มหาชาติ
พระเวสสั นดรชาดก
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา ภาษาไทย (ท๓๑๑๐๑) ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ ๔/๓ เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในมหาชาติ หรือมหาพระเวสสันดรชาดก และ
ได้ศึกษาอย่างเข้าใจ เป็นประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็น
ประโยชน์กับผู้อ่าน นักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิด
พลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้ และอภัย ณ ที่นี้ด้วย
สารบัญ
ที่มา ๑
ลักษณะคำประพันธุ์ ๑
จุดประสงค์ในการแต่ง ๒
ประวัติผู้แต่ง ๓
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๑ ๕
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๒ ๖
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๓ ๗
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๔ ๘
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๕ ๙
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๖ ๑๐
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๗ ๑๑
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๘ ๑๒
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๙ ๑๓
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๑๐ ๑๔
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๑๑ ๑๕
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๑๒ ๑๖
เนื้อหากัณฑ์ที่ ๑๓ ๑๗
วิจารณ์ตัวละคร ๑๘
ฝนโบกขรพรรษ ๑๙
ทศชาติ ๒๐
๑
ที่มา
ที่มาของมหาเวสสันดรชาดกเป็นเรื่องเล่าหรือนิทานของชาวพื้นเมืองอินเดียมาก่อน
พัฒนาการวรรณกรรมมหาพระเวสสันดรในระยะแรกพบว่า เวสสันดรชาดก เป็นชื่อใน
ภาษาบาลี ส่วนภาษาสันสกฤตเรียกว่า วิศวันตระอวทาน มีเนื้อเรื่องแตกต่างกันบางอนุภาค
เช่น ไม่ปรากฏชื่อชูชกในภาษาบาลี สำหรับภาษาบาลีในพระสุตตันตปิฎก เชื่อว่าแต่งโดย
พระพุทธโฆษะเถระ ในพุทธศาสนาศรีลังกาในช่วง พุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑
จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ก า ร แ ต่ ง
จุดประสงค์ เพื่อใช้เทศน์ให้ประชาชนฟัง มหาเวสสันดรชาดก แต่งขึ้นเพื่อใช้เทศน์
มหาชาติ เนื่องจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกเป็นชาดกเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นชาติที่พระ
โพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติเป็นเจ้าชาย
สิทธัตถะ แล้วเสด็จออกผนวชกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องราวใน
พระชาติที่เป็นพระเวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญทศบารมี ครบทั้ง ๑๐ ประการ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่ง ทานบารมี ซึ่งทรงบริจาคบุตรทารทานคือ บริจาคพระชาลี พระกัณหา และพระนางมัท
รี จึงเป็นชาติที่สำคัญและยิ่งใหญ่ เรียกว่า “มหาชาติ” หรือ “มหาเสสันดรชาดก”
๒
ลักษณะคำประพันธ์
ลักษณะคำประพันธ์ แต่งเป็นร่ายยาว มีพระคาถาภาษาบาลีนำ และพรรณนาเนื้อความโดย
มีพระคาถาสลับเป็นตอน ๆ ไปจนจบกัณฑ์ คำประพันธ์ประเภทร่ายยาว หนึ่งบทจะมีกี่
วรรคก็ได้ แต่ส่วนมากมี ๕ วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ ๖ คำขึ้นไป ถึง ๑๐ คำหรือ
มากกว่า มีบังคับเฉพาะระหว่างวรรค คือ คำสุดท้ายของวรรคจะส่งสัมผัสไปที่คำที่ ๑ ถึง
๕ ของวรรคต่อไป เมื่อจบตอนมักมีคำสร้อย เช่น “นั้นแล” “นี้แล” ร่ายยาวมหาเวสสันดร
ชาดก เป็นร่ายยาวสำหรับเทศน์ จะมีคำศัพท์บาลีขึ้นก่อน แล้วแปลเป็นภาษาไทย แล้วจึง
มีร่ายตาม ในระหว่างการดำเนินเรื่องจะมีคำบาลีคั่นเป็นระยะ ๆ คำบาลีนั้นมีความหมาย
เกี่ยวเนื่องกับข้อความที่ตามมา
๓
ประวัติผู้แต่ง
ชื่อ : เจ้าพระยาพระคลัง(หน)
แต่ง : กัณฑ์มัทรี,กัณฑ์กุมาร
เจ้าพระยาพระคลังท่านนี้ เป็นบุตรเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ฦๅชัย (บุญมี) กับ
ท่านผู้หญิงเจริญ มีบุตรธิดาหลายคน ที่มีชื่อเสียงคือ เจ้าจอมพุ่ม ในรัชกาลที่ ๒, เจ้าจอม
มารดานิ่ม พระมารดาสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (มั่ง) ในรัชกาลที่ ๒, นายเกต และ
นายพัด ซึ่งเป็นกวีและครูพิณพาทย์ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นต้นสกุล บุญ-หลง
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นกวีเอกคนหนึ่งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน
เกิดเมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และถึงแก่
อสัญกรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๔๘ ผลงานด้านวรรณคดีที่ท่านได้แต่งไว้หลาย
เรื่องด้วยกัน
ชื่อ : กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
แต่ง : กัณฑ์ทศพร,กัณฑ์หิมพานต์,กัณฑ์มหาราช,กัณฑ์นครกัณฑ์,กัณฑ์ฉกษัตริย์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระนามเดิม พระองค์เจ้าวาสุก
รี เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๓
เมื่อพระชนมายุ ๑๒ พรรษา ได้ผนวชเป็นสามเณร ประทับ ณ พระตำหนักท่าวาสุกรี วัด
พระเชตุพนฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส สมัยรัชกาลที่ ๔
ได้รับการสถาปนาเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ
สถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.
๒๔๙๖ รวมพระชนมายุ ๖๔ พรรษา งานพระนิพนธ์ที่สำคัญ ได้แก่ ตำราฉันท์มาตราพฤติ
และวรรณพฤติ ลิลิตตะเลงพ่าย สมุทรโฆษคำฉันท์ ทรงนิพนธ์ต่อจากพระมหาราชครูและ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งค้างไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ร่ายยาวมหาเวสสันดร
ชาดก ๑๑ กัณฑ์ เว้นกัณฑ์มหาพนและกัณฑ์มัทรี เพราะทรงเห็นว่าพระเทพโมลี (กลิ่น)
และเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่งกัณฑ์มัทรีไว้ดีแล้ว
ชื่อ : กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
แต่ง : กัณฑ์สักบรรพ,กัณฑ์จุลพน,กัณฑ์วนประเวศน์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐
กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่
ประสูติแต่กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระองค์ทรงมีพระขนิษฐาและพระอนุชา
รวม ๓ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิ
กระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ
สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์
วรเดช วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
๔
ประวัติผู้แต่ง
ชื่อ : พระเทพโมลี ( กลั่น )
แต่ง : กัณฑ์มหาพน
พระเทพโมลี (กลิ่น) ท่านเกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๒๘๓ รัชสมัย
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีเชื้อสายรามัญ ท่านบรรพชา-อุปสมบท วัดตองปุ อยุธยา
สมัยพระเจ้าเอกทัศน์เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ท่านพระมหาศรี พระขุน พระเทพ
โมลี ครั้งเป็นพระกลิ่น หลบภัยข้าศึก ล่องลงมาทางใต้ ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ท่าน
และคณะกลับมาอยู่วัดกลางนา(วัดตองปุ หรือวัดชนะสงคราม)กรุงเทพฯต่อมาท
ราบข่าวพระอาจารย์สุก มาสถิตวัดพลับ เป็นที่พระญาณสังวรเถร ทั้งสามท่านจึง
ตามมาอยู่วัดพลับ เรียนขอเล่าเรียน พระกรรมฐานมัชฌิมา แบลลำดับด้วย
ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๘ พระมหากลิ่น และคณะ ทราบว่าพระอาจารย์สุก
มาสถิตวัดพลับ ทรงเชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐาน ท่าน และคณะซึ่งเป็นเชื้อสาย
รามัญ จึงได้เข้าไปกราบนมัสการขออนุญาต พระมหาสุเมธาจารย์เป็นเจ้าอาวาส
วัดกลางนา (วัดตองปุ หรือวัดชนะสงคราม) ซึ่งเป็นพระสงฆ์นิกายรามัญ เพื่อมา
ศึกษาพระกรรมฐานในสำนักพระญาณสังวรเถร (สุก)
(วัดถนน) สำนัก : สำนักวัดถนน
แต่ง : ทานกัณฑ์
นายทองอยู่ เกิดที่บ้านไผ่จำศีล อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง เมื่ออายุ
๑๐-๑๑ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ได้ผ่านวัดอยู่วัดหนึ่ง เรียกว่า “วัดถนน” จึงได้พัก
อยู่วัดนี้ ได้อุปสมบท เรื่อยมา ท่านทองนับว่าเป็นสถาปนิกชั้นเยี่ยม ท่านได้สร้าง
เจดีย์ที่งดงาม รวมถึงได้แต่งร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ทานกัณฑ์แล้ว ยัง
แต่งบททำขวัญนาคไว้อย่างไพเราะอีกด้วยก)
สำนัก : สำนักวัดสังข์กระจาย
แต่ง : กัณฑ์ชูชก
สำนักวัดสังข์กระจายเป็นชื่อสำนักที่ท่านผู้แต่งบวชอยู่ วัดนี้อยู่ริมคลอง
บางกอก เป็นวัดโบราณ ส่วนท่านผู้แต่งกัณฑ์ชูชกนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอกรมพระยาดำรงนุภาพทรงสันนิษฐานว่า คือ พระเทพมุนี(ด้วง) แต่ประวัติ
ของท่านยังไม่เป็นที่แน่ชัด ในพ.ศ. ๒๓๓๒ คราวเกิดอสุนีบาตตกต้องมุข
พระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาทติดเป็นเพลิงไหม้ขึ้น พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระแสงของ้าวเร่งข้าราชการดับเพลิง
จนสงบ แล้วทรงปริวิตกว่าเห็นจะเป็นอัปมงคลนิมิตแก่บ้านพระราชาคณะที่
เป็นปราชญ์ ต่างได้ลงชื่อถวายชัยมงคล ซึ่งรายนามพระสงฆ์ที่ถวายพระพร
(วัดวัดสังข์กระจายวรวิหาร) ครั้งนั้นมีพระเทพมุนีวัดสังข์กระจายด้วยรูปหนึ่ง นอกจากนี้ พระเทพมุนีรูปนี้
ยังถวายเทศน์กัณฑ์ชูชกในรัชกาลที่ ทั้งยังเคยถวายแก้ข้อกังหาปัญหาธรรม
และพระราชปุจฉาในรัชกาลที่ ๑ อีกด้วย
กัณฑ์ที่ ๑ ๕
กัณฑ์ทศพร
เรื่องย่อ
กล่าวถึงปฐมเหตุที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาเล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดกแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ นิโครธารามมหา
วิหาร โดยเริ่มเรื่องจากการกำเนิดพระนางผุสดีผู้ถวายแก่นจันทร์บดแด่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง และตั้งจิต
ปรารถนาว่า ขอให้ได้เป็นพระพุทธมารดาในอนาคต เมื่อได้บังเกิดในสวรรค์ได้เป็นมเหสีของพระอินทร์ ในกัณฑ์
นี้กล่าวถึงพระนางผุสดีจะต้องจุติจากสวรรค์พระอินทร์จึงประทานพร ๑๐ ประการให้พระนางผุสดี ได้แก่
๑. ขอให้เกิดในกรุงมัทราช แคว้นสีพี
๒. ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย
๓. ขอให้คิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง
๔. ขอให้ได้นาม “ ผุสดี ” ดังภพเดิม
๕. ขอให้มีพระโอรสเกริกเกรติที่สุดในชมพูทวีป
๖. ขอให้พระครรภ์งาม ไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ
๗. ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง
๘. ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ
๙. ขอให้ผิวพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ
๑๐. ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
คำศัพท์
แก่นจันทร์ หมายถึง ไม้สมุนไพรที่ได้จากต้นจันทน์หิมาลัย มีรสขม หอม ร้อน ใช้แก้ไข้
แก้ดีกำเริบ แก้กระสับกระส่าย ตาลาย
บุพนิมิต หมายถึง ลางที่บอกเหตุล่วงหน้า
ข้อคิด การทำบุญจัดให้สำเร็จสมประสงค์ต้องอธิษฐานตั้งเป้าชีวิตตนปรารถนาไว้ ความปรารถนา
ที่จะสำเร็จดังตั้งใจ ผู้นั้นต้องมี ศีลสมบูรณ์ ทำดีรักษาดี เพิ่มพูนความดี จะไม่มีตกต่ำ
กัณฑ์ที่ ๒ ๖
กัณฑ์หิมพานต์
เรื่องย่อ
กล่าวถึงพระนางผุสดีซึ่งจุติจากสวรรค์ลงมาประสูติเป็นพระธิดา
กษัตริย์มัทราช และได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัยแห่ง
แคว้นสีพี พระนางผุสดีได้ประสูติพระเวสสันดรในขณะประพาส
ชมพระนคร และขณะนั้นนางช้างก็ได้นำลูกช้างเผือกมาไว้ในโรง
ช้างต้น ต่อมาลูกช้างเผือกตัวนั้นได้ชื่อว่า “ ปัจจัยนาค ” มีคุณ
วิเศษ คือ ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พระเวสสันดรใฝ่ใจใน
การบริจาคทาน เมื่อได้เสวยราชสมบัติและอภิเษกกับพระนางมัท
รีแล้ว ได้ตั้งโรงทานถึง ๖ แห่ง และเมื่อพระราชทานช้างปัจจัย
นาคให้กับชาวเมืองกลิงคราษฎร์ ซึ่งเป็นเมืองที่แห้งแล้ง ข้าวยาก
หมากแพงมาหลายปี ทำให้ชาวเมืองสีพีโกรธและเรียกร้องให้พระ
เจ้ากรุงสญชัยทรงลงโทษพระเวสสันดรพระเจ้ากรุงสญชัยจึงทรง
เนรเทศพระเวสสันดรไปจากเมือง
คำศัพท์ นางช้าง หมายถึง ผู้หญิงที่มีช้างครอบครอง
โรงทาน หมายถึง สถานที่แจกจ่ายอาหารแก่คนทั่วไปเพื่อเป็นการกุศล
เนรเทศ หมายถึง ขับคนต่างด้าวให้ออกไปนอกราชอาณาจักร
ข้อคิด ๑. คนดีเกิดมานำพาโลกให้ร่มเย็น
๒. โลกต้องการผู้เสียสละ มิฉะนั้นหายนะจะบังเกิด
๓. การทำดีย่อมมีอุปสรรค "มารไม่มีบารมีไม่มา มารยิ่งมาบารมียิ่งแก่กล้า"
๔. จุดหมายแห่งการเสียสละ อยู่ที่พระโพธิญาณมิหวั่นไหวแม้จะได้รับทุกข์
กัณฑ์ที่ ๓ ๗
ทานกัณฑ์
เรื่องย่อ
เมื่อพระนางผุสดี ทรงทราบว่า พระเวสสันดรโอรส ถูกประชาชน
กล่าวโทษว่าพระราชทานช้างปัจจัยนาคเป็นทาน และถูกลงโทษให้เนรเทศ
จากพระนครสีพีก็ รีบเสด็จมาพบพระเวสสันดรและนางมัทรี แล้วเสด็จ
เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสัญชัย ทูลขอประทานอภัยโทษก็ไม่สำเร็จ รุ่งขึ้นได้
เวลา ก่อนไปพระเวสสันดรก็ทรงบริจาคสัตสดกมหาทาน คือ การให้ครั้ง
ใหญ่ โดยกำหนดไว้สิ่งละ ๗๐๐ คือช้าง ม้า โคนม รถ นางสนม ทาส และ
ทาสี เสร็จแล้วก็ทรง ไปทูลลาพระชนก และพระชนนีเพื่อออกไปบำเพ็ญ
พรตอยู่เขาวงกต พระเจ้าสัญชัยขอให้พระนางมัทรี พระชาลี และนางกัณ
หาอยู่ พระนางมัทรีไม่ยอมอยู่ ทั้งไม่ยอมให้ลูกอยู่ด้วยเป็นอันถูกเนรเทศ
ด้วยทั้งหมด
คำศัพท์ สัตสดกมหาทาน หมายถึง การบริจากครั้งใหญ่
ม้ารถเทียม หมายถึง พาหนะที่ใช้แรงงานม้า มีไว้สำหรับชนชั้นสูง
ข้อคิด
๑. ความรักของแม่ – ความห่วงของเมีย , น้ำตาแม่ – น้ำใจเมีย
๒. โทษทัณฑ์ของการเป็นหม้าย คือ ถูกประณาม หยามหมิ่น อาจถึงจบชีวิตด้วยการก่อกองไฟให้ รุ่งโรจน์แล้วโดดฆ่าตัวตาย
๓. เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม พึงยอมเสียสละประโยชน์สุขส่วนรวม
๔. ยามบุญมีเขาก็ยก ยามเมื่อตกเขาก็หยาม ชีวิตมีทั้งชื่นชมและขมขื่น ทำดีจะให้ถูกใจคนทั้งโลกเป็นไปไม่ได้
กัณฑ์ที่ ๔ ๘
กัณฑ์วนปเวสน์
เรื่องย่อ
สี่กษัตริย์เดินดงบ่ายประพักตร์สู่เขาวงกต เมื่อเดินทางถึงนคร
เจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหนาศาลาพระกษัตริย์ผู้
ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง แต่พระเวสสันดรทรง
ปฏิเสธ และเมื่อเสด็จถึงถึงเขาวงกตได้พบศาลาอาศรม ซึ่งท้าว
วิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของท้าวสักกะเทวราช กษัตริย์
ทั้งสี่จึงทรงผนววชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา
คำศัพท์
อาศรม หมายถึง ที่อยู่ของนักพรต นักบวช
ข้อคิด
๑. ยามเข็ญใจ-ยามจน ยามเจ็บ,ยามเจ๊ง,ยามจาก,เป็นยามที่ควรจะได้รับความเหลียวแลจากหมู่มิตร
๒. ผลดีของมิตร คือ ไม่ทอดทิ้งในยามเพื่อนทุกข์ ช่วยอุ้มชูยามเพื่อนอ่อนล้า ช่วยฉุดดึงยามเพื่อนตกต่ำ ช่วยค้ำยันยาม
เพื่อนสูงขึ้น
๓. น้ำใจของคนดี-หากรู้ชัดว่าปกติสุขของคนส่วนมากจะตั้งอยู่ได้ เพราะการเสียสละของตน ก็สมัครสลัดโอกาสและโชค
ลาภอันพึงจะได้ ด้วยความแช่มชื่น
กัณฑ์ที่ ๕ ๙
กัณฑ์ชูชก
เรื่องย่อ
เป็นการเล่าถึงตัวละครที่จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญของ
ชาดกเรื่องนี้อย่างชูชก พราหมณ์ที่มีรูปร่างที่น่าจะเรียกได้ว่า
รวมความน่าเกลียดเอาไว้ในหนึ่งเดียว ชูชกมีอาชีพเป็น
ขอทาน แต่มีความสามารถในการขอทานระดับสุดยอดจนมี
เงินเยอะเลยเอาไปฝากเพื่อน แต่เพื่อนดันเอาเงินของชูชกไป
ใช้จนเกลี้ยง พอชูชกมาทวง เพื่อนก็เลยยกลูกสาวแสนสวย
นามอมิตดาให้แทน ซึ่งนางอมิตดาเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ
ดูแลชูชกอย่างดีจนเพื่อนพราหมณ์อิจฉาเลยไปพาลใส่ภรรยา
ตัวเอง บรรดานางพราหมณีก็เลยมาต่อว่านางอมิตดาตัวต้น
เรื่องจนนางเสียใจ เลยขอให้ชูชกไปขอพระกัณหาและพระชา
ลีมาเป็นทาสรับใช้ ซึ่งแน่นอนว่าชูชกปฏิเสธไม่ได้เลยจำใจ
ต้องไป
คำศัพท์
ปรนนิบัติ หมายถึง เอาใจใส่ คอยดูแลรับใช้
ข้อคิด
๑. ของที่รักและหวงแหนที่โบราณห้ามฝากผู้อื่นไว้คือ เงิน, ม้า, เมีย, ยิ่งน้องเมีย ห้ามฝากเด็ดขาด อันตรายมาก
๒. ภรรยาที่ดี ย่อมไม่ย่อหย่อนต่อหน้าที่ ข้าวตำ น้ำตัก ฝืนตอหักหา น้ำร้อนน้ำชา เตรียมไว้ให้เสร็จ
กัณฑ์ที่ ๖ ๑๐
กัณฑ์จุลพน
เรื่องย่อ
เจตบุตรพราน นายด่านประตูป่า ฟังคารมชูชก หลงเชื่อพอใจ
เลื่อมใสนับถือ ยำเกรง ถึงกับเสียสละอาหาร ต้อนรับเลี้ยงดูชูชกเต็มที่
แล้วก็พาชูชกไปยังต้นทางชี้บอกให้ชูชกกำหนดหมายภูเขา และป่าไม้
กับพรรณาความงามนานาพฤกษชาติสร้างความยินดีให้มีกำลังใจหาย
สะดุ้งหวาดกลัวภัยในป่า ทั้งบอกระยะทางที่จะไปพบอาศรมฤาษี ซึ่ง
เป็นดุจสถานีที่พักในการเดินทางคราวนี้ และจะได้รับความปราณีจา
กอจุตดาบสบอกทางให้ต่อไป จนถึงอาศรมของพระเวสสันดร
คำศัพท์
คำลวง หมายถึง ล่อให้หลง ทำให้หลงผิด
อารักขา หมายถึง ป้องกัน ดูแล คุ้มครอง
ข้อคิด
๑. มีอำนาจหากขาดปัญญาย่อมถูกหลอกได้ง่าย
๒. คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด
๓. ไว้ใจทาง วางใจคน จะจนใจตัว
กัณฑ์ที่ ๗ ๑๑
กัณฑ์มหาพน
เรื่องย่อ
เมื่อชูชกเดินทางไปตามทางที่เจตบุตรบอกก็พบท่านอจุตฤาษีที่อาศรม
ไต่ถามทุกข์สุขตามธรรมเนียมของผู้แรกพบ และก็ได้เริ่มถามที่อยู่ของ
พระเวสสันดรโดยขอให้ช่วยบอกทางที่จะไป อจุตฤาษีไม่พอใจที่ ชูชก
ชะรอยจะมาขอสองกุมารไปเป็นทาส หรือ ไม่ก็ขอพระนางมัทรี ไม่ได้มาดี
อย่างแน่นอน ชูชกจึงแก้ตัวทันทีโดย เอาความดีเข้าต่อรอง อจุตฤาษีก็
ใจอ่อนหลงเชื่อ จึงให้ชูชกค้างอยู่ที่อาศรมคืนหนึ่ง ตอนรุ่งเช้าก็จัดให้ชูชก
กินผลไม้ เผือกมัน แล้วบอกทางไปอาศรมพระเวสสันดรอย่างละเอียด
พรรณนาถึงภูเขา ป่าไม้ ฝูงสัตว์ต่างๆ ชูชกจดจำคำแนะนำของอจุตฤาษี
จนเป็นที่พอใจแล้ว ก็นมัสการลาไป
คำศัพท์
ปฏิสันถาร หมายถึง การทักทายปราศรัยแขกที่มาหา การต้อนรับแขก
พรรณนา หมายถึง บรรยายหรือกล่าวไว้โดยละเอียดเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพ
ข้อคิด
๑.ฉลาดแต่ขาดเฉลียว (มีปัญญาแต่ขาดสติ)
๒.สงสารฉิบหาย เชื่อง่ายเป็นทุกข์
๓.คบคนให้ดูหน้า(หน้าตา,หน้าที่,หน้าใน,จิตใจ)ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ ซื้อเสื่อให้ดูลาย ซื้อไร่ให้ดูดิน
กัณฑ์ที่ ๘ ๑๒
กัณฑ์กุมาร
เรื่องย่อ
กล่าวถึงชูชกผู้ผจญความลำบาก เดินทางไปขอสองกุมารจากพระ
เวสสันดร ขณะที่พระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ด้วยความห่วงใยจึงสั่ง
เสียกุมารทั้งสองให้ระวังเนื้อระวังตัว ดังนั้น พระกัณหาชาลีจึงพากัน
เดินลงไปซ่อนตัวอยู่ในสระบัว พระเวสสันดรรู้เข้าจึงเดินตามรอยเท้า
ไปเรียกสองกุมารขึ้นมาจากวระให้มาเป็นสำเภาทองพาพระองค์ไปสู่
นิพพาน แล้วพระองค์ทรงยกสองกุมารให้ชูชก บันดาลให้บังเกิด
ความมหัศจรรย์บนแผ่นดินชูชกผูกแขนสองกุมา แล้วเฆี่ยนตีต่อหน้า
พระเวสสันดรจนพระองค์เกิดบันดาลโทสะเกือบระงับดับไว้มิได้
คำศัพท์
ตกระกำลำบาก หมายถึง คำแสดงความรู้สึกเดือดร้อนเพราะกรรมหรือชะตากรรมของตนในอดีต
ราตรี หมายถึง กลางคืน เวลามืด
ข้อคิด
๑. ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ดังภาษิตโบราณว่า “ช้าๆ จะได้พร้าเล่มงาม’’
๒. พ่อแม่ทุกคนรักลูกเหมือนกัน แต่เป็นห่วงไม่เท่ากัน ห่วงหญิงมากกว่าห่วงชาย เพราะท่านเปรียบไว้ว่า “ลูกผู้หญิงเหมือนข้าวสาร
ลูกผู้ชายเหมือนข้าวเปลือก’’
๓. สติ เ ตํ นิวารณํ สติเป็นเครื่องป้องกันอันตรายทั้งปวงได้ ขนฺติ สาหสาวารณา ขันติ ป้องกันความหุนหันพันแล่นได้เป็นเหตุให้พระ
เวสสันดร ไม่ประหารชูชกด้วยพระขรรค์เมื่อถูกชูชกประณามและเฆี่ยนตี ชาลี – กัญหา
๔. วิสัยหญิงนั้น แม้จะมากอยู่ด้วยเมตตากรุณา ชอบปลดเปลื้องทุกข์แก่ผู้อื่นก็จริงแต่เว้นอย่าง ที่หญิงไม่มีวันจะสละสิ่งนั้นคือ " ลูก"
กัณฑ์ที่ ๙ ๑๓
กัณฑ์มัทรี
เรื่องย่อ
พระนางมัทรีทรงได้ตัดความห่วงหาอาลัยในสายเลือด อนุโมทนา
ทานโอรสทั้งสองแก่ชูชก พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึกจน
คล้อยเย็นจึงเดินทางกลับอาศรม แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอน
ขวางทางจนค่ำ เมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรส พระเวสสันดรได้กล่าว
ว่านางนอกใจ จึงออกเที่ยวหาโอรสและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระ
พักตร์ พระองค์ทรงตกพระทัยลืมตนว่าเป็นดาบส จึงทรงเข้าอุ้ม
พระนางมัทรีและทรงกันแสง เมื่อนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคม
ประทานโทษพระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสแก่ชูชก
แล้ว หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบนางจึงได้ทรงอนุโมทนา
คำศัพท์
แสรกคาน หมายถึง เครื่องหาบ
พญาพาฬมฤครช หมายถึง ราชาแห่งสัตว์ร้าย
อุฏฐาการ หมายถึง ลุกขึ้น
ข้อคิด
ลูกคือแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่
กัณฑ์ที่ ๑๐ ๑๔
กัณฑ์สักกบรรพ
เรื่องย่อ
เป็นกรรณที่พระอินทร์เจ้าจำแลงกายเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี แล้วสลบลงเมื่อได้พบท้าวสักกะเทวราชเสด็จ
แปลงเป็นพราหมณ์เพื่อทูลขอนางมัทรีพระเวสสันดรจึงพระราชทานให้พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้
สำเร็จพระสัมโพธิญาณเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน ท้าวสักกะเทวราชในร่างพราหมณ์จึงฝากนางมัทรีไว้ยังไม่รับ
ไป ตรัสบอกความจริงและถวายคืนพร้อมถวายพระพร ๘ ประการ
พระเวสสันดรก็ดีพระทัยทูลรับพร ๘ ประการโดยดังนี้
๑. ขอให้พระบิดามีเมตตา
๒. ขอให้ปล่อยนักโทษ
๓. ขอให้อนุเคราะห์คนยากจน
๔. ขออย่าให้รู้อำนาจสตรี
๕. ให้พระโอรสมีอายุยืน
๖. ขอให้ฝนแก้ว7 ประการตกลงในเมืองสีพี
๗. ขอให้สมบัติในท้องพระคลังอย่ารู้หมดสิ้น
๘. เมื่อทิวงคตแล้ว ขอให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
คำศัพท์
ดำริ หมายถึง ตริ คิด ไตร่ตรอง
เข็ญใจ หมายถึง ยากจนข้นแค้น
สำแดง หมายถึง แสดง ทำให้เห็น
ข้อคิด
การทำดีแม้ไม่มีคนเห็น ขาดคนชมเชย ก็เป็นความดีอยู่วันยังค่ำ ดุจทองคำแม้จะอยู่ในตู้โชว์หรือในกำปั่น
จะปิดหน้าพระหรือหลังพระ ก็เป็นทองคำอยู่นั้นเองเข้าลักษณะว่า
กัณฑ์ที่ ๑๑ ๑๕
กัณฑ์มหาราช
เรื่องย่อ
เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนตนปีน
ขึ้นไปนอนบนต้นไม้เหล่าเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมาร จน
เดินทางถึงกรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายยังความปีติปราโมทย์ เมื่อ
เสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นชูชกพากุมารน้อย
สองพระองค์ ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน ต่อมาชูชกก็
ดับชีพตักษัยด้วยเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย ชาลีจูงได้ทูลขอให้ไปรับพระ
บิดาพระมารดานิวัติพระนคร ในขณะเดียวกันเจ้านครกลิงคะได้โปรด
คืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี
คำศัพท์
สุบิน หมายถึง ความฝัน
พระกรรณ หมายถึง หู
พระนาสา หมายถึง จมูก
บรรทม หมายถึง นอน
ปราโมทย์ หมายถึง ปราโมช ความยินดี ความบันเทิงใจ
ข้อคิด
คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับความปกป้องคุ้มครองภัยในทุกสถานชาติเสือยังไว้ลาย เกิดเป็นหญิงชายต้องไว้
ฝีมือ เกิดเป็นคนควรสร้างตนให้มีดีเกิดมาทั้งทีควรสร้างดีให้ติดตน แล้วโลกจะไม่ลืม
กัณฑ์ที่ ๑๒ ๑๖
กัณฑ์ฉกษัตริย์
เรื่องย่อ
ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเมื่อได้พบหน้า ณ อาศรมดาบสที่
เขาวงกต พระเจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา ๑ เดือน กับ ๒๓ วัน จึงเดินถึงเขา
วงกต เสียงโห่ ร้องของทหารทั้ง ๔ เหล่า พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็น
ข้าศึกมารบนนครสีพี จึงชวนนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขาพระนางมัท
รีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดา ได้ทรงตรัสทูลพระเวสสันดรและ
เมื่อหกกษัตริย์ได้พบหน้ากันทรงกันแสงสุดประมาณ รวมทั้งทหารเหล่า
ทัพ ทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืน ท้าวสักกะเทวราชจึงได้ทรงบันดาลให้
ฝนตกประพรมหกกษัตริย์และหวยหาญได้หายเศร้าโศก
คำศัพท์
วิปโยก หมายถึง ความพลัดพราก
ฝนโบกขรพรรษ หมายถึง น้ำฝนวิเศษไม่เปียกผู้ที่ไม่ต้องการให้เปียก ตกลงแล้วไหลซึมซาบดินหายไปรวดเร็ว
โศกศัลย์ หมายถึง ทุกข์โศกมาก
ข้อคิด
๑. พรากมีวันพบ จากมีวันเจอ จากกันยามเป็นได้เห็นน้ำใจจากกันยามตายได้เห็นน้ำตา
๒. การให้อภัยเป็นเพราะได้สำนึกเป็นเหตุให้ลบรอยร้าวฉานบันดาลสันติสุขแก่ส่วนรวม
๓. สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ผิด บรรพชิตยังรู้เผลอ ความผิดพลาดเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่การให้อภัยเป็นวิสัยของเทวดา
กัณฑ์ที่ ๑๓ ๑๗
นครกัณฑ์
เรื่องย่อ
หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จนิวัติพระนครททพระเวสสันดรขึ้นครองราชย์
แทนพระราชบิดา พระเจ้ากรุงสัญชัยตรัสสารภาพผิด พระเวสสันดรจึงทรงลา
ผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรีและเสด็จกลับสู่สีพีนคร เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้
ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า รุ่งเช้า
ประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ประชาชน
ท้าวโกสีห์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว ๗ ประการ ตกลงมาในนครสีพีสูงถึง
หน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนขนเอาตามปรารถนา ที่
เหลือให้ขนเข้าคลังหลวง ในการต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครอง
นครสีพีโดยทศพิธราชธรรมบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ
คำศัพท์
ประวิง หมายถึง ถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าออกไป
ทศพิธราชธรรม หมายถึง จริยาวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินควรประพฤติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์
หรือคุณธรรมของผู้ปกครองบ้านเมืองมี ๑๐ ประการ
ข้อคิด
ผลแห่งความดีที่ทำไว้ สัมฤทธิ์ผล ความดีที่ทำไว้ ไม่หายสาบสูญ พระบารมีที่บำเพ็ญครบบริบูรณ์ทั้ง ๓๐ ทัศความดีที่ทำ
ด้วยเจตนาเป็นกุศล ผู้คนย่อมมีโอกาสเข้าใจ
วิ จ า ร ณ์ ตั ว ล ะ ค ร ๑๘
พระเจ้ากรุงสัญชัย-พระนางผุสดี
เป็นแบบอย่างของนักปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหา
กษัตริย์เป็นประมุข ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ รู้จักผ่อนผันเพื่อ
คลี่คลายสถานการณ์ ไม่เว้นแก่พวกพ้อง แม้จะเป็นพระโอรสก็ตาม
พระเวสสันดร
เป็นแบบอย่างของผู้เสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของส่วน
รวม มุ่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ยอมเสียสละความสุข
ส่วนพระองค์ แม้จะทุกข์ก็ไม่หวั่น เป็นแบบอย่างของบุคคลผู้ไม่ยึดติด
อำนาจวาสนา รู้ซึ้งถึงโลกธรรมที่ว่า "ยามมียศ เขาก็ยก ยามต่ำตกเขาก็
หยาม" หาได้หวั่นไหวหรือล้มเลิกบำเพ็ญบารมีไม่
พระนางมัทรี
เป็นแม่แบบของภรรยาผู้มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตรของสามี สนับสนุนเป้า
หมายชีวิตอันประเสริฐที่สามีได้ตั้งไว้ และยังเป็นแบบอย่างของภรรยาตาม
ทัศนะของคนตะวันออก เช่น ปฏิบัติดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร เป็นต้น
ทรงคุณธรรมสำคัญ คือ "ซื่อตรง จงรัก หนักแน่น"
พระชาลี - พระนางกัณหา
เป็นแบบอย่างของลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ เข้าใจในเจตนาแห่งการประพฤติ
ธรรม เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากของพ่อคือพระเวสสันดร
ชูชก
เป็นตัวอย่างของคนที่ติดอยู่ในกามคุณเข้าลักษณะว่า "วัวแก่กินหญ้าอ่อน"
ต้องตกระกำลำบากในยามชรา เพราะ "รักสนุก จึงต้องทุกข์ถนัด" ตำราหิโต
ปเทศว่า " ความรู้เป็นพิษเพราะเหตุไม่ใช้ปราสาทเป็นพิษเพราะคนเข็ญใจ
อาหารเป็นพิษเพราะไฟธาตุไม่ย่อย เมียสาวเป็นพิษเพราะผัวแก่"
๑๙
ฝนโบกขรพรรษ
ลักษณะของฝนโบกขรพรรษจะมีสีแดงหลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกลเหมือน
เสียงสายฝนธรรมดา ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกาย จึงจะเปียกกาย ถ้าไม่ปรารถนา
แล้วแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียกตัวเหมือนหยาดน้ำตกลงในใบบัว แล้วก็กลิ้งตกลงไป
มิได้ติดอยู่ให้เปียก ดังนั้น จึงได้นามขนานขานเรียกว่า"ฝนโบกขรพรรษ"
ฝนโบกขรพรรษ มีลักษณะพิเศษดังนี้
๑. น้ำฝนนี้มีสีแดงดังเท้านกพิราบ หลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกลเหมือนเสียงสายฝนธรรมดา
๒. ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียก หากมิได้ปรารถนาแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียก
๓. เมื่อถูกกายแล้วจะหล่นสู่พื้นดินเสมือนหยาดน้ำที่ตกลงสู่ใบบัวแล้วกลิ้งตกลงไปฉะนั้น
๔. ไม่เจิ่งนองพื้นดิน เมื่อตกลงแล้วก็ซึมหายไปในแผ่นดินทันที
ในพุทธประวัติ ปรากฏฝนโบกขรพรรษตก ๓ ครั้ง คือ
๑. เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จแสดงธรรมโปรดพระประยูรญาติ
๒. เมื่อ พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี กัณหา และชาลี พบกัน
๓. เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จแคว้นเวสาลีแสดงธรรมจักกัปปวัฒนสูตร
๒๐
ทศชาติชาดก
มหานิบาตชาดก ทศชาติชาดก หรือ พระเจ้าสิบชาติ เป็นชาดกที่สำคัญ กล่าวถึง
การบำเพ็ญบารมีใน ๑๐ ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะเสวยพระชาติมาเกิดเป็น
พระโคตมพุทธเจ้า หรือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ ชาดกทั้ง ๑๐ เรื่อง เพื่อให้จำ
ง่าย มักนิยมท่องโดยใช้พยางค์แรกของแต่ละชาติ คือ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
ซึ่งเรียกว่า คาถาหัวใจทศชาติ หรือ คาถาหัวใจพระเจ้าสิบชาติ
ชาดกทั้ง ๑๐ เรื่อง
เตมีย์ชาดก
ชาติที่ ๑ เพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมี - เตมียชาดก (เต) เป็นชาติแรกในทศชาติชาดก ก่อนที่จะมา
ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านามพระโคดม ชาตินี้ พระองค์ทรงบำเพ็ญเนกขัมม
บารมี หมายถึง การออกบวช
มหาชนกชาดก
ชาติที่ ๒ เพื่อบำเพ็ญวิริยบารมี - มหาชนกชาดก (ชะ) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระชนกกุมาร
โอรสพระเจ้าอริฏฐชนก กษัตริย์เมืองมิถิลา ขณะที่เสด็จลงสำเภาไปค้าขาย เกิดพายุใหญ่เรือแตกกลาง
มหาสมุทร พระมหาชนกทรงว่ายน้ำโต้คลื่นอยู่ในมหาสมุทรถึง ๗ วัน นางเมขลาเห็นจึงพูดลองใจว่าให้
พระองค์ยอมตายเสียเสียตามบุญตามกรรม แต่พระองค์ก็ไม่ทรงฟัง ยังพยายามว่ายน้ำโต้คลื่นอยู่ตาม
เดิมนางเมขลาเห็นเลื่อมใสในความพยายาม จึงอุ้มพระองค์เหาะไปส่งที่ฝั่ง พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรง
บำเพ็ญ วิริยบารมี
สุวรรณสามชาดก
ชาติที่ ๓ เพื่อบำเพ็ญเมตตาบารมี - สุวรรณสามชาดก (สุ) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพรหมฤๅษี
ต้องรับภาระเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอด วันหนึ่งกบิลยักษ์แผลงศรมาถูกได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส แต่ก็ไม่
ได้โกรธ กลับแสดงเมตตาจิตต่อ และเทศนาทศพิธราชธรรมให้กบิลยักษ์ฟัง ด้วยอำนาจแห่งเมตตาธรรม
ทำให้พระสุวรรณสามหายเจ็บปวดรอดชีวิตมาได้ และบิดามารดาก็กลับมีจักษุดี พระชาตินี้พระโพธิสัตว์
ทรงบำเพ็ญ เมตตาบารมี
๒๑
ชาดกทั้ง ๑๐ เรื่อง
เนมิราชชาดก
ชาติที่ ๔ เพื่อบำเพ็ญอธิษฐานบารมี - เนมิราชชาดก (เน) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเนมิ
ราช โอรสเจ้าเมืองมิถิลา โปรดการบริจาคทานและรักษาพรหมจรรย์ พระอินทร์ทรงพอพระทัย ถึง
กับให้พระมาตุลีนำทิพยรถมารับไปเที่ยวเมืองสวรรค์ และเมืองนรก แล้วเชิญให้ครองเมืองสวรรค์
พระเนมิราชไม่ทรงรับและเสด็จกลับบ้านเมืองของพระองค์ พอทรงชราก็ออกผนวช พระชาตินี้พระ
โพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ อธิษฐานบารมี
มโหสถชาดก
ชาติที่ ๕ เพื่อบำเพ็ญปัญญาบารมี - มโหสถชาดก (มะ) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น มโหสถบัณฑิต
ผู้เกิดมาพร้อมแท่งยาใหญ่ซึ่งสามารถรักษาได้สารพัดโรค วันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหะ เจ้ากรุงมิถิลาได้ทรง
พระสุบินว่าจะมีบัณฑิตคนที่ ๕ เกิดขึ้นจึงโปรดให้มหาอำมาตย์ออกตามหา จึงได้ไปพบ มโหสถกุมาร ซึ่ง
ขณะนั้นมีอายุเพียง ๗ ปี แต่บัณฑิตทั้ง ๔ ของพระเจ้าวิเทหะต้องการจะพิสูจน์ปัญญาของมโหสถกุมารว่า
เหมาะสมจะเป็นบัณฑิตคนที่ ๕ หรือไม่ โดยมโหสถกุมารต้องผ่านการทดสอบเชาวน์ปัญญาถึง ๑๙ ครั้ง
จึงสิ้นความคลางแคลงใจ พระเจ้าวิเทหะจึงรับมโหสถเป็นพระราชโอรสบุญธรรม พร้อมทั้งสถาปนาให้
เป็นมหาบัณฑิต พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
ภูริทัตชาดก
ชาติที่ ๖ เพื่อบำเพ็ญศีลบารมี
จันทชาดก
ชาติที่ ๗ เพื่อบำเพ็ญขันติบารมี
นารทชาดก
ชาติที่ ๘ เพื่อบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
วิทูรชาดก
ชาติที่ ๙ เพื่อบำเพ็ญสัจจบารมี
เวสสันดรชาดก
ชาติที่ ๑๐ เพื่อบำเพ็ญทานบารมี สำหรับชาติสุดท้าย เป็นชาติที่สำคัญ และบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่ คือ
เวสสันดรชาดก หรือเรื่องพระเวสสันดร
บรรณานุกรม
นางสาวศุภนิดา แดงวิเชียร. เรื่องย่อพระเวสสันดร. (2554). สืบค้นเมื่อ 24 พฤษจิกายน ๒๕๖๕
จากhttp://thn21713-01.blogspot.com/2011/12/blog-post_8299.html
ทศชาติชาดก 101 : เวสสันดรชาดก. (2553). สืบค้นเมื่อ 24 พฤษจิกายน ๒๕๖๕
จากhttps://readthecloud.co/vessantara-jataka/
ผู้แต่งและประวัติผู้แต่ง. (2553). สืบค้นเมื่อ 24 พฤษจิกายน ๒๕๖๕
จากhttps://kriengkraikks.files.wordpress.com/2013/07/e0b980e0b899e0b8b7e0b98
9e0b8ade0b8abe0b8b2e0b8ade0b989e0b8b2e0b887e0b8ade0b8b4e0b8871.pdf
ผลงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ท๓๑๑๐๒
ภาษาไทย
เสนอ
ครูสุชาติ พิบูลย์วรศักดิ์
ครูประจำวิชา
จัดทำโดย
ชั้นมัธยมศึก
ษาปีที่ ๔/๓
เลขที่ ๖
นายเกรียงไกร ศาสตราชัย
นายชนกันต์ สุระมล เลขที่ ๗
นายธนกฤต เรือนศรี เลขที่ ๘
นายภูรินท์ อินทวงศ์ เลขที่ ๑๐
นายศุภวิชญ์ ยมใหม่ เลขที่ ๑๑
นางสาวกชกร เอี่ยมใหญ่ เลขที่ ๓๑
นางสาวจันทิมา สุวรรณประทุม เลขที่ ๓๒
นางสาววรรณิษา จันทร์คำ เลขที่ ๓๕