โขนไทย
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 4/2
โขนไทย
คำนำ
“โขนไทย” เปน็ หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ ที่มีจุดประสงค์เพ่อื ใหค้ ณะผู้จัดทำไดฝ้ ึกกำรสรำ้ งองคค์ วำมรเู้ กย่ี วกบั ภูมปิ ญั ญำไทย
โดยใช้วธิ กี ำรทำงประวัติศำสตร์อยำ่ งเปน็ ระบบ แนวทำงและกำรมีสว่ นร่วม กำรอนุรักษ์ภูมปิ ัญญำไทยและวัฒนธรรมไทย
ซงึ่ เปน็ สว่ นหน่งึ ของวิชำประวัติศำสตร์ไทย (ส31102) ทัง้ นหี้ นงั สอื หนังสอื อิเลก็ ทรอนิกส์น้ีมีเนอ้ื หำควำมรู้เกยี่ วกบั กำเนดิ
โขน ทม่ี ำของคำวำ่ โขน ประเภทของโขน ลกั ษณะบทโขน เครือ่ งแต่งกำยและเครื่องประดบั ซง่ึ เป็นภมู ปิ ัญญำและวฒั นธรรม
ไทย ท่สี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงวถิ ีชวี ิตควำมรู้ ควำมสำมำรถของคนไทย อนั เกดิ จำกกำรส่งั สมสติปญั ญำควำมรทู้ ห่ี ลำกหลำยและมี
กำรผสมผสำนใหม้ ีควำมเหมำะสมกบั ปฏิสมั พันธท์ ำงธรรมชำตแิ ละควำมเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มกี ำรถำ่ ยทอดจำกรนุ่ ส่รู นุ่
จนเป็นมรดกทำงวฒั นธรรม
หวงั วำ่ หนังสอื อเิ ล็กทรอนิกส์ “โขนไทย” เล่มนี้จะใหค้ วำมรู้ และแนวทำงในกำรนำไปประยกุ ต์ใช้ใน
ชวี ติ ประจำวนั แก่ผอู้ ่ำน เพ่อื เป็นประโยชน์ในกำรพฒั นำตนเอง และกำรอนรุ กั ษ์สืบทอดภูมปิ ญั ญำและวฒั นธรรมใหค้ งอยู่
สบื ไป
คณะผจู้ ัดทำ
สำรบัญ หน้ำ
ท่มี ำของโขน 6
กำเนดิ โขน 7
ประเภทโขน 9
เครื่องแต่งกำยและเครือ่ งประดบั 12
ลกั ษณะบทโขน 17
บรรณำนกุ รม 19
บรรณาธิการ 20
ทม่ี ำของคำว่ำโขน
ทีม่ ำของคำวำ่ โขนไมเ่ คยปรำกฏหลักฐำนอธบิ ำยวำ่ เปน็ คำทบ่ี ัญญตั ขิ นึ้ ในภำษำไทยหรือเป็นคำที่มำจำกภำษำอน่ื
นำยธนติ อยู่โพธไ์ิ ด้สันนษิ ฐำนว่ำมำจำก 3 ทำงดว้ ยกันคือ
1.โขนในภำษำเบงคำลี มีสำเนยี งใกลเ้ คียงกบั ไทยคอื คำว่ำ “โขละ” หรือ “โขล” บำงทกี ็เขยี นเปน็ “โขฬะ”
อธบิ ำยว่ำ”โขล”เปน็ ช่ือของเครอ่ื งดนตรีเคร่ืองหนงั ของฮนิ ดูรปู ร่ำงเหมอื น มฤทังคะ ทแี่ ปลวำ่ ตะโพน
2.โขนในภำษำทมิฬ มสี ำเนยี งใกล้เคยี งกบั คำวำ่ “โกล” หรอื “โกลัม” หมำยถึงกำรประดบั ตกแตง่ ตัว
ตำมลกั ษณะของเพศใหร้ ู้วำ่ เปน็ หญิงหรอื ชำย
3.คนในภำษำอหิ รำ่ น มีคำอยคู่ ู่หนึ่งคือ “ษรู ตั ควำน” ษรู ตั หมำยถึงตุ๊กตำหรือหุ่น ควำนหรอื โขน หมำยถงึ
ผู้อำ่ นหรือผูข้ ับร้องแทนตวั ตกุ๊ ตำหรอื หุน่
“เนือ้ หำ:เก่ียวกับกำรใหค้ วำมรเู้ ร่ืองกำเนิดโขน ประเภทของโขน
ลักษณะบทบทโขน”
กำรพฒั นำส่ือกำรเรียนร้กู ำเนดิ โขน
ท่ีมำ:https://www.youtube.com/watch
กำเนดิ โขน กระบกี่ ระบอง
โขนเปน็ มหรสพชัน้ สงู ท่ใี ช้ในงำนสำคัญๆมำตงั้ แต่กรุงศรอี ยุธยำ ทม่ี ำ : https://shopshoes.home.blog/
โดยปรบั ปรงุ และพัฒนำมำจำกกำรแสดงอน่ื 3 ประเภทคือ
หนังใหญ่
กระบี่กระบอง
ทมี่ ำ: https://news.mthai.com/general-
คนไทยในสมยั โบรำณจำเป็นต้องฝกึ วิชำกำรใช้อำวุธไวเ้ พือ่ ต่อสู้ news/632686.html
กบั ขำ้ ศึกและเพื่อป้องกนั ตนเองอำวุธใช้ตอ่ สมู้ ที ัง้ อำวธุ สน้ั และอำวธุ ยำวรวมท้งั
เคร่ืองกำบังตวั เชน่ กระบอง ไม้พลอง กระบเี่ รยี กวำ่ วิชำกระบ่กี ระบองเปน็ วิชำที่ ชักนำคดึกดำบรรพ์
ตอ้ งฝกึ หดั ใหค้ ล่องมแี บบแผนแห่งกำรใช้อำวุธแต่ละชนิดเรียกว่ำเพลงเชน่ เพลง
กระบ่ี เพลงดำบ กำรแสดงโขนจะรับเอำแบบอยำ่ งศิลปะกำรต่อสมู้ ำปรบั ปรุง ทม่ี ำ:https://sites.google.com/site/thimakhx
ประดษิ ฐเ์ ป็นท่ำทำงร่ำยรำของกำรต่อส้ใู นกำรแสดงโขน ngkarsaedngkhon/
หนังใหญ่
เป็นมหรสพทแ่ี พรห่ ลำยของคนไทย ตัวหนังจะใชแ้ ผน่ หนังววั ฉลุ
เปน็ รูปตวั ละครในเรื่องรำมเกียรต์ิ และมไี มผ้ กู ทำบตัวหนังไว้ทัง้ สองข้ำง เพอ่ื ให้
ตวั หนังตงั้ ตรงไม่งอ และทำให้มคี ันยืน่ ลงมำใตต้ วั หนังเป็นสองขำ้ งสำหรบั จับถอื
และยกไดถ้ นัด สถำนท่ีเล่นจะปลูกโรงผ้ำใชผ้ ำ้ ขำวคำดเปน็ จอ สว่ นดำ้ นหลงั จอ
จะจดุ ไตแ้ ละกอ่ ไฟไว้ เพือ่ ใหแ้ สงทำให้เห็นเงำตัวหนังซ่งึ มลี วดลำยวจิ ติ รมำติดอยู่
ที่จอผำ้ ขำว และกำรเชิดนนั้ คนเชดิ ตอ้ งเต้นไปตำมจังหวะดนตรีและบทพำกย์บท
เจรจำดว้ ยซงึ่ กำรแสดงโขนน้นั กม็ กี ำรพำกย์ เจรจำ กำรขับร้อง กำรเตน้ และรำ
ทำท่ำตำมบทพำกย์ และตำมเพลงหน้ำพำทย์ จึงเหน็ ได้ว่ำกำรแสดงโขนไดร้ บั
อทิ ธิพลด้ำนศลิ ปะกำรแสดงจำกกำรแสดงหนังใหญ่
ชักนำคดึกดำบรรพ์
เป็นกำรละเลน่ อย่ำงหนึง่ ของไทย มีมำต้ังแต่สมัยโบรำณ
เปน็ กำรแสดง “เร่อื งกำรชกั นำค” เพ่ือเอำนำ้ อมฤตจำกเกษียรสมทุ ร ตำมคติของ
ฮินดู มักจะแสดงในงำนมหรสพหลวง กำรละเล่นชกั นำค มีกลำ่ วไวใ้ นกฎ
มณเฑียรบำลสมยั กรุงศรอี ยุธยำด้วยเหตุนโี้ ขนจงึ ไดน้ ำเอำศลิ ปะกำรแสดงจำก
แบง่ ฝ่ำยกำรเลน่ และศลิ ปะกำรแตง่ กำยมำจำกกำรเล่นชกั นำคดกึ ดำบรรพ์
ประเภทของโขน
ประเภทของโขน แบ่งออกเปน็ ๕ประเภท
1.โขนกลางแปลง
คอื กำรเล่นผมบนพนื้ ดนิ ณ กลำงสนำมไม่ตอ้ งสรำ้ งโรง มีกำรตัง้ เตียงไว้คนละฝ่ำย
คือ ฝำ่ ยพลบั พลำและฝ่ำยลงกำ กำรแสดงมีเพียงกำรยกทพั และกำรรบเปน็ หลัก
ตรีที่บรรเลงใชแ้ ต่เพลงหนำ้ พำกย์ไมม่ บี ทรอ้ งมบี ทพำกย์และเจรจำเทำ่ นัน้
ใชว้ งปพ่ี ำทยบ์ รรเลง 2 วงและมโี กร่งสำหรับตเี พอ่ื ใหจ้ งั หวะ
โขนกลำงแปลง
ทมี่ ำ:https://www.kidjapak.com/archives/9550/
2.โขนน่ังรำวหรอื โขนโรงนอก
คือกำรแสดงบนโลงไม่มเี ตยี งแต่มรี ำพำดตำมสว่ นยำวของโรงตรงหนำ้ ฉำก
มีช่องทำงใหผ้ ู้แจมสดงเดินไดร้ อบรำวเมื่อตัวโขนแสดงบทของตน
แลว้ ก็ไปน่งั ประจำบนรำวสมมตุ เิ ป็นเตียงหรือท่นี ่ังประจำตำแหนง่
ไม่มกี ำรขบั ร้องมีเพียงกำรพำกยแ์ ละเจรจำเทำ่ น้นั ปี่พำทย์บรรเลงเพลง
หนำ้ พำทยใ์ ชว้ งป่ภี ำค 2 วงตั้งหัวโรงวงหน่ึงและตง้ั ท้ำยโรงวงหนงึ่
เรียกวำ่ วงหวั วงท้ำย
โขนนัง่ รำวหรอื โขนโรงนอก
ท่ีมำ:https://sites.google.com/site/sunisakamprasong/
3.โขนหน้ำจอ
คือโขนทเ่ี ลน่ ตรงหนำ้ จอทข่ี งึ ไวส้ ำหรบั เล่นหนังใหญล่ กั ษณะจอหนงั
แต่เดมิ ใช้ผำ้ ขำวโปรง่ ชนดิ อยำกเป็นแผ่นกลำงส่วนนอกใชผ้ ำ้ ดิบเน้ือหนำ
เย็บตดิ ผำ้ ขำวผนื บำงและริมผำ้ ดิบใช้ผ้ำสีแดงกับสีนำ้ เงนิ เย็บตดิ
เป็นวงรอบนอกตกแตง่ ใหส้ วยงำมตอ่ มำภำยหลงั ทำเป็น”จอแขวะ”
คือเจำะผ้ำดบิ ทง้ั สองขำ้ งเปน็ ชอ่ งประตเู ขำ้ ออกแลว้ ทำเป็นรูปซุ้มประตู
กำรแสดงโขนหนำ้ จอมบี ทร้องดว้ ยถ้อยคำไพเรำะและมกี ำรพำกยเ์ จรจำ
เช่นเดมิ
โขนหนำ้ จอ
ท่ีมำ:https://sites.google.com/site/khonnatsil
pkhxngkhnthiy/
4.โขนโรงใน
คือกำรแสดงทนี่ ำกำรแสดงโขนกบั ละครมำผสมกัน มีท้งั ทำ่ รำเตน้
มีบทพำกยเ์ จรจำตำมแบบโขนและนำเพลงรอ้ งเพลงประกอบ
กิรยิ ำตำมแบบละครในมำผสมเขำ้ ด้วยกันเปน็ ศิลปะ
แห่งกำรเล่นโขนภำยในรำชสำนักที่งดงำมยิง่ เดมิ ใชว้ งป่พี ำทย์
บรรเลง 2 วงภำยหลงั ใชเ้ พยี งวงเดยี ว
โขนโรงใน
ทมี่ ำ:https://sites.google.com/site/khonnat
silpkhxngkhnthiy/
5.โขนฉำก
คอื กำรแสดงโขนท่ีมผี ู้คดิ ฉำกประกอบข้ึนให้เขำ้ กบั เหตกุ ำรณ์
และสถำนท่ีซ่งึ สมมตไิ วใ้ นท้องเรอ่ื งกำรแสดงจะแบง่ เป็นฉำก
แบบเดยี วกับละครดึกดำบรรพแ์ ต่วธิ แี สดงเปน็ แบบโขนโรงใน
และใชว้ งป่พี ำทย์เชน่ เดียวกับโขนโรงใน
โขนฉำก
ท่มี ำ:https://sites.google.com/site/
sunisakamprasong/
เครือ่ งแตง่ กำยและ
เคร่อื งประดับ
กำรแต่งกำยของโขนแต่งกำยด้วยชุดยืนเคร่ือง สีทีใ่ ช้เปน็ สีเดยี วกบั หัวโขนแสดงถงึ สีกำยของตวั ละครนน้ั ๆ
แบง่ เปน็ พระ นำง รวมท้งั เทพ ยักษ์ ลิง ซ่ึงแตเ่ ดิมพระและนำงตอ้ งสวมหัวโขนด้วยภำยหลังสวมเคร่ืองประดับศรีษะเทำ่ นนั้
เช่นเดียวกับละครใน
ตวั พระ ตวั นาง
ตวั ยกั ษ์ ตวั ลิง
ตวั พระ
ผแู้ สดงตวั พระจะสวมเส้อื แขนยำวปกั ดน้ิ และเล่ือม ประดับด้วยปะวะหล่ำ มอี ินธนทู ีไ่ หลแ่ ละพำหรุ ัด
สวมกรองศอทบั ดว้ ยทับทรวง สังวำลและตำบทศิ สว่ นล่ำงสวมสนบั เพลำไว้ข้ำงใน นุง่ ผำ้ นงุ่ ยกจบี โจง
ไว้หำงหงสท์ บั สนบั เพลำ ดำ้ นหนำ้ มชี ำยไหวและชำยแครงห้อยอยู่ ประดับดว้ ยสุวรรณประกอบ
รัดเอวด้วยรัดพสั ตร์ คำดปน้ั เหนง่ ศรี ษะสวมชฎำ ประดบั ด้วยดอกไม้เพชรที่ดำ้ นซำ้ ย
ดอกไมท้ ดั ทด่ี ้ำนขวำ มอี บุ ะ ตำมตัวสวมเครื่องประดบั ต่ำง ๆ ประกอบด้วยกำไลเท้ำ ธำมรงค์
แหวนรอบ กรรเจียกและทองกร แต่เดิมตวั พระจะสวมหัวโขนในกำรแสดง แต่ภำยหลงั ไม่เป็นทน่ี ิยม
เพียงแต่แต่งหนำ้ และสวมชฎำแบบละครในเท่ำนน้ั
ตวั นำง
ผู้แสดงตวั นำงจะสวมเสอ้ื ในนำงแขนสนั้ เป็นช้นั ใน มีพำหุรดั แลว้ ห่มสไบทับ ทง้ิ ชำยไปด้ำนหลงั ยำวลงไปถึงนอ่ ง ประดบั ด้วย
ปะวะหล่ำ สวมกรองศอ สะอิ้งและจน้ี ำง ส่วนลำ่ งนุ่งผ้ำนงุ่ ยกจบี หน้ำ คำดป้ันเหน่ง ศีรษะสวมมงกฎุ รัดเกล้ำยอด รดั เกลำ้ เปลว
หรือกระบงั หน้ำตำมแตฐ่ ำนะของตัวละคร ประดบั ดว้ ยดอกไมท้ ัดทดี่ ำ้ นซำ้ ย ดอกไมท้ ดั ท่ดี ำ้ นขวำ มีอบุ ะ
ตำมตัวสวมเคร่ืองประดบั ต่ำง ๆ ประกอบดว้ ยธำมรงค์ กำไลเท้ำ แหวนรอบ กำไลตะขำบ กรรเจยี กและทองกร
แตเ่ ดิมตัวนำงทเี่ ป็นตัวยักษ์เช่น นำงกำกนำสูร จะสวมหวั โขน แต่ภำยหลังมีกำรแตง่ หนำ้ ไปตำมลักษณะของตวั ละครนั้น ๆ
โดยไม่สวมหัวโขน
ตวั ยกั ษ์
ผแู้ สดงตวั ยกั ษน์ นั้ เครอื่ งแตง่ กายสว่ นใหญ่คลา้ ยกบั ตวั พระ จะแตกตา่ งกนั ท่ีการนงุ่ ผา้ เทา่ นนั้
ตวั ยกั ษ์จะนงุ่ ผา้ ไมม่ หี างหงสแ์ ตม่ ีผา้ ปิดกน้ ลงมาจากเอว สว่ นศรี ษะสวมหวั โขนตามลกั ษณะของตัวละครซง่ึ มอี ยู่
ประมาณรอ้ ยชนิด การแตง่ กายของตวั ยกั ษค์ ือทศกณั ฐ์ ซง่ึ เป็นพญายกั ษ์ตวั สาคญั ทส่ี ดุ ในการแสดงโขน
สวมเสอื้ แขนยาวปักดนิ้ และเลอ่ื ม ซงึ่ ในวรรณคดสี มมตุ ิเป็นเกราะ ประดบั ดว้ ยแหวนรอบ ปะวะหล่า มีอินธนทู ่ีไหล่
สวมกรองศอทบั ดว้ ยทบั ทรวง พวงประคาคอ สงั วาลและตาบทิศ สว่ นลา่ งสวมสนบั เพลาไวข้ า้ งใน
นงุ่ ผา้ นงุ่ ยก ดา้ นหนา้ มีชายไหวและชายแครงหอ้ ยอยู่ ผา้ ปิดกน้ อยเู่ บอื้ งหลงั รดั อกดว้ ยพระอุระ รดั เอวดว้ ยรดั พสั ตร์
คาดปั้นเหนง่ ศรี ษะสวมหวั โขนหวั ทศกณั ฐ์ ตามตวั สวมเครอ่ื งประดบั ตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ยกาไลเทา้ ธามงรค์ กรรเจียก
และทองกร ถืออาวธุ คอื คนั ศร
ตวั ลงิ
ผแู้ สดงตวั ลงิ เครอ่ื งแตง่ กายสว่ นใหญค่ ลา้ ยกบั ตวั ยกั ษ์ แตม่ ีหางลงิ หอ้ ยอยใู่ ตผ้ า้ ปิดกน้ อกี ที สวมเสอื้ ตามสปี ระจาตวั
ในเรอื่ งรามเกียรติ์ ไมม่ ีอินธนู ตวั เสอื้ ปักลายขดเป็นวงทกั ษิณาวรรต สมมตุ ิวา่ เป็นขนตามตวั ลงิ สว่ นศีรษะสวมหวั โขน
ตามลกั ษณะของตวั ละครซงึ่ มอี ยปู่ ระมาณสส่ี บิ ชนดิ การแตง่ กายของตวั ลงิ คอื หนมุ าน ซงึ่ เป็นทหารเอกของพระราม
สวมเสอื้ แขนยาวปักดนิ้ และเลอื่ มลายวงทกั ษิณาวรรต มพี าหรุ ดั ประดบั ดว้ ยแหวนรอบ ปะวะหลา่ สวมกรองศอทับดว้ ย
ทบั ทรวง สงั วาลและตาบทศิ สว่ นลา่ งสวมสนบั เพลาไวข้ า้ งใน นงุ่ ผา้ นงุ่ ยก ดา้ นหนา้ มชี ายไหวและชายแครงหอ้ ยอยู่
ผา้ ปิดกน้ อยเู่ บอื้ งหลงั หางลงิ รดั สะเอว คาดปั้นเหนง่ ศีรษะสวมหวั โขนหวั หนมุ าน ตามตวั สวมเครอื่ งประดบั ตา่ ง ๆ
ประกอบดว้ ยกาไลเทา้ ธามงรค์ กรรเจียกและทองกร ถืออาวธุ คอื ตรเี พชร
ลกั ษณะบทโขน
บทรอ้ ง
บทรอ้ ง ซง่ึ บรรจเุ พลงไวต้ ามอารมณข์ องเรอ่ื งบทรอ้ งแตง่ เป็นกลอนบทละครเป็นสว่ นใหญ่ อาจมคี าประพันธช์ นิดอื่นบา้ ง
แตไ่ มน่ ิยมบทรอ้ งนีจ้ ะมีเฉพาะโขนโรงในและโขนฉาก เทา่ นนั้
บทพากย์
กำรแสดงโขนโดยทวั่ ไปจะเดินเรอ่ื งดว้ ยบทพำกยซ์ ึ่งแตง่ เปน็ คำประพันธป์ ระเภท กำพย์ฉบัง 16 และกาพยย์ านี 11เมื่อพากยจ์ บบทหนง่ึ
แลว้ ตะโพนตรี บั ทาใหก้ ลองทดั ตีตาม ๒ครงั้ และช่วยกนั รบั คาวา่ ’’เพย้ ’’พรอ้ มๆกนั ในทกุ บท
วธิ ีพากยแ์ บง่ เป็น ๖ ประเภท คอื
1.พากยเ์ มืองหรอื พากยพ์ ลบั เพลา ใชใ้ นวลาทต่ี วั เอก เชน่ ทศกณั ฐ์หรอื พระรามประทบั ในปราสาทหรอื พลบั เพลา
2.พากยร์ ถ ใชใ้ นกรณีตวั โขนออกรบ ซง่ึ อาจจะทรงพาหนะรถ มา้ หรอื ชา้ ง
3. พากยโ์ อ้ เป็นบทโศกเศรา้ ราพนั คร่าครวญซง่ึ ตอนตน้ เป็นพากย์ แตต่ อนทา้ ยเป็นทานองรอ้ งเพลงโอป้ ่ี ใหป้ ่ีพาทยร์ บั
4. พากยช์ มดง เป็นบทตอนชมป่ าเขา ลาเนาไพร ทานองตอนตน้ เป็นทานองรอ้ ง เพลงชมดงใน ตอนทา้ ยเป็นทานองพากยธ์ รรมดา
5. พากยบ์ รรยาย เป็นบทขยายความเป็นมา ความเป็นไปหรอื พากยร์ าพงึ ราพนั ใดๆ
6. พากยเ์ บ็ดเตลด็ เป็นบททใ่ี ชใ้ นโอกาสท่วั ๆ ไปเป็นเรอ่ื งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ท่ีไมเ่ ขา้ ประเภทใด เช่นกลา่ ววา่ ใครทาอะไร หรอื พดู กบั ใครวา่
อยา่ งไร
บทเจรจา
เปน็ บทกวที แี่ ตง่ เป็นร่ำยยำวสง่ และรบั สัมผสั กนั ไปเรอ่ื ยๆ ใช้ได้ทุกโอกำส สมัยโบรำณเป็นบททีค่ ดิ ข้นึ สดๆเปน็ ควำมสำมำรถของคนพำกย์
คนเจรจำ ที่จะใช้ปฏภิ ำณคิดข้ึนโดยปัจจุบันให้ได้ถอ้ ยคำสละสลวย มีสัมผัสแนบเนยี นและไดเ้ นอ้ื ถอ้ ยกระทงควำมถูกต้องตำมเนื้อเรอื่ ง
ผพู้ ำกย์เจรจำทีเ่ ก่งๆยงั สำมำรถใช้ถอ้ ยคำคมคำย เหน็บแนมเสียดสี ปัจจุบนั นบ้ี ทเจรจำได้แต่งไว้เรยี บรอ้ ยแลว้ ผูพ้ ำกยเ์ จรจำกว็ ำ่ ตำมบท
ให้เกิดอำรมณค์ ล้อยตำมถอ้ ยคำ โดยใช้เสยี งและลีลำในกำรเจรจำ ผพู้ ำกย์และเจรจำต้องทำเสยี ง ใหเ้ หมำะกบั ตวั โขนและใส่ควำมร้สู กึ
ให้เหมำะกับอำรมณ์ในเร่ืองคนพำกย์
ตวั อยำ่ งกำรแสดงโขน
“โขนพระรำชทำนชดุ ศึกอินทรชิตตอน พรหมำศ”
“โขนนง่ั รำวเรือ่ งรำมเกยี รต์ิ ชดุ ศกึ อนิ ทรชิต ตอน นำคบำศ”
“โขนพระราชทาน ตอนพิเภกสวามิภกั ด์ิ ”
บรรณำนุกรม
ธิดำรัตน์ ภกั ดรี ักษ์. นำฏศลิ ป์ 3. ครั้งท1ี่ . กรงุ เทพมหำนคร : บริษทั สำนกั พมิ พ์ เอมพนั ธ์ จำกัด, 2562
อษั . (2552). นำฏศิลป์ไทยว่ำดว้ ยเร่อื งโขน.สืบคน้ วนั ที่ 11 ตุลำคม 2563, จำก https://www.oknation.nationtv.tv
วัชรพี ร ลลี ำนนั ทกิจ.บำ้ นรำไทย.สบื ค้นวนั ท่ี 11 ตลุ ำคม 2563, จำกhttps://www.banramthai.com/
ณัฐชำพร. (2561). ควำมเป็นมำของโขนศิลปะขน้ั สูงท่รี วมศำสตรแ์ ละศลิ ป์หลำกหลำยแขนง. 11 ตลุ ำคม 2563, จำก
https://www.sanookcom
อริยำ ภริ มศรี.โขนนำฏศฺลป์ไทยชน้ั สงู . สืบคน้ วันท่ี 11 ตลุ ำคม 2563, จำก
https://sites.google.com/siet/reiynnatsi/pkhruxariya/
กญั ญำรัตน์ สอนโงว้ . (2558). โขนไทย. สบื ค้นวนั ที่ 11 ตลุ ำคม 2563, จำก
https://sites.google.com/site/kanyaratcake85/
อภิญญำ ไพพลอย. (2558). โขน. สืบค้นวนั ท่ี 11 ตลุ ำคม 2563, จำก
https://sites.google.com/site/khomrammakean/
โฮมโขน. (2555). อณุรักษส์ บื สำนวัฒนธรรมไทย.สบื ค้นวนั ท่ี 11 ตลุ ำคม 2563, จำก
https://www.sites.google.com/site/homekhon/
ยวั ร์ชอ้ ย เดอะซรี ีย์ทีเอช. (2020 พฤษภำคม 10). โขนพระรำชทำน ชดุ ศกึ อินทรชิต ตอนพรหมำศ. (Video file).
กำญติมำรี. (2019 กนั ยำยน 4). โขนนง่ั รำวเรื่องรำมเกยี รต์ิ ชุดศึกอินทรชติ ตอน นำคบำศ . (Video file).
ชฎำ. (2020 เมษำยน 8). โขนพระรำชทำน ตอนพิเภกสวำมภิ กั ดิ์. (Video file).
บรรณำธิกำร
นำยณฐั พล มณโี ชติ เลขที่ 1 (เรียบเรียงขอ้ มลู )
นำยธีระวัฒน์ กองสวสั ด์ิ เลขท่ี 2 (หำข้อมลู )
นำยปณั ณวิชญ์ สขุ มุ วำม เลขที่ 3 (หำขอ้ มูล)
นำยรชต อีเชฟฟู เลขท่ี 4 (เรียบเรยี งขอ้ มลู )
นำงสำวจำรุพร มุนนี เลขท่ี 6 (จัดทำบรรณำนกุ รม)
นำงสำวพรรษชล สิทธำนนท์ เลขที่ 7 (จัดทำPower point)
นำงสำวพมิ พน์ ำรำ สวงิ เลขที่ 8 (จดั ทำPower point)