The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สื่อออนไลน์-บทที่ 2 แนวคิดและเทคนิคการจัดการสมัยใหม่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yotsawadee.sue, 2021-01-01 04:12:36

บทที่ 2

สื่อออนไลน์-บทที่ 2 แนวคิดและเทคนิคการจัดการสมัยใหม่

1

บทที่ 2 แนวคดิ และเทคนคิ การจดั การสมยั ใหม่

1. แนวคดิ และทฤษฎีการบริหารจดั การ (Management Concept) แบ่ง 3 ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้

1.1 ทฤษฎีและแนวความคิดแบบดั้งเดิม (Classical Theory)
1.2 ทฤษฎีและแนวความคิดดัง้ เดิมแบบสมยั ใหม่ (Neo – Classical Theory of organization)
1.3 ทฤษฎีและแนวความคิดแบบสมัยปัจจุบนั (Modern Theory of Organization)

1.1 ทฤษฎแี ละแนวความคิดแบบดัง้ เดิม (Classical Theory)
เร่มิ ต้นปลายศตวรรษท่ี 19 ชว่ งท่ีโลกเร่ิมปรบั ตวั เข้าสู่สงั คมอุตสาหกรรม ทฤษฎดี ัง้ เดิมน้ี

มงุ่ เนน้ ไปยังผลผลติ ทมี่ ีประสิทธิผลและประสิทธภิ าพ (Effective and Efficient Productivity) เปน็ หลัก
มากกวา่ การใส่ใจบุคคล ทฤษฎีและแนวความคิดกลุ่มน้แี บ่งเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ

1.1.1 แนวความคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ หมายถงึ การจัดการการทางาน โดยอาศยั เทคนคิ หรือ

วิธีวิจยั ทางวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งก็คือ “กฎระเบียบ” นามาใชก้ ับการปฏบิ ัตงิ าน มีการศกึ ษาเหตแุ ละผล เก็บข้อมลู
และวิเคราะห์เพ่ือหาวิธกี ารที่ดีท่ีสุดในการทางานน้นั ๆ มุ่งเนน้ ไปยงั เป้าหมาย ผลสาเรจ็ ทม่ี าจากการทาใหก้ าร
ทางานมีประสทิ ธิภาพมากขึน้

นักทฤษฎีและแนวความคดิ ที่โดดเด่น
- Frederic Winslow Taylor (เฟรเดอรคิ วนิ สโลว์ เทย์เลอร)์ : “บิดาแหง่ การ
จดั การแบบวทิ ยาศาสตร์” เป็นบุคคลแรกที่นาแนวความคิดการจดั การแบบวทิ ยาศาสตร์ มาใชก้ ับระบบ
อตุ สาหกรรม เขาศึกษาวิธเี พ่ิมประสทิ ธิภาพการทางานในโรงงานอุตสาหกรรมหลอมเหล็ก ทาให้โรงงานมี
ประสิทธภิ าพเพิ่มขน้ึ ถึง 4 เท่าตัว แนวความคดิ รปู แบบนี้ใหค้ วามสาคัญกับปริมาณมากกวา่ คุณภาพการผลติ
- Max Weber (แมก็ ซ์ เวเบอร)์ : “เจา้ ตารบั ระบบราชการ (Bureaucracy)”
เขาศกึ ษาระบบโครงสร้างขององค์กรขนาดใหญ่ แล้วนาเสนอการจัดการองค์การขนาดใหญ่ ในปี ค.ศ.1911 โดยมี
การกาหนดโครงสรา้ งตลอดจนการบรหิ ารงานทชี่ ดั เจน

2

1.1.2 แนวความคดิ การจดั การแบบหลักการบริหาร (Administrative Management)
การจดั การแบบหลักการบริหารน้ี จะมุง่ เนน้ ปรับปรงุ การทางานของฝา่ ยบริหารหรอื

ฝา่ ยการจดั การโดยเฉพาะ ไม่มุ่งเนน้ การทางานของพนักงานระดับล่าง
นกั ทฤษฎีและแนวความคดิ ท่ีโดดเดน่
- Lyndall Urwick & Luther Gulick มุ่งเนน้ วิธกี ารทางาน ตลอดจนพฤติ

กรรมการบรหิ ารงานของผู้บริหารระดับสูงเปน็ หลัก โดยหลกั การคือ POSDCoRB
P – Planning :
O – Organizing :
S – Staffing :
D – Directing :
Co – Coordinating :
R – Reporting :
B – Budgeting :

1.2 ทฤษฎแี ละแนวความคิดด้ังเดมิ แบบสมยั ใหม่ (Neo – Classical Theory of
Organization)
เร่มิ ศกึ ษาด้านปัจจยั มนุษย์เพ่ิมข้นึ มองเห็นคุณคา่ และความสาคญั ของบุคลากร

ตลอดจนการบริหารงานบุคคลในเชิงมนุษยสัมพันธ์ ให้ความสนใจในความต้องการของมนุษย์ท่ีส่งผลตอ่
กระบวนการทางาน และการพฒั นาตนเอง

1.2.1 แนวความคิดการจดั การแบบมนษุ ย์สัมพันธ์ (Human Relation)
มีแนวความคิดวา่ การทีจ่ ะทางานให้บรรลผุ ลสาเร็จได้นั้น ต้องอาศยั แรงงานคน

เป็นสาคญั และมนษุ ยเ์ ป็นสัตวส์ ังคมทม่ี ีความตอ้ งการหลากมติ ิ ไรเ้ หตุผล มนุษยม์ ีลักษณะที่แตกต่างกนั ฉะนั้น
การใส่ใจเรอื่ งความสัมพนั ธ์ของบคุ คลในองค์กร จะสง่ ผลตอ่ ผลผลิตโดยตรงด้วย และสง่ เสรมิ ประสิทธภิ าพของ
องค์กรได้เป็นอยา่ งดี

นกั ทฤษฎีและแนวความคดิ ที่โดดเด่น
- Abraham H. Maslow : นาเสนอ “ทฤษฎีมาสโลว์ (Maslow Theory)”
ทแ่ี สดงถึงความต้องการตามลาดบั ขน้ั ของมนุษย์ หากจะให้มนุษย์ทางานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ จาเปน็ จะต้อง
สนองตอบความต้องการของมนษุ ย์ตามลาดับข้ันดังกลา่ ว ดังน้ี
- Hugo Münsterberg : นักจิตวทิ ยาชาวเยอรมนั -อเมริกัน ที่เปน็ ผู้ริเริ่มเร่ือง
จติ วทิ ยาอุตสาหกรรม ศกึ ษาวิทยาศาสตร์เกี่ยวกบั การบรหิ ารงานบคุ คล เพื่อนามาปรับปรุงให้ได้ผลผลติ มากท่สี ดุ
เนน้ การใชพ้ ลงั งานคนให้เป็นประโยชน์กับความก้าวหน้าทางอตุ สาหกรรมและเศรษฐกิจ ใช้เวลาทางานให้นอ้ ยลง
แต่ได้งานเพมิ่ มากขึ้น และคนมคี วามเป็นอยู่ท่ีดีขึ้นได้

3

- Elton Mayo : นกั สังคมวิทยาทไี่ ด้รบั ยกยอ่ งวา่ เป็น “บิดาแห่งการจดั การ
แบบมนุษยสัมพนั ธ์” ท่ีเน้นศึกษาพฤติกรรมศาสตร์ ผลงานท่โี ดดเด่นของเขากค็ ือกรณีศกึ ษาสาคญั อยา่ ง
Hawthorne Effect ท่ีเปน็ ต้นแบบการศึกษาเรื่อง Employee Motivation หรอื ทฤษฎีแรงจงู ใจ Theory of
Motivation แนวคิดดา้ นมนุษยสัมพนั ธ์ (Human Relation Concept)

1.3 ทฤษฎแี ละแนวความคิดแบบสมัยปัจจุบัน (Modern Theory of Organization)
สงั คมและเศรษฐกจิ เปล่ยี นแปลงไว ธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเรว็ การบริหารจดั การมี

ความสลบั ซับซ้อนมากยิง่ ขึน้ เน้นการปฏิบัติงานที่ถูกต้องและผลลพั ธท์ ีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ การบริหารจดั การองคก์ ร
จงึ มกี ารผสมผสานหลากหลายรายละเอยี ดเขา้ มา โดยเฉพาะการนาเอาหลักคณติ ศาสตรเ์ ขา้ มาใช้ในระบบการ
คานวณต่างๆ เพอ่ื ให้การบรหิ ารงานมปี ระสทิ ธิภาพสูงสุด รวมไปจนถงึ การบริหารงานบุคคลทมี่ คี วามซับซ้อน
มากขึ้น และรวมถึงการสรา้ งกลยทุ ธต์ า่ งๆ การบริหารจดั การหลากหลายรูปแบบ เพ่ือใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพใน
การทางานสูงท่ีสดุ

นกั ทฤษฎีและแนวความคดิ ที่โดดเด่น
- Henri Fayol : “ผกู้ ่อกาเนดิ ศาสตรแ์ หง่ การบรหิ ารยุคใหม่” หลกั การสาคัญ 5
ปัจจยั POCCC ไดแ้ ก่

P – Planning : การวางแผน
O – Organizing : การจัดองคก์ ร
C – Commanding : การบงั คบั บัญชาหรอื ส่ังการ
C – Coordinating : การประสานงาน
C – Controlling : การควบคุม
- Edwards Deming : ทฤษฎีท่ีโดดเด่นท่ีสุดและได้รับการพัฒนามาเป็น PDCA
หรอื Deming Cycle ประสบความสาเร็จอย่างมาก เม่ือถูกนาไปใช้กบั การบรหิ ารบริษัทในญป่ี ุ่นหลังช่วงยคุ
สงครามโลกครั้งท่ีสอง จนทาใหญ้ ป่ี ่นุ กา้ วขน้ึ มาเป็นประเทศอตุ สาหกรรมทใี่ หญเ่ ปน็ อนั ดับสองของโลก

วัฏจกั รเดมิง (Deming Cycle)

4

- William Ouchi : “เจา้ ตารบั Theory Z” ผสมผสานระหวา่ งระบบการบริหาร
แบบตะวนั ตกและตะวนั ออกเข้าดว้ ยกัน คือ Theory A แบบอเมรกิ นั ซ่งึ องค์การเนน้ การจา้ งงานระยะส้ัน
พนักงานมีส่วนรว่ มและรบั ผดิ ชอบต่อองค์การนอ้ ย และ Theory J แบบญป่ี นุ่ ซ่ึงองคก์ ารเน้นการจ้างงาน
ตลอดชีพ พนักงานมสี ว่ นรว่ มและความรบั ผดิ ชอบต่อองค์การสูง โดยนาข้อดีของท้ังสองศาสตรม์ าผสมผสานกนั
จนเกดิ เปน็ ทฤษฎบี ริหารรปู แบบใหม่ คอื Theory Z ซ่ึงองคก์ ารเนน้ การจ้างงานระยะยาว มีการตัดสนิ ใจและ
ความรบั ผิดชอบรว่ มกัน

- W. Chan Kim : นกั ทฤษฎกี ารบรหิ ารชาวเกาหลีใต้ ผลงานที่โดง่ ดังท่สี ดุ คือ
“Blue Ocean Strategy กลยทุ ธ์มหาสมุทรสีฟ้า” ซง่ึ แนะนาวา่ ถ้าองค์การตอ้ งการจะเติบโตในยุคท่มี ีการ
แขง่ ขันสงู จะตอ้ งคิดตา่ ง ต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ สรา้ งโอกาสใหมๆ่ ปรบั เปลย่ี นยุทธวธิ ใี นการบริหารหรอื แมแ้ ต่
ทาธุรกจิ แบบใหม่ ซ่ึงหลกั การน้ีเปน็ จดุ กาเนิดความคดิ ของคนยุคหลังๆ ทกี่ ่อใหเ้ กิดธรุ กิจใหมๆ่ ขึน้ มามากมาย

- Franklin D. Roosevelt : อดตี ประธานาธบิ ดีคนท่ี 32 ของสหรฐั อเมริกาท่เี ก่ง
เร่อื งการบรหิ ารจดั การเปน็ อย่างมาก การบรหิ ารของเขาท่ีโดง่ ดังก็คอื นโยบาย New Deal ทค่ี ิดคน้ ขน้ึ เพื่อ
แกป้ ญั หาวิกฤติเศรษฐกจิ รุนแรงท่สี ุดคร้งั หนงึ่ ของสหรฐั อเมริกา โดยมี หลกั การ 3R’s ท่ีประกอบด้วย Relief
การบรรเทาทุกข์หรือลดปญั หาต่างๆ Recovery การฟืน้ ฟูสิง่ ทแ่ี ย่ให้กลบั ดีข้นึ และ Reform การปฏิรปู ส่ิงใหม่
ให้กา้ วหน้า

2. เทคนคิ การจัดการสมยั ใหม่

2.1 POLC – การจดั การที่สรา้ งประสทิ ธภิ าพใหก้ ับองค์กร
ผู้ใหก้ าเนิดทฤษฎนี ี้คือ Louis A. Allen ชาวอเมรกิ นั โดย POLC ถอื วา่ เป็นทฤษฎีการ

จดั การสมยั ใหม่ในยคุ เรม่ิ แรกท่ยี งั คงนิยมใชม้ าจนถึงปจั จุบัน POLC เป็นทฤษฎกี ารจดั การท่ใี สใ่ จกระบวนการ
ตั้งแต่เรมิ่ ต้นจนจบ เรม่ิ ต้ังแต่การวางแผน การปฏบิ ตั ิการ ไปจนถงึ การประเมินผล

POLC คือ
P – Planning การวางแผน
O – Organizing การจดั การองค์กร
L – Leading ภาวะการเปน็ ผู้นา
C – Controlling การควบคุม

2.2 การบรหิ ารแบบตัวชี้วัด KPI
KPI ยอ่ มาจาก Key Performance Indicator หรอื ตวั ช้ีวดั เปน็ การ

ประเมินผลองคก์ ารโดยเน้นตัวชวี้ ัด กระบวนการประเมนิ ผลองคก์ ารเรม่ิ จาก กาหนดวตั ถุประสงค์ของการ
ประเมิน เพื่ออะไร กาหนดตวั ชี้วัดและเครอื่ งมอื ท่ีจะใช้ คือ แบบสอบถาม และ ค่ารอ้ ยละ กาหนดเกณฑ์

5

มาตรฐานหรอื ตวั เปรียบเทียบสาหรบั ตัวช้วี ัดแตล่ ะตวั จากนนั้ จงึ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลตา่ งๆตามตัวชีว้ ัด และนาผล
การประเมินมาวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบกับมาตรฐานทตี่ ั้งไวโ้ ดยใช้วธิ ีการคานวณทางสถิติ ถ้าผลท่ีได้แตกตา่ งจาก
กฎเกณฑ์มาตรฐาน ก็ปรบั ปรุงวิธีการทางาน หรือแกม้ าตรฐานท่ตี ั้งไว้ สูง/ต่าเกนิ ไปหรือไม่

2.3 การบรหิ ารแบบบาลานซ์สกอรค์ าร์ด (Balance Score Card : BSC)
แนวคิดการจดั การที่ช่วยนากลยทุ ธไ์ ปสู่การปฏิบตั ิ โดยอาศัยการวัดหรอื การประเมนิ

มุ่งเนน้ ในสง่ิ ที่มคี วามสาคัญต่อความสาเร็จขององค์การ แตเ่ ดิมผู้บริหารมักประเมนิ ผลองค์การโดยมุ่งเนน้ ไปที่
การเงนิ เพยี งอย่างเดยี ว แตแ่ นวคิดของ BSC กาหนดพิจารณาทัง้ 4 มุมมอง ได้แก่ การเงนิ ลกู คา้ กระบวนการ
ภายใน และ การเรยี นรูแ้ ละการพัฒนา หลักการสาคัญของ BSC คอื การประเมนิ มุมมองดา้ นต่าง ๆ จะมีกี่
มมุ มองน้ัน ขน้ึ อยกู่ ับพ้นื ฐานของธุรกิจ และแตล่ ะมุมมองควรพจิ ารณาองคป์ ระกอบย่อย 4 ตัว คือ วัตถุประสงค์
ตวั ช้ีวัด เป้าหมาย และแผนงาน เชน่ วัตถุประสงค์ด้านการเงนิ ไดแ้ ก่ รายได้เพ่ิมข้ึน ตัวชวี้ ดั ด้านการเงินก็คือ
รายไดท้ ี่เพมิ่ ขนึ้ เม่ือเทียบกับปีท่ีผ่านมา เปา้ หมายด้านการเงนิ ก็คือ รายไดเ้ พม่ิ ขึ้นรอ้ ยละ 15 ต่อปี แผนงานก็คือ
กจิ กรรมที่องค์การจะจัดทาเพื่อบรรลุเป้าหมายกาไรเพมิ่ ข้ึน เป็นตน้

ดังนน้ั สรุปได้ว่าการทา BSC นั้น เปน็ แนวคิดในเรอื่ งการประเมินผลองค์การ โดยนาเสนอวา่
การประเมินผลองค์การควรประกอบดว้ ย 4 มมุ มอง แทนที่จะมีมุมมองดา้ นการเงนิ เพยี งอยา่ งเดียว ดงั นั้น จึง
เรยี กวา่ การประเมินผลแบบสมดลุ หรือ Balance นนั่ เอง

2.4 การบริหารแบบเบนช์มาร์กกิง (Benchmarking)
Benchmarking คือ วิธกี ารวัดและเปรียบเทียบผลติ ภณั ฑ์ บริการ และวธิ ีการปฏิบตั ิ

กบั องคก์ ารที่มีประสทิ ธิภาพสูงกวา่ เพ่ือนาผลการเปรยี บเทียบมาใชใ้ นการปรับปรุงองคก์ ารของตนเพ่ือม่งุ สูค่ วาม
เปน็ เลิศในธุรกิจ

6

2.5 การบริหารแบบซิกซ์ซิกมา(SIX Sigma)
เป็นการบรหิ ารที่มุ่งเน้นในการลดความผิดพลาด ลดความสูญเปล่า และลดการแกไ้ ข

ตวั ชน้ิ งาน และสอนให้พนักงานรแู้ นวทางในการทาธุรกจิ อย่างมหี ลักการ โดยมีการนาเทคนคิ สถิติมาวิเคราะห์
การบริหารแบบซิกซซ์ ิกมานยิ มใช้กันมากในภาคธุรกจิ อตุ สาหกรรม

2.6 การบรหิ ารแบบญป่ี ุ่น
การบริหารงานแบบญปี่ ่นุ เนน้ ใหค้ วามสาคญั ในการบรหิ ารทรพั ยากรมนุษย์ การสร้าง

ความสัมพันธ์อันดรี ะหว่างพนักงานกบั องค์การ ต้องพึ่งพาอาศัยซ่ึงกัน เมอ่ื พนกั งานรว่ มมือกันปฏบิ ตั ิงานจน
องค์การประสบความสาเร็จ เจรญิ ก้าวหน้าเตบิ โตข้นึ ไปเรอ่ื ย ๆ องค์การก็มีขอ้ มลู ผูกพนั ที่จะต้องแบ่งปัน
ผลประโยชน์กลับมาให้พนักงาน ในรูปของความม่ันคง การยอมรบั การมสี ่วนร่วม ความปลอดภยั ในการทางาน
และผลประโยชนต์ อบแทนต่างๆ

2.7 การบริหารแบบอเมริกัน
การบริหารงานแบบอเมริกนั เนน้ การบริหารงานที่มปี ระสทิ ธภิ าพ ไดผ้ ลเรว็ ยดึ ตามหลักเหตผุ ล
หรือการรายงานทม่ี งี านวิจัยรับรอง ไม่คอ่ ยมคี วามสัมพนั ธ์ส่วนบุคคล กลา้ แสดงออก พูดจาตรงไปตรงมา มีความ
ชดั เจนในการทางาน และมีความคดิ สร้างสรรค์ดี

2.8 การบริหารแบบไคเซน็ (kaizen)
ไคเซน็ เปน็ วถิ ชี วี ิตของชาวญี่ปุ่น หมายถึง การปรบั ปรุงทกุ ๆ ดา้ นของการดารงชีวติ

ชีวติ ในการทางาน ชีวิตในสงั คม การบรหิ ารแบบญปี่ ุ่นมหี ลักยึด 2 ประการ คือ การดารงรักษาไว้ และการ
ปรบั ปรงุ ใหด้ ีขนึ้ อย่างต่อเนื่อง เป็นเทคนคิ วธิ ีในการปรบั ปรุงงานโดยม่งุ เน้นที่จะลดข้นั ตอนในการทางานลง
เพือ่ ให้ได้ท้ังประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลท่สี งู ขึ้น และมงุ่ ปรบั ปรงุ ในทุกๆ ด้านขององคก์ าร เพือ่ ยกระดบั ชวี ิต
การทางานของผู้ปฏิบัติงานให้สูงข้ึนตลอดเวลา

2.9 การวเิ คราะห์สวอต (SWOT Analysis)
SWOT Analysis เปน็ การวเิ คราะหส์ ภาพแวดล้อมภายใน/ภายนอกองค์การ เพื่อคน้ หา

จดุ แข็ง (Strength) จดุ ออ่ น (Weakness) โอกาส (Opportunity) และอปุ สรรค (Threat) ในการดาเนนิ งานสู่
สภาพทีต่ อ้ งการในอนาคต การวิเคราะห์ SWOT เป็นการวิเคราะหแ์ ต่ละดา้ น ทจี่ ะทาให้เกิดความเขา้ ใจถึงปัจจัย
ต่างๆทม่ี ผี ลกระทบตอ่ องค์การ จุดแข็งเป็นความสามารถที่จะใชเ้ พ่ือใหบ้ รรลุเป้าหมายขององคก์ าร ในขณะที่
จุดอ่อนเป็นสิ่งทีต่ ้องแก้ไข โอกาสเป็นสถานการณ์ที่ได้เปรยี บต้องรีบลงมือทันที ซึ่งจะช่วยใหอ้ งค์การบรรลุ
เปา้ หมาย ส่วนอุปสรรคเปน็ ปัญหาขององคก์ าร ทาให้องค์การไมบ่ รรลเุ ป้าหมาย ต้องหลีกเล่ยี ง

7

2.10 การรอ้ื ปรบั ทั้งระบบ (Re-engineering)
ลกั ษณะของการร้ือปรบั ทั้งระบบ คือ งานต่างๆ (jobs) ถูกรวมตวั เขา้ ดว้ ยกนั จะ

ช่วยลดค่าใชจ้ า่ ยในการบรหิ ารกระบวนการ ผู้ปฏบิ ตั ิงานสามารถตดั สนิ ใจได้ ขั้นตอนกระบวนการถูกนามาใช้กับ
ผู้ปฏบิ ตั ิงานอย่างเปน็ ธรรมชาติ กระบวนการในการรื้อปรบั ทงั้ ระบบจะเนน้ ว่าจาเป็นต้องทาอะไรต่อไป

คณุ สมบัติของคนทจ่ี ะทางานในกระบวนการรื้อปรับทง้ั ระบบ ควรมคี วามสามารถ
ในการตดิ ต่อสื่อสาร มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ความสมั พันธก์ ับคนอื่น มีความเชอ่ื มั่นในตนเอง มีความสามารถ
ในการแก้ไขปัญหาและปรับตัว มีภาวะผูน้ า รบั คนเข้าทางานจะมกี ารปฐมนเิ ทศ โดยให้ผู้ปฏบิ ตั ิงานเกดิ การเรยี นรู้
เนน้ การให้รางวลั แก่ผปู้ ฏบิ ัตงิ านทีส่ รา้ งคณุ ค่าให้แกอ่ งค์การ

สง่ิ สาคญั ในการบริหารการร้ือปรับทัง้ ระบบ คือ คนต้องมีภาวะผนู้ า การบริหารดว้ ย
ตนเอง และการทางานเป็นทีม

***********************


Click to View FlipBook Version