The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พรพรรณ ปิ่นเงิน, 2020-10-09 11:46:04

วิจัยในชั้นเรียน ปีการศึกษา 2563 ภาคเรียนที่ 1-พรพรรณ

เผยแพร่วิจัยในชั้นเรียน-พรพรรณ

วจิ ัยในช้ันเรียน

เรอ่ื ง การพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้เชงิ รกุ
และการใชผ้ ัง Sorting เพ่ือสร้างความรูค้ วามเข้าใจ
เรอื่ งแรงลัพธ์ ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5

ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 โรงเรยี นอนุบาลพระสมุทรเจดีย์

นางพรพรรณ ปิน่ เงิน
ตาแหน่ง ครู

กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
โรงเรียนอนุบาลพระสมุทรเจดีย์
สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน





คำนำ

การจัดทาวิจยั เรื่องการพัฒนากิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้การจดั การเรียนรู้เชงิ รุกและการใช้ผงั Sorting
เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ เร่ืองแรงลัพธ์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา
2563 โรงเรยี นอนบุ าลพระสมุทรเจดีย์น้ี มวี ัตถุประสงคเ์ พื่อพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการ
เรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting เร่ืองแรงลัพธ์ ท่ีเหมาะสมกับสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชา
วิทยาศาสตร์ และเพื่อศึกษาผลของการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง
Sorting เร่ืองแรงลัพธ์ของบทเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนอนุบาลพระสมุทรเจดีย์ ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศกึ ษา 2563 ซึง่ ผลการวจิ ยั คร้งั น้ีจะไดน้ าไปประยกุ ต์ใชก้ บั หนว่ ยการเรยี นรอู้ น่ื ๆได้เป็นอยา่ งดี

ผูว้ ิจัยขอขอบพระคุณท่านผู้อานวยการ และหัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โรงเรียนอนบุ าลพระสมุทรเจดีย์ ที่ให้คาปรึกษา คาแนะนา เพื่อจัดทารายงานวิจัยฉบับน้ใี ห้สาเรจจลุล่วงด้วยดี
และขอขอบคุณนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนอนุบาลพระสมุทร
เจดีย์ ทกุ คน ทไี่ ดใ้ หค้ วามร่วมมอื ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรมู้ า ณ โอกาสนี้

พรพรรณ ปน่ิ เงิน



ช่ือผวู้ จิ ัย : นางพรพรรณ ปิน่ เงิน
ช่ือเร่อื ง : การพฒั นากิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ารจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกและการใช้ผงั Sorting เพ่ือสรา้ ง

ความรู้ความเข้าใจ เรื่องแรงลัพธ์ ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา
2563 โรงเรยี นอนบุ าลพระสมทุ รเจดยี ์
ปกี ำรศกึ ษำ : ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563

บทคดั ยอ่

การวิจยั คร้ังนเ้ี ป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อพฒั นาการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การ
จัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting เร่ืองแรงลัพธ์ ท่ีเหมาะสมกับสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชา
วิทยาศาสตร์ และเพ่ือศึกษาผลของการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง
Sorting เรอื่ งแรงลัพธ์ของบทเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563

กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ีเป็นนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จานวน 120 คน ปีการศึกษา
2563 โรงเรยี นอนบุ าลพระสมุทรเจดยี ์

เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก สือ่ Sorting แรง
ลัพธ์ ใบงานเชิงสร้างสรรค์ และเกมกระดานหาแรงลัพธ์พาผ้ึงกลับรัง โดยนาไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ระหว่าง
การจัดการเรียนรู้ให้ผเู้ รยี นทากิจกรรมเชงิ รกุ เพอ่ื เรยี นรู้เรื่องแรงลัพธ์ หลังจากจบการเรยี นการสอนสรุปความรู้
ด้วยการใช้ผัง Sorting และทดสอบความรู้ความเข้าใจด้วยการตอบคาถามในเกมหาแรงลัพธ์พาผึ้งกลับรัง
จากน้ันผู้วิจัยจึงประเมินวิเคราะห์ความเหมาะสมของการจัดการเรียนรู้ และประเมินวิเคราะห์ความรู้ความ
เข้าใจของผู้เรยี น

ผลการวิจัยปรากฏว่า หลังการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง
Sorting เพ่ือสร้างความรคู้ วามเข้าใจเรื่องแรงลัพธ์ ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 แล้ว ผู้วิจยั พบว่าการใช้
กระบวนการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องแรงลัพธ์ ดังงานวิจัยน้ีมี
ความเหมาะสมอยู่ในระดับดี และควรปรบั ปรุงกระบวนการจดั การเรียนรู้จากบนั ทึกหลังสอนต่อไป ส่วนความรู้
ความเขา้ ใจนั้นผวู้ ิจัยพบว่าหลังการจดั การเรียนรแู้ ละประเมินผลการตอบคาถามจากเกมหาแรงลัพธ์พาผง้ึ กลับ
รงั ผู้เรยี นมีความรูค้ วามเข้าใจเพิม่ ข้ึนและอย่ใู นระดับทดี่ ีมาก สามารถตอบคาถามได้ถูกต้องรอ้ ยละ 95

ค หนำ้

สำรบญั ข
1
คำนำ 1
บทคัดย่อ 1
บทที่ 1 บทนำ 2
2
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา 2
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 2
คาถามการวจิ ยั 4
ขอบเขตของการวิจยั 4
ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะไดร้ บั 8
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 8
บทที่ 2 เอกสำรและงำนวจิ ยั ที่เกย่ี วขอ้ ง 8
เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง 8
บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ กำรวจิ ัย 8
ตวั แปร/สง่ิ ที่ศึกษา 9
กลุ่มเป้าหมาย 11
เนอ้ื หาทีใ่ ช้ในงานวจิ ัย
เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในงานวจิ ัย
การวิเคราะหข์ ้อมลู
แผนการวิจยั



สำรบญั (ต่อ)

หนำ้

บทที่ 4 ผลกำรวจิ ัย 12

การวเิ คราะหผ์ ลการทาแบบฝึกหัด/ใบงาน 12

การวิเคราะห์ผลการใช้ผงั Sorting แรงลพั ธ์ 12

การวิเคราะหผ์ ลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 13

การวิเคราะห์หาความเหมาะสมของการจัดการเรียนรู้จากบนั ทึกหลังแผน 13

บทที่ 5 สรุปและข้อเสนอแนะ 15

สรปุ ผลการวิจัย 16

อภิปรายผล 16

ขอ้ เสนอแนะ 16

บรรณานุกรม 17

ภาคผนวก ก แผนการจดั การเรยี นรูเ้ ร่อื งแรงลัพธ์

ภาคผนวก ข สอ่ื Sorting แรงลัพธ์

ภาคผนวก ค แผนผังเกมแรงลพั ธ์“พาผึ้งกลบั รงั ”

ภาคผนวก ง ภาพการจัดกิจกรรมและภาพตัวอยา่ งผลงาน

1

บทท่ี 1
บทนำ

ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปญั หำ

วทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ความรู้ที่ได้โดยการสังเกต และคน้ คว้าจากปรากฏการณ์ ธรรมชาติ แล้วจัดเข้า
เป็นระเบียบ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546 : 1075) วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ท่ีทดลอง หรือพิสูจน์ได้ว่า
ถกู ต้องตรงความจรงิ จัดไว้เป็นหมวดหมู่ มรี ะเบียบ และขั้นตอน สรุปได้เป็นกฎเกณฑ์สากล (เติมศักด์ิ เศรษฐ
วชั ราวนิช. 2540 : 1) เรนเนอร์ และสแตฟฟอรด์ (Renner and Stafford. 1972 อ้างถึงในภพ เลาหไพบูลย์.
2537 : 1) ให้ความหมายวทิ ยาศาสตร์ว่า วิทยาศาสตร์ต้องเก่ยี วขอ้ งกับ ประสบการณ์ตรงมกี ารสืบค้น หรือการ
สังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ และมีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย และวิทยาศาสตร์ ต้องมีการ จัดกระทา และ
การตคี วามหมาย ขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ โดยใช้วธิ กี ารท่มี เี หตุผล นอกจากนี้ วทิ ยาศาสตรต์ ้อง มกี ารสรา้ งสรรค์ มี
ความพยายามที่จะอธบิ าย และเขา้ ใจธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยสรุปวทิ ยาศาสตร์ คือ การแสวงหา
ความจริง เก่ียวกับธรรมชาติ ด้วยวิธีการท่ีมีเหตุผล เพ่ือเข้าใจธรรมชาติ และอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่าง
สร้างสรรค์ และมีความสุข วทิ ยาศาสตร์คือ วิชาที่ศึกษาหาความรู้เกยี่ วกับธรรมชาติ ท้ังท่ีมีชีวิต และไม่มีชีวิต
เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ ในสภาพน่ิง หรอื สภาพที่มีการ เปลยี่ นแปลง ตามกาลเวลา
และตามสภาพการกระตุ้นทั้งจากภายใน หรือจากสภาพภายนอก การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ มีจุดมุ่งหมาย
เพื่อแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบ จากการสังเกต ต้ังข้อสมมุติฐาน พิสูจน์สมมุติฐาน ด้วยกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ เช่น การทดลองวิเคราะห์ บนรากฐานของเหตุผล ความรู้ หรือข้อเท็จจริง ท่ีได้น้ัน ๆ สามารถ
นามาตัง้ เปน็ ทฤษฎีได้

จากสภาพปัญหาการเรียนในปจั จุบนั การพัฒนาการจัดกระบวนการเรยี นรู้จึงเปน็ สง่ิ สาคัญ เพราะการ
จัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีดี ย่อมทาให้นักเรียนประสบผลสาเร็จตามเป้าประสงค์ของหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้
นักเรียนได้เป็นผู้ค้นพบความรู้ ด้วยตนเองมากท่ีสุด ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้เกิดแนวคิดท่ีจะพัฒนา
กระบวนการเรียนรู้ เพื่อแก้ปัญหาให้นักเรยี นท่ียงั เรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์อย่างไม่เข้าใจและไมม่ ีทศิ ทางได้เข้าใจ
เนื้อหาสาระและกระบวนการต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และไม่ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะได้นาไป
ประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวัน การศกึ ษาตอ่ และการประกอบอาชีพ พรอ้ มกบั ปลูกจิตวิทยาศาสตร์ ผวู้ ิจยั ได้เลือก
นวัตกรรมหลายๆ อย่าง และนวตั กรรมท่ผี ู้วจิ ัยคิดว่าน่าจะแก้ปัญหาเรื่องการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ไดเ้ ป็นอย่างดี
วิธหี นงึ่ คือการนากระบวนการการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบกับการใช้ผัง Sorting เพ่ือเสรมิ การใช้กระบวนการคิด
เชิงเปรียบเทียบในสาระเทคโนโลยีมาใช้ประกอบการเรียนรู้เนื้อหาวิทยาศาสตร์ ตลอดจนกิจกรรมท่ีจะทาให้
นักเรยี นเกิดความกระตอื รอื รน้ ในการจะทากิจกรรมต่างๆ มากข้นึ และเกิดการสร้างองคค์ วามรูด้ ว้ ยตนเอง

วตั ถุประสงค์ของงำนวิจยั

1. เพ่ือพฒั นาการจัดกระบวนการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ารจัดการเรียนรเู้ ชิงรกุ และการใชผ้ ัง Sorting เรอ่ื งแรง
ลพั ธ์ ท่ีเหมาะสมกับสภาพการจัดการเรยี นการสอนวิชาวทิ ยาศาสตร์

2. เพอื่ ศึกษาผลของการจดั กระบวนการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ารจดั การเรยี นรเู้ ชิงรุกและการใช้ผัง Sorting เรื่อง
แรงลพั ธข์ องบทเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 5

2

คำถำมกำรวิจยั

1. การใช้กระบวนการเรียนรู้โดยใชก้ ารจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting ท่ีเหมาะสมกบั เรื่อง
แรงลพั ธ์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 เปน็ อย่างไร

2. การใชก้ ระบวนการเรียนรู้โดยใชก้ ารจัดการเรียนรเู้ ชงิ รกุ และการใช้ผัง Sorting สามารถพฒั นา
ความร้คู วามเข้าใจเร่ืองแรงลัพธ์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ไดห้ รือไม่อย่างไร

ขอบเขตกำรวิจยั

1. กลมุ่ เปา้ หมายที่ใชใ้ นการวิจัยครงั้ นเี้ ปน็ นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 จานวน 120 คน ปกี ารศึกษา
2563 ในโรงเรยี นอนบุ าลพระสมุทรเจดยี ์

2. เนอ้ื หาวชิ าที่ใชใ้ นการวจิ ยั ครั้งน้ี เปน็ ส่วนหนึ่งของกลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ของระดับช้ัน
ประถมศกึ ษาปีที่ 5 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ปรับปรุงพุทธศกั ราช 2560)
ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน เรือ่ งแรงลพั ธ์

3. ระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนร้ใู ชเ้ วลารวม 2 สปั ดาห์
4. ตวั แปรท่ศี ึกษา

4.1 ตัวจัดกระทา คือการจัดการเรยี นรู้โดยใชก้ ารจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ และการใช้ผงั Sorting
4.2 ตวั แปรที่ศกึ ษา คือ

4.2.1 การจัดการเรยี นรู้โดยใช้การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ และการใช้ผัง Sorting
4.2.2 ผลของการจดั การเรียนรู้โดยใช้การจดั การเรียนรูเ้ ชงิ รกุ และการใชผ้ งั Sorting
ด้านความรคู้ วามเข้าใจ

ประโยชน์ทคี่ ำดวำ่ จะได้รบั จำกกำรวจิ ัย

การศึกษานีจ้ ะเกิดประโยชนแ์ ก่
ครู : ไดว้ ธิ กี ารสอนทเี่ หมาะสม
นักเรียน : นกั เรยี นมีจิตวทิ ยาศาสตร์ และเกิดการสรา้ งองค์ความรู้ได้ดว้ ยตนเอง

นยิ ำมคำศัพท์ :

1. การจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ คอื กระบวนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ผเู้ รยี นไดล้ งมือกระทาและได้ใช้กระบวนการคดิ
เกี่ยวกับสิ่งท่ีเขาได้กระทาลงไป เป็นการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2ประการคือ 1) การเรียนรู้
เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์ และ 2) แต่ละบุคคลมแี นวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยนักเรียนจะ
ถูกเปลีย่ นบทบาทจากผรู้ บั ความร(ู้ receive) ไปสกู่ ารมีส่วนรว่ มในการสร้างความรู้(co-creators)

การจัดการเรยี นรู้เชิงรุก หรือ Active Learning จึงเป็นกระบวนการจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์
ทางปญั ญา(Constructivism) ที่เนน้ กระบวนการเรยี นรมู้ ากกวา่ เน้ือหาวชิ า เพอ่ื ช่วยให้ผเู้ รียนสามารถเชื่อมโยงความรู้
หรอื สร้างความรใู้ ห้เกิดขึน้ ในตนเอง ดว้ ยการลงมือปฏบิ ตั ิจรงิ ผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ท่มี ีครูผสู้ อนเป็นผู้
แนะนา กระตนุ้ หรอื อานวยความสะดวก ใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรียนรู้ขน้ึ โดยกระบวนการคิดขัน้ สูง กล่าวคอื
นกั เรยี นมกี ารวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากสิง่ ที่ไดร้ ับจากกิจกรรมการเรยี นรู้ ทาใหก้ ารเรยี นรู้
เป็นไปอย่างมคี วามหมายและนาไปใช้ในสถานการณ์อน่ื ๆได้อย่างมีประสิทธภิ าพ

3

2. ผงั Sorting คอื ผงั กจิ กรรมสาหรับแสดงการเปรยี บเทียบ และการเรียงลาดบั ข้อมูล ตามเงอ่ื นไขท่คี รู
กาหนด เชน่ การคานวณแรงลพั ธข์ องตนเอง แล้วเปรียบเทยี บกับเพ่ือนๆในกลุม่ โดยการเปรยี บเทยี บทีละคตู่ าม
เงื่อนไขทค่ี รูกาหนด ผลลัพธส์ ุดท้ายจะแสดงการเรียงลาดับจากมากไปหาน้อย หรอื น้อยไปหามากได้อยา่ งถกู ตอ้ ง

ภำพแสดงผัง Sorting

4

บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง

การวิจยั ครง้ั นี้มวี ัตถปุ ระสงค์ เพ่ือพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนร้โู ดยใช้การจัดการเรียนรูเ้ ชงิ รกุ และการ
ใช้ผัง Sorting เรือ่ งแรงลพั ธ์ ทเี่ หมาะสมกับสภาพการจัดการเรยี นการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ และเพ่ือศึกษาผลของ
การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting เร่ืองแรงลัพธ์ของบทเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องพร้อมทั้ง
รายละเอียดต่างๆ ดังต่อไปนี้

เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวข้อง

1. แนวคดิ เกี่ยวกบั การจดั การเรยี นรู้เชิงรุก
การเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Active Learning) ทาให้ผู้เรียนสามารถ
รกั ษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรียน เป็นฝ่ายรบั ความรู้ (Passive
Learning) เพราะกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning สอดคลอ้ งกับการทางานของสมองที่เกยี่ วข้องกับ
ความจา โดยสามารถเก็บและจาสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือน ผู้สอน ส่ิงแวดล้อม
การเรียนรู้ที่ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บความจา ในระบบความจาระยะยาว (Long Term
Memory) ทาให้ผลการเรยี นรู้ ยังคงอยู่ได้ในปรมิ าณที่มากกวา่ ระยะยาวกวา่ ซ่ึงอธิบายได้ ดังรปู

จากรปู จะเหน็ ไดว้ ่า กรวยแห่งการเรียนรู้น้ไี ด้แบง่ เป็น 2 กระบวนการ คือ
1. กระบวนการเรียนรแู้ บบตั้งรบั (Passive Learning)
- การเรยี นร้โู ดยการอ่าน ทอ่ งจา ผูเ้ รียนจะจาได้ในสิ่งทเ่ี รยี นเพยี ง 20%
- การเรียนรู้โดยการฟงั บรรยายเพียงอยา่ งเดยี วโดยท่ีผ้เู รียนไมม่ โี อกาสได้มีสว่ นร่วมใน

การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมอ่ืนในขณะท่ีครูสอน เมื่อเวลาผ่านไปผู้เรียนจะจาได้เพียง 20% หากในการเรียนการ
สอนผ้เู รยี นมโี อกาสได้เห็นภาพประกอบดว้ ยกจ็ ะทาใหผ้ ลการเรยี นรู้คงอยูไ่ ดเ้ พม่ิ ขึ้นเปน็ 30%

- การเรยี นรู้ทผ่ี ู้สอนจัดประสบการณ์ใหก้ ับผู้เรียนเพิม่ ขนึ้ เช่น การให้ดูภาพยนตร์ การสาธติ

5

จัดนิทรรศการให้ผู้เรียนได้ดู รวมท้ังการนาผู้เรียนไปทัศนศึกษาหรือดูงาน ก็ทาให้ผลการเรียนรู้เพ่ิมข้ึน เป็น
50%

2. กระบวนการเรยี นรเู้ ชงิ รุก ( Active Learning)
- ผเู้ รยี นมบี ทบาทในการแสวงหาความรู้และเรยี นรูอ้ ยา่ งมปี ฏิสมั พนั ธ์จนเกิดความรู้ ความ

เข้าใจ นาไปประยกุ ตใ์ ช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า หรือ สรา้ งสรรค์สิ่งต่างๆ และพัฒนาตนเอง
เต็มความสามารถ รวมถึงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ได้ร่วมอภิปราย ให้ฝึกทกั ษะการสื่อสาร ทาให้ผล
การเรียนร้เู พ่ิมข้ึนเปน็ 70%

- การนาเสนอผลงานทางการเรยี นรใู้ นสถานการณจ์ าลอง ท้ังมีการฝึกปฏิบตั ใิ นสภาพจริง มี
การเชื่อมโยงกับสถานการณต์ า่ งๆ จะทาให้ผลการเรยี นรเู้ กดิ ขน้ึ ถึง 90%

2. กิจกรรมพ้ืนฐานที่สาคัญสาหรับการเรียนการสอนแบบ Active learning ในชั้นเรียนนั้นล้วน
อยูบ่ นพื้นฐานของทักษะต่อไปนี้

1. การพดู และการฟัง
เม่ือนักเรียนได้พูดในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการตอบคาถามของผู้สอนหรือการอธิบายเรื่องใด
เรื่องหน่ึงให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง นักเรียนได้ฝึกเรียบเรียงและประมวลความรู้ท่ีตนได้ศึกษาและเรียนรู้ในชนั้ เรียน
เขา้ ด้วยกันเม่ือนักเรยี นฟังการบรรยาย ผู้สอนควรมนั่ ใจวา่ เป็นการฟงั ท่มี คี วามหมาย น่ันคือ ผู้สอนตอ้ งมั่นใจว่า
นักเรียนจะสามารถเช่ือมโยงระหวา่ งส่ิงที่นักเรยี นรู้อยู่แล้วกับส่ิงท่ีนักเรียนกาลังฟัง ในการบรรยายแต่ละคร้ัง
นกั เรยี นตอ้ งการเวลาระยะหนงึ่ ในการทาความเข้าใจและเรียบเรยี งขอ้ มูลท่ีได้จากการฟงั อีกประเดน็ ท่ีน่าสนใจ
คอื นกั เรียนตอ้ งการเหตผุ ลของการฟัง วิธีการง่ายๆ ทผี่ ู้สอนจะกระตุ้นความสนใจของนกั เรียนได้ ผู้สอนอาจใช้
วธิ ีตั้งคาถามที่จุดประกายความสนใจใคร่รูข้ องนักเรยี นก่อนเร่ิมการบรรยาย นักเรียนจะเกิดความสงสัย อยาก
ค้นหาคาตอบ เพ่ือให้ได้คาตอบน้ัน นักเรียนจะให้ความสนใจในส่ิงท่ีผู้สอนจะบรรยายต่อไป หรือผู้สอนอาจ
มอบหมายงานล่วงหนา้ ให้นักเรียนอธิบายหัวข้อใดหวั ขอ้ หนงึ่ ทผี่ ู้สอนกาลังจะบรรยายแก่เพ่ือนร่วมชนั้ หลังจบ
การบรรยาย นักเรียนจะให้ความสนใจในเนอ้ื หาท่ีผู้สอนจะบรรยาย ประมวลผลและเรียบเรียงเน้ือหาของการ
บรรยายภายในระยะเวลาทีจ่ ากดั และส่ือสารให้เพ่ือนรว่ มชั้นได้เขา้ ใจในส่งิ ทีต่ นเองเขา้ ใจ

2. การเขยี น
เช่นเดียวกับการฟังและการพูด การเขียนคือกระบวนการท่ีนักเรียนประมวลข้อมูลท่ีตนเองมีอยู่และ
ถ่ายทอดออกมาด้วยสานวนภาษาของตนเอง การฝกึ ทักษะการเขียนเหมาะกับนักเรียนที่ชอบเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
ทักษะการเขยี นถกู ใช้ได้ผลดมี ากกับชน้ั เรียนขนาดใหญ่ ในขณะท่ีการมอบหมายงานกลุ่มย่อยหรอื การจับคู่เป็น
กจิ กรรมทไี่ ม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะนักเรยี นทุกคนอาจไม่ไดม้ ีส่วนร่วมในงานเขียนของกลุม่

3. การอ่าน
โดยปกติแล้ว นักเรียนสามารถเรียนรู้ผา่ นการอ่านได้ดี แต่นักเรียนมักจะขาดการได้รบั คาแนะนาเพ่ือการ
อ่านอย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมเพ่ือส่งเสริม Active learning เช่น การทาสรุปหรือโน้ตตรวจสอบความ
เขา้ ใจ จะช่วยให้นักเรียนสรปุ แนวคิดรวบยอดจากการอา่ นและพฒั นาความสามารถในการจับใจความสาคญั ได้

4. การสะท้อน
ในห้องบรรยายทว่ั ๆ ไป ผู้สอนจะจบการพูดบรรยายทด่ี าเนนิ มาอยา่ งต่อเน่ืองเมื่อใกล้จะหมดเวลาบรรยาย
แล้ว ขณะน้นั นักเรียนจะเริม่ เก็บอุปกรณก์ ารเรียนและเดินไปห้องบรรยายรายวิชาถัดไป ในบางครง้ั นักเรียนก็
ไม่ได้ซึมซับความรู้จากการบรรยายที่เพิ่งจบลงเลย เพราะนักเรียนไม่มีเวลาได้ถ่ายทอดในสิ่งท่ีเพ่ิงเรียนรู้โดย
เช่ือมโยงเขา้ กับส่ิงที่รู้อยู่แล้วหรือได้นาความรู้ที่ได้ศึกษามาน้ันไปใช้ ดังนั้น การให้นักเรียนได้หยุดเพื่อคิดหรือ

6

ถ่ายทอดความรขู้ องตนผ่านการสอนหรอื ตวิ เพือ่ นรว่ มช้นั หรอื ตอบคาถามต่างๆ ท่ีเกีย่ วข้องกบั เร่อื งน้ันๆ เป็นวิธี
ที่ง่ายท่ีสุดในการกระตุ้นความสนใจของนักเรียน กิจกรรมเพื่อส่งเสริม Active Learning ท่ีเหมาะสมกับ
นักเรียนในช้ันเรียนใดๆ ก็คือกิจกรรมที่พัฒนาทักษะท่ีนักเรียนยังขาดความชานาญอยู่ อย่างไรก็ดี ในบาง
กจิ กรรม ผู้สอนสามารถช่วยพัฒนาทักษะหลายๆ ด้านไปพร้อมๆ กันได้ ดังนั้น การที่ผู้สอนให้ความสาคญั ต่อ
การวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อสง่ เสริม Active Learning ในระหวา่ งภาคการศึกษาจงึ เป็นเรื่องท่ีสาคัญย่ิง

ลักษณะสาคัญของการจดั การเรียนการสอนแบบ Active learning ได้แก่
1) เป็นการเรยี นการสอนที่เปดิ โอกาสให้นักเรยี นมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการเรียนรูส้ งู สุด
2) นักเรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทางาน การแบ่งหน้าท่ีความ

รบั ผิดชอบ
3) เปน็ กระบวนการสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนอ่าน พดู ฟงั คดิ อย่างลุ่มลึก นกั เรยี นจะเป็น

ผู้จดั ระบบการเรยี นรู้ด้วยตนเอง
4) เปิดโอกาสให้นักเรียนบรู ณาการข้อมูลข่าวสาร หรอื สารสนเทศ และหลักการความคิดรวบ

ยอด
5) ผู้สอนจะเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพ่ือให้นักเรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย

ตนเอง
6) ความรู้เกดิ จากประสบการณ์ การสรา้ งองค์ความรูแ้ ละการสรปุ ทบทวนของนกั เรยี น

การบริหารจดั การเม่ือใชก้ ารเรียนการสอนแบบ Active learning
1) พิจารณาจุดประสงค์ เน้ือหา ท่ตี อ้ งการใหน้ กั เรยี นเรยี นรู้
2) ออกแบบกจิ กรรมท่ชี ว่ ยสง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นได้เรียนร้ไู ด้อย่างแทจ้ รงิ
3) ใช้กจิ กรรมการเรียนเชิงรุก เพ่ือกระตุ้นให้นกั เรียนเรียน
4) ประเมนิ ผลการเรียนอยู่เสมอ เพื่อตรวจสอบว่านักเรียนเรียนรู้อะไรบา้ งและมีประเด็นใดที่

นักเรยี น ยังสงสัย
5) หลีกเลี่ยงการสอนเพอ่ื ใหค้ รบใหท้ นั รีบเรง่ เพราะจะทาใหน้ ักเรยี นไม่อยากเรียน

3. แนวคิดเกย่ี วกับ ผงั Sorting
ผงั Sorting ดังงานวิจัยน้ี เป็นการจัดเรียงขอ้ มูลโดยการรวม ข้อมูลเข้าด้วยกนั Merge Sort เปน็ การ
เรียงลาดับที่อาศัยหลักการ Divide and Conquer โดยจะแบ่ง ข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน ซ่ึงแต่ละส่วนจะ
แบง่ ย่อยขอ้ มลู เป็นอกี 2 ส่วนเร่ือยไป จนกระทั่งไมส่ ามารถแบ่งได้อีก แลว้ จงึ เรียงลาดับขอ้ มูลแตล่ ะส่วนยอ่ ย
จากนั้นนาขอ้ มูลขอ้ มลู แต่ละสว่ นยอ่ ยมารวม (Merge) เขา้ เปน็ ขอ้ มูลชุดเดยี วกันพร้อมทง้ั เรียงลาดบั ตวั อยา่ ง

7

และนาข้นั ตอนวิธีการขา้ งตน้ มาปรบั ประยกุ ต์ใช้ในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ สามารถนาไปใช้ไดก้ ับ
หลายๆเรื่องท่มี กี ารเปรียบเทยี บ จัดลาดบั

4. แนวคดิ เกี่ยวกบั ความรู้ความเขา้ ใจ
ความรู้ คอื สิง่ ท่ีทาใหค้ นเขา้ ใจ แล้วนาความเข้าใจนน้ั มาปฏิบตั หิ รอื ประยกุ ต์ใหเ้ กดิ ประโยชน์
ความเขา้ ใจ คือเปา้ หมายแหง่ การเรยี นรู้ โดยความเขา้ ใจท่ฝี งั ใจอย่างยง่ั ยืนมีระดบั ท่เี หนอื กว่า
ขอ้ เท็จจริงตา่ งๆ และทักษะตา่ งๆท่ีมุ่งไปสคู่ วามคิดรวบยอดตา่ งๆ

5. แผนการจัดการเรยี นรู้
ภพ เลาหไพฑรู ย์ ให้ความหมายของแผนการสอนว่าแผนการสอนหมายถึงลาดบั ขัน้ ตอน และ
กจิ กรรมทง้ั หมดของผู้สอนและนกั เรียน ทผี่ ู้สอนกาหนดไวเ้ ปน็ แนวทางในการจดั สถานการณใ์ ห้นกั เรียนเปลี่ยน
พฤตกิ รรมไปตามวตั ถุประสงค์
สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ให้ความหมายของแผนการสอนวา่ หมายถึง การ
วางแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน เพอ่ื เป็นแนวทางการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนแต่ละคร้ัง โดย
กาหนดสาระสาคัญ จุดประสงค์ เน้ือหา กจิ กรรมการเรียนการสอน สื่อ ตลอดจนการวัดผลและประเมนิ ผล
กรมวิชาการ ใหค้ วามหมายของแผนการจดั การเรียนรู้ คือผลของการเตรียมการวางแผนการจดั การ
เรยี นการสอนอยา่ งเปน็ ระบบโดยนาสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ คาอธบิ ายรายวิชา และกระบวนการเรียนรู้
มาเขยี นเป็นแผนการจัดการเรียนรใู้ หเ้ ป็นไปตามศักยภาพของนกั เรียน
สรปุ วา่ แผนการสอนหรือแผนการจดั การเรียนรู้คอื การวางแผนการจดั กจิ กรรมเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร
ไว้ลว่ งหนา้ อย่างละเอยี ด เพือ่ เปน็ แนวทางในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน ซง่ึ มีเน้อื หากจิ กรรมการเรยี น
การสอน ส่อื การสอน และวธิ ีการวดั ผลประเมินผลท่ีชัดเจน

กรอบแนวคดิ ในการวิจยั

8

บทท่ี 3
วิธีดำเนนิ กำรวิจยั

การวจิ ัยครง้ั น้เี ปน็ การวจิ ยั เชงิ ทดลอง โดยเร่มิ จากการกาหนดแผนการจัดการเรียนรู้ ออกแบบสือ่
กิจกรรม แบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นโดยเกมและประเมนิ ผล

ตวั แปร/สิง่ ทต่ี ้องกำรศึกษำ

1. การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้การจัดการเรียนรเู้ ชิงรกุ และการใช้ผงั Sorting
2. ผลของการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผงั Sorting ดา้ นความร้คู วามเข้าใจ

กลมุ่ เปำ้ หมำย

ผเู้ รียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 จานวน 120 คน ปกี ารศึกษา 2563 ในโรงเรยี นอนุบาลพระสมทุ รเจดีย์

เนื้อหำทใ่ี ช้ในกำรวจิ ัย

ส่วนหนงึ่ ของกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ของระดับชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 หลักสตู รแกนกลาง
การศึกษาขน้ั พ้นื ฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุงพุทธศกั ราช 2560) ของสานกั งานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน เร่อื งแรงลพั ธ์

เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรวิจัย

1. เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นกำรเรียนกำรสอน
1.1 แผนการจัดการเรียนรู้จานวน 1 แผน 4 ชั่วโมง เพอื่ ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย

วธิ กี ารสอนโดยใช้การจัดการเรยี นร้เู ชงิ รกุ และการใช้ผัง Sorting
ขนั้ ตอนการพฒั นาเครือ่ งมอื :

การวางแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การตีความหมายของหลักสูตร และการกาหนดรายละเอียดของ
หลักสูตรท่ีจะต้องนามาจัดกาเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน ผลจากการวางแผนจะได้เป็นคู่มือท่ีใช้เป็นแนวทาง
เรยี กวา่ กาหนดการสอน ประกอบด้วยกิจกรรม ดงั น้ี

1) ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตร ได้แก่ หลักการ จุดหมาย โครงสร้าง เวลาเรียน แนวทางการ
ดาเนินการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนใหต้ อบสนองจุดประสงค์การเรียนรู้ และจุดมุ่งหมายของหลกั สูตร การ
วัดและการประเมินการเรียน คาอธิบายในแต่ละกลุ่มประสบการณ์ ซึ่งระบุเนื้อหาท่ีต้องให้ผู้เรียนได้เรียน
ตามลาดับขั้นตอนกระบวนการที่ต้องให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ และจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีต้องการให้เกิดการ
เรยี นรู้

2) ศึกษาความสอดคล้องสมั พนั ธ์กนั กับองค์ประกอบแตล่ ะส่วนของหลักสตู ร

9

3) ลาดับความคิดรวบยอดที่จัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ก่อนหลัง โดยพิจารณาขอบข่ายเน้ือหา
และกจิ กรรมทก่ี าหนดไว้ในคาอธิบายรายวิชา

4) กาหนดผลท่ีต้องการ เครื่องมือท่ีใช้ในการเรียนการสอนให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อได้เรียนรู้
ความคิดรวบยอดแตล่ ะเรื่องแล้ว

5) กาหนดกจิ กรรมการเรียนการสอนตามลาดบั ขน้ั ตอนท่ีกาหนดไว้ในคาอธบิ ายรายวชิ า หรือ
อาจพจิ ารณาจากกจิ กรรมทีเ่ หมาะสมกบั เน้ือหาสาระ

6) กาหนดเวลาเรียนให้เหมาะสมกับขอบข่ายเนื้อหาสาระหรือความคิดรวบยอด จุดประสงค์
การเรียนรู้และกิจกรรมทีก่ าหนดไว้

2. เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล
2.1 ใบงาน : เสรมิ ทักษะความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรยี น (แผนภาพแรงและทิศทางของแรง)

และใบงานเชงิ สรา้ งสรรค์
2.2 กิจกรรม ผัง Sorting แรงลพั ธ์ : ประเมนิ กจิ กรรมกลุม่ การหาแรงลัพธ์ การเปรียบเทยี บ

แรงลัพธ์
2.3 แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ : ประเมนิ ความรูค้ วามเข้าใจ (การตอบคาถามจากเกมกระดาน

หาแรงลพั ธพ์ าผ้งึ กลับรัง)
ข้นั ตอนการพัฒนาเครือ่ งมือ :
1) แบบฝึกหัด/ใบงาน : สรา้ งแบบฝึกหดั /ใบงาน ทเี่ สรมิ ทกั ษะตามหลกั สูตรมาตรฐาน โดย

การศกึ ษาตวั ช้วี ัดทางการเรียนและจุดประสงคใ์ นแผนการจัดการเรยี นรู้
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบฝึกหัด/ใบงาน
1.1) ความถกู ต้องตามหลักวิชา
3 ระดับคุณภาพดมี าก
2 ระดบั คณุ ภาพดี
1 ระดบั คุณภาพพอใช้
1.2) ความเรียบร้อยและความสมบรู ณ์ของผลงาน
3 ระดับคณุ ภาพดมี าก
2 ระดบั คุณภาพดี
1 ระดบั คณุ ภาพพอใช้
1.3) ความรับผิดชอบ
3 ระดบั คณุ ภาพดมี าก
2 ระดบั คุณภาพดี
1 ระดบั คุณภาพพอใช้

10

เกณฑก์ ารประเมนิ กจิ กรรม ผัง Sorting แรงลัพธ์
1.1) ความถกู ต้องตามหลกั วิชา (สังเกตการณห์ าแรงลัพธ์ และการเปรยี บเทียบแรงลพั ธ)์

3 ระดบั คณุ ภาพดีมาก
2 ระดับคุณภาพดี
1 ระดับคุณภาพพอใช้
1.2) กระบวนการกลุ่ม (การทากิจกรรมรว่ มกัน การช่วยเหลือกนั )
3 ระดับคุณภาพดีมาก
2 ระดับคุณภาพดี
1 ระดบั คุณภาพพอใช้
2) แบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ : การสร้างแบบทดสอบความรู้ความเข้าใจในเรอ่ื งทเ่ี รียนผา่ น
กจิ กรรมเกม กาหนดใหต้ อบคาถามถกู ต้องทุกคาถามจากการเลน่ เกมจึงจะผ่านการประเมนิ

กำรวเิ ครำะห์ข้อมลู

วเิ คราะห์เชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) สาหรับบนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรหู้ ลงั แผน
วิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) รวบรวม และแยกแยะข้อมลู รวมท้ังตีความหมาย จากแบบฝึกหัด/ใบ
งาน และแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ

สถติ ิทีใ่ ชใ้ นกำรวเิ ครำะหข์ ้อมูล

1. สถิตพิ น้ื ฐาน

เมอ่ื แทนค่าเฉล่ีย
แทนผลรวมของคะแนน

N แทนจานวนผเู้ รยี น

2. รอ้ ยละ

แผนกำรวจิ ยั

คาถามวจิ ัย ตัวแปรทีศ่ ึกษา แหลง่ ข้อมูล
ผูส้ อน/ผู้วิจยั
1. การใช้กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการเรยี นรู้โดยใช้
ผูเ้ รยี น
การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ และการใชผ้ ัง การจดั การเรียนรู้เชงิ รกุ

Sorting ที่เหมาะสมกับเรื่องแรงลัพธ์ และการใชผ้ ัง Sorting

ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 เป็นอยา่ งไร

2. การใช้กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ ความรคู้ วามเข้าใจเรื่อง

การจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ และการใชผ้ ัง แรงลัพธ์

Sorting สามารถพัฒนาความรู้ความ

เข้าใจเร่ืองแรงลัพธ์ ชน้ั ประถมศึกษา

ปที ี่ 5 ไดห้ รอื ไมอ่ ยา่ งไร

11

ล วธิ ีการ/เคร่อื งมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีวเิ คราะหข์ อ้ มูล

ย บันทกึ หลังแผนการ บันทกึ หลงั จากการจัดการ ผเู้ รยี นรอ้ ยละ 80 มสี ่วนรว่ ม

จดั การเรียนรู้ เรียนรู้ ในกระบวนการเรียนรู้ เกิด

ความสนใจ ต้งั ใจ และใฝ่

เรียนรู้

-แบบฝึกหัด/ใบงาน -ผลการประเมิน -การประเมนิ 3 ระดบั

-ผงั Sorting แรงลัพธ์ -กิจกรรมหาแรงลพั ธแ์ ละ -การประเมนิ 3 ระดับ

เปรียบเทียบ

-เกมกระดานหาแรงลัพธ์ -ผลการตอบคาถามจาก -ผา่ นร้อยละ 100

สง่ ผ้ึงกลับรัง เกม

12

บทที่ 4
ผลการวิจยั

การวิจัยคร้ังน้ีมีวตั ถุประสงค์เพื่อพัฒนาการจดั กระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรยี นรูเ้ ชิงรกุ และการ
ใชผ้ ัง sorting เรอื่ งแรงลัพธ์ ทเ่ี หมาะสมกับสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ และเพื่อศกึ ษาผลของ
การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง sorting เร่ืองแรงลัพธ์ของบทเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โดยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเปน็ ลาดบั ในลกั ษณะตาราง
ประกอบคาบรรยายดังน้ี

1. การวเิ คราะหผ์ ลการทาแบบฝกึ หัด/ใบงาน
2. การวิเคราะหผ์ ลการใช้ผงั Sorting แรงลพั ธ์
3. การวิเคราะหผ์ ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนจากการตอบคาถามผ่านเกมกระดานหาแรงลพั ธ์ส่งผง้ึ กลบั รัง
4. การวเิ คราะหห์ าความเหมาะสมของการจัดกระบวนการเรยี นรู้โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้เชงิ รกุ และ
การใชผ้ ัง Sorting จากบนั ทกึ หลังแผนการจดั การเรียนรู้

1. การวิเคราะหผ์ ลการทาแบบฝกึ หัด/ใบงาน

ในระหว่างการจดั กระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชงิ รุกและการใชผ้ งั Sorting เร่อื งแรง
ลัพธ์ ได้จัดให้นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 จานวน 120 คน ทาแบบฝึกหดั /ใบงาน ผลการประเมินระดับ
คณุ ภาพแสดงดังตารางที่ 1

ตารางท่ี 1 แสดงการวิเคราะห์ระดับคุณภาพในการทาแบบฝกึ หัด/ใบงาน

ผลการประเมินระดับคณุ ภาพ จานวนนักเรยี นท่ีได้ (คน) คิดเป็นร้อยละ

ดีมาก 78 65
25
ดี 30 10

พอใช้ 12

จากตารางที่ 1 ผลการวเิ คราะหร์ ะดับคณุ ภาพในการทาแบบฝึกหดั /ใบงานของนักเรียนรายบุคคลนั้น
พบว่านักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 จานวน 120 คน สามารถทาแบบฝึกหัด/ใบงานเรื่องแรงลัพธ์ มีระดับ
คุณภาพดมี าก ร้อยละ 65 คณุ ภาพดี ร้อยละ 25 และ คุณภาพพอใช้ ร้อยละ 10

2. การวเิ คราะห์ผลการใชผ้ ัง Sorting

ในระหว่างการจัดกระบวนการเรยี นรโู้ ดยใช้การจัดการเรียนร้เู ชงิ รุกและการใช้ผัง Sorting เร่อื งแรง
ลพั ธ์ ไดจ้ ัดใหน้ ักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 จานวน 120 คน ได้แบง่ นักเรียนทากจิ กรรม Sorting แรงลัพธ์
เปน็ 24 กลุม่ และสังเกตการทากิจกรรมกลุ่ม ผลการประเมินระดับคณุ ภาพแสดงดังตารางท่ี 2

13

ตารางท่ี 2 แสดงการวเิ คราะหร์ ะดับคุณภาพในกิจกรรมผัง Sorting แรงลพั ธ์

ผลการประเมนิ ระดับคณุ ภาพ จานวนกลุ่มทไี่ ด้ (กลุ่ม) คิดเปน็ รอ้ ยละ

ดีมาก 15 62.5
25.0
ดี 6 12.5

พอใช้ 3

จากตารางที่ 2 ผลแสดงการวเิ คราะห์ระดับคุณภาพในกิจกรรมผงั Sorting แรงลพั ธ์ของนกั เรยี นราย
กลมุ่ นั้น พบว่านกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 จานวน 24 กล่มุ สามารถทากิจกรรมผงั Sorting เรอื่ งแรงลัพธ์

มีระดับคุณภาพดมี าก รอ้ ยละ 62.5 คณุ ภาพดี รอ้ ยละ 25 และ คณุ ภาพพอใช้ รอ้ ยละ 12.5

3. การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นจากการตอบคาถามผ่านเกม
หลังการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting เร่ืองแรงลัพธ์
ผวู้ จิ ัยได้ทาการทดสอบความรู้ความเขา้ ใจของนกั เรยี น โดยการวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นจากการตอบคาถาม

ผ่านเกม เร่ืองแรงลัพธ์ โดยแบบทดสอบผู้วิจัยสร้างข้ึนให้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดในเรื่องแรงลัพธ์ นักเรียน
จะตอ้ งตอบคาถามผา่ นการเล่นเกม ผลการทดสอบแสดงดงั ตารางท่ี 3

ตารางท่ี 3 แสดงผลการทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนจากการตอบคาถามผ่านเกมเรื่องแรงลัพธ์

ผลการประเมินระดบั คุณภาพ จานวนนกั เรียนที่ผา่ น (คน) คิดเป็นรอ้ ยละ

ผ่าน 114 95

ไมผ่ า่ น 6 5

จากตารางท่ี 3 ผลการทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนจากการตอบคาถามผา่ นเกมเรอื่ งแรงลัพธ์ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5 จานวน 120 คน สามารถเล่นเกมและตอบคาถามผ่าน คดิ เปน็ ร้อยละ 95

4. การวเิ คราะหห์ าความเหมาะสมของการจัดกระบวนการเรยี นรโู้ ดยใช้การจัดการเรียนร้เู ชงิ รุก
และการใชผ้ ัง Sorting เรอ่ื งแรงลพั ธ์จากบนั ทึกหลงั แผนการจดั การเรยี นรู้

หลงั การจัดกระบวนการเรียนรู้ ผวู้ จิ ยั ได้ทาการบนั ทกึ หลงั การสอน โดยผลจากการสอนแสดง

ดงั ตอ่ ไปนี้

14

ผลการสอน
นักเรียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจ เก่ยี วกับแรงลพั ธ์ สามารถอธบิ ายความความ และหาแรงลัพธ์ได้ ตลอดจน

สามารถเขียนแผนภาพแสดงแรงต่างๆได้

นักเรยี นเกดิ ทกั ษะใดบา้ ง ทาเคร่อื งหมาย  ในช่องว่างทตี่ รงกับสิง่ ที่ทาได้
 การสงั เกต  การวัด  การใช้จานวน  การจาแนกประเภท

การหาความสมั พันธร์ ะหวา่ ง  สเปซกับสเปซ  สเปซกับเวลา

 การจัดกระทาและการสือ่ ความหมายข้อมูล  การพยากรณ์

 การลงความเห็นจากขอ้ มูล  การตง้ั สมมติฐาน  การกาหนดนิยามเชงิ ปฏิบตั ิการ

 การกาหนดและควบคุมตัวแปร  การทดลอง  การตคี วามหมายและลงข้อสรุป

 การสร้างแบบจาลอง

นกั เรยี นเกิดทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ใดบ้าง ทาเครื่องหมาย  ในชอ่ งว่างทีต่ รงกับทักษะทีเ่ กิด
 การสรา้ งสรรค์  การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ  การแกป้ ญั หา

 การส่อื สาร  ความรว่ มมือ  การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร

ปญั หาและอปุ สรรค

นักเรียนชนั้ ชั้น ป.5/1 จานวน 2 คน (วรเทพ, ลักษณพร) ป.5/2 จานวน 1 คน (พชั การ) ป.5/3 จานวน 1
คน (โชคชยั ) และป.5/4 จานวน 2 คน (กานต์, มงคลธร) และ ยังขาดสมาธิในการเรียน ทาใหไ้ ม่สามารถเล่น
เกม และเขียนแผนภาพแรงได้

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
ซ่อมเสริมนักเรยี นทั้ง 6 คน นอกเวลา (ไมจ่ ากดั เวลาเหมือนการจัดการเรยี นการสอนปกต)ิ

การวิจัยครั้งน้ีมีคาถามการวิจัยสองข้อคือ ข้อที่หนึ่ง การใช้กระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการ
เรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting ที่เหมาะสมกับเร่ืองแรงลัพธ์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นอย่างไร ผู้วิจัย
พบว่าหลังการจัดการเรียนรู้พบว่าการใช้กระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง

Sorting ดังงานวิจัยน้ีมีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี และควรปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้จากบันทึก
หลังสอนต่อไป จึงจกั มคี วามเหมาะสมยงิ่ ขึ้น

และคาถามการวจิ ัยขอ้ ท่สี องคือ การใช้กระบวนการเรียนรโู้ ดยใช้การจดั การเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง

Sorting สามารถพฒั นาความรู้ความเข้าใจเรื่องแรงลัพธ์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ได้หรอื ไม่อย่างไร ผ้วู ิจยั พบว่า
หลังการจัดการเรียนรู้และประเมินแบบฝึกหัด/ใบงาน การทากิจกรรม Sorting แรงลัพธ์ และการทดสอบ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนผ่านการเลน่ เกม นักเรยี นมคี วามรูค้ วามเข้าใจเพม่ิ ข้ึนและอยู่ในระดับท่ดี ีมาก

15

บทท่ี 5
สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การ
จัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting เรื่องแรงลัพธ์ ที่เหมาะสมกับสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชา
วิทยาศาสตร์ และเพ่ือศึกษาผลของการจัดกระบวนการเรยี นรู้โดยใชก้ ารจัดการเรียนร้เู ชิงรกุ และการใช้ผงั Sorting
เรือ่ งแรงลัพธ์ของบทเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563

วัตถุประสงค์ของงานวจิ ยั

1. เพือ่ พฒั นาการจดั กระบวนการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้เชิงรกุ และการใช้ผงั Sorting เรื่องแรง
ลพั ธ์ ทีเ่ หมาะสมกับสภาพการจัดการเรยี นการสอนวิชาวทิ ยาศาสตร์

2. เพื่อศกึ ษาผลของการจัดกระบวนการเรียนรโู้ ดยใชก้ ารจัดการเรียนรูเ้ ชิงรุกและการใช้ผงั Sorting เร่อื ง
แรงลพั ธข์ องบทเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5

คาถามการวจิ ัย

1. การใชก้ ระบวนการเรียนรโู้ ดยใช้การจัดการเรยี นรู้เชิงรกุ และการใช้ผงั Sorting ที่เหมาะสมกบั เรื่องแรง
ลัพธ์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 เปน็ อยา่ งไร

2. การใช้กระบวนการเรยี นรโู้ ดยใช้การจดั การเรยี นร้เู ชงิ รุกและการใชผ้ ัง Sorting สามารถพฒั นาความรู้
ความเขา้ ใจเรื่องแรงลัพธ์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5 ไดห้ รอื ไม่อย่างไร

ขอบเขตการวจิ ยั

1. กลุม่ เปา้ หมายที่ใช้ในการวิจยั คร้ังนี้เปน็ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5 จานวน 120 คน ปีการศึกษา
2563 ในโรงเรียนอนบุ าลพระสมุทรเจดีย์

2. เน้อื หาวชิ าท่ีใช้ในการวจิ ัยคร้งั น้ี เปน็ สว่ นหน่ึงของกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ของระดับช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 5 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 (ปรับปรุงพทุ ธศกั ราช 2560)
ของสานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน เรอ่ื งแรงลัพธ์

3. ระยะเวลาทีใ่ ชใ้ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใช้เวลารวม 2 สปั ดาห์
4. ตวั แปรที่ศึกษา

4.1 ตวั จัดกระทา คือการจดั การเรยี นรู้โดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้เชิงรกุ และการใช้ผงั Sorting
4.2 ตวั แปรท่ีศกึ ษา คอื

4.2.1 การจดั การเรยี นรู้โดยใช้การจดั การเรียนรเู้ ชงิ รกุ และการใช้ผัง Sorting
4.2.2 ผลของการจดั การเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรเู้ ชิงรกุ และการใชผ้ งั Sorting
ด้านความรู้ความเข้าใจ

16

สรปุ ผลการวิจยั

จากการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting เรื่องแรงลัพธ์ กับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลพระสมุทรเจดีย์ จานวน 120 คน ผลการวิจัยซึ่งได้จากการ
วิเคราะหข์ ้อมลู ปรากฏว่า

1. การใช้กระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting มีความเหมาะสมกับ
เร่ืองแรงลัพธ์ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เนื่องจากนักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจุดประสงค์ มี
ความร้คู วามเขา้ ใจสามารถนาไปใชไ้ ด้

2. การใช้กระบวนการเรยี นรู้โดยใช้การจัดการเรียนร้เู ชิงรุกและการใชผ้ งั Sorting สามารถพัฒนาความรู้
ความเข้าใจเรื่องแรงลัพธ์ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้ โดยหลังจากการจัดกระบวนการเรียนรู้
นักเรียนสามารถทาแบบฝึกหัด/ใบงาน , ทากิจกรรม Sorting ได้ระดับดีมาก และทดสอบผลสัมฤทธิ์ผ่านคาถาม
จากเกม ร้อยละ 95

ดังนัน้ สรุปไดว้ ่า การจัดกระบวนการเรยี นรู้โดยใช้การจัดการเรยี นรู้เชงิ รุกและการใชผ้ ัง Sorting เร่ืองแรง
ลัพธ์เหมาะสมกบั วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5 และสามารถสรา้ งความรูค้ วามเข้าใจแก่นกั เรยี นได้

อภปิ รายผล

จากผลทผ่ี วู้ ิจัยได้จัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจดั การเรียนรเู้ ชิงรุกและเกมการศึกษา เร่ืองแรงลัพธ์พบ
ประเดน็ ที่สามารถนามาอภิปรายผลได้ดังนี้ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนท่อี อกมาได้ผลลัพธท์ ่ีสูงถึงร้อยละ 95 นน้ั ทั้งน้ี
เพราะว่าในกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรกุ และการใช้ผัง Sorting ผู้วิจัยจัดการเรียนรู้
โดยเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ อีกทั้งการปลูกจิตวิทยาศาสตร์ยังทาให้นักเรียนเกิดความสนใจและชอบในวิชา
วทิ ยาศาสตร์ จนเกิดเป็นความเข้าใจดังผลการประเมินแบบฝึกหดั /ใบงาน และผลการทดสอบผลสัมฤทธ์ิ ซ่งึ ผวู้ ิจัย
ได้พัฒนางานวจิ ยั มากจากวิจัยของผูว้ จิ ยั เองเกย่ี วกบั การจดั กิจกรรมเชิงรกุ และการใช้เกมการศึกษา

ขอ้ เสนอแนะ

จากการศึกษาวิจัยเพ่ือพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง Sorting
เพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องแรงลัพธ์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลพระสมุทรเจดีย์
ผูว้ จิ ยั มีขอ้ เสนอแนะในดา้ นต่างๆดังน้ี

1. ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ยั ครง้ั นี้
1.1 ประสิทธิภาพของการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการใช้ผัง

Sorting เรือ่ งแรงลัพธ์นี้ ไม่ได้ข้ึนอยู่กับแผนการจัดการเรียนรู้เพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับผู้สอนดว้ ย ดังน้ัน
ครูผู้สอนจะต้องเข้าใจเนอื้ หาและวิธีการใช่สื่อประกอบการสอนเป็นอย่างดี ซึ่งสามารถทาได้โดย ครูผู้สอนจะต้อง
ศึกษาค่มู ือครูใหเ้ ขา้ ใจ และสามารถปฏบิ ตั ิตามขัน้ ตอนต่างๆตามแผนการจดั การเรียนรูท้ จ่ี ัดเตรยี มไว้

1.2 การจัดการเรียนรู้ในข้ันการสร้างความสนใจนั้น ควรเป็นเร่ืองท่ีหาสิ่งเร้าความสนใจได้ง่าย
ควรใช้เปน็ สือ่ ทต่ี ื่นตาต่นื ใจ

2. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งตอ่ ไป
ควรศึกษากระบวนการและเทคนิคการสอนในรูปแบบต่างๆ หรือนานวัตกรรมท่ีเหมาะสมมาใช้

เพอ่ื พัฒนากระบวนการจัดการเรยี นร้ตู ่อไป

17

บรรณานกุ รม

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2546). พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพมหานคร: โรง
พมิ พอ์ งค์การรับสง่ สนิ คา้ และพัสดุภัณฑ์

ทพิ วรรณ หลอ่ สุวรรณรตั น์. (2548). การจดั การความรู้. ใน วารสารพฒั นบรหิ ารศาสตร์, 45(2), 1-24.
พเิ ชฐ บญั ญัต.ิ (2549). การจัดการความรูใ้ นองคก์ ร. ใน วารสารห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 13(1), 118
โทนี บูซาน. (2544). วธิ ีเขยี น Mind Map (How to Mind Map). (ธญั กร วีรนนท์ชยั , ผู้แปล). กรงุ เทพฯ:ขวญั
ขา้ ว 94.

ธญั ญา และ ขวัญฤดี ผลอนนั ต์ (2550). Mind Map ® กับการศกึ ษาและการจัดการความรู้ กรุงเทพฯ:
ขวญั ข้าว

ภพ เลาหไพบลู ย์. (2537). การสอนวทิ ยาศาสตร์ในโรงเรยี นมธั ยมศึกษา. เชียงใหม่: เชยี งใหม่คอมเมอ
เชียล

ภพ เลาหไพบูลย์. (2540). แนวการสอนวทิ ยาศาสตร.์ พิมพ์คร้งั ที่ 2. กรงุ เทพมหานคร: ไทยวฒั นา
พานิช

พทุ ธวรรณ ขนั ต้นธง. (2554). หลักการการวจิ ัยการจัดการความรู.้ วทิ ยาลยั ศลิ ปะ สอื่ และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.่

ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2546). พจนานกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรงุ เทพฯ: นานมีบุคส
พบั ลเิ คชั่นส์

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก
แผนการจดั การเรยี นรู้

เรอื่ งแรงลัพธ์

แผนการจดั การเรยี นรู้

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 แรงและพลงั งาน แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1 แรงลพั ธ์
วิชาวทิ ยาศาสตร์ ว15101 ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

เวลา 3 ชวั่ โมง ผสู้ อน นางพรพรรณ ปิน่ เงิน

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ิตประจาวันผลของแรงทีก่ ระทาต่อวตั ถุลักษณะการ
เคลือ่ นทีแ่ บบต่างๆของวัตถุรวมท้ังนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ตัวชว้ี ดั
ว 2.2 ป.5/1 อธบิ ายวิธีการหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกันท่ีกระทาตอ่ วัตถุในกรณที ว่ี ตั ถอุ ยู่

นิ่งจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์
ว 2.2 ป.5/2 เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาต่อวัตถทุ อ่ี ยใู่ นแนวเดียวกนั และแรงลัพธ์ทก่ี ระทาตอ่ วตั ถุ
ว 2.2 ป.5/3 ใช้เครอ่ื งชั่งสปริงในการวัดแรงทีก่ ระทาตอ่ วตั ถุ

มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจรงิ อย่างเป็นข้นั ตอนและ
เป็นระบบใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ

รู้เทา่ ทนั และมจี รยิ ธรรม
ตัวชี้วดั
ว 4.2ป.5/1 ใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการทางาน การคาดการณ์ผลลัพธ์ จาก

ปญั หาอยา่ งง่าย

ทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

จดุ ประสงค์การเรียนรูส้ ู่ตัวชี้วดั

1. อธบิ ายและเขยี นแผนภาพแสดงแรงทก่ี ระทาต่อวัตถุท่ีอย่ใู นแนวเดียวกันและแรงลัพธ์ทีก่ ระทาตอ่
วัตถุ(P)
2. มีความรคู้ วามเข้าใจเก่ยี วกับแรงลัพธ์ (K)
3. เปน็ คนชา่ งสังเกต ชา่ งคิด ชา่ งสงสยั และเปน็ ผู้ท่ีมีความกระตือรอื รน้ ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A)

สาระสาคญั

ผูเ้ รียนจะไดเ้ รียนรูเ้ กยี่ วกับ การหาแรงลัพธข์ องแรงหลายแรงในแนวเดียวกนั ทีก่ ระทาต่อวัตถุในกรณีที่
วัตถุอยู่นงิ่ และเขียนแผนภาพแสดงขนาด ทิศทางของแรงที่กระทาต่อวัตถุในแนวเดียวกัน ผ่านทกั ษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซ่งึ สามารถนามาใช้ในการสืบเสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่อื ตอบคาถามที่
อยากรู้เก่ยี วกบั ส่ิงต่าง ๆ

สาระการเรยี นรู้

เมอ่ื มแี รงหลายแรงมากระทาตอ่ วตั ถหุ นึง่ ๆ ผลรวมของแรงเหลา่ นั้น คอื แรงลัพธ์ทีก่ ระทาตอ่ วัตถุ
การหาแรงลพั ธ์ต้องพจิ ารณาท้งั ขนาดและทิศทางของแรงทง้ั หมดที่กระทาตอ่ วัตถนุ ้ัน ถา้ แรงลพั ธท์ ีก่ ระทาตอ่
วตั ถทุ ีอ่ ย่นู ิ่งมีค่าเปน็ ศนู ย์ วตั ถกุ ็จะอยูน่ ิง่ ตอ่ ไป ถา้ มีแรงมากระทาตอ่ วตั ถุมากพอวตั ถจุ ะเกิดการเคลื่อนท่ี

แรงลัพธ์สามารถจาแนกออกได้ 3 ประเภท
1) แรงลพั ธท์ างเดียว คอื แรงท่ีกระทาตอ่ วตั ถุในทิศทางเดียวกัน หาแรงลพั ธไ์ ด้โดยการรวมผลลพั ธ์ของ
แรงโดยการบวก วัตถุเคล่ือนท่ีไปตามแรง
2) แรงลพั ธส์ วนทาง คือแรงทก่ี ระทาตอ่ วตั ถุในทิศทางตรงข้ามกนั หาแรงลัพธ์ได้โดยการหาผลต่าง
ของแรงโดยการลบ วัตถเุ คลอ่ื นทีไ่ ปตามแรงท่ีกระทามากกวา่
3) แรงลัพธ์หกั ลา้ ง คอื แรงทก่ี ระทาต่อวตั ถุในทศิ ทางตรงขา้ มกัน หาแรงลัพธไ์ ดโ้ ดยการหาผลตา่ งของ
แรงโดยการลบ และมีค่าแรงลัพธ์เทา่ กับ 0

ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21

1. การสรา้ งสรรค์
2. การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ
3. การสือ่ สาร
4. การแกป้ ัญหา
5. ความรว่ มมือ
6. การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ช้ินงานหรือภาระงาน (หลักฐาน รอ่ งรอยแสดงความรู้)

แผนภาพแรงและทิศทางของแรง

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

ชว่ั โมงที่ 1-2
ขัน้ ท่ี 1 สรา้ งความสนใจ (engagement)

1. ครนู าเขา้ สูบ่ ทเรยี นโดยการทบทวนความรผู้ ่านการสนทนาประกอบคาถาม โดยการถามคาถามนา
เชน่ - การเปิด-ปดิ ประตูใชแ้ รงอะไร (แรงผลกั /แรงดงึ )

- สงิ่ ของตกลงสูพ่ ้นื ดนิ เพราะแรงอะไร (แรงโน้มถ่วงของโลก)
2. ครูตรวจสอบความร้เู ดมิ ของนักเรียนเกยี่ วกับแรงลัพธ์ โดยใชค้ าถาม เชน่

- มแี รงกระทาตอ่ วตั ถหุ นง่ึ ๆ มากกวา่ 1 แรงไดห้ รือไม่ อย่างไร
- ถ้ามแี รงหลาย ๆ แรงมากระทาต่อวตั ถุ เราจะหาผลรวมของแรงเหล่าน้ันได้อย่างไร

ขน้ั ที่ 2 สารวจและคน้ หา (exploration)
1. ให้นักเรียนแบง่ กลมุ่ กลุ่มละ 5 คน จากนั้นส่มุ ตวั แทนเพื่อสาธิตการออกแรงผลัก และดงึ วัตถตุ าม

ครกู าหนด ใน 3 ลักษณะ (แรงลพั ธท์ างเดยี ว, แรงลพั ธ์สวนทาง และแรงลัพธ์หักล้าง)
2. ใหน้ ักเรยี นรว่ มกันติดสญั ลกั ษณล์ กู ศรแทนเสน้ แรง และขนาดของแรง จากการทดลองสาธติ ออก

แรงผลัก และดงึ วัตถุ 3 ลกั ษณะ (แรงลพั ธ์ทางเดยี ว, แรงลัพธส์ วนทาง และแรงลัพธห์ กั ล้าง)

ขนั้ ที่ 3 อธิบายและลงขอ้ สรปุ (explanation)
1. ให้ผแู้ ทนนักเรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการทากจิ กรรมในขน้ั ท่ี 2 ในหวั ขอ้ ตอ่ ไปนี้
- แรงลพั ธ์คอื อะไร
- แรงลัพธท์ างเดยี วคืออะไร
- แรงลัพธส์ วนทางคืออะไร
- แรงลพั ธ์หกั ล้างคอื อะไร
2. ให้นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายเก่ยี วกับผลการทากิจกรรม จากนั้นฝกึ ถามคาถามท่ีสงสยั ดว้ ยการถาม

เพื่อนโดยไม่จาเป็นต้องถามครอู ยา่ งเดยี ว
3. ครเู ชอ่ื มโยงความรูเ้ ก่ียวกบั การเขยี นเส้นแรง การรวมแรงลพั ธ์ และหน่วยของแรง

ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (elaboration)
1. ใหน้ กั เรียนใบงานหาแรงลพั ธ์
2. ครเู ปน็ ท่ีปรกึ ษาในการดาเนนิ กิจกรรม

ข้ันท่ี 5 ประเมนิ (evaluation)
ครปู ระเมินการเรียนรู้ของนกั เรยี น ดังน้ี สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นขณะทางานรว่ มกนั

สงั เกตการตอบคาถามของนักเรียนในช้นั เรยี น ประเมินแผนภาพความคิด และประเมนิ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี
21 โดยใชแ้ บบประเมนิ ตามสภาพจริง

ช่ัวโมงท่ี 3-4
ขน้ั ท่ี 1 สร้างความสนใจ (engagement)

1. ครูนาเข้าสบู่ ทเรยี นโดยการทบทวนความรเู้ ดิมจากชั่วโมงทแี่ ลว้ ด้วยคาถาม ดงั น้ี
- กจิ กรรมต่าง ๆ ในชีวติ ประจาวนั ทต่ี ้องออกแรงกระทาต่อวัตถเุ ปน็ การออกแรงในลักษณะใด
(การดงึ การผลกั เป็นต้น)
- เราสามารถเขยี นแผนภาพแสดงแรงทกี่ ระทาต่อวัตถไุ ดอ้ ยา่ งไร (ใช้ลกู ศร โดยหัวลกู ศรแสดง
ทิศทางของแรงทม่ี ากระทาตอ่ วตั ถุ ความยาวของลูกศรแสดงขนาดของแรง)

2. ครนู าเข้าสู่กจิ กรรมโดยสาธิตการห้วิ ถงุ ที่มีสิ่งของอยู่ดา้ นในด้วยการรวบหูหิ้วเข้าดว้ ยกนั จากนัน้ ครู
ถามนักเรยี นดังน้ี

- ขณะท่ีครูห้วิ ถงุ มีแรงอะไรกระทาต่อถุงบ้าง และแรงท่ีกระทามที ศิ ทางใดบา้ ง
- เหตุใดสง่ิ ของในถุงห้วิ จึงมนี ้าหนกั และน้าหนกั มที ศิ ทางลง
- ถ้าครูใหต้ ัวแทนนักเรยี นหนึง่ คนมาชว่ ยหิ้วถงุ อกี ข้างหนงึ่ กบั ครหู ิ้วคนเดยี ว นักเรยี นคิดว่าแรง/
นา้ หนักจะเปน็ อย่างไร
3. เรม่ิ กระบวนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชแ้ นวทางการสอน ทานาย สังเกต และอธิบาย Predict
Observe Explain (POE) ในขั้นตอน Predict โดยใหน้ กั เรียนทานายวา่ หากครใู ชเ้ ครื่องชง่ั สปริงวดั ค่าแรงวัตถุ
ท่ีอยใู่ นถงุ โดยใช้เครือ่ งชัง่ สปรงิ 1 เครือ่ งวดั ค่าแรงแบบรวบหถู ุงพลาสตกิ กบั ใช้เครือ่ งชง่ั สปรงิ 2 เคร่ือง วัด
ค่าแรงเคร่อื งละหูของถงุ พลาสตกิ (การวดั ทั้ง 2 แบบจะอา่ นค่าแรงไดเ้ ท่ากนั หรอื ไม่ อย่างไร)

ขน้ั ท่ี 2 สารวจและคน้ หา (exploration)
1. ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลุม่ กลุ่มละ 5 คน จากนนั้ ใหน้ ักเรยี นทากจิ กรรมที่ 1 หาแรงลัพธ์ท่ีกระทาต่อวัตถุ

ได้อยา่ งไร
2. ดาเนินการในขน้ั ตอน Observe โดยใช้นักเรยี นทดลองและสงั เกตผลการทดลอง จากกจิ กรรมที่ 1

หาแรงลพั ธท์ ี่กระทาต่อวตั ถุได้อยา่ งไร
3. ครูเปน็ ทีป่ รึกษาในการดาเนนิ กิจกรรม

ขัน้ ท่ี 3 อธบิ ายและลงข้อสรปุ (explanation)
1. ดาเนินการในข้ันตอน Explain โดยให้นกั เรยี นรว่ มกนั อธิบายผลการทดลองร่วมกนั ในกลุ่ม และ

รว่ มกันสรุปผลการทดลองของกลุ่มตนเอง
2. ใหผ้ ูแ้ ทนนักเรียนแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลการทากจิ กรรม หน้าชั้นเรยี น เพ่อื เปรยี บเทียบและ

ตรวจสอบความถูกต้อง
3. ใหน้ ักเรยี นร่วมกนั อภิปรายเก่ียวกับผลการทากิจกรรม จากนัน้ ฝึกถามคาถามที่สงสยั ดว้ ยการถาม

เพื่อนโดยไม่จาเปน็ ต้องถามครูอย่างเดียว

ขน้ั ที่ 4 ขยายความรู้ (elaboration)
1. ให้นักเรยี นแบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ 6 คน
2. ครูอธบิ ายและสาธติ การใช้ผัง Sorting แรงลพั ธ์
3. ใหน้ ักเรยี นหาแรงลพั ธข์ องตนเอง และเปรียบเทยี บ/เรยี งลาดับค่าแรง ตามผัง Sorting
4. ครูเปน็ ทป่ี รึกษาในการดาเนินกจิ กรรม

ขน้ั ที่ 5 ประเมิน (evaluation)
1. ครทู ดสอบความรคู้ วามเขา้ ใจของนกั เรยี น โดยกจิ กรรมเกมกระดานหาแรงลพั ธส์ ่งผ้ึงกลบั รงั
2. ครูประเมินการเรียนรูข้ องนักเรียน ดงั นี้ สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนขณะทางานรว่ มกนั

สังเกตการตอบคาถามของนกั เรียนในชน้ั เรยี น ประเมนิ แผนภาพความคดิ และประเมนิ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่
21 โดยใช้แบบประเมินตามสภาพจริง

ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้

ผงั Sorting แรงลัพธ์
แผนผังเกม และบัตรคาถาม
เกมกระดานแรงลพั ธ์ “พาผึง้ กลับรงั ”
วสั ดุ อปุ กรณก์ ิจกรรมที่ 1 หาแรงลัพธ์ท่ีกระทาตอ่ วตั ถุได้อย่างไร

แบบประเมนิ การเรยี นรู้

เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบประเมินการจัดกระทาแผนภาพแรงและทิศทางของแรง

ตัวชว้ี ัด 4 ระดับคะแนน 1
32

แผนภาพแรงและ แผนภาพแรงและทศิ ทาง แผนภาพแรงและทิศทาง แผนภาพแรงและทศิ ทาง แผนภาพแรงและทิศทาง

ทศิ ทางของแรง ของแรง อย่างเป็นระบบ ของแรง อย่างเปน็ ระบบ ของแรง โดยมีการ ของแรง อย่างไม่เป็น

และนาเสนอด้วยแบบที่ มีการจาแนกขอ้ มลู ยกตวั อย่างเพิม่ เตมิ และ ระบบ และนาเสนอ

ชดั เจน ถูกต้อง ให้เห็นความสัมพนั ธ์ นาเสนอด้วยแบบต่าง ๆ ไม่สอ่ื ความหมาย

ครอบคลุมและมีการ และนาเสนอด้วยแบบท่ี แตย่ ังไมค่ รอบคลมุ และไมช่ ัดเจน

เช่ือมโยงใหเ้ ห็นเป็น ครอบคลมุ

ภาพรวม

บนั ทึกหลงั สอน

ผลการสอน

นกั เรียนมคี วามรคู้ วามเข้าใจ เก่ียวกับแรงลพั ธ์ สามารถอธิบายความความ และหาแรงลพั ธ์ได้ ตลอดจน
สามารถเขยี นแผนภาพแสดงแรงต่างๆได้

นักเรียนเกิดทักษะใดบ้าง ทาเคร่ืองหมาย  ในชอ่ งวา่ งท่ีตรงกบั สิง่ ทท่ี าได้
 การสงั เกต  การวดั  การใช้จานวน  การจาแนกประเภท

การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง  สเปซกับสเปซ  สเปซกับเวลา

 การจัดกระทาและการส่ือความหมายขอ้ มูล  การพยากรณ์

 การลงความเห็นจากข้อมลู  การต้ังสมมตฐิ าน  การกาหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร

 การกาหนดและควบคุมตัวแปร  การทดลอง  การตีความหมายและลงข้อสรุป

 การสร้างแบบจาลอง

นกั เรียนเกิดทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ใดบา้ ง ทาเครอื่ งหมาย  ในชอ่ งว่างท่ีตรงกบั ทกั ษะทีเ่ กิด

 การสร้างสรรค์  การคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ  การแกป้ ัญหา

 การสื่อสาร  ความรว่ มมอื  การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร

ปญั หาและอปุ สรรค
นกั เรียนชนั้ ชั้น ป.5/1 จานวน 2 คน (วรเทพ, ลักษณพร) ป.5/2 จานวน 1 คน (พัชการ) ป.5/3 จานวน 1
คน (โชคชัย) และป.5/4 จานวน 2 คน (กานต์, มงคลธร) และ ยังขาดสมาธใิ นการเรยี น ทาใหไ้ ม่สามารถเล่น

เกม และเขยี นแผนภาพแรงได้

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
ซอ่ มเสรมิ นกั เรียนท้ัง 6 คน นอกเวลา (ไมจ่ ากดั เวลาเหมือนการจัดการเรยี นการสอนปกต)ิ

ลงชอื่ ผู้สอน
(นางพรพรรณ ปิน่ เงิน)

ตาแหนง่ ครู
วนั ที่ 28 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2563

ภาคผนวก ข

สื่อ Sorting แรงลพั ธ์

ส่อื Sorting แรงลพั ธ์



ภาคผนวก ค

แผนผงั เกมแรงลัพธ์
“พาผงึ้ กลบั รงั ”

แผนผังเกมแรงลพั ธ์
“พาผึ้งกลับรงั ”



ภาคผนวก ง

ภาพการจดั กิจกรรม/ส่อื การสอน

ภาพการจดั กจิ กรรม/สื่อการสอน


Click to View FlipBook Version