ลกั ษณะการใช้ Present Simple Tense
Present แปลวา่ ปัจจุบนั ดงั น้นั Present Simple Tense จึงเป็นประโยคที่มีโครงสร้างแบบ
ง่าย ๆ เพือ่ ใชพ้ ดู ถึงเหตกุ ารณ์ในปัจจุบนั นนั่ เอง โดยมีลกั ษณะตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1. ใช้เพ่ือพูดถงึ ความเป็ นจริงในชีวติ ประจาวัน หรือความเป็ นจริงตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่า
เหตกุ ารณ์น้นั จะเป็ นอดตี หรืออนาคตกต็ าม เช่น
When the earth moves around itself, it makes Day and Night.
(เมื่อโลกหมุนรอบตวั เอง มนั ทาใหเ้ กิดกลางวนั กลางคืน)
Durian is the king of fruit.
(ทุเรี ยนเป็ นราชาผลไม)้
2. ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ นิสัย หรือการกระทาท่เี กดิ ขนึ้ ซ้า ๆ บ่อย ๆ เป็ นประจาทกุ วนั เช่น
I walk to school every day.
(ฉนั เดินไปโรงเรียนทกุ วนั )
Nuda always help other people so everyone loves her.
(นุดาช่วยเหลือคนอ่ืนเป็นประจา ดงั น้นั ทุกคนจึงรักหลอ่ น)
3. ใช้เพื่อให้คาแนะนาหรือการบอกทิศทาง เช่น
Turn off the television before going to bed.
(ปิ ดโทรทศั น์ก่อนเขา้ นอน)
You go straight for 300 meters, then the destination is on your
left.
(คุณเดินตรงไป 300 เมตรและจุดหมายปลายทางจะอยทู่ างซา้ ยมือของคุณ)
รูปประโยคของ Present Simple Tense
ดงั ท่ีไดก้ ลา่ วขา้ งตน้ วา่ Present Simple Tense คือประโยคท่ีบอกเล่าเร่ืองราวตา่ ง ๆ เช่น ฉนั วา่ ย
น้าทุก ๆ วนั โดยรูปประโยคของ Present Simple Tense มีรูปแบบดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ประโยคบอกเล่า
โครงสร้างของประโยคบอกเล่า : Subject + Verb.1 + Object + (คาบอกเวลา)
ท้งั น้ีคากริยาช่องที่ 1 น้นั จะมีการเติม s หรือ es ถา้ หากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She,
It) แตถ่ า้ ประธานเป็น I, You หรือประธานพหูพจน์ (You (หลายคน), We, They) ใหค้ งรูป
คากริยาน้นั ๆ ไวเ้ ช่นเดิม เช่น
I go to university by bus every morning.
(ฉนั ไปมหาวทิ ยาลยั โดยรถโดยสารประจาทางทุกเชา้ )
**ประโยคน้ีประธานคือ I แมจ้ ะเป็นเอกพจน์แตเ่ ป็นขอ้ ยกเวน้ ดงั กริยา go จึงไมต่ อ้ งเติม s หรือ es
He plays guitar very well.
(เขาเล่นกีตาร์เก่งมาก)
**ประโยคน้ีประธานคือ He เป็นเอกพจน์ กริยาคือ play จึงตอ้ งเติม s
They enjoy playing the football.
(พวกเขาสนุกกบั การเลน่ ฟตุ บอล)
**ประโยคน้ีประธานคือ They เป็นพหูพจน์ กริยาคือ enjoy จึงไม่ตอ้ งเติม s หรือ es
ความรู้เพมิ่ เตมิ : หลกั การเติม s,es น้นั ง่ายนิดเดียว คือ คากริยาท่ีลงทา้ ยดว้ ย ch, o, s, ss, sh, x ให้
เติม es เม่ือประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) เช่น
She washes her car.
ประธานของประโยคคือ She ซ่ึงเป็นเอกพจน์ คากริยาคือ wash ที่ลงทา้ ยดว้ ย sh จึงตอ้ งเติม es
ตอ่ ทา้ ย
ส่วนคากริยาอ่ืน ๆ ท่ีไมไ่ ดล้ งทา้ ยดว้ ยพยญั ชนะท้งั 6 ตวั น้นั ใหเ้ ติม s หลงั คากริยาในประโยคท่ีมีประธาน
เป็นเอกพจน์ไดเ้ ลย เช่น
My mom cooks some food for me.
ประธานของประโยคคือ My mom ซ่ึงเป็นเอกพจน์ เราใช้ She แทน My mom ได้ คากริยาคือ
cook ที่ไมไ่ ดล้ งทา้ ยดว้ ยพยญั ชนะตามกฎ จึงเติม s ไดท้ นั ที
และถา้ หากคากริยาน้นั ลงทา้ ยดว้ ย y ใหเ้ ปลี่ยน y เป็น i แลว้ เติม es ทา้ ยคากริยาน้นั เช่น study -
studies, fly - flies, carry - carries เป็นตน้ แตม่ ีขอ้ ยกเวน้ คือ ถา้ หากหนา้ y เป็นสระ (A,
E, I, O, U) ใหเ้ ติม s ไดท้ นั ที เช่น play - plays, buy - buys, stay - stays
2. ประโยคคาถาม
โครงสร้างของประโยคคาถามใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคือ
แบบท่ี 1 : Verb to be + Subject + Object/ส่วนขยาย + (คาบอกเวลา) ?
ใชเ้ มื่อในประโยคน้นั มี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น
She is my sister. ---> Is she your sister ? (หลอ่ นเป็นนอ้ งสาวคุณหรือเปลา่ ?)
เมื่อเห็น V. to be ในประโยคใหน้ า V. to be ข้ึนตน้ ประโยคนาหนา้ ประธานไดเ้ ลย เพยี งเท่าน้ีก็จะ
กลายเป็นประโยคคาถาม (และอยา่ ลืมเปล่ียนคาสรรพนามดว้ ยนะคะ จาก my เป็น your)
แบบที่ 2 : Verb to do + Subject + Verb.1 + Object + (คาบอกเวลา)?
ใชเ้ ม่ือประโยคน้นั ไม่มี V. to be จึงตอ้ งนา V. to do ไดแ้ ก่ do กบั does เขา้ มาช่วย โดยข้ึนตน้
ประโยคนาหนา้ ประธาน ซ่ึงมีวธิ ีการใชท้ ี่แตกตา่ งกนั คือ Do ใชน้ าหนา้ I, You และประธานท่ีเป็น
พหูพจน์ (You, We, They) ส่วน Does ใชน้ าหนา้ ประธานที่เป็นเอกพจน์ (He, She, It) และ
คากริยาคงรูปช่องท่ี 1 เหมือนเดิมโดยไม่ตอ้ งเติม s, es เช่น
They play football every evening. ---> Do they play football
every evening? (พวกเขาเลน่ ฟตุ บอลทกุ เยน็ หรือเปล่า?)
ประโยคน้ีไมม่ ี V. to be อยใู่ นประโยค จึงนา V. to do มาใชข้ ้ึนตน้ ประโยคนาหนา้ they ซ่ึงเป็น
ประธานพหูพจน์
That cat eats fish. ---> Does that cat eat fish ? (แมวตวั น้นั กินปลาหรือ
เปลา่ ?)
ประโยคน้ีไม่มี V. to be อยใู่ นประโยค จึงนา V. to do นน่ั กค็ ือ does มาใชข้ ้ึนตน้ ประโยคนาหนา้
that cat หรือก็คือ it ซ่ึงเป็นประธานเอกพจน์ โดยคากริยาคือ eat มีการตดั s ออกในประโยคคาถาม
3. ประโยคปฏิเสธ
รูปแบบประโยคปฏิเสธใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคลา้ ยกบั รูปแบบประโยค
คาถามคือ
แบบที่ 1 : Subject + Verb to be + not + Object/ส่วนขยาย + (คาบอกเวลา)
ใชเ้ ม่ือในประโยคน้นั มี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น
I am your servant. ---> I am not your servant. (ฉนั ไมไ่ ดเ้ ป็นคนรับใชข้ อง
คุณ)
เมื่อเห็น V. to be ในประโยคใหเ้ ติม not ไวห้ ลงั V. to be ไดท้ นั ที เพยี งเท่าน้ีกจ็ ะกลายเป็นประโยค
ปฏิเสธ
แบบที่ 2 : Subject + Verb to do + not + Verb.1 + Object + (คาบอกเวลา)
แบบที่สองใชเ้ ม่ือประโยคน้นั ไมม่ ี V. to be จึงตอ้ งนา V. to do ไดแ้ ก่ do กบั does เขา้ มาช่วย
แลว้ ตามหลงั ดว้ ย not เพอื่ บอกความปฏิเสธ ส่วนคากริยาใหค้ งรูปช่องท่ี 1 เหมือนเดิมโดยไมต่ อ้ งเติม
s,es เช่น
He watches television at home. ---> He does not watch television
at home. (เขาไมไ่ ดด้ ูโทรทศั น์อยทู่ ่ีบา้ น)
ประโยคน้ีไมม่ ี V. to be อยใู่ นประโยค จึงนา V. to do นนั่ กค็ ือ does มาเป็นกริยาช่วยและตาม
ดว้ ย not เพือ่ บอกรูปปฏิเสธ ส่วนคากริยาเม่ืออยใู่ นรูปปฏิเสธแลว้ ใหต้ ดั s,es ทิ้งคงเหลือคากริยาช่องท่ี 1
รูปเดิม
คาบอกเวลาใน Present Simple Tense
ในประโยค Present Simple Tense มกั จะมคี าบอกเวลาซ่ึงเป็น Adverbs of
Frequency ปรากฎอยใู่ นประโยคเพือ่ บอกความถ่ีของเหตกุ ารณ์หรือการกระทาน้นั ๆ ไดแ้ ก่
Adverbs of Frequency คาบอกเวลา
Always สม่าเสมอ, เป็นประจา
Frequently บอ่ ย ๆ
Often บ่อย ๆ
Usually โดยปกติ
Hardly แทบจะไมเ่ คย
Never ไมเ่ คย
Rarely แทบจะไมเ่ คย
Seldom นาน ๆ คร้ัง
Sometimes บางคร้ัง
และนอกจากตวั อยา่ งคาบอกเวลาที่พบบอ่ ยใน Present Simple Tense แลว้ ยงั อาจพบคาวา่
every + ... เช่น every month, every morning, every Saturday เพ่อื บอก
ความถ่ีของเหตุการณ์หรือการกระทาก็ได้ เช่น
My teacher always drinks coffee in the morning.
(ครูของฉนั ดื่มกาแฟในตอนเชา้ เป็นประจา)
Nadech usually gets up at 7 o'clock.
(โดยปกติณเดชตื่นนอนตอนเจ็ดโมง)
Narong hardly reads books so he doesn't pass the exam.
(ณรงคแ์ ทบจะไมเ่ คยอ่านหนงั สือ ดงั น้นั เขาจึงสอบตก)
It seldom rains in this part of the country.
(ฝนตกนาน ๆ คร้ังในพ้ืนท่ีน้ีของประเทศ)
I feel like she's selfish sometimes.
(ฉนั รู้สึกวา่ หล่อนเห็นแก่ตวั ในบางคร้ัง)
Kimmy hangs out with her friends every Saturday night.
(คิมม่ีออกไปเท่ียวกบั เพอ่ื นของเธอทุกคืนวนั เสาร์)
Exercise1
จงเลือกขอ้ ท่ีถูกต้อง
She always….English in the morning
1 study
2 studys
3 studies
It sometimes….to snow in Octuber
1 starts
2 startes
3 start
She…dinner with her friend every Sunday
1 has
2 haves
3 have
We often…football after school
1 play
2 plaies
3 plays
He….his car every week
1 washes
2 wash
3 washs
เฉลยคำตอบจำ้
She always Studies English in the morning
1 study
2 studys
3 studies
It sometimes starts snow in Octuber
1 starts
2 startes
3 start
She has Dinner with her friend every Sunday
1 has
2 haves
3 have
We often play football after school
1 play
2 plaies
3 plays
He washes his car every week
1 washes
2 wash
3 washs
Present continuous
Tense ในภาษาองั กฤษ แบ่งออกเป็น อดีต (Past) ปัจจบุ นั (Present) อนาคต (Future) เพื่อใชเ้ ลา่ ถงึ เหตุการณท์ เ่ี กิดข้นึ ในช่วงเวลาตา่ ง ๆ ซ่ึง
Tense ที่ Globish จะมาสรุปในวนั น้ีอยใู่ น Present Tense นนั่ ก็คอื Present Continuous นน่ั เองคะ่
Present Continuos มคี วามสาคญั และไดใ้ ชบ้ ่อยไม่แพ้ Present Perfect เลย แตถ่ า้ ใครยงั ไมแ่ ม่น Present Perfect สามารถอ่าน
ไดท้ ่นี ี่ คลิก
Present Continuous หรือ Present Progressive Tense คือ Tense ที่ใชพ้ ดู ถึงเร่ืองท่ีกาลงั เกิดข้ึนและดาเนินอยใู่ นปัจจบุ นั ตาม
ช่ือของมนั Present (ปัจจบุ นั ) + Continuous/Progressive (อยา่ งตอ่ เนื่อง)
โดย Present Continuous มโี ครงสร้างดงั น้ี
Present Continuous ใช้เม่ือไหร่ดี?
1. ใช้กบั เหตุการณ์ทก่ี าลังเกดิ ขนึ้ สามารถมี Adverb of Time หรือคากากบั เวลาในประโยค เช่น
Now ตอนน้ี
Right now ตอนน้ี
At the moment ในตอนน้ี
Still ยงั คง
Currently ตอนน้ี
เช่น
I’m watching a movie with my brother.
ฉนั กาลงั ดหู นงั อยกู่ บั พช่ี าย
She is talking with her teacher now.
เธอกาลงั คุยกบั อาจารยข์ องเธออยตู่ อนน้ี
We’re working on a difficult project at the moment.
เรากาลงั ทาโปรเจคท่ยี ากช้ินหน่ึงอยตู่ อนน้ี
She is still sitting there.
เธอยงั คงนงั่ อยตู่ รงน้นั
Tips: How are you doing? ไม่ไดแ้ ปลวา่ คณุ กาลงั ทาอะไรอยู่ แตแ่ ปลวา่ ช่วงน้ีคุณเป็นอยา่ งไรบา้ ง
2. ใช้พูดถงึ เหตุการณ์ท่เี กดิ ขนึ้ เป็ นประจามาอย่างยาวนาน หรือเกิดขึน้ บ่อยจนเกินไป (รู้สึกในทางลบ) มกั จะใชก้ บั คาเหลา่ น้ี
Constantly อยา่ งต่อเนื่อง
Always ตลอด
This week สปั ดาห์น้ี
This month เดือนน้ี
This year ปี น้ี
เช่น
She is always coming to class late.
เธอเขา้ เรียนสายเป็นประจาเลย
I don’t like them because they are always complaining.
ฉนั ไม่ชอบพวกเขาเลย เพราะวา่ พวกเขาข้บี ่น
My sister is constantly reading comic books.
นอ้ งสาวฉนั กาลงั อ่านหนงั สือการ์ตนู (อา่ นมานานสกั พกั แลว้ )
She is studying hard this month
เธอเรียนหนกั มากเดือนน้ี
3. ใช้กับเหตุการณ์ทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ แน่นอนในอนาคตอันใกล้ มกั มคี ากากับเวลา
Tomorrow พรุ่งน้ี
Tonight คืนน้ี
Next week สัปดาหห์ นา้
Next month เดือนหนา้
Next year ปี หนา้
Now ตอนน้ี
เช่น
We’re meeting Tom at 10 o’clock tomorrow morning.
เราจะไปเจอทอมตอน 10 โมงเชา้ วนั พรุ่งน้ี
I’m spending New Year with my friends.
ฉนั จะใชเ้ วลาช่วงปี ใหมก่ บั เพอ่ื น ๆ
She is going to Chiang Mai next week.
เธอจะไปเชียงใหม่สัปดาหห์ นา้
She is coming to my house tomorrow.
เธอจะมาบา้ นฉนั พรุ่งน้ี
I’m going to bed now.
ฉนั จะไปนอนแลว้
I’m leaving now.
ฉนั จะไปแลว้
กริยาทใ่ี ช้กับ Present Continuous ไม่ได้
1. กริยาที่ใช้แสดงความรู้สึก เช่น
believe เช่ือว่า
love รัก
feel รู้สึก
suppose สมมติว่า
imagine นึกคิด
hate เกลียด
want อยาก, ตอ้ งการ
remember จาได้
know รู้
see เห็น, เขา้ ใจ
like ชอบ
dislike ไมช่ อบ
think คิดวา่
prefer ชอบมากกว่า
2. กริยาท่ีเกี่ยวกับประสาทสัมผัสท้ัง 5 เช่น
appear ปรากฏ
hear ไดย้ นิ
look ดูเหมือนว่า
seem ดเู หมอื นว่า
smell ไดก้ ลน่ิ
taste รู้รส
3. กริยาท่ีใช้แสดงความเป็ นเจ้าของ เช่น
have มี
own ของ
belong เป็นของ
Past simple tense
Past Simple Tense ใช้ในเหตุการณ์ในอดตี ท่ีจบไปแล้ว หรือ ใช้
บอกในเรื่องทเ่ี ป็ นกิจวตั รประจาในอดตี หรือเคยไปทไี่ หนในอดีตมาแล้ว
หลกั การใช้และโครงสร้างของ Past Simple Tense
1. ใชก้ บั เรื่องท่ีเกิดข้ึนในอดีตและจบสิ้นลงไปเรียบร้อยแลว้ สงั เกตงา่ ย ๆ วา่ มกั จะมีการระบุช่วงเวลาไวด้ ว้ ย
วา่ เกิดข้ึนเมื่อไหร่ และใชก้ ริยาช่อง 2 ลองมาดูโครงสร้างและตวั อยา่ งประโยคกนั ก่อนค่ะ
ประโยคบอกเล่า S. + V.2 I went to the theme park yesterday.
ประโยคปฎเิ สธ
ประโยคคาถาม S. + did not + V.1 She didn’t come to
Thailand last year.
Did + S + V.1 Did you see Jane at the bank last
hour?
จางา่ ย ๆ วา่ ประโยคบอกเลา่ ใชก้ ริยาช่อง 2 ส่วนประโยคปฏิเสธและประโยคคาถาม ใช้ did ร่วมกบั กริยา
ช่อง 1
นอกจากน้ีแลว้ Key word บอกเวลาซ่ึงจบไปแลว้ ท่ีพบบอ่ ย ๆ ในประโยค Past Simple
Tense ไดแ้ ก่ Yesterday, Last , Ago โดยใชร้ ่วมกบั คาบอกเวลาอ่ืน ๆ มาดูตวั อยา่ งกนั เลย
ค่ะ
last + เวลา/ วนั / last hour, last Did they study Science la
Last สปั ดาห์/ เดือน/ฤดู/ ปี night, last Monday,
last week, last month,
last summer, last
winter, last year
5 minutes ago, 3 day
วินาที / นาที/ ชว่ั โมง/ วนั / ago, 2 weeks ago, 1
Ago สปั ดาห์/ เดือน/ ปี + ago month ago, 4 years The bus arrived thirty m
ago
เม่ือกริยาช่อง 2 เป็นองคป์ ระกอบสาคญั เราจึงตอ้ งทอ่ งคากริยาท่ีอยใู่ นช่อง 2 ใหด้ ีวา่ เติม –ed หรือ -d
หรือไม่ อยา่ งไร ดูตวั อยา่ งกริยาช่อง 2 กนั คะ่
ช่องท่ี 1 ช่องท่ี 2 ช่องท่ี 3 ความหมาย
be was, were been เป็น,อย,ู่ คือ
become became become กลายเป็ น
break broke broken แตก, หกั
bring brought brought นามา
build built built สร้าง
buy bought bought ซ้ือ
come came come มา
do did done ทา
drive drove driven ขบั รถ
eat ate eaten กิน
feel felt felt รู้สึก
get got gotten ได้
give gave given ให้
leave left left ออกจาก
run ran run ว่ิง
sell sold sold ขาย
sit sat sat นง่ั
sleep slept slept นอน
Ex. They came here yesterday.
(พวกเขามาที่น่ีเม่ือวานน้ี)
Ex. He left home ten minutes ago.
(เขาออกจากบา้ นเม่ือ 50 นาทีที่แลว้ )
Ex. I bought a new phone two days ago.
(ฉนั ซ้ือโทรศพั ทใ์ หมม่ าเมื่อ 2 วนั ก่อน)
2. ใชพ้ ูดถึงนิสัยหรือกิจวตั รที่เคยทาในอดีต หรือการบอกวา่ ใครเคยทาอะไร เคยไปไหนในอดีตมาแลว้ และ
เหตกุ ารณ์น้นั จบลงแลว้
Ex. We cooked every day last year.
(พวกเราทาอาหารกนั ทกุ วนั เมื่อปี ที่แลว้ )
Ex. He always went to office late last month.
(เขาไปสานกั งานสายเสมอเม่ือเดือนที่แลว้ )
Ex. I was in London in 2017.
(ฉนั อยทู่ ่ีลอนดอนในปี 2017)
Past continuous
Past continuous tense เป็ นประโยคที่กล่าวถงึ เหตุการณ์ทกี่ าลงั
เกดิ ขึน้ อย่างต่อเนื่องในอดีตเสมือนว่าเรานั่งไทม์แมชชีนไปจ้องมองดูเหตุการณ์
ทกี่ าลงั เกดิ ขนึ้ ในอดตี อย่างไรอย่างน้ันเลย เพ่ือให้เข้าใจ เรามาดูโครงสร้าง
ประโยคก่อนค่ะ
โครงสร้างประโยค Past continuous tense He was playing football yeste
He was not playing football ye
ประโยคบอกเล่า S + was/were + V.ing am.
ประโยคปฏิเสธ S + was/were + not + V.ing Was he playing football yeste
ประโยคคาถาม Was/Were+ S + V.ing
ก่อนจะไปกนั ต่อ ขอจอดแวะทบทวนเพมิ่ เตมิ หลกั การใช้ Was / Were
Subject ประธานประโยค Verb to be ที่ใช้ (กริยาช่อง 2 ของ is และ are)
I, He, She, It, A cat (ประธานเอกพจน)์ was
You, We, They, Cats (ประธานพหูพจน)์ were
Past continuous tenseใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งมีด้วยกนั 3 แบบ คือ
1. เหตกุ ารณ์ทีก่ าลงั เกดิ ในอดตี เช่น
It was raining yesterday at noon.
(ฝนตกลงมาเม่ือวานตอนเที่ยง)
2. เหตกุ ารณ์ที่กาลงั เกดิ ต่อเน่ืองอยู่ในอดตี ซ่ึงเกดิ ขนึ้ อย่กู ่อน แล้วกม็ ีอกี เหตกุ ารณ์หนง่ึ เข้ามาแทรก เช่น
I was having a beautiful dream when the alarm clock rang.
(ฉนั กาลงั ฝันดีอยเู่ ชียว นาฬกิ าปลกุ กด็ นั ดงั ข้ึน)
3. เหตกุ ารณ์กาลงั เกดิ ไปพร้อม ๆ กนั ในอดตี ไม่มีอนั ไหนเกดิ ก่อนเกดิ หลงั เช่น
While my mom was cooking, my dad was washing his car.
(ขณะท่ีแม่กาลงั ทาอาหาร พ่อกก็ าลงั ลา้ งรถ)
การใช้ While, When, As
While, When, as ถอื วา่ เป็น Key word สาคญั ที่บ่งบอกวา่ ประโยคน้ีเป็นประโยค Past
continuous tense เลยกว็ า่ ได้ เช่น
When the police arrived, we were sleeping.
(ตอนที่ตารวจมาถึง พวกเรากาลงั นอนหลบั กนั อยู่)
While she was drawing a picture, I came in the room.
(ขณะที่เธอกาลงั วาดภาพ ผมก็เขา้ มาในหอ้ ง )
เทคนิคการจา
- ประโยคทีอ่ ย่หู ลงั while และ as ใช้ past continuous (Subject + was/were
+V.ing) เพราะเป็นเหตุการณ์ท่ียงั จะเกิดต่อเน่ืองไปอีกระยะหน่ึง เช่น We were sleeping,
The car was running, She was drawing a picture
- ประโยคทอ่ี ย่หู ลงั when ใช้ past simple (Subject + V.2) เพราะเป็นเหตกุ ารณ์ท่ี
แทรกเขา้ มาส้ัน ๆ และจบไปแลว้ พูดง่าย ๆ วา่ เกิดข้ึนแป๊ บเดียว เช่น the police arrived, the
phone rang, I came in the room, it started to rain
Exercise1
Make sentences with the past continuous
1 At eight o’clock last night/ my dad/ watch TV
:?
2 Julie and chis/ study/ at ten o’clock
:?
3 we/ send/ text messages/ in class
:?
4 I/ Sleep/ at midnight
:?
Exercise2
Make Negative sentences with the past continuous
1 You were lying to your parents
:?
2 He was stealing CDs
:?
3 She was skipping school
:?
เฉลยคำตอบครบั พ่ีนอ้ ง
Exercise1
1 At eight o’clock last night/ my dad/ watch TV
: At eight o’clock last night my dad was watch TV
2 Julie and chis/ study/ at ten o’clock
: Julie and Chris were studying at ten o’clock
3 we/ send/ text messages/ in class
: we sending text messages in class
4 I/ Sleep/ at midnight
: I was sleeping at midnight
Exercise2
1 You were lying to your parents
: You weren’t lying To Your parents
2 He was stealing CDs
: He wasn’t stealing CDs
3 She was skipping school
: She wasn’t skipping school
Present Perfect Tense
ถา้ หากอยากเก่งภาษาองั กฤษ แกรมม่าพ้ืนฐานทไ่ี ม่ควรมองขา้ ม และควรฝึกใชใ้ หแ้ มน่ นนั่ ก็คือเร่ือง Tense ค่ะ ในภาษาองั กฤษใช้ Tenseในการพดู ถงึ
เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ เพ่ือให้รู้วา่ เหตกุ ารณน์ ้ันเกิดข้ึนในอดีต ปัจจุบนั หรือในอนาคต
ซ่ึง Tense กม็ ดี ว้ ยกนั ถงึ 12 Tense เลยทเี ดียว แตว่ นั น้ี Globish จะมาพูดถึง Present Perfect Tense ที่มกั จะไดใ้ ชบ้ ่อย ๆ ใน
ชีวิตประจาวนั คะ่
Present Perfect คอื Tense ท่ีมกั ใชพ้ ูดถึงเหตุการณ์ทเ่ี กิดข้นึ ในอดีต และเพ่ิงจบลงในปัจจบุ นั แตจ่ ริง ๆ แลว้ Present Perfect สามารถ
นามาใชไ้ ดใ้ นหลากหลายสถานการณ์เลยค่ะ
แต่ก่อนอน่ื เลย เราไปดูโครงสร้างของ Present Perfect กนั ก่อนดีกว่า วา่ Present Perfect สามารถใชไ้ ดก้ บั ประโยคแบบไหนบา้ ง
Present Perfect ใช้เม่ือไหร่ดี?
1. ใช้เล่าถงึ เหตุการณ์ที่เกดิ ขนึ้ ในอดตี และดาเนินต่อเน่ืองมาจนถงึ ถึงปัจจบุ นั มกั ใชก้ บั คาเหล่าน้ี
since ต้งั แต่ (+ จดุ เร่ิมตน้ ของเวลา เช่น 2021, January, Tuesday)
for เป็นเวลา (+ ระยะเวลา เช่น 2 months, 5 days, 1 year)
ever since ต้งั แต่น้นั เป็นตน้ มา
so far จนกระทงั่ ตอนน้ี
up to now จนกระทงั่ ตอนน้ี
up to the present จนถงึ ปัจจบุ นั
เช่น
I have lived in Bangkok since 1991.
ฉนั อาศยั อยใู่ นกรุงเทพฯ ต้งั แต่ปี 1991
I have worked in this company for 3 months.
ผมทางานในบริษทั น้ีมา 3 เดือนแลว้
A: What have you done so far with your project?
ตอนน้ีคณุ ทาโปรเจคน้ีถงึ ไหนแลว้
B: So far, I’ve completed writing the report and making a list of customers.
ตอนน้ีผมเขียนรายงานและทารายชื่อลูกคา้ เสร็จแลว้
He was elected in 2000 and has been president ever since.
เขาไดร้ บั เลอื กในปี 2000 และดารงตาแหน่งประธานาธิบดีต้งั แตน่ ้นั
I started smoking last year, and have coughed ever since.
ฉนั เร่ิมสูบบหุ รี่ปี ท่แี ลว้ และมอี าการไอต้งั แตน่ ้นั
2. ใช้บอกว่าเคยหรือไม่เคยทา ต้งั แต่อดีตจนถงึ ปัจจบุ ัน มกั ใชก้ บั คาเหลา่ น้ี
never ไมเ่ คย
ever เคย
once คร้งั หน่ึง
twice สองคร้งั
เช่น
A: Have you ever been to Tokyo?
คณุ เคยไปโตเกียวไหม
B: No, I haven’t been to Tokyo.
ไม่นะ ฉนั ไม่เคยไปโตเกียว
I have never been to Thailand.
ฉนั ไม่เคยไปเมอื งไทย
Tips: เคยไปหรือไมเ่ คยไปทไี่ หน ใหใ้ ช้ been แทน gone เพราะ
been หมายถึง ไปแลว้ กลบั มาแลว้
gone หมายถงึ ไปแลว้ แตย่ งั ไม่กลบั มา
เช่น
She has just gone to the bank. She’ll back in about 10 minutes
เธอเพิ่งออกไปแบงค์ จะกลบั มาในอกั ประมาณ 10 นาที
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เพง่ิ จบลงใหม่ๆ มกั ใชก้ บั คาเหล่าน้ี
already เพงิ่ จะ
recently เมือ่ ไม่นานมาน้ี
just เรียบร้อยแลว้
yet ยงั (มกั ใชใ้ นประโยคคาถามและปฏเิ สธ)
เช่น
I have just come back to Japan.
ฉนั เพ่งิ กลบั มาจากญี่ป่ ุน
The bus has already arrived.
รถเมลม์ าถึงแลว้
A: Has he finished the work yet?
เขาทางานเสร็จรึยงั
B: Not yet
ยงั เลย
4. ใช้กับเหตุการณ์ทีจ่ บไปแล้ว แต่ผ้พู ดู ยงั คงรู้สึกถงึ ผลของเหตุการณ์น้ันอยู่
เช่น
He has finished that work.
เขาทางานน้นั เสร็จแลว้ (เพ่ิงทาเสร็จ ยงั ไมไ่ ดส้ ่ง)
We have just cleaned our classroom.
(เพิ่งทาเสร็จใหม่ๆ ห้องยงั สะอาดกิง้ อยเู่ ลย)
5. ใช้กับเหตกุ ารณ์ทก่ี าลังเกิดขนึ้ และอาจเกิดขนึ้ ต่อเน่ือง มกั ใชก้ บั คากากบั เวลาเหล่าน้ี
today วนั น้ี
this week อาทิตยน์ ้ี
this month เดือนน้ี
this year ปี น้ี
เช่น
The teacher has drunk two cups of coffee today.
วนั น้ีครูคนน้นั ไดด้ ื่มกาแฟไปแลว้ 2 แกว้
(นกั เรียนจะเห็นครูของเขาทุกคร้ังทดี่ ่ืมกาแฟในแตล่ ะวนั และตอนท่นี กั เรียนเห็นครูกาลงั ด่ืมกาแฟแกว้ ท่ี 2 อยแู่ ลว้ แตค่ รูอาจจะดื่มแกว้ ที่ 3 หรือ 4 อกี หลงั จาก
น้นั )
My father has washed his car three times this month.
พ่อของฉนั ลา้ งรถไปแลว้ 3 คร้ังแลว้ เดือนน้ี
(อาจจะลา้ งรถคร้ังท่ี 4-5 อีกในเดือนน้ี)
The teacher has not seen Ananda this week.
คณุ ครูยงั ไม่เจออนนั ดาเลยในสัปดาห์น้ี
(สปั ดาหน์ ้ีครูอาจจะไม่เจออนนั ดาเลย)
Present Perfect กบั Past Simple ต่างกนั อย่างไร
1. Past Simple ใช้พูดถงึ เหตุการณ์ทเี่ กดิ และจบลงในอดตี แต่ Present Perfect ใช้พดู ถึงเหตุการณ์ที่เกดิ ในอดตี แต่ยงั ทาต่อเนื่องหรือส่งผล
มาถึงปัจจบุ ัน
เช่น
Present Perfect:
She hasn’t called me.
เธอยงั ไมไ่ ดโ้ ทรหาฉนั (แตต่ อนน้ียงั รอให้โทรมาอย)ู่
Past Simple:
She didn’t call me.
เธอไมไ่ ดโ้ ทรหา (แคเ่ ล่าเฉย ๆ ว่าไม่ไดโ้ ทรมา แตไ่ ม่ไดร้ อแลว้ )
2. Present Perfect จะเน้นผลของการกระทามากกว่า Past Simple
เช่น
What have you done? (Present Perfect)
คณุ ทาอะไรลงไป
What did you do? (Past Simple)
คณุ ทาอะไรไปแลว้
แบบทดสอบนะจะ
1 My friend is on the way He….At work yet
A haven’t arrived
B hasn’t arrived
C arrive
D didn’t arrived
2 We are not hungry now we have….Eaten
A yet
B now
C just
D ever
3 My mother has never….to Phuket
A been
B went
C go
D was
4 ….You ever been to krabi
A were
B do
C Are
D have
5 The students are still working they haven’t finished
their work….
A already
B yet
C still
D never
6 Jim is looking for her keys she….them
A have lost
B was lost
C has lost
D lost
7 She….a receptionist….2018
A was/since
B has been/for
C has been/since
D have been/for
8 why….so much apples today?
A have you ate
B have you eaten
C you eaten
D has you eaten
9 We….Your appointment
A haven’t forgot
B hasn’t forgotten
C hasn’t forgot
D haven’t forgotten
10 My father….to Bangkok before it’s his first time to
go there
A hasn’t never driven
B have ever driven
C has ever driven
D has never driven
เฉลยขอ้ สอบจำ้
1 B hasn’t arrived
2 C just
3 A been
4 D Have
5 B yet
6 C has lost
7 C has been/since
8 B have you eaten
9 D haven’t forgotten
10 D has never driven
Comparision
ในภาษาองั กฤษการใช้คาคุณศัพท์ในการเปรียบเทยี บมอี ยู่ 3 ข้นั คือ ข้นั ปกติ ข้ัน
กว่า และข้นั สูงสุด ซ่ึงจะมโี ครงสร้างและวธิ ีการใช้อย่างไร เราสรุป
Comparison of Adjectives: การเปรียบเทยี บคาคุณศัพท์ใน
ภาษาอังกฤษ มาให้แล้วค่ะ
การใช้คาคุณศัพท์ในการเปรียบเทียบมีอยู่ 3 ข้ัน คือ
1. การใช้คาคณุ ศัพท์ในการเปรียบเทยี บข้นั ปกติ (Positive/Regular Adjectives)
โครงสร้างประโยค : S + V. to be + as adjective as
เราใช้ as…as ในการเปรียบเทียบของสองส่ิงท่ีเทา่ กนั หรือเหมือนกนั ทกุ ประการ โดยคาคุณศพั ทท์ ่ีใช้
เปรียบเทียบในข้นั ธรรมดาน้ีจะไม่มีการเปลี่ยนรูปหรือเติมคาใด ๆ หลงั adjective น้นั ๆ เช่น
Harry is as tall as his brother.
(แฮร่ีสูงเทา่ กนั กบั นอ้ งชายของเขา)
This bag is as expensive as that one.
(กระเป๋ าใบน้ีแพงเทา่ กนั กบั อีกใบหน่ึง)
2. การใช้คาคณุ ศัพท์ในการเปรียบเทยี บข้นั กว่า (Comparative Adjectives)
โครงสร้างประโยคแบบท่ี 1 : S + V. to be + adj. +er + than
การเปรียบเทียบคาคุณศพั ทข์ ้นั กวา่ น้ีมี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบแรกจะมีการเติม -er ทา้ ยคาคุณศพั ท์
(adjective) น้นั ๆ และตามดว้ ย than เพื่อเปรียบเทียบวา่ สิ่งหน่ึง … กวา่ อีกส่ิงหน่ึง เช่น
Pug is smaller than Siberian.
(สุนขั พนั ธุ์ป๊ักตวั เลก็ กวา่ สุนขั พนั ธุไ์ ซบีเรียน)
โครงสร้างประโยคแบบที่ 2 : S + V. to be + more + adj. + than
รูปแบบท่ีสองจะเติมคาวา่ more ไวด้ า้ นหนา้ แลว้ ตามดว้ ยคาคุณศพั ท์ (adjective) น้นั ๆ และ
ตามดว้ ย than เพอ่ื เปรียบเทียบวา่ สิ่งหน่ึง … กวา่ อีกส่ิงหน่ึง เช่น
Physics is more difficult than Math.
(วชิ าฟิ สิกส์ยากกวา่ วชิ าคณิตศาสตร์)
Karaked is more beautiful than Chanward.
(การะเกดสวยกวา่ จนั ทร์วาด)
3. การใช้คาคณุ ศัพท์ในการเปรียบเทียบข้นั สูงสุด (Superlative Adjectives)
โครงสร้างประโยคแบบที่ 1 : S + V. to be + the + adj. + est
การเปรียบเทียบข้นั สูงสุดน้ีมี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบแรกจะใช้ the นาหนา้ adj. ท่ีมีการเติม -est
ทา้ ยคาน้นั ๆ เพ่อื เปรียบเทียบวา่ สิ่งน้นั … ทสี่ ุด เช่น
She was the cleverest girl I have ever known.
(หลอ่ นเป็นผหู้ ญิงที่ฉลาดท่ีสุดท่ีฉนั เคยรู้จกั มา)
โครงสร้างประโยคแบบที่ 2 : S + V. to be + the + most + adj.
รูปแบบทสี่ อง จะใส่ the most ไวด้ า้ นหนา้ adj. น้นั ๆ เพื่อเปรียบเทียบวา่ สิ่งน้นั … ท่ีสุด เช่น
I am the most beautiful woman in this world.
(ฉนั เป็นผหู้ ญิงท่ีสวยที่สุดในโลกน้ี)
การทาคาคุณศัพท์ให้เป็ นข้ันกว่าและข้นั สูงสุด
1. คาคุณศพั ทพ์ ยางคเ์ ดียวส่วนใหญท่ าใหเ้ ป็นรูป Comparative (ข้นั กวา่ ) โดยการเติม -er ทา้ ยคา
และทาใหเ้ ป็นรูป Superlative (ข้นั สูงสุด) โดยการเติม -est ทา้ ยคา เช่น
Adjective Comparative Superlative
cold colder coldest
hard harder hardest
tall taller tallest
2. คาคุณศพั ทพ์ ยางคเ์ ดียวทมี่ ีสระตวั เดียวและตามดว้ ยพยญั ชนะตวั เดียว ใหเ้ ติมพยญั ชนะตวั สุดทา้ ยของคา
ซ้าก่อนเติม -er ในการทาใหเ้ ป็นข้นั กวา่ และก่อนเติม -est ในการทาใหเ้ ป็นข้นั สูงสุด เช่น big –
bigger – biggest
3. คาคุณศพั ทพ์ ยางคเ์ ดียวท่ลี งทา้ ยดว้ ย e ใหต้ ดั e ทา้ ยคาออกหน่ึงตวั ก่อนจะเติม -er หรือ -est เช่น
nice – nicer – nicest
4. คาคุณศพั ทท์ ่ีลงทา้ ยดว้ ย y ใหเ้ ปลี่ยน y เป็น i ก่อนจะเติม -er หรือ -est เช่น dry – drier –
driest, easy – easier – easiest
5. คาคุณศพทส์ องพยางคท์ ี่ลงทา้ ยดว้ ย –ed, -ing, -ful, -less, -ous ทาใหเ้ ป็นรูป
Comparative โดยการเติม more หนา้ คา และทาใหเ้ ป็นรูป Superlative โดยการเติม the
most หนา้ คา เช่น
Adjective Comparative Superlative
worried more worried the most
boring more boring worried
faithful more faithful the most
boring
the most
faithful
careless more careless the most
famous more famous careless
the most
famous
6. คากริยาวิเศษณ์ หรือ adverb สองพยางคท์ ่ีลงทา้ ยดว้ ย -ly ทาใหเ้ ป็นรูป Comparative โดย
การเติม more หนา้ คา และทาใหเ้ ป็นรูป Superlative โดยการเติม the most หนา้ คา เช่น
quickly - more quickly - the most quickly
7. คาคุณศพั ทแ์ ละคากริยาวเิ ศษณ์ต้งั แต่สองพยางคข์ ้ึนไป ทาใหเ้ ป็นรูป Comparative โดยการเติม
more หนา้ คา และทาใหเ้ ป็นรูป Superlative โดยการเติม the most หนา้ คา เช่น
Adjective Comparative Superlative
dangerous more dangerous the most
dangerous
expensive more expensive the most
Adverb Comparative expensive
easily more easily Superlative
quietly more quietly the most easily
the most
quietly
8. คาคุณศพั ทบ์ างคาที่อาจจะไมไ่ ดเ้ ปล่ียนรูปไปตามโครงสร้างดงั ที่กล่าวขา้ งตน้ โดยเม่ือเป็นการ
เปรียบเทียบในข้นั กวา่ และข้นั สูงสุด คาคุณศพั ทน์ ้นั ๆ จะเปลี่ยนรูปไปเลย (จานวนไมเ่ ยอะ ไมต่ อ้ งตกใจนะ
คะ) เช่น
Adjective Comparative Superlative
good better best
bad worse worst
many/much more most
little less least
far father/further farthest/furthest
ตัวอย่างการใช้
Today’s weather is better than yesterday.
(สภาพอากาศวนั น้ีดีกวา่ เมื่อวาน)
He was the worst boyfriend in my life.
(เขาเป็นแฟนท่ีแยท่ ่ีสุดในชีวติ ของฉนั )
This cup of coffee has less sugar than the other.
(กาแฟถว้ ยน้ีมีน้าตาลนอ้ ยกวา่ อีกถว้ ยหน่ึง)
การใช้ be going to
หลกั การใช้ be going to จะใชใ้ นกรณีท่ีเป็นเร่ืองท่ีไดต้ ดั สินใจมาแลว้ กอ่ นท่ีจะมาบอกกลา่ วกนั ณ ตอนน้ี และใชใ้ น
การคาดเดาสิ่งที่จะเกิดข้ึน โดยมีสถานการณ์แวดลอ้ มประกอบ
โครงสร้างประโยค am going to…
I
He, She, It, A cat is going to…
You, We, They, Cats are going to…
หลกั การใช้ Be going to มีดังนี้
1. ใช้บอกกล่าวเร่ืองราวต่างๆท่ีได้ตัดสินใจมาแล้ว ก่อนทจี่ ะมาพูดคุยกนั ณ ตอนนี้
ความหมายกต็ รงตามน้ีนะครับ อะไรก็ตามแตท่ ี่เราๆท่านๆไดค้ ิดไวล้ ่วงหนา้ แลว้ เวลาท่ีเราพูดคุยกนั เรากใ็ ช้ be going
to น่ีแหละบอกกลา่ ว เช่น
พรุ่งน้ีวนั เสาร์ เราก็คดิ ไวแ้ ลว้ ว่าจะไปดูหนงั ถา้ มีใครมาถามว่า พรุ่งน้ีคุณจะทาอะไร เรากต็ อบวา่ จะไปดูหนงั โดยใช้
โครงสร้างแบบน้ีแหละในการสนทนา ดูตวั อยา่ ง
• I’m going to watch movies tomorrow.
ฉนั จะดูหนงั พรุ่งน้ี
• She’s going to clean the house next week.
หลอ่ นจะทาความสะอาดบา้ นอาทิตยห์ นา้
• He is going to have a party next month.
เขาจะจดั งานเล้ียงเดือนหนา้
• Sam is going to buy a new bike.
แซมจะซ้ือจกั รยานคนั ใหม่
• We are going to visit grandma soon.
เราจะไปเยยี่ มยา่ เร็วๆน้ี
• They are going to fly to London next month.
พวกเขาจะบินไปลอนดอนเดือนหนา้
• My dad is going to paint the house next week.
พ่อของฉนั จะทาสีบา้ นสปั ดาหห์ นา้
2. ใช้คาดเดาว่าเหตุการณ์น้ันจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตแน่นอน โดยมีสภาพแวดล้อมประกอบการคาดเดา ไม่ใช่ทกึ ทักเอาเอง
การใช้ be going to ในการคาดเดาจะตอ้ งมีเคา้ มีลางใหเ้ ราคาดเดาว่าจะเกิดข้ึนแน่ๆ เช่น มีกอ้ นเมฆดาทะมึน ลมพายุ
แรงข้นึ เรากค็ าดเดาไดว้ ่าฝนกาลงั จะตกแน่นอน
• Look at the dark clouds. It’s going to rain. Let’s go.
มองไปท่ีกอ้ นเมฆดาๆซิ ฝนกาลงั จะตกแลว้ ไปกนั เถอะ (ดูจากกอ้ นเมฆ)
• Look! The car is going to hit the cat.
ดูซิ! รถยนตก์ าลงั จะชนแมวแลว้ (มองเห็นรถพงุ่ ตรงไปยงั แมว)
• Oh my gosh! The cat is going to die.
โอพ้ ระช่วย แมวกาลงั จะตายแลว้ (แมวชกั ด้ินชกั งอ)
• Hurry up! We are going to miss the train.
เร็วหน่อย พวกเรากาลงั จะตกรถไฟ (ดูเวลาจากนาฬิกาขอ้ มือแลว้ น่าจะไมท่ นั )
พอพดู ถึง will เรามกั จะคิดถึงเหตุการณ์ท่ีเป็นอนาคต และกค็ วามหมายมนั แ็ ปลวา่ "จะ"
ช้นั จะทาโน่น ทานี่ จะไปท่ีนน่ั ที่นี่ แตร่ ู้หรือไม่? เราตอ้ งแยกประเด็นวา่ ภายใตค้ าวา่ "จะ"
น้นั มนั เป็นเหตกุ ารณ์ที่เราไดว้ างแผนเอาไวแ้ ลว้ หรือมนั เป็นเหตกุ ารณ์ที่เราคิดแบบ
ปัจจุบนั ทนั ด่วน ไมไ่ ดเ้ ตรียมตวั เตรียมใจไวล้ ว่ งหนา้ เพราะเราจะใช้ will ในกรณีท่ีเราคิด
ตดั สินใจเด๋ียวน้นั เลย ไมม่ ีการวางแผนอะไรท้งั น้นั ซ่ึงถา้ เป็นเหตุการณ์ท่ีต้งั ใจ หรือมีการ
วางแผนเอาไวแ้ ลว้ เรามกั จะใช้ to be going to
1. ตดั สินใจแบบทันทีทันใด
ตามหลกั แลว้ เราจะไม่ใช้ will กบั ส่ิงท่ีเตรียมการไวแ้ ลว้ เช่น
เราแพลนจะไปเที่ยวหวั หิน จองทพี่ กั ล่วงหนา้ เรียบร้อย เราก็จะไม่ใชว้ า่ I will go to
Hua Hin next week.
ฉนั กาลงั จะไปหวั หินอาทิตยห์ นา้ เพราะเราวางแผนไวล้ ว่ งหนา้ แลว้ นนั่ เอง (ท่ี
ถูกตอ้ งคือ I'm going to Hua Hin next week.)
แลว้ will ใชจ้ ะก็เมื่อเพอื่ นชวนไปเท่ียวหวั หิน แลว้ เราตดั สินใจเด๋ียวน้นั เลยวา่ I'll
go! ฉนั จะไป! คือเป็นการตดั สินใจแบบทนั ทีทนั ใดนนั่ เอง
2. ทานาย
เราใช้ will เมือ่ จะ 'ทานาย' หรือ 'ทาย' อะไรบางอยา่ ง เช่น I think Som will arrive
in Paris at 6 pm. ฉนั คิดวา่ ส้มน่าจะถึงปารีสตอน 6 โมงเยน็
หรือ It will rain tomorrow. พรุ่งน้ีฝนน่าจะตกนะ คือเป็นการทานายวา่ สิ่งน้นั น่าจะ
เกิดข้ึน
3. ให้สัญญา
เวลาที่เราสัญญากบั ใครวา่ จะทาอะไร ใหใ้ ช้ will เสมอ ยกตวั อยา่ งง่ายๆ ก่็เช่น วลีตดิ
หูในภาพยนตร์เร่ือง The Terminator หรือ คนเหลก็ ที่วา่ I'll be back. ฉนั จะกลบั มา
4. เสนอตวั ทาบางสิ่ง
เช่น That bag looks heavy. I will help you with it. กระเป๋ านน่ั ดูหนกั นะ ฉนั ช่วย
เธอถือดีกวา่ ถา้ เสนอตวั ช่วยเหลือแบบน้ี ใหใ้ ช้ I will help ไม่ใช่ I help
5. ใช้เพ่ือขอร้อง (เป็ นประโยคคาถาม แต่ไม่ใช่คาถาม)
Will you open the door, please. ช่วยเปิ ดหนา้ ตา่ งใหห้ น่อย
Will you sit here, please. ช่วยนงั่ ตรงน้ีดว้ ยครับ แตโ่ ดยมากนิยมใชค้ าวา่ Would,
Could แทน will เพราะสุภาพกวา่
เนื้อหาบทเรียน Verb to be
• Verb to be คืออะไร
• Verb to be มอี ะไรบ้าง
• หลกั การใช้ Verb to be
♦ Verb to be คืออะไร
verb to be ก็คอื คากริยาที่ชื่อว่า be ส่วนใหญ่จะเรียกช่ือโดยใชค้ าวา่ to นาหนา้ เช่น to be, to do, to
have, to go เป็นตน้
คาวา่ be เป็นคารากศพั ท์ (คาศพั ทเ์ ดิมๆท่ียงั ไมเ่ ติมแตง่ อะไร) แปลว่า เป็น อยู่ คือ หรือบางทีกไ็ ม่ตอ้ งแปลก็ได้ เช่น
• I wan to be a doctor. ฉนั ตอ้ งการ ท่ีจะ เป็น หมอ ( ณ ท่ีน้ี แปลวา่ เป็น)
• I don’t want to be alone. ฉนั ไม่ ตอ้ งการ ที่จะ อยู่ คนเดียว ( ณ ท่ีน้ี แปลวา่ อย)ู่
♦ Verb to be มีอะไรบ้าง
เจา้ Verb to be สามารถแปลงร่างออกไดเ้ ป็น 7 คาดว้ ยกนั คอื
• be, is, am, are
• was, were
• been
Verb to be ท้งั 7 ตวั น้ี แปลว่า เป็นอยคู่ ือเหมือนกนั แต่หลกั การใชไ้ ม่เหมือนกนั นะครับ เช่น
• I be a doctor. ผมเป็นหมอ ×
• I am a doctor. ผมเป็นหมอ √
• She am a student. ×
• She is a student. √
♦ คาแปลของ Verb to be
• หลงั verb to be เป็นสถานท่ี แปลว่า อยู่
• หลงั verb to be เป็นคานามทว่ั ไป แปลว่า เป็น คือ
• หลงั verb to be เป็นคาคุณศพั ท์ ไมต่ อ้ งแปล
♦ หลักการใช้ Verb to be ท้ัง 7 ตัว