รายงานผลการพัฒนางานท่ีเป็นประเดน็ ทา้ ทายในการพฒั นาผลลัพธก์ ารเรียนรขู้ องผ้เู รยี น
เรื่อง การพัฒนาทักษะการจำคำศพั ทภ์ าษาอังกฤษ โดยใชค้ ำคล้องจอง
สำหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1
นาย จารุเดช ประภาศรี
ตำแหนง่ ครผู ชู้ ่วย
โรงเรยี นอทุ ัย
อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา
พระนครศรีอยุธยา
รายงานผลการพัฒนางานที่เปน็ ประเดน็ ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธก์ ารเรยี นร้ขู องผู้เรยี น
เรือ่ ง การพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใชค้ ำคล้องจอง
สำหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1
นาย จารเุ ดช ประภาศรี
ตำแหนง่ ครผู ูช้ ่วย
โรงเรยี นอทุ ัย
อำเภออุทัย จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา
สำนักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
2ก.
ช่ือเร่อื งวจิ ัย การพัฒนาทกั ษะการจำคำศพั ทภ์ าษาอังกฤษ โดยใช้คำคลอ้ งจอง
นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาศึกษาปที ี่ 1
ชือ่ ผู้วิจยั นายจารเุ ดช ประภาศรี
สถานศกึ ษา โรงเรียนอุทยั
ปีการศึกษา 2564
บทคดั ย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
โดยการใช้แบบฝึกหัดชุดคำศัพท์ที่มีเสียงคล้องจอง สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย 2
เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝึกจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษจากคำที่คล้องจอง กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี1/5 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรียนอทุ ัย จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการ
เรียนรู้ การเรียนรู้คำศัพท์ โดยใช้คำคล้องจอง 2) แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คล้องจอง ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียนเรือ่ ง การจำคำศัพท์โดยใช้คำคล้องจอง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบจำนวน
20 ข้อ โดยแบง่ ออกเป็น ปรนยั 3 ตัวเลอื ก จำนวน 3 ตวั เลือก แบบอตั นยั จำนวน 10 ข้อ
ผลวจิ ยั พบวา่
1. คา่ ดชั นปี ระสทิ ธิผลของการจัดการเรยี นรูก้ ารพัฒนาทักษะจดจำคำศัพทภ์ าษาอังกฤษ
โดยใช้แบบฝกึ การคำคล้องจองภาษาองั กฤษ สำหรับนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอทุ ยั มีค่าดัชนี
ประสิทธิผลเท่ากับ 0.82 แสดงว่านักเรียนที่เรียนรู้การจำคำศัพท์โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจอง
ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ที่ผู้วิจัยได้คิดค้นขึ้น ทำให้นักเรียนมี
คะแนนการเรียนรู้ทส่ี งู ข้ึน คิดเป็นรอ้ ยละ 82.00
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนรู้เรื่องทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้
แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย มีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .01
ข3.
กติ ติกรรมประกาศ
การศกึ ษาวิจยั ในครัง้ นสี้ ำเรจ็ ได้ดว้ ยความอนุเคราะหจ์ ากครภู าคภูมิ พงึ่ เพ็ง หัวหน้ากลมุ่ สาระการ
เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ ให้ความรู้ ความคิด ให้คำแนะนำ คำปรึกษา ตลอดจน
การตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ เป็นอย่างดีจนการศึกษาวิจัยครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอขอบคุณเป็น
อย่างสูงไว้ ณ ทน่ี ี้
จารุเดช ประภาศรี
สารบัญ 4ค.
เน้ือหา หน้า
บทคัดย่อ ก.
กติ ตกิ รรมประกาศ ข.
สารบญั ค.
บทท่ี 1 บทนำ 1
บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเกีย่ วข้อง 4
บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนินการวิจัย 15
บทท4ี่ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู 24
บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 28
เอกสารอา้ งอิง
ภาคผนวก ก 33
ภาคผนวก ข 41
ภาคผนวก ค 43
ภาคผนวก ง 48
1
บทท่ี 1
บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความสำคญั
จากการประชุมกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศในกิจกรรมชุมชนแห่ง
การเรยี นร้ทู างวชิ าชพี (PLC) ภาคเรียนที่ 1 ประจำปกี ารศกึ ษา 2564 เก่ียวกบั การจดั การรายวชิ า
ภาษาต่างประเทศ พบว่า โดยรวมนักเรียน โรงเรียนอุทัยนั้น มีนักเรียนคิดเป็นร้อยละ 60 ที่ไม่รู้
ความคำศัพท์พื้นฐานในภาษาอังกฤษและภาษาจีน โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษนักเรียนไม่
สามารถอ่านและบอกความหมายของศัพท์ได้ เพราะสาเหตุจากนักเรียนไม่เกิดความสนใจในการ
ท่จี ะเรยี นรู้คำศพั ท์ใหม่
จากประสบการณข์ องผู้วิจัยในการจัดการเรียนการสอนนักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขตพื้นที่การศึกษามัธยมพระนครศรีอยุธยา
ผู้วจิ ัยไดใ้ ห้นกั เรียนระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรยี นอุทยั ทำการทดสอบก่อนเรยี นเรื่องการ
เลือกใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในบทเรยี นภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนานักเรียนทีม่ ีปัญหาเกี่ยวกับการ
จดจำคำศัพท์ภาษาองั กฤษ และพบว่านกั เรียนบางส่วนไม่สามารถจำคำศพั ท์และเรยี นรู้คำศัพท์ได้
ดีพอ ซึ่งเมื่อนักเรียนไม่สามารถจำคำศัพท์ได้ อาจทำให้เกิดปัญหาในการที่จะนำคำศัพท์ไปใช้
เรยี นและต่อยอดในบทเรียนได้ต่อไป จากปัญหาที่พบน้ีทำให้ผูว้ ิจัยสนใจที่จะพัฒนาทักษะการจำ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้ชุดแบบฝึกจากคำคล้องจองสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนอุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โดย
ใช้ชุดแบบฝึกจากคำคล้องจอง อันจะเกิดผลดีต่อการพัฒนาทักษะทางการสื่อสารให้มี
ประสิทธภิ าพมากย่งิ ข้ึน
2
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาในเรื่องทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำ
คลอ้ งจอง มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการวิจยั ดังนี้
1.2.1 เพื่อพัฒนาทักษะการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยการใช้แบบฝึกหัดชุดคำศัพท์ที่มีเสียง
คลอ้ งจอง สำหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นอทุ ัย
1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝึกจำ
คำศัพทภ์ าษาอังกฤษจากคำทีค่ ลอ้ งจอง
1.3 สมมติฐานของการวิจยั
1.3.1 นักเรียนมีการพฒั นาในการเรียนรูแ้ ละจดจำคำศัพท์ ผ่านการใช้ชุดแบบทอ่ งคำศัพท์โดย
ใชค้ ำคลอ้ งจอง นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียนอทุ ัย ที่สูงขน้ึ
1.3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้
คล้องจอง ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นอุทัย สูงกวา่ ก่อนเรียน
1.4 ขอบเขตการวจิ ัย
1.4.1 ตวั แปรท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั
1. ตวั แปรอิสระ ชุดแบบฝกึ จำคำศัพทภ์ าษาองั กฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนกั เรียนช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นอทุ ยั
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนที่ได้จากการใช้ ชุดแบบฝึกการจดจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษโดยใช้คำท่คี ล้องจอง ของนกั เรยี นนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นอทุ ัย
1.4.2 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปราสาท
ทองวิทยา
1.4.3 กล่มุ ตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย
จำนวน 12 คน
1.4.4 ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
ผู้วิจัยได้ทำการทดลองในการศึกษาทำวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ตั้งแต่
วนั ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ถงึ วันท่ี 18 มกราคม พ.ศ. 2565
1.5 นยิ ามคำศพั ท์เฉพาะ
1.5.1 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนของผู้เรียนซึ่งได้จากการทำแบบทดสอบวัดผล
สมั ฤทธิท์ างการเรียนดว้ ยการใช้แบบฝึกการจดจำคำศพั ทจ์ ากคำที่คลอ้ งจอง ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษา
ปที ่ี 3 โรงเรยี นปราสาททองวทิ ยา
3
1.5.2 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทยั ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2564 จำนวน 12 คน
1.5.3 คำศัพท์ หมายถงึ คาํ ที่มีการประสมเสียง ซง่ึ นำมาใช้เป็นส่ิงเร้าให้นึกถึงประสบการณ์ท่ีเคย
ผ่านมาประสบการณ์ที่ถูก กระตุ้นจากการประสบเสียงนั้น จะมีความหมายต่างกัน หลายอย่างแต่จะมี
เพยี งประสบการณเ์ ดียวที่เดน่ กว่าท่ใี ชร้ ่วมกนั แบง่ ถึงสถานการณใ์ ดสถานการณห์ นง่ึ ดังนัน้ คำๆหน่ึงอาจมี
หลายความหมาย
1.5.4 คำคล้องจอง หมายถึง คำที่ใช้สระหรือพยัญชนะเสียงเดียวกัน และถ้ามีตัวสะกดจะต้องมี
ตวั สะกดในมาตราเดยี วกัน คำคล้องจองเรยี กอกี อย่างหน่ึงวา่ คำสัมผสั
1.7 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
การเรียนรคู้ ำศัพท์ โดยการใช้ แบบฝึกจำ - พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้คำศัพท์
คำศัพทภ์ าษาองั กฤษจากโดยใช้คำคล้อง ภาษาองั กฤษจากคำคล้องจอง
จอง
- ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
1.8 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รับ
1.8.1 ผู้เรียนมกี ารพฒั นาการเรยี นรู้คำศัพท์ และสามารถจดจำคำศพั ท์ไดม้ ากย่งิ ข้ึน
1.8.2 ไดเ้ รยี นรู้เทคนคิ การสอนคำศัพท์โดยการใช้คำคล้องจอง เพอ่ื ให้ง่ายต่อการจำ
1.8.3 สามารถนำแนวทางการสอนคำศัพท์จากคำคล้องจองไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนใน
อนาคตได้
4
บทที่ 2
แนวคิด ทฤษฎีและงานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ ง
การศึกษานี้ผู้วิจัยไดศึกษาแนวคิดและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องจากเอกสารและงานวิจัยต่างๆ และได
นําเสนอตามหวั ขอดงั ตอไปนี้
1. สาระการเรยี นรูภาษาตางประเทศหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551
2. การสอนคำศพั ทภ์ าษาองั กฤษ
2.1 ความหมายของคำศัพท์
2.2 ความสำคัญของคำศัพท์
2.3 ประเภทของคำศัพท์ภาษาองั กฤษ
2.4 องค์ประกอบของคำศัพทภ์ าษาอังกฤษ
2.5 หลกั การเลอื กคำศัพทภ์ าษาองั กฤษเพ่ือนำมาสอน
3. งานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ ง
3.1 งานวิจยั ในประเทศ
3.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ
2.1 สาระการเรียนรูภาษาต่างประเทศหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
(กระทรวงศึกษาธิการ,2551)
2.1.1 ความสำคัญของภาษาต่างประเทศ (ภาษาต่างประเทศ)
ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็น
อย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหา
ความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวสิ ัยทศั นข์ องชุมชนโลก และตระ
หลักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลกนำมาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับ
ประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเขา้ ใจตนเองและผู้อ่ืนดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของ
ภาษาและวฒั นธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง การปกครอง มเี จตคติท่ี
ดีต่อการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ และใช้ภาษาตา่ งประเทศในการสื่อสารได้ รวมทงั้ เข้าถงึ องค์ความรู้ต่างๆ ได้
งา่ ยและกวา้ งขวางและมีวสิ ยั ทศั น์ในการดำเนินชวี ิต ภาษาต่างประเทศท่ีเปน็ สาระการเรยี นรู้พ้ืนฐานและ
5
มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอด
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน
จีน ญี่ปุ่น อาหรับ บาลี และภากลุม่ ประเทศเพื่อนบ้าน หรือภาษาอื่นๆ ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา
ที่จะจัดทำรายวิชาและการจดั การเรยี นรูต้ ามความเหมาะสม
2.1.2 สิง่ ทีเ่ รยี นรใู้ นภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อ
ภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ ประกอบ
อาชีพ และศึกษาต่อในระดับทีส่ ูงข้นึ รวมท้ังมีความรคู้ วามเขา้ ใจในเรื่องราวและวฒั นธรรมอันหลากหลาย
ของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์
ประกอบดว้ ยสาระสำคัญดังนี้
1) ภาษาเพื่อการสื่อสาร การใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน
แลกเปล่ียนขอ้ มลู ขา่ วสาร แสดงความรู้สึกและความคดิ เห็น ตคี วาม นำเสนอขอ้ มลู ความคิดรวบยอดและ
ความคิดเห็นในเรอ่ื งต่างๆ และสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม
2) ภาษาและวัฒนธรรม การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
ความสัมพันธ์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ภาษาและ
วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษาและวฒั นธรรมไทย และนำไปใช้อยา่ งเหมาะสม
3) ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ภาษาต่างประเทศในการ
เชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เป็นพื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์
ของตน
4) ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนโลก การใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ
ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ ประกอบ
อาชพี และแลกเปล่ียนความรู้กับสงั คมโลก
2.1.3 สาระมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 1 ภาษาเพอื่ การส่ือสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตีความเรอื่ งท่ีฟงั และอา่ นจากส่ือประเภทต่างๆ
และแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งมีเหตผุ ล
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสอื่ สารทางภาษาในการแลกเปลยี่ นข้อมลู
ขา่ วสาร แสดงความร้สู กึ และความคิดเหน็ อยา่ งมีประสิทธิภาพ
6
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความ
คิดเห็นในเรอ่ื งต่างๆ โดยการพูดและการเขยี น
สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของ
ภาษา และนำไปใช้ ไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั กาลเทศะ
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและ
วัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่าง
ถกู ต้องและเหมาะสม
สาระที่ ๓ ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อน่ื
มาตรฐาน ต ๓.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระ
การเรียนรู้อืน่ และเป็นพ้ืนฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปดิ โลกทัศน์
ของตน
สาระที่ ๔ ภาษากับความสัมพันธก์ บั ชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต ๔.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณต์ า่ งๆ ทง้ั ใน
สถานศึกษา ชมุ ชน และสังคม
มาตรฐาน ต ๔.๒ ใช้ภาษาตา่ งประเทศเป็นเคร่ืองมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ
การประกอบอาชพี และ การแลกเปลยี่ นเรียนรกู้ บั สงั คมโลก
2.1.4 คณุ ภาพผเู้ รยี น
จบชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓
1 ) ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง และคำแนะนำที่ฟังและอ่าน อ่านออกเสียง
ประโยค ข้อความ นิทาน และบทกลอนสั้นๆ ถูกต้องตามหลกั การอ่าน เลือก/ระบุประโยคและข้อความ
ตรงตามความหมายของสญั ลักษณห์ รือเคร่ืองหมายที่อ่าน บอกใจความสำคัญ และตอบคำถามจากการฟัง
และอ่าน บทสนทนา นทิ านง่ายๆ และเร่อื งเล่า
2) พูด/เขยี นโต้ตอบในการส่ือสารระหว่างบคุ คล ใชค้ ำส่ัง คำขอร้อง และให้คำแนะนำ
พูด/เขียนแสดงความต้องการ ขอความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือใน
สถานการณ์ง่ายๆ พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน ครอบครัว และเรื่องใกล้ตัว
พูด/เขียนแสดงความรู้สึกเกยี่ วกบั เรอื่ งต่างๆ ใกล้ตัว กจิ กรรมตา่ งๆ พร้อมทั้งให้เหตุผลสั้นๆ ประกอบ
7
3) พูด/เขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน และสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว เขียนภาพ แผนผัง
แผนภูมิ และตารางแสดงข้อมูลต่างๆ ที่ฟังและอ่าน พูด/เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ใกล้
ตัว
4) ใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และกิริยาท่าทางอย่างสุภาพ เหมาะสม ตามมารยาทสังคมและ
วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทศกาล/วันสำคัญ/งานฉลอง/ชีวิตความเป็นอยู่ของ
เจา้ ของภาษาเขา้ ร่วมกจิ กรรมทางภาษาและวฒั นธรรมตามความสนใจ
5) บอกความเหมือน/ ความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยคชนิดต่างๆ การใช้
เครื่องหมายวรรคตอน และการลำดับคำ ตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย
เปรยี บเทียบความเหมอื น/ความแตกต่างระหว่างเทศกาล งานฉลองและประเพณีของเจ้าของภาษากับของ
ไทย
6) ค้นคว้า รวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นจากแหล่งการเรียนรู้
และนำเสนอด้วยการพดู /การเขียน
7) ใช้ภาษาส่อื สารในสถานการณ์ต่างๆ ทเ่ี กิดข้ึนในหอ้ งเรียนและสถานศกึ ษา
8) ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการสบื ค้นและรวบรวมขอ้ มูลตา่ งๆ
9) มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน) สื่อสารตามหัวเรื่อง
เกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดลอ้ ม อาหาร เครื่องดื่ม เวลาว่างและนันทนาการ สุขภาพและ
สวัสดิการ การซื้อ-ขาย และลมฟ้าอากาศ ภายในวงคำศัพท์ประมาณ ๑,๐๕๐-๑,๒๐๐ คำ (คำศัพท์ที่เป็น
รูปธรรมและนามธรรม)
10) ใช้ประโยคเดี่ยวและประโยคผสม (Compound Sentences) สื่อความหมายตาม
บรบิ ทต่างๆ
2.2 การสอนคำศพั ทภ์ าษาองั กฤษ
2.2.1 ความหมายของคำศัพท์
คำศพั ท์ คอื กล่มุ เสียงที่มีความหมายท่ีนำไปใช้เพ่ือการสื่อสาร ซง่ึ สามารถแบ่งออกได้เป็น
หลายประเภทขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น แบ่งตามรูปคำ ความหมาย และแบ่งตาม
ลกั ษณะการนำไปใช้ เปน็ ตน้ (สมพร วราวทิ ยศรี. 2554 : 12)
คำศพั ทต์ ามพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถงึ กลุ่มเสยี ง เสยี งพูด
และลายลักษณ์อักษร ที่เขียนหรือพิมพ์ขึ้นเพื่อสื่อสารและแสดงความคิดเป็นคำหรือคำยากที่ต้องแปล
(พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน (2540 : 853)
พรสวรรค์ สีป้อ (2550 : 128) ได้ให้ความหมายของ คำศัพท์ว่า เป็นหน่วยเสียง ที่มา
รวมกนั เป็นความหมาย เพ่อื ใช้ในการสอ่ื สารและแสดงความคิดเห็นเป็นคำหรือคำยากที่ต้องอาศัยการแปล
ความหมาย มอี งคป์ ระกอบทส่ี ำคัญ 2 ประการ คือ รปู คำ (Form) และความหมาย (meaning)
8
ศิธร แสงธนู และคิด พงศ์ทัต (2541 : 35 - 41) ได้ให้ความหมายของคำศัพท์ไว้ว่า
คำศัพท์คือ กลุ่มเสียงกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความหมายให้รู้ว่าเป็นสิ่งต่างๆ เช่น อาการ คน สิ่งของ หรือลักษณะ
อาการอย่างใดอย่างหนงึ่ ซ่งึ คำศพั ท์ยังถอื เป็นส่วนหนึ่งของภาษา และถอื เป็นพนื้ ฐานของการเรียนร้ภู าษา
กลา่ วโดยสรุป คำศพั ท์ คอื กลมุ่ เสยี งหรอื หน่วยเสยี งท่ีมีความหมาย และสามารถแบ่งได้
ตามรปู คำและความหมาย หรือแบ่งตามลกั ษณะการนำไปใช้ ซง่ึ แบ่งออกได้เปน็ หมวดหมู่ คน สิ่งของ เพ่ือ
นำไปใชใ้ นการสื่อสารเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเข้าใจร่วมกนั ในสังคมนน้ั ๆ
2.2.2 ความสำคัญของคำศัพท์
คำศัพท์ถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนรู้ภาษา ซึ่งคำศัพท์เป็นพื้นฐานท่ีทำให้
ผู้เรยี นได้เรยี นรู้พ้นื ฐานของคำ เพอื่ นำไปใช้ในการส่ือสารเปน็ ประโยคเพ่ือให้เกิดความเข้าใจในสังคม ซ่ึงมี
ผกู้ ล่าวถงึ ความสำคญั ของคำศพั ท์ไวด้ ังน้ี
วรรณพร ศิลาขาว (2539: 15) ได้ให้ความสำคัญของคำศัพท์ว่า คำศัพท์เป็นหน่วย
พื้นฐานทางภาษาซึ่งผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรก เพราะคำศัพท์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการ
เรียนรู้ภาษา และเป็นพื้นฐานของการนำไปสู่การพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ของภาษา เช่นทักษะ การฟัง
พูด อ่าน และเขียน เพอื่ ทีจ่ ะนำไปสูก่ ารใช้สอ่ื สารท่เี ขา้ ใจกันในสงั คมนนั้ ๆ
เอลเลน และ วอลเลท (Allen & Vallette. 1997) กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ว่า
การเรียนรู้ความหมายของคำศพั ท์จะทำให้ผู้เรยี นเกิดความมนั่ ใจในการใชภ้ าษาไดม้ ากยง่ิ ขน้ึ และ สามารถ
สอื่ ความหมายในสถานการณ์ต่างๆได้
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547) ได้กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ภาษา
อังกฤษว่าการเรยี นรคู้ ำศัพท์จะช่วยใหผ้ ูเ้ รียนเกิดความเข้าใจความหมายของคำ และสามารถเรียงตัวอักษร
ได้ถูกตอ้ ง อีกท้ังกล้าท่จี ะใช้ พดู อา่ น และเขยี นเปน็ ประโยคเพอื่ ใชใ้ นการสอ่ื สารไดอ้ ย่างม่ันใจ
กล่าวโดยสรปุ คำศัพท์ถือว่าเปน็ พน้ื ฐานและองค์ประกอบในการเรียนภาษาทุกภาษา ซึ่ง
จะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาในทักษะอื่นๆได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านทักษะ การฟัง การพูด การอ่าน และ
การเขียน และยงั สามารถนำไปต่อยอดในการส่อื สารได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
2.2.3 ประเภทของคำศัพทภ์ าษาองั กฤษ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษสามารถแบ่งได้หลากหลายประเภท ซึ่งมีองค์ประกอบในการแบ่ง
แตกต่างกนั ออกไป ซึ่งมผี ูท้ ่ีแบง่ ประเภทของคำศพั ท์ภาษาอังกฤษไว้ดังน้ี
สุไร พงษ์ทองเจริญ (สุขุมาล บุตรานนท์. 2542: 14; อ้างอิงจาก สุไรพงศ์ ทองเจริญ.
2526) ไดแ้ บ่งประเภทของคำศัพท์ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ
1. Active Vocabulary คอื คำศัพทท์ ่ผี ู้เรียนควรจะใช้เปน็ และใช้ได้ถกู ตอ้ ง ซง่ึ ผสู้ อนจะ
มุ่งเน้นให้ผู้เรียนรู้ความหมาย ฟังเข้าใจและเขียน หรือแต่งประโยคได้ ตลอดจนสามารถออกเสียงได้
9
ถูกต้อง คำศัพท์เหล่านี้ใช้มากในการฟัง พูด อ่าน และเขียน เช่นคำว่า important, necessary, consist
เป็นต้น สำหรับการเรียนคำศัพท์ประเภทนี้ จะตอ้ งฝกึ ใช้ บ่อย ๆ ซ้ำ ๆ ผู้เรยี นจึงจะสามารถนำไปใช้ได้
2. Passive Vocabulary คือ คำศัพท์ที่ควรจะสอนให้รู้แต่เพียงความหมาย และการ
ออกเสยี งเท่านนั้ ซ่ึงเป็นคำศัพทท์ ่ีไม่นิยมใช้ในการพดู และการเขียนเท่าใดนัก โดยผสู้ อนไม่ไดม้ ุ่งใหน้ ักเรียน
นำไปใช้ ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่จำเป็นต้องฝึกคำศัพท์ประเภทนี้ เช่น คำว่า elaborate, fascination,
contrastive เป็นต้น คำศัพท์เหล่านี้เมื่อผู้เรียนเรียนในระดับที่สูงขึ้น ก็อาจจะกลายเป็นคำศัพท์ประเภท
Active Vocabulary ได้
นอกจากนี้ ศิธร แสงธนู และคิด พงศทัต (อ้างถึงในจารุวรรณ อำพันกาญจน์. 2514)
กล่าวไวว้ า่ คำศัพทใ์ นภาษาองั กฤษแบง่ ออกเป็น 2 ประเถท คือ
1. Content Word คือ คำประกอบที่เราอาจบอกความหมายได้โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับ
โครงสร้าง อาจจะพูดได้ว่า เป็นคำที่มีความหมายตามพจนานุกรม เช่น daughter, box, pen ซึ่งคำ
เหล่านี้มีการเปลี่ยนความหมายได้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันในรูปประโยค Content Word ใน
ภาษาองั กฤษ ซงึ่ ได้แก Nouns, Verb, Adjectives, Adverb
2. Function Word คือคำที่ไม่มีความหมายแน่นอนในตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยน
ความหมายไปตามบริบทของโครงสร้างประโยค ซึ่งคำศัพท์ประเภทนี้สอนให้เข้าใจได้ยาก การสอนเพียง
ให้รู้ความหมายและคำแปลเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ จำเป็นที่จะต้องให้นักเรียนได้สังเกตและเห็น
ตัวอย่างการใช้ที่อยู่ในบริบทของประโยค และฝึกใช้ในโครงสร้างต่างๆโดยตรงจึงจะเกิดประโยชน์
Function word ในภาษาอังกฤษได้แก่ คำประเภท Articles, Prepositions, Personal Pronouns,
Possessive, Adjectives, Demonstratives, Relative Pronouns, Conjunction, Auxiliary Verbs,
One หรือ Ones
นอกจากน้ี ( Hatch and Brown, 1995: 370) ไดแ้ บ่งคำศัพท์ เปน็ 2 ประเภท คอื
1. คำศัพท์ที่ใช้เพื่อรับสาร (Receptive Vocabulary) คือ คำศัพท์ที่ใช้เพื่อการรับรู้ ซ่ึง
เป็นคำศัพท์ที่ผู้เรียนได้รับจากการฟังและการอ่าน ผู้เรียนสามารถจดจำได้เมื่อคำศัพท์อยู่ในบริบท แต่ไม่
สามารถนำไปใช้ในชวี ิตประจำวันได้ ดงั น้นั ผสู้ อนจงึ สอนให้ผ้เู รยี นรูแ้ คค่ วามหมายเทา่ น้นั
2. คำศัพท์ท่ีใช้เพื่อสื่อสาร (Productive Vocabulary) คือ คำศัพท์ที่ใช้ในการสื่อสาร
เปน็ คำศัพท์ที่ผเู้ รยี นเข้าใจ และออกเสยี งได้ถูกต้อง สามารถนำไปใช้ในการพดู และการเขียน ผู้สอนจึงต้อง
ใหน้ กั เรียนฝกึ ฝนให้ใช้คำศัพท์นน้ั ๆ เพ่อื ทจี่ ะนำไปใช้ในการสือ่ สารในชีวิตประจำวนั ได้
กล่าวโดยสรุป คำศัพท์ในภาษาอังกฤษนั้นสามารถแบ่งได้ตามลักษณะของการใช้ คือ
คำศัพท์ที่นักเรียนใช้เป็นและถูกต้อง และคำศัพท์ที่ควรจะสอนให้รู้เพียงความหมายและการออกเสียง
เท่านัน้ อกี ทงั้ ยังสามารถแบ่งตามความหมาย เช่น คำที่มีความหมายในตนเอง และคำทไ่ี ม่มคี วามหมายใน
ตนเอง ซง่ึ เป็นคำทีจ่ ะตอ้ งพึง่ บริบทประโยคเพื่อส่อื ความหมาย เป็นตน้
10
2.2.4 องค์ประกอบของคำศัพทภ์ าษาองั กฤษ
ด้านองค์ประกอบของคำศัพท์ภาษาอังกฤษนั้น ศิธร แสงธนู และ คิด พงษ์ทัต (2541 :
9-10 และ) ได้กล่าวถงึ องคป์ ระกอบที่สำคัญของคำศัพท์ว่าต้องมีองค์ประกอบ ดงั นี้
1. รปู คำ (Form) หรือการสะกดคำนน้ั ๆ ถ้าจะกล่าวตามหลักของภาษาศาสตร์นัน้ คำ ๆ
เดียวกัน ความหมายเดียวกัน อาจมีการเขียนที่แตกต่างกันก็ได้ เช่น is กับ ’s หรือ should not กับ
shouldn’t เชน่ เดียวกับคำอนื่ ๆ ท่ีมกี ารเปลย่ี นรูปร่างและเปล่ยี นความหมาย เชน่ woman – women ,
talk – talked ก็มคี วามหมายแตกต่างกนั เพราะรูปรา่ งแตกต่างกัน เปน็ ตน้
2. ความหมาย (Meaning) คำแนล่ ะคำอาจมคี วามหมายท่แี ฝงอยู่ถึง 4 นัยด้วยกัน คือ
2.1 ความหมายตามพจนานุกรม (Lexical Meaning) ความหมายตาม
พจนานุกรมสำหรับภาษาอังกฤษ คำหนึ่งๆ มีความหมายได้หลายอย่างได้เมื่ออยู่ในบริบทของประโยคท่ี
แตกต่างกัน ซึ่งคำบางคำอาจมีความหมายได้หลากหลาย จึงส่งผลให้ผู้ใช้อาจไม่คุ้นชินและเข้าใจ
ความหมายของคำๆนั้นแตกต่างกันออกไป หรือ คำที่ตนเองไม่เข้าใจความหมาย ซึ่งคำเหล่านั้นคือ
“สำนวน” ที่ผเู้ รยี นไม่สามารถเข้าใจได้
2.2 ความหมายทางไวยากรณ์ (Morphological Meaning) คำประเภทนี้เมื่อ
อยู่เป็นคำโดดๆ จะทำให้เป็นการยากที่จะเดาความหมายได้ ดังนั้นคำที่มีความหมายทางไวยากรณ์ ส่วน
ใหญ่จะเป็นส่วนประกอบของคำอื่นๆ เพื่อให้เกิดความหมายทางไวยากรณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น “s” เม่ือ
ไปตอ่ ทา้ ยคำนาม จะทำใหค้ ำนามนนั้ อยู่ในรูปพหูพจน์ cats, dogs หรอื เม่ือนำ “s” ไปต่อท้ายคำกริยาจะ
แสดงถึงว่าการกระทำน้นั ทำอยเู่ ป็นประจำ เช่น He walks to school every day. เปน็ ต้น
2.3 ความหมายจากการเรียงคำ (Syntactic Meaning) ได้แก่ ความหมายที่
เกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไป แล้วแต่การเรียงลำดับของคำ เช่น Is she walking to school? เป็นประโยค
คำถาม ซง่ึ แตกตา่ งจาก She is walking to school ซึง่ เปน็ ประโยคบอกเลา่ เปน็ ตน้
2.4 ความหมายจากเสียงขึ้น – ลง (Intonation Meaning) ได้แก่ ความหมาย
ของคำที่เปลี่ยนแปลงไปตามเสียงขึ้นลงของผู้พูดเปล่งออกมาไม่ว่าจะเป็นเสียงที่มีพยางค์เดียวหรือ
มากกว่า เชน่ ในประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ จะมีการใช้ เสียงสงู ในประโยค (raising) ในประโยค บอก
เล่า และ ประโยคปฏิเสธจะใช้โทนเสียงตำ่ ลง (Falling) เป็นตน้
3. ขอบเขตของการใช้คำ (Distribution) ซึ่งมีข้อจำกัดแตกต่างกันไปแล้วแต่ไวยากรณ์
ของภาษานั้นๆ สำหรบั ภาษาอังกฤษจำแนกออกไดเ้ ป็น
3.1 ขอบเขตด้านไวยากรณ์ เชน่ ในภาษาอังกฤษการเรยี งลำดบั คำเป็นสิ่งสำคัญ
ที่สุด ฉะนัน้ ตำแหนง่ ของคำในประโยคทีต่ า่ งกันไป สง่ ผลทำใหค้ ำๆนั้นมคี วามหมายแตกต่างกันออกไป
11
3.2 ขอบเขตทางภาษาพูดและทางภาษาเขียน คำบางคำใช้ในภาษาพูดเท่าน้ัน
ไม่ใช้ในภาษาเขียน เช่นเดียวกันกับคำบางคำใชใ้ นภาษาเขียนโดยเฉพาะ ไม่นยิ มใชใ้ นภาษาพูด
3.3 ขอบเขตของภาษาในแต่ละท้องถิ่น การใช้คําศัพท์บางคํามีความหมาย
แตกตา่ งกันไปในแตล่ ะท้องถิ่น ทำให้คำศัพท์คำเดยี วกนั มคี วามหมายได้หลากหลาย และแม้แต่ในประเทศ
เดยี วกนั กม็ ภี าษาท้องถนิ่ ทแ่ี ตกต่างกันไป ดงั นน้ั คำศพั ท์บางคำจึงมคี วามหมายที่แต่งตา่ งกันออกไป
กล่าวโดยสรุป องค์ประกอบของคำศัพท์ สามารถแบ่งออกได้เป็นสามองค์ประกอบ คือ รูปคำ
ความหมาย และขอบเขตในการใช้คำ ในส่วนของความหมายน้ันสามารถแบ่งออกได้เป็น ความหมายตาม
พจนานุกรม ความหมายทางไวยากรณ์ ความหมายทางการเรียงคำ และความหมาย เสียงขึ้น – ลง ในสว่ น
ของขอบเขตในการใช้คำ แบ่งออกเป็น ขอบเขตด้านไวยากรณ์ ขอบเขตทางภาษาพูดและทางภาษาเขยี น
และขอบเขตของภาษาในแตล่ ะท้องถ่ิน
2.2.5 หลกั การเลอื กคำศัพท์ภาษาองั กฤษเพื่อนำมาสอน
การเลือกคำศัพท์มาใช้สอนนั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้สอนจะต้องคำนึงถึง เพื่อที่จะทำให้
คำศัพท์ที่ใช้สอนนั้นมีระดับความยากง่ายที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และเพื่อทำให้การสอนคำศัพท์มี
ประสทิ ธิภาพมากข้ึน ดงั นน้ั จงึ มผี ูก้ ลา่ วถงึ หลกั การเลอื กคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพอื่ นำมาสอนไว้ดังน้ี
ลาโด (Lado. 1996 : 119-120) ไดก้ ล่าวถึงหลกั การเลือกคำศพั ทภ์ าษาอังกฤษไว้ดงั น้ี
1. ควรเป็นคำศัพท์ที่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ใกล้ตัวและมาจากความสนใจของ
ผ้เู รยี น
2. ควรมีปริมาณของตัวอักษรในคำศัพท์เหมาะสมกับระดับอายุ และสติปัญญาของ
ผู้เรยี น เช่นในระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาตอนตน้ ควรจะนำคำศพั ทท์ ไี่ ม่ยาวมากมาใชใ้ นการสอน
3. ไม่ควรมีคำศัพท์ที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปในบทเรียนหนึ่งๆ แต่ควรเหมาะสมกับ
ระดบั สตปิ ญั ญาและวยั ของผเู้ รียน
4. ควรเป็นคำศัพท์ใกล้ตัวที่นักเรียนจะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น นำไป
สนทนา หรอื พบเห็นคำศพั ทน์ น้ั ๆตามสอ่ื ตา่ งๆ เชน่ โฆษณา เปน็ ต้น
ซึ่งสอดคล้องกับ นันทพร คชศิริพงศ์ (2541 : 79) ได้กล่าวถึงการเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า
ควรเลือกคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ใกล้ตัวของผู้เรียนมาใช้ในการสอน เพื่อท่ีง่ายสำหรับผู้เรียน
ในการเรียนรู้และจดจำ ซึ่งสิ่งสำคัญของการเรียนคำศัพท์อยู่ที่การฝึกฝนซ้ำๆ จนกว่าผู้เรียนจะสามารถ
นำไปใช้ในสถานการณ์จริงไดอ้ ย่างคลอ่ งแคล่วโดยอตั โนมัติ
12
กล่าวโดยสรุป หลักการเลือกคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาใช้สอนนั้น ควรเป็นคำศัพท์ที่ไม่ยาวหรือมี
จำนวนตัวอักษรที่มากเกินไป ควรเลือกให้เหมาะสมกับระดับสติปัญญาและวัยของผู้เรียน อีกทั้งจะต้อง
เป็นคำศพั ท์ท่ีอยู่ในประสบการณใ์ กล้ตัวของผู้เรียนเพ่ือทีจ่ ะทำใหผ้ เู้ รยี นสามารถเรยี นรู้ได้ง่าย และสามารถ
นำไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวันได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่
2.3 งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง
2.3.1 งานวิจยั ในประเทศ
นางสาวจิราภรณ์ ทินอุทัย (2557) ได้วิจัยการพัฒนาความสามารถในการจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษด้วยแบบฝึกหัดคำศัพท์สัมผัสคล้องจองด้วยเสียงสระภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
ประถมศกึ ษาปีท่ี 4/4 โรงเรียนดาราวิทยาลยั จังหวดั เชยี งใหม่ ผลการวจิ ัยพบว่า นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษา
ปที ี่ 4/4 โรงเรยี นดาราวทิ ยาลัย จำนวน 28 คน มผี ลสัมฤทธิ์ในการจำคำศัพท์หลังจากใช้แบบฝึกหัดสัมผัส
คล้องจองด้วยเสียงสระภาษาอังกฤษ คิดเป็นค่าร้อยละ 57.8 แต่ถือว่า คะแนนของผู้เรียนในการทำ
แบบฝึกหัดคำศัพท์สัมผัสคล้องจองด้วยเสียงสระภาษาอังกฤษของนักเรียนนั้นดีขึ้น อีกทั้งผู้เรียนยัง
สามารถเรยี นรู้คำศัพท์ใหมไ่ ดอ้ ย่างดีและสามารถจดจำคำศัพท์ได้เพิ่มมากขึ้น
นางสาวนางขนิษฐา พุดทอง (2553) ได้วิจัย การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำคล้องจอง
ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
บ้านบางฉาง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 ผลการวิจัยพบว่า
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2553 จำนวน 13 คน มีการพัฒนาการ
จดจำคำศัพท์ โดยมีคะแนนหลงั การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนการใช้
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 และคะแนนทักษะการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังการใช้แบบฝึก
ทกั ษะการอ่านคำคลอ้ งจองภาษาองั กฤษสงู กว่า 80% อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติท่ีระดับ.01
นางวิไลวรรณ รวมชาติ (2553) ได้วิจัยการพัฒนาทักษะการอ่านคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 5/2 โรงเรียนบ้านปงสนุก จังหวัดลำปาง โดยใช้แบบฝกการอานคําพอง
ภาษาอังกฤษ – ไทย ผลการวิจัยพบว่า จากการศึกษาคะแนนทักษะการอานคําศัพทภาษาอังกฤษของ
นักเรียนที่เปนกลุมตัวอยางทั้งหมด 18 คน พบวานักเรียนมีคะแนนทักษะการอานคําศัพทภาษาอังกฤษ
ภายหลงั เรียนดว้ ยแบบฝกการอานคําพองภาษาองั กฤษ – ไทย สูงขึน้ ทุกคน
พรพิมล บัวผดุง (2556) ได้วิจัยผลของการใช้คำคล้องจองภาษาไทยประกอบคำศัพท์
ภาษาอังกฤษที่มีต่อการเรียนรู้คำศัพท์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านทุ่งสีเสียด อำเภอบาง
สะพานน้อย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า การ
เรียนรูค้ ำศพั ทภ์ าษาองั กฤษของนักเรยี นชน้ั อนบุ าลปีที่ 2 โดยภาพรวมและรายด้านไดแ้ ก่ ดา้ นการฟัง การ
13
พูด การอ่าน การเขียน และการรู้ความหมายหลังการจัดกิจกรรมการใช้คำคล้องจองภาษาไทยประกอบ
คำศพั ทภ์ าษาอังกฤษสูงกวา่ ก่อนการทดลองอยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01
มาริสา กาสุวรรณ์ และ มณฑา จาฏุพจน ได้วิจัย (2556) ประสิทธิผลของกิจกรรมเพลง
ภาษาอังกฤษต่อการเรียนรู้และความคงทนของคำศัพท์และทักษะการพูด นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
จำนวน 38 คน ของโรงเรียนบ้านต้นปรง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง ผลวิจัยพบว่า นักเรียนมีคะแนนการทดสอบ
หลังเรียนทันทีเพิ่มขึ้นจากคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 สำหรับความคงทนด้าน
คำศัพท์มีค่าเฉลี่ยไม่แตกต่างจากคะแนนหลังเรียน แต่มีผลคะแนนคงทนในด้านทักษะการพูดเพิ่มขึน้ จาก
คะแนนหลังเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคล่องแคล่วและความสามารถพูดให้ผู้ฟังเข้าใจได้ พฤติกรรม
การเรยี นด้วยกจิ กรรมเพลงมคี วามสัมพันธท์ างบวกกับผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
มลิวลั ย์ อ่นุ ออ่ น และ นพดล จันทรเ์ พญ็ (2557) ได้วิจยั การพฒั นาชุดกิจกรรมคำคล้อง
จองประกอบภาพด้านการฟังและการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย เด็กปฐมวัยที่กำลังศึกษาอยู่ชัน้ อนุบาลปีท่ี 2
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนบ้านผึ้ง (มธุลีห์ประชาสรรค์) อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะ
เกษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ ผลวิจัยพบว่า ทักษะด้านการฟังและการ
พูดของเด็กปฐมวัยหลังการใช้ชุดกิจกรรมคำคล้องจองประกอบภาพสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมี
นยั สำคญั ท่ีระดับ .01 อีกทัง้ ยงั พบวา่ นักเรียนมีพฒั นาการดา้ นการฟังและการพูดดกี ว่าก่อนเรียน
2.3.2 งานวจิ ยั ต่างประเทศ
Alhamdulillahi Rabbil Alamin (2018) ไดว้ ิจยั เรอ่ื ง The Effectiveness of Teaching
Vocabulary by Using Nursery Rhymes to The First Grade Students at MTs DDI
PattojoSoppeng ผลการวิจยั พบว่า ผู้เรยี นมคี วามสามารถในการเรยี นรู้คำศัพท์โดยการใชค้ ำคลอ้ งจอง
ไดด้ ยี ิง่ ข้ึนกว่าก่อนเรยี น
Isabel María GARCÍA CONESA (2015) ไ ด ้ ว ิ จ ั ย เ ร่ื อ ง The use of rhymes and
songs in the Teaching of English in Primary Education ผลการวิจัยพบวา่ การเรียนรภู้ าษาอังกฤษ
ผ่านกลอนและเพลง ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้คำศพั ท์โดยการใชก้ ลอนและเพลงได้ดีย่ิงขึ้นกวา่
ก่อนเรียน ซึ่งกลอนและเพลงนั้นช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำเนื้อหาและคำศัพท์อีกทั้งยังทำให้ผู้เรียนน้ัน
ผ่อนคลายในการเรียนภาษาองั กฤษ
Gareebullah Hago Hamdoun Mudaw (2015) ได้วิจัยเรื่อง Using Rhymes and
Songs for Teaching Core Vocabulary to Elementary School Students ผลการวิจัย พบว่า การ
ใช้กลอนและเพลงที่มีสัมผสั คลอ้ งจองกันนั้น ส่งผลให้ผเู้ รียนสามารถเรียนรู้คำศัพท์ไดด้ ีย่ิงขน้ึ อีกทั้งผู้เรียน
ยงั สามารถจดจำคำศพั ท์ได้มากข้นึ โดยสังเกตได้จาก ผลการทดสอบหลังเรียนนั้นมีคะแนนที่อยู่ในเกณฑ์ท่ี
สูงกวา่ กอ่ นเรยี น
14
บทที่ 3
วิธกี ารดำเนินการวิจยั
การศึกษาคร้งั น้ีเป็นการวจิ ัยเชิงทดลอง การพัฒนาการเรียนรู้เร่อื ง การพัฒนาทกั ษะจดจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนอุทัย เพื่อนักเรียนมีการพัฒนาในการเรียนรู้และจดจำคำศัพท์ ผ่านการใช้ชุดแบบท่องคำศัพท์
โดยใช้คำคล้องจอง นักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนอทุ ัย ท่สี งู ขึน้ และ เพือ่ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนรูก้ ่อนและหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝกึ การจดจำคำศพั ท์จากคำทค่ี ลอ้ งจอง
1. กลุ่มเป้าหมาย
2. เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
3. การสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือ
4. ขนั้ ตอนการดำเนนิ การศกึ ษาคน้ ควา้
5. การเก็บรวบรวมข้อมลู
6. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
7. สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
1 กลุ่มเปา้ หมาย
ประชากร
ประชากร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศกึ ษามัธยมศึกษาพระนครศรอี ยุธยา จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา
กล่มุ ตวั อยา่ ง
กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนอุทัย สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศกึ ษา 2564 จำนวน 12 คน
2 เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
เครื่องมือท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล มดี งั น้ี
2.1 ชดุ แบบฝกึ การจำคำศัพทภ์ าษาองั กฤษโดยใช้คำคลอ้ งจอง
2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปที ่ี 3 แบบ ปรนัย 3 ตวั เลือก
15
2.3 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้
คำคล้องจอง
3. การสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื
3.1 การสรา้ งเคร่อื งมือ
3.1.1 ชุดแบบฝึกการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยยึดตามความสนใจของผู้เรียน และ ตามความเหมาะสมกับ
ระดับชั้นของผู้เรยี น โดยยึดตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐานพุทธศักราช 2551 มีขั้นตอนการ
สรา้ งดงั ตอ่ ไปน้ี
1. สำรวจความสนใจของผู้เรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้คำศัพท์
ภาษาอังกฤษ และศึกษาเนื้อหาขอบเขตความสามารถของผู้เรียนจาก หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พ้นื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551
2. ศึกษาแนวคิดทฤษฎี หลักการเลือกคำศัพท์มาใช้ในการเรียนการสอน ตาม
แนวคดิ ของ
บุษรยี ์ ฤกษ์เมอื ง มาเปน็ แนวทางในการเลือกคำศพั ท์มาใช้ทำแบบฝึก
3. สร้างแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนช้นั
ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 จำนวน 10 แบบฝกึ
4. สร้างแผนการสอนที่ใช้ควบคู่กับแบบฝึกหัดจำคำศัพท์ โดยใช้คำคล้องจอง
จำนวน 5 แผนการสอน เพือ่ ใช้สอนเป็นเวลา 10 ชว่ั โมง
5. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจองและแผนการสอน ที่
สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบพิจราณาความเหมาะสม และปรึกษาหารือถึงสภาพ
ปญั หาท่ีพบ แล้วนำมาปรับปรงุ แก้ไข ซึ่งผู้เช่ยี วชาญจำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย
1. นางสาวสุภาพร หงษส์ รอ้ ย ตำแหนง่ ครู โรงเรียนอทุ ยั
2. นายภาคภูมิ พ่งึ เพง็ ตำแหนง่ ครู โรงเรียนอทุ ัย
3 นางสาวดลญา เจก็ สูงเนิน ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทยั
6. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจองและแผนการสอนมา
ปรบั ปรงุ แก้ไขตามขอ้ เสนอแนะของผ้เู ชยี่ วชาญ
7. จดั พมิ พเ์ พื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย
3.1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน สำหรับ
นกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 แบบ ปรนัย 3 ตัวเลือก และ อัตตนัย จำนวน 20 ข้อ
ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน สำหรับ
นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โดยมีขั้นตอนการดำเนนิ การดังนี้
16
1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (กระทรวงศึกษาธิการ: 2551) โรงเรียนอุทัย สังกัด
สำนกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา
2. ศึกษาสาระมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
(กระทรวงศกึ ษาธิการ: 2551)
3. ศึกษาทฤษฎีแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบ ปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 15 อัตนัย จำนวน 15 ข้อ รวม
ทั้งหมด จำนวน 30 ข้อ ให้ครอบคลมุ เนื้อหาและจดุ ประสงค์ เพื่อเลือกไวใ้ ช้จริง จำนวน 20 ข้อ (ดังแสดง
ในภาคผนวก ก)
5.นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ที่สร้างขึ้นเสนอ
ผู้เช่ยี วชาญ จำนวน 3 ทา่ นเพ่ือตรวจสอบพจิ ราณาความเหมาะสม และปรึกษาหารือถึงสภาพปัญหาท่ีพบ
แลว้ นำมาปรบั ปรงุ แก้ไข ซ่ึงผเู้ ช่ยี วชาญประกอบดว้ ย
1. นางสาวสุภาพร หงษส์ ร้อย ตำแหน่ง ครู โรงเรยี นอทุ ยั
2. นายภาคภูมิ พง่ึ เพง็ ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุทัย
3 นางสาวดลญา เจก็ สูงเนิน ตำแหนง่ ครู โรงเรยี นอุทยั
6. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และนำไปใช้กับ
กลมุ่ เป้าหมายต่อไป
3.1.3 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
โดยใช้คำคลอ้ งจอง โดยมีขนั้ ตอนการดำเนนิ การดงั นี้
1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (กระทรวงศึกษาธกิ าร: 2551)
2. ศึกษาสาระมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
(กระทรวงศึกษาธิการ: 2551)
3.สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 แผน ใช้เวลาสอน 5
ชว่ั โมง
17
3.2 การตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือ
ผ้วู จิ ัยได้ดำเนนิ การสรา้ งและตรวจสอบเคร่ืองมือดังน้ี
3.2.1 ชดุ แบบฝึกการจำคำศัพทภ์ าษาอังกฤษโดยใชค้ ำคล้องจอง มขี น้ั ตอนการ
สร้างดงั ตอ่ ไปนี้
1. สำรวจความสนใจของผเู้ รยี นเกีย่ วกบั พฤตกิ รรมการเรียนรคู้ ำศพั ท์
ภาษาอังกฤษ และศึกษาเนื้อหาขอบเขตความสามารถของผเู้ รยี นจาก หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั
พ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2551
2. ศึกษาแนวคิดทฤษฎี หลกั การเลอื กคำศัพท์มาใช้ในการเรียนการสอน ตาม
แนวคิดของ บุษรีย์ ฤกษเ์ มือง มาเปน็ แนวทางในการเลือกคำศพั ท์มาใช้ทำแบบฝึก
3. สรา้ งแบบฝกึ จำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใชค้ ำคล้องจอง สำหรับนกั เรยี นชนั้
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 จำนวน 10 แบบฝึก
4. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ที่สร้างขึ้นเสนอ
ผูเ้ ชย่ี วชาญ จำนวน 3 ท่าน เพือ่ ตรวจสอบพจิ ราณาความเหมาะสม และปรกึ ษาหารือถึงสภาพปญั หาท่ีพบ
แลว้ นำมาปรับปรงุ แกไ้ ข ซ่ึงผเู้ ช่ียวชาญประกอบดว้ ย
1. นางสาวสภุ าพร หงษส์ รอ้ ย ตำแหน่ง ครู โรงเรยี นอุทยั
2. นายภาคภมู ิ พง่ึ เพง็ ตำแหนง่ ครู โรงเรยี นอทุ ัย
3 นางสาวดลญา เจก็ สูงเนนิ ตำแหนง่ ครู โรงเรียนอทุ ยั
5. ผู้เชี่ยวชาญประเมินแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ 3 โดยใชเ้ กณฑ์ของลเิ คิร์ท (Linkert Ratting Scale) ดังน้ี
คา่ เฉล่ยี 4.50 – 5.00 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดบั มากทส่ี ดุ
ค่าเฉลีย่ 3.50 – 4.49 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมในระดบั มาก
ค่าเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดับปานกลาง
ค่าเฉล่ยี 1.50 – 2.49 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมในระดับน้อย
ค่าเฉลย่ี 1.00 – 1.49 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมในระดบั น้อยทส่ี ดุ
ผลการประเมินแบบฝกึ จำคำศพั ทภ์ าษาอังกฤษโดยใช้คำคลอ้ งจอง ช้นั มัธยมศึกษาศึกษาปีท่ี 1 ของ
ผเู้ ชีย่ วชาญ พบว่า ชุดแบบฝกึ หัด มคี ่าเฉลยี่ 4.66 สรุปได้ว่า ผู้เช่ยี วชาญเหน็ ว่า แบบฝึกจำคำศัพท์
ภาษาองั กฤษโดยใช้คำคลอ้ งจอง มคี วามเหมาะสมมากทส่ี ดุ (ดังแสดงในภาคผนวก ง )
6. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ที่ได้รับการปรับปรุง
แกไ้ ขไปพจิ ราณาความถูกต้องแลว้ จึงนำไปพิมพ์เพ่ือนำไปใชก้ ับกลมุ่ เป้าหมาย คือ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษา
18
ปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัด
พระนครศรีอยธุ ยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 12 คน
3.2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน กอ่ นเรยี น (pre- test) และ หลัง เรยี น
(post – test) เร่อื ง การจำคำศัพทโ์ ดยใช้คำคล้องจอง ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ผ้วู จิ ยั ได้
ดำเนินการสร้างและตรวจสอบดังน้ี
1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (กระทรวงศึกษาธิการ: 2551) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัด
พระนครศรอี ยุธยา ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564
2. ศึกษาสาระมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
(กระทรวงศึกษาธกิ าร: 2551)
3. ศกึ ษาทฤษฎีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการจดจำคำศัพท์ ก่อนและหลังเรียน
สำหรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 แบบ ปรนยั 3 ตัวเลอื ก จำนวน 20 ข้อ
5. นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง ที่สร้างขึ้นเสนอ
ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบพิจราณาความเหมาะสม และปรึกษาหารือถึงสภาพปัญหาที่พบ แล้วนำมา
ปรับปรุงแก้ไข
เม่อื พิจราณาให้คำแนะนำแก้ไขโดยผเู้ ชย่ี วชาญประเมนิ ความสอดคล้องระหว่าง
แบบทดสอบและเน้ือหา โดยมเี กณฑ์การใหค้ ะแนนดงั นี้
ใหค้ ะแนน +1 เมอ่ื แน่ใจวา่ แบบทดสอบน้ันวัดตามจุดประสงค์ / เน้ือหาน้ัน
ให้คะแนน 0 เมื่อไมแ่ นใ่ จว่าแบบทดสอบนน้ั วดั ตามจุดประสงค์ / เนอ้ื หานนั้
ใหค้ ะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบนั้นไม่วัดตามจดุ ประสงค์ / เน้อื หานัน้
6. วิเคราะหข์ ้อมูลหาความเหมาะสมระหว่างจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม / เน้ือหา
โดยใช้สูตรค่าเฉลี่ยของคะแนนและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (บุญชม ศรีสะอาด 2545) การประเมิน
ผ้เู ช่ยี วชาญพบว่า คา่ เฉลีย่ มคี า่ เท่ากบั 0.66 – 1.00 (ดังแสดงในภาคผนวก ง)
7.นำแบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปทดสอบเพื่อหาความยากง่าย (P) และค่าอำนาจจำแนก (B) เป็นรายข้อโดยนำไป
ทดลองกับนักเรยี นท่ไี ม่ใชก่ ลุ่มเปา้ หมาย
8. นำกระดาษคำตอบของนักเรียนมาตรวจให้คะแนนโดยตอบถูกให้ 1 คะแนน
ตอบ ผดิ หรือ ไม่ตอบ ให้ 0 คะแนน
9. นำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ หาค่าความยากง่ายสูตร P (บุญชม ศรี
สะอาด.2545) แลว้ คัดเอาแบบทดสอบไว้ 20 ข้อ
19
10. นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การจำคำศัพท์โดยใช้คำคล้องจอง
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เลือกแล้วมาวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้
สูตรโลเวท (Lovett) (บญุ ชม ศรสี ะอาด.2545)
4. ขน้ั ตอนการศกึ ษาค้นคว้า
ตารางที่ 1 การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้ดำเนินการตามแบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental
Research) ดงั ตาราง
กลมุ่ ตัวอย่าง สอบก่อน ตัวแปรอิสระ สอบหลงั
E T1 X T2
E แทน นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1
T1 แทน การประเมินความสามารถในการจดจำคำศัพท์ ก่อนการใช้แบบฝกึ จำ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้คำคลอ้ งจอง
X แทน การใชแ้ บบฝึกจำคำศัพทภ์ าษาองั กฤษโดยใช้คำคล้องจอง ช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1
T2 แทน การประเมินความสามารถในการจดจำคำศพั ท์ หลังการใช้แบบฝึกจำ
คำศัพท์ภาษาองั กฤษโดยใชค้ ำคล้องจอง
ระยะเวลาท่ใี ช้ในการค้นคว้า
การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาคเรียนที่
2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 12 คน ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 ต้งั แตว่ นั ท่ี 18 ธันวาคม พ.ศ. 2564
ถงึ วนั ท่ี 18 มกราคม พ.ศ. 2565
5. การเก็บรวบรวมข้อมลู
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดลองกับนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5
โรงเรยี นอุทยั สังกดั สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา
ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จํานวนนักเรียน 12 คน โดยดาํ เนนิ การตามลาํ ดับขั้นตอนดงั ตอ่ ไปนี้
5.1 ประเมินผู้เรียนโดยการทดสอบก่อนเรียน (pre-test) โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนรูท้ ีผ่ ้วู จิ ยั สรา้ งขึ้นจาํ นวน 20 ข้อ
20
5.2 ดําเนินการใช้แบบฝึกการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใชค้ ำคล้องจอง มกี าร ทดสอบ
กอ่ นเรียน (pre-test) หลังเรียน (post-test)
5.3 ประเมินผู้เรียนโดยการทดสอบหลังเรียน (post-test) โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นรทู้ ีผ่ ู้วจิ ัยสรา้ งขน้ึ จํานวน 20 ขอ้ ซ่ึงเปน็ ชุดเดยี วกนั กบั แบบทดสอบก่อนเรียน (pre-test)
5.4 ตรวจสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน แล้วนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูล
โดยวธิ กี ารทางสถติ ิ
6. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากการบันทึกการสังเกตข้อมูล เอกสาร ของนักเรียน
ดงั นี้
6.1 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (pre-test) และหลังเรียน (post- test)
เร่อื ง การจำคำศัพท์โดยใช้คำคล้องจอง นักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใช้ t-test (One - Samples t
Tests) ดังน้ี
t = D
N D2 − ( D)2
N −1
เมอ่ื t แทน คา่ อตั ตราสว่ นวกิ ฤต
D แทน ผลตา่ งคะแนนกอ่ น และหลังสอบ
N แทน จำนวนนกั เรยี น
D แทน ผลของผลต่างของคะแนนกอ่ นและหลังเรยี น
D2 แทน ผลรวมของกำลงั สองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการ
เรียน
7. สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
สถิติท่ใี ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ได้แก่
7.1 สถติ ิทีใ่ ชว้ เิ คราะหค์ ุณภาพของเครือ่ งมือ
7.1.1 การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการ เรยี นแตล่ ะขอ้ โดยใชส้ ูตรดัชนคี า่ ความสอดคล้อง IOC ดงั น้ี
IOC =
โดย IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามของแบบทดสอบกับ
จดุ ประสงคข์ องการวัด
21
R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ ของผ้เู ช่ยี วชาญท้งั หมด
N แทน จำนวนผเู้ ช่ียวชา
22
7.1.2 การหาค่าอำนาจจำแนกและค่าความยากง่าย (difficult) โดยใช้สูตรดงั น้ี
r = PH − PL
N
p = PH − PL
2N
เมือ่ r แทน ค่าอำนาจจำแนก
p แทน ค่าความยากง่าย
PH แทน จำนวนผู้ทต่ี อบข้อสอบในกลุม่ สูง
PL แทน จำนวนผ้ตู อบแบบทดสอบในกลุ่มตำ่
N แทน จำนวนคนในกลุ่มทีไ่ ดค้ ะแนนสูงหรือท่ไี ด้คะแนนตำ่
7.1.3 การหาค่าดัชนีประสิทธิผล
ผลคะแนนทดสอบหลงั เรยี น−ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน
ดัชนีประสทิ ธิผล (E.I) = (จำนวนนักเรยี น ×คะแนนเต็ม) −ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น
7.2 สถติ พิ ืน้ ฐาน
7.2.1 ค่าเฉล่ีย (mean) โดยใชส้ ูตร ดงั นี้
X = X
n
เมือ่ X แทน ค่าเฉลีย่
X แทน ผลรวมของความถี่ของคะแนนท้งั หมด
N แทน จำนวนผ้ปู ระเมินทัง้ หมด
7.2.2 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน (เกษม สาหรา่ ยทพิ ย์ 2543 : 227)
S.D. = n x2 − ( x)2
n(n −1)
เม่อื S.D. แทน คา่ ความเบ่ียงเบนมาตรฐาน
x2 แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนน
( x)2 แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ยกกำลังสอง
23
n แทน จำนวนผูป้ ระเมินทัง้ หมด
6.2.3 สถิตทิ ใี่ ช้ในการทดสอบความแตกต่างของคา่ เฉลย่ี โดยใช้ t – test (One
– samples t Test) ตามสูตร ดังนี้
d ,df = n1 +n2 - 2
n d 2 − ( d )2
n −1
เมอ่ื t แทน ค่าอัตตราสว่ นวิกฤต
D แทน ผลตา่ งคะแนนกอ่ น และหลังสอบ
N แทน จำนวนนกั เรยี น
D แทน ผลของผลตา่ งของคะแนนก่อนและหลงั เรียน
D2 แทน ผลรวมของกำลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการ
เรียน
24
บทที่ 4
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
การศึกษาค้นคว้าวเิ คราะหข์ อ้ มูลเรือ่ ง การพฒั นาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาองั กฤษ โดยใช้แบบฝกึ
การคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์
ตามลำดับดงั น้ี
1.สญั ลักษณใ์ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
2. ลำดบั ข้ันตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
3. ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
4.1 สัญลักษณท์ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ในการวิจัยค้นคว้าครั้งนี้ เพื่อเกิดความสะดวกในการสื่อความหมายเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์
ข้อมูล ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์และความหมายของสัญลักษณ์ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ดังนี้
N แทน จำนวนนกั เรยี นกลุ่มเปา้ หมาย
X แทน ค่าเฉลย่ี (Means)
S.D. แทน ค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
t แทน สถติ ทิ ดสอบท่ีจะเปรียบเทียบคา่ วิกฤติในการแจกแจงแบบ t – test
(Dependent Samples)
D แทน ผลต่างของคะแนนกอ่ นเรยี น (Pre - test) และ หลงั เรยี น (Post - test)
D2 แทน ผลรวมกำลังสองของผลตา่ งคะแนนกอ่ นเรยี นและ
หลังเรียน
E.I แทน ดัชนปี ระสิทธผิ ลในการเรียน
df แทน ระดบั ชน้ั ของความเสรี
4.2 ลำดบั ขนั้ ตอนในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
การวเิ คราะหข์ ้อมลู ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนนิ การตามลำดบั ขนั้ ตอน ดงั นี้
25
ตอนที่ 1 วิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของเรือ่ ง การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษ โดยใชแ้ บบฝกึ การคำคล้องจองภาษาองั กฤษ สำหรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ดงั ตาราง
3
ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อ การพัฒนาทักษะการจำ
คำศพั ท์
4.3 ผลการวิเคราะห์ดชั นีประสทิ ธิผล
ตอนที่ 1 การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจอง
ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ผลการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อน
เรยี น (Pre - test) และหลังเรยี น (Post - test)
นักเรียน กอ่ นเรยี น หลงั เรยี น ความกา้ วหนา้ ความกา้ วหน้า
คนท่ี (20) (20) (D) (D2)
1 9 18 9 81
2 10 18 8 64
3 11 19 8 64
4 9 17 8 64
5 10 19 9 81
6 9 18 9 81
7 11 20 9 81
8 10 18 8 64
9 8 17 9 81
10 9 18 9 81
11 8 16 8 64
12 10 19 9 81
รวม 114 217 103 887
เฉล่ยี 9.50 18.08
ร้อยละ 47.50 90.42
S.D. 1.00 1.08
26
จากตาราง พบวา่ คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี นก่อนเรียน
(Pre - test) มีค่าเท่ากับ 9.50 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.00 คิด
เป็นรอ้ ยละ 47.50 คะแนนเฉลีย่ หลงั เรียน การพัฒนาทกั ษะจดจำคำศัพทภ์ าษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการ
คำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เท่ากับ 18.08 คะแนนเต็ม 20 คะแนน
สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กับ 1.08 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 90.42 นำมาหาค่าประสทิ ธผิ ล ดังน้ี
ดัชนีประสิทธิผล (E.I) = ผลคะแนนทดสอบหลงั เรียน − ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรยี น
(จำนวนนักเรยี น ×คะแนนเตม็ )−ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน
ดชั นปี ระสิทธผิ ล (E.I) = 217 −114
(12×20)−114
ดชั นีประสทิ ธิผล (E.I) = 103
126
ดัชนปี ระสิทธิผล (E.I) = 0.82
ทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียน
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 มีคา่ ดัชนปี ระสิทธิผลเท่ากับ 0.82 แสดงวา่ นักเรียนที่ไดเ้ รียนรู้การจำคำศัพท์ โดยใช้
แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาองั กฤษ มีการพฒั นาและมีความร้เู พม่ิ ขน้ึ คดิ เป็นร้อยละ 82.00
ตอนที่ 2 วิเคราะห์และเปรียบเทียบความสามารถก่อนเรียน (Pre - test) และ หลังเรียน (Post-
test) เรื่อง การจดจำคำศัพทภ์ าษาองั กฤษ โดยใชแ้ บบฝกึ การคำคลอ้ งจองภาษาอังกฤษ ดังตารางท่ี 4
ตารางที่ 3 วิเคราะห์และเปรียบเทียบความสามารถก่อนเรียน (Pre - test) และ หลังเรียน (Post-test)
เรื่อง การจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1
ผลสัมฤทธิ์ คะแนน N X S.D. D D2 df t
ทางการเรียน เต็ม 54.27
หลังเรียน 20 12 18.08 1.08
103 887 10
ก่อนเรยี น 20 12 9.50 1.00
**มีระดบั นยั สำคญั ท่ีระดับ .01 (คา่ วกิ ฤติของ t อยู่ที่ระดับ .01. df 10)
27
จากตารางแสดงว่านักเรียนที่เรียนรู้การจำคำศัพท์ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ
สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 มผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียน (Post - test) สูงกว่า ก่อนเรียน
(Pre – test ) อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติ ทีร่ ะดับ .01 เป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐานทตี่ ั้งไว้
28
บทท่ี 5
สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
การศึกษาค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้อง
จองภาษาองั กฤษ สำหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นอทุ ยั ผ้วู จิ ัยไดส้ รุปผลการศกึ ษาตามลำดับ
ดงั ต่อไปน้ี
1. ความม่งุ หมายของการศึกษาค้นคว้า
2. สรุปผลการวิจยั
3. อภิปรายผล
4. ขอ้ เสนอแนะ
5.1 ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นควา้
5.1.1 เพอ่ื พัฒนาทักษะการจดจำคำศัพทภ์ าษาอังกฤษ โดยการใชแ้ บบฝึกหัดชดุ คำศัพท์
ทม่ี เี สยี งคล้องจอง สำหรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนอทุ ัย
5.1.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรยี นที่ได้จากการใช้ แบบ
ฝกึ จำคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากคำทคี่ ล้องจอง
5.2 สรปุ ผลการวิจัย
การศึกษาค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการ
คำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษามธั ยมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา จังหวดั พระนครศรีอยุธยา ปรากฏผลดังน้ี
5.2.1 ค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะจดจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคลอ้ งจองภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนอุทัย มี
ค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.82 แสดงว่านักเรียนที่เรียนรู้การจำคำศัพท์โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจอง
ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุทัย ที่ผู้วิจัยได้คิดค้นขึ้น ทำให้นักเรียนมี
คะแนนการเรียนรู้ที่สูงขน้ึ คดิ เป็นรอ้ ยละ 82.00
5.2.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่เรียนรู้เรื่องทักษะจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดย
ใช้แบบฝึกการคำคล้องจองภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอุทัย มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01
5.3 อภิปรายผล
จากการศึกษาค้นควา้ ครั้งน้ีการพฒั นาทักษะจำคำศัพทภ์ าษาองั กฤษ โดยใชแ้ บบฝกึ การ
คำคล้องจองภาษาองั กฤษ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1
29
5.3.1 คา่ ดชั นปี ระสิทธิผลของการจดั การเรียนรู้การพฒั นาทักษะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
โดยใช้แบบฝกึ การคำคล้องจองภาษาอังกฤษ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นอุทยั สังกัดสำนักงานเขตพืน้ ที่
การศกึ ษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา มคี ่าดชั นปี ระสทิ ธิผล เท่ากบั 0.82
แสดงวา่ นกั เรียนท่เี รยี นรู้เรื่องการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1
โรงเรียนอุทยั ทผ่ี ู้วจิ ัยได้ค้นคว้าข้นึ ทำให้นักเรียนมคี ะแนนพัฒนาการในการเรียบนรทู้ ีส่ ูงข้ึน คดิ เปน็ รอ้ ยละ
82.00 แสดงวา่ หลังจากจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพัฒนาทกั ษะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการ
คำคล้องจองภาษาอังกฤษ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรียนอทุ ัย สังกดั สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษา
มัธยมศึกษาพระนครศรอี ยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา นักเรยี นมที ักษะการจำคำศัพท์ภาษาองั กฤษ
โดยใช้คำคลอ้ งจอง ทด่ี ยี ่งิ ข้นึ ซึ่งคำคล้องจองท้ังในภาษาไทย และภาษาอังกฤษนน้ั สามารถนำมาในการ
พัฒนาทักษะในการเรยี นภาษาองั กฤษให้มปี ระสิทธิภาพมากย่งิ ข้นึ ท้ังในด้าน ทักษะการฟงั การพดู การ
อา่ น และ การเขียน ซ่ึงสอดคล้องกับคำกลา่ วของ นางสาวจริ าภรณ์ ทินอทุ ยั (2557) ที่สรุปผลการวิจยั การ
จำคำศัพทโ์ ดยใช้แบบฝกึ จำคำศัพทภ์ าษาอังกฤษ โดยใชเ้ สียงสระในคำคล้องจองภาษาอังกฤษ ว่า ผู้เรยี นมี
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนในการจำคำศัพท์หลังจากใชแ้ บบฝึกหดั สมั ผสั คลอ้ งจองดว้ ยเสยี งสระใภาษอังกฤษ
ท่ีดีขนึ้ อีกทั้งแบบฝกึ น้ียังสามารถทำให้ผู้เรียนสามารถเรยี นร้คู ำศัพท์ใหม่ได้อยา่ งดีและสามารถจดจำ
คำศัพท์ไดเ้ พ่ิมมากข้นึ และสง่ เสรมิ การมที ัศนคติที่ดตี ่อการเรียนภาษาองั กฤษ เน่ืองจากในชุดแบบฝกึ ใช้คำ
คลอ้ งจองในการเรียนร้คู ำศัพท์ ซ่งึ ทำให้นักเรยี นเกดิ ความสนุกสนานในการเรียนรู้คำศัพทใ์ หมๆ่ และงา่ ย
ต่อการจำและนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวัน ซึ่ง วรรณพร ศลิ าขาว (2539: 15) กลา่ วว่า คำศัพทเ์ ป็นหนว่ ย
พื้นฐานทางภาษาซึ่งผ้เู รยี นจะตอ้ งเรยี นรู้เปน็ อันดบั แรก เพราะคำศัพทเ์ ปน็ องค์ประกอบท่สี ำคัญในการ
เรียนรู้ และฝกึ ฝนทักษะการฟัง อ่าน และเขยี นภาษา ซึ่งการที่ผู้เรยี นได้เรยี นรู้คำศัพทอ์ ยา่ งเพียงพอจะ
ส่งผลใหผ้ ู้เรยี นมพี ฒั นาการทางด้านภาษาในทุกๆทักษะมากย่ิงข้นึ ผลการวิจัยครงั้ นี้สอดคลอ้ งกับวิจัยอ่นื ๆ
ทีศ่ ึกษาการใชค้ ำคล้องจองเพื่อการเรียนรคู้ ำศัพท์ภาษาองั กฤษ อาทงิ านวจิ ยั ของ นางวิไลวรรณ รวมชาติ
(2553)
5.3.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนที่ได้จากการใช้ แบบฝึก
จำคำศพั ท์ภาษาองั กฤษจากคำท่ีคล้องจอง ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นอทุ ยั มผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้าใน
ครงั้ น้ี แสดงใหเ้ หน็ วา่ การใช้แบบฝึกจำคำศัพทภ์ าษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้องจอง ทำใหน้ กั เรียนสามารถจำ
คำศัพท์ได้เพิ่มมากขน้ึ อกี ท้งั ยังมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาต่างประเทศ ทำใหผ้ ลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
สูงขน้ึ ซึ่งสอดคล้องกบั งานวจิ ัยของ นางสาวนางขนิษฐา พุดทอง (2553) ไดว้ จิ ยั การใชแ้ บบฝกึ ทักษะการ
อ่านคำคล้องจองภาษาองั กฤษเพ่ือพฒั นาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาองั กฤษของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปี
ที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีการพัฒนาการจดจำคำศัพท์ โดยมีคะแนนหลังการใช้แบบฝึกทักษะการ
อา่ นคำคลอ้ งจองภาษาอังกฤษสูงกวา่ ก่อนการใช้ อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ.01 และคะแนนทักษะ
การจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษสูงกว่า 80%
30
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ มลิวัลย์ อุ่นอ่อน และ นพดล จันทร์
เพ็ญ (2557) ผลวิจัยพบว่า ทักษะด้านการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัยหลังการใช้ชุดกิจกรรมคำคล้อง
จองประกอบภาพสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 อีกทั้งยังพบว่า นักเรียนมี
พัฒนาการด้านการฟงั และการพูดดีกว่าก่อนเรียน
สรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกการคำคล้องจอง
ภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการศึกษาเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไวท้ ั้งนี้ เพราะว่าการใช้คำ
คล้องจองทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยมีความเหมาะสมที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการจดจำคำศัพท์
ภาษาอังกฤษ เนื่องจากมีความคล้องจองกันและง่ายต่อการจดจำ อีกทั้งยังเป็นการนำภาษาอังกฤษและ
ภาษาไทยมาบูรณาการร่วมกันในการจัดการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนได้ฝึกการจำคำศัพท์จากชุดคำศัพท์
ภาษาอังกฤษที่มีความคล้องจองตามแผนการสอนที่ได้จัดทำไวแ้ ล้ว ผู้เรียนจะได้ทำแบบทดสอบหลังเรยี น
เพื่อวัดผลาสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น ได้ผ่านกระบวนการและขั้นตอนอย่างมีระบบและ
วิธกี ารท่เี หมาะสม โดยเรม่ิ จากการศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารหลกั สตู ร และงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้องกับการ
ใชค้ ำคล้องจองในการเรียนภาษา และดำเนนิ การวิเคราะห์หลักสูตร หน่วยการเรยี นรู้ ช่วงช้นั สาระสำคัญ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ รวมทั้งแบบฝึก แบบทดสอบ ทผี่ วู้ ิจยั สร้างข้ึน ได้
ผ่านการกลัน่ กลองตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและผ่านการปรบั ปรงุ แก้ไขจนสมบรู ณ์ และนำมาจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้ในเรอ่ื งคำศัพท์พืน้ ฐานตา่ งๆ โดยทน่ี ักเรียนได้เรียนรคู้ ำศพั ทท์ หี่ ลากหลาย และจำคำศัพท์ได้ง่าย
และเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้การเรยี นรูค้ ำศัพท์ภาษาอังกฤษของผูเ้ รยี นนั้นเกิดความคงทนถาวรและสามารถ
นำไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
ดังนั้นผู้วิจัยจึงเชื่อว่าเมือ่ ผู้เรียนได้ใช้ชดุ แบบฝึกจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้อง
จองตามข้ันตอน ผูเ้ รียนสามารถการเรียนรคู้ ำศัพทภ์ าษาองั กฤษ และนำไปประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจำวันได้
อยา่ งมีประสิทธิภาพได้ในอนาคต
ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการทำวจิ ัยคร้งั ต่อไป
1. ควรคำนึงถึงระยะเวลาในการจัดการทำกิจกรรมในการสอน ควรสอดคล้องกับปริมาณเนื้อหา
ของบทเรยี นซง่ึ ต้องเปน็ ช่วงทนี่ ักเรยี นร่วมกจิ กรรมของโรงเรียนนอ้ ยทีส่ ุด
2. ควรมกี ารวจิ ยั เกย่ี วกับการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใชค้ ำคล้องจอง เพือ่ ศึกษาเจตคติท่ีดีต่อ
การเรยี นร้คู ำศพั ท์ภาษาอังกฤษ
3. ควรศึกษาเปรยี บเทยี บการสอนคำศัพทภ์ าษาอังกฤษ โดยใชค้ ำคลอ้ งจอง กับ การสอนคำศัพท์
ภาษาองั กฤษ โดยใชเ้ ทคนิคอ่ืนๆ
31
บรรณานกุ รม
32
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. กรมวิชาการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช
2551. พิมพค์ ร้ังที่ 1 กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พิมพว์ ฒั นาพานิช
นางสาวจิราภรณ์ ทินอุทัย (2557). การพัฒนาความสามารถในการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วย
แบบฝึกหัดคำศัพท์สัมผัสคล้องจองดว้ ยเสยี งสระภาษาอังกฤษของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปี
ท่ี 4/4. วจิ ัยในชน้ั เรยี น โรงเรียนดาราวิทยาลยั , เชยี งใหม่.
นางสาวนางขนิษฐา พุดทอง (2553). การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำคล้องจองภาษาอังกฤษเพื่อ
พัฒนาทักษะการจำคำศัพทภ์ าษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5. วิจัยในชั้นเรยี น
โรงเรยี นบา้ นบางฉาง, นครศรธี รรมราช
นางวิไลวรรณ รวมชาติ (2553) . การพัฒนาทักษะการอ่านคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปที่ 5/2. วิจัยในชนั้ เรียน โรงเรียนบ้านปงสนกุ , จังหวัดลำปาง
พรพิมล บัวผดุง (2556). การใช้คำคล้องจองภาษาไทยประกอบคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีต่อการเรยี นรู้
คำศพั ท์ของนกั เรยี นช้ันอนุบาลปที ่ี 2. วิจยั ในช้ันเรียน โรงเรียนบา้ นทุ่งสีเสียด, ประจวบครี ขี ันธ์
มาริสา กาสวุ รรณ์ และ มณฑา จาฏพุ จน ได้วิจัย (2556). ประสิทธิผลของกิจกรรมเพลงภาษาอังกฤษต่อ
การเรียนรู้และความคงทนของคำศัพท์และทักษะการพูด นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 วิจัย
ในช้นั เรียน โรงเรยี นบ้านตน้ ปรง, จ.ตรัง
มลิวัลย์ อุ่นอ่อน และ นพดล จันทร์เพ็ญ (2557). การพัฒนาชุดกิจกรรมคำคล้องจองประกอบภาพด้าน
การฟังและการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย. วิจัยในชั้นเรยี น โรงเรียนบา้ นผง้ึ (มธุลีห์ประชาสรรค์),ศรี
สะเกษ
Alhamdulillahi Rabbil Alamin (2018). The Effectiveness of Teaching Vocabulary by
Using Nursery Rhymes to The First Grade Students at MTs DDI ,PattojoSoppeng
Isabel Maria GARCÍA CONESA (2015). The use of rhymes and songs in the Teaching of
English in Primary Education: Fliming Activities at Arab International University
(AIU)
Gareebullah Hago Hamdoun Mudaw (2015). Using Rhymes and Songs for Teaching Core
Vocabulary to Elementary School Students: Department of English and
translation, college of languages and translation, King Saud university, Saudi Arabia
33
ภาคผนวก
ก. แผนการจดั การเรยี นรู้
34
แผนการจัดการเรยี นรู้
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ เร่อื ง Rhyming Vocabulary
วิชา ภาษาอังกฤษ วัน/เดอื น/ปี ........./........../............
ชนั้ มัธยมศึกษาศกึ ษาปีท่ี 1
เวลา 50 นาที ผูส้ อน นายจารุเดช ประภาศรี
โรงเรียนอทุ ัย
1. สาระสำคัญ
การเรียนรู้คำศพั ท์ทั่วไปในภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้เรียนสามารถฝึกการออกเสียงและสะกดคำศัพท์
ได้ อกี ทั้งผ้เู รียนยังสามารถนำความรแู้ ละทกั ษะทไี่ ดร้ บั ไปประยุกต์ใช้ในทักษะอื่นๆในภาษาอังกฤษ และยัง
สามารถนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวันได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
2. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้ีวัด
สาระท่ี 1 : ภาษาเพือ่ การสอ่ื สาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจเรื่องที่ฟังและเรื่องที่อ่านจากสื่อประเภทต่างๆและแสดงความคิดเห็น
อยา่ งมีเหตผุ ล
ตัวชี้วัด ม1/2 อ่านออกเสียงคำ สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค และบทพูด (chant)
ง่ายๆ ตามหลักการอา่ น
ตัวชี้วัด ม.1/3 เลือก / ระบุภาพหรือสัญลักษณ์ตรงตามความหมายของกลุ่มคำและ
ประโยคที่ฟัง
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 จดุ ประสงคป์ ลายทาง
3.1.1 ผเู้ รียนสามารถเขยี นบอกความหมายของคำศัพทภ์ าษาอังกฤษแตล่ ะคำได้
3.2 จุดประสงคน์ ำทาง
3.2.1 ผ้เู รียนสามารถอา่ นออกเสยี งและสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษทว่ั ๆไป ได้
4. สาระการเรยี นรู้
4.2 Vocabulary : one, half ,calf , room, groom , bay , day, tooth ,booth, wait ,bait,
pot spot, dig, big, hen ,pen, fin, in, who
35
4.3 Structure: -
4.4 Function: -
4.5 Culture: -
5. ทักษะกระบวนการ/บูรณาการข้ามทักษะ
5.1 ทกั ษะกระบวนการ
5.1.1 กระบวนการพดู ตามคำซำ้ (Repetition drill)
5.1.2 กระบวนการอา่ น (Reading)
5.1.3 กระบวนการเขยี น (Writing)
5.1.4 กระบวนการกลุม่
5.2 บรูณาการขา้ มทักษะ
บูรณาการข้ามทักษะรว่ มกับวิชาสงั คมศึกษา
6. สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้
6.1ส่ือการเรียนรู้หนงั สือเรียน และแบบฝึกหดั
- แบบฝกึ จำคำศัพท์ภาษาองั กฤษ โดยใช้คำคล้องจอง สำหรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษา
ศกึ ษาปีที่ 3
6.2.สื่ออุปกรณ์
- Power point
36
7. การวดั และการประเมินผล เคร่อื งมือวดั เกณฑ์การวัด
วิธวี ดั
แบบประเมนิ การเขยี น ระดับคุณภาพ
ด้านทักษะ/กระบวนการ
- ทกั ษะการเขยี น 4 = ดีมาก
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 3 = ดี
- สังเกตพฤติกรรมขณะปฏิบตั ิ
กิจกรรม 2 = พอใช้
1 = ควรปรบั ปรุง
- แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึง ระดบั คุณภาพ
ประสงค์ 8 ประการ -สม่ำเสมอ 3 คะแนน ดีมาก
1. มวี นิ ยั -บอ่ ยครงั้ 2 คะแนน ปานกลาง
2. ใฝ่เรียนรู้ -บางคร้งั 1 คะแนน ปรบั ปรุง
3.มุง่ มั่นในการทำงาน
- แบบประเมนิ ผลคณุ ลักษณะของ
ผ้เู รียนตามคา่ นิยมหลัก 12 ประการ
1. ใฝห่ าความรู้ หมน่ั ศกึ ษาเล่าเรียนทั้ง
ทางตรงและทางอ้อม
2. มรี ะเบียบวนิ ยั เคารพกฎหมาย
ผ้นู อ้ ยรจู้ ักการเคารพผู้ใหญ่
3. มีสติรู้ตวั รู้คดิ รทู้ ำ รู้ปฏบิ ตั ิตามพระ
ราชดำรัสของพระบาทสมเดจ็ พระ
เจ้าอยู่หวั
สมรรถนะผู้เรียน แบบประเมินสมรรถนะผ้เู รยี น 5 ดา้ น ระดบั คุณภาพ
- สังเกตพฤติกรรมขณะปฏบิ ตั ิ 1. ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ -สมำ่ เสมอ 4 คะแนน ดมี าก
กจิ กรรม 2.ความสามารถในการสือ่ สาร -บอ่ ยคร้ัง 3 คะแนน ดี
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา -ปานกลาง 2 คะแนน ปานกลาง
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ - บางครัง้ 1 คะแนน ปรับปรงุ
37
8. กจิ กรรมการเรียนรู้
Step of teaching Teacher’s role Student’s role
ข้ันท่ี 1 เตรยี มความพร้อมและ
-ครนู ำเขา้ สู่บทเรยี นดว้ ยการ -นกั เรยี นออกมาทำกิจกรรรม
ทบทวนความร้เู ดิม
(Warm up and review) ตรวจสอบคลงั คำศพั ท์ของ หนา้ ช้ันเรยี น
5 นาที นกั เรยี นท่นี ักเรยี นทราบโดย ให้
ขัน้ ท่ี 2 นำเสนอบทเรยี น นักเรยี นแตล่ ะแถว ออกมาแข่ง
(Presentation)
15 นาที กนั เขียนคำศพั ท์ท่ตี นเองทราบ
คนละ 1 คำ พร้อมบอก
ความหมาย
- กลุม่ ใดที่เขียนถกู ต้องและได้
มากที่สดุ เป็นกลมุ่ ที่ชนะ
-ครูแจ้งจดุ ประสงค์ใหผ้ เู้ รยี น
ทราบ
-ครนู ำเสนอคำศัพทใ์ หม่ ผ่าน -นกั เรยี นเรยี นรู้คำศัพทใ์ หม่
power point โดยใช้แบบฝกึ จำ
คำศัพทภ์ าษาอังกฤษ โดยใชค้ ำ
คล้องจอง สำหรับนกั เรยี นช้ัน
ประถมศึกษาปที ่ี 3 และ
เรียงลำดบั คำศัพท์โดยใช้คำ
คล้องจองกนั พรอ้ มกับมรี ูปภาพ
ประกอบ โดยมีคำศัพท์
ดังตอ่ ไปน้ี
one, half ,calf , room,
groom , bay , day, tooth
,booth, wait ,bait, pot spot,
dig, big, hen ,pen, fin, in, -นกั เรียนชว่ ยกนั เดาคำศัพท์
who สะกดพร้อมทั้งบอกความหมาย
-ครูตรวจสอบทกั ษะการจำ
คำศัพท์ของนักเรยี นโดยให้
นกั เรียนเล่นเกม Hang man
ทายคำศัพท์ โดยนกั เรยี นทงั้ ห้อง
38
ชว่ ยกนั ทายคำศัพท์ สะกดคำ
และบอกความหมาย
ข้นั ที่ 3 ฝกึ ทักษะ -ครใู ห้นักเรยี นฝกึ ท่องคำศัพท์ -นักเรยี นฝกึ ทอ่ งคำศพั ทแ์ ละจำ
(Practice)
15 นาที และจำคำศัพทโ์ ดยใชแ้ บบฝกึ คำศัพท์โดยใชแ้ บบฝกึ จำ
จำคำศัพทภ์ าษาอังกฤษ โดยใช้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใชค้ ำ
คำคลอ้ งจอง สำหรบั นกั เรียนช้ัน คล้องจอง สำหรับนักเรยี นชน้ั
มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ประถมศึกษาปีที่ 3
-ครูให้นกั เรยี นแบง่ กล่มุ กลุ่มละ -นกั เรียนแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม
3 คน เลน่ เกม Guess vocab
gets fun.
1.ครแู จกกระดานบอรด์ เขียน
คำตอบใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่ม
โดยครผู ู้สอนจะแสดงโจทยผ์ ่าน
power point โดยมเี พียง
คำศัพทใ์ ห้
2.ผ้เู รยี นแต่ละกลุ่มจะตอ้ งเขียน
ความหมายของคำศัพท์ กล่มุ ใด
เขยี นเสรจ็ กอ่ นให้โชว์กระดาน
คำตอบขึ้น พร้อมกับอ่าน
ความหมายให้ครผู ู้สอนฟัง กลุ่ม
ใดทีย่ กขึน้ ก่อนมีสิทธิ์ตอบก่อน
3. กลุม่ ใดท่ตี อบถูกมากท่สี ุด
เป็นผูช้ นะ
*หมายเหตุ หากกลุ่มท่ยี กขึน้
ตอบก่อน เขยี นบอกความหมาย
ผิดจะต้องถูกตัดสทิ ธ์ิในการตอบ
คำถามในรอบนนั้ ครผู ้สู อนจะ
หากลุ่มท่ีไดต้ อบคำถามโดยการ
ให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มยกมือ กลุ่ม
ใดยกก่อนได้สิทธิใ์ นการตอบ
คำถามรอบน้นั ไป
39
ขั้นที่ 4 นำไปใช้ -ครูผสู้ อนให้นกั เรียนทำใบงาน -นกั เรยี นทำใบงาน
(Production) โดยใหน้ ักเรียน เขียน
ความหมายของคำศัพท์ที่
20 นาที กำหนดให้ ใหถ้ ูกต้อง
โดยมีคำศัพทด์ ังต่อไปนี้
ขัน้ ที่ 5 สรุป one, half ,calf , room,
(Wrap up) groom , bay , day, tooth
,booth, wait ,bait, pot spot,
5นาที dig, big, hen ,pen, fin, in,
who
-ครูผู้สอนทบทวนคำศัพทใ์ หก้ ับ -นกั เรยี นทบทวนคำศัพท์โดย
นกั เรยี นโดยใหน้ กั เรยี นท่อง การท่องคำศพั ทจ์ ากแบบฝึกจำ
คำศัพทจ์ ากแบบฝึกจำคำศัพท์ คำศัพท์จากคำคล้องจอง
จากคำคล้องจอง
-ครูผสู้ อนทบทวนการจดจำ -นักเรยี นช่วยกันตอบคำถาม
คำศัพท์ของนักเรยี นโดยสุ่มถาม ครูผสู้ อน
คำศัพท์นกั เรยี น พรอ้ มกับให้
นักเรียนช่วยกนั ออกเสยี งพร้อม
กับบอกความหมายของคำศัพท์
40
๑๒.บนั ทกึ หลังการสอน
๑๐.๑ ผลการจัดการเรียนรู้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………….………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………….………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………
๑๐.๒ ปญั หา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………….………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….……………………………………………………………………………………………
๑๐.๓ แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………….………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….……………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ................................................................. (ผสู้ อน)
(นายจารเุ ดช ประภาศรี)
ตำแหนง่ ครูผู้ช่วย
….…/……./…….
41
ภาคผนวก
ข. แบบฝึกจำคำศัพทภ์ าษาองั กฤษ โดยใชค้ ำคล้องจอง
42
43
ภาคผนวก
ค. แบบทดสอบกอ่ นเรียน / แบบทดสอบหลงั เรียน
44
45
Part 2: Write the meaning of the 11.pass=___________________________
words below. 12.monkey=________________________
13.shot=___________________________
1.groom=___________________________ 14.barn=___________________________
2.bay=_____________________________ 15.room=__________________________
3.pot=_____________________________
4.goat=____________________________
5.go=______________________________
6. gld=_____________________________
7.keep=____________________________
8.dig=______________________________
9.bar=_____________________________
10.cut=____________________________