The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สื่อการฟ้อนของหมอลำกลอนเกี้ยว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kunakornthongbut1, 2022-06-11 12:26:47

สื่อการฟ้อนของหมอลำกลอนเกี้ยว

สื่อการฟ้อนของหมอลำกลอนเกี้ยว

ห นั ง สื อ สำ ห รั บ ผู้ เ รี ย น แ ล ะ บุ ค ค ล ทั่ ว ไ ป




ก า ร ฟ้ อ น ข อ ง ห ม อ ลำ
ก ล อ น เ กี้ ย ว



ม ห า วิ ท ย า ลั ย ร า ช ภั ฎ บ้ า น ส ม เ ด็ จ เ จ้ า พ ร ะ ย า

ผู้ จั ด ทำ น า ง ส า ว คุ ณ า ก ร ท อ ง บุ ต ร

คำนำ

ภูมิปัญญาชาวบ้านของคนไทยเรานั้นมีอยู่จำนวนมาก ล้วนแต่มีคุณค่าและมีประโยชน์
เป็นการบอกเล่าถึงวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันภูมิปัญญาเหล่านั้น กำลังสูญหาย
ไปพร้อม ๆ กับชีวิตของคน ซึ่งดับสูญไปตามกาลเวลา ผู้จัดทำรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
เรื่องการฟ้อนของหมอลำกลอนนี้ ได้เล็งเห็นคุณค่าและความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงจัดทำ
หนังเล่มนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนและบุคคลทั่วไปได้ศึกษาและได้เห็นถึงความเป็นมาต่าง ๆ ของ
หมอลำกลอน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ท่าฟ้อน ศึกษาองค์ประกอบที่สำคัญของหมอลำกลอน

ผู้เรียนและบุคคลทั่วไปจะเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและรับรู้ถึงเรื่องต่างๆของการฟ้อนของหมอลำ
กลอนเกี้ยว เป็นการสืบทอด มิให้ภูมิปัญญาสูญไป

ผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้ เลยจะส่งเสริมการฟ้อนของหมอลำกลอนเกี้ยว โดยผลิตสื่อหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดองค์ความรู้เรื่อง การฟ้อน
หมอลำกลอนเกี้ยว โดยใช้ทฤษฎีการเรียนการสอนทางตรง เป็นทฤษฎีของครูเกี่ยวกับความ
คิดรวบยอด หรือทักษะ แก่นักเรียนกลุ่มใหญ่ ทดสอบความเข้าใจด้วยการฝึกหัดตามที่ครู
กำหนด และกระตุ้น เสริมแรงเพื่อที่จะฝึกหัดต่อไปภายใต้การแนะนำของครูเป็นวิธีการสอนที่
ไม่ชับซ้อนยุ่งยาก ดังนั้น จึงควรใช้สื่อการสอนที่มีความน่าสนใจและสามารถเข้าถึงได้ง่าย
เพื่อเป็นการส่งเสริมความรู้ซึ่งกันและกัน การนำเสนอสื่อที่น่าสนใจและเข้าถึงง่าย เรียกว่า
สื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เป็นสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สื่อการสอนรายบุคคลที่
สนองความแตกต่างของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามศักยภาพของตนเอง

ขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้

ผู้จัดทำ
นางสาวคุณากร ทองบุตร

สารบัญ หน้า

ประวัติความเป็นมา 4-5
- ความหมายหมอลำกลอนและประเภทของหมอลำ 5-11

การฟ้อนหมอลำกลอนเกี้ยวคณะพ่อประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้า 12
- ประวัติความเป็นมา
13
องค์ประกอบการแสดงหมอลำกลอน 14-15
- เครื่องดนตรี 16
- เนื้อร้อง 16-17
- เครื่องแต่งกาย 17
- วิธีคิดเลือกคู่แสดง 17
- โอกาสที่ใช้ในการแสดง
- สรุป 18-21
22-24
ตารางกระบวนท่ารำ 24
- กระบวนท่าตามแบบทั่วไปของหมอลำกลอน
- กระบวนท่าตามแบบเฉพาะของหมอลำกลอน
- สรุป

4

ประวัติความเป็นมา

ศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคอีสาน เป็นศิลปะที่เกิดจากการเลียนแบบท่าทางการ
ทำมาหากินการทำงานในชีวิตประจำวัน การฟ้อนรำมีลักษณะเรียบง่ายกระฉับกระเฉง
ไม่ค่อยมีความอ่อนช้อย แต่มีท่าทาง และลีลางดงาม การฟ้อนรำของชาวอีสานมี
ลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามสภาพท้องถิ่น และความเป็นอยู่ของกลุ่ม
ชน (จารุวรรณ ธรรมวัตร, 2530) การแสดงพื้นบ้านอีสานจึงเป็นการรูปแบบศิลปะการ
แสดงท้องถิ่นจะเป็นการนำเสนอถึงองค์ความรู้ภูมิปัญญา และอัตลักษณ์ของชุมชน
ที่เด่น ๆ ของชาวอีสานจะต้องมีการแสดงของหมอลำ หมอลำเป็นศิลปวัฒนธรรมอัน
สูงค่าของชาวอีสาน และดำรงอยู่คู่ชาวอีสานมาอย่างยาวนานจนไม่อาจจะแยกหมอลำ
ออกจากวิถีชีวิตของชาวอีสานได้ ความสัมพันธ์ระหว่างหมอลำกับชาวอีสานมีมาอย่าง
ต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังมีคำกล่าวว่า หมอลำเป็นส่วนหนึ่งในวิญญาณห้าของ
ชาวอีสานอัน ได้แก่ ลาบข้าวเหนียว ส้มตำ หมอลำและหมอแคน หมอลำมีคุณค่าและ
ความสำคัญในทางสังคมเป็นอย่างมาก และเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเจริญทาง
ด้านเศรษฐกิจเนื่องจากหมอลำเป็นเครื่องสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมของคอีสานมาช้า
นานอีกทั้งหมอลำยังเป็นศูนย์รวมศิลปะอันล้ำค่าหลายด้าน เช่น วรรณศิลป์ คีตศิลป์
ดุริยางคศิลป์ และนาฏยศิลป์ ซึ่งผสมผสานกันอย่างลงตัว ด้วยเหตุนี้หมอลำจึงกลายเป็น
ศิลปะการแสดงที่เป็นที่นิยมของชาวอีสานเป็นอย่างมาก หากจะขยายความคำว่า ลำ
หมายความว่า ขับร้อง มาจากคำเดิมว่า ขับลำนำ ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมกลุ่มหมอลำ
หมอแคนที่นิยมแพร่หลายในอีสาน หมอลำหากลำดับวิวัฒนาการตามเงื่อนไขของเวลา
มีดังนี้ ลำพูน ลำโจทย์แก้ ลำกลอน ลำซิ่ง ลำเรื่องต่อกลอน ลำเพลินลำซิ่ง ความนิยมก็
มิได้สิ้นจนขาดหายไปโดยสิ้นเชิง แต่ลักษณ์ของวรรณกรรมและทำนองยังนำมาใช้ปะปน
เข้าด้วยกันและหากพิจารณาตามลักษณะของการใช้วรรณกรรมกลอนลำซึ่งในบทความ
นี้จะเสนอ 2 ลักษณะ คือลำประเภทแรกกล่าวถึง การเล่าเรื่องลักษณ์คล้ายละคร และ
ลักษณะที่สองลำประเภทประชันกลอนลำ ประเภทเล่าเรื่องลักษณ์คล้ายละคร สามารถ
แบ่งออกได้เป็นการล่า 3 ลักษณะคือ 1. ลำพื้นบางแห่งเรียกว่าหมอลำเรื่อง เป็นการลด
นเดียวเดิมเป็นหมอลำผู้ชายต่อมามีหมอ

5

ลำพื้นมีผู้หญิง แต่ส่วนใหญ่สมัยเก่าเป็นหมอลำผู้ชายมีหมอแคน 1 คน เป่าแคน
ประกอบทำนองลำมีทั้งทำนองลำทางสั้น ลำเดิน และลำทางยาว ลำทางสั้น หมายถึง
ทำนองแบบเนื้อเต็มไม่มีเงื่อนลำเดินหมายถึง ลำเดินดงหรือลำเดินกลอน มีจังหวะ
สม่ำเสมอ เป็นการดำเนินเรื่องแบบเนื้อเต็มที่มีจังหวะเร็ว และให้อารมณ์ตื่นเต้นเร้าใจ
ลำพื้น จะยึดเนื้อหาจากหนังสือใบลานเป็นหลักอาทิเรื่องสินไซต่อมาจึงแต่งกลอนสรุป
เนื้อให้สั้นลงสะดวกต่อการท่องจํา 2. หมอลำเรื่องหรือหมอลำต่อกลอนบางแห่งเรียกว่า
ลำเลียง มีการพัฒนาต่อจากลำพื้นโดยเพิ่มตัวละครตามเนื้อเรื่องรูปแบบการแต่งกาย
ฉากเวทีการดำเนินเรื่องได้รับอิทธิพลจากลิเกภาคกลางที่แพร่เข้ามา หรือหากมองที่รูป
แบบวงจัดอยู่ในกลุ่มลำหมู่ชนิดหนึ่งเนื่องจากคำว่าหมู่คงมาจากคำว่าหมู่คณะหมอลำ ดัง
กล่าวยึดการเล่าเรื่องแสดงเป็นแบบละครในตระกูลเดียวมีพัฒนาการต่อเนื่องกันหมอลำ
ที่ได้บันทึกเสียงสมัยแรก ได้แก่ คณะอัศวินสีหมอก คณะรังสีมันต์และหลาย คณะตา
มลําดับลักษณะของหมอลํา แบ่งออกได้เป็นหลายประเภทเช่น หมอลำแมงตับเต่า
หมอลำกกขาขาว หมอลำเวียง และหมอลำเพลินหมอลำแมงตับเต่า แสดงเรื่องขูลูนา
งอั้ว ใช้ทำนองลำแบบลำทางยาว ใช้แคน พิณซอ บรรเลงประกอบที่เรียกว่า หมอลำแมง
ตับเต่า เพราะว่ามีบทลำในเชิงตลกที่ขึ้นต้นว่า“ แมงตับเต่าแมงเม่าขี้หมาจับอยู่ฝา
แมงมุมแมงสาปจับซาบลาบแมงสาปแมงมุม” ส่วนหมอลำหมูกกขาขาวนั้นแสดงเรื่อง
สังข์ศิลป์ชัยแสดงโดยหมอลำผู้หญิงล้วนและใส่กางเกงขาสั้นทำให้มองเห็นต้นขาจึงเรียก
ว่าหมอลากกขาขาว และการต่อกลอนของหมอลำจะขาดไม่ได้คือ หมอลำกลอนเกี้ยว
เป็นการลำประชันกันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โต้ตอบอวดโฉมกัน และที่สำคัญมี
การฟ้อนเกี้ยวพาราสีกันหยอกล้อต่อเถียงกัน ระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ทำให้เกิด
ความสนุกสนานในการชมและเป็นการแสดงที่เด่นการแสดงหนึ่งในศิลปะการแสดงพื้น
บ้านของชาวอีสาน (วุฒิสิทธิ์ จีระกมล,2560)

หมอลำกลอน

หมอลำกลอนคณะพ่อประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้า ณ บ้านโนนสะอาด ตำบลนาแพง
อำเภอโคกโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น

ประวัติความเป็นมา

หมอลำกลอน คำว่า ลำกร เกิดขึ้นโดยผู้ที่มีนิสัยไม่เรียบร้อยเป็นคนไม่อยู่กับที่
การลำมีมาตั้งแต่เมืองฟ้าเมืองสรรค์หรือมีมาตั้งแต่คนเก่าคนแก่แต่เดิมโบราณ ซึ่งมองขึ้น
ไปบนฟ้าก็นึกอยากจะลำแต่ยังไม่เรียกว่าหมอลำ ซึ่งนึกอยากจะลำก็ลำไปเลยเพราะใน
สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องดนตรีให้จังหวะ ต่อมาก็มีหมอลำเกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งก็เกิดขึ้นมาจาก
ท่านพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งตอนนั้นเป็นปีประมาณ พ.ศ. 1841 หรือ 1822 ได้มี
การจัดงานฉลองเมืองพะเยา ท่านพ่อขุนรามคำแหงอยากให้มีการแสดงมาฉลองในงานนี้
ท่านจึงใช้ให้ขุนอาดหัตถี่ไปหาหมอลำมาฉลองในงานนี้ แต่ขุนอาดหัตถี่ก็หามาไม่ได้ ขุน
อาดได้ไปพบเห็นชาวพม่าเขาลำกันแต่ฟังภาษาไม่รู้ไม่ออกว่าภาษาอะไร ขุนอาดหัตถี่ได้
จำ

6

ทำนองเองและนำทำนองการลำเอามาลำในงานฉลองเมืองในครั้งนั้น ทำนองลำมีอยู่ว่า
(เมืองเมอะตั้งแต่ก่อนอยู่เกาะหน่าวได้เดินข้ามภูพานภูเขาปะเตอะ หายหลุดจากป่าฟ้า
ฟาดลงสามหนเห็นฟ้า เห็นฟ้าแลบชอบกลเกิดอสุนิบาน) เพื่อนฝูงที่มาร่วมกินเลี้ยงในงาน
ฉลองเมืองพะเยา ต่างชอบใจสนุกสนานขุนอาดหัตถี่ที่แสดงในการลำครั้งนี้ ท่านพ่อขุน
รามคำแหงได้ให้ขุนอาดหัตถี่ฝึกฝนและถ่ายทอดไว้ให้เป็นมรดกให้แก่ลูกหลานสืบทอดต่อ
ไป จะได้มีหมอลำมาแสดงในงานสำคัญและพิธีสำคัญต่าง ๆ ต่อไป ต่อมาก็มีคนออก
ความคิดปัญญาแต่งเป็นกลอนลำขึ้นและใส่ท่าทางประกอบพร้อมเครื่องให้จังหวะคือแคน
ที่ช่วยให้กลอนลำไพเราะขึ้น(สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ,2560) ส่วนมากในยุค
นี้ หมอลำเฟื่องฟูมากที่สุด คณะหมอลำดัง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวัดขอนแก่น
มหาสารคาม อุบลราชธานี ซึ่งหมอลำกลอนคณะพ่อประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้า บ้าน
โนนสะอาด ตำบลนางแพง อำเภอโคกโพชัย จังหวัดขอนแก่น ก็เป็นอีกหนึ่งคณะที่ได้รับ
ความนิยมจากชาวอีสาน หมอลำประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้าเป็นศิลปินอาวุโสที่มีความ
สามารถในการขับร้องหมอลำได้อย่างดีมีน้ำเสียงที่ไพเราะท่วงท่าการฟ้อนเกี้ยวเป็น
เอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควรในหมู่ชาวอีสานจาก อดีต
ที่เคยเป็นศิลปินหมอลำกลอนด้วยเหตุผลที่ว่าหมอลำกลอนกำลังเสื่อมลงผู้ชมนิยมน้อยลง
หมอลำประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้า จึงได้พัฒนาการแสดงของตนให้คงเป็นที่นิยมอีกครั้ง
โดยการใช้ลีลาการฟ้อนเกี้ยวเข้ามาเสริมมีทำนองที่ไพเราะบรรเลงคู่กับแคนเพื่อให้จังหวะ
สนุกสนานเพิ่มบทกลอนที่ศิลปินได้แต่งขึ้นเองซึ่งเป็นเอกลักลักษณ์และได้พัฒนาการแต่ง
กายให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อให้ตนเองสามารถปรับเข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน
ประเภทของหมอลำ แบ่งออกเป็น ดังนี้

1. หมอลำพื้น



ภาพที่ 1 : การแสดงหมอลำพื้น
ที่มา : (จารุวรรณ ธรรมวัตร์,2528 )
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564

7

หมอลำพื้น เป็นหมอลำที่เก่าแก่ที่สุดในประเภทหมอลำที่ใช้เพื่อความบันเทิง
ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าหมอลำพื้นเกิดขึ้นเมื่อใด แต่บางคนสันนิษฐานว่าหมอลำพื้น
เกิดมีในภาคอีสานตั้งแต่สมัยคนอีสานแรกรับเอาพระพุทธศาสนาเข้ามา ดังเป็นเรื่อง
ชาดกต่าง ๆ ลำพื้นบางทีเรียกว่า "ลำเรื่อง" คำว่า "พื้น" หรือ "เรื่อง" หมายความว่า
"นิทาน" หรือ "เรื่องราว" ดังนั้น "ลำพื้น" จึงหมายถึง "ลำที่เป็นเรื่องราว หรือเป็นเรื่อง
เล่า ในสมัยก่อนลำพื้นเป็นที่นิยมกันมาก ทุก ๆหมู่บ้านมักจะว่าจ้างหมอลำพื้นมาลำใน
งานเทศกาลต่าง ๆ หมอลำพื้นจะใส่เสื้อและกางเกงขายาวสีขาว และลำเรื่องชาดก เวที
ที่ใช้ลำจะใช้บนพื้นหรือเป็นเวทียกพื้นเล็ก ๆ ซึ่งล้อมรอบด้วยผู้ฟังตั้งแต่เวลาสองทุ่ม
จนถึงหกโมงเช้า ค่าจ้างของหมอลำพื้นขึ้นอยู่กับระยะทางที่หมอลำจะต้องเดินทางออก
จากหมู่บ้านของตนถึงหมู่บ้านที่จะไปลำ และเวลาที่จะไปลำว่านานแค่ไหน ส่วนมาก
หมอลำพื้นจะเป็นผู้ชาย เพราะเหตุว่าผู้ชายมีโอกาสที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนจากพระที่วัด
ผู้หญิงไม่อนุญาตให้เข้าใกล้พระ ฉะนั้นผู้หญิงจึงหมดโอกาสที่จะเรียนเขียนและอ่านได้
ส่วนเหตุผลข้ออื่น เช่น ผู้หญิงไม่ควรทำงานอื่นนอกจากการเป็นแม่บ้านเท่านั้น และใน
ขณะเดียวกัน เด็กสาวที่นับว่าเป็นกุลสตรีนั้นก็ไม่ควรที่จะปรากฏตัวต่อสาธารณชนเช่น
กัน ดนตรีที่ใช้ประกอบลำพื้น คือ แคน ลายใหญ่ คือลายที่ใช้เป่าประกอบการลำพื้น
ลายนี้เป็นลายแคนเก่าแก่ทีมีจังหวะช้า ส่วนหมอลำนั้นจะลำในสองจังหวะ คือ ช้าและ
เศร้า กับจังหวะเร็วและเร่งร้อน จังหวะช้าใช้ลำช่วงที่มีท้องเรื่องเศร้า และจังหวะเร็วใช้
ลำช่วงที่กล่าวถึงการท่องเที่ยวหรือการที่ไม่มีความเดือดร้อนใด ๆ เรื่องที่หมอลำพื้นชอบ
ลำ คือ ท้าวการะเกด ท้าวสีธน นางแตงอ่อน และนางสิบสอง และท้าวหมาหยุย ซึ่งล้วน
แต่เป็นชาดก (สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)

2. หมอลำกลอน

ภาพที่ 2 : การแสดงหมอลำกลอน
ที่มา : Facebook ของ ประนอม หงส์ทองหงส์ฟ้า

สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564

8

หมอลำกลอน เป็นกลอน หมายถึง บทร้อยกรองต่าง ๆ เช่น โคลง.ร่าย หรือ
กาพย์กลอน "หมอลำกลอน" ตามรูปศัพท์แล้ว หมายถึง หมอลำที่ลำโดยใช้บทกลอน ซึ่ง
ความจริงแล้วหมอลำกลอนล้วนแต่ใช้กาพย์กลอนเป็นบทลำทั้งสิ้น ที่ได้ชื่อว่าเป็น
"หมอลำกลอน" นั้นก็เพื่อที่จะแยกให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างหมอลำพื้น ซึ่งปรากฏว่า
หมอลำสองชนิดนี้ในขณะเดียวกัน หมอลำกลอนเป็นที่รู้จักแพร่หลายในขณะที่หมอลำ
พื้นได้ค่อยๆสูญหายไป หมอลำพื้นกับหมอลำกลอนแตกต่างกันตรงที่ หมอลำพื้น
เป็นการลำเดี่ยว และลำเป็นนิทาน ส่วนลำกลอนเป็นการลำสองคนลักษณะโต้ตอบกัน
อาจเป็นไปได้ว่าการลำกลอนได้พัฒนามาสองทางคือจากลำ โจทย์แก้ ซึ่งเป็นการลำแบบ
ตอบคำถาม อย่างที่สองคือ "ลำเกี้ยว" ซึ่งเป็นการลำในทำนองเกี้ยวพาราสีระหว่าง
หญิง-ชาย (สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) จาก
ภาพดังกล่าว หมอลำประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้าศิลปินอาวุโสที่มีความสามารถในการขับ
ร้องหมอลำได้อย่างดีมีน้ำเสียงที่ไพเราะ และกำลังใช้ท่วงท่าการฟ้อนเกี้ยวพาราสีหมอลำ
ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพ่อประนอมเอง

3. หมอลำหมู่

ภาพที่ 3 : การแสดงหมอลำหมู่
ที่มา : (จารุวรรณ ธรรมวัตร์,2528 )
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564

หมอลำหมู่ เป็นลำหมู่ ตามรูปศัพท์ หมายถึงการร้องเป็นหมู่ ความจริงลำหมู่
เป็นการแสดงของกลุ่มศิลปินหมอลำหมู่ การลำหมู่เพิ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อประมาณ 50-60
ปี สิ่งที่เกิดมาก่อนลำหมู่คือ ลำพื้นและลิเก ซึ่งเป็นการละเล่นของชาวไทย ในภาคกลาง
ลำหมู่ได้แบบอย่างการแต่งกายมาจากลิเก และได้แบบอย่างการลำมาจาการลำพื้นและ
ลำกลอน คณะหมอลำหมู่ประกอบด้วยคน 15-30 คน ตัวละครประกอบด้วย พระราชา
พระราชินี เจ้าชาย เจ้าหญิง คนใช้ พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ฤๅษี เทวดา และภูตผี คนใช้
ปกติจะแสดงเป็นตัวตลกด้วยหมอลำ แต่ละคนจะสวมใส่เครื่องตามบทบาทใน ท้องเรื่อง
โดยปกติตัวตลกจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ผิดแผกแหวกแนวจากคนอื่น ๆ บางทีจะแต่งชุดเป็น
ตำรวจ แต่การแต่งนั้นไม่ได้เหมือนตำรวจจริง ๆ เขาอาจมีเครื่องประดับที่มีขีดอะไรต่อมิ
อะไรมากมาย หรือไม่ก็ติดขีดกลับหัวกลับหางอย่างนี้ เป็นต้น ตัวตลกบางทีก็แต่งแต้ม
หน้าด้วยสีสันฉูดฉาด บางทีตัวตลกจะเตี้ย ผอมสูง หรืออ้วนผิดปกติไป

9

บางทีตัวตลกผู้ชายจะใช้สิ่งของเสื้อผ้าหนุนท้องเข้าไปให้แลดูเหมือนผู้หญิงท้องแก่ก็มี
ส่วนมากเรื่องที่จะลำในหมอลำหมู่จะเป็นเรื่องที่ หมอลำพื้นนิยมใช้ลำกันซึ่งเรื่องเหล่านี้
ได้มาจากนิทางชาดกของภาคอีสาน ข้อใหญ่ใจความของเรื่อง มุ่งที่จะสั่งสอนคนให้ทำดี
ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีใครหลีกพ้นกรรมที่ก่อไว้ และให้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร แต่ให้
ระเวรด้วยการทำความดี นิทานทุก ๆเรื่องมักจะเริ่มต้นด้วยคนที่ทำดี แต่ต้องตกไปอยู่ใน
ห้วงอันตราย จากการกระทำของคนชั่ว แล้วเรื่องราวก็ดำเนินต่อไประหว่างคนสองกลุ่ม
คือ กลุ่มคนดีและคนชั่ว บางครั้งเทวดาหรือพระอินทร์จำต้องลงมาช่วยฝ่ายคนดี ถ้าเห็น
ว่าฝ่ายนี้เพลี่ยงพล้ำจริง ๆ แต่บั้นปลายของเรื่องคนดีจะเป็นผู้ชนะคนชั่วจะถูกลงโทษ
คนดีจะถูกบำเหน็จรางวัล หมอลำหมู่จะแสดงบนเวทีที่มีความกว้างประมาณ เมตร ลึก
5 เมตร และสูง 2 เมตร เวทีมักจะตั้งอยู่มุมใดมุมหนึ่งของพื้นโล่ง ซึ่งปกติจะเป็นที่
ภายในวัด เวทีจะแบ่งออกเป็น 2 ตอน โดยผ้าฉากหรือฉากไม้ส่วนหน้าจะเป็นเวทีแสดง
ส่วนด้านหลังจะเป็นห้องพักและห้องแต่งตัวมีประตูสองข้างของม่านที่กั้น แบ่งเวทีเพื่อใช้
เป็นที่เข้าออกของผู้แสดง ทางออกอยู่ทางด้านซ้ายของคนดูและทางเข้าอยู่ประตูด้าน
ขวา คนเป่าแคนจะอยู่ข้างๆประตูทางออกด้านซ้ายหรือด้านหลังของฉาก เครื่องดนตรีที่
ใช้ในการประกอบลำหมู่คือ แคน แต่ปัจจุบันหมอลำส่วนมากใช้เครื่องดนตรีฝรั่ง เช่น
กลองชุด ทรัมเป็ต แซ็กโซโฟน หรือกีตาร์ แต่เครื่องดนตรีฝรั่งพวกนี้จะใช้ประกอบเครื่อง
ดนตรีลูกทุ่งมากกว่าประกอบหมอลำหมู่ ดังนั้น แคนก็ยังเป็นเครื่องดนตรีสำหรับ
ประกอบการ"ลำ"อยู่ดี ลายแคนที่ใช้ประกอบลำหมู่ ส่วนมากใช้ลายใหญ่ ซึ่งช้าและเศร้า
หรือลายน้อยซึ่งช้าและเศร้าเช่นกันแต่คนละระดับเสียง อย่างไรก็ตามในฉากที่มีการ
ฟ้อนรำ หรือ สนุกสนานหมอลำหมู่จะลำเต้ยซึ่งเป็นเพลงรักสั้นๆหมอแคนก็จะเป่าลาย
"ลำเต้ย" ซึ่งได้แก่เต้ยโขง เต้ยพม่า เต้ยธรรมดา และเต้ยหัวโนนตาล (สถาบันวิจัยศิลปะ
และวัฒนธรรมอีสาน,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)

4. หมอลำเพลิน



ภาพที่ 4 : การแสดงหมอลำเพลิน
ที่มา : (จารุวรรณ ธรรมวัตร์,2528 )
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564

10

หมอลำเพลิน เป็นหมอลำหมู่อีกประเภทหนึ่ง เป็นการแสดงที่แสดงเป็นคณะ
เรื่องที่จะแสดงเป็นเรื่องอะไรก็ได้รวมทั้งเรื่องที่หมอลำหมู่แสดง ส่วนข้อแตกต่างระหว่าง
หมอลำหมู่กับหมอลำเพลิน คือในหมอลำหมู่ผู้แสดงฝ่ายหญิงทุกคนจะแต่งชุดด้วยผ้าซิ่น
แบบพื้นบ้านอีสาน หรือไม่ก็ชุดไทย แต่ลำเพลินฝ่ายหญิงจะนุ่งกระโปรงแบบฝรั่ง ในลำ
เพลินนอกจากแคนแล้วยังมีพิณเป็นเครื่องดนตรีประกอบด้วยในลำเพลินจะมีจังหวะการ
ลำที่เรียกว่า "ลำเพลิน" ซึ่งหมายถึงจังหวะสนุกสนาน ถึงแม้ว่าลำเพลินจะเข้าม่มีบทบาท
พร้อม ๆกับลำหมู่ก็ตาม แต่ไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าลำหมู่ จนเมื่อประมาณสิบปีก่อน
ลำเพลินจึงกลายมาเป็นที่นิยมของคนทั่วไป และเป็นที่น่าสนใจว่าการฝึกซ้อมที่จะเป็น
หมอลำเพลินนั้นง่ายและใช้เวลาน้อยกว่าการเป็นหมอลำหมู่ กล่าวคือ ลำเพลินจะใช้วเลา
ฝึกหัดเพียงหกเดือนก็สามารถออกแสดงในงานต่าง ๆได้ ผิดกับหมอลำหมู่ที่ต้องใช้เวลา
ฝึกหัดตั้งแต่สองถึงห้าปีจึงสามารถเป็นหมอลำหมู่ที่ดีได้ การแสดงลำเพลิน ผู้ลำฝ่ายหญิง
จะนุ่งกระโปรงสั้นๆที่เปิดวับ ๆแวมๆเพื่อโชว์อวดความสวยงามของร่างกาย และผู้ชมก็
ชอบที่จะชมความงามของเรือนร่างของหมอลำด้วย ตรงข้ามกับหมอลำหมู่ที่ต้องนุ่งห่ม
ด้วยผ้าชิ้นยาวปกปิดร่างกายไว้เสียส่วนมาก ทำนองของลำเพลินเป็นทำนองโลดโผน ตื่น
เต้นเร้าใจ ประกอบทั้งเครื่องดนตรี แคน พิณ และกลองชุด ทำให้เป็นที่ตื่นตาตื่นใจแก่ผู้
ชม ค่าจ้าง หมอลำเพลินนั้นนับว่าพูกมาเมื่อเทียบกับค่าจ้างหมอลำหมู่ ค่าจ้างลำเพลินะ
จะตกประมาณห้าร้อยบาท ถึงสี่พันบาทต่อคืน ส่วนหมอลำหมู่จะตกประมาณสี่พันถึงหนึ่ง
หมื่นบาทต่อคืน ปัจจุบันนี้ค่าจ้างได้เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นหลักแสน หรือหลายแสนบาทต่อ
คณะ(สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)

5. หมอลำผีฟ้า

ภาพที่ 5 : การแสดงหมอลำผีฟ้า
ที่มา : (จารุวรรณ ธรรมวัตร์,2528 )
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564

11

คนอีสานบางคนมีความเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากเชื้อโรค และบางคนเชื่อว่า
เกิดจากการกระทำของผี ความเจ็บป่วยที่เกิดจากเชื้อโรค สามารถเยียวยาให้หายได้ด้วย
การรักษาโดยการใช้ยา ส่วนความเจ็บปวดที่เกิดจากผีนั้น เชื่อว่าต้องได้รับการรักษาจาก
ผีฟ้าหรืออำนาจอย่างอื่น อย่างไรก็ตามเมื่อถึงคราวชีวิตจะสิ้นสุดลง ก็ไม่สามารถมีใคร
เหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ คนป่วยที่ได้รับการรักษาจากวิธีการสมัยใหม่หรือจากยาไม่ได้ผลแล้ว
คนใช้หรือญาติพี่น้องของคนไข้ก็จนปัญญาจำต้องหันหน้าพึ่งทางอื่น และพึ่งทางอันนั้นก็
คือ หมอลำผีฟ้า ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่มีความเชื่อในหมอลำผีฟ้าดังกล่าว แต่เพื่อชีวิต
อย่างน้อยก็ต้องลองเสี่ยงดู หมอลำผีฟ้าอาจแปลความได้ว่า คณะหมอลำที่ทำการติดต่อ
สื่อสารกับผีฟ้า บางท้องที่เรียกหมอลำผีฟ้าว่า หมอลำไทเทิง ซึ่งหมายถึง หมอลำที่
ติดต่อกับผีที่อยู่เบื้องบน (ไท หมายถึง กลุ่มคนหรือวิญญาณ เทิง หมายถึง (เหนือหรือ
ข้างบน) ในบางท้องที่เรียกหมอลำผีฟ้าว่า หมอลำผีแถน ซึ่งหมายถึง คณะหมอลำที่จะ
ติดต่อกับผีแถนผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองฟ้า ถึงแม้ว่าหมอลำผีฟ้าจะเป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อ
และรายละเอียดปลีกย่อยของการลำจะแตกต่างกันไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่นก็ตามแต่มี
จุดประสงค์อันเดียวกัน(สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน,มหาวิทยาลัศรีนครินทรวิ
โรฒ)




ภาพที่ 6 : ลำกลอนเรื่อง
ที่มา : หมอลำอำนาจ แฝงงาม
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564

12

การฟ้อนหมอลำกลอนเกี้ยวคณะพ่อประนอมหงส์ ทองหงส์ ฟ้า
ประวัติความเป็นมา













ภาพที่ 7 : พ่อประนอม ทองบุตร
ที่มา : Facebook ประนอม หงส์ทองหงส์ฟ้า
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564
หมอลำประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้า มีนามจริงว่า นายประนอม ทองบุตร มี
ภูมิลำเนาในพื้นที่บ้านโนนสะอาด ตำบลนาแพง อำเภอโคกโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น แต่
เดิมเคยอาศัยอยู่ที่ บ้านผัง 1 อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ได้ย้ายถิ่นฐานมาพร้อมกับ
ครอบครัวมาอยู่ในจังหวัดขอนแก่น พ่อประนอมได้ศึกษาการร้องลำมาตั้งแต่เด็ก มีความ
ชอบและมีสามารถในการร้องลำพ่อประนอมจึงเป็นหมอลำกลอนที่เก่าแก่ท่านหนึ่ง เป็น
ศิลปินอาวุโสที่มีความสามารถในการขับร้องหมอลำได้อย่างดี มีน้ำเสียงที่ไพเราะท่วงท่า
การฟ้อนเกี้ยวเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควรในหมู่
ชาวอีสาน ณ บ้านโนนสะอาด ตำบลนางแพง อำเภอโคกโพชัย จังหวัดขอนแก่นจากอดีต
ที่เคยเป็นศิลปินหมอลำกลอนด้วยเหตุผลที่ว่าหมอลำกลอนกำลังเสื่อมลงผู้ชมนิยมน้อยลง
หมอลำประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้าจึงได้พัฒนาการแสดงของตนให้คงเป็นที่นิยมอีกครั้งโดย
การใช้ลีลาการฟ้อนเกี้ยวเข้ามาเสริมมีทำนองที่ไพเราบรรเลงคู่กับแคน เพื่อให้จังหวะ
สนุกสนานเพิ่มบทกลอนที่ศิลปินได้แต่งขึ้นเองซึ่งเป็นเอกลักลักษณ์และได้พัฒนาการแต่ง
กายให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อให้ตนเองสามารถปรับเข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน
การฟ้อนเกี้ยวของหมอลำกลอน เลียนแบบและดัดแปลงจากท่าทางในประเพณี
เล่นสาว ฟ้อนเกี้ยวอยู่ในยกที่ 3 ช่วงลำเกี้ยว ท่าฟ้อนเป็นการสื่อถึงการหยอกเย้าของชาย
และหญิงตามความหมายของกลอนเกี้ยว ท่าฟ้อนเกี้ยวจึงเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม
การฟ้อนและการเกี้ยวพาราสีโดยถ่ายทอดผ่านหมอลำกลอน ฟ้อนเกี้ยว คือ การฟ้อนที่
ฝ่ายชายเข้าประชิดตัวฝ่ายหญิงเพื่อฉวยโอกาสจับต้องของสงวน (สิทธิรัตน์ ภู่แก้ว,2550)

13

เครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงหมอลำกลอน มีเพียงชิ้นเดียวคือ แคน ซึ่ง

หมายถึง เครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานชนิดหนึ่งใช้ปากเป่า ทำด้วยไม้กู่ แคนเป็นตระกูล
ไม้ไผ่เป็นชนิดเดียวกันกับไม้ซางใช้ 6 ลำ 14 ลำ 16 ลำ 18 ลำตามแต่ละขนาดคือแคน
121 ของแคนประกอบกันเข้าข้างละเท่า ๆ กันเจาะรูนับทุกลำ มีเต้าอยู่ตรงกลาง มีลิ้น
ทำด้วยเงินหรือทองเหลือง การนำแคนมาเป่าเป็นเพลงชาวอีสานเรียกว่า “ ลาย” ดังนั้น
เพลงที่ใช้แคนบรรเลงจึงเรียกว่า “ ลายแคน” หมอแคนส่วนใหญ่มักไม่บันทึกโน้ตลาย
แคนไว้ แต่จะใช้วิธีการจดจำทำนองตามที่ตนเคยได้ยินได้ฟังมาดังนั้นลายแคนหนึ่งลายที่
เป่าโดยหมอแคนสองคนก็จะมีความแตกต่างกันออกไปหรือแม้แต่หมอแคนคนเดียว แต่
เป่าต่างโอกาสกันก็ย่อมมีความต่างอย่างแน่นอน

ภาพที่ 8 : แคน
ที่มา : (ออนไลน์) การพัฒนาบทเรียนประเภทแคน

สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564

ลายแคนที่ถือเป็นลายหลักหรือลายแม่บทมี 6 ลายซึ่งแยกเป็น 2 ทาง ได้แก่
ทำนองทางสั้นประกอบด้วย
- ลายสุดสะแนน
- ลายโป้ซ้ายหรือลายติดสุด
- ลายร้อย
ทำนองทางยาวประกอบด้วย
- ลายใหญ่
- ลายน้อย
- ลายเซ

14

เนื้ อร้อง
หมอลำกลอนล้วนแต่ต้องใช้คำกลอนในการแสดง กลอนแต่ละกลอนแต่งขึ้นในรูป

แบบหลายรูปแบบ มีทั้ง บทร้อยกรอง โครง ร่ายหรือกาพย์ ลักษณะการลำโดยใช้กลอน
ที่มีภาษาถิ่นอีสานมาประชันกันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เอาแพ้-ชนะกัน ถามตอบ
กันด้านวิชาการอย่างกว้างขวางทั้งทางโลกและทางธรรม กลอนที่ใช้ลำมีเนื้อหาที่หลาก
หลายทั้งเรื่องศาสนา วรรณกรรม ตำนาน ความเชื่อ ประเพณี การศึกษา เหตุการณ์อดีต-
ปัจจุบัน และรวมไปถึงเรื่องกามารมณ์ เนื้อหา เรื่องราว รวมไปถึงความหมายของกลอน

เนื้อร้องลำเกี้ยว
โอ่... โอละนอ... โอสแหนนวลจันทร์แม่จงเรียมพัน โอ้ละน้อ... นางเอย...
เดี๋ยวหนี่ มาโตยอดนี่ ยอดผู้ฮ่ายจังซี่ เว่าเบิงกะเป็นหยัง วาสนาซายยังงังมีดีฮ่าย ขนมาให่
มาเงินพันมาแบ่ง สิขอสะอื้นเอาบ่บ่าวพี่ซาย พี่...เจ้านี่อดสาเว่าผู้ฮ่ายกินแจ่วกับผัก นี่สิบ่
หัวสามักว่าพี่เป็นคนเก้ โอ้หลาเด๊คราวนี่สีตาสิเลียดออก พอบอกว่าได้พอให้ถ่อนคำ สาว
นางน้องกะบ่เบิ่งอีกซ่ำงวกแด๊แลเหลียว จนมาลำซำซอบ่ลำลิงเลยจ้อย จนใจข่อยจำเป็น
วิ่งจ่อง แล้วเดี๋ยวนี่ขั่นบ่แมนเซื่อเจ้าเอาเจ้ามาเฮ็ดแนว... แก้วเอ๊ยแก้วแก้วสิบ่อยากกิ้มไป
เกี่ยวกอมทองคำ แล้วเดี๋ยวนี่สิไปโฮ้งโฮงไสแต่โตล่ะน้อแก้ว หรือแนวแกวสิมาหัวสาส่ง
ทรงแกวให้มันต่าง เถอะนางนาถน้องบ่ไปกลิ้งกล่อมทอง พี่เจ้านี่แฮงบ่หัวสาของแนวมอง
บ่เตียมงัง นับว่ามีสี่ข่างพาเล่นทงนา มีหมาแล้วอย่าลืมคุณแมวมาว บัดหาผาขาดก้นหนูสิ
หม่นอยู่ใน... มีไหมแล้วอย่าลืมคุณฝ่ายเก่า แล้วเดี๋ยวนี่หากมอนเจ้าบ่ขึ่นยังสิโอ้อ๊าวมัน...
พอกันกับน้องบ่ครองเอาผู้จังพี่ โอ้เดี๋ยวนี่บาดห่ามักผู้ดีสิไปได้ผู้ห่ายภายหน่าก็บ่เห็น สาว
นางน้องอย่าเป็นคนไหมมิ่นขินกรรมนำไล่ มักบ่ได้แฮงฮ่ายบายให่ใส่พี่... เดี๋ยวหนี่มันมัก
แล้วซื่อให้ลื่อซือตื๋อซาย โอ่อันนึงหนี่มันมีมันมีของขามมึงจ่ายขานการค่า คนถือหน่ามึง
ลือซาซึมลอก โสปาเจ้าพ่อให่ทอใด๋ได้กะบ่ขาย พี่เจ้านี่หนี่แม่นคนอยากได้จังเว่าต่อขออม
ถือคารมย์ สิบ่พอใจบ่อม คันเอาไปไม่ให้ทนเข็ญเหงา ละย่านแต่เฮาสินั่นจ้อสิย่างมโนนาง
เอ่ย บ่มีทางสิเว่าให่เขาข่างย่างคืน พี่เจ้านี่กะสิให่สะอื้นล่ะบ่ซืนซมเหงา หรือบ่มียามซม
แข่งขนทนฮ่อน นอนตะแคงเทิ่งเทิงปืงให่ฮำ โอ้เดี๋ยวนี่หันใปคนละก้ำกรรมข่อยจังค่อย
คืน... เดี๋ยวนี่สิขึ่นโคกค่อยหาสิคอยเหลียวหลัง แล้ว เดี๋ยวนี่ตั้งแต่แพงซมเหงาฟังฟังยัง
ย่อย ทูนหัวข่อยจำไปได้ห่าง แม่คำแก่นเอ่ย... (คำพอง หัสโรค์, 2557)
เนื้อร้องลำกลอนหย่าว
แม่เอ๊ยแม่เอ่ยแม่ หมอลำซิ่ง ลำซิ่ง หมอลำสตริงคือประยุกต์ขึ้นใหม่ ยุค
ไฮเทคนั่นได้เดี๋ยวนี่เปลี่ยนแปลง ขอบอกแจ้งประยุกต์จากลำไกลผู้ฟังหิวนอนแน่จริงเด้อ
เจ้า ลำกลอนเฮามันเศร้าฟังไปบ่เต้นตื่น ลำแต่กลอนเบิ่ดคืน แคนดวงเดียวเป่าจั่นคนนั่น
เลาเซ็ง บ่ได้เดได้เด่งคนอ่อนนอนมิด ศิลปินนี่กะเลยมาคิดแก้ทางคือเว่า บ่ให้เหงานอน
เฝ้ากองบุญคุณพ่อ จังได้ก่อได้เริ่มเสริมสร้างพัฒนาดพราะว่าโลกก้าวหน้าโดดเด่นไปไกล
จักเพลงไทยเพลงจีนพัฒนากันแล้ว บ่มีแนวเหลือค้างกันตรึมขับงึมใส่ดนตรีกันตึ้ม ตึ้ม ตึ้ม
ตึ้ม กะไทยพร้อมหมู่พวน ใส่ดนตรีครบถ่วนคือจังม่วนพอฟัง ลำกลอนหยังมีแต่แคนดวง
เดียว ม่วนกะคือเป็นหล้า คนเมือป๋าแต่ละพอหกทุ่ม ๆ กองบุญกะแปนเป๊า คันลางบ้าน
เหลือแต่ผู้เฒ่ากับหมาน้อยสี่โต๋

15

แม่เอ๊ยแม่ ลางบ้านนั่นใกล้สิแจ้งโข่โหล่กะเหลือแต่ศรัทธา เอิ่นหาคนดังไฟเฮ็ดครัวยาม
เซ่า เอิ่นคนมาหนึ่งเข่าหมอลำเอิ่นให้แน ๆ ให้แน ๆ เอิ่นอีสีอีแหล่ ๆ มันไปลี่อยู่ใส จังเหตุ
นี่ได้จังได้แต่งตามยุค เพื่อจักปลุกใจคนผู้คงให้จาแจ้ง ยามแสดงลำไปนั่นมีกลองตีใส่ พวก
คนฟังอยู่ใต้กะหลงฟ้อนใส่นำ เสียงมะลึ่งตึ่มต้ำลำใส่ดนตรี โหลดบ่มีความเหงาม่วนเมา
หลงเต้น ยินดนตรีเขาเล่นทางแอวกะหักอ่อน ผู้ฟังกลอนอยู่ใต้หมอแคนต้อนอยู่เทิง หยัง
กะดังเติ้ง ๆ จังสิเบิ่งทางได๋ เกือบสิลืมหันใจพุ้นละแหมลำซิ่ง บ่จักหญิงซายเต้นนำกัน
แหยะแย่ง ถืกใจแฮง ๆ ให้แม่นพวกขี่เหล้าเมาฟ้อนบ่อยากเมือ ผู้บางคนเกิดบ่นุ่งฮอดเสื้อ
มาเต้นใส่กลองซุด เหยี่ยวบ่สุดที่คักอาบลงนำซ่ง เกิบกะหลงลืมถิ่มทางได๋บ่ฮู้เมื่อ ถิ่มฮอด
เกิบฮอดเสื้อเหลือซ่งอย่างเดียว เมียมานำขอดเขี่ยวโอ้ยอย่าเกี่ยวนำกู บ่จักสูจักดันยักยัน
ดึงไว้ กูบ่ไปใสแหล่วมาฮอดกะปานด่า ตานั่นมืนบ่ขึ่นทางเต้นบ่เซา มือนั่นถือขวดเหล่ากำ
บ่มีวาง ออกท่าทางปานฝนใส่ตัวขัวซ่าย เกินม่วนหลายซาแล้วเทิงเมาเทิงวิ่งมาฟังลำแบบ
ซิ่งเมียนั่นบ่สน

แม่เอ๊ยแม่จักข่าพเจ้านี่ซื่อว่าสมาน กะผมขอรายงานสู่ฟังพอฮู้ เป็นหมอลำเจ้าซู่คง
(น่าจะหมายถึงโคลง) กลอนเกี่ยวย่อน สาวออนซอนซักดิ้น ๆ ป๋าก้นเล่นนำ รูปกะหล่ออีก
ซ่ำบ่แม่ธรรมดา ซำดาราในหนังให้อย่าเอามาใกล้ ไปลำใสคนย่องเสียงฮ่องปานอึ่ง ลำกะ
ได้ที่หนึ่งบ่จักขันและถ่วยเต็มตู้อยู่เฮือน หยังกะเด้นบ่เอื่อนฮ้ายกว่าฝนตก ลำตลกแฮฮา
ด้านประชันเกมเย้ย อย่าถามเลยมวนนี่หลายปีคนซา หมอสมานหงษาละบ่คาบ่ข่องคน
ย่องทั่วแดน ร่างอ่อนแอ้น ๆ ว่าแม่นบักฉัตรชัย อยู่ในจอทีวีหละบักแคนเป็นน่อง เดี๋ยวนี่
เนาในห่องว้าดิ๊นเขตเข่ง อยู่อ.วาริน ๆ สำนักพักยั่ง ๆ อุบลบ้านจื่อเอา

แม่เอ๊ยแม่จังเมียนั่นได้ ๆ ผัดมีอยู่หกคน ผู้หนึ่งนั่นเอาอยู่เมืองอุบลแต่งเบิ่ดพัน
แปด ๆ บ่เคยให้ตากแดนเอาเซียงไว้ในไห ผู้หนึ่งนั่นไปเอาอยู่เมืองไทยแต่งหลายขนาด เบิ่
ดละไปสิบสองบาทกับเกวียนสามทอ เอาได้บ่เคยรอเอาแล้วเอาอีก คันบาดออกลูกข่อย
กะย่านมันกีก ๆ ลวกลากป๋าหนี คันผู้หนึ่งนั่นเอาละอยู่ทางอิถีกะมูลปโมก คันเอาอยู่โคก
กะมาลีดอนโพนี่กะงามปาดโท้ปานย่างแบบไว่ เขาอยู่ทางเชียงใหม่หนองหานหนองคาย
เบิ่ดเงินไปตั้งหลายซีห่ากระสอบ คันบาดออกลูกนี่กะปานผีปอบผีไฮ่ผีนา บ่จักหูจักตา
เรียกคุณเรียกพี่ ก้นอักนั่นซะผัดแหลมเอานีปันว่าเหล็กซีจังผัดเขียวคึดหนีป๋าไปบ่ซ่าง โอ้
เด๊หนอน่องเอ่ย เออ เออ เห่อ เออ เอิง เอย ๆ สาวแล่นย่วยแลนหยั่งนำก้นนำตอย ผม
สมานสมานนี่กะเอาบ่ถอยผู้ลูกสองลูก บ่จักเพลินจักกู๊กทางหน่าทางหลัง เดี๋ยวนี่เลยบ่
หยังจักคนซ่ำดอก ไปหาลำหาตอกแต่กี้ศูนย์สามบ่ได้ไปถามข่าวหาจักเถือ ผัดเทือเมือ
ศูนย์เก้าพ.ศ. สมานหงษาละเป็นบ่าวปอหลอขึ่นมาอีกละ ผมโลดบ่ซะนะเว่าลูกเว่าเมีย
แนวเว่าแล้วเสียเงินทองกล่าว ๆ มื่อนี่พ่อ ๆ บ่ได้เห็นซู่เก่า ๆ กะอยู่ข่างเวทีนี่เห็นว่าผู้ดี
ข่างสีเปิงเสิ่ง ๆ ๆ หึสิเอาลองเบิ่งอีกบ่จักคน สำหรับไว้หลกขนขี่แฮดขี่ตุม แนมเบิ่งหน่า
ผัดหัวยุ่ม ๆ คือสิได้อีหลี ๆ คือสิได้อีหลีสีนานวลม่วนไว้ก่อนหน่าทอนั่นหน่า (คลังกลอน
ลำ,2557)

16

เครื่องแต่งกาย

ในอดีตหมอลำกลอนฝ่ายหญิงนิยมนุ่งผ้าถุงหมี่หรือขิด เสื้อแขนกระบอก ไว้ผม
มวยทัดดอกไม้สวมร้องเท้ามีส้นสูงประมาณ 2-3 นิ้วหมอลำกลอนฝ่ายชายนิยม นุ่งโสร่ง
ไหมเสื้อม่อฮ่อม และผูกเอวด้วยผ้าขาวม้า สวมร้องเท้าตามสมควรส่วน หมอแคนแต่ง
กายคล้ายกับหมอลำฝ่ายชาย แต่ในเวลาต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายให้เข้า
กับยุคสมัย คือหมอลำกลอนฝ่ายหญิงแต่งกายด้วยชุดพื้นบ้านที่เป็นแบบกึ่งสมัยนิยม แต่
ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นอีสานตาม แต่ความเหมาะสมและองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น
เวลาสถานที่โอกาสเป็นต้นส่วนฝ่ายชาย และหมอแคนก็สวมใส่ชุดสากลตามแบบฝรั่งหรือ
ชุดอีสานที่เป็นกึ่งสมัยนิยม เช่น สวมเสื้อคอตั้งแขนสั้นหรือแขนยาว กงขายาวคาดเอว
ด้วยผ้าพื้นเมืองเป็นต้นส่วนร้องเท้าตามความเหมาะสม





ภาพที่ 9 : การแต่งกายของหมอลำกลอนในอดีต
ที่มา : (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ,2560)
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2564

วิธีคิดเลือกคู่แสดง
หมอลำกลอน เป็นหมอลำที่ลำเป็นคู่ โต้ตอบกันระหว่างชายหญิง จะเน้นเนื้อหา

บทกลอนเป็นสำคัญ อาจเกี่ยวกับเหตุการณ์สังคม ประเพณี และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นใน
ขณะนั้น หรือบทกลอนทางประวัติศาสตร์ก็ได้ โดยมีการนำแคนเข้ามาประกอบขณะลำ
(สุวิทย์รัตนปัญญา, 2553) การแสดงหมอลำกลอนเป็นการสลับระหว่างชายหญิง ฉะนั้น
การเลือกคู่ขึ้นลำก็สำคัญเช่นกัน กลอนลำที่ลำขึ้นอยู่กับการนำเสนอ เช่น กลอนวิชาการ
กลอนประวัติศาสตร์ กลอนธรรมชาติ และลักษณะของกลอนขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
ได้แก่ กลอนเกี้ยว จะมีฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเกี้ยวพารสีกัน กลอนโจทย์แก้ จะเป็นกลอน
โต้ตอบกันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เป็นต้น ซึ่งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะลำโต้ตอบ
กัน หรือบางครั้งก็อาจจะมีการประชันกลอน (เอื้อมเดือนถิ่นปัญจา, 2548)

ด้านจำนวนผู้แสดงหมอลำกลอน ยังคงมีผู้แสดง คือ หมอลำ 2 คนโดยเป็นฝ่าย
หญิง 1 คนและฝ่ายชาย 1 คนหรือฝ่ายชาย 2 คนแล้วแต่โอกาสและผู้ว่าจ้างหมอแคน
อาจจะใช้คนเดียวหรือ 2 คนเหตุผลที่มี 1 คนนั้นเนื่องจากเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่ม
รายได้ให้กับหมอแคน

17

ผู้แสดงประกอบหรือนาง นอกเหนือจากหมอลำ 2 คนแล้วก็จะมีนางรำ (ซึ่งไม่
เรียกว่าหางเครื่องหรือแดนเซอร์) นางรำนี้จะมีประมาณ 4-8 คนโดยเป็นผู้หญิงล้วนแสดง
ทั้งนี้เพื่อสร้างสีสันดึงดูดความสนใจของผู้ชมและให้นางรำเหล่านี้มีอาชีพและเป็นแหล่ง
เรียนรู้ฝึกฝนเพื่อก้าวต่อไปในการเป็นหมอลํากลอนหรือแดนเซอร์

โอกาสที่ใช้ในการแสดง
โอกาสที่แสดงการแสดงหมอลำกลอน ส่วนมากนิยมแสดงเพื่อความบันเทิง ดังนั้น

จึงมักจะแสดงในเทศกาลประจำท้องถิ่น เช่น งานทอดผ้าป่า งานทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่
ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว งานบุญผะเวสหรือบุญมหาชาติ งานเข้าพรรษา งานออกพรรษา งาน
ทอดกฐิน เป็นต้น เมื่อหมดงานเทศกาลประจำปีต่าง ๆ แล้วก็จะงดทำการแสดงชั่วคราว
เพื่อทำไร่ไถนาตามปกติวิถีชีวิตของชาวอีสานนอกจากเทศกาลประจำปีแล้วงานในวาระ
สำคัญต่าง ๆ ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่หมอลำกลอนจะได้ทำการแสดงเช่นงานฉลองสมโภช
ต่าง ๆ งานวันเกิด งานขึ้นบ้านใหม่ งานฉลองโบสถ์วิหาร หรืองานฉลองอาคารเรียน ซึ่ง
สามารถแสดงได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน

นอกจากนี้ หมอลำกลอนยังมีโอกาสร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้แก่หน่วยงาน
ของรัฐ และเอกชนเพราะหมอลำกลอนได้เผยแพร่บอกกล่าวให้ผู้ฟังได้เข้าใจเหตุการณ์
ความเป็นไปของบ้านเมืองอาจเรียกได้ว่าหมอลำกลอนเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษานอก
ระบบ ในอดีตของอีสานเนื่องจากหมอลำกลอนวัฒนธรรมสามารถนำเสนอความรู้ในรูป
แบบ ของความบันเทิงเช่นโครงการรณรงค์การเลือกตั้งโครงการอีสานไม่กินปลาดิบ
โครงการอีสานลำกลอนได้เผยแพร่ความรู้ศิลปวัฒนธรรมสามารถโครงการป้องกันโรค
เอดส์เป็นต้นมหาวิทยาลัยเขียวโครงการ ๆ หมอลำกลอนมิได้ทำการแสดงสดเพียงเท่านั้น
หากแต่ยังมีการบันทึกเป็นแผ่นเสียงเทปคาสเซ็ท หรือบันทึกการแสดงสดในรูปแบบวีดิ
ทัศน์เพื่อเผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีโทรทัศน์ตามแต่ละโอกาส หาก
กล่าวโดยง่ายก็คือหมอลำกลอนสามารถแสดงได้ทุกโอกาสทุกเวลา ยกเว้นช่วงฤดูฝนที่จะ
งดรับงานแสดงเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม

18

การฟ้อนเกี้ยวของหมอลำกลอนในแต่ละครั้งไม่จำเป็นที่จะต้องฟ้อนครบทั้งหมด
ของกระบวนท่าก็ได้ และท่าฟ้อนไม่มีท่าทางที่ตายตัว จะฟ้อนกระบวนท่าหรือกระบวน
ท่าละกี่ครั้งก็ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยและองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น เวลา สถานที่ ความพร้อม
ของร่างกาย ดังท่าฟ้อนของกระบวนการของหมอลำกลอน ดังนี้

ตารางที่ 1 กระบวนท่าตามแบบทั่วไปของหมอลำกลอน

19

20

21

22

สรุปกระบวนท่าฟ้อนตามแบบของหมอลำกลอน โดยทั่วไปเป็นท่าที่หมอลำกลอน
ใช้ในการแสดง อาจจะพบในหลาย ๆ ศิลปินหมอลำ ซึ่งกระบวนท่าฟ้อนเหล่านี้ต่างเป็น
เอกลักษณ์เฉพาะของชาวหมอลำกลอนเป็นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจใน
กระบวนท่าอย่างชัดเจนผ่านวิธีการอธิบายต่าง ๆ นี้ การฝึกปฏิบัติตามแบบจึงเกิดความ
เข้าใจมากขึ้น เมื่อผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามก่อนที่จะออกมาปฏิบัติอย่างอิสระ

ตารางที่ 2 กระบวนท่าตามแบบเฉพาะของหมอลำกลอน

23

24

สรุป กระบวนท่าฟ้อนตามแบบเฉพาะของหมอลำประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้า โดยท่า
ดังกล่าวนี้ เป็นท่าเฉพาะที่หมอลำประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้า ได้ใช้ในการแสดง อยู่ในช่วง
ของการลำกลอนเกี้ยวพาราสีกันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แต่ละกระบวนท่าจะสื่อ
ให้เห็นถึงการหยอกเหย้ากัน มีการแตะของสงวนของฝ่ายหญิง มีการชมโฉมของฝ่ายหญิง
ซึ่งแต่ละท่านั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายสอดแทรกอยู่ การใช้กระบวนท่าเหล่านี้ทำให้การ
เกี้ยวพารสีเกิดความสนุกสนาน มีเรื่องราวที่เกิดจากชื่อท่าและกระบวนท่าฟ้อนเฉพาะ
ของหมอลำประนอมหงส์ทองหงส์ฟ้า ซึ่งกระบวนท่าฟ้อนที่เป็นเอกลักษณ์เหล่า จะทำให้
ผู้เรียนได้เข้าใจในกระบวนท่าอย่างชัดเจนผ่านวิธีการอธิบายต่าง ๆ นี้ การฝึกปฏิบัติตาม
แบบจึงเกิดความเข้าใจมากขึ้น เมื่อผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามก่อนที่จะออกมาปฏิบัติอย่าง
อิสระ

คิวอาร์โค้ดวีดีโอการแสดงหมอลำกลอน
(วีดีโอเพื่อการศึกษา)

25

เอกสารอ้างอิง

จารุวรรณ ธรรวัตร. (2530). คติชาวบ้าน. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. มหาสารคาม
วุฒิสิทธิ์ จีระกมล. (2560). แนวทางฟื้นฟูทำนองลำพื้นในภาดอีสาน.

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. ลำพื้นผู้หญง
สำนักงานกระทรวงวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ. (2560).

ประวัติความเป็นมาของหมอลำกลอน
สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน. (2560). มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.

การแสดงหมอลำหมู่
สิทธิรัตน์ ภู่แก้ว. (2550). การฟ้อนเกี้ยวของหมอลำกลอน.

(วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต, คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย)
คำพอง หัสโรค์. (2557). เนื้อกลอนลำเกี้ยวรำพันรัก.

12/25/2557, คลังรวบรวมกลอนลำ


Click to View FlipBook Version