The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lukkay2548, 2022-02-17 03:41:07

หนังสือ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

หนังสือ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

คำนำ

หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book)
เรื่อง 7 Wonders of the world โดยจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนรู้และผู้ที่สนใจทุกคน
ได้ศึกษาค้นคว้า และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
รวมทั้งเพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่มา แหล่งกำเนิด ของสถานที่ต่าง ๆ
ที่อยู่บนโลก ในสถานที่ที่เราไม่เคยได้ยินและไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ดังนั้นเพื่อเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ จึงได้มีการจัดทำโครงงาน
หนังสือในรูปแบบของ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( E - Book ) ทั้งนี้การจัดทำหนังสือในรูปแบบ
ดังกล่าว สามารถทำงานได้อย่างง่าย ไม่ซับซ้อน โดยที่ทุกคนทุกวัยสามารถใช้งานได้
อันเป็นผลทำให้เกิดการเรียนรู้ในโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว สะดวกสบาย

สมาชิกโครงงานกลุ่มที่ 1
ผู้จัดทำ

สารบัญ 01 - 07

7 Wonders ม ห า พี ร ะ มิ ด
of แ ห่ ง กิ ซ า
the world
08 - 16
" 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก "
สวนลอย
กล่าวถึงสถานที่ ความชื่อ และค่านิยม เ เ ห่ ง บ า บิ โ ล น
ของผู้คนนับตั้งแต่อดีต
จนมาถึงปัจจุบัน 17 - 19

By : Group 1 เ ท ว รู ป ซู ส
แ ห่ ง โ อ ลิ ม เ ปี ย

20 - 26

วิหารอาร์ทิมีส

27 - 31

สุ ส า น แ ห่ ง
ฮ า ลิ ค า ร์นั ส ซั ส

32 - 35

เ ท ว รู ป โ ค โ ล ส ซู ส
แ ห่ ง เ ก า ะ โ ร ด ส์

36 - 41

ประภาคาร
ฟาโรส

THE GREAT PYRAMID OF GIZA

ม ห า พี ร ะ มิ ด
แ ห่ ง กิ ซ า

โบราณสถานอั นเก่ าแก่

The Great Pyramid of Giza

ประวัติ ศาสตร์และ ความเป็นมาของสถานที่
อั นเก่ าแก่ นับพันปี

2

พี ร ะ มิ ด
แ ห่ ง เ มื อ ง กิ ซ า




พีระมิด สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ
ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย

ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่จำเป็น สำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สิน
และสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบ
เป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติของปิรามิดได้แก่เพชร พลอย

อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรล่าสัตว์

3

พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า
มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza)
เป็นพีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด

ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้น
ในสมัยฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งราชวงศ์ที่ 4
ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล
หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ
ไว้รอการฟื้นคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น
โดยมหาพีระมิดแห่งนี้ได้รับการยกย่องจากผู้คนทั่วโลก
ให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว
ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

วิ ธี ก า ร ส ร้ า ง 4

ม ห า พี ร ะ มิ ด แ ห่ ง กิ ซ า

วิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้างในระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ระหว่างการก่อสร้างคืออีกส่วนหนึ่งที่เป็นปริศนา แนวคิดแรกเริ่มเชื่อกันว่า

ชาวอียิปต์โบราณใช้วิธีสร้างทางลาดบริเวณด้านข้างของพีระมิด
และชักลากหินขึ้นตามทางลาดที่ก่อสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ตามความสูงของระดับการก่อสร้างจนถึงจุดสูงสุดยอด
และเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจึงทำการรื้อทางลาดดังกล่าวออก
คงเหลือไว้แต่ พีระมิด ที่สร้างเสร็จ ถ้าแนวคิดนี้เป็นจริงสิ่งก่อสร้างใหญ่ที่สุด
ในโลกยุคนั้นอาจไม่ใช่พีระมิดคูฟู แต่อาจเป็นทางลาดสูงเท่าตึก 40 ชั้น
ที่ใช้ก่อสร้างพีระมิดแทน มีแนวคิดอื่น ๆ เสนอว่าทางลาดดังกล่าว
อาจไม่ได้สร้างอยู่ด้านใดด้านหนึ่งข้างพีระมิด แต่อาจสร้างเป็นทางวนรอบ
พีระมิดแทน หรืออาจบางทีแต่ละชั้นของพีระมิดนั่นเองคือทางที่ใช้ชักลากหิน
ขึ้นสู่ชั้นถัดไป ผ่านทางลาดขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างแต่ละชั้น

5

เนื่องจากเทคโนโลยีในขณะนั้นยังไม่มีระบบปั้นจั่นไม่รู้จักแม้กระทั่งล้อเลื่อน
และไม่มีหลักฐานการใช้พาหนะที่ลากด้วยแรงสัตว์ ดังนั้นในการเคลื่อนย้ายหิน
จึงใช้แรงงานคนลากเข็นไปบนแคร่ไม้ โดยมีการราดน้ำเพื่อช่วยลดแรงเสียดทาน
การเคลื่อนย้ายวัตถุน้ำหนักมาก ๆ ด้วยวิธีนี้มีหลักฐานเป็นภาพแกะสลักนูนต่ำ
บนฝาผนังหิน ซึ่งแสดงการเคลื่อนย้ายเทวรูปหินขนาดใหญ่ด้วยแรงคนนับร้อย



วิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้างในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างการก่อสร้างคือ

อีกส่วนหนึ่งที่ยังคงเป็นปริศนา มีแนวคิดหลายข้อที่ให้เหตุผลของวิธีการนี้
ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อที่ว่าชาวอียิปต์โบราณใช้วิธีสร้างทางลาดบริเวณด้านข้าง

ของพีระมิด และชักลากหินขึ้นตามทางลาดที่ก่อสูงขึ้นเรื่อย ๆ
จนถึงจุดยอดของพีระมิด



แม้จะยังไม่มีข้อสรุปถึงวิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้าง
แต่การประกอบหินแต่ละก้อนสามารถสรุปได้ว่าผ่านการตัดแต่งอย่างปราณีต
แบบก้อนต่อก้อน เนื่องจากแต่ละก้อนต้องมีขนาดและแง่มุมพอดีกับหินก้อนอื่น ๆ

ที่จัดเรียงไว้ก่อนหน้า ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ อย่างไม้วัดระดับแนวราบ
และสายดิ่งที่ใช้ตรวจสอบผิวหน้าหินในแนวตั้ง

โดยใช้ลิ่มในการขัดแต่งผิวหน้าของหินแต่ละด้านให้เรียบ

6

พีระมิดแห่งกิซา ประกอบด้วย









1) พีระมิดคูฟู (Khufu) มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุด
ในหมู่พีระมิดแห่งกิซา









2) พีระมิดคาเฟร (Khafre) ตั้งอยู่ตรงกลางของพีระมิด
ทั้ง 3 และสร้างอยู่บนพื้นที่สูง มีมหาสฟิงซ์
(The Great Sphinx of Giza)









3) พีระมิดเมนคูเร (Menkaure) ขนาดเล็กที่สุดและเก่าแก่
น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซา พีระมิดเมนคูเรมักปรากฏ

ในภาพถ่ายพร้อมกับหมู่พีระมิดราชินีทั้ง 3
(The Three Queen's Pyramids)

7

สฟิงซ์อียิปต์ เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต
ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้
คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูแผ่แม่เบี้ยและมีเครื่องประดับ

" รัดเกล้าแบบกษัตริย์ "
รูปสลักสฟิงซ์ของอียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ มหาสฟิงซ์
(The Great Sphinx of Giza) บริเวณใกล้กับพีระมิดคาเฟร

ซี่งเป็นส่วนหนึ่งของ หมู่พีระมิดแห่งกีซา
(Giza Pyramid Complex)

หน้าที่ของสฟิงซ์ : สฟิงซ์เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของกษัตริย์
หรือเป็นสัตว์ที่มีชาญฉลาดและมีพลังเพื่อปกป้องพระศพ
และทรัพย์สมบัติภายในพีระมิด

THE HANGING GARDEN OF BABYLON

สวนลอย
เ เ ห่ ง บ า บิ โ ล น

โบราณสถานอั นเก่ าแก่

The Hanging garden of babylon

ประวัติ ศาสตร์และ ความเป็นมาของสถานที่
อั นเก่ าแก่ นับพันปี

9

สวนลอยฟ้า แห่งบาบิโลน

สวนลอยฟ้าแห่งกรุงบาบิโลน ตั้งอยู่ที่ กรุงแบกแดด
ประเทศอีรัก และตั้งอยู่กลางทะเลทราย

ส่วนลอยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเนื่องจาก พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์
โปรดให้สร้างสวนลอยนี้ขึ้น สวนแห่งนี้อยู่เหนือพื้นดิน
บนพื้นที่กึ่งทะเลทราย ทรงสร้างให้พระมเหสี

ซึ่งเจ้าหญิงแห่งมีดส์ และร่วมกันขับไล่พวกอัสซีเรียออกไป
สวนลอยแห่งบาบิโลนนับเป็นความ รุ่งเรืองเกรียงไกรยิ่ง

โ ด ย เ ฉ พ า ะ ตำ น า น ข อ ง ค ริ ส เ ตี ย น ไ ด้ มี ข้ อ ค ว า ม ที่ ก ล่ า ว ถึ ง ค ว า ม
ยิ่งใหญ่ของสวยลอย แห่งนี้ไว้มาก กล่าวกันว่าบาบิโลนคือ
สถานที่แรกๆ ของบรรพบุรุษชาวโลกในกาลก่อน
แ ล ะ ยั ง มี บ า ง ส่ ว น ที่ ก ล่ า ว ถึ ง บ า บิ โ ล น ใ น ฐ า น ะ ที่ เ ป็ น ห อ ค อ ย สู ง
ที่มนุษย์ใช้สำหรับ หลบภัยยามน้ำท่วมโลกก่อนที่จะพังทลาย
ปั จ จุ บั น นั ก วิ ช า ก า ร ต่ า ง พ ย า ย า ม ค้ น ค ว้ า ข้ อ มู ล
แ ล ะ ห า ตำ แ ห น่ ง ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง ส ถ า น
ที่ตั้งสวนลอยว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด

10

ประวัติความเป็นมา

ส ว น ล อ ย ฟ้ า บ า บิ โ ล น
(อังกฤษ: Hanging Gardens of Babylon)

จั ด เ ป็ น ห นึ่ ง ใ น เ จ็ ด สิ่ ง ม หั ศ จ ร ร ย์ ข อ ง โ ล ก
ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน
สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย
ส ร้ า ง ใ ห้ แ ก่ ม เ ห สี ข อ ง พ ร ะ อ ง ค์ ชื่ อ พ ร ะ น า ง เ ซ มี ร า มี ส
สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต
กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่ง

ด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ
มี ร ะ บ บ ช ล ป ร ะ ท า น ชั ก น้ำ จ า ก แ ม่ น้ำ ไ ท กิ ส ไ ป ทำ เ ป็ น น้ำ ต ก

แ ล ะ นำ ไ ป เ ลี้ ย ง ต้ น ไ ม้ ต ล อ ด ปี
ปั จ จุ บั น ส ว น นี้ ไ ด้ พั ง ท ล า ย ไ ป ห ม ด แ ล้ ว

11

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระบุว่า บาบิโลนเป็นนครของ
ชาวเซไม้ท์กลุ่มหนึ่ง อยู่ทางภาคใต้ของบริเวณเมโสโปเตเมีย

เมื่อประมาณ 2,350 ก่อน ค.ศ. ซึ่งพัฒนาต่อ ๆ มา
เ ป็ น น ค ร ใ ห ญ่ แ ล ะ ส ว ย ง า ม ม า ก แ ห่ ง ห นึ่ ง ข อ ง โ ล ก
มีกำแพงเมืองล้อมรอบตัวเมืองเป็นระยะทางเกือบ 8 กิโลเมตร
มีหอคอยกั้นระหว่างกำแพงเป็นระยะๆ มีประตูเมือง 8 แห่ง
เข้าสู่ภายในเมือง ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐ ตรงประตูเมืองวาด
ภาพเป็นรูปสัตว์นับร้อยๆ ภาพตกแต่งสวยงาม
มีถนนบนกำแพงเมืองกว้างพอให้ทหารเดินไปรอบ ๆ เมือง
เ พื่ อ ป้ อ ง กั น ข้ า ศึ ก ที่ จ ะ เ ข้ า ม า รุ ก ร า น เ มื อ ง ข อ ง ต น
ชาวกรีกได้บันทึกไว้ว่ากำแพงเมืองบาบิโลนสูง 700 ฟุต มีความ
หนามาก จนส่วนบนของกำแพงกว้างพอให้รถศึกเทียมด้วย
ม้า 4 ตัว วิ่งไปบนส่วนของกำแพงได้ แต่ข้อมูลนี้ถูกโต้แย้ง
ในเรื่องของความสูงว่า จริง ๆ แล้วอาจบันทึกผิด

น่าจะสูงแค่ 70 เมตร

12

มุมมองของนักประวัติศาสตร์

นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ให้ความเห็นว่า ทหารของกษัตริย์
Alexander ได้มาถึง Mesopotamia และมาถึงอาณาจักร
Babylon ที่รุ่งเรือง เมื่อพวกเขากลับไปก็ไปเล่าให้ผู้คนฟัง

ถึงสวนลอยที่สวนงาม ต้นปาลม์ พระราชวัง หอบาเบล
ทำให้กวีและนักประวัติศาสตร์จินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ

สวนลอยแห่งนี้ตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำ Euphrates
ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Baghdad เมืองหลวงของประเทศอิรัก
ประมาณ 50 Km อาณาจักร Babylon เจริญรุ่งเรืองมาก
ในสมัยของกษัตริย์ Hammurabi (ประมาณ 1750 ปีBC)

แ ต่ นั่ น ยั ง ไ ม่ ใ ช่ ยุ ค ข อ ง ค ว า ม เ จ ริ ญ สู ง สุ ด ข อ ง อ า ณ า จั ก ร นี้
จนในสมัยของกษัตริย์ Naboplashar(ประมาณ 625 ปีBC)
จึ ง ถื อ ว่ า เ ป็ น จุ ด สู ง สุ ด ห รื อ ยุ ค ท อ ง ข อ ง อ า ณ า จั ก ร บ า บิ โ ล น นี้

อย่างแท้จริง โดยลูกชายของกษัตริย์ Naboplashar
ที่ชื่อว่า Nebuchadnezzar ที่ 2 เป็นผู้ก่อสร้าง

สวนลอยแห่งบาบิโลนขึ้นมา เล่ากันว่าแรงจูงใจของพระองค์ก็
คือ เป็นการ สร้างให้กับ ราชินี หรือ นางสนมของพระองค์

เ พื่ อ ใ ช้ เ ป็ น ที่ พั ก ผ่ อ น ห ย่ อ น ใ จ

13

ข้ อ สั น นิ ษ ฐ า น

การที่บาบิโลนมีวิหารรูปซิกูแรท แสดงว่าได้อิทธิพลมาจาก
ชาวสุเมเรียน ที่อาศัยในดินแดนแถบนี้มาก่อน

ซิกูแรทโบสถ์ทางศาสนาของบาบิโลนมีความสูงถึง 300 ฟุต
หรือประมาณ 100 เมตรเลยทีเดียว สร้างเป็นชั้นเฉลียง 8 ชั้น

มีบันไดเวียนขึ้นไปที่ยอดสูงสุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของเทวสถาน
ป ร ะ ช า ช น ที่ อ ยู่ ห่ า ง อ อ ก ไ ป ห ล า ย ไ ม ล์ ส า ม า ร ถ ม อ ง เ ห็ น เ ท ว ส ถ า น

บนยอดซิกูแรทได้อย่าง ชัดเจน ผู้สร้างคงมีความหมาย
ใ ห้ เ ท ว ส ถ า น เ ชื่ อ ม กั บ เ ข ต แ ด น ส ว ร ร ค์

สวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon)
แ ส ด ง ใ ห้ เ ห็ น ถึ ง เ ท ค โ น โ ล ยี ท า ง ก า ร เ ก ษ ต ร แ ล ะ ก า ร ช ล ป ร ะ ท า น ขั้ น สู ง
ที่สามารถยกสวนพืชไปปลูกบนพระราชวังได้อย่างสวยงาม นอกจาก

นั้ น ยั ง มี วิ ห า ร ส ว ย ง า ม แ ล ะ พ ร ะ ร า ช วั ง อี ก ห ล า ย แ ห่ ง
ภายในบริเวณตัวเมือง ส่วนชาวบ้านสร้างที่พักด้วยดินอยู่รอบๆเมือง

14

ก รุ ง บ า บิ โ ล น ก ล า ย เ ป็ น ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง ก า ร ค้ า ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ห ล า ย
กลุ่มในดินแดนเมโส โปเตเมีย จึงมีการพัฒนาความเจริญ
อย่างมากและรวดเร็ว มีความรู้ในการนับเลข
และบวกเลข ประดิษฐ์สิ่งต่างๆเพื่อใช้คำนวณ เช่น สูตรคูณ
การใช้เลข 10 ซึ่งต่อมาชาวยุโรปได้นำมาใช้ นอกจากนั้น
ยั ง มี ค ว า ม รู้ ด้ า น ด า ร า ศ า ส ต ร์ สู ง เ นื่ อ ง จ า ก บ ริ เ ว ณ ที่ ตั้ ง
ของกรุงบาบิ โลนไม่มีเมฆปิดบัง และเป็นชนกลุ่มแรก ๆ

ของโลกที่รู้ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อีก 5 ดวง
มีความแตกต่างจากดาวดวงอื่น จนสามารถทำปฏิทินรุ่นแรก ๆ
ของโลกได้ โดยกำหนดให้หนึ่งเดือนมี 28 วัน แยกเป็น 4 สัปดาห์

โดยแบ่งเป้นสัปดาห์ละ 7 วัน โดยตั้งชื่อวันตามดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อีก 5 ดวง

ต่อมาชาวโรมันได้เอาแนวความคิดเรื่อง 1 สัปดาห์มี 7 วัน
จากชาวบาบิโลน และใช้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน

15

สวนลอยฟ้า แห่งบาบิโลน

ส ว น ล อ ย แ ห่ ง บ า บิ โ ล น ตั้ ง อ ยู่ บ น ริ ม ฝั่ ง แ ม่ น้ำ ยู เ ฟ ร ติ ส
ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ของประเทศอิรักในปัจจุบัน การเดินทางไปอิรัก

ไม่สามารถบินตรงเข้าแบกแดก เมืองหลวงของประเทศได้
เ พ ร า ะ อิ รั ก ถู ก ป ร ะ เ ท ศ ม ห า อำ น า จ ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า แ ซ ง ชั่ น

จัดชั้นอิรักเป็น “ประเทศอันธพาล” ห้ามติดต่อคบหาสมาคม
ด้ ว ย ก า ร เ ดิ น ท า ง ไ ป บ า บิ โ ล น จึ ง ต้ อ ง ผ่ า น เ ข้ า ไ ป ท า ง ป ร ะ เ ท ศ

จอร์แดน ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกันก่อน
แ ล้ ว นั่ ง ร ถ ข้ า ม ท ะ เ ล ท ร า ย เ ข้ า ไ ป

16

สวนลอยที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย จึงเป็นเสมือนสรวงสวรรค์
ที่ ง ด ง า ม แ ล ะ ชุ่ ม ชื้ น ท่ า ม ก ล า ง เ ป ล ว แ ด ด อั น ร้ อ น ร ะ อุ

พ่ อ ค้ า แ ล ะ ผู้ ที่ เ ดิ น ท า ง ผ่ า น ม า ส า ม า ร ถ ม อ ง เ ห็ น ส ว น ล อ ย ไ ด้ แ ต่ ไ ก ล
เพราะเป็นสถานที่ที่ใหญ่โตมาก บ้างที่เดินทางฝ่าไอแดด
ท่ า ม ก ล า ง ท ะ เ ล ท ร า ย ม า ไ ก ล ก็ ไ ด้ อ า ศั ย ร่ ม เ ง า ข อ ง ส ว น ล อ ย
เป็น ที่พักพิงหลบร้อนให้หายเหนื่อยก่อนออกเดินทางต่อ
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันสวยลอยแห่งนี้

ได้พังทลายสูญหายไปแล้ว จากกิตติศัพท์ความงดงามอลังการ
ข อ ง ส ว น ล อ ย บ า บิ โ ล น จึ ง เ ห ม า ะ ส ม อ ย่ า ง ยิ่ ง ที่ จ ะ นั บ เ ป็ น
สิ่ ง ม หั ศ จ ร ร ย์ ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ม่ มี ข้ อ กั ง ข า

THE STATUE OF ZEUS AT OLYMPIA

เ ท ว รู ป ซู ส
แ ห่ ง โ อ ลิ ม เ ปี ย

โบราณสถานอั นเก่ าแก่

The Statue of Zeus at Olympia

ประวัติ ศาสตร์และ ความเป็นมาของสถานที่
อั นเก่ าแก่ นับพันปี

18

เทวรูปซูส แห่งโอลิมเปีย

อนุสาวรีย์นี้เป็นรูปสลักเทพเจ้าซีอุส นั่งบนบัลลังก์สีทอง
ที่ แ ก ะ ส ลั ก ด้ ว ย ง า ช้ า ง จำ น ว น ม า ก ม า ป ร ะ ก อ บ กั น ขึ้ น ผู้ ที่ ปั้ น

เทวรูปซีอุสนี้ เป็นปฏิมากรเอกชาวกรีก ชื่อ ฟีดีอัส เ
ป็นคนเดียวกับที่สร้างวิหารพาเธนอน ในกรุงเอเธนส์

แ ล ะ ส น า ม กี ฬ า โ อ ลิ ม ปิ ค

19

ประวิติและความเป็นมา

เทวรูปซีอุส เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคเก่าแก่สิ่งหนึ่งของโลก
คือ สร้างขึ้นประมาณ 2,400 ปีก่อน ระหว่างปี ค.ศ. 53 - 111
ตามตำนานที่จารึกไว้ได้ระบุว่าเทวรูปทำจากงาช้างสูง 58 ฟุต
มีขนาดใหญ่กว่าคนปรกติถึง 8 เท่า พระหัตถ์ซ้ายทรงคทา

พระหัตถ์ขวารองรับ รูปปั้นแห่งชัยชนะ
(A small figure of Victory ) มีเครื่องประดับประดา
ด้วยทองคำล้วน ชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จูปีเตอร์

ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่า
เป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า ซึ่งชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น
ใ ค ร จ ะ อ อ ก เ ดิ น ท า ง ไ ป เ มื อ ง ใ ด ต้ อ ง ม า พ ร จ า ก พ ร ะ อ ง ค์ เ สี ย ก่ อ น
แ ต่ บั ด นี้ ไ ม่ มี ห ลั ก ฐ า น ใ ห็ เ ป็ น ที่ ช ม ไ ด้ เ พ ร า ะ ไ ด้ ถู ก ไ ฟ เ ผ า ไ ห ม้ ห ม ด
ทั้งองค์ในปี ค.ศ. 476 คงเห็นภาพในเหรียญตราโบราณ
และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยาย

ปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์
ยั ง ค ง เ ป็ น ที่ ย ก ย่ อ ง เ ล่ า ลื อ ม า จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น นี้

THE TEMPLE OF ARTEMIS AT EPHESUS

วิ ห า ร อ า ร์ ทิ มี ส

โบราณสถานอั นเก่ าแก่

The Temple of Artemis at Ephesus

ประวัติ ศาสตร์และ ความเป็นมาของสถานที่
อั นเก่ าแก่ นับพันปี

21

วิ ห า ร อ า ร์ ทิ มี ส

วิหารเทพีอาร์เทมิส ตุรกี เป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน
เลียบแบบศิลปะแบบกรีกโบราณ สร้างเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีส

หรือเทพเจ้าอารเตมิซ (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก)
ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติ
ได้อยู่ในเมืองอีเฟซุสบนชายฝั่งแห่งหนึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี

ใ น รั ช ส มั ย ข อ ง ก ษั ต ริ ย์ อ เ ล็ ก ซ า น เ ด อ ร์ แ ห่ ง ก รี ก
จั ด เ ป็ น วั ด ที่ ส ว ย ง า ม แ ห่ ง ห นึ่ ง จ น ก ล า ย เ ป็ น ที่ รู้ จั ก

ว่ า เ ป็ น สิ่ ง ม หั ศ จ ร ร ย์ ข อ ง โ ล ก ใ น ยุ ค เ ก่ า

22

วิหารเทพีอาร์เทมิสนี้มีเนื้อที่ถึง 54,720 ตารางฟุต
ตัวอาคารมีความกว้างถึง 400 ฟุต บริเวณโดยรอบวัดแห่งนี้
กินเนื้อที่เกือบ 2 เอเคอร์ และมีเสาหินตั้งตระหง่านรอบตัวอาคาร
มากกว่า 100 เสาหิน แต่ละเสาหินมีเส้นผ่านศุนย์กลาง 6 ฟุต

ความสูง 60 ฟุต หลังคาปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน
ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าชื่อว่า อาร์ทิมีส
หรืออีกชื่อหนึ่ง ว่าไดอาน่า เป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์
สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ที่ชาวเอฟซุสเคารพและนับถือ
เป็นขวัญกำลังใจเป็นอย่างมาก จนพวกเขายกให้เป็นเทพธิดา
ประจำเมือง พร้อมทั้งสร้างวิหารเทพธิดาอาร์ทีมิสหลังแรกให้เมือง

ประมาณ 700 ปีก่อนคริสกาล ซึ่งปัจจุบันคือ
บ ริ เ ว ณ น อ ก เ มื อ ง เ อ เ ฟ ซุ ส เ ส้ น ท า ง จ า ก เ ซ ล จุ ก ไ ป เ มื อ ง คู ซ า ด า ซึ

(Kushadasi) ประชาชนจะนำสิ่งของมาสักการะบูชา
ส่ ว น ม า ก เ ป็ น สิ่ ง ข อ ง มี ค่ า ม า ก ม า ย

23

ห ลั ง จ า ก วิ ห า ร ห ลั ง แ ร ก ถู ก ทำ ล า ย แ ล ะ มี ก า ร ส ร้ า ง วิ ห า ร ขึ้ น ม า ใ ห ม่
ราว 570 ปีก่อนคริสตกาล เป็นวิหารหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ใช้เวลาสร้างถึง 120 ปี โดยสถาปนิกในยุคนั้นออกแบบให้เลือก
สร้างบนพื้นที่ชื้นแฉะ เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากแรงแผ่นดินไหว

ที่ เ ป็ น ภั ย ธ ร ร ม ช า ติ ที่ เ กิ ด ขึ้ น บ่ อ ย ค รั้ ง ใ น ส มั ย นั้ น
ต่อมาวิหารถูก ฮีโรสตราตัส (Herotratus) เผาทำลาย
ในวันที่ 21 กรกฎาคม 256 ปี ก่อนคริสตกาล เพียงเพื่อต้องการ
ให้ชื่อของตัวเองเป็นอมตะเท่านั้น ชาวเติร์กในยุคนั้นเชื่อว่า
ก า ร ที่ เ ท พ ธิ ด า อ า ร์ ที มิ ส ผู้ ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ไ ม่ ส า ม า ร ถ รั ก ษ า วิ ห า ร ไ ว้ ไ ด้
นักประวัติศาสตร์กรีก ในยุคนั้น ได้บันทึกเอาไว้ว่าเป็นเพราะ
วันที่วิหารโดนเผานั้น ตรงกับวันประสูติของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์
มหาราชแห่งมาเซโดเนีย เทพธิดาจึงมีภารกิจต้องไปจัดการ

ใ ห้ ก า ร ป ร ะ สู ติ ข อ ง พ ร ะ อ ง ค์

24



ห ลั ง จ า ก นั้ น ช า ว เ มื อ ง เ อ เ ฟ ซุ ส ไ ด้ พ ย า ย า ม ส ร้ า ง วิ ห า ร ขึ้ น ใ ห ม่
ให้สวยงามและยิ่งใหญ่กว่าเดิม แต่ ในปี 330 ก่อนคริสตกาล
ช่วงที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

ไ ด้ ย ก ทั พ เ ข้ า สู่ อ น า โ ต เ ลี ย แ ล ะ ไ ด้ เ ส ด็ จ ม า ยั ง เ อ เ ฟ ซุ ส
ได้เสนอแนะว่า พระองค์จะช่วยสร้างวิหารหลังนี้ต่อให้เสร็จ

แ ต่ ก็ ไ ด้ รั บ ก า ร ป ฏิ เ ส ธ จ า ก ช า ว เ มื อ ง เ อ เ ฟ ซุ ส ไ ป ว่ า
“ มั น ไ ม่ เ ห ม า ะ ที่ เ ท พ จ ะ ส ร้ า ง วิ ห า ร ใ ห้ กั บ เ ท พ ด้ ว ย กั น ”
ต่อมาวิหารเทพีอาร์เทมิส ได้ถูกทำลายลงอีกครั้งโดยชาวกอธ
(Goth) ในปี ค.ศ. 262 โดยไม่มีการบูรณะหรือสร้างวิหารอาร์ทีมิส
ขึ้นมาใหม่ เพราะชาวเมืองในยุคต่อมาได้หันมานับถือคริสต์
แทนการนับถือเทพ นับเป็นการปิดฉากการก่อสร้างวิหาร
เทพธิดาอาร์ทีมิสลงอย่างถาวร เหลือแต่ซากปรักหักพังเก็บไว้ชม

อยู่ในกรุงอิสตันบลู ประเทศตุรกี

25

ดิ น แ ด น แ ถ บ นี้ ห ลั ง จ า ก ที่ พ ว ก ก รี ก ห ม ด อำ น า จ ล ง
ยั ง มี พ ว ก เ ป อ เ ชี ย กั บ พ ว ก ม า เ ซ โ ด เ นี ย ( ยุ ค ข อ ง อ เ ล็ ก ซ า น ด ร า )
แล้วก็พวกโรมันเข้ามาครอบครอง แต่ละชนชาติดังกล่าวให้

ค ว า ม เ ค า ร พ แ ล ะ เ พิ่ ม พู น สิ่ ง ป ร ะ ดั บ ป ร ะ ด า แ ก่ วิ ห า ร ข อ ง
เทพอารเตมิซเรื่อยมา มีโบราณวัตถุที่ขุดพบได้จากที่นี่

ที่ เ ป็ น ข อ ง ยุ ค ต่ า ง ๆ ใ น พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ข อ ง เ มื อ ง เ อ เ ฟ ซุ ส )
เ มื่ อ ค ริ ส ต์ ศ า ส น า เ ข้ า มี อิ ท ธิ พ ล เ ห นื อ ร ะ บ บ เ ท พ เ จ้ า ห ล า ย อ ง ค์
(polytheism) วิหารนี้ถูกทำลาย เสาหินและหินก้อนใหญ่
ถู ก นำ ไ ป ส ร้ า ง วิ ห า ร เ ซ น ต์ โ ซ เ ฟี ย ที่ เ มื อ ง ค อ น ส แ ต น ติ โ น เ ปิ ล

กับวัดของเซนต์จอห์นที่เมืองเซลสุค ใกล้เมืองเอเฟซุส

26



เ ห รี ย ญ ทั้ ง ส า ม ข้ า ง ล่ า ง นี้ ทำ ขึ้ น ใ น ส มั ย โ ร มั น
มี รู ป ปั้ น ข อ ง อ า ร เ ต มิ ซ กั บ วิ ห า ร เ ห รี ย ญ บ น เ ป็ น ท อ ง สำ ริ ด ส มั ย จั ก ร พ ร ร ดิ
Maximus (เป็นเหรียญที่ใช้ในระหว่างAD.235-238)
แถวล่างเหรียญซ้ายจากสมัยของ Claudius(AD.41-45)
เ ห รี ย ญ ข ว า จ า ก ส มั ย ข อ ง H a d r i a n ( A D . 1 1 7 - 1 3 8 )
เทพอารเตมิซเด่นบนเหรียญทั้งสอง เหรียญเหล่านี้ได้ช่วยให้
นั ก โ บ ร า ณ ค ดี จิ น ต น า ก า ร แ ล้ ว ว า ด ภ า พ ข อ ง วิ ห า ร อ อ ก ม า
ส่ ว น รู ป ปั้ น ข อ ง อ า ร เ ต มิ ซ นั้ น โ ช ค ดี ม า ก ที่ ยั ง ค ง เ ห ลื อ เ กื อ บ ส ม บู ร ณ์
ใ ห้ เ ร า ดู ไ ด้ ใ น พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ โ บ ร า ณ ค ดี เ มื อ ง เ อ เ ฟ ซุ ส

MAUSOLEUM AT HALICARNASSUS

สุ ส า น แ ห่ ง
ฮ า ลิ ค า ร์ นั ส ซั ส

โบราณสถานอั นเก่ าแก่

Mausoleum at Halicarnassus

ประวัติ ศาสตร์และ ความเป็นมาของสถานที่
อั นเก่ าแก่ นับพันปี

28

ประวิติและความเป็นมา



ตั้งอยู่ในเมืองโบดรุม (Bodrum) ประเทศตุรกี
สร้างขึ้นเมื่อ 351 ปีก่อนคริสตกาล โดยพระดำริของราชินี
อาร์เทมิเซีย (Artemisia) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่พระสวามี
กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล
ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหว ปัจจุบันหลงเหลือเพียงชากปรักหักพัง
และซากของรูปปั้นต่างๆ ที่ใช้ประดับสุสาน
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส หรือ สุสานแห่งโมโซลูส เป็นสุสาน
ขนาดใหญ่ของกษัตริย์โมโซลูสแห่งลิเชีย ในเอเชียไมเนอร์
จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์
ของโลกยุคโบราณ ตั้งอยู่ที่ฮาลิคาร์นัสเซิส ประเทศตุรกี

ใ น ปั จ จุ บั น

29

ดิ น แ ด น แ ถ บ นี้ ห ลั ง จ า ก ที่ พ ว ก ก รี ก ห ม ด อำ น า จ ล ง
ยั ง มี พ ว ก เ ป อ เ ชี ย กั บ พ ว ก ม า เ ซ โ ด เ นี ย ( ยุ ค ข อ ง อ เ ล็ ก ซ า น ด ร า )

แ ล้ ว ก็ พ ว ก โ ร มั น เ ข้ า ม า ค ร อ บ ค ร อ ง . แ ต่ ล ะ ช น ช า ติ ดั ง ก ล่ า ว
ใ ห้ ค ว า ม เ ค า ร พ แ ล ะ เ พิ่ ม พู น สิ่ ง ป ร ะ ดั บ ป ร ะ ด า แ ก่ วิ ห า ร ข อ ง เ ท พ อ า ร
เ ต มิ ซ เ รื่ อ ย ม า ( มี โ บ ร า ณ วั ต ถุ ที่ ขุ ด พ บ ไ ด้ จ า ก ที่ นี่ ที่ เ ป็ น ข อ ง ยุ ค ต่ า ง ๆ
ในพิพิธภัณฑ์ของเมืองเอเฟซุส) เมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามามีอิทธิพล
เหนือระบบเทพเจ้าหลายองค์(polytheism) วิหารนี้ถูกทำลาย
เสาหินและหินก้อนใหญ่ ถูกนำไปสร้างวิหารเซนต์โซเฟียที่เมือง

ค อ น ส แ ต น ติ โ น เ ปิ ล กั บ วั ด ข อ ง เ ซ น ต์ จ อ ห์ น ที่ เ มื อ ง เ ซ ล สุ ค
ใ ก ล้ เ มื อ ง เ อ เ ฟ ซุ ส

30

สุ ส า น ที่ ส ร้ า ง โ ด ย ผู้ ห ญิ ง
สุ ส า น แ ห่ ง ฮ า ลิ ค า ร์ นั ส เ ซิ ส เ ป็ น อ นุ ส ร ณ์ แ ห่ ง ค ว า ม รั ก
มีที่มาที่ออกจะแปลกสักหน่อย ปกติเรามักจะได้ยินว่า
ผู้ ช า ย เ ป็ น ค น ส ร้ า ง อ นุ ส ร ณ์ เ พื่ อ แ ส ด ง ถึ ง ค ว า ม รั ก ที่ มี ต่ อ ห ญิ ง ส า ว
คนรักผู้ล่วงลับ แต่ที่มาของสุสานนี้กลับกัน เพราะผู้หญิง
เป็นฝ่ายสร้างให้ผู้ชาย ผู้สร้างคือ ราชินีอาเตมีสเซีย
ซึ่ ง เ ป็ น ทั้ ง พ ร ะ ข นิ ษ ฐ า แ ล ะ พ ร ะ ม เ ห สี ข อ ง ก ษั ต ริ ย์ มุ ส โ ซ ลู ส
กษัตริย์แห่งเอเชียไมเนอร์ หรือประเทศอิหร่านในปัจจุบัน
เ พื่ อ เ ป็ น สิ่ ง ก่ อ ส ร้ า ง แ ท น ค ว า ม รั ก ต่ อ พ ร ะ ส ว า มี ซึ่ ง ล่ ว ง ลั บ

เมื่อ 353 ปีก่อนคริสต์ศักราช

31

เ มื่ อ เ กิ ด ก า ร พั ง ท ล า ย จ า ก ภั ย ธ ร ร ม ช า ติ
ภายหลังเมื่อก่อสร้างสุสานเสร็จ พระศพของกษัตริย์มุสโซลูส
แ ล ะ ร า ชิ นี อ า เ ต มี ส เ ซี ย ก็ ไ ด้ ป ร ะ ทั บ เ คี ย ง กั น ใ น สุ ส า น แ ห่ ง ฮ า ลิ

คาร์นัสเซิส แต่เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ช่วงศตวรรษที่ 13 ก็ทำให้สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิสพังทลาย
ซ้ำชิ้นส่วนต่างๆ ยังถูกนำไปสร้างป้อมหรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ

ปั จ จุ บั น ยั ง ค ง ห ล ง เ ห ลื อ ซ า ก ชิ้ น ส่ ว น บ า ง ชิ้ น
โดยเก็บรักษาไว้ในบริติชมิวเซียม ในประเทศอังกฤษ

COLOSSUS OF RHODES

เ ท ว รู ป
โ ค โ ล ส ซู ส
แ ห่ ง เ ก า ะ โ ร ด ส์

โบราณสถานอั นเก่ าแก่

Colossus of Rhodes

ประวัติ ศาสตร์และ ความเป็นมาของสถานที่
อั นเก่ าแก่ นับพันปี

33

ประวิติและความเป็นมา



ประวัติความเป็นมาของรูปปั้นนี้ ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัย

ปี 312 ก่อนคริสตกาล ชาวเกาะโรดส์ได้ตัดสินใจ
ร่วมรบกับพระเจ้าปโตเลมีแห่งอียิปต์ จากการรุกรานของ
ชาวแมซีโดเนียน พวกแมซีโดเนียนเข้าล้อมเกาะไว้ด้วยเรือ

และทหาร มากมาย แต่ชาวเกาะโรดส์ก็ได้ตีกลับ
แ ล ะ เ กิ ด ก า ร ป ะ ท ะ กั น อ ยู่ เ กื อ บ ปี จ น ไ ด้ รั บ ชั ย ช น ะ
ในบรรดาผู้ที่ร่วมปกป้องเกาะโรดส์ก็มี ปฏิมากรผู้หนึ่งชื่อว่า
ชาเรส แห่ง ลินดัส ด้วยความยินดีปรีดาของชาวโรดส์
และเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการหลุดพ้นจากชาว แมซีโดเนียน
ชาร์เรส จึงได้รับมอบหมายให้สร้างรูปปั้นบรอนซ์มหึมา

ของเทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์หรือ อพอลโล

34

สถานที่ตั้งเทวรูป



ตั้งอยู่ในทะเลเอเจียน ประเทศกรีซ เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่
ของสุริยเทพ หรือเฮลิออส (Apollo) สูงประมาณ 33 เมตร

ก่อสร้างระหว่าง 292-280 ปีก่อนคริสตกาล
ตั้ ง ต ร ะ ห ง่ า น บ ริ เ ว ณ ป า ก อ่ า ว ข อ ง เ ก า ะ โ ร ด ส์
ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 56 ปี
ถึ ง ก ร ะ นั้ น ซ า ก ข อ ง เ ท ว รู ป นี้ ก็ ยั ง เ ป็ น จุ ด แ ล น ด์ ม า ร์ ค ข อ ง ผู้ ค น
ในแถบนี้ต่อมาถึง 800 ปี ในประวัติศาสตร์มีบันทึกว่าแค่ส่วนนิ้ว
ข อ ง รู ป ปั้ น นี้ ก็ มี ข น า ด ใ ห ญ่ ก ว่ า ไ ซ ส์ รู ป ปั้ น ป ก ติ ข อ ง ยุ ค นั้ น แ ล้ ว

35

( ภ า พ ว า ด สี ข อ ง เ ท ว รู ป อ พ อ ล โ ล )
—-> รูปปั้นโคลอสซัสมีอายุสั้นที่สุดเพียว 56 ปีเท่านั้น
แผ่นดินไหวเมื่อ 224 ปีก่อนศริสตกาลทำให้รูปปั้นมหึมาพัง
ทลายลงมาระเนระนาด ชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังคงหลงเหลืออยู่
ใ น ต้ น ศ ต ว ร ร ษ แ ร ก เ มื่ อ พ ว ก อ า ห รั บ ยึ ด ค ร อ ง เ ก า ะ โ ร ด ส์
ในสมัย ศตวรรษที่ 7 รูปปั้นโคลอสซัสถูกขายต่อไปยังพ่อค้า
ชาวยิว การขนย้ายต้องใช้อูฐเป็นร้อยและวนเวียนถึงเก้าเที่ยว

LIGHTOUSE OF ALEXANDRIA

ประภาคาร
ฟาโรส

โบราณสถานอั นเก่ าแก่

Lightouse of Alexandria

ประวัติ ศาสตร์และ ความเป็นมาของสถานที่
อั นเก่ าแก่ นับพันปี

37

ประภาคารฟาโรส

หลังจากที่ Ptolemy ขึ้นมามีอำนาจเหนืออียิปต์
(เมื่อสิ้นยุคของ Alexander มหาราช) พระองค์ต้องการให้มี
สั ญ ลั ก ษ ณ์ แ ล ะ อุ ป ก ร ณ์ ที่ จ ะ ช่ ว ย ดึ ง เ รื อ สิ น ค้ า ทั้ ง ห ล า ย ม า สู่ ท่ า เ รื อ

ของอเล็กซานเดรีย พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สร้างหอ
ประภาคาร Pharos ขึ้นในปี 290 ก่อน ค.ศ.

และเสร็จในอีก 20 ปีต่อมา ถือเป็นประภาคารที่สูงที่สุด
แห่งแรกของโลก ผู้ออกแบบหอประภาคารแห่งนี้คือ Sostrates

แห่ง Knidos ซึ่งภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้ของตัวเองมาก
แ ล ะ ป ร า ร ถ น า ที่ จ ะ ใ ห้ มี ชื่ อ ข อ ง ต น ป ร า ก ฏ อ ยู่ ใ น ผ ล ง า น
แต่กษัตริย์ Ptolemy ที่สองซึ่ง สืบราชสมบัติต่อจากบิดา
ปฏิเสธคำขอนี้ เพราะต้องการให้มีเพียงพระนามของพระองค์
เท่านั้น Sostrates ผู้แสนฉลาดจึงแอบสลักชื่อของตนเองเอาไว้
แ ล้ ว ปิ ด ทั บ ไ ว้ ด้ ว ย แ ผ่ น โ ล ห ะ ที่ จ า รึ ก พ ร ะ น า ม ข อ ง พ ร ะ อ ง ค์

38

ว่ากันว่าบนยอดของประภาคาร มีกองไฟใหญ่และกระจกโลหะ
โ ค้ ง ข น า ด ม หึ ม า ที่ ทำ ห น้ า ที่ ส ะ ท้ อ น แ ส ง จ า ก ก อ ง ไ ฟ ยั ก ษ์ นี้
ใ ห้ ส่ อ ง เ ป็ น ลำ อ อ ก ไ ป ไ ด้ ไ ก ล จ น แ ม้ แ ต่
เรือซึ่งอยู่ห่างออกไป 100 ไมล์ก็สามารถมองเห็นได้
บ้ า ง ก็ ว่ า บ า ง ค รั้ ง ก็ ใ ช้ ส่ อ ง เ พื่ อ เ ผ า เ รื อ ข อ ง ศั ต รู

แ ล ะ บ า ง ตำ น า น ก็ ถึ ง ข น า ด บ อ ก ว่ า ส า ม า ร ถ จ ะ ใ ช้ ส่ อ ง ข ย า ย ภ า พ
ของกรุง Constantinople ซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลได้

39

ด้ า น ส ถ า ปั ต ย ก ร ร ม

ประภาคารนี้ทำด้วยหินอ่อนสีขาวสลีกลวดลาย วิจิตรงดงาม
ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน ท่าเรือของเกาะฟาโรส

สร้างในสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่สองของอียิปต์ช่วงปี 270 ปีก่อน
ค ริ ส ต ก า ล สิ อ อ ก แ บ บ โ ด ย ส ถ า ป นิ ก ช า ว ก รี ก ชื่ อ โ ซ ส ต ร า โ ต ส

ตามหลักฐานคาดว่าประภาคารนี้สูงถึง 440 ฟุต หรือ 134 เมตร
ช่วงล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ช่วงกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยม
และช่วงบนเป็นทรงกลม ยอดบนสุดกของประภาคารนี้
มีภาชนะสำหรับใส่ถ่าน ซึ่งลุกโชติช่วงทั้งวันทั้งคืน

เ พื่ อ เ ป็ น ไ ฟ สั ญ ญ า ณ ไ ฟ บ น ย อ ด ป ร ะ ภ า ค า ร นี้ เ ห็ น ไ ด้ ไ ก ล ใ น ท ะ เ ล
เมดิเตอเรเนียนถึง 25 ไมล์ หรือ 40 กิโลเมตร

และช่วงบนมีกระจกขนาดใหญ่ ตามตำนานเล่าขานกันมา
กระจกนี้สะท้อน เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น

ในกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล ข้ามไปจนถึงภาคตะวันออก
ข อ ง ท ะ เ ล เ ม ดิ เ ต อ เ ร เ นี ย น ท แ ล ะ เ อ เ ชี ย ไ ม เ น อ ร์

40

ยั ง มี ก า ร เ ล่ า ต่ อ กั น ม า อี ก ว่ า ก ร ะ จ ก นี้ ยั ง ม อิ ท ธิ ฤ ท ธิ์ อิ ท ธิ เ ด ช สำ คั ญ
สะท้อนแสงอาทิตย์ไปเผา เรือศรัตรูในทะเล
เ พ ร า ะ เ รื่ อ ง ร า ว ที่ เ ล่ า สื บ ต่ อ กั น ม า เ ห ล่ า นี้

ทำ ใ ห้ ป ร ะ ภ า ค า ร แ ห่ ง เ มื อ ง อ เ ล็ ก ซ า น เ ด รี ย นี้ มี ชื่ อ เ สี ย ง
เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แม้ว่าไม่ใช่ประภารแห่งแรก
ในทะเลเมดิเตอเรเนียนแต่ก็เป็นอันที่ใหญ่ที่สุด ประภาคารนี้

ได้ชื่อมาจากชื่อเกาะที่มันตั้งอยู่ คือธิฟาโรสชัส
และกลายมาเป็นชื่อเรียกประภาคารในภาษาต่าง ๆ

41

ป ร ะ ภ า ค า ร ฟ า โ ร ส ตั้ ง ต ร ะ ห ง่ า น นำ ท า ง สั ญ จ ร ข อ ง เ รื อ เ ข้ า สู่ เ มื อ ง
อเล็กซานเดรียมาเป็นเวลา 9000 ปี จนกระทั่งพวกอาหรับ
เข้ายึดครองเมือง ประภาคารก็ถูกรื้อทิ้งไป เล่ากันมาว่าพวก
อาหรับถูกสายลับซึ่งจักรพรรดิ แห่งคอนสแตนติโนเปิ้ล
ส่ ง ม า ห ล อ ก ล ว ง ใ ห้ ทำ ล า ย ป ร ะ ภ า ค า ร เ สี ย
เ พื่ อ ไ ม่ ใ ห้ ใ ช้ มั น เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ก า ร เ ดิ น เ รื อ ข อ ง พ ว ก มุ ส ลิ ม
ส า ย ลั บ อ้ า ง ว่ า ข้ า ง ใ ต้ ป ร ะ ภ า ค า ร มี ขุ ม ท รั พ ย์ ฝั ง อ ยู่
แ ต่ ห ลั ง จ า ก ป ร ะ ภ า ค า ร ถู ก ทำ ล า ย ไ ป แ ล้ ว พ ว ก อ า ห รั บ

ถึงตระหนักว่าเสียรู้ ในช่วงนั้นกระจกขนาดใหญ่ก็หล่นร่วงลงมา
และแตกละเอียดเป็นผุยผง มีบางส่วนของประภาคารหลงเหลือ

และส่วนนี้ก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นจนปี ค.ศ. 1375 จนแผ่นดินไหว
ใ น เ มื อ ง อ เ ล็ ก ซ า น เ ด รี ย พั ง ป ร ะ ภ า ค า ร ชื่ อ ดั ง ก็ ท ล า ย ล ง ม า จ น สิ้ น

บรรณานุกรม

บรรณานุกรม

https://sites.google.com/site/arphakorn1028
5/mha-phiramid-hae-ngki-sa

https://www.skyscanner.co.th/news

https://www.blockdit.com/posts/5dd662e5b
cadea3b09800fd9

https://7thingspacial.wordpress.com

https://7wonder.wordpress.com/2012/06/13/

https://sites.google.com/site/leelafoxzy/sus
an-haeng-ha-li-kharnassas

https://sites.google.com/site/leelafoxzy/the
w-rup-kho-los-su-s-haeng-keaa-rods

http://wonderza.blogspot.com/2012/09/the-
colossus-of-rhodes.html


Click to View FlipBook Version