The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการศึกษาค้นคว้า-อรัญญา.-003.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อรัญญา Arunya, 2023-09-12 22:07:56

รายงานการศึกษาค้นคว้า-อรัญญา.-003.

รายงานการศึกษาค้นคว้า-อรัญญา.-003.

รายงานการศึกษาค้นคว้า เรื่อง วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี และการแต่งกายชนเผ่าม้ง เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาโรช สอาดเอี่ยม จัดทำโดย นางสาวอรัญญา ประยูรเวียง รหัส 6410540231003 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้า รหัส GE4005 ภาคเรียนที่ 1/2566 สาขาการสอนภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา


ก คำนำ รายงานเรื่อง วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี และการแต่งกายชนเผ่าม้ง เป็นส่วนหนึ่งของ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการค้นคว้าพัฒนา รหัส GE4005 ผู้จัดทำมีจุดประสงค์เพื่อศึกษา ความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี และการแต่งกายชนเผ่าม้ง เพื่อให้ได้ความรู้ในเรื่องราวของ วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี และการแต่งกายชาวม้ง โดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อศึกษาให้เข้าใจในเนื้อหาของวัฒนธรรมประเพณี และการแต่งกายชนเผ่าม้ง โดยละเอียด เนื้อหาในรายงานเล่มนี้ ประกอบไปด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับ ประวัติและความเป็นมา ประเพณีชน เผ่าม้ง วิถีชีวิตลักษณะบ้านเรือน การแต่งกายของชาวเผ่าม้งกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยชนเผ่าม้ง บุคลิกและ ภาพลักษณ์ของชนเผ่าม้ง ความเชื่อ พิธีกรรม และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ชนเผ่าม้งมีต้นกำเนิดมา จากดินแดนขั้วโลกเหนือ อพยพผ่านไซบีเรียและมองโกเลียเข้ามายังตอนเหนือของจีน มีต้นกำเนิดอยู่ ในมองโกเลียในปัจจุบัน และเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมในบริเวณทะเลเหลืองของประเทศจีน การจัดทำรายงานฉบับบนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ทางผู้จัดทำ ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาโรช สอาดเอี่ยม ที่ท่านได้ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานจน ทำให้รายงาน ฉบับนี้สมบูรณ์ ในเรื่องของการศึกษาการทำรายงาน การเรียบเรียงเนื้อหา การเขียน บรรณานุกรม รวมไปถึงขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่สนับสนุน ทางผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะเป็นประโยชน์ในโอกาสต่อไปต่อผู้ที่สนใจและต้องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และการแต่งกายชนเผ่าม้ง หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางผู้จัดทำขอกราบผู้รู้ช่วยแนะนำ ต่อไป นางสาวอรัญญา ประยูรเวียง


ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สารบัญภาพ ค ประวัติและความเป็นมา 1 ประเพณีชนเผ่าม้ง 3 วิถีชีวิตลักษณะบ้านเรือน 7 กลุ่มชาติพันธุ์ย่อยชนเผ่าม้ง 8 การแต่งกายชนเผ่าม้ง 11 บุคลิกและภาพลักษณ์ของชนเผ่าม้ง 18


ค สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่ 1 ประเพณีฉลองปีใหม่ม้ง 3 ภาพที่ 2 การโยนลูกช่วง 5 ภาพที่ 3 เทศกาลกินข้าวใหม่ 6 ภาพที่ 4 ลักษณะภายนอกบ้านของชาวม้ง 7 ภาพที่ 5 เสื้อของผู้หญิงม้งขาว 8 ภาพที่ 6 กระโปรงของม้งขาว 9 ภาพที่ 7 สาวชาวม้งขาว 9 ภาพที่ 8 ชาวม้งดำ 10 ภาพที่ 9 เสื้อของผู้ชายชาวม้ง 11 ภาพที่ 10 กางเกงผู้ชายชาวม้ง 12 ภาพที่ 11 ผ้าคาดเอวของผู้ชาย 12 ภาพที่ 12 ปัจจุบันผู้ชายชาวม้งในเขตจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน 13 ภาพที่ 13 หมวกของผู้ชายชาวม้ง 14 ภาพที่ 14 ห่วงคอเงิน 15 ภาพที่ 15 การแต่งกายของผู้หญิงชาวม้ง 16 ภาพที่ 16 ผู้หญิงชาวม้งขาว 17 ภาพที่ 17 กระโปรงของผู้หญิงชาวม้ง 17


1 ประวัติและความเป็นมา ชื่อเรียก ม้ง (Hmoob/ Moob) เป็นชื่อที่กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ภาคเหนือ ของพม่า ลาว เวียดนาม ไทย และในประเทศตะวันตกใช้เรียกตนเอง สำหรับผู้คนในเอเชียอาคเนย์ ชาวม้งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “แม้ว” ซึ่งเจ้าของชาติพันธุ์ไม่พอใจการเรียกขานดังกล่าว Embree และ Thomas อธิบายวา่ ชื่อ “แม้ว” น่าจะมาจากคำเรียกขานชาวม้งโดยชาวเวียดนามว่า “Man Meo” ซึ่งเป็นคำยืมมาจากภาษาจีน “Man” นั้นชาวจีนใช้เรียกชนเผ่าต่างๆ ที่ไม่ใช่ชาวจีน (ยกเว้น ชนเผ่าไท) ดังนั้นชื่อเรียกว่า “แม้ว” จึงมีความหมายแฝงด้านการเหยียดหยามทางสังคม ปัจจุบันคนไทยใน ประเทศไทยจึงไม่เรียนขานชาวม้งว่า “แม้ว” เนื่องจากมีการติดต่อกันมากขึ้นและได้รับคำอธิบายว่า ชื่อเรียกขานดังกล่าวเป็นชื่อเรียกขานอย่างดูแคลน อย่างไรก็ตามในบริบทของประเทศจีนนั้น ชื่อของ กลุ่มชาติพันธุ์“ชาวม้ง” มักจะถูกใช้อย่างสับสน กับ“ชาวม้ง” หรือ “เหมียว” โดยรากศัพท์ของคำ ดังกล่าวแปลว่า ต้นข้าวอ่อน หน่อ และ วัชพืชกับที่นา ซึ่งหมายถึงลูกของแผ่นดินและชนพื้นเมืองที่แต่ เดิมทำนาเป็นหลัก แต่ในระยะต่อมาถูกนำมาใช้ในลกัษณะของการดูถูกทางชาติพันธุ์ โดยการผูกเข้า กับเสียงร้องของแมว และแสดงนัยยะของความเป็นคนป่าเถื่อน คำดังกล่าวเริ่มปรากฏหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์จีนภายใต้ชื่อ “เหมียวหมิน” “หยูเหมียว” หรือ “ซาน เหมียว” ซึ่งเป็นการกล่าวถึงกลุ่ม ชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮวงโห (แม่น้ำ เหลือง) เมื่อ ประมาณสองพันสองร้อยปีก่อนคริสตศักราช ถิ่นฐานเดิม ม้งเป็นกลุ่มชนที่ชาวจีนรู้จักมาตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ก่อนยุคฮั่น ( the Pre-Han Period) ชาวม้ง ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลืองมาไม่ต่ำกวา่ 3,000 ปีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับ แหล่งกำเนิดชาวม้งนั้นมีสามแนวคิดด้วยกัน โดยแนวคิดแรกถูกเผยแพร่โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศส นิกายโรมันคาธอลิก ชื่อซาวิน่าที่เข้าไปสอบถามจากชาวม้งทางภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ในยุค ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งดินแดนดังกล่าวยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอยู่ โดยบาทหลวงซาวิน่า สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษชาวม้งออพยพมาจากดินแดนขั้วโลกเหนือ เพราะตำนานคนชาวม้งเล่าว่าที่นั้น เป็นดินแดนหนาวจัดและปกคลุมไปด้วยหิมะ ในเวลากลางวันจะเห็นพระอาทิตย์เพียงหกเดือน บาทหลวงซาวิน่าจึงสันนิฐานว่า หลังจากนั้นชาวม้งจึงอพยพเข้ามาทางตอนเหนือของประเทศจีน สู่ ดินแดนมองโกเลีย ลงมาทางตอนใต้ของจีนเข้าสู่ดินแดนที่ปัจจุบันเป็นรอยต่อของประเทศจีน เวียดนาม ลาว ไทย และพม่า แนวคิดนี้ได้รับการสานต่อโดยควินซี่ที่ยกตัวอย่างกรณีเด็กชาวม้งบาง รายที่มีผิวและผมสีขาวและนัยน์ตาสีฟ้าเหมือนชาวยุโรป


2 ส่วนแนวความคิดที่สองเป็นของชาวม้งสำนักบ้านวินัย (ศูนย์อพยพบ้านวินัย อำเภอ ปากชุม จังหวัด เลย) ที่คล้ายกับของบาทหลวงซาวิน่า แต่ได้รับอิทธิพลจากตำนานของลาวกับจีน เน้นที่การกล่าวถึง ความคล้องจองของชื่อ“สินชัย” ของลาวกับ“Xeem Xais” ของชาวม้ง และคำว่า “ชาวม้ง” (Hmoob / Moob) กับ “มองโกเลีย” (Muam Nkauj Liag) และความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของ ชาวม้งกับทั้งสองกลุ่ม รวมถึงการเกิดระบบตัวเขียนพ่าเฮ่า (Phaj Hauj) ในประเทศลาวก่อนสิ้นสุดยุค สงครามเวียดนาม แนวคิดที่สามเป็นที่รู้จักกันในหมู่คนชาวม้งในมณฑลยูนนานประเทศจีน โดยอ้างอิงหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ของชาวจีน และตำนานที่สืบทอดจากบรรพบุรุษเป็นหลัก ซึ่งเชื่อว่า บรรพบุรุษ ชาวม้งอพยพมาจากชายฝั่งทะเลทางด้านตะวันออกของประเทศจีน หรือบริเวณทะเลเหลือง โดย ค่อยๆ เคลื่อนย้ายทำมาหากินตามแม่น้ำหวงโห (แม่น้ำ เหลือง หรือ Dej Dag ) เข้ามาสู่บริเวณที่ ปัจจุบันเป็นภาคกลางของประเทศจีน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชนเผ่ามองโกลที่อพยพลงมาจากต้นลำน้ำ เหลือง และลำน้ำแยงซีเกียง (Dej Ntev) บรรพบุรุษชาวม้งได้อพยพมุ่งหน้าลงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เข้าสู่บริเวณที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันทั้งนี้มีหลักฐานทางวัฒนธรรมของชาวม้งบางอย่างที่เกี่ยวพันกับทะเล และแม่น้ำเหลือง เช่น ลายผ้ารูปก้นหอย เส้นตัดขวางสองเส้นบนลายกระโปรงของหญิงชาวม้งจวั๊ะ ที่ เป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำเหลือง และแม่น้ำแยงซีเกียง และภาษิตกับตำนานชาวม้งเกี่ยวกับแม่ น้ำเหลือง ฯลฯ แนวคิดที่สามนี้อ้างตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีน ระบุว่าแหล่งกำเนิดของชนชาติ เหมียวมีความสัมพันธุ์กับ “ซานเหมียว” และ “หนานหมาน” ในยุคดึกดำบรรพ์คือตั้งแต่เมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อนประวัติศาสตร์จีนสันนิฐานว่าบรรพบุรุษชาวเหมียวหรือชาวม้งน่าจะมาจากสัมพันธมิตร ชนเผ่า ที่เรียกตัวเองว่า “จิวลี่” ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ราบภาคตะวันออกของจีน บริเวณที่ราบลุ่มแม่ น้ำเหลืองและแม่น้ำแยงซีเกียง โดยมีจีเย่อ (Txiv Yawg) เป็นหัวหน้า แต่จีเย่อถูกห้วงตี่ (Faj Tim) ผู้นำ สัมพันธมิตรชนเผ่าอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเข้าใจกันในปัจจุบันว่าเป็นบรรพบุรุษของคนจีนนำกองกำลังมาจาก ทางตอนบนของลุ่มแม่น้ำเหลืองเข้าโจมตีและเข้าครอบครองพื้นที่ดังกล่าว จากนั้นชาวเหมียวหรือ ชาวม้งจึงอพยพลงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เข้าสู่บริเวณทะเลสาบต้งถิง (Dong Ting) ทะเลสาบโปยาง (Po Yang) แล้วค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่มณฑลเสฉวน กุ้ยโจวและยูนนานในที่สุด


3 ประเพณีชนเผ่าม้ง ม้งเป็นชนเผ่าที่มีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่น่าภาคภูมิใจมายาวนานมีวัฒนธรรม ประเพณี วิถี ชีวิต ที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่น และมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง แต่ภาษาเขียนดั้งเดิมได้ สูญหายไปแล้ว และเป็นชนเผ่าที่ให้ความสำคัญกับเครื่องประดับที่เป็นเงิน และมีหัตถกรรมลวดลาย ปักผ้าที่มีเอกลักษณ์สืบทอดกันมาช้านานจวบจนปัจจุบัน ชนเผ่าม้งเป็นชนเผ่าที่สู้รบเก่งมาก เฉลียวฉลาด กล้าหาญ ขยัน อดทน ดินแดนของชาวม้งที่ เคยครอบครองเป็นอาณาจักรนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก โดยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนเชื่อมต่อ ดินแดนสุวรรณภูมิชนเชื้อชาติอื่น ๆ หรือชนเผ่าอื่น ๆ ต่างก็เกรงกลัวนักรบของเผ่าม้งเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชาวฮั่นหรือคนจีน ซึ่งได้เคยมีการร่วมกันสู้รบครั้งใหญ่กับชาวม้งหลายครั้ง จนสามารถ เอาชนะได้ และด้วยความเกรงกลัวในการเป็นนักรบที่เก่งฉกาจของชาวม้งนี่เอง จึงไม่ยอมให้ชาวม้งอยู่ ที่เดิม แต่ได้ขับไล่ลงมาทางใต้ ไล่ตีให้แยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไป เพื่อไม่ให้กลับรวมตัวกัน จัดเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งและกลับมาต่อกรกับชาวฮั่นได้อีก ปัจจุบันนี้ชาวม้งจึงกลายเป็นชนกลุ่มน้อย กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั้ง จีน เวียดนาม ลาว พม่า และไทย นอกจากนั้นยังมีชาวม้งบางส่วนได้อพยพไปอยู่ประเทศตะวันตก เช่น อเมริกา แค นานดา ยุโรป ฯลฯ ซึ่งก็ไม่ได้ลืมเลือนพี่น้องชาวม้งที่ยังคงอยู่ที่เอเชียอาคเนย์เลย ยังคงติดต่อช่วยเหลือ กลับมาตลอด นับเป็นตัวอย่างที่ดีของความผูกพันกัน ไม่ทอดทิ้งกันของชนเผ่า แต่อุปนิสัยดั้งเดิมของชาวม้งที่มีมาแต่ดั้งเดิม ก็ยังอยู่แฝงอยู่ในสายเลือดของชาวม้งทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ ที่ใดนั่นคือ กล้าหาญ ฉลาด ขยัน อดทน ทำงานหนัก และรักพวกพ้องตระกูลแซ่ เช่นเดิม ภาพที่ 1 ประเพณีฉลองปีใหม่ม้งนี้ชาวม้งเรียกกันว่า “น่อเป๊โจ่วฮ์” ปีใหม่ม้งส่วนใหญ่จะจัดประมาณ ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมกราคม(ที่มา : http://www.thungchanglocal.go.th/tour-detail_246)


4 ประเพณีที่สำคัญที่สุดของชนเผ่าม้งคือ ประเพณีปีใหม่ของม้งซึ่งจะตรงกับ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 2 โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะเวลาระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคมของทุกปี ประเพณีปีใหม่ม้งจะเป็น งานรื่นเริงที่จะจัดขึ้นหลังจากได้เก็บเกี่ยวผลผลิตในรอบปีเรียบร้อย และเป็นการฉลองถึงความสำเร็จ ในการเพาะปลูกของแต่ละปี ซึ่งจะต้องทำพิธีบูชาถึงผีฟ้า ผีป่า ผีบ้าน ที่ให้ความคุ้มครอง และดูแล ความสุขสำราญตลอดทั้งปี รวมถึงเป็นการขอบคุณที่ได้อำนวยผลผลิตการเกษตรที่ได้มาในรอบปีด้วย แต่ละหมู่บ้านจะทำการฉลองกันอย่างพร้อมเพรียงกัน หรือตามวัน และเวลาที่สะดวกของแต่ละ หมู่บ้าน ซึ่งโดยมากจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีประเพณีฉลองปีใหม่ม้งนี้ชาวม้งเรียกกันว่า “น่อเป๊โจ่วฮ์ Nyob zoo xyoo tshab” แปลตรงตัวได้ว่า “กินสามสิบ” สืบเนื่องจากชาวม้งจะนับ ช่วงเวลาตามจันทรคติ โดยจะเริ่มนับตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำ ไปจนถึง 30 ค่ำ ซึ่งตามปฏิทินจันทรคติจะแบ่ง ออกเป็นข้างขึ้น 15 ค่ำ และข้างแรม 15 ค่ำ เมื่อครบ 30 ค่ำ จึงนับเป็น 1 เดือน ดังนั้นในวันสุดท้าย คือ 30 ค่ำของเดือนสุดท้ายหรือเดือนที่ 12 ของปีจึงถือได้ว่าเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ซึ่งในวันปีใหม่นี้ของ ชาวม้งจัดเป็นงานประเพณีที่ชาวม้งรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากจะเป็นการพบปะกันระหว่าง กลุ่มญาติมีประเพณีขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโส เป็นวันที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ ในหมู่บ้านจะได้เลือก คู่ มีการจัดการแข่งขันกีฬาประเพณีและการละเล่นต่างๆ เช่น ลูกข่าง ลูกช่วง ยิงหน้าไม้ นอกจาก การละเล่นที่สร้างความสนุกสนานแล้ว ชาวม้งก็ไม่ลืมที่จะทำพิธีกรรมต้อนรับปีใหม่ซึ่งจัดเป็นพิธีกรรม ที่ชาวม้งให้ความเคารพศรัทธาตามวิถีที่บรรพบุรุษได้สืบทอดกันมา ส่วนประเพณีการกินข้าวใหม่ จะทำกันในเดือนตุลาคมของทุกปี ข้าวใหม่คือข้าวที่ปลูกขึ้นมา เพื่อที่จะเซ่นถวายให้กับผีปู่ผีย่า จะเริ่มเกี่ยวได้เมื่อรวงข้าวสุกแต่ยังไม่เหลืองมาก นำข้าวเปลือกที่นวด เรียบร้อยแล้วมาคั่วให้เม็ดข้าวแข็งและเปลือกข้าวแห้ง เพื่อให้สะดวกในการตำข้าว ในอดีตนั้นนิยมการ ตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง เมื่อตำเสร็จเรียบร้อยก็จะนำข้าวมาหุง เพื่อเซ่นไหว้ผีปู่ผีย่า ทำโดยการนำไก่ ตัวผู้มาเซ่นไหว้ตรงผีประตูก่อน ในระหว่างปีนั้น ชาวม้งทุกเพศทุกวัยต้องทำงานหนักในการทำมาหากินหาเลี้ยงชีพ จึงไม่ค่อย มีโอกาสได้พบใครหรือรู้จักใคร จึงต้องรอจังหวะเวลาที่มีการเฉลิมฉลองปีใหม่ม้ง ถึงจะได้หยุดงาน และแต่งตัวกันอย่างสวยงามออกมาร่วมประเพณี จึงได้พบปะกันและมีกิจกรรมการละเล่นต่าง ๆ ร่วมกัน “ป๋อเค้านะ” หรือโยนลูกช่วง ในประเพณีปีใหม่ม้ง การโยนลูก “เค้านะ” หรือลูกช่วง จึงเป็น กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้หญิงสาวชาวม้งได้รู้จักพูดคุยและเลือกคนรักจากหนุ่ม ๆ ชาวม้งในหมู่บ้าน หรือต่างหมู่บ้าน การจีบกันของหนุ่มสาวชาวม้งในอดีตนั้น การที่หนุ่มจะเข้าไปคุยกับหญิงสาวที่หมายปอง จะต้องทำเป็นการลับที่สุด รอจนกว่าพ่อแม่ฝ่ายผู้หญิงหลับแล้ว จากนั้นค่อยแอบไปกระซิบพูดคุยข้าง ฝาบ้านเท่านั้น หากฝ่ายชายไปคุยอย่างเปิดเผย ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติพ่อแม่ฝ่ายหญิง


5 ขณะเดียวกันหญิงสาวก็จะไม่มีโอกาสได้เลือกหรือเห็นหนุ่มที่เข้ามาคุยเลย จะได้เห็นหน้าก็ต่อเมื่อคุย กันถูกคอถูกใจแล้ว จึงแอบนัดออกมาเจอกันในยามวิกาลเท่านั้น ช่วงการจัดงานปีใหม่ม้ง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะพูดคุยเลือกคู่ครองกันได้ อย่างเปิดเผย โดยฝ่ายหญิงจะเป็นคนทำและถือลูกเค้านะ ที่ทำจากเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บชุดม้ง มาเย็บรวมกันให้เป็นลูกกลมๆ หากหญิงสาวพอใจหรือชอบชายคนใด ก็จะนำเค้านะไปถามแซ่ของฝ่าย ชายก่อน ซึ่งจะต้องคนละแซ่ถึงจะโยนเค้านะได้ การที่หนุ่มสาวจะพูดคุย จีบกันใหม่ ๆ นั้นอาจจะเกิดความเขอะเขินขึ้นมา ฉะนั้นการใช้วิธีโยน ลูก “เค้านะ” จึงเป็น “สื่อกลาง” ที่ดีที่สุดที่ใช้เปิดทางในการชวนคุยและและศึกษาอัธยาศัยกัน การ โยนรับลูกเค้านะกันไปมา หากใครทำตกจะต้องเสียสิ่งของให้อีกฝ่าย และต้องมาขอคืนโดยการไถ่โทษ ด้วยการกระทำที่อีกฝ่ายกำหนด จึงทำให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กันขึ้น หลังจากสิ้นสุดงานปีใหม่ม้ง ก็จะ มีหนุ่มสาวแต่งงานมากมายกันหลายคู่เลยทีเดียว ประเพณีปีใหม่ม้งจึงมีความสำคัญยิ่ง เป็นช่วงเวลา แห่งความสุขที่ชาวม้งทุกคนรอคอย ภาพที่ 2 การโยนลูกช่วง เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้หญิงสาวชาวม้งได้รู้จักพูดคุยและเลือกคนรักจากหนุ่ม ๆ ชาวม้งในหมู่บ้านหรือต่างหมู่บ้าน (ที่มา : https://wisonk.wordpress.com) เทศกาลกินข้าวใหม่ ของชาวม้งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่จัดสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล โดยจะ จัดขึ้นในช่วงที่ข้าวที่แต่ละบ้านได้ปลูกไว้นั้นเริ่มทยอยสุก ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม โดย ชาวม้งจะมีความเชื่อว่าจะต้องนำข้าวที่ออกใหม่มาเลี้ยงบรรพบุรุษหรือที่เรียกว่า ผีปู่-ผีย่า ของตนใน แต่ละครอบครัวก่อน โดยนับถือกันว่า ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ผีปู่-ผีย่า ได้ดูแลครอบครัวเป็น อย่างดี ได้คุ้มครองให้ข้าวที่ปลูกไว้ออกมาอุดมสมบูรณ์ และเพื่อจะได้ดลบันดาลให้การเพาะปลูกข้าว ในปีต่อ ๆ ไปให้ได้ผลผลิตดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก


6 พิธีจะเริ่มจากการเกี่ยวรวงข้าวที่เริ่มสุกแต่ยังไม่เหลืองมาก ต้องเกี่ยวตอนที่รวงข้าวมีสีเขียว ปนเหลือง เมื่อเกี่ยวเสร็จก็จะนำมานวดให้ข้าวเปลือกหลุดออกจากรวงโดยไม่ต้องตากให้แห้ง นำ ข้าวเปลือกที่นวดเรียบร้อยแล้ว มาคั่วให้เม็ดข้าวแข็งและเปลือกข้าวแห้ง แล้วนำมาตำเพื่อกะเทาะ เปลือกข้าวออก เมื่อตำเสร็จเรียบร้อยนำข้าวมาฝัดในกระดุ้งเพื่อแยกเปลือกออกจากเม็ด แล้วนำมาหุง เพื่อเซ่นไหว้ ผีปู่-ผีย่า ซึ่งเครื่องเซ่นไหว้นั้น นอกจากข้าวใหม่แล้ว ยังมีการต้มไก่ปรุงรสประกอบด้วย ภาพที่ 3 เทศกาลกินข้าวใหม่ ของชาวม้งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่จัดสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล โดยจะจัดขึ้นใน ช่วงที่ข้าวที่แต่ละบ้านได้ปลูกไว้(ที่มา : https://wisonk.wordpress.com) พิธีกรรมก็คือ จะตักข้าวใหม่ 1 ถ้วยและต้มไก่ 1 ถ้วย เอาช้อน 10 คันใส่ถ้วยไว้ในถ้วยข้าว และถ้วยต้มไก่ ที่วางบนแท่นพิธีกรรม โดยขณะทำพิธีต้องสวดบทสวดเพื่อที่บอกให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับ ถือได้รับรู้และมารับเครื่องเซ่นไหว้ที่ลูกหลานจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อเสร็จพิธีกรรม เจ้าภาพก็จะเชิญผู้อาวุโสหรือผู้ที่ตนเคารพนับถือให้มาร่วมทานอาหาร และกล่าว อวยพรสิ่งดีงามต่าง ๆ ให้แก่เจ้าภาพ จากนั้นก็จะมีการดื่มเหล้าจากเขาวัว ซึ่งเป็นประเพณีจะทำควบคู่กับกินข้าวใหม่ โดยจะดื่ม 4 รอบ รอบ แรกหมายถึง การร่วมโต๊ะ รอบที่ 2 เจ้าภาพแสดงการต้อนรับ รอบที่ 3 เข้าสู่ประเพณี รอบ ที่ 4 หมายถึงการผูกสัมพันธ์ไมตรีอันลึกซึ้ง โดยเจ้าภาพจะเป็นผู้รินเหล้าให้แขกทุกคนดื่มด้วยตัวเอง


7 วิถีชีวิตลักษณะบ้านเรือน ชาวม้งชอบตั้งบ้านเรือนอยู่บนภูเขาสูงที่มีอากาศเย็น ห่างไกลจากหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าอื่น พื้นที่ที่ปลูกสร้างบ้านเรือนนั้น เป็นพื้นที่ลาดลงมาจากยอดเขาคล้ายหลืบเขา ไม่ชันนัก อยู่ใกล้กับต้น น้ำ หรือลำธารสามารถไปตักน้ำขึ้นมาหรือต่อรางไม้ไผ่ลงมาใกล้กับตัวหมู่บ้านได้สะดวก บ้านเรือน ปลูกเป็นโรงติดกับพื้นดิน ยกพื้นสูงเพียงที่นอน นอกนั้นเป็นพื้นดิน ฝาเรือนใช้ไม้ฟากตั้ง พวกมีฐานะดี ใช้ไม้กระดาน ซึ่งตอกลิ่มทำเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาตอกลึกลงไปในดินราว 1 ศอก ตั้งเรียงกันขนาบ ด้วยไม้ไผ่ข้างล่าง ข้างบน ส่วนหลังคานั้นใช้ไม้ไผ่ผ่าครึ่งตามทางยาว เลาะข้อออกวางประกบคว่ำ อันหนึ่ง หงายอันหนึ่ง บางหมู่บ้านมุงหลังคาด้วยใบคาหรือใบก้อ ภายในบ้านมีเตาไฟอยู่บนพื้นดินตรง กลางสำหรับผิงไฟ วางน้ำชา ใช้เป็นที่รับแขกกับมีเตาไฟใช้ดินก่อสำหรับวางกระทะต้มผักให้หมูและใช้ ทำอาหารด้วย ครกตำข้าวอยู่ในบ้านทางด้านหน้า ข้างๆครกยกสูง 1 ศอกแบ่งเป็น 3-4 ห้องต้องอยู่ ระหว่างประตูหน้ากับประตูหลังบ้าน การปลูกสร้างบ้านเรือนของชาวม้งต่างคนต่างทำมักไม่ช่วยเหลือ นัก นอกจากเป็นญาติพี่น้องบุตรหลานที่สนิทเท่านั้น แบบแปลนบ้านเรือนชาวม้งคล้ายคลึงกัน ถ้ามีสมาชิกภายในครอบครัวมากก็จะต่อเติมบ้าน เดิมโดยการสร้างยาวต่อออกไป บางหลังมีเพียง 2 คน สามีภรรยาปลูกเป็นโรงสี่เหลี่ยม มีประตูเดียว เตาไฟอยู่ติดประตูส่วนที่นอนยกพื้นสูงจากพื้นดินเล็กน้อย มีฝากั้นรอบหรือไม่มีฝากั้นห้องนอนก็ได้แต่ ตัวฝาบ้านนั้นสำหรับผู้ยากจนใช้เพียงไม้ฟากสับแผ่ตั้งเรียงต่อกันไป โดยไม่มีไม้ไผ่ขนาบเป็น 3 ตอน ติดกับตัวบ้านเป็นโรงม้า, คอกหมู, เล้าไก่ สร้างด้วยไม่ไผ่เรียงรายข้างนอก ไม่มีรั้วบ้านหรือรั้วหมู่บ้าน อย่างชาวก้อ ส่วนมากไม่นิยมต่อท่อหรือรางไม้ไผ่นำน้ำมาจากที่สูงมาใช้ภายในหมู่บ้านอย่างชาวเย้า ชาวลีซอ การตักน้ำแทนที่จะเอาน้ำเต้าหรือกระบอกไม้สั้นๆขนาด 2 ฟุต ใส่ตะกร้าสะพายไปตักน้ำใน ลำธาร หรือแอ่งน้ำ ชาวม้งใช้กระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ซึ่งชาวเหนือเรียก “ไม้หก” ยาว 4 ฟุต ทะลุข้อ ข้างในออก สะพายบนหลังโดยไม่ใช้บรรจุในตะกร้า 2กระบอกเดินลงไปตักน้ำจากลำธาร ภาพที่ 4 ลักษณะภายนอกบ้านของชาวม้ง ปลูกเป็นโรง ติดกับพื้นดินยกพื้นสูงเพียงที่นอน นอกนั้นเป็นพื้นดิน (ที่มา : https://identitynan.com/archives/841)


8 กลุ่มชาติพันธุ์ย่อยชนเผ่าม้ง ชาวม้งในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 เผ่า คือ ม้งขาว ม้งดำ กับ ม้งลาย ทั้ง 3 เผ่านี้มีภาษา วัฒนธรรม และขนบประเพณีความเป็นอยู่คล้ายคลึงกันมากจนแทบไม่ทราบว่าเป็นชาวม้งเผ่าไหน จะ แตกต่างกันบ้างก็เพียงเครื่องแต่งกาย ภาพที่ 5 เสื้อของผู้หญิงม้งขาว เป็นเสื้ออแขนยาวสีดำ มีแถบสีขาวหรือสีฟ้าอ่อน ติดที่ปลายแขนเสื้อ แต่ถ้าเป็นเสื้ออที่สวมในโอกาสพิเศษจะประดับด้วยยลายปักที่คอเสื้อกับปลายแขนเสื้อ (ที่มา : http://www.cmruir.cmru.ac.th/bitstream/123456789/660/5/Chapter2.pdf) ชาวม้งขาว (White Hmong) ทั้งชายหญิง มีแถบผ้าสีขาวหรือสีฟ้าอ่อน ติดทาบอยปู่ ลาย แขน เสื้อ ผู้หญิงสวมกระโปรงสีขาวไม่มีลวดลาย แต่กระโปรงสีขาวนี้สงวนไว้สวมในโอกาสพิเศษ เท่านั้น แต่หากเป็นเวลาปกติสวมกางเกงขายาวทรงหลวมแทน 12 ชาวม้งขาวมีจำนวนมากกว่าม้งดำ และม้งลาย กลุ่มที่อาศัยอยู่นดอยปุย อำเภอหางดงจังหวัดเชียงใหม่ ใกล้กับพระธาตุดอยสุเทพเป็นม้ง ขาว กลุ่มนี้อาศัยอยู่ทั่วไปในจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, น่าน, แพร่, ตาก ฯลฯ


9 ภาพที่6 กระโปรงของม้งขาว เป็นกระโปรงพลีทสีขาวล้วน ไม่มีลวดลายใดๆ แต่มีไว้ สำหรับสวมในโอกาสพิเศษเท่านั้น (ที่มา : https://web.facebook.com ) ภาพที่ 7 สาวชาวม้งขาวจะสวมกางเกงขายาวตัวหลวมสีดำ แทนกระโปรงพลีทสีขาว สำหรับวันปกติ(ที่มา : https://wisonk.wordpress.com) ชาวม้งดำ (Blue Hmong) ชอบแต่งกายด้วยชุดสีดำมากกว่าสีอื่น ผู้ชายสวมเสื้อเปิดให้เห็น ท้อง ผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาวตัดด้วยผ้าฝ้ายหรือผ้ากำมะหยี่สีดำ ผ่าหน้า เสื้อผ้าสำหรับโอกาสพิเศษ ตกแต่งด้วยลายปักที่คอเสื้อยาวลงมาจนถึงเอว ชอบตั้งบ้านเรือนอยู่ตามพรมแดนไทย และมีอย่าง ประปรายในเขตจังหวัดเชียงราย, เชียงใหม่, น่าน ฯลฯ


10 ภาพที่ 8 ชาวม้งดำจะเห็นได้ว่าผู้ชายสวมเสื้อเปิดให้เห็นท้อง ผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาวสีดำ ผ่าหน้า เสื้อผ้าสำหรับ โอกาสพิเศษตกแต่งด้วยลายปัก ที่คอเสื้อยาวลงมาจนถึงเอว ผู้หญิงมวยผมเป็นก้อนกลมไว้ด้านบนศีรษะเฉียง มาทางด้านหน้า (ที่มา : http://www.cmruir.cmru.ac.th) ชาวม้งลายผู้ชายสวมเสื้อยาวถึงเอวไม่เปิดพุงอย่างผู้ชายม้งขาว ม้งดำ กางเกงสีดำ ถึงตาตุ่ม เป้ากาง ผู้หญิงสวมกระโปรงจีบเป็นดอกสีเหลืองสีขาวเล็กๆ โพกศีรษะด้วยผ้าลาย มีอยู่ในตำบลบ่อ หลวง อำเภอฮอด, อำเภออมก๋อย, อำเภอสะเมิง, อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอปาย, อำเภอ เมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และชายแดนจังหวัดน่าน ม้งลายในแขวงเชียงขวาง, แขวงซา เหนือนั้นผู้หญิง มีแขนเสื้อพาดแถบลายเป็นบั้งๆ บางคนสวมเสื้อลายดอก


11 การแต่งกายชนเผ่าม้ง สีดำเป็นสีที่ชาวม้งทั้งชายหญิงใช้เป็นเครื่องแต่งกายมากกว่าสีขาวและดอกลวดลาย นักเขียน ชาวยุโรปบางท่านว่ามีชาวม้งเขียว (The green Meo) และชาวม้งสีน้ำเงิน (The blue Meo) ใน ประเทศไทย แต่นามนี้ใช้เรียกเฉพาะชาวม้งดำ ซึ่งผู้ตั้งนาม “ชาวม้งดำ” คือชาวไทยในภาคเหนือและ ชาวลาวตอนเหนือ ของประเทศลาวไม่ใช่ชาวจีน ชาวเขาเผ่าอื่นในมณฑลยูนานหรือในรัฐฉานของพม่า ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า เสื้อผ้าที่ชาวม้งใช้ต้องเป็นสีดำ อย่างเดียวกันกับชาวมูเซอดำ , ชาวก้อ, ชาวเย้าใช้ จะเป็นสีน้ำเงิน, สีฟ้า, สีเขียวนั้นเป็นไปไม่ได้เป็นความจริงที่ชาวม้ง หรือชาวเขาเผ่าอื่นใช้ใบฮ่อมหมัก ย้อมผ้าเป็นสีน้ำเงินในครั้งแรก แต่เมื่อย้อมหลายครั้งเข้าจะเปลี่ยนสีน้ำเงินดำ หรือเรียกว่า dark blue ถ้านำไปหมักในดำโคลน หรือลูกไม้บางชนิดก็กลายเป็นสีดำมากกว่าสีน้ำเงิน ไม่ปรากฏมีสีเขียวหรือสี น้ำเงินเหลือเลย ปัจจุบันมักซื้อผ้าดำนำไปตัดเย็บเสื้อผ้าบางคนใช้ผ้าแพรไหมสีดำขึ้นเงามันด้วยซ้ำไป ไม่ค่อยทอผ้าเองอย่างแต่ก่อน เสื้อของผู้ชายตัดเย็บรัดตัวแขนยาวถึงข้อมือ พวกชาวม้งลายไม่ติดแถบผ้าสีขาวปลายแขนเสื้อ แต่ชาวม้งขาวบางคนติดแถบผ้าสีขาวขนาด 2-3 นิ้ว ปลายแขนเสื้อตัว เสื้อของผู้ชายชาวม้งดำยาวลง มาจากต้นคอถึงร่องกลางหน้าอก เปิดให้เห็นท้องแสดงถึงความสมบูรณ์ของร่างกาย เป็นความงาม อย่างหนึ่งของผู้ชายที่ผู้หญิงชาวม้งนิยมชมชอบ ผู้ชายอาวุโสไม่ยอมเปิดท้องกว้างให้เห็นถนัดอย่างชาย หนุ่ม แต่ยังเว้นช่องว่างเหนือชายพกกางเกงขนาดกว้าง 2 นิ้วไว้ส่วนชายชาวม้งลายนั้นไม่เปิดเสื้อให้ เห็นท้องหรือพุงอย่างชาวม้งขาวและชาวม้งดำ เสื้อของชาวม้งผ่าอกข้างจากต้นคอมาทางเอวซ้าย มากกว่าทางเอวขวานิดเดียวคือยังไม่ถึงเอวข้างทีเดียวเสื้อของชาวม้งรัดตัวมากกว่าเผ่าอื่น ภาพที่ 9 เสื้อของผู้ชายชาวม้งแบบต่างๆตัวเสื้อมักจะสั้นแขนยาว ตัดด้วยผ้าสีดำ ตกแต่งด้วยผ้าปักและผ้าสีต่างๆ (ที่มา : https://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html) กางเกงของผู้ชายมีลักษณะเดียวกับกางเกงของชาวจีน คือมีความยาวถึงข้อเท้า มีเป้ากว้าง ตัดอย่างหลวมๆหย่อนยานเทิบทาบ ชาวม้งขาวบนดอยทุ่งก่อจังหวัดเชียงราย จะสวมกางเกงไม่หลวม มากอย่างชาวม้งขาวแถบจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ชายหนุ่มนิยมคาดเอวด้วยผ้าผืน


12 ใหญ่สีแดง บางคนใช้ผ้าดอกลวดลายคาดเอวแทน แต่ปล่อยชายผ้า 2 ข้างตวัดมาปกข้างหน้าประมาณ 1 ฟุต หรือ 1 ฟุตครึ่ง ภาพที่ 10 กางเกงผู้ชายชาวม้งตัดเย็บด้วยผา้สีดำ ยาวถึงขอ้เท้า เป้ากางหย่อนลงมาจน เกือบถึงขอ้เท้าปลายขาตกแต่งด้วยลายปัก (ที่มา : http://dandinth.com/H-0510-4T.HTM) ภาพที่ 11 ผ้าคาดเอวของผู้ชายทำเป็นแถบกว้างประมาณ 5 นิ้วเมื่อผูกที่เอวแล้วจะห้อย ชายทั้งสองข้างลงมาด้านหน้า ปลายทั้งสองข้างมักประดับด้วยผ้าปัก (ที่มา : http://dandinth.com/H-220T.HTM)


13 ปัจจุบันผู้ชายชาวม้งในเขตจังหวัดเชียงใหม่, จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะพวกชาวม้งลาย นิยมใช้เข็มขัดเงินคาดทับบนผ้าคาดเอวแล้วมีชายผ้าเป็นดอกลวดลายห้อยลงมาปิดข้างหน้าเป็นรูป สามเหลี่ยม 2 มุมบนกางเกงตรงข้างหน้า ต่างกับพวกชาวม้งทางด้านทิศตะวันออกติดกับเขตประเทศ ลาว ภาพที่ 12 ปัจจุบันผู้ชายชาวม้งในเขตจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน นิยมคาดเข็มขัดเงินทับผ้าคาดเอว (ที่มา : https://twitter.com/EMBEERLy/status/1491777101384404993) หมวกของผู้ชายที่ผู้ชายชาวม้งนิยมสวมเป็นประจำนั้น รูปทรงของหมวกมีลักษณะอย่าง กะลามะพร้าวทำด้วยผ้าสีดำ มีพู่สีแดงบนยอดหมวก ผู้ชายชาวม้งจึงมีที่สังเกตได้ง่ายว่าแตกต่างกับ ผู้ชาย ชาวเขาเผ่าอื่นตรงสวมหมวกกลมๆ สวมกำไลคอหรือห่วงโลหะเงิน เสื้อรัดตัดผ่าอกมาทางเอว ซ้ายมากกว่าทางขวา เปิดให้เห็นพุง มีผ้าคาดเอวหรือเหน็บเอว หมวกสีดำกลมๆอย่างกะลามะพร้าว นั้น ไม่ใช่เป็นเครื่องแต่งกายประจำเผ่าของผู้ชายชาวม้งดั้งเดิม เป็นแบบของผู้ดีชาวจีนใช้สวมทั่วไปใน มณฑลยูนนาน, กวางสี, ไกวเจา ฯลฯ ชาวม้งอาศัยอยู่ในดินแดนเหล่านั้นมานานจึงนำเอามาใช้ เพราะ ง่ายกว่าการโพกผ้าเพียงหยิบขึ้นสวมได้ทันทีเวลาไม่ต้องการใช้ก็พับสอดเหน็บไว้ที่เอวหรือแขวนไว้ข้าง


14 ฝา หมวกของชาวม้งแท้จริงนั้น ใช้ผ้าลายผืนกว้างประมาณ 1 คืบไม่ยาวมากนัก ทำเป็นถุงกระสอบ หรือกระทอเล็กๆสวมบนศีรษะทั้งผู้หญิงผู้ชาย สำหรับชายหนุ่มบางคนมีเหรียญเงินห้อยที่หมวกนี้ด้วย ภาพที่ 13 หมวกของผู้ชายชาวม้ง ซึ่งเลียนแบบมาจากผู้ดีชาวจีน (ที่มา : Peoples of the Golden Triangle) ห่วงคอเงิน เป็นเครื่องประดับกายซึ่งทุกคนขาดไม่ได้ไม่ว่าชายหรือหญิงแสดงถึงฐานะ และ เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวม้ง ชายหนุ่มบางคนสวมห่วงคอโลหะเงินซ้อนๆกัน 4-5 อัน ห่วงคอ อันหนึ่งใช้เงินเหรียญรูปีหลอมหล่อตกราว25 ถึง 30 เหรียญรูปีทำด้วยโลหะเงินแท้บางคนทำห่วงคอ เงิน เรียงรายติดกันเป็นชั้นๆ ถึง 4-5 ห่วง ตรงปลายมีสายโซ่เงินห้อยลงมาแขวนแผ่น โลหะเงิน สี่เหลี่ยมไว้ที่หน้าอก พวกอยู่ในเขตประเทศลาวทำโซ่เล็กๆคล้องห้อยลงมานับสิบกว่าสายผู้ชายสูงอายุ หรือมีภรรยาแล้ว ไม่นิยมประดับเครื่องแต่งกายมากอย่างชายหนุ่ม มักสวมห่วงคอเงินเพียง1 อันหรือ 2 อันเท่านั้น


15 ภาพที่ 14 ชายหนุ่มที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีจะสวมห่วงคอเงินที่เรียงต่อกันหลายๆชั้นบาง คนมีสายโซ่เงินเล็กห้อยลงมาแขวนแผ่นโลหะต่อจากห่วงนั้นอีกนับสิบสาย (ที่มา : https://pebhmoob.home.blog) อาวุธประจำตัวของผู้ชายม้ง คือมีดสั้นใส่ฝักเหน็บไว้ตรงเอวด้านหน้า หรือตรงชายพกกางเกง มีดพร้า ใส่ในฝักหวายเหน็บข้างหลังเวลาไปไร่ ดาบยาวใช้ติดตัวเดินทางไปหัวเมืองไกลทางด้านพม่า ชาวม้งถนัดในการร่ายรำดาบยาวโดยเลียนแบบมาจากชาวไทยใหญ่ในเขตรัฐฉานของพม่า ปืนแก๊ปทำ เองด้วยด้ามร่มเหล็กหรือท่อเหล็กยาวๆ รูปร่างเล็กยาวมองไกลๆ คล้ายไม้เท้ามีหัวโค้งงอใช้ในการยิง สัตว์ป่าเช่น ชะนี, ลิง, ไก่ป่า ฯลฯ นอกจากนี้มีหน้าไม้ใช้อย่างเดียวกับปืนแก๊ป การแต่งกายของผู้หญิงชาวม้ง สวมผ้าถุงรูปทรงกระสอบบนศีรษะอย่างเดียวกับผู้ชาย แต่ใช้ ผ้าสีดำ หรือเป็นลายดอกลวดลาย หรือริ้วตั้งตรงขึ้นไปหลายสี บางคนมีโลหะเงินทำเป็นแท่งกลมเล็ก ยาวโค้งลงมาจากศีรษะหลังลงมายังต้นคอข้างหลัง บางทีสวมถุงผ้าลายเป็นรูปปลายแหลมข้างบน เสื้อสีดำแขนยาวถึงข้อมือข้างหลังมีปกผ้าลายสี่เหลี่ยมปิดประมาณ 1 คืบอย่างปกเสื้อข้าง หลัง มีกำไลแขนใส่ซ้อนกันหลายอัน เสื้อยาวปิดเอวไม่เปิดทอ้งอวดพุงอย่างผู้ชาย ผ่าอกกลางแต่ติด แถบผ้าสีขาวริมของเสื้อขนาด 2-3 นิ้ว แล้วทับซ้อนไขว้เล็กน้อยโดยมีเข็มกลัดที่หน้าอก ผู้หญิงที่มีเด็ก อ่อน ไม่ยอมกลัดเข็มกลัดที่หน้าอกมักปล่อยให้เปิดเห็นถัน เผื่อเวลาเด็กหิวจะได้เปิดให้กินนมง่าย


16 ภาพที่ 15 การแต่งกายของผู้หญิงชาวม้ง สวมเสื้อแขนยาวสีดำยาวถึงเอว และกระโปรง พลีทย้อมด้วยฮ่อม ตกแต่งชายกระโปรงด้วยผ้าปัก มักจะพันแข้งด้วยผ้าสีดำ เพื่อป้องกัน ความหนาวและรอยขีดข่วนเมื่อต้องทำงานในไร่ (ที่มา : https://www.pinterest.com) ผู้หญิงชาวม้งขาวสวมกางเกงสีดำขายาวอยู่กับบ้าน หรือเวลาทำงาน ส่วนกระโปรงสีขาวจีบ รอบเอวสั้นแค่หัวเข่านั้นมักสวมในเวลาเข้าไปในเมืองหรือเวลามีงานพิธีต่างๆ ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ เพราะ เปื้อนง่าย ผู้หญิงชาวม้งลายสวมกระโปรงเป็นดอกลวดลาย นอกจากนี้มีแผ่นผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าปิดจาก เอวด้านหน้า คล้ายผ้ากันเปื้อนของแม่ครัวชาวยุโรป ปล่อยยาวลงไปถึงหน้าแข้ง ผ้าผืนนี้เย็บแถบริมผ้า กว้างประมาณ 4-5 นิ้วด้วยสีขาวหรือสีดำ รอบทั้ง 4 ด้านตรงกลางเป็นผ้าสีดำ หรือสีขาวกว้างขนาด เดียวกันทั้งหมดอยู่บนผ้าชิ้นเดียว บางคนใช้ผ้าตรงกลางเป็นดอกลวดลายต่างๆ มีผ้าคาดเอวสีแดง หรือผ้าลายทับเอวโดยรอบ


17 ภาพที่ 16 ผู้หญิงชาวม้งขาวมักสวมกางเกงขาวยาวตัวหลวมสีดำ แทนกระโปรงพลีท สีขาวที่จะเก็บไว้สวมใส่ในโอกาสสำคัญเท่านั้น เนื่องจากกระโปรงสีขาวเปื้อนได้ง่าย (ที่มา : http://lib.payap.ac.th/webin/ntic/Hmong.htm) ผู้หญิงใช้ผ้าพันแข้งสีขาวหรือสีดำ ไม่สวมรองเท้า เครื่องแต่งกายเหล่านี้แตกต่างกันไปเพียง เล็กน้อยส่วนตุ้มหูใช้อย่างเดียวกับผู้หญิงชาวเย้าคือทำเป็นวงกลมเล็กๆ มีลูกศรตรงกลางทำด้วยโลหะ เงิน กระโปรงผู้หญิงชาวม้งนั้น ใช้ทอด้วยต้นป่านชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า “ปาง” แล้วจีบรูด ดอก ลวดลายที่เห็นบนกระโปรง ผ้าปิดใต้เอวข้างหน้า หรือหมวกผ้าทรงกระสอบนั้น ไม่ได้ปักอย่างชาวเย้า มีปักบ้างเพียงส่วนน้อย นอกนั้นใช้ย้อมเป็นดอกลวดลาย วิธีทำผ้าดอกลวดลายนี้เขาใช้เขียนด้วยขี้ผึ้ง อุ่นไฟลง บนผ้าราว 4-5 วันแล้วนำไปย้อมสี ส่วนที่ไม่ได้ถูกขี้ผึ้งจะจับสีดำ หรือสีอื่นๆ ศิลปะการเขียน ลวดลายนี้มีลักษณะอย่างจีน ภาพที่ 17 กระโปรงของผู้หญิงชาวม้งตัดเย็บด้วยผ้าที่ทอขึ้นเองจากต้นกัญงชง ความยาวพอดีเข่านำมา เขียนลายเทียน แลย้อมด้วยใบห้อม ตกแต่งด้วยผ้าปัก ที่ชายกระโปรงและเศษผ้าชิ้นเล็กที่ตัวประโปรง (ที่มา : https://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html)


18 บุคลิกภาพและภาพลักษณ์ของชนเผ่าม้ง ชาวม้งเป็นกลุ่มคนที่รักอิสรภาพและเสรีภาพ ชาวม้งมีจิตสำนึกว่าตนเองเกิดมาในพื้นที่กว้าง ใหญ่ไพศาลแห่งเทือกเขาโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ มาปิดกั้นไว้ ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีชาวม้ง ดำเนินชีวติด้วยจิตแห่งอิสระภาพ ชาวม้งยึดถือคุณค่าของเสรีภาพและความเป็นตัวตนม้ง เหนือกว่า ชีวิตที่ดำรงอยู่อย่างสะดวกสบายและพร้อมจะทำสงครามถ้าเสรีภาพถูกคุกคาม หรือพร้อมจะร่วม สงครามเป็นพันธมิตรกับผู้ที่สัญญาว่า จะให้เสรีภาพในการดำเนินชีวิตและการจัดการเศรษฐกิจของ ตน เมื่อใดก็ตามที่ถูกบังคับกดขี่จากผู้ปกครองดินแดน ชาวม้งจะลุกขึ้นทำการก่อกบฏ ดังปรากฏ หลายครั้งในประวัติศาสตร์จีน แต่ละครั้งได้รับการปราบปรามอย่างหนัก โดยเฉพาะกบฏไถ้ผิง กบฏธง แดง-ธงขาว (ค.ศ. 1856-1872) และกบฏฮ่อธงดำนั้นส่งผลโดยตรงต่อการอพยพของชาวม้งจาก ประเทศจีนเข้าสู่บริเวณภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ลาวไทยและพม่า ชาวม้งเป็นกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่ามีไมตรีสัมพันธ์และพร้อมที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้าผู้มาเยือน แต่หากเกิดความขัดแย้ง หรือแย่งชิงพื้นที่เพาะปลูก ชาวม้งก็พร้อมที่จะต่อสู้อย่างดุร้าย ความไม่ ไว้วางใจระหว่างคนไทยในภาคเหนือของประเทศไทยต่อชาวม้ง มีปรากฏอยู่ยาวนานตราบจนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีทรงให้ความสนพระทัยต่อชาวม้ง จึงทำให้สถานการณ์ต่างๆพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นไปตามลำดับ ภาพลักษณ์ทั่วไปที่คนไทยมีต่อชาวม้งว่า เป็นผู้ปลูกผู้เสพ และผู้ค้าฝิ่นที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง เริ่มเปลี่ยนไปในปลายศตวรรษที่20 ชาวม้งย้ายภูมิลำเนามาอยู่ในพื้นที่ที่มีความสูงน้อยลง และแม้ว่า จะมีบางกลุ่มลักลอบปลูกฝิ่น แต่ชาวม้งจำนวนมากปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชผัก พืชเศรษฐกิจที่ปลูกได้แก่ กาแฟ ผัก และไม้ผลเมืองหนาวด้วยจิตวิญญาณของการค้นหาความมั่งคั่ง ให้กับตนเองของชาวม้งที่มี ติดตัวมาตั้งแต่โบราณ ทำให้ชาวม้งมีความชำนาญในการเป็นผู้ค้ารายย่อยอยู่ในตลาดสำคัญๆใน ภาคเหนือ


19 บรรณานุกรม เกศินี ศรีรัต. (2544) ภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ม้ง. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา https://shorturl.asia/nXghV 18 สิงหาคม 2566 วิศัลย์ โฆษิตานนท์. (2565). ประเพณีชนเผ่าม้ง . [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา https://shorturl.asia/FlbK1. 18 สิงหาคม 2566


20 ภาพผนวก


21 ภาพที่ 1 ประเพณีฉลองปีใหม่ม้ง ภาพที่ 2 การโยนลูกช่วง ภาพที่ 3 เทศกาลกินข้าวใหม่


22 ภาพที่ 4 ลักษณะภายนอกบ้านของชาวม้ง ภาพที่ 5 เสื้อของผู้หญิงม้งขาว ภาพที่ 6 กระโปรงของม้งขาว


23 ภาพที่ 7 สาวชาวม้งขาว ภาพที่ 8 ชาวม้งดำ ภาพที่ 9 เสื้อของผู้ชายชาวม้ง


24 ภาพที่ 10 กางเกงผู้ชายชาวม้ง ภาพที่ 11 ผ้าคาดเอวของผู้ชาย ภาพที่ 12 ปัจจุบันผู้ชายชาวม้งในเขตจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน


25 ภาพที่ 13 หมวกของผู้ชายชาวม้ง ภาพที่ 14 ห่วงคอเงิน ภาพที่ 15 การแต่งกายของผู้หญิงชาวม้ง


26 ภาพที่ 16 ผู้หญิงชาวม้งขาว ภาพที่ 17 กระโปรงของผู้หญิงชาวม้ง


27


Click to View FlipBook Version