งานไม้ดอก มูลนิธิโครงการหลวง
ค ำน ำ เบญจมาศเป็นไม้ตัดดอกที่มูลนิธิโครงการหลวง ได้ส่งเสริมให้แก่เกษตรกรบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือ เพื่อเป็นพืชรายได้ทนแทนการปลูกฝิ่น และสามารถท ารายได้เป็นอันดับหนึ่งให้แก่มูลนิธิโครงการหลวงทุกปี เนื่องจากมีการวางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จึงท าให้สามารถผลิตจ าหน่ายออกสู่ตลาดได้ ตลอดทั้งปี สร้างรายได้อย่างมากให้แก่เกษตรกรภายใต้ความรับผิดชอบของมูลนิธิโครงการหลวง ระบบการผลิตเบญจมาศตัดดอกของมูลนิธิโครงการหลวง ได้ผ่านการศึกษาวิจัยถึงระบบการผลิตที่ เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ วิธีการดูแลรักษา การพัฒนาเทคนิคการผลิต ตลอดจนการคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตที่ดีมีคุณภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ และเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ วิธีการและเทคนิคในการผลิตเบญจมาศอย่างเป็นระบบนี้ งานไม้ดอก มูลนิธิโครงการหลวง ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) จัดท าคู่มือเผยแพร่การผลิต เบญจมาศตัดดอกให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจ ได้ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการในการผลิตเชิงการค้า รวมถึงการ จัดการหลังการเก็บเกี่ยวและการคัดแยกเกรดตามมาตรฐานมูลนิธิโครงการหลวง งานไม้ดอกส่วนกลาง มูลนิธิโครงการหลวง
สำรบัญ เรื่อง หน้า ลักษณะทั่วไป 1 ชนิดของดอกเบญจมาศ 2 ฤดูกาลปลูก 3 การผลิตแม่พันธุ์และกิ่งพันธุ์เบญจมาศ 3 การผลิตกิ่งพันธุ์เบญจมาศ 7 การผลิตเบญจมาศตัดดอก 11 เอกสารอ้างอิง 20
เบญจมำศ Chrysanthemum เบญจมาศเป็นไม้ดอก จัดอยู่ในวงศ์ Compositae (Dendranthema grandiflora) มีถิ่นก าเนิดอยู่ ในประเทศจีนและญี่ปุ่น (อดิศร, 2535) ปัจจุบันเบญจมาศที่ผลิตเป็นการค้ามีมากมายหลายพันธุ์ มีลักษณะ ดอกและสีสันหลากหลาย ซึ่งล้วนเป็นพันธุ์ลูกผสมทั้งสิ้น มูลนิธิโครงการหลวงได้เริ่มน าเบญจมาศออกส่งเสริม แก่เกษตรกรในพื้นที่ความรับผิดชอบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2527 ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก ลักษณะทั่วไป - ใบ ลักษณะใบเป็นรูป ขอบใบหยัก เนื่องจากในปัจจุบันเบญจมาศทางการค้าเป็นลูกผสม ลักษณะ การหยักของขอบใบจึงมีหลายแบบ - ดอก เป็นดอกช่อแบบ head มีฐานรองดอกเดียวกัน โดยมีดอก 2 ชนิด คือ • ray floret เป็นดอกเพศเมีย มีเฉพาะเกสรเพศเมียเท่านั้น โดยอยู่วงรอบนอก • disk floret เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้ง 2 เพศ อยู่บริเวณกลางดอก มักเป็นส่วนที่ติดเมล็ด ดอกเพศเมีย คือ จะมีส่วนของกลีบดอกที่มีสี ภาพที่ 1 ลักษณะดอกของเบญจมาศ - การขยายพันธุ์ สามารถขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แต่ที่นิยมท าเป็น การค้า คือการขยายพันธุ์ด้วยกิ่งช า ray floret disk floret
ชนิดของดอกเบญจมาศ สามารถจ าแนกตามรูปทรงของเบญจมาศได้ดังนี้ 1. เบญจมาศชนิดดอกเดี่ยว (Standard Type) เป็นเบญจมาศที่มีดอกขนาดใหญ่ โดยเด็ดดอกข้าง ทิ้งให้เหลือดอกที่ยอดเพียงดอกเดียว นิยมใช้เป็นไม้ตัดดอก ภาพที่ 2 เบญจมาศชนิดดอกเดี่ยวพันธุ์ Snowdon Yellow 2. เบญจมาศชนิดดอกช่อ (Spray Type) เป็นประเภทที่มีหลายดอกต่อ 1 กิ่ง ไม่มีการเด็ดดอกข้าง ทิ้ง ลักษณะของดอกใน 1 ช่อ จึงมีจ านวน 8–10 ดอก ดอกมีขนาดเล็กใช้เป็นไม้ตัดดอก ภาพที่ 3 เบญจมาศชนิดดอกช่อพันธุ์Reagan Dark 3. เบญจมาศชนิดกระถาง (Potted Chrysanthemum) เบญจมาศชนิดนี้จะมีทรงพุ่มกะทัดรัด แตก กิ่งก้านได้มาก ดอกดก ภาพที่ 4 เบญจมาศกระถางพันธุ์Lompoc ภาพที่ 5 เบญจมาศกระถางพันธุ์ Flint
ฤดูกาลปลูก การปลูกในฤดูกาล ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - พฤศจิกายน การปลูกนอกฤดูกาล ตั้งแต่เดือนธันวาคม - มิถุนายน การผลิตแม่พันธุ์และกิ่งพันธุ์เบญจมาศ 1. การเตรียมแปลงปลูกต้นแม่พันธุ์ การผลิตให้ตรงตามพันธุ์และการผลิตกิ่งพันธุ์ที่ปลอดโรคถือเป็นเรื่องส าคัญมากในการผลิตแม่ พันธุ์เบญจมาศ ขั้นแรกต้องเตรียมดินปลูกให้พร้อม ด้วยการพรวนดินให้ร่วนซุย หรือใส่วัสดุปลูก ประกอบด้วยเปลือกข้าวอัตรา 2 ปี๊ปต่อ 1 ตารางเมตร ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 10 กิโลกรัมต่อ 1 ตาราง เมตร และปูนโดโลไมท์อัตรา 5-10 กิโลกรัมต่อ 100 ตารางเมตร คลุกวัสดุปลูกให้เข้ากัน (ภาพที่ 6ก) ทั้งนี้ ชนิดและปริมาณของวัสดุปลูกที่ใส่ขึ้นอยู่กับสภาพดินในพื้นที่ปลูกด้วย นอกจากนี้ถ้ามีการอบดินฆ่าเชื้อโรคในดินด้วยยิ่งดีมาก เนื่องจากหากกิ่งพันธุ์มีการติดเชื้อโรคแล้ว จะส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตกิ่งช าและระบบการปลูกต่อไป การฆ่าเชื้อในดินสามารถท าได้โดยการอบด้วย บาซามิค-จี (Dazomet) โดยปฏิบัติดังนี้ 1) เตรียมดินปลูกให้ร่วนซุย รดน ้าให้ดินปลูกอิ่มตัวด้วยความชื้น สังเกตจากเมื่อก าดิน ดิน สามารถเกาะตัวกันได้(ภาพที่ 6ข) 2) โรยผงบาซามิค-จี อัตรา 60 กรัมต่อตารางเมตร เมื่อผงบาซามิค-จีสัมผัสกับความชื้นในดินจะ ระเหยกลายเป็นก๊าซเมทธิลไอโซไทโอไซยาเนทซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย (methylisothiocyanate) ดังนั้นผู้ปฏิบัติ ควรสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ และเสื้อผ้าปกคลุมร่างกายให้มิดชิด ระวังอย่าให้ผงบาซามิค-จีสัมผัสร่างกาย โดยตรง 3) พรวนดินซ ้าอีกครั้งเพื่อผสมผงบาซามิค-จี ให้คลุมเคล้ากับดินปลูก โดยควรพรวนดินให้ลึก อย่างน้อย 20 เซนติเมตร (ภาพที่ 7 ข-ค) 4) คลุมแปลงปลูกด้วยพลาสติกด านาน 10 วัน หลังจากนั้นจึงเปิดพลาสติกออกทิ้งไว้อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อให้แก๊สพิษระเหยออกไปจากดินให้หมด (ภาพที่ 8)
ภาพที่ 6 ก: ดินปลูกที่ใส่วัสดุปลูกและไถพรวนพร้อมอบ ข: การเช็คความชื้นในดิน โดยการบีบดินแล้วดินเป็นก้อน ค – ง: การเจาะรูฝากระป๋องบาซามิค–จี ภาพที่ 7 ก: หน้ากากป้องกันอันตราย ข: การโรยบาซามิค–จีอัตรา 60 กรัม/ตารางเมตร ค: การไถพรวนเพื่อให้ผงบาซามิค–จีผสมกับดิน ก ข ค ค ง ก ข
ภาพที่ 8 ก: การต่อพลาสติกเพื่อป้องกันก๊าซบาซามิค – จีระเหยออก ข: การเก็บชายพลาสติก ค: โรงเรือนที่คลุมพลาสติก ง: หลังจากคลุมพลาสติก 10 วัน ให้เปิดพลาสติกออก แล้วไถพรวนเพื่อให้ บาซามิค-จีระเหยออก เมื่อเตรียมดินและอบฆ่าเชื้อในดินเรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมแปลงปลูกกว้าง 1 เมตร ความยาวตาม ความยาวของโรงเรือน 2. การปลูกต้นแม่พันธุ์เบญจมาศ ขึงเชือกโดยการผูกติดกับไม้ระยะห่างของเชือก (แถว) ประมาณ 12.5 เซนติเมตร ระยะห่าง ระหว่างต้นประมาณ 20 เซนติเมตร ใส่ตาข่ายพลางแสงและรดน ้าแปลงปลูกให้ชุ่มก่อนปลูก ความลึกในการ ปลูกต้นแม่พันธุ์ควรอยู่ระดับเดิมที่ต้นกล้าอยู่ในวัสดุช า เพื่อป้องต้นกล้าเน่า หลังจากปลูกแล้วควรรดน ้าอีก ครั้งเพื่อดินกระชับโคนต้น (ภาพที่ 9) เริ่มให้ไฟในคืนแรกของการปลูกแม่พันธุ์โดยการติดตั้งระบบไฟใช้หลอดไฟ Incandescent ขนาด 100 วัตต์ ระยะห่างระหว่างหลอดภายในแถวเดียวกัน 1.5 เมตร ระหว่างแถว 2 เมตร และสูงจากระดับพื้นดิน 1.5 เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มแสง โดยความเข้มแสงบริเวณยอดต้นกล้าต้องไม่ต ่ากว่า 100 ลักซ์ตั้งเวลา เปิด 10 นาที ปิด 20 นาที ติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวัน ค ก ข ง
ภาพที่ 9 การปลูกต้นแม่พันธุ์ ภาพที่ 10 แปลงแม่พันธุ์เบญจมาศ 3. การเด็ดยอดและการแต่งหน่อต้นแม่พันธุ์ หลังจากปลูกต้นแม่พันธุ์10 วัน ให้เด็ดยอด อีกประมาณ 15 วันภายหลังการเด็ดยอด ต้นแม่ พันธุ์จะแตกหน่อใหม่ (ยอดที่แตกออกมาใหม่) ประมาณ 3–5 หน่อ ให้เด็ดหน่อใหม่ทิ้งให้เหลือหน่อที่สมบูรณ์ ต้นละ 3 หน่อ (ภาพที่ 11 ก–ค)
ภาพที่ 11 ก: การเด็ดยอดหลังจากปลูกได้10 วัน ข–ค: การแต่งหน่อหลังจากเด็ดยอดให้เหลือ 2–3 หน่อต่อต้น การผลิตกิ่งพันธุ์เบญจมาศ 1. การเด็ดยอดพันธุ์ หลังจากเด็ดยอดได้ประมาณ 25 – 35 วัน (หรือ 45 วันหลังปลูก) สามารถตัดหน่อรุ่นที่ 1 ได้ การเด็ดยอดจะใช้ใบมีดโกนเสียบติดกับท่อ PVC ขนาด 3/4 นิ้ว แล้วใช้นิ้วที่ถนัดสอดเข้ากับท่อ PVC การ ปลูกแม่พันธุ์1 รุ่น จะเด็ดยอดได้4 ครั้ง ครั้งที่ 1 ให้เหลือใบติดกับหน่อจ านวน 2 คู่ใบ โดยยอดที่ตัดต้องมี ความยาวประมาณ 5 เซนติเมตร หรือมีใบติดอยู่ 2 คู่ใบ ภายหลังเด็ดยอดครั้งที่ 1 หน่อจะแตกยอดออกมา 3–4 ยอดต่อหน่อ ให้เด็ดยอดออกให้เหลือ 1 ยอดต่อหน่อ หลังจากนั้นอีก 15 วัน จะสามารถเด็ดยอดครั้ง ต่อไปได้โดยการเด็ดยอดครั้งที่ 2-4 ให้เหลือใบติดกับหน่อจ านวน 1 คู่ใบ ส่วนยอดที่ตัดออกให้มีความยาว เท่ากับ 5 เซนติเมตร (ภาพที่ 12 ก–ง) ก ค ข
ภาพที่ 12 ก: การเด็ดยอดพันธุ์ครั้งที่ 1 โดยเหลือใบติดกับหน่อจ านวน 2 คู่ใบ ข: การแต่งหน่อที่แตกออกมาใหม่ให้เหลือ 1 หน่อต่อต้น ค: หน่อที่พร้อมตัดครั้งที่ 2 - 4 ง: การเด็ดยอดพันธุ์ครั้งที่ 2 - 4 2. การใช้ฮอร์โมนเร่งรากและการเก็บยอดพันธุ์ น ายอดที่ได้มาตัดปลายแล้วจุ่มด้วยฮอร์โมนเร่งราก ฮอร์โมนที่ใช้คือ IBA (Indole–3–butyric acid) ผสมกับแป้งทัลคัม อัตราส่วนที่ใช้คือ IBA จ านวน 5 กรัม ต่อแป้งทัลคัม 3.5 กิโลกรัม จากนั้นบรรจุลง ถุงพลาสติกใสที่ไม่มีรูระบายอากาศ พับปากถุงแล้วติดด้วยกระดาษกาวเพื่อป้องกันการสูญเสียความชื้นของ ยอด น าไปเก็บรักษาไว้ในห้องเย็นอุณหภูมิ1–3 องศาเซสเซียส ก่อนน าไปช าอย่างน้อย 1 วัน ซึ่งยอดที่จุ่ม ฮอร์โมนเร่งรากแล้วสามารถเก็บรักษาไว้ได้15–20 วัน (ภาพที่ 13 ก–ง) ภาพที่ 13 ก: ฮอร์โมน IBA ข: แป้งทัลคัม ค: เครื่องดัดแปลงส าหรับผสมฮอร์โมนกับแป้งทัลคัม ง: การจุ่มยอดพันธุ์ด้วยฮอร์โมน ก ข ค ง ก ข ค ง
3. โรงเรือนเพาะช า ในการช ากิ่งเบญจมาศต้องเตรียมโรงเรือนส าหรับช าให้พร้อม ซึ่งประกอบด้วยระบบพ่นหมอกและ ระบบไฟฟ้าที่มีการติดตั้งตัวควบคุมการท างานอัตโนมัติซึ่งการตั้งเวลาการให้น ้าด้วยระบบพ่นหมอกจะตั้งเวลา เปิดเป็นวินาทีและปิดเป็นนาทีโดยเริ่มเปิดตั้งแต่เวลา 8.00–16.30 น. ทั้งนี้ระยะเวลาการให้และช่วงเวลาใน การให้น ้าขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ส่วนระบบไฟฟ้าจะตั้งเวลาเปิดและปิดเป็นนาทีโดยเปิด 10 นาทีปิด 20 นาที เริ่มเปิดตั้งแต่เวลา 21.00–01.00 น. (ให้ไฟ 4 ชั่วโมงต่อวัน) ทั้งนี้การติดตั้งระบบไฟเช่นเดียวกับระบบไฟใน แปลงผลิตแม่พันธุ์เบญจมาศ ความเข้มแสงที่ให้ต้องไม่น้อยกว่า 100 ลักซ์ (ภาพที่ 14 และ 15) ภาพที่ 14 ก – ข: ตู้ควบคุมระบบพ่นหมอกในโรงเรือนเพาะช า ค – ง: ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าในโรงเพาะช าและแปลงปลูกแม่พันธุ์ ภาพที่ 15 ก: การพ่นหมอกในโรงเรือนเพาะช ายอดพันธุ์ ข: การให้วันยาวในโรงเพาะช าและในแปลงปลูก ค: เครื่องวัดความเข้มแสง ก ข ค ง ก ข ค
4. การช ายอดพันธุ์ วัสดุช าประกอบด้วยขี้เถ้าแกลบและทรายหยาบ อัตราส่วนผสม 1:1 ก่อนช ายอดพันธุ์จะใช้เชือก ท าแนวส าหรับช า โดยระยะระหว่างแถวประมาณ 5 เซนติเมตร การช ายอดพันธุ์ให้ปักยอดลงในวัสดุช าลึก ประมาณ 2 เซนติเมตร และห่างกันประมาณ 5 เซนติเมตร (ภาพที่ 16 ก–ง) หลังจากช าได้10 วัน ยอดพันธุ์ จะเริ่มเกิดราก สามารถให้ปุ๋ยเสริมทางใบเพื่อความสมบูรณ์ของต้นกล้า เทคนิคในการเพาะช ากิ่งพันธุ์จ านวนมากนั้น อาจท าชั้นให้สูงระดับเอวเพื่อง่ายในการปักช า และมี ความลาดเอียง 45 องศา เพื่อง่ายต่อดูแลรักษาและการระบายน ้า ควรเว้นระยะห่างระหว่างกิ่งพันธุ์ไม่ให้ชิดกัน เกินไปเพื่อป้องกันการระบาดของโรคเน่า ภาพที่ 16 ก: การท าแนวส าหรับช ายอดพันธุ์ ข: การช ายอดพันธุ์ ค: ยอดพันธุ์ที่ช าแล้ว ง: ยอดพันธุ์ที่เริ่มตั้งตัวได้ 5. การถอนต้นกล้า สามารถถอนต้นกล้าได้หลังจากช า 13-15 วัน ช่วงเดือนมีนาคม-ตุลาคม (ฤดูร้อน) และ 15–18 วัน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ (ฤดูหนาว) การถอนต้นกล้าให้เหลือวัสดุช าติดรากเล็กน้อยแล้วใส่ลง ถุงพลาสติกใสที่มีรูระบายอากาศ จ านวน 50 ต้นต่อถุง หากยังไม่น าไปปลูกทันทีสามารถน าเข้าห้องเย็นเพื่อรอ การขนส่งไปปลูกตัดดอกได้ประมาณ 1–2 สัปดาห์โดยต้องเก็บไว้ในห้องเย็นที่มีอุณหภูมิ 4–8 องศาเซลเซียส (ภาพที่ 17 ก-ง) ก ค ข ง
ภาพที่ 17 ก: ยอดพันธุ์ที่พร้อมถอนปลูกตัดดอก ข–ค: การถอนต้นกล้า ง: การบรรจุต้นกล้าลงถุง การผลิตเบญจมาศตัดดอก 1. การเตรียมแปลงปลูก ควรปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และมีความร่วนซุยก่อนปลูก ส าหรับโรงเรือนมาตรฐาน ขนาด 6 x 24 เมตร อาจปรับปรุงดินด้วย เปลือกข้าว 20 กระสอบ ขี้วัว 20 กระสอบ ปุ๋ยสูตร 0–46–0 (ทริบเปิ้ลซูเปอร์ฟอสเฟต) 10 กิโลกรัม โดโลไมท์ 10 กิโลกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของดินปลูกในแต่ละพื้นที่ และควรไถพรวนหน้าดินให้มีความลึกไม่ต ่ากว่า 30 เซนติเมตร จากนั้นปรับหน้าดินให้เรียบ หากมีการระบาดของโรคในดินควรอบฆ่าเชื้อในดินก่อนปลูก ภาพที่ 18 การเติมวัสดุปรุงดิน ภาพที่ 19 การไถพรวน ภาพที่ 20 การปรับหน้าดิน ก ข ค ง
2. เทคนิคและวิธีการปลูก หากเป็นการปลูกในโรงเรือนขนาด 6x24 เมตร สามารถเตรียมแปลงปลูกให้แต่ละแปลงมีขนาด 1.10x24 เมตร ซึ่งจะได้แปลงปลูกทั้งหมด 4 แปลง ขึงตาข่ายค ้ายันที่มีช่องขนาด 5 x 5 นิ้ว จ านวนช่องตามขวาง 9 ช่อง อย่างน้อย 1 ชั้น ซึ่งเป็นขนาดที่เท่ากับระยะปลูก จากนั้นจึงปลูกต้นกล้าลงตามช่องตาข่ายดังภาพที่ 21 ความ ลึกที่เหมาะสมกับการปลูกคือประมาณ 2 เซนติเมตร หากปลูกลึกเกินไปจะท าให้การเจริญของรากไม่ดีเนื่องจาก ขาดอากาศ หัวแปลง X X X X X X X X X X X X X X X X X X X X X X X X ช่องว่างระหว่างช่วงการปลูก ภาพที่ 21 การปลูกเบญจมาศลงในแปลงปลูก ในการปลูก ควรเลือกต้นพันธุ์ที่มีขนาดและความสมบูรณ์ใกล้เคียงกัน ปลูกลงในแปลงเดียวกัน เพื่อ ง่ายต่อการดูแลรักษาและสามารถตัดดอกได้พร้อมกัน และควรปลูกต้นพันธุ์เบญจมาศทันทีหลังจากได้รับต้น กล้า ไม่ควรปล่อยให้รากของต้นพันธุ์แห้งเพราะจะท าให้ต้นตั้งตัวช้า ระบบการปลูกเพื่อการตัดดอกไม่ว่าจะเป็นชนิดดอกเดี่ยวหรือดอกช่อสามารถปฏิบัติได้ 2 แบบ คือ แบบเด็ดยอด โดยให้เหลือกิ่งที่แตกออกมาใหม่ 2 กิ่งต่อต้น จะใช้เวลา 4 เดือน ตั้งแต่ปลูกจนสามารถตัดดอก จ าหน่ายได้และการปลูกแบบไม่เด็ดยอด (1 ต้นต่อ 1 กิ่ง) ซึ่งใช้เวลาในการปลูก 3 เดือน จึงจะตัดดอกจ าหน่าย ได้ แต่วิธีนี้ต้องใช้จ านวนต้นพันธุ์มากกว่าแบบเด็ดยอดในพื้นที่เท่ากันเกือบเท่าตัว ในระบบการปลูกแบบเด็ดยอดทั้งแบบชนิดดอกเดี่ยวและดอกช่อ เมื่อปลูกต้นเบญจมาศได้ประมาณ 10-14 วัน จึงเด็ดยอด และเมื่อต้นกล้าแตกกิ่งใหม่ให้เด็ดกิ่งที่เล็กและอ่อนแอทิ้งให้เหลือไว้ 2 กิ่งต่อต้น ส าหรับ
เบญจมาศชนิดดอกช่อจะเด็ดดอกแรกที่ส่วนยอดทิ้ง เมื่อตาดอกมีขนาดเท่าหัวไม้ขีด เพื่อให้เกิดการแตกกิ่งข้างใน ขณะที่เบญจมาศชนิดดอกเดี่ยวไม่ต้องเด็ดยอด แต่ต้องคอยเด็ดดอกและกิ่งข้างทิ้ง เพื่อให้มี 1 ดอกต่อก้าน ที่มี ขนาดใหญ่ 3. การให้ไฟและความเข้มแสง การให้วันยาว (เปิดไฟ) ก็เช่นเดียวกับการให้ไฟในแปลงแม่พันธุ์และโรงเรือนเพาะช า คือ ให้ ในช่วงกลางคืนวันละ 4 ชั่วโมง เปิด 10 นาที ปิด 20 นาทีตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงวันที่ 45 ของการผลิต ในการ ให้ไฟส าหรับการปลูกแม่พันธุ์เบญจมาศ ระดับความเข้มแสงต้องไม่ต ่ากว่า 100 ลักซ์แต่ถ้าเป็นการปลูกเพื่อ ตัดดอกต้องไม่น้อยกว่า 80 ลักซ์ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตด้านล าต้น การให้แสงกับเบญจมาศสามารถจัด ตารางการปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ แต่ควรค านึงถึงปริมาณกระแสไฟฟ้ากับพื้นที่การปลูกว่า เพียงพอหรือไม่ เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อความเข้มแสงซึ่งมีความส าคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการผลิตเบญจมาศ และในขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายต่อผู้ผลิตได้หากไม่มีความเข้าใจและไม่ระมัดระวัง นอกจากนี้ได้มีการพัฒนาการให้แสงสว่างแก่เบญจมาศเพื่อการผลิตเป็นการค้า โดยสามารถ เลือกใช้หลอดไฟฟ้าได้อีก 2 แบบ คือ หลอดแบบ Fluorescence และหลอดแบบ High Pressure Sodium เนื่องจากสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 5–7 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับหลอดกลม (Incandescent) (ภาพที่ 22-25) ภาพที่ 22 การใช้หลอด Fluorescence ภาพที่ 23 การใช้หลอด High Pressure Sodium
ภาพที่ 24 การใช้หลอด Incandescent ภาพที่ 25 การใช้หลอดตะเกียบ การให้วันสั้น ในการผลิตนอกฤดู หลังจากที่หยุดให้วันยาวเมื่อความสูงของต้นประมาณ 25–30 เซนติเมตร ให้คลุมแปลงปลูกแต่ละแปลงด้วยพลาสติกด า โดยวางบนโคลงเหล็กดัดหรือไม้ไผ่ที่ดัดโค้งเป็นรูปตัว C ในช่วงเวลาตั้งแต่ 16.00 - 08.00 น. ซึ่งจะใช้เวลาคลุมแปลงปลูกประมาณ 30 – 45 วัน ภาพที่ 26 การใส่โครงเหล็กรูปตัว C ภาพที่ 27 การให้วันสั้นโดยการคลุมด้วยพลาสติกด า 4. การให้น ้า สามารถให้ได้หลายวิธีไม่ว่าจะใช้ฝักบัว ให้ตามร่องแปลง หรือด้วยระบบน ้าหยด แต่ถ้าเป็นการปลูก พืชภายในโรงเรือนไม่ควรให้น ้าตามร่องแปลง ทั้งนี้การให้น ้าไม่ควรให้ในช่วงเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใบเปียกน ้า ข้ามคืน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการระบาดของโรค และดินไม่ควรชื้นแฉะจนเกินไป 5. การให้ปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยน ้าและหลีกเลี่ยงกันให้ปุ๋ยเม็ดเนื่องจากจะท าให้ดินเสื่อมสภาพ โดยเตรียมปุ๋ยน ้าเข้มข้น จากแม่ปุ๋ยชนิดต่างๆ แยกออกเป็นถัง A และ B ตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1 สูตรปุ๋ยน ้าเข้มข้นส าหรับเบญจมาศต่อน ้า 200 ลิตร ล าดับ แม่ปุ๋ย ถัง A ถัง B ชื่อ สูตรเคมี สูตรปุ๋ย 1 โมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต NH4H2 PO4 12-60-0 4 ก.ก. 8 ขีด 2 แอมโมเนียมซัลเฟต (NH4 ) 2 SO4 20-0-0 7 ขีด 3 แคลเซียมไนเตรต Ca(NO3 ) 2 .2H2O 15-0-0 23 ก.ก. 6 ขีด 4 โปแตสเซียมไนเตรต KNO3 13-0-46 15 ก.ก. 2 ขีด 15 ก.ก. 2 ขีด 5 แมกนีเซียมซัลเฟต MgSO4 .7H2O 8 ก.ก. 7 ขีด 6 แมกนีเซียมไนเตรต MgNO3 .6H2O 7 ขีด 7 ขีด 7 ยูนิเลท 5 ขีด รดปุ๋ยน ้าให้กับต้นเบญจมาศสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยต้องน าปุ๋ยน ้าเข้มข้นมาเจือจางกับน ้าในอัตรา 1:200 ลิตร เสียก่อน ขั้นแรกต้องเติมน ้าในถังผสมประมาณครึ่งถัง แล้วจึงใส่ปุ๋ยน ้าเข้มข้นจากถัง A ปริมาตร 1 ลิตร ลงไปเจือจาง คนให้เข้ากัน จากนั้นจึงใส่ปุ๋ยน ้าเข้มข้นจากถัง B และเติมน ้าให้ได้ปริมาตร 200 ลิตร คน ให้เข้ากันอีกครั้ง จึงจะน าไปรดต้นพืชได้โดยปฏิบัติเหมือนกับการรดน ้าตามปกติทั้งนี้ไม่ควรผสมปุ๋ยน ้าเข้มข้น จากถัง A และ B เข้าด้วยกันโดยตรง เพราะจะท าให้เกิดการตกตะกอนของแม่ปุ๋ย ท าให้พืชไม่สามารถน าธาตุ อาหารไปใช้ประโยชน์ได้ การให้ปุ๋ยน ้าจะให้ตั้งแต่ต้นตั้งตัวได้ไปจนถึงระยะดอกเริ่มแย้มสี ภาพที่ 28 การให้ปุ๋ยน ้า ภาพที่ 29 การใช้ตาข่ายเพื่อประคองต้นเบญจมาศ 6. การป้องกันและก าจัดโรค แมลงศัตรูพืช เนื่องจากโรคและแมลงสามารถระบาดได้ตลอดช่วงเวลาการปลูก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความ เสียหายกับผลผลิตจึงจ าเป็นต้องป้องกันไว้ก่อนโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน โรค แมลงศัตรูพืชที่มักพบบ่อย ได้แก่ 1) โรคราสนิม ลักษณะของใบที่เป็นโรค ด้านบนใบจะเป็นจุดสีเหลือง ส่วนด้านใต้ใบจะพบตุ่มนูน สีขาวปนเหลือง ระบาดมากที่สุดในช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว และจะระบาดอย่างรุนแรงหากเบญจมาศอยู่ ในสภาวะอากาศร้อนชื้น ใบเปียก โดยเฉพาะในช่วงที่ให้วันสั้นด้วยการคลุมแปลงด้วยพลาสติกด า ดังนั้นจึง
ควรใช้ต้นพันธุ์ที่ปลอดโรค ให้น ้าในช่วงเช้า พบต้นที่เกิดโรคให้ถอนแล้วเผาท าลาย หมั่นควบคุมโรคด้วยการ ใช้สารเคมีเพื่อป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้แก่ อะซ็อกซีสโตรบิน เฮกซาโคนาโซล แมนโคเซบ/ไดเทนเอ็ม 45 สกอร์แอนวิล หรือ ซัลเฟอร์เป็นต้น ภาพที่ 30 ลักษณะของกิ่งพันธุ์และต้นเบญจมาศที่เป็นโรคราสนิม 2) โรคเน่าคอดิน ลักษณะจะเกิดอาการเน่าที่บริเวณโคนต้น กล้าเหี่ยว ปลายรากแห้งเป็นสีน ้าตาล สารเคมีที่ใช้ คือ เทอราคลอซุปเอ็กซ์ฮิวมิก หรือใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าผสมคลุกเคล้ากับดินก่อนปลูกและใส่ เป็นประจ าทุกเดือน 3) โรคใบแห้ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Erwinia chrysanthemi การป้องกันไม่ควรปลูกต้น เบญจมาศชิดกันเกินไป เพราะจะท าให้อากาศไม่ถ่ายเท มีผลให้ความชื้นระหว่างโคนต้นสูงจึงเหมาะแก่การแพร่ ระบาดของโรค ตัวอย่างสารเคมีที่ใช้ป้องกันก าจัด เช่น แคบแทน มาเนบ หรือ ไซเนบ 4) หนอนชอนใบ โดยตัวหนอนจะดูดกินน ้าเลี้ยงจากใบ สังเกตได้จากรอยทางเดินของหนอนที่อยู่ ระหว่างเนื้อใบ หากใบถูกท าลายมากการสังเคราะห์แสงของใบจะน้อยลง ดังนั้นจึงควรป้องกันมากกว่าการ แก้ไขซึ่งมีด้วยกันหลายวิธี เช่น การใช้ตัวเบียน ตัวห ้าในการก าจัดหนอน การใช้กับดักกาวในการจับตัวเต็มวัย หากระบาดมากอาจใช้สารเคมีเช่น อะบาเม็คติน สารน ้ามัน คาร์แทบโอโครดลอโรว อะเซทามิพริด และควร พ่นสารเคมีในช่วงเช้ามืดหรือตอนเย็น ภาพที่ 31 ลักษณะของต้นเบญจมาศที่ถูกหนอนชอนใบเข้าท าลาย
5) เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไรแดง ควรใช้สารเคมีที่เหมาะสม ซึ่งมีทั้งชนิดท าลายไข่และฆ่าตัว ได้แก่ ไซเปอร์เมทริน ไตรอะโซพอส แอสเซนต์พอสกรีน คอนฟีดอร์หรือ โพรโทโอพอส 6) หนอนกระทู้เป็นหนอนที่มีขนาดใหญ่และแพร่ระบาดได้รวดเร็วตลอดทั้งปี ถ้าเกิดการระบาด จะท าให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง สารเคมีที่ใช้ได้แก่ อะบาเม็คติน เดลทาเมทริน ไซเปอร์-เมทริน หรือ ไตรอะโซพอส 7) ไส้เดือนฝอย หากพบต้นที่ถูกไส้เดือนฝอยท าลายต้องรีบก าจัดออกจากแปลงให้หมดรวมทั้งวัชพืช จากนั้น จึงพรวนดินตากแดดเพื่อไม่ให้ไส้เดือนฝอยมีอาหาร และยังเป็นการท าลายไข่รวมทั้งตัวอ่อน หรือการปลูกพืช หมุนเวียน ลดการแพร่ระบาดของไส้เดือนฝอย ส่วนสารเคมีที่ใช้ในการก าจัดไส้เดือนฝอย เช่น การอบดินด้วย บาซามิค-จีก่อนการปลูกพืช 7. การเก็บเกี่ยว - เบญจมาศชนิดดอกเดี่ยว ควรเก็บเกี่ยวเมื่อดอกบานได้ 50–70 เปอร์เซ็นต์น ามามัดเป็นก า ก า ละ 10 ดอก - เบญจมาศชนิดดอกช่อ ควรเก็บเกี่ยวเมื่อดอกใน 1 ช่อ บาน 3 ดอก น ามาเข้าก า ก าละ 18 ก้าน ช่วงระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวควรเป็นเช้าที่แดดยังไม่แรงเกินไป โดยในหนึ่งโรงเรือนไม่ควร นานเกิน 1 สัปดาห์ เมื่อตัดดอกจากแปลงแล้วควรรีบแช่ดอกในน ้าสะอาดทันทีทั้งนี้ควรทยอยตัดและน าส่ง ตลาดภายใน 1–2 วัน 8. การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว 1) การจัดมาตรฐานเกรดดอกของมูลนิธิโครงการหลวง มีดังนี้ เบญจมาศดอกเดี่ยว เกรด 1 (1) กลุ่มดอกใหญ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 8 เซนติเมตร ขึ้นไป กลุ่มดอกกลาง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 7 เซนติเมตร ขึ้นไป กลุ่มดอกเล็ก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 6 เซนติเมตร ขึ้นไป (2) ความยาวของก้านดอก 70 เซนติเมตร ขึ้นไป (3) ใบ ดอก และก้านต้องสมบูรณ์ มีลักษณะตรงตามพันธุ์ เกรด 2 (1) กลุ่มดอกใหญ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 7 เซนติเมตร ขึ้นไป กลุ่มดอกกลาง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 6 เซนติเมตร ขึ้นไป กลุ่มดอกเล็ก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 5 เซนติเมตร ขึ้นไป (2) ความยาวของก้านดอก 70 เซนติเมตร ขึ้นไป (3) ใบ ดอก และก้านต้องสมบูรณ์ มีลักษณะตรงตามพันธุ์ เกรด 3 (1) เส้นผ่าศูนย์กลางดอกมีขนาดไม่ต ่ากว่า 5 เซนติเมตร ขึ้นไป (2) ความยาวของก้านดอก 70 เซนติเมตร ขึ้นไป (3) ใบ ดอก มีต าหนิได้บ้างเล็กน้อยประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
เบญจมาศดอกช่อ เกรด 1 (1) จ านวนดอกที่บานได้ต่อช่อ 6 ดอก ขึ้นไป (2) ความยาวของก้านดอก 70 เซนติเมตร ขึ้นไป (3) ขนาดของก้านสม ่าเสมอ ใบและดอกสมบูรณ์ เกรด 2 (1) จ านวนดอกที่บานได้ต่อช่อ 5 ดอก ขึ้นไป (2) ความยาวของก้านดอก 70 เซนติเมตร ขึ้นไป (3) ขนาดของก้านสม ่าเสมอ ใบและดอกไม่มีต าหนิ เกรด 3 (1) จ านวนดอกที่บานได้ต่อช่อน้อยกว่า 5 ดอก (2) ความยาวของก้านดอก 70 เซนติเมตร (3) ก้านอาจจะเล็กกว่าเกรด 1 และ 2 แต่ต้องยังมีความแข็งแรง ดอกและใบมีต าหนิ ได้ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ 2) การแช่น ้ายายืดอายุการปักแจกัน ภายหลังจากคัดแยกเกรดดอกเรียบร้อยแล้ว ควรน าดอกแช่ในน ้ายายืดอายุการปักแจกัน โดยแช่ที่อุณหภูมิประมาณ 20–22 องศาเซลเซียส ระดับความเข้มแสง 1,000 – 1,500 ลักซ์นาน 16 ชั่วโมง เนื่องจากหากดอกอยู่ในสภาพมืดจะท าให้ใบมีสีเหลืองขึ้น น ้ายาที่ใส่ลงไปในถังแช่ควรให้ท่วมก้านดอก ประมาณ 5–10 เซนติเมตร ทั้งนี้เพื่อยืดอายุการใช้งานและสามารถการเก็บรักษาดอกได้นานยิ่งขึ้น สูตรน ้ายา ยืดอายุการปักแจกันดอกเบญจมาศประกอบด้วย - ซิลเวอร์ไนเตรท 25 มิลลิกรัม/ลิตร - น ้าตาลซูโครส 2–3 เปอร์เซ็นต์ - กรดซิตริก 75 มิลลิกรัม/ลิตร 3) การบรรจุหีบห่อ กลุ่มดอกเดี่ยวควรห่อดอกแต่ละดอกด้วยกระดาษขาวบางๆ เพื่อป้องกันการช ้าของดอก กลุ่ม ดอกช่อควรห่อช่อดอกทั้งก าด้วยถุงพลาสติกหรือกระดาษรูปสามเหลี่ยมที่ระบายอากาศได้ดี จากนั้นจึงบรรจุ ดอกเบญจมาศทั้งสองประเภทลงกล่องกระดาษในลักษณะสลับหัวท้าย และเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของ ดอกไม้ระหว่างการขนส่ง ควรบรรจุให้เต็มพอดีหรือมีสิ่งยืดดอกในกล่องไม่ให้เคลื่อนที่ ภาพที่ 32 การห่อดอกเบญจมาศดอกเดี่ยว
ภาพที่ 33 การแช่ดอกไม้ในน ้ายายืดอายุการปักแจกัน 3) การเก็บรักษา หากปลูกเบญจมาศเพื่อการค้าในปริมาณมาก ควรมีห้องเย็นปรับอากาศเพื่อการเก็บรักษาทั้ง กิ่งพันธุ์และดอกไม้ที่ตัดเพื่อรอจ าหน่าย ระดับอุณหภูมิประมาณ 0–4 องศาเซลเซียส ส าหรับกิ่งพันธุ์ เบญจมาศและที่ระดับอุณหภูมิประมาณ 10-12 องศาเซลเซียส ส าหรับการเก็บรักษาดอกเบญจมาศระหว่างรอ การขนส่ง ที่ความชื้นสัมพัทธ์ 90 เปอร์เซ็นต์ซึ่งถ้าไม่มีห้องเย็นหรือห้องปรับอากาศ ควรเก็บเบญจมาศไว้ในที่ ร่ม มีอากาศถ่ายเทสะดวก และง่ายต่อการขนส่ง ภาพที่ 34 การหีบห่อเบญจมาศและการเก็บรักษาดอกเบญจมาศในห้องเย็นรอการขนส่ง
เอกสำรอ้ำงอิง ดนัย บุณยเกียรติ. มปป. การปฏิบัติหลังเก็บเกี่ยวดอกไม้บางชนิด : เบญจมาศ. น. 19-21. ใน พูนสุข ค า ภา และคณะ, บรรณาธิการ. คู่มือมาตรฐานคุณภาพไม้ดอกไม้ประดับโครงการหลวง. มปป. ส านักพิมพ์, เชียงใหม่. อดิศร กระแสชัย. 2535. เบญจมาศ. ส านักพิมพ์โอเดียนสโตร์, กรุงเทพฯ. 129 หน้า. อนันต์ บุญมี. 2549. เบญจมาศ. น. 108-119. ใน อดิศร กระแสชัย, บรรณาธิการ. คู่มือการผลิตไม้ตัด ดอกและไม้ตัดใบ. มปป. ส านักพิมพ์, เชียงใหม่.