี้กําลัง เป็ นกระแสนิยมของ "สถานที่พักแรมเชิงนิเวศ (Ecolodge)" ที่เนั้นการรักษา สภาพแวดล้อมให้ยังยืน ่ ชื่นชมทัศนียภาพ โดยไม่รบกวนหรือทําลายสิ่งแวดล้อมให้เสื่อมโทรม 2.1.3.12 ที่พักบนเรือแบบบ้าน (House Boat อาจเป็ นเรือหรือเรือนแพ สําหรับใช้อยู่อาศัยแบบ บ้าน โดยสร้างขึ้นลักษณะลอยนํ้ า ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวสําหรับแลกกับค่าเช่า ที่พัก ซึ่งในมลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เรียกว่า "Fletel" ซึ่งเป็ นที่นิยมอย่างมากในหมู่ นักท่องเที่ยว[14]


14 2.1.3.13การตั้ งแคมป์พักแรม (Campground) เป็ นการเช่าพื้นที่กลางแจ้งซึ่งจัดไว้เพื่อตั้ งเต้นท์ (Tent) โดยเจ้าของสถานที่จะต้อง ให้บริการขั้ นพื้นฐาน และอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งเหมาะสําหรับนักท่องเที่ยว ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบใกล้ชิดกับธรรมชาติ 2.1.3.14การจอดรถคาราวาน (Caravan Parking) เป็ นการจัดพื้นที่ไว้สําหรับนักท่องเที่ยวที่มา เช่าพื้นที่เพื่อจอดรถคาราวาน ซึ่งเป็ น รถที่มีหลังคาพ่วงกับรถยนต์ (Trailer) และมีที่นอบอยู่ภายใน โดยบริเวณดังกล่าว เจ้าของพื้นที่ผู้ให้เช่าจะจัดให้มีบริการด้านสุขาภิบาล เช่น ห้องอาบนํ้ า ห้องสุขา นํ้ าดื่ม ท่อระบายนํ้ า ถังขยะเป็ นต้น รวมไปถึงร้านอาหาร ร้านค้า ปั๊ มนํ้ ามันด้วย 2.1.3.15รถตู้เพื่อนันทนาการ (Recreational Vehicle) เกิดจากการเดินทางเป็ นครอบครัว กลุ่ม เพื่อนฝูง ซึ่งเป็ นที่นิยมแพร่หลายในประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีลักษณะเป็ นรถบรรทุก ที่ด้านหลังคนขับ มีห้องนํ้ า ห้องครัว ห้องนอน สามารถขับได้ตลอดทั้ งวันและเมื่อใกล้ถึงเวลาพลบ คํ่าก็จะมาจอดตามสถานที่พักแรมกลางแจ้ง ซึ่งอาจมีทั้ งภาครัฐและกาคเอกชนเป็ นผู้ดําเนินการ โดย จะอํานวยความสะดวกขั้ นพื้นฐาน เช่น ห้องอาบนํ้ า ห้องครัว ห้องส้วม ร้านขายอาหาร ร้านสะดวก ซื้อ หรือที่เสียบปลัก๊ โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต เป็ นต้น 2.1.3.16โฮสเทล (Hostel) เป็ นที่พักที่มีพื้นที่ใช้งานร่วมกับผู้อื่นที่มาพักอาศัยในช่วงเวลา เดียวกัน เพื่อให้ได้ที่พักในราคาประหขัด โดยมีพื้ นที่ใช้สอยร่วมกัน ได้แก่ ห้องนอน ห้องนํ้ า ห้องครัว ห้องนังเล่น เป็ น ่ ต้น เมื่อมีพื้ นที่ใช้งานร่วมกันจึงก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่มา พักอาศัยพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ปัจจุบันโฮสเทลมีการพัฒนามีสิ่งอํานวยความ สะดวกครบครันให้เป็ น มากกว่าที่พักราคาถูก[15] 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการ ดําเนินงานต่างๆ เพื่อจัดทํา สารสนเทศไว้ใช้งานงประกอบด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีโทรคมนาคมเป็นหลักและ ยังรวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนําข้อมูลข่าวสารมาใช้ให้เป็ นประโยชน์โดย คอมพิวเตอร์จะเป็ นเครื่องมือในการจัดการและเก็บข้อมูลการสื่อสารโทรคมนาคมใช้เป็ นสื่อในการ จัดส่งข้อมูล เผยแพร่ภาพและเสียงออกไปเพื่อการสื่อสารระหว่างกัน ยืน ภู่วรวรรณ (2544) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาไว้ว่า มี บทบาท โดยตรงกับการสร้างความรู้ (Knowledge Constructar) เทคโนโลยีสารสนเทสเป็ นเครื่องมือ ที่ช่วยในการเก็บ รวบรวมข้อมูลข่าวสาร ความรอบรู้ การจัดระบบการประมวลผล การส่งผ่านและ สื่อสารด้วยความเร็วสูงที่มีปริมาณมาก การนําเสนอและแสดงผลตัวยระบบสื่อต่าง ๆ ทั้ งในค้าน


15 ข้อมูล รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีโอ ฯลฯ อีกทั้ งยังสามารถสร้างระบบการมีขุมความรู้ที่ เรียกว่า เวิลด์ โนว์เด็จ (World Knowledge) ซึ่งมีแหล่งความรู้มากมายกระจายอยู่ทัวโลก ผู้เรียนต้อง ่ เรียนรู้ได้มากและรวดเร็วรวมทั้ งสามารถแยกแยะ ค้นหาข่าวสาร ตลอดจน การแสวงหาสิ่งที่ ต้องการได้ตรงความต้องการ หรรษา วงศ์ธรรมกูล (2541) ได้กล่าวถึงความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศไว้ว่า หมายถึง ความรู้หรือกระบวนการในการดําเนินงานใดๆที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์การติดต่อสื่อสาร การรวบรวมและการนําข้อมูลมาใช้อย่างทันการ เพื่อ ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ทั้ งทางด้านการผลิต การบริการ การบริหาร รวมทั้ งเพื่อการศึกษาและการ เรียนรู้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น เป็ น เครื่องมือสําหรับการติดต่อสื่อสารและการ ไหลเวียนของความรู้และการเรียนรู้ ระบบการสื่อสารที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็ นสื่อกลาง ใช้ประโยชน์ ด้านการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผลและสามารถสืบค้นความรู้ได้จากระบบ สารสนเทศ เพื่อใช้ ในการสื่อสารกับทั้ งภายในและภายนอกองค์กรมีฐานข้อมูล รายงาน เอกสาร คู่มือการทํางาน ที่ สามารถจัดการได้อย่างรวดเร็ว และง่ายต่อการเข้าถึงระบบโดยบุคลากรทั้ งหมด จากความหมายที่ กล่าวมานั้น ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ จึงหมายถึง ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บ ข้อมูลจาก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้ งภายในและภายนอกองค์กรอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อนําประมวลผลและ จัดรูปแบบให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการทํางาน และการตัดสินใจในด้านต่าง ๆของ ผู้บริหารเพื่อให้การดําเนินงานขององค์กรเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เราจะเห็นได้ว่า MIS จะประกอบด้วยหน้าที่หลัก2 ประการ 1. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้ งจากภายในและภายนอกองค์กรมาไว้ด้วยกัน อย่าง เป็ นระบบ 2. สามารถทําการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุน การ ปฏิบัติงานและการบริหารงานของผู้บริหาร ดังนั้น ถ้าระบบใดประกอบด้วยหน้าที่หลักสองประการ ตลอดจนสามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ หลักทั้ ง สองได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ ระบบนั้นก็สามารถถูกจัดเป็ นระบบ MIS ได้ ระบบ MIS ไม่จําเป็ นที่จะต้อง สร้างขึ้นจากระบบคอมพิวเตอร์เท่านั้น ระบบ MIS อาจถูกสร้างขึ้นมาจาก อุปกรณ์สิ่งใดก็ได้ แต่ต้องสามารถ ปฏิบัติหน้าที่หลักทั้ งสองประการได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ แต่เนื่องจากในปัจจุบันคอมพิวเตอร์เป็ นอุปกรณ์ที่ มีประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลนักวิเคราะห์ และออกแบบระบบ จึงออกแบบระบบสารสนเทศโดยให้มีคอมพิวเตอร์เป็ นอุปกรณ์หลักในการ จัดการสารสนเทศ


16 ปัจจุบันขอบเขตการทํางานของระบบสารสนเทศขยายตัวจากการรวบรวมข้อมูลที่มาจากภายใน องค์กรไปสู่การเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลจากสิ่งแวดส้อมภายนอกองค์กร ทั้ งจากภายในท้องถิ่ น ระดับประเทศ และระดับ นานาชาติ ปัจจุบันองค์กรต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อสร้างระบบสารสนเทศ ( MIS) ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็ น เครื่องมือสําคัญที่ช่วยเพิ่ มขีดความสามารถขององค์กร และขีดความสามารถในการบริหารงานของ ผู้บริหารในยุคปัจจุบัน แต่ปัญหาที่น่าเป็ นห่วงคือ บุคลากรส่วนใหญ่ยังไม่ เข้าใจในศักยภาพและ ขอบเขตของการใช้งานระบบสารสนเทศ (MIS) และนอกจากนี้บุคลากรบางส่วนที่ขาด ความเข้าใจ อย่างแท้จริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการใช้งานระบบสารสนเทศ ไม่ยอม เรียนรู้และเปิ ดรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ จึงให้ความสนใจหรือความสําคัญกับการปรับตัวเข้ากับ ระบบ สารสนเทศ (MIS) น้อยกว่าที่ควร 2.2.1 ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสําคัญต่อการดําเนิ นงานทั้งระดับองค์กรและระดับ อุตสาหกรรม เนื่องจากต้องการระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิกาพ เพื่อการคํารงอยู่และเจริญเติบโต ขององค์กร โดยที่เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีส่วนช่วยให้องค์กรประสบผลสําเร็จและสามารถ แข่งขันกับองค์กรอื่นในระดับสากลได้ เพื่อให้การทํางานเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องทํา ความเข้าใจถึงวิธีใช้งานและโครงสร้างของระบบสารสนเทศ ซึ่งสามารถสรุปส่วนประกอบของ ระบบสารสนเทศได้ 3 ส่วน ดังนี้คือ 1.เครื่องมือในการสร้างระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ หมายถึง ส่วนประกอบหรือโครงสร้าง พื้นฐานที่รวมกันเข้าเป็ นระบบ MIS และช่วยให้ระบบ สารสนเทสดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจําแนกเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างระบบสารสนเทศไว้อยู่ 2 ส่วน คือ 1.1 ฐานข้อมูล (Data Base) ฐานข้อมูล ถือเป็ นหัวใจสําคัญของระบบ MIS เนื่องจากสารสนเทศ ที่มีคุณภาพจะมาจาก ข้อมูลที่ดี เชื่อถือได้ ทันสมัยและถูกจัดเก็บอย่างเป็ นระบบ ซึ่งผู้ใช้สามารถ เข้าถึงและใช้งานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ดังนั้นฐานข้อมูลจึงเป็ นส่วนประกอบสําคัญที่ช่วยให้ ระบบสารสนเทศมีความสมบูรณ์ และปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


17 1.2 เครื่องมือ (Tools) เป็ นเครื่องมือที่ใช้จัดเก็บและประมวลผลข้อมูล ปรกติระบบสารสนเทศ จะใช้เครื่ องคอมพิวเตอร์เป็ นอุปกรณ์หลักในการจัดการข้อมูล ซึ่ งจะประกอบด้วยส่วนสําคัญ ต่อไปนี้ 1) อุปกรณ์ (Hardware) คือ ตัวเครื่ องหรื อส่วนประกอบของเครื่ องคอมพิวเตอร์ รวมทั้ง อุปกรณ์และระบบเครือข่าย 2) ชุดกําสั่ ง ( Software) คือ ชุดคําสั่ งที่ทําหน้าที่รวบรวม และจัดการ เก็บข้อมูลเพื่อใช้ใน การบริหารงาน หรือการตัดสินใจ 2. วิธีการหรือขั้ นตอนการประมวลผล (Processing Data) การที่จะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการนั้น จะต้องมีการจัดลําดับ วางแผนงานและวิธีการประมวลผลให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลหรื อ สารสนเทศที่ต้องการ 3. การแสดงผลลัพธ์ (Output) เมื่อข้อมูลได้ผ่านการประมวลผล ตามวิธีการแล้วจะได้ สารสนเทศหรือMIS เกิดขึ้นซึ่งอาจจะ นําเสนอในรูป ตาราง กราฟ รูปภาพ หรือเสียง เพื่อให้การ นําเสนอข้อมูลมีประสิทธิภาพอาจขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล และลักษณะของการนําไปใช้งาน 2.2.2 คุณสมบัติของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ปัจจุบันองค์กรสามารถพัฒนาระบบสารสนเทศได้ด้วยตนเองหรือให้ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก เข้ามา ดําเนินการ โดยการออกแบบและพัฒนาระบบ MIS ที่สอดคล้องตามหลักการ ระบบก็จะ สามารถอํานวยและ ก่อให้เกิดประโยชน์ให้กับองค์กร ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยที่การพัฒนา ระบบสารสนเทศต้องคํานึงถึงคุณสมบัติที่สําคัญของ MIS ต่อไปนี้ 1. ความสามารถในการจัดการข้อมูล (Data Manipulation) ระบบสารสนเทศที่ดีต้องสามารถ ปรับปรุ งแก้ไขและจัดการข้อมูล เพื่อให้เป็ นสารสนเทศที่พร้อม สําหรับนําไปใช้งานอย่างมี ประสิทธิภาพ ปรกติข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานขององค์กรจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าสู่ MIS ควรที่จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนารูปแบบเพื่อให้ ความทันสมัยและเหมาะสมกับการใช้งานอยู่เสมอ


18 2. ความปลอดภัยของข้อมูล (Data Securigy) ระบบสารสนเทศเป็ นทรัพยากรที่สําคัญอีกอย่าง หนึ่งขององค์กร ถ้าสารสนเทศบางประเภทรั่ วไหล ออกไปสู่บุคคลภายนอก โดยเฉพาะคู่แข่งขัน อาจทําให้เกิดความเสีย โอกาสทางการแข่งขันหรือสร้างความเสียหายแก่องค์กร ความสูญเสียที่ เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือการก่อการร้ายต่อระบบ ซึ่งจะมีผล โดยตรงต่อ ประสิทธิภาพและความเป็ นอยู่ขององค์กร 3. ความยืดหยุ่น (Flexibility) สภาพแวดล้อมในการดําเนินงานขององค์กรหรือสถานการณ์การ แข่งขันทางการดําเนินงานที่ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบสารสนเทศที่ดีต้องมี ความสามารถในการปรับตัว เพื่อให้สอดคล้องกับ การใช้งานหรือปัญหาที่เกิดขึ้น โดยที่ระบบ สารสนเทศที่ถูกสร้างหรือถูกพัฒนาขึ้นต้องสามารถตอบสนองความ ต้องการของผู้บริหารได้อยู่ เสมอ โดยมีอายุการใช้งาน การบํารุงรักษา และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม 4. ความพึงพอใจของผู้ใช้ (User Satisfaction) ปรกติระบบสารสนเทศ ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีความ มุ่งหวังให้ผู้ใช้สามารถนํามาประยุกต์ในงานหรือ เพิ่ มประสิทธิภาพในการทํางาน ระบบสารสนเทศ ที่ดีจะต้องกระตุ้นหรือโน้มน้าวให้ผู้ใช้หันมาใช้ระบบให้มากขึ้น โดยการพัฒนาระบบต้องทําการ พัฒนาให้ตรงกับความต้องการและพยายามทําให้ผู้ใช้พึงพอใจกับระบบ เมื่อผู้ใช้เกิดความไม่พึง พอใจกับระบบ ทําให้ความสําคัญของระบบลดน้อยลงไป ก็อาจจะทําให้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นั้น ได้[16] 2.3แนวคิดเกี่ยวกับการวิเคราะห์และออกแบบระบบ 2.3.1การวิเคราะห์และออกแบบระบบ 2.3.1.1ความหมายของการวิเคราะห์และออกแบบระบบ มนูญ แก้วราตรี (2541) กล่าวถึง ความหมายของการวิเคราะห์และออกแบบระบบ แบ่งเป็ น 2 ส่วนด้วยกัน คือ การวิเคราะห์ระบบ (System analysis) คือ กระบวนการของการศึกษาขั้ นตอนการ ทํางานของธุรกิจเพื่อระบุเป้าหมายและจุดประสงค์ในการปรับปรุงแก้ไขระบบนั้น จากนั้นจึงทําการ กําหนดปัญหา และหาวิธีแก้ไขเพื่อให้บรรลุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการออกแบบระบบ (System Desien) หมายถึงกระบวนการในการกําหนดสถาปัตยกรรม โมดูล อินเทอร์เฟซ และข้อมูล ของระบบ เพื่อตอบสนองความต้องการ (requirements) ที่ระบุไว้ในขั้ นตอนของการวิเคราะห์ระบบ


19 2.3.1.1.1วงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) Senn (2004) ได้ กล่าวถึงวงจรพัฒนาระบบ ประกอบด้วยกระบวนการของการ ทํางานที่ชัดเจนและแตกต่างกัน ใช้ เพื่อวางแผน ออกแบบ สร้าง ทดสอบ และส่งมอบระบบสรสนเทศ โดยมุ่งที่จะผลิตระบบที่มี คุณภาพสูงที่ตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า สอดคล้องกับความต้องการ รวมทั้ ง นําเสนอระบบ ที่ทํางานตามขั้ นตอนที่ชัดเจนภายในรอบเวลาและค่าใช้จ่ายที่กําหนด แบ่งออกเป็ น 7 ชั้น ดังนี้ 1. เข้าใจปัญหา (Poblem Recognition) เป็ นขั้ นตอนใน SDLC คือ การ รับรู้และทําความเข้าใจ กับปัญหา ระบบสารสนเทศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้บริ หารหรื อผู้ใช้เกิดความ ต้องการระบบ สารสนเทศมาช่วยในการทํางาน หรือระบบงานเดิม เช่น ระบบเอกสารที่จัดเก็บในตู้เอกสารขาด ประสิทธิภาพ ไม่ตอบสนองต่อความต้องการในปัจจุบัน และทําให้การทํางานเกิดปัญหา ในระหว่าง ขั้ นตอนการรับรู้ปัญหา นักวิเคราะห์ระบบจะใช้การวิจัยและการตรวจสอบเพื่อกําหนดปัญหา ที่ จําเป็ นต้องได้รับการแก้ไข 2.ศึกษาความเป็ นไปได้ (Feasibility study) วัตถุประสงค์ของการศึกษาความเป็ นไปได้ คือ การ ตัดสินใจว่าการพัฒนาระบบสารสนเทศขึ้นมาใหม่ หรื อการแก้ไขระบบสารสนเทศ เดิมมีคาม เป็ นไปได้หรือไม่ โดยคํานึงถึงค่าใช้จ่ายและผลที่คาดว่าจะได้รับของระบบ นอกจากนี้นักวิเคราะห์ ระบบจะต้องระบุความเป็ นไปได้ทางเทคนิค เช่น ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับ ระบบ รวมถึงบุคลากรที่เหมาะสมในการพัฒนา ติดตั้ ง และใช้งานระบบ ว่ามีเพียงพอหรือไม่ 3. วิเคราะห์ (Analysis) เริ่มตั้ งแต่การศึกษาระบบการทํางานของธุรกิจนั้น โดยการศึกษาเอกสาร ที่มีอยู่ ตรวจสอบวิธีการทํางานในปัจจุบัน และสัมภาษณ์ผู้ใช้และผู้จัดการที่มีส่วน เกี่ยวข้องกับ ระบบ จากนั้นจึงทําการรวบรวมความต้องการ (requirements ของระบบ ซึ่ งความต้องการ ของ ระบบ คือ คุณสมบัติที่ผู้ใช้ต้องการให้โปรแกรมประยุกต์ที่กําลังพัฒนามาสามารถทําได้ การพัฒนา รายการความต้องการเป็ นกิจกรรมที่ต้องทําร่วมกัน ระหว่างนักวิเคราะห์ระบบและผู้ใช้งานระบบ เครื่องมือในการวิเคราะห์ระบบ ได้แก่ แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram) รูปแบบข้อมูล (Data Model) พจนานุกรมข้อมูล (Data dictionary) รูปแบบระบบ (System Model) และผังงาน ระบบ (System Flowcharts) เป็ นต้น 4.ออกแบบ (Design) การอธิบายถึงวิธีการที่ซอฟต์แวร์จะตอบสนองความ ต้องการที่ได้ตกลง กันไว้ระหว่างนักวิเคราะห์ระบบและผู้ใช้ เครื่องมือการออกแบบซอฟต์แวร์ เช่น Unifed Modeling Language (UML) เพื่อแปลความต้องการเป็ นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนเป็ นซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ได้


20 ขั้นตอนการออกแบบประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการออกแบบเบื้องต้น ซึ่งเป็ น ขั้นตอน ของการนําเสนอลักษณะสําคัญของแอพพลิเคชัน ขั้ นตอนต่อไปคือ การสร้างต้นแบบ เป็ นการ สร้าง โมเดลการทํางานของแอพพลิเคชันเพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าแอพพลิเคชันจะทํางานอย่างไร ขั้นตอน สุดท้ายในขั้ นตอนการออกแบบ คือ การออกแบบโดยละเอียด คือ เอกสารที่ชัดเจนว่าแอพพลิเคชัน จะ ได้รับการติดตั้งและใช้งานอย่างไร รวมถึงจะกําหนดอินพุตและเอาห์พุตของระบบที่ผู้ใช้ ต้องการ 5. พัฒนาระบบ (Construction) เป็ นขั้ นตอนในการสร้างระบบโดยการเขียนโปรแกรมตามการ ออกแบบรายละเอียดที่เกิดขึ้นในขั้ นตอนการออกแบบ โปรแกรมอาจจะถูกเขียน ขึ้นมาใหม่ทั้ งหมด หรือเกิดจากการนําเอาไลบรารีหรือโมดูลที่สร้างไว้ล่วงหน้ามาประกอบกันให้เกิด แอพพลิเคชัน ใหม่ จากนั้นต้องทําการทดสอบโปรแกรมเพื่อให้แน่ใจว่าแอพพลิเคชันสอดคล้องกับความ ต้องการ และปราศจากข้อผิดพลาด 6. ปรับเปลี่ยน (Conversion) เป็ นขั้ นตอนของการติดตั้งแอพพลิเคชันใหม่และเตรียมฐานผู้ใช้ เพื่อใช้งาน หากแอพพลิเคชันมีความซับซ้อนมากผู้ใช้อาจจําเป็ นต้องได้รับการฝึ กอบรม ในการ ดําเนินการ การเตรี ยมเอกสารเพื่อตอบคําถามที่พบบ่อย หรื อคู่มือการใช้งานระบบ ระบบงาน บางอย่างอาจทําให้ต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ของผู้ใช้ เช่น การเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลใหม่ อาจ จําเป็ นต้องเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ให้มีหน่วยความจําหรือชีพียูที่เร็วกว่าเดิม ส่งที่กล่าว มา ทั้ งหมดนี้จะเกิดขึ้นในขั้ นตอนของการปรับเปลี่ยน 7. บํารุงรักษา (Maintenance) การวัดประสิทธิภาพของแอพพลิเคชันและ ปรับปรุงศักยภาพของ แอพพลิเคชัน แอพ พลิเคชันขององค์กรส่วนใหญ่ที่พัฒนาและใช้งานมาเป็ นเวลา หลายปี ในช่วง เวลาของการใช้งานแอพพลิเคชันเหล่านั้นต้องมีวิวัฒนาการเพื่อตอบสนองความต้องการที่ เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร วิวัฒนาการของแอพพลิเคชันนี้จะดําเนินต่อไปจนกว่าจะมีการแทนที่ ด้วยแอพพลิเคชันใหม่ 2.3.2การวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้าง มนูญ แก้วราตรี (2541) กล่าวถึงการวิเคราะห์และออกแบบเชิงโครงสร้าง (Structure System Analysis Design) ว่าเป็ นวิธีการพัฒนาที่ช่วยในนักวิเคราะห์สามารถเข้าใจระบบ และกิจกรรมของ


21 ระบบในเชิงตรรกะได้ โดยใช้เครื่องมือกราฟิ กในการวิเคราะห์และปรับแต่งวัตถุประสงค์ของ ระบบและพัฒนาข้อกําหนดระบบใหม่ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่าย เครื่องมือกราฟิ กที่ใช้ในการ วิเคราะห์และออกแบบเชิงโครงสร้างประกอบด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 2.3.2.1ผังการทํางานเชิงกายภาพของระบบปัจจุบัน (Current Physical Model) เป็ นแผนภาพที่ สร้างจากการรวบรวมข้อมูลจากการทํางานจริง และทําการจําลองการทํางานเดิม ตามลักษณะทาง กายภาพ เพื่อแสดงข้อดีและข้อบกพร่องของระบบ ทําให้ทราบการทํางานของ กระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดแนวคิดในการสร้างระบบใหม่ที่มีโครงสร้างที่ดีขึ้น รวมทั้ งช่วยในการสื่อสาร ระหว่างตัว นักวิเคราะห์ระบบกับผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับระบบงานเดิม 2.3.2.2ผังทํางานเชิงตรรกะของระบบปัจจุบัน (Current Logical Model) เป็ น แผนภาพที่ทํา หน้าที่แสดงข้อมูลหรื อฟังก์ชั่ นในการทํางานของระบบปัจจุบัน โดยไม่คํานึงถึงลักษณะทาง กายภาพของระบบงาน 2.3.2.3ผังการทํางานเชิงตรรกะของระบบใหม่ (New Logical Model) เป็ น แผนภาพที่เกิดจาก การที่นักวิเคราะห์ระบบทําการวิเคราะห์แนวคิดของระบบงานใหม่หรื อฟังก์ชั่ นในการ ทํางาน เพื่อให้ระบบงานบรรลุวัตถุประสงค์ และเกิดแนวคิดของระบบการทํางานใหม่จากการนําปัญหาใน ระบบงานปัจจุบันมาทําการปรับปรุ งแก้ไขโดยไม่จําเป็ นต้องแสดงลักษณะทางกายภาพของ ระบบงานใหม่ 2.3.2.4ผังการทํางานเชิงกายภาพของระบบใหม่ (New Physical Model) เป็ น แผนภาพที่ทํา หน้าที่แสดงผลลัพธ์ของระบบงานที่จะได้จากแนวคิดและการวิเคราะห์และออกแบบ ระบบงาน ใหม่ แสดงลักษณะการทํางานอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถจําลองลักษณะของระบบงาน ใหม่ ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการพัฒนาระบบงาน 2.3.2.5 ผังกิจกรรมการปฏิบัติงาน (Activity Diagram) เป็ นแผนภาพที่ทําหน้าที่ สื่อสาร ขั้นตอนของระบบงาน พนักงาน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอน ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบ สามารถนํามาใช้ในกรวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย หรือปัญหาของระบบงาน เพื่อนํามาแก้ไขได้ 2.3.2.6ผังการไหลข้อมูลรวบยอด (Context Diagram) เป็ นแผนภาพการไหล ของข้อมูลรวบ ยอดแสดงการเคลื่อนไหวของข้อมูลในระดับสูงสุด ใช้ในการแสดงการเคลื่อนไหวของข้อมูล เข้า


22 และออกจากศูนย์กลางการประมวลผลที่พิจารณาโดยไม่สนจรายละเอียดของระบบ แผนภาพการ ไหล ข้อมูลรวบยอดเป็ นจุดเริ่มต้นการวิเคราะห์ระบบเชิงโครงสร้างที่นักวิเคราะห์ระบบทุกคน จะต้องศึกษาทําความเข้าใจก่อนที่จะดําเนินการพัฒนาระบบ 2.3.2.7 ผังการแยกฟังก์ชั่ นงานย่อย (Decomposition Diagram) การแยก ฟังก์ชั่ นงานย่อย เปรียบเสมือนการเชื่อมระหว่างผังระบบงานและผังการไหลของข้อมูล ทั้งนี้ในผัง ระบบงาน จะ แสดงลักษณะเพียงระบบโดยรวมและเอนทิตี้หรือบุคลากรภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เพื่อจะแยก ย่อยไปถึงผังการไหลของข้อมูลนั้นจําเป็ นต้องทําการวิเคราะห์ขั้ นตอนย่อยหรือฟังก์ชันย่อยใน่การ ทํางานของแต่ละระบบงานนั้น ๆ เพื่อเป็ นแนวทางในการจัดทําผังการไหลของข้อมูลต่อไป 2.3.2.8 ผังการไหลข้อมูล (DFD: Data Flow Diagram) เป็ นแผนภาพที่แสดงถึง แหล่งกําเนิด ของข้อมูล การไหลของข้อมูลหลายทางของข้อมูล การเก็บข้อมูล และการประมวลผลข้อมูล แต่ ไม่ได้บอกว่าแต่ละขั้ นตอนใช้อุปกรณ์เครื่องมือชนิดใด ซึ่ง Data Flow จะอธิบายรายละเอียดเพิ่ มเติม ต่อจาก Context Diagram บอกถึงองค์ประกอบและสัญลักษณ์ของ DFD ดังนี้ องค์ประกอบหลักของ DFD มีอยู่ 4 องค์ประกอบ Data Flow (Fitzgerald and Fitzgerald,1987,P.62) 1) ส่วนที่อยู่นอกระบบ (Terminator or External Entities) ได้แก่บุคคลหรือองค์กรที่อยู่นอกเขต ของระบบที่พิจารณาซึ่งอาจเรียกเป็ นแหล่งที่ป้อนข้อมูลเข้ามาในระบบหรือ เป็ นแหล่งข้อมูลจาก ระบบก็ได้ ในที่นี้จะเรียกว่าส่งนอกระบบหรือเทอร์มิเนเตอร์ในการวิเคราะห์ระบบจะไม่สนใจการ ทํางานภายในระบบของเทอร์มิเนเตอร์ แต่จะสนใจเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาหรือส่งออกไปจากระบบ เท่านั้น 2) ส่วนที่เป็ นการไหลของข้อมูล (Data Flow) สัญลักษณ์ที่ใช้แทนการ ไหลของข้อมูล คือ เส้นตรงหรือเส้นโค้งที่มีหัวลูกศรแสดงทิศทางการไหลของข้อมูล โดยจะมีชื่อข้อมูลนั้น ๆ กํากับอยู่ ด้วย และในที่นี้จะเรียกว่า ข้อมูลไหลหรือดาต้าโฟลว์ข้อมูลของดาต้าโฟลว์อาจเป็ นข้อมูลเดี๋ยวหรือ เป็ นชุดก็ได้ 3) ส่วนที่เป็ นการประมวลผล (Process) คือ งานที่ต้องทําโดยทัวไปจะ ่ ใช้สัญลักษณ์วงกลมหรือ สี่เหลี่ยม และมีชื่อการประมวลผลอยู่ภายใน สําหรับในที่นี้จะใช้สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมโดยเรี ยก สัญลักษณ์นี้ว่า สี่เหลี่ยมการประมวลผลหรือโปรเซส (Process) การประมวลผลจะทําการเปลี่ยน ข้อมูลนําเข้าเป็ นผลลัพธ์จะแตกต่างกัน การประมวลหรือโปรเซสที่เขียนแทนด้วยสี่เหลี่ยมนี้ไม่ต้อง


23 สนใจว่ามีวิธีการอย่างไร แต่สนใจผลลัพธ์ที่ได้ว่า เป็ นไปตามที่บ่งบอกลักษณะการกระทําที่ชัดเจน เช่น คํานวณ แก้ไข เปรียบเทียบ ค้นหา เรียงลําดับ หรือพิมพ์ เป็ นต้น โดยที่แผนภาพ DFD มีได้หลายระดับ แต่ละระดับจะมีโปรเซสย่อย หลายโปรเซส เพื่อให้การ อ้างอินโปรเซสย่อยชัดเจนขึ้น จึงนิยมให้มีการให้หมายเลขลําดับของโปรเชสที่อยู่ในแผนภาพ DFD ระดับภาพรวม (หรือระดับ 0) เป็ นเลขจํานวนเต็ม คือ 1.0,2.0,3.0... ตามจํานวน โปรเซสเป็ น หลัก หรือโปรเชสแม่ในระบบงานนั้น ๆ และหมายเลขของโปรเซสที่แตกออกมาจากโปรเซส แม่ ระดับ 1 จะเป็ นทศนิยมของโปรเซสแม่ คือ 1.1,2.2,3.1,4.1, 4) ส่วนที่เป็ นแหล่งข้อมูล (Data Store) ได้แก่ ไฟล์ที่ใช้ในการเก็บหรือ บันทึกข้อมูล จะใช้ สัญลักษณ์เส้นขนาน 2 เส้น ในที่นี้จะเรียกว่า ข้อมูลเก็บหรือดาต้าสตอร์ (Data Store) โดยปกติข้อมูล ที่เข้าสู่ระบบจะถูกเก็บไว้ในไฟล์ และจะถูกเลือกใช้เมื่อต้องการดาต้าโฟล์ที่พุ่งออกจาก ดาต้าสตอร์ แสดงว่าเป็ นการอ่านข้อมูลจากไฟล์ชื่อของดาต้าสตอร์ควรจะเป็ นคํานามที่สื่อความหมายถึงตัว ข้อมูลที่จัดเก็บ [17]


24 2.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบหน้าจอ รูปที่ 2.1 โปรแกรม Diagrams.net 2.4.1 โปรแกรม Diagrams.net Diagrams.net เป็ นซอฟต์แวร์วาดกราฟข้ามแพลตฟอร์มที่พัฒนาใน HTML5 และ JavaScript สามารถใช้อินเทอร์เฟสเพื่อสร้างไดอะแกรม เช่น ผังงาน ไวร์เฟรม ไดอะแกรม UML แผนผัง องค์กร และไดอะแกรมเครือข่าย บางส่วนของซอร์สโค้ดอยู่ภายใต้ใบอนุญาตโอเพนซอร์ส [18] 2.4.1.1 คุณลักษณะโปรแกรม Diagrams.net ทํางานโดย HTML 5 เป็ นพื้นฐานและใช้งานได้กับ Internet Explorer 6-8 ห้องสมุดพิมพ์ ลายฉลุขนาดใหญ่แบบ built-in พื้ นที่สําหรับลากและวางตามความคิดริเริ่มค้นหาภาพและเพิ่ มเติม ฟังก์ชันส่งออกไปยัง ่ PNG/JPG/XML/SVG/PDFใช้ได้กับอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสการร่วมมือกัน แบบ Real-timeแผนภาพถูกฝังในบล็อกหรือใน Wikis [19 ]


25 รูปที่ 2.2 โปรแกรม Canva 2.4.2โปรแกรม Canva โปรแกรม Canvaคือโปรแกรมสําหรับรูปที่ใช้งานบนเว็บไซต์ ช่วยเรื่องของการดีไซน์งาน ต่างๆ เป็ นแพลตฟอร์มออนไลน์ สําหรับนักออกแบบงานกราฟิ กหรือคนทัวๆ ไป ยกตัวอย่างเช่น ่ งานโฆษณา ทําโปสเตอร์ งาน Present ภาพสําหรับโซเชียลมีเดียหรือ Content บนรูปภาพ โดย Canva สามารถใช้งานผ่าน Application บนมือถือหรือจะใช้งานผ่านเว็บไซต์ก็ได้ คุณสามารถใช้ งาน Canva ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แถมยังมีเทมเพลตและรูปภาพที่ช่วยในการออกแบบที่เยอะมากๆ ด้วย Canva ช่วยให้งานดีไซน์หรือช่วยให้ทุกงาน Artwork ของคุณออกมาดูดีมากที่สุด แม้ว่าคุณจะ ไม่มีความรู้ในเรื่องการออกแบบหรือไม่จําเป็ นต้องมีความรู้ศิลปะก็สามารถใช้งานได้ ในปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Canva ทั้งใน Application บนโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ โดย ส่วนตัวของผู้เขียนมองว่า การใช้งาน Canva ใน Application บนมือถือนั้นก็สะดวก แต่ถ้าพูดถึงการ ใช้งานที่รวดเร็ว สามารถมองเห็นรูปภาพตัวหนังสือได้ชัดเจน รวมถึงการจัดระเบียบตัวอักษรต่างๆ การใช้งานบนคอมพิวเตอร์น่าจะเหมาะสมมากกว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองหรือความสะดวกของแต่ ละคน 2.4.2.1 การใช้งานร่วมกับผู้อื่น คุณสามารถส่งผลงานที่คุณออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้วให้กับเพื่อนคนอื่นๆ ช่วยแต่งเติมหรือ ออกแบบเพิ่ มเติมได้ เหมาะกับการทํางานเป็ นทีม ช่วยทําให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นเพราะคุณไม่ จําเป็ นต้องเซฟไฟล์ออกมาเพื่อส่งให้เพื่อนร่วมงาน ซึ่งกว่าเพื่อนร่วมงานจะคอมเม้นหรือ Feedback กลับนั้น อาจล่าช้า แต่คุณสามารถให้เพื่อนแก้ไขงานได้โดยทันที อีกหนึ่งข้อแนะนําคือคุณควรจะ Backup ข้อมูลเก็บไว้ก่อน เผื่ออีกฝ่ ายแก้งานแล้วไม่ถูกใจคุณ ก็จะสามารถดึงข้อมูลเก่ากลับมาใช้ งานได้อีกครั้ง [20 ]


26 รูปที่ 2.3 โปรแกรม Microsoft Excel 2.4.3 โปรแกรม Microsoft Excel Microsoft Excel คือโปรแกรมตัวนึงในชุดโปรแกรม Microsoft Office ซึ่ ง Excel นั้นเป็ น โปรแกรมยอดฮิต มีความสามารถรอบด้าน แต่เก่งมากด้านการวิเคราะห์ คํานวณ และการจัดการ ข้อมูลในรูปแบบตารางที่เรียกว่า Spreadsheet รวมถึงนําข้อมูลดิบในตารางมาแสดงผลในรูปแบบที่ ทําให้เราเข้าใจข้อมูลนั้นลึกซึ้งมากยิ่ งขึ้น เช่น สร้างกราฟ หรือตารางสรุปที่เรียกว่า PivotTable ซึ่ง สามารถให้เราลองเปลี่ยนมุมมองการสรุปข้อมูลไปมาได้อย่างง่ายดายก็ยังได้[21] 2.4.3.1 ประโยชน์ของ Microsoft Excel 2.4.3.1.1 สร้างตารางทํางาน จัดตารางสวยงาม ในรูปแบบต่าง ๆ 2.4.3.1.2 สร้างเอกสารที่ต้องมีการคํานวณ เชื่อมโยงสูตร (สามารถเชื่อมโยงในไฟล์เดียวกัน ข้ามไฟล์ หรือ ข้ามเครื่องก็ได้) 2.4.3.1.3 งานจัดเก็บข้อมูลเบื้องต้นที่จํานวนข้อมูลไม่เกิน 1 ล้านแถว (ในทางปฏิบัติ แนะนําว่าไม่เกิน หลักแสน จะทํางานได้คล่องตัว) 2.4.3.1.4 สร้างรายงานสรุปผลในมุมมองต่าง ๆ เช่น ตารางสรุปยอดขาย ตารางสรุปข้อมูล สินค้า สรุปงบดุล สรุปแผนการผลิต สรุปข้อมูล ขาดลามาสาย ของพนักงาน เป็ นต้น 2.4.3.1.5 สร้างกราฟ นําเสนอข้อมูล ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ นกราฟแท่ง กราฟเส้น วงกลม จุด ทั้ ง 2 มิติ และ 3 มิติ มีรูปแบบต่าง ๆ มากมาย


บทที่ 3 ขั้นตอนการดําเนินงาน การคึกษาโครงงานเรื่อง ระบบการจองที่พักโรงแรมเตอะไนน์เพลส ผู้คึกษาได้ดําเนินงาน ตามลําดับดังนี้ 3.1 ER Diagram ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส 3.1 ER Diagram ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส


28 3.2 Data Dictionary ตารางที่ 3.2.1 Hotel (โรงแรม) ตารางที่ 3.2.2 Hote Phone Number (เบอร์โทรศัพท์โรงแรม) ตารางที่ 3.2.3 Employee (พนักงาน) ตารางที่3.2.4 Employee Phone Number (เบอร์โทรศัพท์พนักงาน)


29 ตารางที่ 3.2.5 Room (ห้องพัก) ตารางที่ 3.2.6 Reservation (การจอง) ตารางที่3.2.7 Payment (การชําระเงิน)


30 ตารางที่ 3.2.8 Lease Agreement (สัญญาเช่า) 3.2.9 Customer (ลูกค้า) ตารางที่ 3.2.10 Customer Phone Number (เบอร์โทรศัพท์ลูกค้า) ตารางที่ 3.2.11 Review and Feedback (รีวิวและความคิดเห็น)


31 3.3 Context Diagram รูปที่3.2แสดง Context Diagram ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส


32 3.4 แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram) รูปที่3.3แสดง Data Flow Diagram Level 0 ระบบการจองที่พักโรงแรมเดอะไนน์เพลส


33 3.4.1 แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่1โปรเซส 1แสดงถึงโปรเซสในแผนภาพกระแส ข้อมูลระดับที่ 1 โดยแผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่ 1ของโปรเซสที่ 1 ประกอบไปด้วยโปรเซส ย่อยๆ 2 โปรเซส ดังรูปที่ 3.4แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 1 Process 1.1 เข้าสู่ระบบ Process 1.2 ตรวจสอบข้อมูล รูปที่3.4แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 1


34 3.4.2 แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่1โปรเซส 2แสดงถึงโปรเซสในแผนภาพกระแส ข้อมูลระดับที่ 1 โดยแผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่ 1ของโปรเซสที่ 2 ประกอบไปด้วยโปรเซส ย่อยๆ 3 โปรเซส ดังรูปที่ 3.5แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 2 Process 2.1 เพิ่ มข้อมูลห้องพัก Process 2.2ค้นหาข้อมูลห้องพัก Process 2.3แก้ไขข้อมูลห้องพัก รูปที่3.5แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 2


35 3.4.3 แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่1โปรเซส 3แสดงถึงโปรเซสในแผนภาพกระแส ข้อมูลระดับที่ 1 โดยแผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่ 1ของโปรเซสที่ 3 ประกอบไปด้วยโปรเซส ย่อยๆ 4 โปรเซส ดังรูปที่ 3.6 แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 3 Process 3.1 เพิ่ มข้อมูลพนักงาน Process 3.2ค้นหาข้อมูลพนักงาน Process 3.3แก้ไขข้อมูลพนักงาน Process 3.4ลบข้อมูลพนักงาน รูปที่3.6แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 3


36 3.4.4 แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่1โปรเซส 4แสดงถึงโปรเซสในแผนภาพกระแส ข้อมูลระดับที่ 1 โดยแผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่ 1ของโปรเซสที่ 4 ประกอบไปด้วยโปรเซส ย่อยๆ 3 โปรเซส ดังรูปที่ 3.7แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 4 Process 4.1 เพิ่ มข้อมูลลูกค้า Process 4.2แก้ไขข้อมูลลูกค้า Process 4.3ค้นหาข้อมูลลูกค้า รูปที่3.7แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 4


37 3.4.5 แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่1โปรเซส 5แสดงถึงโปรเซสในแผนภาพกระแส ข้อมูลระดับที่ 1 โดยแผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่ 1ของโปรเซสที่ 5 ประกอบไปด้วยโปรเซส ย่อยๆ 3 โปรเซส ดังรูปที่ 3.8แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 5 Process 5.1 เพิ่ มข้อมูลการจอง Process 5.2แก้ไขข้อมูลการจอง Process 5.3ค้นหาข้อมูลการจอง รูปที่3.8แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 5


38 3.4.6 แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่1โปรเซส 6แสดงถึงโปรเซสในแผนภาพกระแส ข้อมูลระดับที่ 1 โดยแผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่ 1ของโปรเซสที่ 6 ประกอบไปด้วยโปรเซส ย่อยๆ 4 โปรเซส ดังรูปที่ 3.9แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 6 Process 6.1 เพิ่ มข้อมูลการจอง Process 6.2แก้ไขข้อมูลการจอง Process 6.3ค้นหาข้อมูลการจอง Process 6.4ค้นหาข้อมูลการจอง รูปที่3.9แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 6


39 3.4.7 แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่1โปรเซส 7แสดงถึงโปรเซสในแผนภาพกระแส ข้อมูลระดับที่ 1 โดยแผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่ 1ของโปรเซสที่ 7 ประกอบไปด้วยโปรเซส ย่อยๆ 5 โปรเซส ดังรูปที่ 3.10แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 7 Process 7.1 ช่องทางการชําระเงิน Process 7.2 เพิ่ มข้อมูลการชําระเงิน Process 7.3ค้นหาข้อมูลการชําระเงิน Process 7.4 แก้ไขข้อมูลการชําระเงิน Process 7.5 ยืนยัน/ยกเลิก รูปที่3.10แสดง Data Flow Diagram Level 1 Process 7


Click to View FlipBook Version