สำสำสำสำสำสำนันันั นั ก นั ก นั กงานที่ที่ที่ ที่ปที่ที่ รึรึรึ รึ ก รึ ก รึ กษากฎหมาย สมาร์ร์ร์ ร์ ท ร์ ท ร์ ทลอว์ว์ว์ ว์ว์ว์ รวบรวมคำคำคำคำคำคำพิพิพิ พิพิ พ พิ พากษาฎีฎีฎี ฎีฎี ก ฎี กา แผนกคดีดีดี ดีดี ผู้ ดี ผู้ผู้ผู้ผู้บผู้ ริริริ ริริโริ ภค สมรรถ พระเอี้อี้อี้ อี้ ย อี้ ย อี้ ยง
คำ นำ ในยุคที่สังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แนวโน้ม น้ และพฤติกรรมการบริโภคมีบทบาทสำ คัญที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ และสิทธิของประชาชน ผู้บริโภคในปัจจุบันเผชิญกับความท้าทาย และโอกาสจากนวัตกรรมทางการค้าและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนวิถี ชีวิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการให้บริการและการจัด จำ หน่ายที่มีความซับซ้อน ทำ ให้เกิดข้อพิพาทและความไม่แน่นอน ในแง่มุมต่างๆ ของสิทธิผู้บริโภค หนังสือเล่มนี้ถูกจัดทำ ขึ้นเพื่อรวบรวมคำ พิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง กับคดีผู้บริโภค ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการตีความและการบังคับใช้ กฎหมายที่มุ่งเน้น น้ การคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ข น์ องผู้บริโภค คำ พิพากษาเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นผลสรุปของกระบวนการ ยุติธรรมในศาลเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางอันทรงคุณค่าในการ วิเคราะห์และปรับปรุงระบบการคุ้มครองผู้บริโภคให้ทันสมัยและ เป็นธรรม ด้วยการคัดสรรกรณีศึกษาและคำ พิพากษาที่ครอบคลุมหลาก หลายประเด็น หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเครื่องมืออ้างอิงที่มีคุณค่า สำ หรับนักกฎหมาย นักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง กับการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงผู้ที่สนใจศึกษาการพัฒนา กฎหมายในยุคใหม่ ที่จะนำ มาซึ่งความเข้าใจที่ลึกซึ้งและแนวทางใน การแก้ไขข้อพิพาทอย่างมีประสิทธิภาพ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจและสนับสนุน นุ การจัดทำ หนังสือเล่มนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นแหล่ง ความรู้และแรงบันดาลใจในการพัฒนาระบบคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับความต้องการของสังคมในอนาคต ผู้เขียน สมรรภ พระเอี้ยง 16 กุมภาพันธ์ 2568 1
สารบัญ เรื่อง หน้า น้ คดีผู้บริโภค: สิทธิที่ทุกคนควรรู้! คดีผู้บริโภค คืออะไร? จุดเด่นของวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค คำ พิพากษาฎีกา 3 3 4 6 2 อ้างอิง 48
ทุกวันนี้เราซื้อของหรือใช้บริการกันแทบทุกวัน แต่เคยเจอสินค้า ห่วย บริการแย่ หรือโดนเอาเปรียบกันบ้างไหม? บางครั้งอาจไม่ใช่ แค่เรื่องเล็ก ๆ เช่น ของใช้แล้วพังเร็ว หรือบริการไม่ตรงปก แต่อาจ ร้ายแรงถึงขั้นทำ ให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินเลยทีเดียว! แล้วเราจะทำ ยังไงได้บ้าง? จะฟ้อ ฟ้ งร้องก็ยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายสูง แถมยัง ต้องพิสูจน์อี น์ อี กว่าผู้ประกอบการทำ ผิดจริง ซึ่งบางเรื่องเราเองก็ไม่มี หลักฐานในมือเลย แบบนี้ดูไม่ค่อยแฟร์ใช่ไหม? ข่าวดีคือ! รัฐมองเห็นปัญหานี้เลยออกกฎหมายพิเศษมาเพื่อช่วยให้ ผู้บริโภคสามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือ "พระ ราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551" ซึ่งทำ ให้การฟ้อ ฟ้ ง ร้องในกรณีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่ไม่ได้มาตรฐานมี ความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดมากขึ้น คดีผู้บริโภค: สิทธิที่ทุกคนควรรู้! กฎหมายนี้ครอบคลุมทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้าและ บริการ โดยนิยามตามมาตรา 3 ว่า คดีผู้บริโภค หมายถึง: คดีที่ผู้บริโภคหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องฟ้อ ฟ้ งผู้ประกอบธุรกิจเรื่อง สินค้าและบริการ คดีที่เกี่ยวกับสินค้าที่ไม่ปลอดภัย คดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ 2 ข้อแรก คดีที่กฎหมายกำ หนดให้ใช้กระบวนการพิเศษนี้ ตัวอย่างง่าย ๆ ของคดีผู้บริโภค: ซื้อโทรศัพท์มาแล้วใช้งานไม่ได้ตั้งแต่วันแรก ร้านไม่ยอมรับ ผิดชอบ ซื้ออาหารกระป๋อ ป๋ งมาแล้วเจอของแปลกปลอมข้างใน ธนาคารฟ้อ ฟ้ งลูกค้าบัตรเครดิตเรื่องหนี้ค้างชำ ระ บริษัทไฟแนนซ์ฟ้อ ฟ้ งลูกหนี้ที่เช่าซื้อรถยนต์แต่ไม่จ่ายค่างวด คดีผู้บริโภค คืออะไร? 3
การฟ้อ ฟ้ งคดีสะดวกขึ้น โดยปกติ เวลาฟ้อ ฟ้ งคดีเราต้องไปยื่นฟ้อ ฟ้ งที่ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น หรือที่อยู่ของจำ เลย แต่ในกรณีที่ ผู้ประกอบการเป็นฝ่า ฝ่ ยฟ้อ ฟ้ งผู้ บริโภค กฎหมายกำ หนดให้ต้องฟ้อ ฟ้ งที่ศาลตามภูมิลำ เนาของผู้ บริโภคเท่านั้น ลดโอกาสที่บริษัทใหญ่ ๆ จะใช้กลยุทธ์ฟ้อ ฟ้ งศาล ไกล ๆ เพื่อกดดันให้เราไม่อยากสู้คดี ฟ้อ ฟ้ งได้ง่าย ไม่ต้องเสียเงินจ้างทนาย! ผู้บริโภคสามารถ ฟ้อ ฟ้ งได้ด้วยวาจา ต่อเจ้าพนักงานคดีในศาล โดยไม่ต้องมีทนายช่วยร่างคำ ฟ้อ ฟ้ ง ศาลจะช่วยบันทึกคำ ฟ้อ ฟ้ งให้ นอกจากนี้ คำ ให้การของจำ เลยก็สามารถให้เป็นวาจาได้เช่นกัน ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล กฎหมายให้ผู้บริโภค ยื่นฟ้อ ฟ้ งและดำ เนินคดีโดยไม่ต้องเสียค่า ธรรมเนียม แต่ถ้าฟ้อ ฟ้ งโดยไม่มีเหตุผลสมควร ศาลสามารถสั่งให้ ชำ ระค่าธรรมเนียมย้อนหลังได้ ภาระการพิสูจน์ต น์ กอยู่กับผู้ประกอบการ ปกติแล้วในคดีแพ่ง "ใครกล่าวอ้าง คนนั้นต้องพิสูจน์"น์ แต่คดีผู้ บริโภคกลับกัน หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต การออกแบบ หรือความปลอดภัยของสินค้า ภาระการพิสูจน์จ น์ ะ ตกอยู่กับผู้ประกอบการ ผู้บริโภคไม่ต้องไปหาหลักฐานเองให้ยุ่ง ยาก ศาลสามารถสั่งลงโทษเพิ่มเติมได้ หากพบว่าผู้ประกอบการจงใจเอาเปรียบผู้บริโภค ศาลสามารถสั่ง ให้จ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่มขึ้นได้สูงสุด 2 เท่า ของค่าเสีย หายที่แท้จริง หรือ 5 เท่า ถ้าค่าเสียหายต่ำ กว่า 50,000 บาท และ ถ้าพบว่าธุรกิจนั้นตั้งขึ้นมาโดยไม่สุจริต ผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหาร อาจต้องรับผิดชอบหนี้ร่วมกันด้วย จุดเด่นของวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค 4
ตัวอย่างคดีผู้บริโภคในปัจจุบัน คดีฟ้อ ฟ้ งร้านค้าออนไลน์: น์ ลูกค้าสั่งโทรศัพท์จากร้านค้า ออนไลน์ชื่ น์ ชื่ อดัง แต่ได้รับของปลอม เมื่อแจ้งขอคืนเงิน ร้าน ค้ากลับเพิกเฉย ผู้บริโภคสามารถฟ้อ ฟ้ งร้านค้าโดยไม่ต้องจ้าง ทนาย ศาลพิจารณาให้ร้านค้าต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย คดีเครื่องสำ อางปลอม: หญิงสาวซื้อครีมจากโซเชียลมีเดีย ใช้แล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ศาลตัดสินให้บริษัทชดใช้ ค่าเสียหายพร้อมค่ารักษาพยาบาล คดีรถยนต์มีปัญหา: ลูกค้าซื้อรถใหม่ป้า ป้ ยแดงแต่พบว่ามี ปัญหาตั้งแต่วันแรก ศาลสั่งให้บริษัทรถยนต์คืนเงินและรับ ผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด กฎหมายคดีผู้บริโภคออกมาเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคได้รับความ เป็นธรรมมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะสู้ไม่ได้ เพราะศาลมีมาตรการ ช่วยเหลือให้เราสามารถดำ เนินคดีได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องจ้าง ทนาย ฟ้อ ฟ้ งง่ายขึ้น ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม แถมยังให้ภาระ การพิสูจน์ไน์ ปตกอยู่กับผู้ประกอบการอีกด้วย ดงนั้น ถ้าถูกเอาเปรียบ อย่ายอม! ใช้สิทธิของเราตามกฎหมาย ได้เลย 5
คำ พิพากษาฎีกา ในยุคที่สินค้าและบริการกลายเป็นปัจจัยสำ คัญในชีวิตประจำ วันของผู้บริโภค ความเสี่ยงจากการได้รับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน บริการที่ไม่เป็นธรรม หรือสัญญาที่เอาเปรียบผู้บริโภคก็เพิ่มสูง ขึ้นตามไปด้วย หลายครั้งผู้บริโภคตกเป็นฝ่า ฝ่ ยเสียเปรียบ เพราะ ขาดความรู้ด้านกฎหมาย ไม่มีหลักฐานเพียงพอ หรือไม่มั่นใจว่า จะสามารถดำ เนินคดีได้สำ เร็จ ด้วยเหตุนี้ กฎหมายว่าด้วยคดีผู้บริโภคจึงถูกออกแบบมาเพื่อ ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงความยุติธรรมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการฟ้อ ฟ้ งร้อง ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และปรับ เปลี่ยนภาระการพิสูจน์ใน์ ห้อยู่ในฝ่า ฝ่ ยผู้ประกอบการแทน ในขณะ เดียวกัน กฎหมายนี้ก็เป็นเครื่องมือสำ คัญในการควบคุม มาตรฐานของสินค้าและบริการ กระตุ้นให้ผู้ประกอบการดำ เนิน ธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและเป็นธรรมต่อผู้บริโภคมากขึ้น หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมคำ พิพากษาในแผนกคดีผู้บริโภค ซึ่ง เป็นแนวทางสำ คัญในการทำ ความเข้าใจว่าศาลมีแนวทางการ พิจารณาและตัดสินคดีผู้บริโภคอย่างไร ผู้อ่านจะได้เห็นกรณี ตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวกับสินค้าชำ รุด บริการที่ไม่ได้มาตรฐาน การเอาเปรียบผู้บริโภค หรือสัญญาที่ไม่ เป็นธรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงสิทธิของตนเอง และ ให้ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางในการดำ เนินธุรกิจอย่างถูกต้อง 6
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 4849/2566 ในการพิจารณาคดีผู้บริโภค พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้ บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง กำ หนดว่าศาลต้อง ดำ เนินการไกล่เกลี่ยเพื่อให้คู่ความได้ตกลงหรือประนีประนอม ยอมความ และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง กำ หนดว่า ถ้าคู่ความไม่อาจ ตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันได้และจำ เลยยังไม่ได้ยื่น คำ ให้การ ให้ศาลจัดให้มีการสอบถามคำ ให้การของจำ เลย โดย จำ เลยจะยื่นคำ ให้การเป็นหนังสือหรือให้การด้วยวาจาก็ได้ ใน กรณีที่มีการให้การด้วยวาจา ให้ศาลจัดให้มีการทำ บันทึกคำ ให้การนั้นและให้จำ เลยลงลายมือชื่อไว้เป็นสำ คัญ วรรคสอง ถ้า จำ เลยไม่ได้ให้การตามวรรคหนึ่ง และไม่ได้รับอนุญนุ าตจากศาล ให้ขยายระยะเวลายื่นคำ ให้การ ให้ถือว่าจำ เลยขาดนัดยื่นคำ ให้การ ในวันนัดพิจารณาจำ เลยมาศาลและแถลงต่อศาลว่าไม่ เคยสมัครสินเชื่อเฟิร์สช้อยส์คาร์ด ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ ขอต่อสู้ คดี เป็นพฤติการณ์ที่ ณ์ ที่ แสดงว่าคู่ความไม่อาจตกลงหรือ ประนีประนอมยอมความกันได้ เมื่อจำ เลยมาศาลในวันนัด พิจารณาดังกล่าวแต่ยังไม่ได้ยื่นคำ ให้การ ศาลชั้นต้นจึงต้อง ดำ เนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณา คดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ต้องจัด ให้มีการสอบคำ ให้การจำ เลย โดยจำ เลยมีสิทธิยื่นคำ ให้การเป็น หนังสือหรือจะให้การด้วยวาจาก็ได้ ถ้าจำ เลยไม่ให้การตามวรรค หนึ่งและไม่ได้รับอนุญนุ าตให้ขยายระยะเวลายื่นคำ ให้การ จึงจะมี ผลตามมาตรา 26 วรรคสอง คือให้ถือว่าจำ เลยขาดนัดยื่นคำ ให้การ การที่ศาลชั้นต้นดำ เนินกระบวนพิจารณาในวันนัด พิจารณาโดยมีคำ สั่งไม่อนุญนุ าตให้จำ เลยเลื่อนคดีและสืบพยาน หลักฐานโจทก์ไปฝ่า ฝ่ ยเดียวจนเสร็จการพิจารณา อันเป็นการ ดำ เนินกระบวนพิจารณาไปอย่างกรณีจำ เลยขาดนัดยื่นคำ ให้การ ไปเสียทีเดียวโดยไม่จัดให้มีการสอบถามคำ ให้การจำ เลยก่อน การดำ เนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบ ด้วย 7
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๒๕๒/๒๕๖๖ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง กรณีมีเหตุสมควรยกคำ พิพากษาของ ศาลล่างทั้งสองแล้วให้ศาลชั้นต้นดำ เนินกระบวนพิจารณาและมี คำ พิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 243 (2) ประกอบพระราชบัญญัติ วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 กรณีผู้เช่าซื้อใช้สิทธิเลิกสัญญาตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืน แก่ผู้ให้เช่าซื้อ แม้ผู้เช่าซื้อ ยังมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการเลิกสัญญาให้ครบถ้วนทุก ประการแต่เป็นที่เข้าใจได้ว่า ผู้ให้เช่าซื้อยอมผ่อนผันเงื่อนไขการ เลิกสัญญาบางประการซึ่งเป็นประโยชน์แ น์ ก่ตนในเวลารับมอบ ทรัพย์สิน ที่เช่าซื้อคืน ดังนั้นไม่ว่าผู้เช่าซื้อจะปฏิบัติครบถ้วน ตามเงื่อนไขในการเลิกสัญญาหรือไม่ ผู้เช่าซื้อซึ่งผิดนัดและใช้ สิทธิเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนย่อมต้องรับ ผิดชำ ระค่าเสียหายตามสัญญา สัญญาเช่าซื้อข้อที่ ๑๓ ระบุให้ผู้ เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเสียก็ได้ โดยบอกกล่าวเป็น หนังสือให้เจ้าของทราบล่วงหน้า น้ไม่น้อ น้ ยกว่า ๗ วัน และผู้เช่าซื้อ จะต้องคืนและส่งมอบรถในสภาพที่ซ่อมแซมเรียบร้อย ใช้การได้ ดีในสภาพเช่นเดียวกับวันที่รับมอบรถไปจากเจ้าของพร้อมทั้ง อุปกรณ์แ ณ์ ละอะไหล่ทั้งหมดให้แก่เจ้าของ ณ สำ นักงานของ เจ้าของและชำ ระเงินทั้งปวงที่ถึงกำ หนดชำ ระหรือเป็นหนี้ตาม สัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันทีภายใต้ความเสี่ยงภัยและค่าใช้จ่าย ของผู้เช่าซื้อเอง และเจ้าของสงวนสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหาย ตามที่กำ หนดไว้ในสัญญาข้อ ๑๔ อีกส่วนหนึ่ง (ถ้ามี) เมื่อจำ เลย คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อเนื่องจากไม่มีเงินชำ ระค่าเช่าซื้อโดยทำ หนังสือแสดงเจตนาขอคืนรถ ซึ่งมีสาระสำ คัญว่าจำ เลยมีความ ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและ 8
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๔๖๙/๒๕๖๖ ขอส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพที่ระบุไว้ในใบรับ มอบรถคืนและตรวจสภาพรถซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือแสดง เจตนาและโจทก์ได้นำ ออกขายโดยวิธีการประมูลหรือขายทอด ตลาดที่เหมาะสม โดยการใช้สิทธิ บอกเลิกสัญญานี้ไม่กระทบ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายและ/หรือมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตาม สัญญาเช่าซื้อของโจทก์ หนังสือแสดงเจตนาขอคืนรถดังกล่าว แม้จะเป็นแบบฟอร์มของโจทก์ แต่เมื่อจำ เลยทราบว่าต้องรับผิด ชอบตามที่ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสาร แสดงว่าจำ เลยเข้าใจสถานะ ของตนที่ยอมรับผิดตามสัญญาและพยายามบรรเทาความเสีย หายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การที่โจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้ จึงเป็นการที่โจทก์ยอม ผ่อนผันเงื่อนไขที่จำ เลยต้องปฏิบัติตาม ข้อสัญญาบางส่วนให้แก่จำ เลย เพื่อบรรเทาความเสียหายและ บังคับ ไปตามสัญญาเช่าซื้อที่มีอยู่เดิม พฤติการณ์ข ณ์ องโจทก์เมื่อ จำ เลยผิดสัญญาไม่ชำ ระค่าเช่าซื้อติดต่อกัน ๓ งวด โดยมี หนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำ เลยชำ ระค่าเช่าซื้อที่ค้างภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากไม่ชำ ระให้ถือเป็นการบอก เลิกสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๐ เมื่อจำ เลยไม่ชำ ระค่าเช่าซื้อ และบอก เลิกสัญญา โดยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน และยอมรับผิดตาม หนังสือแสดงเจตนาขอคืนรถ จึงเป็นกรณีที่จำ เลยบอกเลิก สัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๓ หาใช่โจทก์และจำ เลยสมัครใจ เลิกสัญญาเช่าซื้อกันโดยปริยาย จำ เลยจึงต้องรับผิดชำ ระค่าขาด ราคาแก่โจทก์ ผู้ร้องยื่นคำ ร้องว่า ผู้เข้าร่วมประชุมนิติบุคคลอาคารชุด ส. จัด ให้มีการประชุมใหญ่สามัญ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2559 และวันที่ 14 พฤษภาคม 2559 โดยเจ้าของร่วมจำ นวนมากที่ มอบฉันทะให้ ผู้อื่นเข้าร่วมประชุมออกเสียงลงคะแนนแทนโดยใบมอบฉันทะ มิได้ปิดอากรแสตมป์ ผู้รับมอบฉันทะจึงไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม และออกเสียงแทนได้ 9
นอกจากนี้ลายมือชื่อเจ้าของร่วมที่ เข้าประชุมทั้งสองครั้งตาม บัญชีรายชื่อไม่ปรากฏรายละเอียดว่าเกี่ยวข้องกับการประชุม อย่างไร จึงไม่สามารถใช้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ การ ประชุมและการลงคะแนนตามมติที่ประชุมจึง ไม่ชอบด้วย กฎหมาย รายงานการประชุมใหญ่เป็นเท็จ ขอให้ศาลมีคำ สั่งเพิก ถอนการประชุมใหญ่ ทั้งสองครั้ง และให้เพิกถอนรายงานการ ประชุมทั้งสองฉบับ ตามคำ ร้องดังกล่าวเท่ากับผู้ร้องกล่าวอ้าง ว่าการประชุมใหญ่สามัญดังกล่าวมีผู้มาประชุมซึ่งมีเสียงลง คะแนนรวมกันน้อ น้ ยกว่าหนึ่งในสี่ของจำ นวนเสียงลงคะแนน ทั้งหมดตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 43 แต่พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 ไม่มีบทบัญญัติถึงการดำ เนิน การเกี่ยวกับการประชุมที่ฝ่า ฝ่ ฝืนนั้นแต่อย่างใด จึงต้องวินิจฉัย อาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 ซึ่งตามคำ ร้องของผู้ร้องเป็น การกล่าวอ้างว่า การลงมติของ คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดมีเจ้าของร่วมร่วมประชุมไม่ ครบ องค์ประชุม ไม่มีลักษณะเป็นการประชุมกันจริง เช่นนี้การ ประชุมดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการประชุมใหญ่ สามัญของ เจ้าของร่วมซึ่งเป็นเจ้าของห้องชุดในวันที่ 30 เมษายน 2559 และวันที่ 14 พฤษภาคม 2559 แต่ต้องถือว่าการประชุมใหญ่ สามัญของนิติบุคคลอาคารชุดมิได้เกิดขึ้นจริงและไม่มีการ ประชุมกันจริง คงมีเพียงการลงมติซึ่งนำ ไปใช้อ้างต่อนาย ทะเบียนเพื่อใช้ในการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง อันเป็นการมิ ชอบด้วยกฏหมาย การที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนมติดังกล่าวจึงมิใช่ การร้องขอให้เพิกถอนมติ ของที่ประชุมใหญ่ที่ผิดระเบียบตาม ป.พ.พ. มาตรา 1195 ที่ต้องขอให้เพิกถอนภายในหนึ่งเดือน นับ แต่วันลงมติ 10
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๙๗๗/๒๕๖๓ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๕) คดีก่อนศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์ได้รับชำ ระหนี้ตามสัญญา กู้ยืมเงินและให้มีสิทธิบังคับจำ นองห้องชุดทรัพย์จำ นองเต็มตา มสิทธิของโจทก์ และคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์มาฟ้อ ฟ้ งจำ เลย เป็นคดีนี้ขอให้บังคับจำ เลยไถ่ถอนทรัพย์จำ นองเดียวกันอีก เป็นการรื้อร้องฟ้อ ฟ้ งกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุ อย่างเดียวกัน เดิมธนาคาร น. เป็นโจทก์ฟ้อ ฟ้ งเรียกให้จำ เลยชำ ระ หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำ นอง อันเป็นการฟ้อ ฟ้ งโดยใช้ สิทธิในฐานะเจ้าหนี้สามัญและเจ้าหนี้จำ นองเต็มตามสิทธิที่ ธนาคาร น. มีอยู่ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำ พิพากษาให้จำ เลยชำ ระ หนี้พร้อมดอกเบี้ยแก่ธนาคาร น. และให้ธนาคาร น. มีสิทธิบังคับ จำ นองเอาแก่ห้องชุดทรัพย์จำ นองได้ โดยให้นำ ออกขายทอด ตลาดนำ เงินมาชำ ระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ ยึดทรัพย์สินอื่น ของจำ เลยบังคับชำ ระหนี้จนครบ หลังจากนั้นธนาคาร น. โอน สิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำ เลยให้แก่ บริษัท บ. และบริษัท บ. โอน สิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำ เลยให้แก่โจทก์อีกทอดหนึ่ง และศาลชั้น ต้นมีคำ สั่งให้โจทก์เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำ พิพากษาแทน ธนาคาร น. เมื่อในคดีก่อน โจทก์มิได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำ พิพากษาจนล่วงพ้นระยะเวลา ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ (เดิม) โจทก์จึงสิ้นสิทธิที่จะ บังคับคดีตามคำ พิพากษาดังกล่าวอีกต่อไป ศาลฎีกาโดยมติที่ ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่โจทก์ในฐานะผู้สืบสิทธิของธนาคาร น. โจทก์ในคดีก่อน นำ คดีมาฟ้อ ฟ้ งจำ เลยในคดีนี้อีก ถือว่าโจทก์และ จำ เลยคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกับโจทก์และจำ เลยในคดีก่อน เมื่อ คดีก่อนศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์ ได้รับชำ ระหนี้ตามสัญญา กู้ยืมเงินและให้มีสิทธิบังคับจำ นองห้องชุดทรัพย์จำ นองเต็มตา มสิทธิของโจทก์ และคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์มาฟ้อ ฟ้ งจำ เลย เป็นคดีนี้ขอให้บังคับจำ เลยไถ่ถอนทรัพย์จำ นองเดียวกันอีก คดี นี้ จึงมีประเด็นเดียวกับคดีก่อนว่า 11
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๙/๒๕๖๖ โจทก์มีสิทธิบังคับจำ นองทรัพย์จำ นองนั้นหรือไม่ เป็นการรื้อร้อง ฟ้อ ฟ้ งกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้อ ฟ้ งโจทก์จึงเป็นฟ้อ ฟ้ งซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง มาตรา ๑๔๘ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้ บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๗ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฏว่า หนี้ จำ นองห้องชุดพิพาทได้ระงับสิ้นไป สิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ ผู้รับจำ นองห้องชุดพิพาทจึงยังคงมีอยู่ และย่อมใช้ยันต่อลูกหนี้ จำ นองหรือต่อบุคคลภายนอกที่รับโอนทรัพย์จำ นองต่อไปได้ จำ เลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำ กัด ไม่มีวัตถุประสงค์ ในการค้ำ ประกันการชำ ระหนี้ของผู้อื่น ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา ๖๖ ผู้แทนนิติบุคคลต้องกระทำ กิจการหรือ นิติกรรมภายในขอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลจึงจะมีผลผูกพัน นิติบุคคล เมื่อจำ เลยที่ ๓ ไม่มีวัตถุประสงค์ ในการค้ำ ประกันการ ชำ ระหนี้ของผู้อื่น สัญญาค้ำ ประกันระหว่างโจทก์กับจำ เลยที่ ๓ จึงเป็นเรื่อง นอกขอบวัตถุประสงค์ของจำ เลยที่ ๓ ไม่มีผลผูกพัน จำ เลยที่ ๓ ให้ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำ ประกันดังกล่าว การให้ สัตยาบันแก่นิติกรรมที่นิติบุคคลกระทำ นอกขอบวัตถุประสงค์ ของนิติบุคคลเป็น การให้การรับรองนิติกรรมที่ไม่มีผลผูกพันให้ มีผลผูกพันนิติบุคคลและบังคับกันได้ซึ่งอาจทำ โดยชัดแจ้งหรือ โดยปริยาย โดยสภาพการให้สัตยาบันจึงต้องกระทำ ภายหลังที่ ได้กระทำ นิติกรรม นั้นแล้ว กรณีไม่อาจถือเอาการกระทำ นิติกรรมนั้นเองเป็นการให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้น ในขณะ เดียวกันได้ มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นว่านิติกรรมที่อยู่นอกขอบ วัตถุประสงค์ของนิติบุคคล จะมีผลผูกพันนิติบุคคลนั้นทุกกรณี ซึ่งมิใช่เจตนารมณ์ข ณ์ องกฎหมายในการกำ หนดวัตถุประสงค์ ของ นิติบุคคลให้แตกต่างจากบุคคลธรรมดา 12
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๕๕/๒๕๖๖ การลงลายมือชื่อของจำ เลยที่ ๑ ฐานะกรรมการผู้มีอำ นาจ ของ จำ เลยที่ ๓ ในสัญญาค้ำ ประกันจึงไม่เป็นการให้สัตยาบันแก่การ ค้ำ ประกัน สัญญาค้ำ ประกัน จึงไม่มีผลผูกพันจำ เลยที่ ๓ โจทก์จึง ไม่มีอำ นาจฟ้อ ฟ้ งจำ เลยที่ ๓ ให้รับผิดตามสัญญาค้ำ ประกันได้ พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓ บัญญัติว่า “ในกรณี ที่พนักงานเจ้าหน้า น้ ที่ได้จดแจ้งการจำ นองอสังหาริมทรัพย์ใน หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามมาตรา ๒๒ แล้ว การจำ หน่ายห้อง ชุดแต่ละห้องในครั้งแรกโดยผู้ขอจดทะเบียนอาคารชุดซึ่งเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดจะจำ หน่ายห้องชุด นั้นให้ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้รับโอนไปโดยปลอดจำ นอง” จากบทบัญญัติดังกล่าวชี้ชัดว่าเป็นการบังคับเฉพาะผู้ขอจด ทะเบียนอาคารชุดซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่มีรายการ จำ นองติดมาด้วยให้ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้แก่ ผู้รับโอนในครั้งแรกโดยปลอดจำ นองไม่ได้บังคับผู้รับจำ นองให้ ต้องร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดโดยปลอดจำ นองด้วย การที่ผู้รับจำ นองยินยอมให้จดทะเบียนอาคารชุดเป็นเพียงการ ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำ หนดไว้ใน พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗ เพื่อให้ผู้จำ นองสามารถจดทะเบียนอาคารชุดได้ เท่านั้น ไม่ได้มีผลผูกพันให้ผู้รับจำ นองต้องร่วมรับผิดในการจด ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดโดยปลอดจำ นองแต่อย่างใด ดัง นั้น จำ เลยที่ ๑ ผู้ขอจดทะเบียนอาคารชุดซึ่งเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ห้องชุดและเป็นผู้จำ นองจึงต้องชำ ระหนี้จำ นองเพื่อให้ จำ เลยที่ ๗ ผู้รับจำ นองจดทะเบียนไถ่ถอนจำ นองให้เสร็จสิ้นก่อน ที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ ซื้อในครั้งแรก แม้โจทก์ชำ ระเงินค่าห้องชุดพิพาทแก่จำ เลยที่ ๑ ครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อจำ เลยที่ ๑ ยังไม่ได้ชำ ระหนี้จำ นองห้องชุด พิพาท ย่อมไม่อาจบังคับให้จำ เลยที่ ๗ จดทะเบียนไถ่ถอนจำ นอง ห้องชุดดังกล่าวโดยที่โจทก์ไม่ต้องชำ ระหนี้ไถ่ถอนจำ นองแทน จำ เลยที่ ๑ ได้ 13
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2566 ค่าบำ รุงรักษาสาธารณูปโภคเป็นหน้า น้ ที่และความรับผิดของผู้ จัดสรรที่ดินและ เป็นคนละส่วนกับค่าใช้บริการและค่าบำ รุงรักษา บริการสาธารณะซึ่งสามารถตกลงกับ ผู้ซื้อที่ดินให้เป็นผู้รับผิด ชอบได้ ค่าบำ รุงรักษาสาธารณูปโภคเป็นคนละส่วนกับค่าใช้บริการและ ค่าบำ รุงรักษาบริการสาธารณะ ดังที่ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 นิยามคำ ว่า “สาธารณูปโภค” กับคำ ว่า “บริการ สาธารณะ” แยกจากกัน การบำ รุงรักษาสาธารณูปโภคให้คง สภาพดังเช่นที่ได้จัดทำ ขึ้นเป็นหน้า น้ ที่ของผู้จัดสรรที่ดิน ตาม ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ข้อ 30 และ พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 43 ผู้จัดสรรที่ดินจะพ้นจากความรับผิดเมื่อดำ เนินการ อย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 44 หากมีการทำ ข้อตกลงที่ เป็นการผลักภาระความรับผิดใน ค่าบำ รุงรักษาและการจัดการ สาธารณูปโภคไปให้แก่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรก่อนที่จะมีการดำ เนิน การอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 44 ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการ ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 แต่ใน ส่วนบริการสาธารณะ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 และ พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 43 และ มาตรา 44 ไม่ได้กำ หนดให้เป็นหน้า น้ ที่ของผู้จัดสรรที่ดินที่จะต้อง รับผิดชอบเหมือนดังเช่นสาธารณูปโภค ประกอบกับผู้ซื้อที่ดิน จัดสรรได้รับประโยชน์จ น์ ากบริการสาธารณะซึ่งเป็นบริการหรือ สิ่งอำ นวยความสะดวกในโครงการจัดสรรที่ดินโดยตรง ผู้ซื้อ ที่ดินจัดสรรย่อมมีหน้า น้ ที่รับผิดชอบในค่าบริการสาธารณะ 14
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2565 อาคารชุดเป็นที่ประชาชนใช้สำ หรับอยู่อาศัยในอาคารเดียวกัน โดยถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดในอาคารส่วนที่เป็นของตนแยกจากกัน เป็นสัดส่วน แต่ยังคงมีหน้า น้ ที่บำ รุงรักษาอาคารชุดโดยเฉพาะที่ เป็นทรัพย์ส่วนกลางร่วมกัน เพื่อมิให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดต้อง รับภาระในค่าใช้จ่ายบำ รุงรักษาอาคารชุดจนเกินสมควร กระทรวงมหาดไทยจึงกำ หนดรูปแบบสัญญาจะซื้อจะขายหรือ สัญญาซื้อขายห้องชุดขึ้นโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำ หนดแบบสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายห้องชุดตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 ที่ออกโดยอาศัยอำ นาจตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 และมาตรา 6/2 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.อาคาร ชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 อันเป็นการกำ หนดหลักเกณฑ์เพื่อ คุ้มครองประชาชนผู้ซื้อห้องชุดเพื่อการอยู่อาศัยให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การกำ หนดให้สัญญาจะซื้อจะขายต้องมี ข้อตกลงตามข้อ 8.1 ที่ให้ผู้จะขายต้องรับผิดเพื่อความเสียหาย อย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากความชำ รุดบกพร่องของอาคารชุด หรือห้องชุดภายในระยะเวลาแล้วแต่กรณีของความเสียหายนั้น มีลักษณะเป็นข้อตกลงพิเศษในทำ นองผู้ขายรับประกันความเสีย หายเนื่องจากความชำ รุดบกพร่องของอาคารชุดหรือห้องชุดที่ เกิดขึ้นภายในระยะเวลาตามแต่จะตกลงกัน ทั้งนี้ต้องไม่น้อ น้ ยกว่า 5 ปี หรือ 2 ปี ตามที่กำ หนดในแบบของสัญญา ทั้งนี้ เพื่อสร้าง ความมั่นใจแก่ผู้ซื้อห้องชุดในอาคารชุดนั้น ๆ สัญญาจะซื้อจะขาย ห้องชุดจัดทำ ขึ้นตามแบบที่กำ หนดโดยประกาศกระทรวง มหาดไทยสำ หรับความชำ รุดบกพร่องที่พิพาทกันเกิดขึ้นในระยะ เวลา 2 ปี นับแต่วันที่จำ เลยจดทะเบียนอาคารชุด ดังนั้น ไม่ว่า ความชำ รุดบกพร่องดังกล่าวจะเกิดในส่วนโครงสร้างและอุปกรณ์ อันเป็นส่วนประกอบอาคารที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือกรณีเป็น เพียงส่วนควบอื่น ก็ล้วนอยู่ในระยะเวลาที่จำ เลยต้องรับผิดตาม ข้อตกลงดังกล่าวทั้งสิ้น 15
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๑๓๐/๒๕๖๑ การฟ้อ ฟ้ งขอให้บังคับจำ เลยรับผิดตามข้อตกลงรับประกันความ เสียหายของอาคารชุดตามสัญญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุ ความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 หาใช่ต้องฟ้อ ฟ้ งบังคับภายในระยะเวลารับประกันไม่ เมื่อ โจทก์ฟ้อ ฟ้ งคดีนี้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ตรวจพบความชำ รุด บกพร่อง ซึ่งเป็นเวลาที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้อง อันเป็นการ ฟ้อ ฟ้ งภายในกำ หนดอายุความ จำ เลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม ฟ้อ ฟ้ ง เมื่อศาลมิได้มีคำ พิพากษาให้จำ เลยใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงแก่ โจทก์ คงพิพากษาเพียงแต่ให้จำ เลยคืนเงินแก่โจทก์เพื่อกลับคืน สู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง เท่านั้น ศาลย่อมไม่อาจกำ หนดค่าเสีย หายเพื่อการลงโทษแก่โจทก์ได้ เนื่องจากไม่เป็นไปตามพระราช บัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๔๒ โจทก์เข้าทำ สัญญาเช่าสถานที่โครงการและสัญญาจ้างบริการ ในสถานที่เช่ากับจำ เลย ก็เนื่องจากคำ โฆษณาเชิญชวนที่จูงใจ ทำ ให้โจทก์เชื่อว่าโครงการของจำ เลยจะมีประชาชนมาจับจ่าย ใช้สอย ซื้อสินค้า และใช้บริการจำ นวนมากซึ่งจะส่งผลดีต่อการ ประกอบกิจการของโจทก์ด้วย อันนับได้ว่าข้อความที่จำ เลย โฆษณาเชิญชวนดังกล่าวนั้นเกินความจริง และเป็นข้อสาระ สำ คัญในการที่โจทก์ตัดสินใจเข้าทำ สัญญากับจำ เลย แม้ข้อความ ตามคำ โฆษณาเชิญชวนของจำ เลยจะมิได้ระบุไว้ชัดแจ้งใน สัญญา แต่ก็ถือได้ว่าเป็น ส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าสถานที่ โครงการระหว่างโจทก์กับจำ เลยด้วยตามพระราชบัญญัติวิธี พิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๑ จำ เลยจึงต้อง ผูกพันและมีหน้า น้ ที่ต้องจัดให้มีร้านค้าที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ตามที่ ได้โฆษณาไว้ เมื่อปรากฏว่าหลังจากเปิดโครงการแล้วยังไม่มีร้าน ค้าที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ 16
ตามที่โฆษณาเชิญชวนไว้ จำ เลยจึงเป็นฝ่า ฝ่ ยผิดสัญญา โจทก์ ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าสถานที่และสัญญาจ้างบริการใน สถานที่เช่ากับจำ เลยได้ เมื่อจำ เลยเป็นฝ่า ฝ่ ยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาโดย ชอบแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่า ฝ่ ยจำ ต้องให้อีกฝ่า ฝ่ ยหนึ่งได้กลับคืนสู่ ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง และการใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบ ถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตาม มาตรา ๓๙๑ วรรคสี่ ด้วยไม่ โจทก์จึงมีสิทธิขอคืนเงินประกันการเช่าได้ สำ หรับค่าเช่าพื้นที่ และค่าบริการส่วนกลางที่โจทก์ชำ ระไปแล้ว เมื่อจำ เลยมอบสิทธิ พิเศษแก่ผู้เช่าพื้นที่รวมทั้งโจทก์โดยยกเว้นไม่ต้องชำ ระ ค่าเช่า พื้นที่และค่าบริการส่วนกลาง จำ เลยจึงต้องคืนเงินค่าเช่าพื้นที่ และค่าบริการส่วนกลางที่ได้รับชำ ระ ไปก่อนแล้ว รวมทั้งคืนเงิน ประกันความเสียหาย เงินประกันการใช้ไฟฟ้า ฟ้ เงินค่าประกันภัย งานตกแต่ง ค่าใช้จ่ายสิ่งอำ นวยความสะดวกส่วนกลางแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย ส่วนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งโทรศัพท์ การลงทุน ตกแต่งพื้นที่เช่า การลงทุนซื้อแฟรนไชส์จากโรงเรียนดนตรีเค พีเอ็น ค่าเสียหายกรณีขาย เครื่องดนตรีให้บุคคลอื่นแล้วอาจได้ ราคาลดลง ตลอดจนค่าเสียหายที่เกิดจากการประกอบกิจการ ขาดทุน เป็นเรื่องที่โจทก์กระทำ เพื่อหวังผลประโยชน์ต น์ อบแทน ในทางธุรกิจที่โจทก์คาดหมายว่าจะได้รับในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่อง ที่ไม่แน่นอน ถือไม่ได้ว่าเป็นความเสียหายโดยตรงจากการผิด สัญญาของจำ เลย เมื่อศาลมิได้มีคำ พิพากษาให้จำ เลยใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงแก่ โจทก์ คงพิพากษาเพียงแต่ ให้จำ เลยคืนเงินแก่โจทก์เพื่อกลับ คืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง เท่านั้น ศาลย่อมไม่อาจกำ หนด ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษแก่โจทก์ได้เพราะไม่เป็นไปตามหลัก เกณฑ์ในบทบัญญัติ มาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณา คดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ 17
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๑๘๓/๒๕๖๕ ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำ สัญญาเป็นแบบมาตรฐานให้ผู้บริโภค ต้องยอมรับข้อสัญญาที่บังคับให้การระงับข้อพิพาทต้องดำ เนิน การทางอนุญนุ าโตตุลาการสถานเดียวโดยไม่ได้ให้ใช้สิทธิทาง ศาลตามกฎหมาย พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ ถือได้ว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตามพระราช บัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๔ วรรคสาม ที่ทำ ให้ข้อสัญญาเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทด้วยวิธี การทางอนุญนุ าโตตุลาการใช้บังคับไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๒๒ เป็น กฎหมายที่ให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคซึ่งโดยสภาพแล้ว มักอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบผู้ประกอบธุรกิจทั้งใน ด้านความรู้ทางเทคโนโลยี คุณภาพสินค้าหรือบริการ และ เทคนิคการตลาดของผู้ประกอบการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็น ธรรมในสังคม และเมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้บริโภคและผู้ ประกอบธุรกิจ กระบวนการในการระงับข้อพิพาทเพื่อให้การ คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตามเจตนารมณ์ข ณ์ องกฎหมายนับว่ามี ความสำ คัญอย่างยิ่ง จึงได้มีการตรา พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ ออกใช้ บังคับแก่คดีผู้บริโภคภายใต้หลักการให้การดำ เนินกระบวน พิจารณาคดีเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และ เป็นธรรม ศาลเป็นผู้มีบทบาทสำ คัญในการดำ เนินกระบวน พิจารณา พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ จึง เป็นบทกฎหมายที่กำ หนดวิธีการระงับข้อพิพาทในคดีผู้บริโภคไว้ โดยเฉพาะเพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคตามเจตนารมณ์ข ณ์ อง กฎหมายให้เป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ ส่วนการระงับข้อพิพาท ด้วยวิธีการทางอนุญนุ าโตตุลาการ 18
แม้จะเป็นวิธีการที่คู่สัญญาอาจเลือกใช้ในการระงับข้อพิพาทและ มีผลใช้บังคับกันได้ตามข้อตกลงของคู่สัญญาตามหลักเสรีภาพ ของการแสดงเจตนาแต่ก็ต้องเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นด้วยความ สมัครใจของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ผู้บริโภคต้องมีโอกาสต่อรอง หรือตระหนักดีว่าการดำ เนินกระบวนการพิจารณาชั้น อนุญนุ าโตตุลาการซึ่งกล่าวเฉพาะคดีนี้ต้องบังคับตามข้อบังคับ สำ นักงานศาลยุติธรรมว่าด้วยอนุญนุ าโตตุลาการ สถาบัน อนุญนุ าโตตุลาการ ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีปฏิบัติแตกต่างจาก บทบัญญัติของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ หลายประการ ทั้งในชั้นเสนอข้อพิพาทที่ต้องทำ เป็น หนังสือและประกอบด้วยรายละเอียดต่าง ๆ การเสนอชื่อและ คัดค้านอนุญนุ าโตตุลาการ รวมทั้งภาระในค่าธรรมเนียม ค่าใช้ จ่ายและค่าป่ว ป่ ยการต่าง ๆ ในการดำ เนินกระบวนพิจารณา ซึ่ง โดยรวมแล้วอาจเป็นการเพิ่มภาระแก่ผู้บริโภคที่พึงมี แต่ขณะ เดียวกันก็เป็นการลดทอนสิทธิที่ผู้บริโภคพึงได้รับตาม บทบัญญัติของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ อยู่มาก เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำ เลยเป็นสัญญา จะซื้อจะขายห้องชุดซึ่งต้องอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติอาคาร ชุด พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๖/๒ กล่าวคือ แบบของสัญญาต้องเป็น ไปตามที่รัฐมนตรีกำ หนด การที่จำ เลยผู้ประกอบธุรกิจจัดทำ สัญญาเป็นแบบมาตรฐานให้ผู้บริโภคที่จะซื้อห้องชุดต้องยอมรับ ข้อสัญญา ข้อ ๑๐.๔ ที่บังคับให้การระงับข้อพิพาทต้องดำ เนินการ ทางอนุญนุ าโตตุลาการสถานเดียวโดยไม่ได้ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะ ใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมายว่าด้วยการนี้โดยเฉพาะเช่นนี้ นอกจากจะขัดต่อเจตนารมณ์ข ณ์ องกฎหมายในอันที่จะคุ้มครองผู้ บริโภคแล้ว ยังเป็นข้อตกลงที่นอกเหนือไปจากแบบที่รัฐมนตรี กำ หนดและไม่เป็นคุณต่อโจทก์ผู้ซื้อ ซึ่งไม่มีผลใช้บังคับตาม มาตรา ๖/๒ วรรคสอง กับมีลักษณะเป็นการเพิ่มภาระเกินกว่าที่ โจทก์พึงมีตาม 19
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๓๘๑๓/๒๕๖๓ บทกฎหมายที่เกี่ยวข้องอันถือได้ว่าข้อสัญญาข้อนี้เป็นข้อสัญญา ที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็น ธรรม พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๔ วรรคสามด้วย กรณีจึงมีเหตุที่ทำ ให้ สัญญาอนุญนุ าโตตุลาการ ข้อ ๑๐.๔ ใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ย่อมฟ้อ ฟ้ ง คดีนี้ต่อศาลชั้นต้นได้โดยไม่จำ เป็นต้องดำ เนินการทาง อนุญนุ าโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญนุ าโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและภริยาชอบด้วยกฎหมายของผู้ ตาย ได้เข้ารับภาระหนี้แทนผู้ตายผู้เอาประกันภัยและทำ สัญญา กู้ฉบับใหม่กับธนาคาร ก. ผู้รับประโยชน์ต น์ ามสัญญาประกันภัย โดยนำ หนี้ของผู้ตายรวมกับหนี้ที่โจทก์กู้จากธนาคารคิดเป็นเงิน กู้ทั้งสิ้น ๗๖๙,๐๐๐ บาท ถือได้ว่าหนี้ตามสัญญากู้ระหว่างธนาคาร ก. กับผู้ตายเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยน ตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๕๐ อันจะพอแปลได้ว่าธนาคารสละประโยชน์จ น์ ากที่ได้แสดงเจตนา เข้ารับไว้ตามสัญญาประกันภัย และทำ ให้ธนาคาร ก. ไม่อาจเรียก ร้องค่าสินไหมทดแทนตามข้อตกลงในสัญญาประกันภัยอันเป็น สัญญาเพื่อประโยชน์แ น์ ก่บุคคลภายนอกที่เป็นประกันแห่งหนี้ซึ่ง ระงับไปแล้วได้ ส่วนนางสาว ส. ผู้รับประโยชน์อี น์ อี กรายไม่ปรากฏ ว่าได้เข้าถือเอาประโยชน์ต น์ ามสัญญาประกันภัย สิทธิของนางสาว ส. ตามสัญญาเพื่อประโยชน์แ น์ ก่บุคคลภายนอกจึงยังไม่เกิดขึ้น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายคู่สัญญาประกันภัย ย่อมมี อำ นาจฟ้อ ฟ้ งให้จำ เลยปฏิบัติตามสัญญาประกันภัยใช้ค่าสินไหม ทดแทนแก่โจทก์ได้ แม้โจทก์ไม่ใช่ผู้รับประโยชน์ต น์ ามสัญญา และค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับตามสัญญาประกันภัยดังกล่าว ไม่ใช่ทรัพย์มรดกที่ผู้ตายมีอยู่ขณะถึงแก่ความตายเพราะได้มา ภายหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม 20
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๘๔๒๔/๒๕๖๓ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการขาย รถยนต์ที่มีการจองเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ เอกสารหมาย จ.๑๓ ออกโดยคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา ตามพ ระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๕ ทวิ จึง มีผลใช้บังคับตามกฎหมาย ความตามข้อ ๓ (๔) ของประกาศ กำ หนดว่า “ผู้บริโภคหรือผู้ประกอบธุรกิจฝ่า ฝ่ ยหนึ่งฝ่า ฝ่ ยใดมีสิทธิ บอกเลิกสัญญา หากมีข้อเท็จจริงที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับทราบว่า ผู้บริโภคต้องขอสินเชื่อเพื่อการซื้อรถยนต์ และผู้บริโภคไม่ได้รับ อนุมั นุ มั ติสินเชื่อตามที่ขอภายในกำ หนดเวลาตาม (๒)” ความตาม ข้อ ๓ (๒) กำ หนดว่า “กำ หนดเวลาที่คาดว่าจะส่งมอบรถยนต์” ความตามข้อ ๓ (๕) กำ หนดว่า “เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาตาม (๓) หรือ (๔) แล้ว ผู้ประกอบธุรกิจต้องคืนเงินหรือสิ่งใดที่รับไว้ เป็นมัดจำ ทั้งหมดแก่ผู้บริโภคภายใน ๑๕ วัน” และความตาม ข้อ ๔ กำ หนดว่า “ข้อสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจทำ กับผู้บริโภคต้องไม่ ใช้ข้อสัญญาที่มีลักษณะหรือมีความหมายทำ นองเดียวกัน ดังต่อ ไปนี้ ...(๒) ข้อสัญญาที่ให้สิทธิผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลง กำ หนดเวลาการส่งมอบรถยนต์หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่กำ หนด ในสัญญาจองรถยนต์ ทำ ให้ผู้บริโภคต้องรับภาระเพิ่มขึ้นมากกว่า ภาระที่เป็นอยู่ในเวลาทำ สัญญา... ” ดังนี้ การวินิจฉัยว่า ข้อตกลง ไม่คืนเงินจองกรณีสั่งซื้อรถที่มีคำ สั่งซื้อพิเศษเป็นข้อสัญญาที่ไม่ เป็นธรรมหรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่า เป็นข้อตกลงที่ทำ ให้ผู้ บริโภคต้องรับภาระเพิ่มขึ้นมากกว่าภาระที่เป็นอยู่ในเวลาทำ สัญญาหรือไม่ เมื่อได้ความว่าขณะสั่งจองรถยนต์นาย ศ. ทราบดี ว่า จำ เลยต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นต้นทุนพิเศษต่างหากจากรถยนต์ รุ่นปกติทั่วไปที่จำ เลยต้องเสียไปในการสั่งรถยนต์นำ เข้ามาให้ แก่นาย ศ. เป็นการเฉพาะ และทราบดีถึงการที่จำ เลยไม่อาจ จำ หน่ายรถยนต์นั้นเป็นการทั่วไปในท้องตลาดได้ดังเช่นรถยนต์ รุ่นปกติ 21
แต่นาย ศ. ก็ยังยืนยันประสงค์จะให้จำ เลยสั่งรถยนต์ที่มีอุปกรณ์ พิเศษเช่นนั้นจากผู้ผลิตและประกอบรถยนต์ในต่างประเทศเข้า มาเพื่อความประสงค์ของตนเป็นการเฉพาะเจาะจง โดยนาย ศ. ยินยอมตกลงกับจำ เลยในเงื่อนไขไม่ต้องคืนเงินจองให้ไม่ว่า กรณีใด ซึ่งหมายความว่า ในกรณีการซื้อขายไม่เกิดขึ้น นาย ศ. ยินดีให้จำ เลยริบเงินจองนั้นได้ เมื่อพิเคราะห์ถึงความรู้ ความ เข้าใจ สถานะของนาย ศ. ที่เป็นกรรมการของบริษัทจำ กัด ตลอด จนอำ นาจต่อรองและทางเลือกอย่างอื่น รวมทั้งทางได้เสียทุก อย่างของทั้งสองฝ่า ฝ่ ย ประกอบปกติประเพณีของการทำ สัญญา จองรถยนต์ กับโอกาสที่นาย ศ. มีในการไตร่ตรองทบทวนข้อ ตกลงไม่คืนเงิน เวลาและสถานที่ในการทำ สัญญาของนาย ศ. แล้ว เห็นว่า หากการซื้อขายระหว่างจำ เลยกับนาย ศ. ไม่เกิดขึ้น เพราะความผิดของฝ่า ฝ่ ยจำ เลยก็ดี หรือด้วยเหตุอันจะโทษฝ่า ฝ่ ยใด ฝ่า ฝ่ ยหนึ่งมิได้ก็ดี ย่อมเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจที่จำ เลยต้องรับ ผิดชอบ และจำ เลยจะแสวงประโยชน์จ น์ ากข้อตกลงให้ริบเงินนั้น มิได้ เพราะมิได้เกิดแต่การกระทำ ของนาย ศ. อย่างไรก็ตาม หาก การซื้อขายระหว่างจำ เลยกับนาย ศ. ไม่เกิดขึ้นเพราะเหตุอันเกิด แต่การกระทำ ของนาย ศ. และจำ เลยไม่อาจริบเงินได้ เท่ากับ จำ เลยต้องรับผิดคืนเงินแก่นาย ศ. แม้เป็นกรณีที่นาย ศ. ใช้สิทธิ โดยไม่สุจริต ซึ่งเป็นการต้องรับภาระที่หนักกว่าของจำ เลยเมื่อ เปรียบเทียบกับของนาย ศ. ดังนี้ ข้อตกลงไม่คืนเงินจองกรณีสั่ง ซื้อรถที่มีคำ สั่งซื้อพิเศษที่จำ เลยกำ หนดให้ตนไม่ต้องคืนเงินจอง แก่นาย ศ. ในทุกกรณี ซึ่งย่อมรวมถึงกรณีที่การซื้อขายมิได้เกิด ขึ้นเพราะความผิดของฝ่า ฝ่ ยจำ เลยและด้วยเหตุอันจะโทษฝ่า ฝ่ ยใด ฝ่า ฝ่ ยหนึ่งมิได้รวมอยู่ด้วยนั้น จึงเป็นข้อตกลงที่ทำ ให้นาย ศ. ซึ่ง เป็นผู้บริโภคต้องรับภาระเพิ่มขึ้นมากกว่าภาระที่เป็นอยู่ในเวลา ทำ สัญญารวมอยู่ด้วย ข้อสัญญาส่วนนี้จึงเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็น ธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๔ 22
มีผลให้ใช้บังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี เท่านั้น ซึ่งหมายถึง หากการซื้อขายระหว่างจำ เลยกับนาย ศ. ไม่ เกิดขึ้นเฉพาะเหตุอันเกิดแต่การกระทำ ของนาย ศ. จำ เลยชอบ จะใช้สิทธิริบเงินซึ่งเป็นมัดจำ ตามข้อตกลงส่วนนี้ได้ เมื่อการซื้อขายระหว่างจำ เลยกับนาย ศ. ที่ไม่เกิดขึ้นสืบ เนื่องจากการที่นาย ศ. ปฏิเสธคำ เสนอที่อนุมั นุ มั ติให้สินเชื่อและเกิด จากการที่นาย ศ. ละเลยไม่เสนอขอให้บริษัทเมอร์ซิเดส เบนซ์ ลีสซิ่ง จำ กัด พิจารณาสินเชื่อแก่ตนในเงื่อนไขอื่นแล้วทำ คำ เสนอ ใหม่แก่ตน ซึ่งนำ ไปสู่การยกเลิกสัญญาจองระหว่างนาย ศ. กับ จำ เลย เมื่อการซื้อขายระหว่างจำ เลยกับนาย ศ. ไม่เกิดขึ้นเพราะ เหตุอันเกิดแต่การกระทำ ของนาย ศ. จำ เลยจึงมีสิทธิริบเงิน มัดจำ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ได้ อย่างไรก็ตาม กรณีอยู่ใต้บังคับตามพ ระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๗ ที่บัญญัติว่า “ในสัญญาที่มีการให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ หากมีกรณีที่จะต้องริบมัดจำ ถ้ามัดจำ นั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลด ลงให้ริบได้เพียงเท่าความเสียหายที่แท้จริงก็ได้” แม้การดำ เนิน การเพื่อให้ได้สินเชื่อไม่เกิดขึ้นโดยเหตุอันเกิดแต่การกระทำ ของนาย ศ. แต่ผู้ประกอบธุรกิจในฐานะเช่นจำ เลยซึ่งเป็นผู้ให้ บริการแก่ลูกค้า ชอบที่จะแจ้งเตือนให้นาย ศ. ดำ เนินการเพื่อให้ ขอสินเชื่อภายใต้เงื่อนไขใหม่ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจเช่นจำ เลย นอกจากจะรักษาผลประโยชน์ใน์ นทางธุรกิจของตนตามที่ควรจะ ได้รับโดยชอบแล้ว ยังมีหน้า น้ ที่ต้องคำ นึงถึงสิทธิประโยชน์ที่ น์ ที่ นาย ศ. ผู้ซื้ออันเป็นผู้บริโภคสินค้าและบริการจากตนพึงได้รับตาม สมควรด้วย การที่จำ เลยละเลยไม่แจ้งเตือนนาย ศ. ว่าสามารถ แก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการอนุมั นุ มั ติสินเชื่อได้เพื่อให้นาย ศ. ทราบถึงสิทธิที่จะต่อรองเจรจาเพื่อขอสินเชื่อต่อไปซึ่งอาจทำ ให้ การขอสินเชื่อสำ เร็จได้ในเงื่อนไขที่เห็นชอบทั้งสองฝ่า ฝ่ ย แต่ จำ เลยไม่กระทำ จำ เลยกลับใช้สิทธิริบเงินมัดจำ ตามข้อตกลง แล้วขายรถยนต์พิพาทให้แก่ผู้อื่นไปโดยไม่ได้ให้โอกาสแก่นาย ศ. ที่จะรักษาประโยชน์ข น์ องตนซึ่งเป็นผู้บริโภคตามสมควร 23
ทั้งจะเป็นการรักษาประโยชน์ข น์ องจำ เลยไปในขณะเดียวกัน เพื่อให้ขายรถยนต์พิพาทที่มีอุปกรณ์พิ ณ์ พิ เศษแก่นาย ศ. ได้โดยไม่ ขาดทุน การกระทำ ของจำ เลยดังกล่าวย่อมไม่ใช่มาตรฐานปกติ ประเพณีการค้าที่พึงปฏิบัติต่อผู้บริโภค ดังนี้ การที่จำ เลยต้อง ขายรถยนต์พิพาทไปในราคาขาดทุนดังจำ เลยอ้าง จำ เลยจึงมี ส่วนก่อให้เกิดความเสียหายอยู่ด้วย เมื่อคดีไม่ปรากฏความเสีย หายที่แท้จริงจากข้อเท็จจริงที่คู่ความนำ สืบและเมื่อคำ นึงถึง พฤติการณ์ที่ ณ์ ที่ จำ เลยมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายอยู่ด้วย จึงเห็น สมควรกำ หนดให้จำ เลยริบเงินมัดจำ ได้เพียงเท่าความเสียหาย ที่แท้จริงที่กำ หนดให้ ๑๒๐,๐๐๐ บาท จำ เลยจึงต้องคืนเงินมัดจำ ๘๐,๐๐๐ บาท แก่นาย ศ. และกรณีเป็นเรื่องการคืนมัดจำ ที่สูงเกิน ส่วนตามที่ศาลกำ หนด หาใช่กรณีจำ เลยผิดนัดไม่ชำ ระหนี้หรือ เป็นกรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิมจากการเลิกสัญญาตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๓๙๑ วรรคสอง ไม่ จำ เลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าดอกเบี้ยนับแต่ รับเงินมัดจำ ไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นหนี้เงินและความรับผิด เกิดแต่คำ พิพากษาของศาล จึงกำ หนดให้จำ เลยรับผิดค่า ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท นับ แต่วันอ่านคำ พิพากษาเป็นต้นไป 24
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๕๔๕๒/๒๕๖๔ คดีก่อน โจทก์ฟ้อ ฟ้ งจำ เลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ และจำ เลยที่ 2 ถึงที่ 4 ผู้ ค้ำ ประกัน ให้ร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หากคืน ไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน และให้ร่วมกันรับผิดชำ ระค่าเสียหาย ศาล ชั้นต้นพิพากษาให้จำ เลยทั้งสี่ร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ผลแห่งคำ พิพากษาดังกล่าว จึงผูกพันคู่ความ และทำ ให้จำ เลยทั้งสี่มีสถานะเป็นลูกหนี้ตามคำ พิพากษาที่จะต้องชำ ระหนี้ตามคำ พิพากษาให้แก่โจทก์ นอกจาก โจทก์ชอบจะร้องขอให้มีการบังคับคดีต่อไปได้ในกรณีที่จำ เลย ทั้งสี่ไม่ชำ ระหนี้ตามคำ พิพากษาแล้ว การที่จำ เลยทั้งสี่ละเลยไม่ ชำ ระหนี้ตามคำ พิพากษาให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริง แห่งมูลหนี้ หากโจทก์ได้รับความเสียหายประการใด โจทก์ซึ่ง เป็นเจ้าหนี้ตามคำ พิพากษาชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก จำ เลยทั้งสี่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นได้อีก ดังนั้น เมื่อ ศาลชั้นต้นมีคำ พิพากษาในคดีก่อน จำ เลยทั้งสี่มิได้ปฏิบัติการ ชำ ระหนี้ตามคำ พิพากษาโดยไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี และมิได้ใช้ราคาแทนให้แก่ โจทก์ จนกระทั่งโจทก์ติดตามรถยนต์คืนมาในสภาพชำ รุดเสีย หาย ทำ ให้นำ รถยนต์ขายทอดตลาดได้เงินต่ำ กว่าราคารถยนต์ที่ ศาลชั้นต้นกำ หนดไว้ในคดีก่อน จึงต้องถือว่าการละเลยไม่ชำ ระ หนี้ตามคำ พิพากษา ทำ ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เป็นราคา รถยนต์ส่วนที่ขาดไป จำ เลยทั้งสี่ในฐานะลูกหนี้ตามคำ พิพากษา จึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ซึ่งค่าเสียหาย ดังกล่าวเป็นค่าสินไหมทดแทนอันสืบเนื่องมาจากการที่จำ เลยทั้ง สี่ไม่ได้ชำ ระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ ตามคำ พิพากษาในคดีก่อน มิใช่ค่าเสียหายที่มีหลักแหล่งข้อหา ตามสัญญาเช่าซื้อหรือข้ออ้างที่อาศัยความผูกพันกันตามสัญญา ค้ำ ประกันซึ่งเลิกกันไปแล้วและศาลชั้นต้นในคดีก่อนได้วินิจฉัย ชี้ขาดจนเสร็จสิ้น จึงไม่มีเหตุที่ต้องพิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ การบอกกล่าวผู้ค้ำ ประกันให้ทราบการผิดนัดของลูกหนี้ไปยังผู้ ค้ำ ประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด 25
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๒๗๖๔/๒๕๖๕ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า “ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย โดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้ บริโภคหรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ผู้บริโภค หรือผู้มีอำ นาจฟ้อ ฟ้ งคดีแทนผู้บริโภคต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายใน สามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย” บทบัญญัติดังกล่าวแยกความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย เป็น ๒ กรณี คือ กรณีแรกเป็นผลของสารที่ สะสมอยู่ในร่างกายของผู้บริโภค และกรณีที่สองเป็นผลของสาร ที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการของผู้บริโภค เมื่อข้อเท็จจริงฟัง เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๘ โจทก์เข้ารับการบริการที่ ม.คลีนิค เพื่อรักษาและฟื้นฟูสภาพตับ โดยการฉีดชีวโมเลกุล เข้าสู่ร่างกายของโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้รับการฉีดชีวโมเลกุลตามนัด อย่างต่อเนื่องตามปริมาณที่จำ เลยที่ ๒ กำ หนดจนครบ โดยฉีด ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ รวม ๖ ครั้ง ตาม ประวัติการรักษา การฉีดชีวโมเลกุลเข้าสู่ร่างกายดังกล่าวจึง เป็นการให้บริการทางการแพทย์อย่างหนึ่ง ที่อยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของคู่ความฝ่า ฝ่ ยที่เป็นผู้ประกอบ ธุรกิจ ภาระการพิสูจน์ใน์ นประเด็นดังกล่าวจึงตกแก่จำ เลยที่ ๑ และ ที่ ๒ ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๒๙ ในข้อนี้นาย ว. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาล บ. พยานโจทก์เบิกความว่า จากการสอบถามจำ เลยที่ ๒ ถึงส่วน ประกอบของชีวโมเลกุลที่ฉีดให้แก่โจทก์ จำ เลยที่ ๒ ทราบเพียง ว่าเป็นสารสกัดจากวัวและผลิตจากประเทศเยอรมันเท่านั้น และ ตามทางนำ สืบของจำ เลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ปรากฏหลักฐานใดใน ชั้นพิจารณาเลยว่าสารดังกล่าวคืออะไร ได้รับการรับรองจาก หน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวข้อง 26
หรือมีงานวิจัยทางวิชาการใดมาสนับสนุน นุ ให้เห็นว่าสารชีว โมเลกุลอาจตกค้างหรือสะสมอยู่ในร่างกายจนก่อให้เกิดอันตราย ต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยได้หรือไม่ และข้อเท็จจริง ยังปรากฏอีกว่าภายหลังจากโจทก์ได้รับฉีดชีวโมเลกุลครั้งแรก โจทก์เริ่มมีอาการแพ้ และเมื่อโจทก์ได้รับการฉีดชีวโมเลกุลใน ครั้งต่อๆ มา โจทก์มีอาการแพ้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนเกิด อาการผื่นขึ้นบนใบหน้า น้ ลำ คอและเกิดตุ่มขึ้นตามร่างกายของ โจทก์ จนกระทั่งจำ เลยที่ ๑ ต้องพาโจทก์เข้ารับการรักษาอาการ แพ้ที่โรงพยาบาล บ. ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ จนถึงวัน ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ แต่การรักษาไม่ได้ผลแพทย์จึงหยุดการ รักษา ตามเวชระเบียนผู้ป่ว ป่ ย แสดงว่าอาการแพ้ที่เกิดขึ้นตาม ร่างกายของโจทก์มีมาอย่างต่อเนื่องเกือบ ๒ ปี ไม่อาจรักษาให้ หายขาดได้ และไม่แน่นอนว่าในอนาคตจะมีอาการอย่างไรต่อไป ผลของสารที่โจทก์ได้รับจากการฉีดชีวโมเลกุลจำ ต้องใช้ระยะ เวลาในการแสดงอาการ ไม่อาจถืออาการแพ้ที่เห็นได้โดย ประจักษ์ก่อนหน้า น้ นั้นเป็นผลสุดท้ายของความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีต้องปรับด้วย พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ. ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๓ มิใช่ปรับด้วยอายุความ ๑ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๔๘ ดังที่จำ เลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา วันที่โจทก์รู้ถึงความเสียหาย คดีนี้จึงยังไม่เริ่มต้นนับ โจทก์ฟ้อ ฟ้ งคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ ฟ้อ ฟ้ งโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าว 27
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๖๑๗๗/๒๕๖๔ ผู้เช่าซื้อแสดงเจตนาส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนเพื่อเลิก สัญญา แต่ผู้ให้เช่าซื้อยังคงอิดเอื้อน สงวนสิทธิเรียกค่าเสียหาย ตามสัญญา จะถือว่าผู้ให้เช่าซื้อสมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยาย หรือไม่ และผู้เช่าซื้อต้องรับผิดค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดราคาได้ หรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังเป็นยุติว่า ภายหลังจำ เลยผิดนัดไม่ชำ ระ ค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ ๙ เป็นเวลาเกินกว่าสามงวดติดต่อกัน โจทก์จะยังมิได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามกับบอกเลิกสัญญาไป ยังจำ เลย และจำ เลยเป็นฝ่า ฝ่ ยแสดงเจตนาส่งมอบรถยนต์ที่เช่า ซื้อคืนแก่โจทก์เพื่อเลิกสัญญา โดยสัญญาเช่าซื้อ มิได้มีข้อตกลง ใดให้สิทธิจำ เลยผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถยนต์ ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่เพียงพอ ถือเป็นหลักเกณฑ์หรือข้อสรุปว่า สัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว เพราะเหตุคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ความ สมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายของคู่สัญญายังต้องพิจารณา ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ข ณ์ องโจทก์ในเวลารับมอบรถยนต์ คืนด้วยว่าในขณะนั้นโจทก์ยินยอมพร้อมใจเลิกสัญญากับจำ เลย โดยปริยาย ไม่ยึดถือปฏิบัติตามข้อสัญญารวมทั้งไม่ติดใจเรียก ร้องค่าเสียหายตามสัญญาต่อจำ เลยอีกแล้วหรือไม่ หากได้ความ ดังนั้นจึงจะถือว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญากับจำ เลยโดยปริยาย แต่หากได้ความในทางตรงกันข้ามว่าโจทก์ยังคงอิดเอื้อนโต้แย้ง ในการส่งมอบรถยนต์คืนของจำ เลย หรือโจทก์เพียงรับมอบ รถยนต์ไว้ด้วยความจำ ใจอย่างเสียไม่ได้เพราะต้องการป้อ ป้ งกันมิ ให้เกิดความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำ เลยยิ่งขึ้นไปอีก โดยโจทก์ยังคงสงวนสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาอันเป็น ผลจากการประพฤติผิดสัญญาของจำ เลยในเวลารับมอบรถยนต์ ไว้ด้วยจะถือว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายกับจำ เลย ย่อมมิได้ ในเรื่องนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากหนังสือแสดงเจตนา ส่งมอบทรัพย์สินคืน 28
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๑๒๐๓/๒๕๖๕ ย่อหน้า น้ สุดท้ายที่มีข้อความระบุว่า “ ...ในนามของบริษัท ก. ได้รับ ทรัพย์สินที่เช่าซื้อดังกล่าวแล้วในวันนี้และขอสงวนสิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหาย ค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงมีตามสัญญาเช่าซื้อไว้ ด้วยจนกว่าจะได้รับการชำ ระหนี้จากผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำ ประกันครบ ถ้วน” ข้อความที่ปรากฏในหนังสือดังกล่าวเป็นข้อชี้ถึงท่าทีของ โจทก์ว่า ในเวลาที่โจทก์รับมอบรถยนต์คืนจากจำ เลย โจทก์มิได้ ยินยอมรับไว้โดยดุษณี โจทก์ยังอิดเอื้อน โต้แย้งและสงวนสิทธิ เรียกร้องค่าเสียหายอันพึงเกิดมีขึ้นจากการประพฤติผิดสัญญา และการเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนของจำ เลย ให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว การแสดงเจตนาสงวนสิทธิเรียกร้องค่าเสีย หายของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ในเวลารับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน จากจำ เลยเช่นนี้นอกจากจะมิใช่การรับสภาพหนี้ของลูกหนี้ดังที่ ศาลอุทธรณ์ภ ณ์ าค ๒ แผนกคดีผู้บริโภค วินิจฉัยแล้ว ยังเป็น พฤติการณ์อั ณ์ อั นแสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้สมัครใจเลิกสัญญากับ จำ เลยโดยปริยาย การที่โจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจาก จำ เลยถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง โจทก์จึงชอบที่จะเรียกร้อง ให้จำ เลยรับผิดชำ ระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถยนต์ตามข้อ ตกลงในสัญญาและตามสิทธิแห่งตนที่ได้อิดเอื้อนสงวนสิทธิไว้ เช่นนั้นได้ กรณีผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยส่งมอบทรัพย์สินที่เช่า ซื้อ ผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดในค่าขาดราคา ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ขณะที่จำ เลยนำ รถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืน โจทก์เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ จำ เลยได้ชำ ระค่าเช่าซื้องวดที่ ๑๐ ประจำ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ แล้ว โดยจำ เลยชำ ระล่วงหน้า น้ ตั้งแต่วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๑ และโจทก์รับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน โดยไม่ปรากฏว่าจำ เลยประพฤติผิดสัญญาข้อใดหรือมีหนี้ที่ต้อง ชำ ระตามสัญญาเช่าซื้อแก่โจทก์แต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจถือว่า จำ เลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๒ ซึ่งจำ เลย ต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดราคาตามสัญญาข้อ ๑๓ 29
ตามที่ศาลอุทธรณ์ภ ณ์ าค ๑ วินิจฉัย เนื่องจากการแสดงเจตนาคืน รถอันจะถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของผู้เช่าซื้อนั้น ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๒ ระบุว่า “ผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาเช่า ซื้อในเวลาใด ๆ เสียก็ได้ โดยผู้เช่าซื้อจะต้องคืนและส่งมอบ รถยนต์...และชำ ระเงินทั้งปวงที่ถึงกำ หนดชำ ระหรือเป็นหนี้ตาม สัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันที... ” ดังนั้น ต้องปรากฏว่าจำ เลยยังคง มีหนี้หรือเงินที่ต้องชำ ระตามสัญญาเช่าซื้ออยู่ในขณะที่ส่งมอบ รถคืนโจทก์ แต่เมื่อจำ เลยไม่มีเงินหรือหนี้ที่ต้องชำ ระตาม สัญญาเช่าซื้อ กรณีดังกล่าวจึงถือว่าจำ เลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา แล้วด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๓ สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ระหว่างโจทก์กับจำ เลยจึงเป็น อันเลิกกันนับแต่วันที่จำ เลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ เมื่อสัญญาเลิกกันโดยจำ เลยไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาและไม่มี หนี้ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา ๕๗๓ ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มี สิทธิเรียกค่าขาดราคาค่าเช่าซื้อตามสัญญาจากจำ เลย และแม้ จำ เลยได้ตกลงที่จะรับผิดในบรรดาหนี้ค้างชำ ระที่เกิดขึ้นจากการ บอกเลิกสัญญาให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๓ ตาม หนังสือแสดงเจตนาคืนรถของจำ เลยเอกสารหมาย จ.๘ แผ่นที่ ๑ ดังที่โจทก์แก้ฎีกาก็ตาม แต่เอกสารดังกล่าวมิใช่สัญญาเช่าซื้อ เป็นเพียงหลักฐานการส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนและจำ เลยซึ่ง เป็นผู้เช่าซื้อรับรองต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อว่าหากโจทก์นำ รถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายได้เงินไม่เพียงพอชำ ระหนี้คงค้างตาม สัญญา จำ เลยจะยอมรับผิดชดใช้ส่วนที่ขาดแก่โจทก์ ซึ่งเอกสาร ดังกล่าวหา มีผลให้จำ เลยต้องรับผิดค่าขาดราคาตามที่ระบุไว้ในเอกสารไม่ เพราะกรณีเป็นการรับสภาพหนี้สินว่ามีอยู่ทั้งที่ไม่มี เนื่องจาก โจทก์และจำ เลยไม่มีมูลหนี้ค่าขาดราคาต่อกันแล้ว จึงไม่มีผล บังคับแก่กันได้ 30
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๔๑๗๕/๒๕๖๔ ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๕ บัญญัติว่า “ถ้าลูกหนี้จำ ต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทนเพื่อราคาวัตถุอันได้เสื่อมเสียไประหว่างผิดนัดก็ดีหรือ วัตถุอันไม่อาจส่งมอบได้เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกิดขึ้น ระหว่างผิดนัดก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยในจำ นวนที่จะ ต้องใช้เป็นค่าสินไหมทดแทนคิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้ง แห่งการกะประมาณราคานั้นก็ได้… ” ราคาใช้แทนรถยนต์ ๕๑,๕๗๕ บาท ที่จำ เลยต้องรับผิดต่อโจทก์ นับเป็นค่าสินไหม ทดแทนที่ลูกหนี้จำ ต้องใช้เพื่อราคาวัตถุอันไม่อาจส่งมอบได้ เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกิดขึ้นระหว่างผิดนัด โจทก์ผู้ เป็นเจ้าหนี้จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในจำ นวนที่จะต้องใช้เป็นค่า สินไหมทดแทน คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะ ประมาณราคานั้นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๕ ดังนั้น เมื่อศาลมี คำ พิพากษาให้จำ เลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ใน สภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน จำ นวนเท่าใดแล้ว วันอ่านคำ พิพากษาย่อมเป็นเวลาอันเป็นฐานที่ ตั้งแห่งการกะประมาณราคาใช้แทนรถยนต์ได้ จำ เลยจึงต้องรับ ผิดชำ ระดอกเบี้ยของราคาใช้แทนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ และ สิทธิที่จะได้รับดอกเบี้ยของหนี้เงินดังกล่าวเกิดขึ้นนับแต่วันอ่าน คำ พิพากษาศาลฎีกาเป็นต้นไป จำ เลยย่อมต้องรับผิดชำ ระ ดอกเบี้ยแก่โจทก์ระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี หรือ อัตราดอกเบี้ยใหม่ที่อาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดย ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกเพิ่มด้วยอัตราร้อยละสองต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่ม เติมโดยพระราชกำ หนดแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. พ.ศ. ๒๕๖๔ 31
คำ พิพาคำ พิพากษาฎีกาที่่๘๔๗๗/๒๕๖๓ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 บัญญัติว่า ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อ จะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทน ได้ทำ ไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตน ทำ การออกหน้า น้ เป็นตัวการไซร้ ท่านว่าตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำ ให้ เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขา ขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่ โจทก์เป็นเจ้า หนี้สามัญตามคำ พิพากษา เมื่อได้ความว่าจำ เลยที่ 2 ทำ สัญญา ค้ำ ประกันการเช่าซื้อกับโจทก์ จำ เลยที่ 2 มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำ ที่จำ เลยที่ 2 เป็นตัวแทนของผู้ ร้องในการถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาท โจทก์จึงไม่ได้อยู่ในฐานะ บุคคลภายนอกที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 806 ดังที่ ศาลอุทธรณ์ภ ณ์ าค 1 วินิจฉัยแล้ว อย่างไรก็ตาม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 บัญญัติว่า ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำ ระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำ โดยสุจริต ตามคำ ร้องขอให้เพิกถอน การยึดและปล่อยทรัพย์ที่ยึดของผู้ร้องระบุว่าเหตุที่ปรากฏชื่อ จำ เลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ใน โฉนดที่ดิน หนังสือสัญญาขายที่ดิน และในสัญญาจำ นอง เป็น เพียงการทำ นิติกรรมอำ พรางขึ้นเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ที่ทาง ธนาคารจะสามารถดำ เนินการปล่อยเงินกู้ในการซื้อที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้างในคดีนี้ให้แก่ผู้ร้อง ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ร้อง ตระหนักดีว่าการกระทำ ของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการอำ พรางเพื่อให้ ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงินอันเป็นการกระทำ ไปเพื่อ ประโยชน์ข น์ องผู้ร้องเพียงฝ่า ฝ่ ยเดียวทั้งสิ้น โดยไม่คำ นึงถึงผลกระ ทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกซึ่งมิอาจล่วงรู้ ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ ครั้นต่อมาเมื่อโจทก์นำ ยึดทรัพย์พิพาท ผู้ร้องกลับมาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทที่ยึดว่าเป็นของผู้ร้อง เพียงผู้เดียว โดยอ้างว่าผู้ร้องและจำ เลยที่ 2 ตกลงกันว่าที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของผู้ร้องเพียงผู้เดียวตามบันทึก ข้อตกลงเอกสารหมาย ร.7 32
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๘๔๒๗/๒๕๖๓ ทั้งบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย ร.7 เป็นเอกสารที่ทำ ขึ้นระหว่าง ผู้ร้องและจำ เลยที่ 2 โดยไม่ปรากฏว่ามีพนักงานธนาคารหรือ บุคคลที่เกี่ยวข้องมาเบิกความรับรองบันทึกดังกล่าว ล้วนแต่ เป็นการง่ายในการจัดทำ เอกสารขึ้น จากพฤติการณ์ข ณ์ องผู้ร้อง เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังที่บัญญัติไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำ ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท และ ปัญหาเรื่องอำ นาจฟ้อ ฟ้ งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำ นาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์ภ ณ์ าค 1 พิพากษาให้ปล่อย ทรัพย์พิพาทที่โจทก์นำ ยึดมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกา ของโจทก์ฟังขึ้น การตีความว่าสัญญาใดจะมีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร นอกจากจะต้องตีความจากข้อความที่เขียนไว้ในสัญญา แล้วยังต้องตีความถึงการแสดงเจตนาของคู่สัญญาโดยให้เพ่ง เล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำ สำ นวนหรือตัวอักษร และ ต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึง ปกติประเพณีตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๗๑ และมาตรา ๓๖๘ ข้อเท็จ จริงได้ความว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำ กัด การให้ เช่าซื้อรถยนต์เป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์ของโจทก์ ธุรกิจให้เช่าซื้อ รถยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาตามประกาศคณะกรรมการว่า ด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.๒๕๕๕ ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ใน ขณะที่โจทก์ทำ สัญญากับจำ เลยทั้งสอง ในประกาศดังกล่าวข้อ ๔ (๑๑) มีข้อกำ หนดควบคุมเกี่ยวกับการทำ สัญญาค้ำ ประกันว่าต้อง ปฏิบัติอย่างไรบ้าง และก่อนที่โจทก์กับจำ เลยทั้งสองจะทำ สัญญา กันมี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ.๒๕๕๗ 33
ประกาศใช้บังคับ มีผลให้การทำ สัญญาที่มีข้อตกลงให้ผู้ค้ำ ประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูก หนี้ร่วมนั้นเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา ๖๘๑/๑ หลังจากนั้นวัน ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ จำ เลยที่ ๑ ทำ คำ เสนอขอทำ สัญญาเช่า ซื้อยื่นต่อโจทก์เนื่องจากต้องการเช่าซื้อรถยนต์ ในวันเดียวกัน จำ เลยที่ ๒ ทำ คำ เสนอทำ หนังสือยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ยื่นต่อโจทก์ระบุว่าจำ เลยที่ ๒ เกี่ยวข้องกับจำ เลยที่ ๑ ในฐานะ หัวหน้า น้ งาน และทางนำ สืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำ เลยทั้งสองมี ความสัมพันธ์อื่นใดอันจะทำ ให้จำ เลยที่ ๒ ยินยอมพร้อมใจร่วม รับผิดกับจำ เลยที่ ๑ อย่างลูกหนี้ร่วม เมื่อพิเคราะห์ถึงปกติ ประเพณีของการให้เช่าซื้อรถยนต์ที่ผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อจะ พิจารณาทางการเงินของผู้เช่าซื้อหากฐานะทางการเงินของผู้เช่า ซื้อไม่เพียงพอหรือไม่มันคงผู้ประกอบธุรกิจจะให้ผู้เช่าซื้อหา บุคคลอื่นมาค้ำ ประกันการเช่าซื้อ ประกอบกับรูปแบบและ ข้อความที่ปรากฏในคำ เสนอขอทำ หนังสือยินยอมร่วมรับผิด อย่างลูกหนี้ร่วมเอกสารหมาย จ.๖ และสัญญายินยอมร่วมรับผิด อย่างลูกหนี้ร่วมตามเอกสารหมาย จ.๘ มีลักษณะเป็นแบบพิมพ์ สำ เร็จรูปที่กำ หนดข้อความที่เป็นสาระสำ คัญไว้ล่วงหน้า น้ให้จำ เลย ที่ ๒ ต้องรับผิดหรือรับภาระมากกว่าการทำ สัญญาค้ำ ประกันการ เช่าซื้อตามปกติ จำ เลยที่ ๒ ทำ สัญญายินยอมร่วมรับผิดอย่างลูก หนี้ร่วมตามเอกสารหมาย จ.๘ ในฐานะผู้บริโภคทำ กับโจทก์ใน ฐานะผู้ประกอบธุรกิจการค้าจึงมีอำ นาจต่อรองน้อ น้ ย และน่าเชื่ว่ามี ความรู้ความเข้าใจและความสันทัดจันเจนในการทำ สัญญาเกี่ยว กับการเช่าซื้อและค้ำ ประกันน้อ น้ ยกว่าโจทก์ เมื่อพิเคราะห์ถึงปกติ ประเพณีของการให้เช่าซื้อรถยนต์และเจตนาอันแท้จริงในทาง สุจริตแล้วเชื่อว่าจำ เลยที่ ๒ มีเจตนาทำ สัญญากับโจทก์เพื่อค้ำ ประกันการเช่าซื้อรถยนต์ของจำ เลยที่ ๑ เท่านั้น การที่โจกท์ให้ จำ เลยที่ ๒ ทำ สัญญายินยอมร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมเอกสาร หมาย จ.๘ ซึ่งมีข้อตกลงที่จะหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ เกี่ยวกับการค้ำ ประกันย่อมถือได้ว่าโจทก์ผู้ประกอบธุรกิจไม่ใช้ สิทธิแห่งตนด้วยความสุจริต 34
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๓๔๒๒/๒๕๖๓ โดยคำ นึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่ เป็นธรรม ตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๑๒ สัญญายินยอมร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงเป็น นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีชองประชาชน เมื่อไม่มีส่วนใดที่สมบูรณ์แ ณ์ ยกส่วนออกมาได้จึงตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๕๐ จำ เลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมกับผิดต่อ โจทก์ แม้ผู้ร้องไม่ได้ส่งรายการหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน กำ หนด แต่สิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตาม มาตรา ๑๘ วรรคสอง ซึ่งเป็นบุริมสิทธิลำ ดับเดียวกับบุริมสิทธิ ตามมาตรา ๒๗๓ (๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุด ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด มาตรา ๔๑ (๒) ไม่ได้เสียไป แต่เมื่อเจ้า พนักงานบังคับคดีไม่ใช่พนักงานเจ้าหน้า น้ ที่ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔ ที่หมายถึงผู้ซึ่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.๒๕๒๒ ซึ่งในขณะนั้นได้แก่ อธิบดีกรม ที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดิน เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ส่งรายการ หนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้า น้ ที่ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔๑ วรรคท้าย จึงทำ ให้ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิอันจะได้ รับชำ ระหนี้ก่อนโจทก์เจ้าหนี้จำ นอง แต่ผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าหนี้ บุริมสิทธิที่ใช้สิทธิขอกันส่วนในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์ ตามมาตรา ๔๑ (๒) ที่ศาลอุทธรณ์พิ ณ์ พิ พากษาว่าผู้ร้องไม่มีหนังสือแจ้งรายการ หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่จำ เลยที่ ๑ ค้างชำ ระแก่เจ้าพนักงาน บังคับคดีภายในกำ หนดเวลาตามหนังสือของเจ้าพนักงานบังคับ คดีระบุไว้ ผู้ร้องจึงเสียสิทธิได้รับชำ ระหนี้ดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่ เห็นพ้องด้วย 35
คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๓๙/๒๕๖๐ การวิเคราะห์โรคของผู้ป่ว ป่ ยนั้นต้องกระทำ เป็นขั้นตอนโดย อาศัยความรู้ทางการแพทย์ ผู้ที่สามารถกระทำ เช่นนี้ได้จึงต้อง เป็นแพทย์เท่านั้น ที่โจทก์อ้างขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์โรค จำ เลยที่ ๑ ยังไม่ถูกต้องสมควรตามมาตรฐานและหลักวิชาการ แพทย์นั้น นายแพทย์ จ. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหน่วยหูและฐาน กะโหลกศีรษะ ภาควิชาโสตศอนาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งทำ หน้า น้ ที่รักษาผู้ป่ว ป่ ยเกี่ยว กับหู เบิกความเป็นพยานจำ เลยที่ ๒ ว่า วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โจทก์มาพบพยานแจ้งอาการว่าหูไม่ได้ยิน พยานตรวจหู ทั้งสองข้างพบว่าประสาทหูของโจทก์ผิดปกติ จึงส่งโจทก์ไปตรวจ การได้ยินด้วยเครื่องวัดการได้ยินได้ผลว่าโจทก์มีประสาทหูทั้ง สองข้างเสื่อมจริงโดยข้างซ้ายหนวกสนิทข้างขวายังมีการได้ยิน เหลืออยู่บ้าง แต่เสื่อมระดับรุนแรง วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ พยานได้ตรวจร่างกายโจทก์เพิ่มเติมพบว่าโจทก์มีอาการหน้า น้ ซีก ซ้ายชา ลิ้นซีกซ้ายทำ งานผิดปกติ เมื่อได้ความเช่นนั้นจึงส่ง ตรวจด้วยเครื่องเอกซ์เรย์คลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ฟ้ หรือเครื่องเอ็ มอาร์ไอพบว่ามีก้อนเนื้องอกที่เส้นประสาทสมองเส้นที่ ๘ ทั้งสอง ข้าง ซึ่งเห็นได้ว่าขั้นตอนและวิธีในการตรวจผู้ป่ว ป่ ยของนาย แพทย์ จ.ก็ไม่ต่างไปจากการตรวจรักษาของจำ เลยที่ ๑ นอกจากนี้ เมื่อย้อนดูประวัติที่โจทก์ไปรับการตรวจรักษากับแพทย์อื่นในโรง พยาบาลลำ พูนหลังการตรวจรักษากับจำ เลยที่ ๑ จึงน่าเชื่อว่าขณะ รับการตรวจรักษาจากจำ เลยที่ ๑ และแพทย์อื่นในโรงพยาบาล ลำ พูน อาการของโจทก์ยังไม่ปรากฏให้เป็นข้อสงสัยว่าโจทก์เป็น โรคนิวโรไฟโปรมาโตซิส ไทน์ทู น์ ทู อันจะต้องส่งโจทก์ไปตรวจที่โรง พยาบาลอื่นที่มีเครื่องมือดีกว่าโรงพยาบาลลำ พูน เชื่อว่าการ ตรวจวินิจฉัยโรคของจำ เลยที่ ๑ แก่โจทก์เป็นการใช้ความรู้ความ สามารถตามมาตรฐานหลักวิชาชีพแพทย์โดยทั่วไปอย่าง ละเอียดเหมาะสมแล้ว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า 36
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๖๘๖๕/๒๕๖๐ ผลการวินิจฉัยผิดพลาดของจำ เลยที่ ๑ ทำ ให้จิตแพทย์ของโรง พยาบาลลำ พูนส่งโจทก์ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลโรคจิตโดยเฉพาะส่งผลให้ อาการของโจทก์กำ เริบหนักขึ้นนั้น เห็นว่า นายแพทย์ ว. เป็นผู้ วินิจฉัยว่าโจทก์มีอาการทางจิตและส่งตัวโจทก์ไปรับการรักษาที่ โรงพยาบาลสวนปรุง โดยวิเคราะห์จากอาการที่ปรากฏในขณะที่ โจทก์มารับการรักษากับนายแพทย์ ว. ประกอบกับคำ ยืนยันของ มารดาโจทก์ในขณะนั้น หาได้เป็นการวินิจฉัยโรคและสั่งการของ จำ เลยที่ ๑ หรือใช้ข้อมูลจากใบรับรองแพทย์ที่จำ เลยที่ ๑ ออกให้ แก่โจทก์ในการวินิจฉัยโรคของโจทก์แต่อย่างใดเลย ข้อเท็จจริง จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำ เลยที่ ๑ กระทำ ละเมิดแก่โจทก์ จำ เลยที่ ๒ จึง ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อ ฟ้ ง ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๕ ข้อ ๕ วรรคสอง ระบุว่า “ในกรณีที่รถสูญหาย...ให้ถือว่าสัญญานี้สิ้นสุดลง โดยหากเป็น ความผิดของผู้เช่า และ/หรือเนื่องจากการที่ผู้เช่าได้ปฏิบัติผิดข้อ ตกลงใด ๆ เกี่ยวกับการใช้รถตามที่ระบุในข้อ ๔ และ/หรือผู้เช่า ปฏิบัติผิดสัญญาเกี่ยวกับการทำ ประกันภัยตามที่ระบุในข้อ ๗ วรรคแรก ทำ ให้เจ้าของไม่อาจได้รับประโยชน์ต น์ ามกรมธรรม์ ผู้ เช่าจะต้องรับผิดชำ ระค่าเสียหายไม่น้อ น้ ยกว่าจำ นวนหนี้คงค้าง ชำ ระตามสัญญานี้ แต่หากเป็นกรณีอื่น ผู้เช่าต้องรับผิดชดใช้ค่า เสียหาย ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นใดให้แก่เจ้าของจนครบถ้วนตาม ที่เจ้าของได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำ เป็นและมีเหตุผลอัน สมควร” ซึ่งข้อสัญญาที่ว่า “ ...ผู้เช่าปฏิบัติผิดสัญญาเกี่ยวกับการ ทำ ประกันภัยตามที่ระบุในข้อ ๗ วรรคแรก ทำ ให้เจ้าของไม่อาจ ได้รับประโยชน์ต น์ ามกรมธรรม์ ผู้เช่าจะต้องรับผิดชำ ระค่าเสีย หายไม่น้อ น้ ยกว่าจำ นวนหนี้คงค้างชำ ระตามสัญญานี้... ทั้งดูที่การ ที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อเป็นการ ขัดต่อประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา 37
เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ ควบคุมสัญญา พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ ๔ (๔) ที่ระบุว่า ข้อ ๔ ข้อสัญญาที่ ผู้ประกอบธุรกิจทำ กับผู้บริโภคต้องไม่ใช้ข้อสัญญาที่มีลักษณะ หรือมีความหมายทำ นองเดียวกันดังต่อไปนี้ (๔) ข้อสัญญาที่ กำ หนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำ ระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วนตาม สัญญาในกรณีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ถูก ทำ ลาย ถูกยึด ถูกอายัด หรือถูกริบ โดยมิใช่ความผิดของผู้เช่า ซื้อ เว้นแต่ค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการ ทวงถาม การติดตามรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ ค่า ทนายความ หรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริง ตามความจำ เป็นและมีเหตุผลอันสมควร ซึ่งเป็นประกาศที่ใช้ บังคับในขณะทำ สัญญาเช่าซื้อ เอกสารหมาย จ.๕ ข้อสัญญาดัง กล่าวจึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ผู้ให้เช่าซื้อคงมีสิทธิเรียก ร้องค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความ หรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริงตามความ จำ เป็นและมีเหตุผลอันสมควรเท่านั้น ซึ่งโจทก์จะเสียหายอย่างไร เพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับว่าความสูญหายของรถยนต์ที่เช่าซื้อเกิด จากความผิดของจำ เลย และทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์เสีย หายอันเนื่องมาจากความผิดของจำ เลยเพียงใดประกอบกันด้วย เมื่อพิจารณาถึงรถยนต์ที่เช่าซื้อมีราคาเงินสดอยู่ที่ ๖๔๒,๐๕๖.๐๗ บาท โดยจำ เลยได้ชำ ระค่าเช่าซื้อให้โจทก์แล้วถึง ๔๐ งวด เป็นเงิน ๓๗๓,๑๙๖.๔๐ บาท เมื่อพิจารณารวมกับผล ประโยชน์ต น์ อบแทนที่โจทก์ควรจะได้รับเป็นดอกเบี้ยซึ่งโจทก์ไม่ นำ สืบว่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปเพียงใด เห็นสมควร กำ หนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท 38
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๔๙๙๘/๒๕๖๒ จากคำ เบิกความของพยานโจทก์และพยานหลักฐานได้ความว่า จำ เลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำ ระค่าเช่าซื้อตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นมา แม้ตามสำ เนาหนังสือเอกสารหมาย จ.๙ จะลง วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากจำ เลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ถึง ๖๐ วัน ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาเอกสารดังกล่าวทั้งสี่ แผ่นแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานว่าจำ เลยที่ ๒ ได้รับหนังสือฉบับ นี้แต่อย่างใด กรณียังฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้บอกกล่าวให้แก่จำ เลย ที่ ๒ ทราบถึงการผิดนัดของจำ เลยที่ ๑ แล้ว แต่อย่างไรก็ตามได้ ความต่อไปว่าโจทก์มีหนังสือไปถึงจำ เลยที่ ๒ อีกสามฉบับ กล่าว คือ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โจทก์แจ้งให้ชำ ระหนี้ปิด บัญชีและประมูลขายทอดตลาดรถยนต์ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โจทก์แจ้งผลการประมูลและสรุปภาระหนี้ และเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ โจทก์แจ้งให้ชำ ระหนี้ส่วนที่ขาดทุนตาม เอกสารหมาย จ.๑๑ จ.๑๓ และ จ.๑๔ ซึ่งจำ เลยที่ ๒ ได้รับหนังสือ ดังกล่าวแล้ว โดยหนังสือทั้งสามฉบับนี้มีเนื้อความโดยสรุปว่า จำ เลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมียอดหนี้จำ นวนเงินที่ค้างชำ ระ จนโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและติดตามรถยนต์กลับคืนและได้ นำ ออกขายทอดตลาดแจ้งยอดให้จำ เลยที่ ๒ ชำ ระหนี้ส่วนที่ โจทก์ขาดทุนอยู่ เช่นนี้ ถือได้ว่าก่อนฟ้อ ฟ้ ง โจทก์มีหนังสือบอก กล่าวทวงถามไปยังจำ เลยที่ ๒ ผู้ค้ำ ประกันแล้ว กรณีจึงไม่ต้อง ด้วย ป.พ.พ. มาตรา ๖๘๖ วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งกำ หนดว่า เจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำ ประกันชำ ระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะ ไปถึงผู้ค้ำ ประกันมิได้ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำ นาจฟ้อ ฟ้ งให้จำ เลยที่ ๒ ผู้ค้ำ ประกันรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อได้ หนังสือฉบับลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นฉบับแรก ในสามฉบับดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้ลงลายมือชื่อไว้แทนจำ เลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามใบไปรษณีย์ตอบรับ เอกสารหมาย จ.๑๑ ซึ่งหากนับตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ อันเป็นวันที่จำ เลยที่ ๑ ผิดนัดถึงวันดังกล่าวย่อมมีระยะเกินกว่า ๖๐ วันแล้ว 39
คำ พิพากษาฎีกาที่ ๔๙๙๕/๒๕๖๒ กรณีจึงเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๘๖ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ก่อนที่จำ เลยที่ ๑ จะผิดนัด โดยบทบัญญัติดังกล่าวกำ หนดว่า ในกรณีที่เจ้าหนี้ มิได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำ ประกันภายใน ๖๐ วัน นับแต่ วันที่ลูกหนี้ผิดนัด ให้ผู้ค้ำ ประกันหลุดพ้นจากความรับผิดใน ดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็น อุปกรณ์แ ณ์ ห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำ หนด ๖๐ วัน ดังนี้ จำ เลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมกับจำ เลยที่ ๑ รับผิดชำ ระ ดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อ ฟ้ งแก่โจทก์ สำ หรับค่าขาดประโยชน์ถื น์ ถื อ เป็นค่าสินไหมทดแทนอย่างหนึ่ง จำ เลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดใน ค่าขาดประโยชน์เ น์ พียง ๖๐ วัน นับแต่วันที่จำ เลยที่ ๑ ผิดนัด เมื่อจำ เลยที่ ๑ ผิดนัดชำ ระค่าเช่าซื้อเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ สิทธิและหน้า น้ ที่ของเจ้าหนี้และผู้ค้ำ ประกันให้เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๘๖ กล่าวคือ เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มี หนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำ ประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ ค้ำ ประกันชำ ระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำ ประกัน มิได้ และในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำ หนด เวลา ๖๐ วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด ให้ผู้ค้ำ ประกันหลุดพ้นจาก ความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระ ติดพันอันเป็นอุปกรณ์แ ณ์ ห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้น กำ หนดเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์มีหนังสือบอก กล่าวเรื่องใช้สิทธิซื้อรถยนต์คืนไปยังจำ เลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๘ เท่านั้น แสดงว่าโจทก์มิได้มีหนังสือบอกกล่าว ถึงจำ เลยที่ ๒ ภายในกำ หนดเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่จำ เลยที่ ๑ ผิดนัด จำ เลยที่ ๒ จึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่า สินไหมทดแทน 40
คำ พิพากษาฎีกา ๑๘๖๕/๒๕๖๑ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แ ณ์ ห่งหนี้เฉพาะที่เกิดขึ้น ภายหลังจากพ้นกำ หนด ๖๐ วัน นับแต่วันที่จำ เลยที่ ๑ ผิดนัด สำ หรับค่าขาดราคานั้นถือเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังจาก พ้นกำ หนด ๖๐ วันแล้ว จำ เลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มาตรา ๔๒ เป็นบทบัญญัติที่ ให้อำ นาจศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาและกำ หนดเป็นการเฉพาะ โดยโจทก์มิต้องกล่าวไว้ในคำ ฟ้อ ฟ้ งและไม่จำ ต้องมีคำ ขอมาท้าย ฟ้อ ฟ้ ง อีกทั้งไม่ถือเป็นทุนทรัพย์ใช้คำ นวณค่าขึ้นศาลในขณะยื่น คำ ฟ้อ ฟ้ งคดีตามตาราง ๑ ท้ายป.วิ.พ. ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ ในกรณีนี้จึงมิใช่หนี้เงินขณะฟ้อ ฟ้ งที่จะนำ มาคิดดอกเบี้ยผิดนัด อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีได้ ตาม ปพพ. ๒๒๔ คำ พิพากษาฎีกา ๖๒๘๑/๒๕๖๐ แม้บริษัทผู้ก่อสร้างอาคารชุดจำ เลยมิได้ก่อสร้าง คอนโดมิเนียมให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ คือ มิได้ก่อสร้างอาคาร คอนโดมิเนียมให้ครบทั้งเจ็ดอาคารพร้อมสิ่งสาธารณูปโภคให้ ถูกต้องตามที่ตกลงกันไว้ในใบโฆษณา แต่การก่อสร้างอาคาร แต่ละอาคารพร้อมสาธารณูปโภคสามารถแบ่งแยกการสร้างและ โอนให้แก่ลูกค้ารวมถึงโจทก์แยกจากกันได้ ดังนั้น การก่อสร้าง อาคารที่เหลืออีก ๓ อาคารพร้อมสาธารณูปโภค จึงมิใช่สาระ สำ คัญของสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำ เลยถึงขนาดที่ โจทก์จะนำ มาอ้างว่าจำ เลยผิดสัญญา จำ เลยไม่ผิดสัญญา 41
คำ พิพากษาฎีกา ๔๕๖๑/๒๕๖๐ การที่โจทก์ฟ้อ ฟ้ งบังคับจำ นอง ไม่ทำ ให้สัญญาจำ นองสิ้นสุดลง จำ เลยทั้งสามผู้เอาประกันภัยยังมีหน้า น้ ที่ปฏิบัติตามหนังสือให้ ความยินยอมในการทำ สัญญาประกันภัย เมื่อโจทก์ได้ชำ ระค่า เบี้ยประกันภัยแทนจำ เลยทั้งสามไป จำ เลยทั้งสามจึงต้องรับผิด ชำ ระค่าเบี้ยประกันคืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำ พิพากษาฎีกา ๔๕๘๕/๒๕๖๑ โจทก์ทั้งสามฟ้อ ฟ้ งขอให้บังคับจำ เลยที่ ๑ จดทะเบียนที่ดินพิพาท เป็นภาระจำ ยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสาม แต่ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำ เลยที่ ๑ ได้โอนที่ดินพิพาทแก่จำ เลยที่ ๒ ไปแล้ว สภาพแห่ง หนี้จึงไม่เปิดช่องให้โจทก์ทั้งสามบังคับจำ เลยที่ ๑ ให้จดทะเบียน ที่ดินพิพาทเป็นภาระจำ ยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามได้ ศาลจึง มีอำ นาจพิพากษาให้จำ เลยที่ ๒ จดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทเป็น ภาระจำ ยอมแก่ที่ดินโจทก์ทั้งสามได้ตามพรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้ บริโภค ฯ มาตรา ๓๙ และไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มี อำ นาจฟ้อ ฟ้ งคดีแทนผู้อยู่อาศัยในโครงการหมู่บ้านสวนสน และ คดีไม่อยู่ในเกณฑ์ตามพรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ ที่จะ พิพากษาไปถึงบุคคลภายนอกคดีนี้ได้ จึงไม่อาจพิพากษาไปถึง บุคคลภายนอก 42
คำ พิพากษาศาลฎีกา ๙๖๒๘/๒๕๕๘ หลักเกณฑ์มาตรา ๓๙ ที่ศาลจะพิพากษาเกินคำ ขอได้ ต้องเป็น กรณีจำ นวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาไม่ถูกต้อง หรือวิธีการ บังคับตามคำ ขอของโจทก์ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขเยียวยาความ เสียหายตามฟ้อ ฟ้ งเท่านั้น โดยศาลอาจกำ หนดจำ นวนค่าเสียหาย เพิ่มขึ้นเกินกว่าที่โจทก์ขอมา หรือกำ หนดวิธีการบังคับตามคำ ขอ ให้สามารถเยียวยาความเสียหายแก่โจทก์ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ ในข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อเดียวกัน เมื่อคดีนี้มูลคดีเป็น เรื่องผิดสัญญาจ้างทำ ของ ศาลย่อมไม่อาจพิพากษาให้จำ เลยรับ ผิดต่อโจทก์โดยอาศัยเหตุอื่นได้ คำ พิพากษาศาลฎีกา ๔๑๘๑/๒๕๖๐ ตามกรมธรรม์ประกันภัยแบบคุ้มครองเฉพาะภัย ระบุข้อตกลง คุ้มครองไว้ว่า บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่ รถยนต์ที่เอาประกันภัย...อันมีสาเหตุมาจากการชนกับยาน พาหนะทางบก...และผู้เอาประกันภัยสามารถแจ้งให้บริษัททราบ ถึงคู่กรณีอีกฝ่า ฝ่ ยหนึ่งได้ ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่อาจแจ้งให้จำ เลย ทราบถึงคู่กรณีอีกฝ่า ฝ่ ยหนึ่งได้ จำ เลยจึงไม่จำ ต้องรับผิดชดใช้ค่า สินไหมทดแทนแก่โจทก์ 43
คำ พิพากษาศาลฎีกา ๑๐๖๑๑/๒๕๕๘ ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๓ ระบุ ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อได้รถกลับ คืนมา หากนำ รถออกขายได้ราคาต่ำ กว่าจำ นวนหนี้คงค้างชำ ระ ตามสัญญา ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดส่วนที่ขาดเฉพาะในกรณีที่ผู้ให้ เช่าซื้อได้ขายโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดที่เหมาะสม เท่านั้น โดยมิได้มีข้อกำ หนดว่า ผู้ให้เช่าซื้อต้องแจ้งกำ หนดการ ขายรถให้ผู้เช่าซื้อทราบก่อนการขาย ส่วนข้อ ๑๑ วรรคท้าย ที่ระบุ ว่า ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาและกลับเข้าครอบครอง รถ ผู้ให้เช่าซื้อจะแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อรถใน ราคาเท่ากับจำ นวนหนี้คงค้างชำ ระตามสัญญาโดยให้เวลาไม่ น้อ น้ ยกว่า ๗ วัน เป็นเพียงข้อตกลงในสัญญา หากคู่สัญญาไม่ ปฏิบัติตามข้อตกลงคงเป็นเพียงการผิดสัญญา ดังนั้นแม้ข้อเท็จ จริงฟังได้ว่า โจทก์ไม่มีหนังสือแจ้งให้จำ เลยที่ ๑ ใช้สิทธิซื้อรถ ก่อนนำ รถออกขาย ก็ไม่ทำ ให้การขายทอดตลาดรถยนต์ที่เช่าซื้อ เสียไป คำ พิพากษาศาลฎีกา ๔๕๖๗/๒๕๖๑ จำ เลยที่ ๑ ตัวแทนจำ หน่ายรถส่งมอบรถยนต์พิพาทพร้อมสมุด คู่มือการรับบริการแก่โจทก์ระบุการรับประกันรถยนต์พิพาทตาม เงื่อนไขและระยะเวลา ข้อตกลงเช่นนี้ถือเป็นสัญญาให้บริการ เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๑๑ สำ หรับจำ เลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ผลิต ประกอบ และจำ หน่ายรถยนต์พิพาท แม้เป็นนิติบุคคลแยก ต่างหากจากจำ เลยที่ ๑ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลูกค้าผู้ซื้อรถ ก็ตาม แต่เมื่อจำ เลยที่ ๒ เป็นผู้ควบคุมและกำ กับดูแลมาตรฐาน การซ่อมของจำ เลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวแทนจำ หน่ายโดยใกล้ชิด ย่อม ชี้ชัดว่า จำ เลยที่ ๒ ร่วมกับจำ เลยที่ ๑ รับประกันการซ่อมบำ รุง รักษารถยนต์แก่โจทก์ด้วย โจทก์จึงมีอำ นาจฟ้อ ฟ้ งจำ เลยทั้งสอง เมื่อจำ เลยทั้งสองไม่อาจนำ สืบพิสูจน์ไน์ ด้ว่า 44
คำ พิพากษาศาลฎีกา ๒๙๒๒/๒๕๖๑ จำ เลยทั้งสองได้ซ่อมแซมข้อชำ รุดบกพร่องของรถยนต์พิพาท เรียบร้อยแล้ว จำ เลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดในความชำ รุด บกพร่องของรถยนต์พิพาท ศาลในคดีผู้บริโภคมีอำ นาจบังคับให้ จำ เลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแก่โจทก์ได้ตามพ.ร.บ.วิธี พิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๓๙ และ ๔๑ ตามสัญญาสินเชื่อเงินสดกำ หนดให้จำ เลยชำ ระเพียงจำ นวน เงินขั้นต่ำ ที่ต้องชำ ระ แม้โจทก์จะนำ ไปหักชำ ระเป็นต้นเงินและ ดอกเบี้ยบางส่วนก็ตาม แต่หากจำ เลยผิดนัดไม่ชำ ระหนี้ตาม สัญญาและภายในกำ หนด จำ เลยต้องชำ ระเบี้ยปรับและค่า ธรรมเนียมการใช้วงเงิน อันเป็นข้อตกลงว่า จำ เลยอาจชำ ระหนี้ ในอัตราขึ้นสูงเพียงใดก็ได้และสัญญามิได้กำ หนดให้จำ เลยต้อง ผ่อนชำ ระทุนคืนเป็นเวลากี่งวด ตามสัญญาสินเชื่อเงินสดจึงไม่มี ลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ ตามปพพ.มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๒) ซึ่งมีอายุความห้าปี แต่มีอายุความสิบปีตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ คดี โจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คำ พิพากษาศาลฎีกา ๒๗๖๕/๒๕๖๐ การทำ บัตรเครดิตหลักและบัตรเครดิตเสริมนั้น โจทก์มุ่ง หมายให้ผู้ใช้บัตรเครดิตหลักซึ่งเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือกว่าผู้ใช้บัตร เครดิตเสริมเป็นลูกหนี้หลัก ทั้งตามประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทยเรื่อง การกำ หนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใน การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตสำ หรับผู้ประกอบธุรกิจบัตร เครดิตลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ระบุชัดให้ผู้ถือบัตรหลักจะ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบชำ ระหนี้อันเกิดจากบัตรเสริมทั้งหมด ย่อม เห็นได้ถึงเจตนาในการทำ สัญญาของโจทก์ว่า โจทก์ประสงค์จะ ให้จำ เลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ถือบัตรเครดิตหลักเป็นผู้รับผิดชอบต่อ หนี้สินทั้งหมดของจำ เลยที่ ๑ เองและของจำ เลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ถือ บัตรเสริม 45
คำ พิพากษาศาลฎีกา ๙๗๘๙/๒๕๖๐ แม้ในใบสมัครบัตรเสริมมีข้อความกำ หนดให้จำ เลยที่ ๒ ร่วมรับ ผิดกับจำ เลยที่ ๑ อย่างลูกหนี้ร่วม ก็ไม่ถือว่าผูกพันจำ เลยที่ ๒ นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นข้อสัญญาไม่ธรรมกับจำ เลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ บริโภค ประกอบกับจำ เลยที่ ๑ เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้บัตรเครดิต หลักในการก่อหนี้โดยตรงกับโจทก์ จำ เลยที่ ๒ จึงไม่ต้องผูกพัน ร่วมกับกับหนี้ของจำ เลยที่ ๑ ที่ค้างชำ ระต่อโจทก์ กรณีโจทก์ขอสินเชื่อจากธนาคารจำ เลย และมีข้อตกลงว่า ถ้า โจทก์ยกเลิกการใช้วงเงินสินเชื่อต้องเสียค่าธรรมเนียมปรับร้อย ละ ๒ ของวงเงินที่แจ้งยกเลิก โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลา ที่ต้องผูกพันเสียค่าธรรมเนียมปรับว่าเป็นระยะเวลาเพียงใด เท่ากับจำ เลยจะได้รับประโยชน์จ น์ ากสัญญาข้อนี้อยู่เสมอหากมี การเลิกสัญญากัน เป็นข้อตกลงที่จำ เลยได้เปรียบโจทก์เกิน สมควร เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม คำ พิพากษาศาลฎีกา ๘๗๓๗/๒๕๕๙ การที่โจทก์ฟ้อ ฟ้ งคดีต่อศาลชั้นต้นที่จำ เลยที่ ๒ ผู้ค้ำ ประกัน มี ภูมิลำ เนาอยู่ในเขตศาล ย่อมเป็นการฟ้อ ฟ้ งคดีต่อศาลที่ผู้บริโภค คนหนึ่งมีภูมิลำ เนาอยู่ในเขตศาลแล้ว และเมื่อหนี้ของจำ เลยทั้ง สองที่มีต่อโจทก์เป็นเรื่องการเช่าซื้อ การค้ำ ระกัน มูลความแห่ง คดีย่อมเกี่ยวข้องกัน โจทก์ชอบที่จะฟ้อ ฟ้ งจำ เลยทั้งสองเป็นคดี เดียวกันต่อศาลชั้นต้นนี้ได้ 46
คำ พิพากษาศาลฎีกา๔๕๗๗/๒๕๖๑ สัญญาประกันความรับผิดของผู้ค้ำ ประกันเป็นนิติกรรมสัญญา ซึ่งผู้รับประกันภัยจำ เลยร่วมตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนใน เหตุอย่างอื่นในอนาคต ไม่ใช่กรณีเมื่อเกิดวินาศภัยขึ้น จึงไม่เป็น สัญญาประกันวินาศภัย จึงไม่ใช้อายุความ ๒ ปีตามปพพ.มาตรา ๘๘๒ วรรคหนึ่ง เมื่อไม่มีกฎหมายกำ หนดอายุความกรณีการทำ สัญญาประกันภัยในกรณีเหตุอย่างอื่นในอนาคตไว้โดยเฉพาะ จึง ต้องใช้อายุความ ๑๐ ปีตามปพพ.มาตรา ๑๙๓/๓๐ คำ พิพากษาศาลฎีกา ๒๗๖๗/๒๕๖๐ กรณีมีข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ระบุว่าเจ้าของไม่ต้องรับผิด ชอบความชำ รุดบกพร่องใด ๆ ไม่ว่าตรวจพบขณะส่งมอบหรือไม่ แม้คู่สัญญาสามารถตกลงยกเว้นความรับผิดในความชำ รุดบก พร่องตามปพพ.มาตรา ๔๗๒ และ ๔๗๓ ได้เพราะมิใช่ข้อ กฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แต่ข้อตกลงที่ยกเว้น ความชำ รุดบกพร่องที่เห็นไม่ประจักษ์ในขณะส่งมอบและเป็น เรื่องที่ควรอยู่ในความรู้เห็นของผู้ประกอบธุรกิจย่อมเป็นที่เห็นได้ ว่าเป็นข้อสัญญาไม่เป็นธรรม ไม่อาจบังคับได้ โจทก์ไม่มีสิทธิ บอกเลิกสัญญา ครพ.ผบ.๑๙๒๓/๒๕๖๑ หลังจากจำ เลยที่ ๑ ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด โจทก์มีหนังสือบอก กล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำ เลยที่ ๑ เท่านั้น แต่ มิได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังจำ เลยที่ ๒ ผู้ค้ำ ประกันด้วย ดังนี้ โจทก์จึงยังไม่มีอำ นาจฟ้อ ฟ้ งจำ เลยที่ ๒ ผู้ค้ำ ประกัน 47
อ้างอิง คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 4849/2566 (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๒๕๒/๒๕๖๖ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๔๖๙/๒๕๖๖ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๙๗๗/๒๕๖๓ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๙/๒๕๖๖ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๕๕/๒๕๖๖ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2566 (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2565 (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๑๓๐/๒๕๖๑ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๑๘๓/๒๕๖๕ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๓๘๑๓/๒๕๖๓ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๘๔๒๔/๒๕๖๓ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๕๔๕๒/๒๕๖๔ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๒๗๖๔/๒๕๖๕ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๖๑๗๗/๒๕๖๔ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๑๒๐๓/๒๕๖๕ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๔๑๗๕/๒๕๖๔ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพาคำ พิพากษาฎีกาที่่๘๔๗๗/๒๕๖๓ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๘๔๒๗/๒๕๖๓ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๓๔๒๒/๒๕๖๓ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๓๙/๒๕๖๐ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๖๘๖๕/๒๕๖๐ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกาที่ ๔๙๙๘/๒๕๖๒ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) 48
อ้างอิง คำ พิพากษาฎีกาที่ ๔๙๙๕/๒๕๖๒ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกา ๑๘๖๕/๒๕๖๑ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกา ๖๒๘๑/๒๕๖๐ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกา ๔๕๖๑/๒๕๖๐ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาฎีกา ๔๕๘๕/๒๕๖๑ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๙๖๒๘/๒๕๕๘ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๔๑๘๑/๒๕๖๐ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๑๐๖๑๑/๒๕๕๘ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๔๕๖๗/๒๕๖๑ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๒๙๒๒/๒๕๖๑ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๒๗๖๕/๒๕๖๐ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๙๗๘๙/๒๕๖๐ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๘๗๓๗/๒๕๕๙ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา๔๕๗๗/๒๕๖๑ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) คำ พิพากษาศาลฎีกา ๒๗๖๗/๒๕๖๐ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) ครพ.ผบ.๑๙๒๓/๒๕๖๑ (แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา) 49