The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปประเด็นท้าทาย การพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by charudet.pra, 2023-09-09 04:01:24

สรุปประเด็นท้าทาย การพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2565

สรุปประเด็นท้าทาย การพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2565

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจองสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นาย จารุเดช ประภาศรี ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พระนครศรีอยุธยา


รายงานผลการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 นาย จารุเดช ประภาศรี ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา


2 ชื่อเรื่องวิจัย การพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง นักเรียนชั้นมัธยมทามศึกษาศึกษาปีที่ 1 ชื่อผู้วิจัย นายจารุเดช ประภาศรี สถานศึกษา โรงเรียนอุทัย ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยการใช้แบบฝึกหัดชุดคำศัพท์ที่มีเสียงคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย 2 เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก ่อนและหลังเรียนที ่ได้จากการใช้ แบบฝึกจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษจากคำที ่คล้องจอง กลุ ่มตัวอย ่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1/5 ภาคเรียนที ่ 2 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนอุทัย จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการ เรียนรู้ การเรียนรู้คำศัพท์ โดยใช้คำคล้องจอง 2) แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คล้องจอง ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่อง การจำคำศัพท์โดยใช้คำคล้องจอง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบจำนวน 20 ข้อ โดยแบ่งออกเป็น ปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 3 ตัวเลือก แบบอัตนัย จำนวน 10 ข้อ ผลวิจัย พบว่า 1. ค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย มีค่าดัชนี ประสิทธิผลเท ่ากับ 0.82 แสดงว ่านักเรียนที ่เรียนรู้การจำคำศัพท์โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจอง ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ที่ผู้วิจัยได้คิดค้นขึ้น ทำให้นักเรียนมี คะแนนการเรียนรู้ที่สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 82.00 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนรู้เรื่องทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้ แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ก.


3 กิตติกรรมประกาศ การศึกษาวิจัยในครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์จากครูภาคภูมิ พึ่งเพ็ง หัวหน้ากลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ ให้ความรู้ ความคิด ให้คำแนะนำ คำปรึกษา ตลอดจน การตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ เป็นอย่างดีจนการศึกษาวิจัยครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอขอบคุณเป็น อย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ จารุเดช ประภาศรี ข.


4 สารบัญ เนื้อหา หน้า บทคัดย่อ ก. กิตติกรรมประกาศ ข. สารบัญ ค. บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยทเกี่ยวข้อง 4 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย 15 บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 24 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 28 เอกสารอ้างอิง ภาคผนวก ก 33 ภาคผนวก ข 41 ภาคผนวก ค 43 ภาคผนวก ง 48 ค.


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ จากการประชุมกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศในกิจกรรมชุมชนแห่ง การเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2565 เกี่ยวกับการจัดการรายวิชา ภาษาต่างประเทศ พบว่า โดยรวมนักเรียน โรงเรียนอุทัยนั้น มีนักเรียนคิดเป็นร้อยละ 60 ที่ไม่รู้ ความคำศัพท์พื้นฐานในภาษาอังกฤษและภาษาจีน โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษนักเรียนไม่ สามารถอ่านและบอกความหมายของศัพท์ได้เพราะสาเหตุจากนักเรียนไม่เกิดความสนใจในการ ที่จะเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ จากประสบการณ์ของผู้วิจัยในการจัดการเรียนการสอนนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที ่ 1 โรงเรียนอุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขตพื้นที ่การศึกษามัธยมพระนครศรีอยุธยา ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนอุทัย ทำการทดสอบก่อนเรียนเรื่องการ เลือกใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในบทเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนานักเรียนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการ จดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และพบว่านักเรียนบางส่วนไม่สามารถจำคำศัพท์และเรียนรู้คำศัพท์ได้ ดีพอ ซึ่งเมื่อนักเรียนไม่สามารถจำคำศัพท์ได้อาจทำให้เกิดปัญหาในการที่จะนำคำศัพท์ไปใช้ เรียนและต่อยอดในบทเรียนได้ต่อไป จากปัญหาที่พบนี้ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะพัฒนาทักษะการจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้ชุดแบบฝึกจากคำคล้องจองสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โดย ใช้ชุดแบบฝึกจากคำคล้องจอง อันจะเกิดผลดีต ่อการพัฒนาทักษะทางการสื ่อสารให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


2 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาในเรื่องทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำ คล้องจอง มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยดังนี้ 1.2.1 เพื่อพัฒนาทักษะการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยการใช้แบบฝึกหัดชุดคำศัพท์ที่มีเสียง คล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝึกจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษจากคำที่คล้องจอง 1.3 สมมติฐานของการวิจัย 1.3.1 นักเรียนมีการพัฒนาในการเรียนรู้และจดจำคำศัพท์ ผ่านการใช้ชุดแบบท่องคำศัพท์โดย ใช้คำคล้องจอง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ที่สูงขึ้น 1.3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้ คล้องจอง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สูงกว่าก่อนเรียน 1.4 ขอบเขตการวิจัย 1.4.1 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1. ตัวแปรอิสระ ชุดแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนที ่ได้จากการใช้ ชุดแบบฝึกการจดจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยใช้คำที่คล้องจอง ของนักเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย 1.4.2 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย 1.4.3 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนอุทัย จำนวน 12 คน 1.4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ทำการทดลองในการศึกษาทำวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ตั้งแต่ วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ถึง วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2565 1.5 นิยามคำศัพท์เฉพาะ 1.5.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของผู้เรียนซึ่งได้จากการทำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการใช้แบบฝึกการจดจำคำศัพท์จากคำที่คล้องจอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย


3 1.5.2 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 12 คน 1.5.3 คำศัพท์ หมายถึง คําที่มีการประสมเสียง ซึ่งนำมาใช้เป็นสิ่งเร้าให้นึกถึงประสบการณ์ที่เคย ผ่านมาประสบการณ์ที่ถูก กระตุ้นจากการประสบเสียงนั้น จะมีความหมายต่างกัน หลายอย่างแต่จะมี เพียงประสบการณ์เดียวที่เด่นกว่าที่ใช้ร่วมกัน แบ่งถึงสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งดังนั้น คำๆหนึ่งอาจมี หลายความหมาย 1.5.4 คำคล้องจอง หมายถึง คำที่ใช้สระหรือพยัญชนะเสียงเดียวกัน และถ้ามีตัวสะกดจะต้องมี ตัวสะกดในมาตราเดียวกัน คำคล้องจองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคำสัมผัส 1.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย 1.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.8.1 ผู้เรียนมีการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ และสามารถจดจำคำศัพท์ได้มากยิ่งขึ้น 1.8.2 ได้เรียนรู้เทคนิคการสอนคำศัพท์โดยการใช้คำคล้องจอง เพื่อให้ง่ายต่อการจำ 1.8.3 สามารถนำแนวทางการสอนคำศัพท์จากคำคล้องจองไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนใน อนาคตได้ การเรียนรู้คำศัพท์ โดยการใช้ แบบฝึกจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษจากโดยใช้คำคล้อง จอง - พัฒนาทักษะการเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษจากคำคล้องจอง - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน


4 บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษานี้ผู้วิจัยไดศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องจากเอกสารและงานวิจัยต่างๆ และได นําเสนอตามหัวขอดังตอไปนี้ 1. สาระการเรียนรูภาษาตางประเทศหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 2. การสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2.1 ความหมายของคำศัพท์ 2.2 ความสำคัญของคำศัพท์ 2.3 ประเภทของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2.4 องค์ประกอบของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2.5 หลักการเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อนำมาสอน 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.1 งานวิจัยในประเทศ 3.2 งานวิจัยต่างประเทศ 2.1 สาระการเรียนรูภาษาต่างประเทศหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) 2.1.1 ความสำคัญของภาษาต่างประเทศ (ภาษาต่างประเทศ) ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต ่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็น อย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหา ความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระ หลักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลกนำมาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับ ประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของ ภาษาและวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ได้ ง่ายและกว้างขวางและมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐานและ


5 มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอด หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น อาหรับ บาลี และภากลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หรือภาษาอื่นๆ ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา ที่จะจัดทำรายวิชาและการจัดการเรียนรู้ตามความเหมาะสม 2.1.2 สิ่งที่เรียนรู้ในภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) กลุ ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต ่างประเทศ มุ ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที ่ดีต่อ ภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ ประกอบ อาชีพ และศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลาย ของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วยสาระสำคัญดังนี้ 1) ภาษาเพื่อการสื่อสาร การใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ นำเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและ ความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม 2) ภาษาและวัฒนธรรม การใช้ภาษาต ่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ความสัมพันธ์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ภาษาและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำไปใช้อย่างเหมาะสม 3) ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ภาษาต่างประเทศในการ เชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เป็นพื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ ของตน 4) ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนโลก การใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ ประกอบ อาชีพ และแลกเปลี่ยนความรู้กับสังคมโลก 2.1.3 สาระมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ


6 มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความ คิดเห็นในเรื่องต่างๆ โดยการพูดและการเขียน สาระที่2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษา และนำไปใช้ ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต ่างระหว่างภาษาและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย ่าง ถูกต้องและเหมาะสม สาระที่ ๓ ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต ๓.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระ การเรียนรู้อื่น และเป็นพื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ ของตน สาระที่ ๔ ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต ๔.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งใน สถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต ๔.๒ ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก 2.1.4 คุณภาพผู้เรียน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ 1 ) ปฏิบัติตามคำสั ่ง คำขอร้อง และคำแนะนำที ่ฟังและอ่าน อ่านออกเสียง ประโยค ข้อความ นิทาน และบทกลอนสั้นๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน เลือก/ระบุประโยคและข้อความ ตรงตามความหมายของสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่อ่าน บอกใจความสำคัญ และตอบคำถามจากการฟัง และอ่าน บทสนทนา นิทานง่ายๆ และเรื่องเล่า 2) พูด/เขียนโต้ตอบในการสื่อสารระหว่างบุคคล ใช้คำสั่ง คำขอร้อง และให้คำแนะนำ พูด /เขียนแสดงความต้องการ ขอความช ่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ความช ่วยเหลือใน สถานการณ์ง่ายๆ พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน ครอบครัว และเรื่องใกล้ตัว พูด/เขียนแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ใกล้ตัว กิจกรรมต่างๆ พร้อมทั้งให้เหตุผลสั้นๆ ประกอบ


7 3) พูด /เขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน และสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว เขียนภาพ แผนผัง แผนภูมิ และตารางแสดงข้อมูลต่างๆ ที่ฟังและอ่าน พูด /เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ใกล้ ตัว 4) ใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และกิริยาท่าทางอย่างสุภาพ เหมาะสม ตามมารยาทสังคมและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ให้ข้อมูลเกี ่ยวกับเทศกาล /วันสำคัญ /งานฉลอง /ชีวิตความเป็นอยู่ ของ เจ้าของภาษาเข้าร่วมกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ 5) บอกความเหมือน/ ความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยคชนิดต่างๆ การใช้ เครื่องหมายวรรคตอน และการลำดับคำ ตามโครงสร้างประโยคของภาษาต ่างประเทศและภาษาไทย เปรียบเทียบความเหมือน/ความแตกต่างระหว่างเทศกาล งานฉลองและประเพณีของเจ้าของภาษากับของ ไทย 6) ค้นคว้า รวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นจากแหล่งการเรียนรู้ และนำเสนอด้วยการพูด/การเขียน 7) ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและสถานศึกษา 8) ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลต่างๆ 9) มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟัง -พูด -อ่าน -เขียน) สื่อสารตามหัวเรื่อง เกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม อาหาร เครื่องดื่ม เวลาว่างและนันทนาการ สุขภาพและ สวัสดิการ การซื้อ -ขาย และลมฟ้าอากาศ ภายในวงคำศัพท์ประมาณ ๑,๐๕๐-๑,๒๐๐ คำ (คำศัพท์ที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม) 10) ใช้ประโยคเดี่ยวและประโยคผสม (Compound Sentences) สื่อความหมายตาม บริบทต่างๆ 2.2 การสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2.2.1 ความหมายของคำศัพท์ คำศัพท์คือกลุ่มเสียงที่มีความหมายที่นำไปใช้เพื่อการสื่อสาร ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น หลายประเภทขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น แบ่งตามรูปคำ ความหมาย และแบ่งตาม ลักษณะการนำไปใช้ เป็นต้น (สมพร วราวิทยศรี. 2554 : 12) คำศัพท์ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง กลุ่มเสียง เสียงพูด และลายลักษณ์อักษร ที่เขียนหรือพิมพ์ขึ้นเพื่อสื่อสารและแสดงความคิดเป็นคำหรือคำยากที่ต้องแปล (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2540 : 853) พรสวรรค์ สีป้อ (2550 : 128) ได้ให้ความหมายของ คำศัพท์ว่า เป็นหน่วยเสียง ที่มา รวมกันเป็นความหมาย เพื่อใช้ในการสื่อสารและแสดงความคิดเห็นเป็นคำหรือคำยากที่ต้องอาศัยการแปล ความหมาย มีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ คือ รูปคำ (Form) และความหมาย (meaning)


8 ศิธร แสงธนู และคิด พงศ์ทัต (2541 : 35 - 41) ได้ให้ความหมายของคำศัพท์ไว้ว่า คำศัพท์คือ กลุ่มเสียงกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความหมายให้รู้ว่าเป็นสิ่งต่างๆ เช่น อาการ คน สิ่งของ หรือลักษณะ อาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคำศัพท์ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของภาษา และถือเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ภาษา กล่าวโดยสรุป คำศัพท์ คือ กลุ่มเสียงหรือหน่วยเสียงที่มีความหมาย และสามารถแบ่งได้ ตามรูปคำและความหมาย หรือแบ่งตามลักษณะการนำไปใช้ ซึ่งแบ่งออกได้เป็นหมวดหมู่ คน สิ่งของ เพื่อ นำไปใช้ในการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในสังคมนั้นๆ 2.2.2 ความสำคัญของคำศัพท์ คำศัพท์ถือว ่าเป็นพื้นฐานที ่สำคัญในการเรียนรู้ภาษา ซึ่งคำศัพท์เป็นพื้นฐานที่ทำให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้พื้นฐานของคำ เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารเป็นประโยคเพื่อให้เกิดความเข้าใจในสังคม ซึ่งมี ผู้กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ไว้ดังนี้ วรรณพร ศิลาขาว (2539: 15) ได้ให้ความสำคัญของคำศัพท์ว ่า คำศัพท์เป็นหน ่วย พื้นฐานทางภาษาซึ่งผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรก เพราะคำศัพท์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการ เรียนรู้ภาษา และเป็นพื้นฐานของการนำไปสู่การพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ของภาษา เช่นทักษะ การฟัง พูด อ่าน และเขียน เพื่อที่จะนำไปสู่การใช้สื่อสารที่เข้าใจกันในสังคมนั้นๆ เอลเลน และ วอลเลท (Allen & Vallette. 1997) กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ว่า การเรียนรู้ความหมายของคำศัพท์จะทำให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจในการใช้ภาษาได้มากยิ่งขึ้น และ สามารถ สื่อความหมายในสถานการณ์ต่างๆได้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547) ได้กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ภาษา อังกฤษว่าการเรียนรู้คำศัพท์จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจความหมายของคำ และสามารถเรียงตัวอักษร ได้ถูกต้อง อีกทั้งกล้าที่จะใช้ พูด อ่าน และเขียนเป็นประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารได้อย่างมั่นใจ กล่าวโดยสรุป คำศัพท์ถือว่าเป็นพื้นฐานและองค์ประกอบในการเรียนภาษาทุกภาษา ซึ่ง จะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาในทักษะอื่นๆได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านทักษะ การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน และยังสามารถนำไปต่อยอดในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.2.3 ประเภทของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำศัพท์ภาษาอังกฤษสามารถแบ่งได้หลากหลายประเภท ซึ่งมีองค์ประกอบในการแบ่ง แตกต่างกันออกไป ซึ่งมีผู้ที่แบ่งประเภทของคำศัพท์ภาษาอังกฤษไว้ดังนี้ สุไร พงษ์ทองเจริญ (สุขุมาล บุตรานนท์. 2542: 14; อ้างอิงจาก สุไรพงศ์ ทองเจริญ. 2526) ได้แบ่งประเภทของคำศัพท์ ออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. Active Vocabulary คือ คำศัพท์ที่ผู้เรียนควรจะใช้เป็น และใช้ได้ถูกต้อง ซึ่งผู้สอนจะ มุ ่งเน้นให้ผู้เรียนรู้ความหมาย ฟังเข้าใจและเขียน หรือแต ่งประโยคได้ ตลอดจนสามารถออกเสียงได้


9 ถูกต้อง คำศัพท์เหล่านี้ใช้มากในการฟัง พูด อ่าน และเขียน เช่นคำว่า important, necessary, consist เป็นต้น สำหรับการเรียนคำศัพท์ประเภทนี้ จะต้องฝึกใช้ บ่อย ๆ ซ้ำ ๆ ผู้เรียนจึงจะสามารถนำไปใช้ได้ 2. Passive Vocabulary คือ คำศัพท์ที ่ควรจะสอนให้รู้แต่เพียงความหมาย และการ ออกเสียงเท่านั้น ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่ไม่นิยมใช้ในการพูดและการเขียนเท่าใดนัก โดยผู้สอนไม่ได้มุ่งให้นักเรียน นำไปใช้ ซึ ่งกล ่าวได้ว ่าไม ่จำเป็นต้องฝึกคำศัพท์ประเภทนี้ เช ่น คำว ่า elaborate, fascination, contrastive เป็นต้น คำศัพท์เหล่านี้เมื่อผู้เรียนเรียนในระดับที่สูงขึ้น ก็อาจจะกลายเป็นคำศัพท์ประเภท Active Vocabulary ได้ นอกจากนี้ ศิธร แสงธนู และคิด พงศทัต (อ้างถึงในจารุวรรณ อำพันกาญจน์. 2514) กล่าวไว้ว่าคำศัพท์ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ประเถท คือ 1. Content Word คือ คำประกอบที ่เราอาจบอกความหมายได้โดยไม ่ต้องขึ้นอยู่กับ โครงสร้าง อาจจะพูดได้ว ่า เป็นคำที ่มีความหมายตามพจนานุกรม เช ่น daughter, box, pen ซึ ่งคำ เหล่านี้มีการเปลี่ยนความหมายได้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันในรูปประโยค Content Word ใน ภาษาอังกฤษ ซึ่งได้แก Nouns, Verb, Adjectives, Adverb 2. Function Word คือคำที่ไม่มีความหมายแน่นอนในตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยน ความหมายไปตามบริบทของโครงสร้างประโยค ซึ่งคำศัพท์ประเภทนี้สอนให้เข้าใจได้ยาก การสอนเพียง ให้รู้ความหมายและคำแปลเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ จำเป็นที่จะต้องให้นักเรียนได้สังเกตและเห็น ตัวอย ่างการใช้ที ่อยู ่ในบริบทของประโยค และฝึกใช้ในโครงสร้างต ่างๆโดยตรงจึงจะเกิดประโยชน์ Function word ในภาษาอังกฤษได้แก ่ คำประเภท Articles, Prepositions, Personal Pronouns, Possessive, Adjectives, Demonstratives, Relative Pronouns, Conjunction, Auxiliary Verbs, One หรือ Ones นอกจากนี้ ( Hatch and Brown, 1995: 370) ได้แบ่งคำศัพท์ เป็น 2 ประเภท คือ 1. คำศัพท์ที่ใช้เพื่อรับสาร (Receptive Vocabulary) คือ คำศัพท์ที่ใช้เพื่อการรับรู้ ซึ่ง เป็นคำศัพท์ที่ผู้เรียนได้รับจากการฟังและการอ่าน ผู้เรียนสามารถจดจำได้เมื่อคำศัพท์อยู่ในบริบท แต่ไม่ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นผู้สอนจึงสอนให้ผู้เรียนรู้แค่ความหมายเท่านั้น 2. คำศัพท์ที่ใช้เพื่อสื่อสาร (Productive Vocabulary) คือ คำศัพท์ที่ใช้ในการสื่อสาร เป็นคำศัพท์ที่ผู้เรียนเข้าใจ และออกเสียงได้ถูกต้อง สามารถนำไปใช้ในการพูดและการเขียน ผู้สอนจึงต้อง ให้นักเรียนฝึกฝนให้ใช้คำศัพท์นั้นๆ เพื่อที่จะนำไปใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ กล่าวโดยสรุป คำศัพท์ในภาษาอังกฤษนั้นสามารถแบ่งได้ตามลักษณะของการใช้ คือ คำศัพท์ที่นักเรียนใช้เป็นและถูกต้อง และคำศัพท์ที่ควรจะสอนให้รู้เพียงความหมายและการออกเสียง เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถแบ่งตามความหมาย เช่น คำที่มีความหมายในตนเอง และคำที่ไม่มีความหมายใน ตนเอง ซึ่งเป็นคำที่จะต้องพึ่งบริบทประโยคเพื่อสื่อความหมาย เป็นต้น


10 2.2.4 องค์ประกอบของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ด้านองค์ประกอบของคำศัพท์ภาษาอังกฤษนั้น ศิธร แสงธนูและ คิด พงษ์ทัต (2541 : 9-10 และ) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบที่สำคัญของคำศัพท์ว่าต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. รูปคำ (Form) หรือการสะกดคำนั้น ๆ ถ้าจะกล่าวตามหลักของภาษาศาสตร์นั้น คำ ๆ เดียวกัน ความหมายเดียวกัน อาจมีการเขียนที ่แตกต ่างกันก็ได้ เช ่น is กับ ’s หรือ should not กับ shouldn’t เช่นเดียวกับคำอื่นๆ ที่มีการเปลี่ยนรูปร่างและเปลี่ยนความหมาย เช่น woman – women , talk – talked ก็มีความหมายแตกต่างกัน เพราะรูปร่างแตกต่างกัน เป็นต้น 2. ความหมาย (Meaning) คำแน่ละคำอาจมีความหมายที่แฝงอยู่ถึง 4 นัยด้วยกัน คือ 2.1 ความหมายตามพจนาน ุกรม (Lexical Meaning) ความหมายตาม พจนานุกรมสำหรับภาษาอังกฤษ คำหนึ่งๆ มีความหมายได้หลายอย่างได้เมื่ออยู่ในบริบทของประโยคที่ แตกต ่างกัน ซึ ่งคำบางคำอาจมีความหมายได้หลากหลาย จึงส ่งผลให้ผู้ใช้อาจไม ่คุ้นชินและเข้าใจ ความหมายของคำๆนั้นแตกต ่างกันออกไป หรือ คำที ่ตนเองไม ่เข้าใจความหมาย ซึ ่งคำเหล ่านั้นคือ “สำนวน” ที่ผู้เรียนไม่สามารถเข้าใจได้ 2.2 ความหมายทางไวยากรณ์ (Morphological Meaning) คำประเภทนี้เมื่อ อยู่เป็นคำโดดๆ จะทำให้เป็นการยากที่จะเดาความหมายได้ดังนั้นคำที่มีความหมายทางไวยากรณ์ ส่วน ใหญ่จะเป็นส่วนประกอบของคำอื่นๆ เพื่อให้เกิดความหมายทางไวยากรณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น “s” เมื่อ ไปต่อท้ายคำนาม จะทำให้คำนามนั้นอยู่ในรูปพหูพจน์ cats, dogs หรือเมื่อนำ “s” ไปต่อท้ายคำกริยาจะ แสดงถึงว่าการกระทำนั้นทำอยู่เป็นประจำ เช่น He walks to school every day. เป็นต้น 2.3 ความหมายจากการเรียงคำ (Syntactic Meaning) ได้แก ่ ความหมายที่ เกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไป แล้วแต่การเรียงลำดับของคำ เช่น Is she walking to school? เป็นประโยค คำถาม ซึ่งแตกต่างจาก She is walking to school ซึ่งเป็นประโยคบอกเล่า เป็นต้น 2.4 ความหมายจากเสียงขึ้น – ลง (Intonation Meaning) ได้แก่ ความหมาย ของคำที ่เปลี ่ยนแปลงไปตามเสียงขึ้นลงของผู้พูดเปล ่งออกมาไม ่ว ่าจะเป็นเสียงที ่มีพยางค์เดียวหรือ มากกว่า เช่น ในประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ จะมีการใช้ เสียงสูงในประโยค (raising) ในประโยค บอก เล่า และ ประโยคปฏิเสธจะใช้โทนเสียงต่ำลง (Falling) เป็นต้น 3. ขอบเขตของการใช้คำ (Distribution) ซึ่งมีข้อจำกัดแตกต่างกันไปแล้วแต่ไวยากรณ์ ของภาษานั้นๆ สำหรับภาษาอังกฤษจำแนกออกได้เป็น 3.1 ขอบเขตด้านไวยากรณ์ เช่น ในภาษาอังกฤษการเรียงลำดับคำเป็นสิ่งสำคัญ ที่สุด ฉะนั้นตำแหน่งของคำในประโยคที่ต่างกันไป ส่งผลทำให้คำๆนั้นมีความหมายแตกต่างกันออกไป


11 3.2 ขอบเขตทางภาษาพูดและทางภาษาเขียน คำบางคำใช้ในภาษาพูดเท่านั้น ไม่ใช้ในภาษาเขียน เช่นเดียวกันกับคำบางคำใช้ในภาษาเขียนโดยเฉพาะ ไม่นิยมใช้ในภาษาพูด 3.3 ขอบเขตของภาษาในแต ่ละท้องถิ ่น การใช้คําศัพท์บางคํามีความหมาย แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ทำให้คำศัพท์คำเดียวกันมีความหมายได้หลากหลาย และแม้แต่ในประเทศ เดียวกันก็มีภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างกันไป ดังนั้นคำศัพท์บางคำจึงมีความหมายที่แต่งต่างกันออกไป กล่าวโดยสรุป องค์ประกอบของคำศัพท์สามารถแบ่งออกได้เป็นสามองค์ประกอบ คือ รูปคำ ความหมาย และขอบเขตในการใช้คำ ในส่วนของความหมายนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น ความหมายตาม พจนานุกรม ความหมายทางไวยากรณ์ ความหมายทางการเรียงคำ และความหมาย เสียงขึ้น – ลง ในส่วน ของขอบเขตในการใช้คำ แบ่งออกเป็น ขอบเขตด้านไวยากรณ์ ขอบเขตทางภาษาพูดและทางภาษาเขียน และขอบเขตของภาษาในแต่ละท้องถิ่น 2.2.5 หลักการเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อนำมาสอน การเลือกคำศัพท์มาใช้สอนนั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้สอนจะต้องคำนึงถึง เพื่อที่จะทำให้ คำศัพท์ที่ใช้สอนนั้นมีระดับความยากง่ายที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และเพื่อทำให้การสอนคำศัพท์มี ประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นจึงมีผู้กล่าวถึงหลักการเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อนำมาสอนไว้ดังนี้ ลาโด (Lado. 1996 : 119-120) ได้กล่าวถึงหลักการเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษไว้ดังนี้ 1. ควรเป็นคำศัพท์ที่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ใกล้ตัวและมาจากความสนใจของ ผู้เรียน 2. ควรมีปริมาณของตัวอักษรในคำศัพท์เหมาะสมกับระดับอายุ และสติปัญญาของ ผู้เรียน เช่นในระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น ควรจะนำคำศัพท์ที่ไม่ยาวมากมาใช้ในการสอน 3. ไม่ควรมีคำศัพท์ที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปในบทเรียนหนึ่งๆ แต่ควรเหมาะสมกับ ระดับสติปัญญาและวัยของผู้เรียน 4. ควรเป็นคำศัพท์ใกล้ตัวที่นักเรียนจะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช ่น นำไป สนทนา หรือพบเห็นคำศัพท์นั้นๆตามสื่อต่างๆ เช่น โฆษณา เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับ นันทพร คชศิริพงศ์ (2541 : 79) ได้กล่าวถึงการเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า ควรเลือกคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ใกล้ตัวของผู้เรียนมาใช้ในการสอน เพื่อที่ง่ายสำหรับผู้เรียน ในการเรียนรู้และจดจำ ซึ่งสิ่งสำคัญของการเรียนคำศัพท์อยู่ที่การฝึกฝนซ้ำๆ จนกว่าผู้เรียนจะสามารถ นำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างคล่องแคล่วโดยอัตโนมัติ


12 กล่าวโดยสรุป หลักการเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาใช้สอนนั้น ควรเป็นคำศัพท์ที่ไม่ยาวหรือมี จำนวนตัวอักษรที่มากเกินไป ควรเลือกให้เหมาะสมกับระดับสติปัญญาและวัยของผู้เรียน อีกทั้งจะต้อง เป็นคำศัพท์ที่อยู่ในประสบการณ์ใกล้ตัวของผู้เรียนเพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ง่าย และสามารถ นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.3.1 งานวิจัยในประเทศ นางสาวจิราภรณ์ ทินอุทัย (2557) ได้วิจัยการพัฒนาความสามารถในการจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษด้วยแบบฝึกหัดคำศัพท์สัมผัสคล้องจองด้วยเสียงสระภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4/4 โรงเรียนดาราวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4/4 โรงเรียนดาราวิทยาลัย จำนวน 28 คน มีผลสัมฤทธิ์ในการจำคำศัพท์หลังจากใช้แบบฝึกหัดสัมผัส คล้องจองด้วยเสียงสระภาษาอังกฤษ คิดเป็นค ่าร้อยละ 57.8 แต ่ถือว ่า คะแนนของผู้เรียนในการทำ แบบฝึกหัดคำศัพท์สัมผัสคล้องจองด้วยเสียงสระภาษาอังกฤษของนักเรียนนั้นดีขึ้น อีกทั้งผู้เรียนยัง สามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ได้อย่างดีและสามารถจดจำคำศัพท์ได้เพิ่มมากขึ้น นางสาวนางขนิษฐา พุดทอง (2553) ได้วิจัย การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำคล้องจอง ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน บ้านบางฉาง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 จำนวน 13 คน มีการพัฒนาการ จดจำคำศัพท์ โดยมีคะแนนหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนการใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 และคะแนนทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษสูงกว่า 80% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 นางวิไลวรรณ รวมชาติ(2553) ได้วิจัยการพัฒนาทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5/2 โรงเรียนบ้านปงสนุก จังหวัดลำปาง โดยใช้แบบฝกการอานคําพอง ภาษาอังกฤษ – ไทย ผลการวิจัยพบว่า จากการศึกษาคะแนนทักษะการอานคําศัพทภาษาอังกฤษของ นักเรียนที่เปนกลุมตัวอยางทั้งหมด 18 คน พบวานักเรียนมีคะแนนทักษะการอานคําศัพทภาษาอังกฤษ ภายหลังเรียนด้วยแบบฝกการอานคําพองภาษาอังกฤษ – ไทย สูงขึ้นทุกคน พรพิมล บัวผดุง (2556) ได้วิจัยผลของการใช้คำคล้องจองภาษาไทยประกอบคำศัพท์ ภาษาอังกฤษที่มีต่อการเรียนรู้คำศัพท์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านทุ่งสีเสียด อำเภอบาง สะพานน้อย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า การ เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยภาพรวมและรายด้านได้แก่ ด้านการฟัง การ


13 พูด การอ่าน การเขียน และการรู้ความหมายหลังการจัดกิจกรรมการใช้คำคล้องจองภาษาไทยประกอบ คำศัพท์ภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มาริสา กาสุวรรณ์และ มณฑา จาฏุพจน ได้วิจัย (2556) ประสิทธิผลของกิจกรรมเพลง ภาษาอังกฤษต่อการเรียนรู้และความคงทนของคำศัพท์และทักษะการพูด นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 38 คน ของโรงเรียนบ้านต้นปรง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง ผลวิจัยพบว่า นักเรียนมีคะแนนการทดสอบ หลังเรียนทันทีเพิ ่มขึ้นจากคะแนนก ่อนเรียนอย ่างมีนัยสำคัญทางสถิติที ่ .01 สำหรับความคงทนด้าน คำศัพท์มีค่าเฉลี่ยไม่แตกต่างจากคะแนนหลังเรียน แต่มีผลคะแนนคงทนในด้านทักษะการพูดเพิ่มขึ้นจาก คะแนนหลังเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคล่องแคล่วและความสามารถพูดให้ผู้ฟังเข้าใจได้ พฤติกรรม การเรียนด้วยกิจกรรมเพลงมีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มลิวัลย์ อุ่นอ่อน และ นพดล จันทร์เพ็ญ (2557) ได้วิจัย การพัฒนาชุดกิจกรรมคำคล้อง จองประกอบภาพด้านการฟังและการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย เด็กปฐมวัยที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนบ้านผึ้ง (มธุลีห์ประชาสรรค์) อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะ เกษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ ผลวิจัยพบว่า ทักษะด้านการฟังและการ พูดของเด็กปฐมวัยหลังการใช้ชุดกิจกรรมคำคล้องจองประกอบภาพสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมี นัยสำคัญที่ระดับ .01 อีกทั้งยังพบว่า นักเรียนมีพัฒนาการด้านการฟังและการพูดดีกว่าก่อนเรียน 2.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ Alhamdulillahi Rabbil Alamin (2018) ได้วิจัยเรื่อง The Effectiveness of Teaching Vocabulary by Using Nursery Rhymes to The First Grade Students at MTs DDI PattojoSoppeng ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์โดยการใช้คำคล้องจอง ได้ดียิ่งขึ้นกว่าก่อนเรียน Isabel María GARCÍA CONESA (2015) ไ ด้ วิ จั ย เ รื่อง The use of rhymes and songs in the Teaching of English in Primary Education ผลการวิจัยพบว่า การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ผ่านกลอนและเพลง ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์โดยการใช้กลอนและเพลงได้ดียิ่งขึ้นกว่า ก่อนเรียน ซึ่งกลอนและเพลงนั้นช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำเนื้อหาและคำศัพท์อีกทั้งยังทำให้ผู้เรียนนั้น ผ่อนคลายในการเรียนภาษาอังกฤษ Gareebullah Hago Hamdoun Mudaw (2015) ได้วิจัยเรื ่อง Using Rhymes and Songs for Teaching Core Vocabulary to Elementary School Students ผลการวิจัย พบว ่า การ ใช้กลอนและเพลงที่มีสัมผัสคล้องจองกันนั้น ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้คำศัพท์ได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งผู้เรียน ยังสามารถจดจำคำศัพท์ได้มากขึ้น โดยสังเกตได้จาก ผลการทดสอบหลังเรียนนั้นมีคะแนนที่อยู่ในเกณฑ์ที่ สูงกว่าก่อนเรียน


14 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง การพัฒนาการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 1 โรงเรียนอุทัย เพื่อนักเรียนมีการพัฒนาในการเรียนรู้และจดจำคำศัพท์ ผ่านการใช้ชุดแบบท่องคำศัพท์ โดยใช้คำคล้องจอง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ที่สูงขึ้น และ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝึกการจดจำคำศัพท์จากคำที่คล้องจอง 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 4. ขั้นตอนการดำเนินการศึกษาค้นคว้า 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1 กลุ่มเป้าหมาย ประชากร ประชากร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่าง กลุ ่มตัวอย ่าง เป็นนักเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 1/5 โรงเรียนอุทัย สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 12 คน 2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีดังนี้ 2.1 ชุดแบบฝึกการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบ ปรนัย 3 ตัวเลือก


15 2.3 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้ คำคล้องจอง 3. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 3.1 การสร้างเครื่องมือ 3.1.1 ชุดแบบฝึกการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที ่ 3 ที ่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยยึดตามความสนใจของผู้เรียน และ ตามความเหมาะสมกับ ระดับชั้นของผู้เรียน โดยยึดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มีขั้นตอนการ สร้างดังต่อไปนี้ 1. สำรวจความสนใจของผู้เรียนเกี ่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษ และศึกษาเนื้อหาขอบเขตความสามารถของผู้เรียนจาก หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐานพุทธศักราช 2551 2. ศึกษาแนวคิดทฤษฎี หลักการเลือกคำศัพท์มาใช้ในการเรียนการสอน ตาม แนวคิดของ บุษรีย์ ฤกษ์เมือง มาเป็นแนวทางในการเลือกคำศัพท์มาใช้ทำแบบฝึก 3. สร้างแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 แบบฝึก 4. สร้างแผนการสอนที่ใช้ควบคู่กับแบบฝึกหัดจำคำศัพท์ โดยใช้คำคล้องจอง จำนวน 5 แผนการสอน เพื่อใช้สอนเป็นเวลา 10 ชั่วโมง 5. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจองและแผนการสอน ที่ สร้างขึ้นเสนอผู้เชี ่ยวชาญ 3 ท ่าน เพื ่อตรวจสอบพิจราณาความเหมาะสม และปรึกษาหารือถึงสภาพ ปัญหาที่พบ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1. นางสาวสุภาพร หงษ์สร้อย ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 2. นายภาคภูมิ พึ่งเพ็ง ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 3 นางสาวดลญา เจ็กสูงเนิน ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 6. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจองและแผนการสอนมา ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 7. จัดพิมพ์เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย 3.1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก ่อนและหลังเรียน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบ ปรนัย 3 ตัวเลือก และ อัตตนัย จำนวน 20 ข้อ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้


16 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (กระทรวงศึกษาธิการ: 2551) โรงเรียนอุทัย สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. ศึกษาสาระมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (กระทรวงศึกษาธิการ: 2551) 3. ศึกษาทฤษฎีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบ ปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 15 อัตนัย จำนวน 15 ข้อ รวม ทั้งหมด จำนวน 30 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์ เพื่อเลือกไว้ใช้จริง จำนวน 20 ข้อ (ดังแสดง ในภาคผนวก ก) 5.นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ที ่สร้างขึ้นเสนอ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านเพื่อตรวจสอบพิจราณาความเหมาะสม และปรึกษาหารือถึงสภาพปัญหาที่พบ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย 1. นางสาวสุภาพร หงษ์สร้อย ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 2. นายภาคภูมิ พึ่งเพ็ง ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 3 นางสาวดลญา เจ็กสูงเนิน ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 6. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก ่อนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และนำไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมายต่อไป 3.1.3 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง โดยมีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (กระทรวงศึกษาธิการ: 2551) 2. ศึกษาสาระมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาต ่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 1 (กระทรวงศึกษาธิการ: 2551) 3.สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 แผน ใช้เวลาสอน 5 ชั่วโมง


17 3.2 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและตรวจสอบเครื่องมือดังนี้ 3.2.1 ชุดแบบฝึกการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง มีขั้นตอนการ สร้างดังต่อไปนี้ 1. สำรวจความสนใจของผู้เรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษ และศึกษาเนื้อหาขอบเขตความสามารถของผู้เรียนจาก หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐานพุทธศักราช 2551 2. ศึกษาแนวคิดทฤษฎี หลักการเลือกคำศัพท์มาใช้ในการเรียนการสอน ตาม แนวคิดของ บุษรีย์ ฤกษ์เมือง มาเป็นแนวทางในการเลือกคำศัพท์มาใช้ทำแบบฝึก 3. สร้างแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 10 แบบฝึก 4. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ที ่สร้างขึ้นเสนอ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบพิจราณาความเหมาะสม และปรึกษาหารือถึงสภาพปัญหาที่พบ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย 1. นางสาวสุภาพร หงษ์สร้อย ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 2. นายภาคภูมิ พึ่งเพ็ง ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 3 นางสาวดลญา เจ็กสูงเนิน ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย 5. ผู้เชี่ยวชาญประเมินแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้เกณฑ์ของลิเคิร์ท (Linkert Ratting Scale) ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.49 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อยที่สุด ผลการประเมินแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 1 ของ ผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ชุดแบบฝึกหัด มีค่าเฉลี่ย 4.66 สรุปได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า แบบฝึกจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง มีความเหมาะสมมากที่สุด (ดังแสดงในภาคผนวก ง ) 6. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ที่ได้รับการปรับปรุง แก้ไขไปพิจราณาความถูกต้องแล้วจึงนำไปพิมพ์เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา


18 ปีที ่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที ่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 12 คน 3.2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน (pre- test) และ หลัง เรียน (post – test) เรื่อง การจำคำศัพท์โดยใช้คำคล้องจอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ ดำเนินการสร้างและตรวจสอบดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (กระทรวงศึกษาธิการ: 2551) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที ่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอย ุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 2. ศึกษาสาระมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาต ่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 1 (กระทรวงศึกษาธิการ: 2551) 3. ศึกษาทฤษฎีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบ ปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 5. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ที ่สร้างขึ้นเสนอ ผู้เชี ่ยวชาญเพื ่อตรวจสอบพิจราณาความเหมาะสม และปรึกษาหารือถึงสภาพปัญหาที่พบ แล้วนำมา ปรับปรุงแก้ไข เมื่อพิจราณาให้คำแนะนำแก้ไขโดยผู้เชี่ยวชาญประเมินความสอดคล้องระหว่าง แบบทดสอบและเนื้อหา โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์ / เนื้อหานั้น ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์ / เนื้อหานั้น ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบนั้นไม่วัดตามจุดประสงค์ / เนื้อหานั้น 6. วิเคราะห์ข้อมูลหาความเหมาะสมระหว่างจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / เนื้อหา โดยใช้สูตรค ่าเฉลี ่ยของคะแนนและส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐาน (บุญชม ศรีสะอาด 2545) การประเมิน ผู้เชี่ยวชาญพบว่า ค่าเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 0.66 – 1.00 (ดังแสดงในภาคผนวก ง) 7.นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปทดสอบเพื่อหาความยากง่าย (P) และค่าอำนาจจำแนก (B) เป็นรายข้อโดยนำไป ทดลองกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย 8. นำกระดาษคำตอบของนักเรียนมาตรวจให้คะแนนโดยตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบ ผิดหรือ ไม่ตอบ ให้ 0 คะแนน 9. นำคะแนนที ่ได้มาวิเคราะห์ หาค ่าความยากง ่ายสูตร P (บุญชม ศรี สะอาด.2545) แล้วคัดเอาแบบทดสอบไว้ 20 ข้อ


19 10. นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การจำคำศัพท์โดยใช้คำคล้องจอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เลือกแล้วมาวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้ สูตรโลเวท (Lovett) (บุญชม ศรีสะอาด.2545) 4. ขั้นตอนการศึกษาค้นคว้า ตารางที่ 1 การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้ดำเนินการตามแบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental Research) ดังตาราง กลุ่มตัวอย่าง สอบก่อน ตัวแปรอิสระ สอบหลัง E T1 X T2 E แทน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 T1 แทน การประเมินความสามารถในการจดจำคำศัพท์ก่อนการใช้แบบฝึกจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง X แทน การใช้แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 T2 แทน การประเมินความสามารถในการจดจำคำศัพท์หลังการใช้แบบฝึกจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ระยะเวลาที่ใช้ในการค้นคว้า การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 12 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ถึง วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2565 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดลองกับนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จํานวนนักเรียน 12 คน โดยดําเนินการตามลําดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ 5.1 ประเมินผู้เรียนโดยการทดสอบก ่อนเรียน (pre-test) โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจํานวน 20 ข้อ


20 5.2 ดําเนินการใช้แบบฝึกการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง มีการ ทดสอบ ก่อนเรียน (pre-test) หลังเรียน (post-test) 5.3 ประเมินผู้เรียนโดยการทดสอบหลังเรียน (post-test) โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจํานวน 20 ข้อ ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน (pre-test) 5.4 ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน แล้วนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูล โดยวิธีการทางสถิติ 6. การวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากการบันทึกการสังเกตข้อมูล เอกสาร ของนักเรียน ดังนี้ 6.1 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (pre-test) และหลังเรียน (post- test) เรื่อง การจำคำศัพท์โดยใช้คำคล้องจอง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ t-test (One - Samples t Tests) ดังนี้ ( ) 1 2 2 − − = N N D D D t เมื่อ t แทน ค่าอัตตราส่วนวิกฤต D แทน ผลต่างคะแนนก่อน และหลังสอบ N แทน จำนวนนักเรียน D แทน ผลของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังเรียน 2 D แทน ผลรวมของกำลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการ เรียน 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 7.1 สถิติที่ใช้วิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือ 7.1.1 การหาค ่าความเที ่ยงตรงเชิงเนื้อหา ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนแต่ละข้อ โดยใช้สูตรดัชนีค่าความสอดคล้อง IOC ดังนี้ IOC = โดย IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับ จุดประสงค์ของการวัด


21 R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชา


22 7.1.2 การหาค่าอำนาจจำแนกและค่าความยากง่าย (difficult) โดยใช้สูตรดังนี้ r = N PH PL − p = N PH PL 2 − เมื่อ r แทน ค่าอำนาจจำแนก p แทน ค่าความยากง่าย PH แทน จำนวนผู้ที่ตอบข้อสอบในกลุ่มสูง PL แทน จำนวนผู้ตอบแบบทดสอบในกลุ่มต่ำ N แทน จำนวนคนในกลุ่มที่ได้คะแนนสูงหรือที่ได้คะแนนต่ำ 7.1.3 การหาค่าดัชนีประสิทธิผล ดัชนีประสิทธิผล (E.I) = ผลคะแนนทดสอบหลังเรียน−ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จำนวนนักเรียน ×คะแนนเต็ม) −ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน 7.2 สถิติพื้นฐาน 7.2.1 ค่าเฉลี่ย (mean) โดยใช้สูตร ดังนี้ X = n X เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย X แทน ผลรวมของความถี่ของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนผู้ประเมินทั้งหมด 7.2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (เกษม สาหร่ายทิพย์ 2543: 227) S.D. = ( ) ( 1) 2 2 − − n n n x x เมื่อ S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน x 2 แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนน ( ) 2 x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ยกกำลังสอง


23 n แทน จำนวนผู้ประเมินทั้งหมด 6.2.3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย โดยใช้ t – test (One – samples t Test) ตามสูตร ดังนี้ ( ) 1 2 2 − − n n d d d ,df = n1 +n2 - 2 เมื่อ t แทน ค่าอัตตราส่วนวิกฤต D แทน ผลต่างคะแนนก่อน และหลังสอบ N แทน จำนวนนักเรียน D แทน ผลของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังเรียน 2 D แทน ผลรวมของกำลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการ เรียน


24 บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์ข้อมูลเรื่อง การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึก การคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ ตามลำดับดังนี้ 1.สัญลักษณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยค้นคว้าครั้งนี้ เพื่อเกิดความสะดวกในการสื ่อความหมายเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ข้อมูล ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์และความหมายของสัญลักษณ์ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย X แทน ค่าเฉลี่ย (Means) S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) t แทน สถิติทดสอบที่จะเปรียบเทียบค่าวิกฤติในการแจกแจงแบบ t – test (Dependent Samples) D แทน ผลต่างของคะแนนก่อนเรียน (Pre - test) และ หลังเรียน (Post - test) 2 D แทน ผลรวมกำลังสองของผลต่างคะแนนก่อนเรียนและ หลังเรียน E.I แทน ดัชนีประสิทธิผลในการเรียน df แทน ระดับชั้นของความเสรี 4.2 ลำดับขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้


25 ตอนที่ 1 วิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของเรื่อง การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ดังตาราง 3 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อ การพัฒนาทักษะการจำ คำศัพท์ 4.3 ผลการวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผล ตอนที่ 1 การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจอง ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ดังตารางที่ 2 ตารางที ่ 2 ผลการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อน เรียน (Pre - test) และหลังเรียน (Post - test) นักเรียน คนที่ ก่อนเรียน (20) หลังเรียน (20) ความก้าวหน้า (D) ความก้าวหน้า (D2 ) 1 9 18 9 81 2 10 18 8 64 3 11 19 8 64 4 9 17 8 64 5 10 19 9 81 6 9 18 9 81 7 11 20 9 81 8 10 18 8 64 9 8 17 9 81 10 9 18 9 81 11 8 16 8 64 12 10 19 9 81 รวม 114 217 103 887 เฉลี่ย 9.50 18.08 ร้อยละ 47.50 90.42 S.D. 1.00 1.08


26 จากตาราง พบว่า คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียน (Pre - test) มีค่าเท่ากับ 9.50 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.00 คิด เป็นร้อยละ 47.50 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการ คำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เท่ากับ 18.08 คะแนนเต็ม 20 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.08 คิดเป็นร้อยละ 90.42 นำมาหาค่าประสิทธิผล ดังนี้ ดัชนีประสิทธิผล (E.I) = ผลคะแนนทดสอบหลังเรียน − ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จำนวนนักเรียน ×คะแนนเต็ม)−ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน ดัชนีประสิทธิผล (E.I) = 217 −114 (12×20)−114 ดัชนีประสิทธิผล (E.I) = 103 126 ดัชนีประสิทธิผล (E.I) = 0.82 ทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.82 แสดงว่านักเรียนที่ได้เรียนรู้การจำคำศัพท์ โดยใช้ แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ มีการพัฒนาและมีความรู้เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 82.00 ตอนที่ 2 วิเคราะห์และเปรียบเทียบความสามารถก่อนเรียน (Pre - test) และ หลังเรียน (Posttest) เรื่อง การจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 3 วิเคราะห์และเปรียบเทียบความสามารถก่อนเรียน (Pre - test) และ หลังเรียน (Post-test) เรื่อง การจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน คะแนน เต็ม N X S.D. D 2 D df t หลังเรียน ก่อนเรียน 20 20 12 12 18.08 9.50 1.08 1.00 103 887 10 54.27 **มีระดับนัยสำคัญที่ระดับ .01 (ค่าวิกฤติของ t อยู่ที่ระดับ .01. df 10)


27 จากตารางแสดงว่านักเรียนที่เรียนรู้การจำคำศัพท์ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post - test) สูงกว่า ก่อนเรียน (Pre – test ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้


28 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การศึกษาค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้อง จองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ผู้วิจัยได้สรุปผลการศึกษาตามลำดับ ดังต่อไปนี้ 1. ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 2. สรุปผลการวิจัย 3. อภิปรายผล 4. ข้อเสนอแนะ 5.1 ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 5.1.1 เพื่อพัฒนาทักษะการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยการใช้แบบฝึกหัดชุดคำศัพท์ ที่มีเสียงคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย 5.1.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบ ฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากคำที่คล้องจอง 5.2 สรุปผลการวิจัย การศึกษาค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการ คำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปรากฏผลดังนี้ 5.2.1 ค ่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย มี ค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.82 แสดงว่านักเรียนที่เรียนรู้การจำคำศัพท์โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจอง ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ที่ผู้วิจัยได้คิดค้นขึ้น ทำให้นักเรียนมี คะแนนการเรียนรู้ที่สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 82.00 5.2.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนรู้เรื่องทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดย ใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5.3 อภิปรายผล จากการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้การพัฒนาทักษะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการ คำคล้องจองภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1


29 5.3.1 ค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.82 แสดงว่านักเรียนที่เรียนรู้เรื่องการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ที่ผู้วิจัยได้ค้นคว้าขึ้น ทำให้นักเรียนมีคะแนนพัฒนาการในการเรียบนรู้ที่สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 82.00 แสดงว่าหลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาทักษะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการ คำคล้องจองภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นักเรียนมีทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง ที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งคำคล้องจองทั้งในภาษาไทย และภาษาอังกฤษนั้นสามารถนำมาในการ พัฒนาทักษะในการเรียนภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้าน ทักษะการฟัง การพูด การ อ่าน และ การเขียน ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของ นางสาวจิราภรณ์ ทินอุทัย(2557) ที่สรุปผลการวิจัยการ จำคำศัพท์โดยใช้แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้เสียงสระในคำคล้องจองภาษาอังกฤษ ว่า ผู้เรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการจำคำศัพท์หลังจากใช้แบบฝึกหัดสัมผัสคล้องจองด้วยเสียงสระใภาษอังกฤษ ที่ดีขึ้น อีกทั้งแบบฝึกนี้ยังสามารถทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ได้อย่างดีและสามารถจดจำ คำศัพท์ได้เพิ่มมากขึ้น และส่งเสริมการมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เนื่องจากในชุดแบบฝึกใช้คำ คล้องจองในการเรียนรู้คำศัพท์ ซึ่งทำให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ และง่าย ต่อการจำและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่ง วรรณพร ศิลาขาว (2539: 15) กล่าวว่า คำศัพท์เป็นหน่วย พื้นฐานทางภาษาซึ่งผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรก เพราะคำศัพท์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการ เรียนรู้ และฝึกฝนทักษะการฟัง อ่าน และเขียนภาษา ซึ่งการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้คำศัพท์อย่างเพียงพอจะ ส่งผลให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางด้านภาษาในทุกๆทักษะมากยิ่งขึ้น ผลการวิจัยครั้งนี้สอดคล้องกับวิจัยอื่นๆ ที่ศึกษาการใช้คำคล้องจองเพื่อการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ อาทิงานวิจัยของ นางวิไลวรรณ รวมชาติ (2553) 5.3.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝึก จำคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากคำที่คล้องจอง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้าใน ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง ทำให้นักเรียนสามารถจำ คำศัพท์ได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาต่างประเทศ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นางสาวนางขนิษฐา พุดทอง (2553) ได้วิจัย การใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีการพัฒนาการจดจำคำศัพท์ โดยมีคะแนนหลังการใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนการใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 และคะแนนทักษะ การจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษสูงกว่า 80%


30 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ มลิวัลย์ อุ่นอ่อน และ นพดล จันทร์ เพ็ญ (2557) ผลวิจัยพบว่า ทักษะด้านการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัยหลังการใช้ชุดกิจกรรมคำคล้อง จองประกอบภาพสูงกว่าก ่อนการจัดกิจกรรมอย ่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 อีกทั้งยังพบว ่า นักเรียนมี พัฒนาการด้านการฟังและการพูดดีกว่าก่อนเรียน สรุปได้ว ่า การพัฒนาทักษะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจอง ภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการศึกษาเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทั้งนี้ เพราะว่าการใช้คำ คล้องจองทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยมีความเหมาะสมที ่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการจดจำคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ เนื่องจากมีความคล้องจองกันและง่ายต่อการจดจำ อีกทั้งยังเป็นการนำภาษาอังกฤษและ ภาษาไทยมาบูรณาการร ่วมกันในการจัดการเรียนรู้เมื ่อผู้เรียนได้ฝึกการจำคำศัพท์จากชุดคำศัพท์ ภาษาอังกฤษที่มีความคล้องจองตามแผนการสอนที่ได้จัดทำไว้แล้ว ผู้เรียนจะได้ทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อวัดผลาสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น ได้ผ่านกระบวนการและขั้นตอนอย่างมีระบบและ วิธีการที่เหมาะสม โดยเริ่มจากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารหลักสูตร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ ใช้คำคล้องจองในการเรียนภาษา และดำเนินการวิเคราะห์หลักสูตร หน่วยการเรียนรู้ ช่วงชั้น สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้งแบบฝึก แบบทดสอบ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้ ผ่านการกลั่นกลองตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและผ่านการปรับปรุงแก้ไขจนสมบูรณ์ และนำมาจัดกิจกรรม การเรียนรู้ในเรื่องคำศัพท์พื้นฐานต่างๆ โดยที่นักเรียนได้เรียนรู้คำศัพท์ที่หลากหลาย และจำคำศัพท์ได้ง่าย และเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของผู้เรียนนั้นเกิดความคงทนถาวรและสามารถ นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้วิจัยจึงเชื่อว่าเมื่อผู้เรียนได้ใช้ชุดแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้อง จองตามขั้นตอน ผู้เรียนสามารถการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างมีประสิทธิภาพได้ในอนาคต ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรคำนึงถึงระยะเวลาในการจัดการทำกิจกรรมในการสอน ควรสอดคล้องกับปริมาณเนื้อหา ของบทเรียนซึ่งต้องเป็นช่วงที่นักเรียนร่วมกิจกรรมของโรงเรียนน้อยที่สุด 2. ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง เพื่อศึกษาเจตคติที่ดีต่อ การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 3. ควรศึกษาเปรียบเทียบการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง กับ การสอนคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคอื่นๆ


31 บรรณานุกรม


32 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. กรมวิชาการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช นางสาวจิราภรณ์ ทินอุทัย (2557). การพัฒนาความสามารถในการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วย แบบฝึกหัดคำศัพท์สัมผัสคล้องจองด้วยเสียงสระภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4/4. วิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนดาราวิทยาลัย, เชียงใหม่. นางสาวนางขนิษฐา พุดทอง (2553). การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษเพื่อ พัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนบ้านบางฉาง, นครศรีธรรมราช นางวิไลวรรณ รวมชาติ(2553) . การพัฒนาทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่5/2. วิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนบ้านปงสนุก, จังหวัดลำปาง พรพิมล บัวผดุง (2556). การใช้คำคล้องจองภาษาไทยประกอบคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีต่อการเรียนรู้ คำศัพท์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2. วิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนบ้านทุ่งสีเสียด, ประจวบคีรีขันธ์ มาริสา กาสุวรรณ์ และ มณฑา จาฏุพจน ได้วิจัย (2556). ประสิทธิผลของกิจกรรมเพลงภาษาอังกฤษต่อ การเรียนรู้และความคงทนของคำศัพท์และทักษะการพูด นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 วิจัย ในชั้นเรียน โรงเรียนบ้านต้นปรง, จ.ตรัง มลิวัลย์ อุ่นอ่อน และ นพดล จันทร์เพ็ญ (2557). การพัฒนาชุดกิจกรรมคำคล้องจองประกอบภาพด้าน การฟังและการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย. วิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนบ้านผึ้ง (มธุลีห์ประชาสรรค์),ศรี สะเกษ Alhamdulillahi Rabbil Alamin (2018). The Effectiveness of Teaching Vocabulary by Using NurseryRhymes to The First Grade Students at MTs DDI ,PattojoSoppeng Isabel Maria GARCÍA CONESA (2015). The use of rhymes and songs in the Teaching of English in Primary Education: Fliming Activities at Arab International University (AIU) Gareebullah Hago Hamdoun Mudaw (2015). Using Rhymes and Songs for Teaching Core Vocabulary to Elementary School Students: Department of English and translation, college of languages and translation, King Saud university, Saudi Arabia


33 ภาคผนวก ก. แผนการจัดการเรียนรู้


34 แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เรื่อง Rhyming Vocabulary วิชา ภาษาอังกฤษ วัน/เดือน/ปี ........./........../............ ชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 1 ผู้สอน นายจารุเดช ประภาศรี เวลา 50 นาที โรงเรียนอุทัย 1. สาระสำคัญ การเรียนรู้คำศัพท์ทั่วไปในภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้เรียนสามารถฝึกการออกเสียงและสะกดคำศัพท์ ได้อีกทั้งผู้เรียนยังสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในทักษะอื่นๆในภาษาอังกฤษ และยัง สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่ 1 : ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจเรื่องที่ฟังและเรื่องที่อ่านจากสื่อประเภทต่างๆและแสดงความคิดเห็น อย่างมีเหตุผล ตัวชี้วัด ม1/2 อ่านออกเสียงคำ สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค และบทพูด (chant) ง่ายๆ ตามหลักการอ่าน ตัวชี้วัด ม.1/3 เลือก / ระบุภาพหรือสัญลักษณ์ตรงตามความหมายของกลุ ่มคำและ ประโยคที่ฟัง 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 จุดประสงค์ปลายทาง 3.1.1 ผู้เรียนสามารถเขียนบอกความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคำได้ 3.2 จุดประสงค์นำทาง 3.2.1 ผู้เรียนสามารถอ่านออกเสียงและสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษทั่วๆไป ได้ 4. สาระการเรียนรู้ 4.2 Vocabulary : one, half ,calf , room, groom , bay , day, tooth ,booth, wait ,bait, pot spot, dig, big, hen ,pen, fin, in, who


35 4.3 Structure: - 4.4 Function: - 4.5 Culture: - 5. ทักษะกระบวนการ/บูรณาการข้ามทักษะ 5.1 ทักษะกระบวนการ 5.1.1 กระบวนการพูดตามคำซ้ำ(Repetition drill) 5.1.2 กระบวนการอ่าน (Reading) 5.1.3 กระบวนการเขียน (Writing) 5.1.4 กระบวนการกลุ่ม 5.2 บรูณาการข้ามทักษะ บูรณาการข้ามทักษะร่วมกับวิชาสังคมศึกษา 6. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 6.1สื่อการเรียนรู้หนังสือเรียน และแบบฝึกหัด - แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ศึกษาปีที่ 3 6.2.สื่ออุปกรณ์ - Power point


36 7. การวัดและการประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การวัด ด้านทักษะ/กระบวนการ - ทักษะการเขียน แบบประเมินการเขียน ระดับคุณภาพ 4 = ดีมาก 3 = ดี 2 = พอใช้ 1 = ควรปรับปรุง คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - สังเกตพฤติกรรมขณะปฏิบัติ กิจกรรม - แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ 8 ประการ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3.มุ่งมั่นในการทำงาน - แบบประเมินผลคุณลักษณะของ ผู้เรียนตามค่านิยมหลัก 12 ประการ 1. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้ง ทางตรงและทางอ้อม 2. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่ 3. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระ ราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ระดับคุณภาพ -สม่ำเสมอ 3 คะแนน ดีมาก -บ่อยครั้ง 2 คะแนน ปานกลาง -บางครั้ง 1 คะแนน ปรับปรุง สมรรถนะผู้เรียน - สังเกตพฤติกรรมขณะปฏิบัติ กิจกรรม แบบประเมินสมรรถนะผู้เรียน 5 ด้าน 1. ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 2.ความสามารถในการสื่อสาร 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ระดับคุณภาพ -สม่ำเสมอ 4 คะแนน ดีมาก -บ่อยครั้ง 3 คะแนน ดี -ปานกลาง 2 คะแนน ปานกลาง - บางครั้ง 1 คะแนน ปรับปรุง


37 8. กิจกรรมการเรียนรู้ Step of teaching Teacher’s role Student’s role ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อมและ ทบทวนความรู้เดิม (Warm up and review) 5 นาที -ครูนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการ ตรวจสอบคลังคำศัพท์ของ นักเรียนที่นักเรียนทราบโดย ให้ นักเรียนแต่ละแถว ออกมาแข่ง กันเขียนคำศัพท์ที่ตนเองทราบ คนละ 1 คำ พร้อมบอก ความหมาย - กลุ่มใดที่เขียนถูกต้องและได้ มากที่สุดเป็นกลุ่มที่ชนะ -ครูแจ้งจุดประสงค์ให้ผู้เรียน ทราบ -นักเรียนออกมาทำกิจกรรรม หน้าชั้นเรียน ขั้นที่ 2 นำเสนอบทเรียน (Presentation) 15 นาที -ครูนำเสนอคำศัพท์ใหม่ ผ่าน power point โดยใช้แบบฝึกจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำ คล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 และ เรียงลำดับคำศัพท์โดยใช้คำ คล้องจองกัน พร้อมกับมีรูปภาพ ประกอบ โดยมีคำศัพท์ ดังต่อไปนี้ one, half ,calf , room, groom , bay , day, tooth ,booth, wait ,bait, pot spot, dig, big, hen ,pen, fin, in, who -ครูตรวจสอบทักษะการจำ คำศัพท์ของนักเรียนโดยให้ นักเรียนเล่นเกม Hang man ทายคำศัพท์ โดยนักเรียนทั้งห้อง -นักเรียนเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ -นักเรียนช่วยกันเดาคำศัพท์ สะกดพร้อมทั้งบอกความหมาย


38 ช่วยกันทายคำศัพท์ สะกดคำ และบอกความหมาย ขั้นที่ 3 ฝึกทักษะ (Practice) 15 นาที -ครูให้นักเรียนฝึกท่องคำศัพท์ และจำคำศัพท์โดยใช้แบบฝึก จำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้ คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 -ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน เล่นเกม Guess vocab gets fun. 1.ครูแจกกระดานบอร์ดเขียน คำตอบให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยครูผู้สอนจะแสดงโจทย์ผ่าน power point โดยมีเพียง คำศัพท์ให้ 2.ผู้เรียนแต่ละกลุ่มจะต้องเขียน ความหมายของคำศัพท์ กลุ่มใด เขียนเสร็จก่อนให้โชว์กระดาน คำตอบขึ้น พร้อมกับอ่าน ความหมายให้ครูผู้สอนฟัง กลุ่ม ใดที่ยกขึ้นก่อนมีสิทธิ์ตอบก่อน 3. กลุ่มใดที่ตอบถูกมากที่สุด เป็นผู้ชนะ *หมายเหตุ หากกลุ่มที่ยกขึ้น ตอบก่อน เขียนบอกความหมาย ผิดจะต้องถูกตัดสิทธิ์ในการตอบ คำถามในรอบนั้น ครูผู้สอนจะ หากลุ่มที่ได้ตอบคำถามโดยการ ให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มยกมือ กลุ่ม ใดยกก่อนได้สิทธิ์ในการตอบ คำถามรอบนั้นไป -นักเรียนฝึกท่องคำศัพท์และจำ คำศัพท์โดยใช้แบบฝึก จำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำ คล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 -นักเรียนแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม


39 ขั้นที่ 4 นำไปใช้ (Production) 20 นาที -ครูผู้สอนให้นักเรียนทำใบงาน โดยให้นักเรียน เขียน ความหมายของคำศัพท์ที่ กำหนดให้ ให้ถูกต้อง โดยมีคำศัพท์ดังต่อไปนี้ one, half ,calf , room, groom , bay , day, tooth ,booth, wait ,bait, pot spot, dig, big, hen ,pen, fin, in, who -นักเรียนทำใบงาน ขั้นที่ 5 สรุป (Wrap up) 5นาที -ครูผู้สอนทบทวนคำศัพท์ให้กับ นักเรียนโดยให้นักเรียนท่อง คำศัพท์จากแบบฝึกจำคำศัพท์ จากคำคล้องจอง -ครูผู้สอนทบทวนการจดจำ คำศัพท์ของนักเรียนโดยสุ่มถาม คำศัพท์นักเรียน พร้อมกับให้ นักเรียนช่วยกันออกเสียงพร้อม กับบอกความหมายของคำศัพท์ -นักเรียนทบทวนคำศัพท์โดย การท่องคำศัพท์จากแบบฝึกจำ คำศัพท์จากคำคล้องจอง -นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม ครูผู้สอน


40 ๑๒.บันทึกหลังการสอน ๑๐.๑ ผลการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ….………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………….……………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………..………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………….…………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………….……………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………..………………………………………………………………… ๑๐.๒ ปัญหา/อุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ….………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………….……………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………..………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………….…………………………………………………………………………………………… ๑๐.๓ แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ….………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………….……………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………..………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………….…………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ................................................................. (ผู้สอน) (นายจารุเดช ประภาศรี) ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย ….…/……./…….


41 ภาคผนวก ข. แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง


42


43 ภาคผนวก ค. แบบทดสอบก่อนเรียน / แบบทดสอบหลังเรียน


44


45 Part 2: Write the meaning of the words below. 1.groom=___________________________ 2.bay=_____________________________ 3.pot=_____________________________ 4.goat=____________________________ 5.go=______________________________ 6. gld=_____________________________ 7.keep=____________________________ 8.dig=______________________________ 9.bar=_____________________________ 10.cut=____________________________ 11.pass=___________________________ 12.monkey=________________________ 13.shot=___________________________ 14.barn=___________________________ 15.room=__________________________


Click to View FlipBook Version