2. ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์มัณฑนี กุฎคาร (2542: 80-
93) พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544: 99-101) และพร้อมพรรณอุดมสิน (2545: 29-33) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสร้าง
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนซึ่งมีความสอดคล้องกนั สรปุ ได้ดงั น้ี
2.1 วิเคราะห์หลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหา
สาระ และพฤติกรรมที่ตอ้ งการวัด ซ่งึ ระบจุ ำนวนข้อสอบและพฤตกิ รรมทีต่ ้องการวัดไว้
2.2 กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมที่เป็นผลการ
เรียนรู้ทีผ่ ูส้ อนมุง่ หวงั จะให้เกิดกับผู้เรยี น ซึ่งผูส้ อนจะตอ้ งกำหนดไวล้ ว่ งหนา้ สำหรับเป็นแนวทางในการจัดการ
เรยี นการสอน และสร้างข้อสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ
2.3 กำหนดชนิดของข้อสอบและวิธีการสร้าง โดยการศึกษาจากตารางวิเคราะห์หลักสูตรและ
จุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณาและตัดสินใจเลือกใช้ชนิดของข้อสอบที่จะใช้วัด โดยต้อง
เลอื กให้สอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์ของการเรยี นรูแ้ ละเหมาะสมกบั วัยของผเู้ รยี นแล้วศึกษาวธิ ีเขียนข้อสอบชนิด
นัน้ ให้มีความร้คู วามเข้าใจในหลกั และวิธีการเขยี นข้อสอบ
2.4 เขียนข้อสอบ เป็นการเขียนข้อสอบตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตรให้
สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ โดยอาศัยหลักและวธิ ีการเขยี นข้อสอบ
2.5 ตรวจทานข้อสอบ เพื่อให้ข้อสอบมีความถูกต้องและสมบูรณ์ ครบถ้วนตามรายละเอียดที่กำหนด
ไว้แล้วจัดพิมพแ์ บบทดสอบฉบับทดลอง
2.6 ทดสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ เป็นการตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบก่อนนำไปใช้จริง โดย
นำแบบทดสอบไปทดลองสอบกับกลุ่มที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างแล้วนำผลการสอบมาวิเคราะห์
และปรบั ปรงุ ข้อสอบให้มคี ุณภาพ
2.7 จัดทำแบบทดสอบฉบับจริง หลังจากปรับปรุงคุณภาพข้อสอบให้มีคุณภาพดีแล้วจึงจัดทำ
แบบทดสอบฉบบั จริงนำไปใชก้ ับกลุ่มตัวอย่าง
3. ขอ้ แนะนำสำหรบั การเขยี นข้อสอบ
ขอ้ แนะนำสำหรับการเขียนข้อสอบโดย กรอนลันต์ (Gronlund, 1993: 36-37) มดี ังนี้
3.1 ควรเลอื กชนิดของข้อสอบให้ตรงกับลักษณะของพฤติกรรมหรือผลการเรียนร้ทู ี่ต้องการจะวัดมาก
ท่ีสุด
3.2 เขียนขอ้ สอบที่จะวดั ผลการปฏบิ ัติใหส้ อดคลอ้ งกับพฤติกรรมหรอื ผลการเรียนรูด้ ้านการปฏิบัติ
3.3 เขยี นข้อสอบแตล่ ะขอ้ ให้ชัดเจน เฉพาะเจาะจงใหม้ ากท่ีสุดเทา่ ทีจ่ ะเป็นไปได้
3.4 เขียนข้อสอบเพื่อให้วัดพฤติกรรม หรือผลการเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมือ หรืออุปกรณ์
อย่างอื่นช่วย เช่น เขียนข้อสอบโจทย์ปญั หาทางคณิตศาสตร์ทีใ่ ช้วัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาโดยไม่
อาศยั เคร่ืองมอื อปุ กรณ์ช่วย
3.5 พยายามป้องกันสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อสอบแต่จะมีผลต่อคำตอบของผู้สอบ เช่น
แบบทดสอบวชิ าคณติ ศาสตรท์ ใ่ี ช้ภาษาซบั ซอ้ นท่ตี ้องตีความและยากเกินวัยของผสู้ อบ
3.6 หลีกเลยี่ งคำ ข้อความ หรอื ร่องรอยต่าง ๆ ทจ่ี ะแนะนำคำตอบ
3.7 เขียนข้อสอบให้มีความยากง่ายพอเหมาะกับระดับพฤติกรรมหรือผลการเรียนรู้ที่จะวัดวัยของ
ผู้เรียน และการนำผลการทดสอบไปใช้
3.8 เขยี นขอ้ สอบท่สี ามารถหาคำตอบทถ่ี ูกต้องได้ หรอื คำตอบที่ดที ่ีสุด โดยไม่มขี อ้ โตแ้ ย้งในการตัดสิน
คำตอบถูก
3.9 ควรเขียนข้อสอบไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้มีเวลาในการทบทวน ตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขให้
ขอ้ สอบมคี วามสมบรู ณ์ยง่ิ ขนึ้
3.10 ควรเขียนข้อสอบให้มีจำนวนข้อเกินกว่าที่ใช้จริงเพราะอาจจะต้องตัดข้อสอบบางข้อที่ไม่
เหมาะสมออกในภายหลังจากการศึกษาแนวทางการสรา้ งแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ อาจสรปุ ไดว้ ่า ในการจัดการ
เรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเรื่องนั้น ๆ เป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่งที่บ่งชี้ถึง
ความสำเร็จจากากรจัดการเรียนรู้ดว้ ยวิธีต่าง ๆ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางกาเรียนจึงต้องทำโดยมีขั้นตอน
เหมาะสมกับผ้เู รยี นและพฤตกิ รรมทต่ี อ้ งการวัด เพื่อใหก้ ารวดั ผลมีประสิทธิภาพ
7. ความพงึ พอใจ
7.1 ความหมายของความพงึ พอใจ
ชริณี เดชจนิ ดา (2535: 6) ไดใ้ หค้ วามหมายของความพงึ พอใจไว้ว่าความพึงพอใจเป็นความรูส้ ึกนึกคิด
หรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ความรู้สึกพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อความต้องการ
ของบคุ คลไดร้ บั การตอบสนองหรือบรรลจุ ดุ มุ่งหมายในระดบั หนึ่งความร้สู ึกดังกล่าวจะลดลงและไม่เกิดขึ้นหาก
ความต้องการหรือจุดมุ่งหมายนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง สง่า ภู่ณรงค์ (2540: 9) ได้กล่าวว่าความพึงพอใจ
หมายถึงความรู้สึกที่เกิดข้ึนเมือ่ ได้รับความสำเร็จตามความมุง่ หมายหรือความรู้สึกขั้นสุดท้ายที่ได้รับผล สำเรจ็
ตามวัตถุประสงค์ ปริญญา จเรรัชต์ และคณะ (2546: 3) ได้กล่าวไว้ว่าความพึงพอใจ หมายถึงท่าทีความรู้สึก
หรอื ทศั นคติในทางท่ดี ีของบุคคลทม่ี ีต่อสิ่งทีป่ ฏิบตั ิ รว่ มปฏิบตั ิหรือได้รบั มอบหมายให้ปฏิบัติโดยผลตอบแทนที่
ได้รับรวมทั้งสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจจาก
การศึกษาความหมายของความพึงพอใจ อาจสรุปได้ว่า ความพึงพอใจเป็นทัศนคติอย่างหนึ่งที่เป็นนามธรรม
เป็นความรู้สึกส่วนตัว ทั้งทางด้านบวกและลบขึ้นอยู่กับการได้รับการตอบสนองเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรมใน
การแสดงออกของบุคคลที่มีผลต่อการเลือกที่จะปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยไม่สามารถประเมินค่าหรือตรวจสอบ
ความถกู ต้องได้
7.2 แนวคดิ ทฤษฎที เี่ ก่ยี วข้องกับความพึงพอใจ
มาสโลว์ (Maslow, 1970: 69-80) ทฤษฎีเก่ยี วกับความต้องการท่ีสง่ ผลต่อความพึงพอใจท่ีสำคัญสรุป
ไดด้ งั น้ี โดยตง้ั อยูบ่ นสมมติฐานเกี่ยวกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ดังน้ี
1. ลกั ษณะความต้องการของมนษุ ย์ ไดแ้ ก่
1.1 ความต้องการของมนุษย์เปน็ ไปตามลำดับข้ันความสำคญั โดยเริ่มระดับความตอ้ งการขัน้ สงู สดุ
1.2 มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอ เมื่อความต้องการอย่างหนึ่งได้รับการตอบสนองแล้วก็มีความ
ตอ้ งการสิ่งใหมเ่ ข้ามาแทนที่
1.3 เม่อื ความต้องการในระดับหนึ่งได้รบั การตอบสนองแล้วจะไม่จูงให้เกิดพฤติกรรมต่อส่ิงน้ันแต่จะมี
ความตอ้ งการในระดับสงู เข้ามาแทนและเปน็ แรงจงู ใจใหเ้ กิดพฤติกรรมน้ัน
1.4 ความต้องการที่เกิดขึน้ อาศัยซ่ึงกันและกัน มีลักษณะควบคู่ คือ เมื่อความต้องการอย่างหนึง่ ยังไม่
หมดสน้ิ ไปก็จะมีความตอ้ งการอีกอยา่ งหนง่ึ เกิดขน้ึ มา
2. ลำดบั ขั้นความตอ้ งการของมนุษยม์ ี 5 ระดับ ได้แก่
2.1 ความต้องการพื้นฐานทางด้านร่างกาย (physiological needs) เป็นความต้องการเบื้องต้นเพ่ือ
ความอยู่รอดของชีวิต เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ อากาศ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัยและความ
ต้องการทางเพศ ความต้องการทางด้านร่างกาย จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนก็เมื่อความต้องการทั้งหมด
ของคนยังไมไ่ ด้รับการตอบสนอง
2.2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (security needs) เป็นความรู้สึกที่ต้องการความมั่นคง
ปลอดภัยในปจั จบุ นั และอนาคตซงึ่ รวมความกา้ วหน้าและความอบอุ่นใจ
2.3 ความต้องการทางสังคม (social or belonging needs) ได้แก่ความต้องการที่จะเข้าร่วมและ
ไดร้ ับการยอมรบั ในสังคม ความเปน็ มติ รและความรกั จากเพือ่ น
2.4 ความต้องการที่จะได้รับการยกย่องหรือมีชื่อเสียง (esteem needs) เป็นความต้องการระดับสูง
ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการอยากเด่นในสังคม รวมถงึ ความสำเร็จ ความรู้ ความสามารถ ความเปน็ อิสระและเสรี และ
การเป็นท่ียอมรบั นบั ถอื ของคนท้ังหลาย
2.5 ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในชีวิต (self-actualization needs) เป็นความต้องการ
ระดับสงู ของมนษุ ย์ สว่ นมากจะเปน็ การนกึ อยากจะเป็น อยากจะได้ตามความคิดเห็นของตนเอง แต่ไมส่ ามารถ
แสวงหาได้ วชิ ยั เหลอื งธรรมชาติ (2531: 9) ไดใ้ หแ้ นวความคิดเก่ียวกบั ความพงึ พอใจวา่ ความพึงพอใจมีส่วน
เกี่ยวข้องกับความต้องการของมนุษย์ คือ ความพึงพอใจที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความต้องการของมนุษย์ได้รับ
การตอบสนอง ซึ่งมนุษย์ไม่วา่ อยู่ในที่ใดย่อมมีความต้องการขั้นพืน้ ฐานไม่ตา่ งกัน สุเทพ พานิชพันธุ์ (2541: 5)
ไดใ้ ห้แนวความคดิ เก่ยี วกับความพงึ พอใจวา่ เป็นเครอื่ งมอื กระตุ้นใหบ้ คุ คลเกดิ ความพึงพอใจไว้ดังนี้
1. ส่งิ จงู ใหเ้ ปน็ วตั ถุ ได้แก่ เงิน สง่ิ ของ
2. สภาพทางกายท่ีปรารถนา คอื สิง่ แวดลอ้ มในการประกอบกจิ กรรมตา่ ง ๆ ซึ่งเปน็ สิ่งสำคัญ
อยา่ งหนึ่งอันกอ่ ใหเ้ กดิ ความสขุ ทางกาย
3. ผลประโยชนท์ างอุดมคติ หมายถึง สง่ิ ตา่ ง ๆ ทีส่ นองความต้องการของบุคคล
4. ผลประโยชนท์ างสงั คม คอื ความสัมพันธฉ์ นั ทม์ ติ รกบั ผรู้ ว่ มกิจกรรมอนั จะทำใหเ้ กิดความ
ผูกพัน ความพงึ พอใจ และสภาพการอยูร่ ว่ มกันอนั เป็นความพงึ พอใจของบคุ คลในดา้ นสังคมหรือความมั่นคงใน
สังคมซง่ึ จะทำให้รู้สึกมีหลักประกนั และมีความมัน่ คงในการประกอบกจิ กรรม ความพงึ พอใจเป็นความรู้สึกที่ดีที่
ชอบ ที่พอใจ หรือที่ประทับใจของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ได้รับ โดยสิ่งนั้นสามารถตอบสนองความต้องการ
ทางด้านร่างกายและจิตใจ บุคคลทุกคนมีความต้องการหลายสิ่งหลายอย่างและมคี วามต้องการหลายระดบั ซึ่ง
หากได้รบั การตอบสนองก็จะก่อให้เกิดความพึงพอใจ การจดั การเรยี นรูใ้ ด ๆ ทท่ี ำให้นกั เรียนเกิดความพึงพอใจ
การเรยี นรูน้ น้ั จะต้องสนองความต้องการของนักเรยี นจากการศึกษาแนวคดิ ทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับความพึงพอใจ
อาจสรปุ ไดว้ ่าความพงึ พอใจมสี ่วนเก่ยี วขอ้ งกบั ความต้องการของมนุษย์ คอื ความพึงพอใจจะเกดิ ข้นึ ไดก้ ็ต่อเม่ือ
ความต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนอง ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกที่ดีที่ชอบที่พอใจ หรือ ที่ประทับใจ
ของบคุ คลต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึงที่ได้รับ โดยส่งิ นน้ั สามารถตอบสนองความต้องการทางดา้ นร่างกายและจิตใจ บุคคล
ทุกคนมีความต้องการหลายสิ่งหลายอย่างและมีความต้องการหลายระดับซึ่งหากได้รับการตอบสนองก็จะ
ก่อให้เกิดความพึงพอใจ การจัดการเรียนรู้ใด ๆ ที่ทำให้นักเรียนเกดิ ความพึงพอใจ การเรียนรู้นั้นจะต้องสนอง
ความตอ้ งการของนักเรียน
7.3 การวัดความพึงพอใจ
กรมวิชาการ (2545: 61) การวัดความพึงพอใจนำมาจากแบบวัดเจตคติของลิเคร์ท (Likert) ซึ่งเป็น
มาตรวดั เจตคติ 5 ข้ัน โดยการกำหนดค่าระดบั เช่น เหน็ ดว้ ยอย่างย่ิง เหน็ ด้วยไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย และไม่เห็น
ด้วยอย่างยิ่ง หรือในลักษณะอื่น ๆ ที่มี 5 ระดับ เช่นเดียวกันนี้ก็ได้โดยแต่ละขั้นต้องมีการบอกน้ำหนักการ
ประเมนิ ขอ้ ความตา่ ง ๆ ท่ีไดก้ ำหนดให้ผตู้ อบแสดงความคดิ เหน็ ออกมา โดยมขี นั้ การสร้าง ดังน้ี
1. รวบรวมข้อความทีต่ ้องการใหแ้ สดงความคดิ เห็น
2. กำหนดประเด็นและสร้างคำถาม โดยการใช้ภาษาที่ชัดเจนไม่มีความหมายกำกวม
3. ตรวจสอบข้อความในคำถามใหส้ อดคล้องกบั แนวทางการสอน เชน่ เหน็ ด้วย ไม่เหน็ ด้วย
หรอื ชอบ ไมช่ อบ เป็นต้น
4. นำแบบวัดที่สรา้ งไปทดลองใชข้ ้นั ต้นเพ่อื ดุความชัดเจนของขอ้ ความ
5. กำหนดคา่ ของน้ำหนกั คะแนนตวั เลอื กในแตล่ ะข้อ เชน่ 5-1 หรือ 4-0 ปริญญา จเรรชั ต์
และคณะ (2546: 5) กลา่ ววา่ มาตรวดั ความพงึ พอใจสามารถกระทำไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่
1. การใชแ้ บบสอบถาม โดยผสู้ อบถามจะออกแบบสอบถามเพ่ือต้องการทราบความคิดเหน็
ซึ่งสามารถทำได้ในลักษณะที่กำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระคำถามดังกล่าวอาจถามความพึง
พอใจในด้านต่าง ๆ เชน่ การบรกิ าร การบรหิ าร และเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นต้น
2. การสัมภาษณเ์ ป็นวิธีวดั ความพึงพอใจทางตรงทางหนึง่ ซ่งึ ตอ้ งอาศยั เทคนคิ และวธิ ีการทีด่ ี
ที่จะทำใหไ้ ด้ข้อมูลทีเ่ ปน็ จริงได้
3. การสังเกตเปน็ วธิ กี ารวัดความพงึ พอใจโดยสงั เกตพฤติกรรมของบุคคลเปา้ หมายไม่วา่ จะ
แสดงออกจากการพูด กิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจังและการสังเกตอย่างมีระเบียบ
แบบแผนจากการศึกษาการวดั ความพึงพอใจ อาจสรปุ ไดว้ ่า การวดั ความพึงพอใจ สามารถวัดได้หลายวธิ โี ดยใช้
แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสังเกต ซึ่งการเลือกใช้รูปแบบการวัดจะแตกต่างกันไปตามสิ่งที่ต้องการ
วัด เช่น การใช้แบบสอบถาม เมื่อต้องการทราบความคิดเห็นซึ่งสามารถทำได้ในลักษณะที่กำหนดคำตอบให้
เลือกหรือตอบคำถามอิสระ การสัมภาษณ์ เป็นวิธีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและ
วิธีการที่ดีที่จะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงได้ การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของ
บุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะแสดงออกจากการพูด กิริยาท่าทาง และผู้วิจัยเลือกใช้แบบวัดตามมาตราส่วนแบบ
ลิเคร์ท (Likert) ซึ่งประกอบด้วยข้อความที่แสดงถึงความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย
เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับเกมคณิตศาสตร์ มีระดับความรูส้ กึ 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และ
น้อยที่สุดจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทำให้ผู้วิจัยสนใจการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์ เรื่องปริซึมและทรงกระบอก โดยการจัดการเรียนรู้ดว้ ยเทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับเกมคณิตศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะการแก้ปัญหาที่สูงขึ้น เกิดความสนใจในการ
จัดการเรียนการสอน มีความกล้าแสดงออก มีความกระตือรือรน้ ในการเรียน เกิดความสนุกสนานในการเรยี น
ไม่เบื่อหน่าย ไม่เครียด โดยใช้วิธีการแก้ปัญหาที่มีลำดับขั้นตอนจะช่วยส่งเสริมกระบวนการแก้ปัญหาแต่ละ
ขั้นตอนในการหาคำตอบจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดทักษะด้านต่าง ๆ ในการเรียนคณิตศาสตร์เพราะสามารถ
แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการจัดการเรียนการสอนได้ ทำให้ผู้เรียนเกิดความสุขในการเรียน มีความคิดสร้างสรรค์
และผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนทีด่ ขี ึ้น
บทที่ 3
วิธีดำเนนิ การวิจัย
การวจิ ยั เร่ือง การพัฒนาทักษะการแกป้ ญั หาทางคณติ ศาสตร์ เร่ือง ปรซิ มึ และทรงกระบอก
โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับเกมคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งมีรายละเอียด และ
ขัน้ ตอนในการดำเนนิ การวิจยั ดงั น้ี
1. ประชากรและกล่มุ ตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจยั
2. เนอื้ หาที่ใช้ในการวจิ ยั
3. ระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย
4. ตัวแปรที่ศกึ ษา
5. แบบแผนการวจิ ัย
6. เครือ่ งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจยั
7. การสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั
8. การดำเนนิ การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมลู
9. สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล
1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ ช้ในการวจิ ยั
1.1 ประชากร คือ นกั เรยี นโรงเรยี นเทศบาลบ้านหม่ี อำเภอบ้านหมี่ จงั หวดั ลพบุรี ภาคเรียน
ที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 416 คน
1.2 กลุ่มตวั อย่าง คือ นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนเทศบาลบ้านหมี่ อำเภอบ้านหมี่
จงั หวัดลพบรุ ี ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 จำนวน 23 คน ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง ซ่ึงเปน็
ชน้ั ที่ผู้วจิ ยั เป็นผสู้ อน
2. เนอื้ หาทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยเป็นเนื้อหาสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ปริซึมและทรงกระบอกซึ่งเป็น
เนอ้ื หาทร่ี ะบไุ ว้ในสาระที่ 2 การวดั และเรขาคณิต จากแบบเรยี นคณิตศาสตร์พนื้ ฐานช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ของ
สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) เรือ่ ง ปริซมึ และทรงกระบอก ประกอบดว้ ย 1.) พ้ืนที่ผิว
และปรมิ าตรของปรซิ ึม 2.) พน้ื ที่ผวิ และปรมิ าตรของทรงกระบอก
3. ระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการวิจยั
การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โดยทำการจัดการเรียนรู้รวม
ทงั้ หมด 8 คาบ คาบละ 50 นาที จำนวน 8 แผนการจัดการเรยี นรู้ (ไมร่ วมสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น)
4. ตวั แปรท่ีศึกษา
4.1 ตวั แปรตน้ คือ การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้เทคนิคเพอ่ื นคู่คิดร่วมกับเกมคณิตศาสตร์
4.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่
4.2.1 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 เรอ่ื ง ปริซึมและทรงกระบอก
4.2.2 ทกั ษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 เร่ืองปริซึมและ
ทรงกระบอก
4.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องปริซึม
และทรงกระบอก
5. แบบแผนการวจิ ยั
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi - experimental research) ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการ
ทดลองโดยใช้แบบแผนการวิจัย มีลักษณะเป็นแบบแผนการวิจัยขั้นพื้นฐาน (pre experimental designs or
non designs) แบบกลุ่มเดยี วสอบก่อนและหลงั (the one-group pretest - posttest design) ดงั น้ี
สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง
T1 X T2
T1 แทน การสอบกอ่ นการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชเ้ ทคนิคเพอ่ื นคู่คิดร่วมกบั เกมคณิตศาสตร์
X แทน การจัดการเรียนร้โู ดยใชเ้ ทคนคิ เพอื่ นคคู่ ดิ ร่วมกับเกมคณติ ศาสตร์
T2 แทน การสอบหลังการจดั การเรียนร้โู ดยใช้เทคนิคเพอื่ นค่คู ดิ ร่วมกับเกมคณติ ศาสตร์
6. เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
การวจิ ัยครัง้ น้ผี วู้ จิ ยั ไดก้ ำหนดเครื่องมือทีใ่ ช้ในการวิจยั ดงั นี้
6.1 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ปริซึมและทรงกระบอก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยจัดการ
เรียนรู้ดว้ ยเทคนิคเพอ่ื นคคู่ ดิ รว่ มกับเกมคณติ ศาสตร์
6.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรือ่ งปริซมึ และทรงกระบอกชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2
6.3 แบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริซึมและทรงกระบอก ช้ัน
มธั ยมศึกษาปีที่ 2
6.4 แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริซึมและ
ทรงกระบอก
7. การสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือทใี่ ช้ในการวิจัย
เครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดรายละเอียดวิธีการและขั้นตอนในการสร้าง และ
ตรวจสอบคุณภาพของเครือ่ งมือ ดงั นี้
7.1 การสรา้ งแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ปริซมึ และทรงกระบอก ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โดยจัดการ
เรยี นรดู้ ้วยเทคนคิ เพื่อนค่คู ิดรว่ มกบั เกมคณิตศาสตร์ ผู้วจิ ยั ดำเนนิ การตามข้ันตอนดงั นี้
7.1.1 ศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในด้านมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด
และสาระการเรยี นรู้ กระบวนการเรียนรู้ เรอื่ ง ปริซึมและทรงกระบอก
7.1.2 ศึกษาหลักสูตรโรงเรียนราษฎร์บำรุงธรรม พุทธศักราช 2561 (ฉบับปรับปรุง2560)
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
7.1.3 ศึกษาการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด
ร่วมกับเกมคณิตศาสตร์ จากงานวิจัย หนังสือ และเอกสารทางวิชาการ รวมถึงเทคนิคการวัดผลและ
ประเมินผลวิชาคณิตศาสตร์
7.1.4 ดำเนินการเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ เรอ่ื ง ปรซิ ึมและทรงกระบอกชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
2 โดยการจัดการเรียนรดู้ ว้ ยเทคนิคเพื่อนคู่คดิ ร่วมกับเกมคณิตศาสตร์ โดยมีองคป์ ระกอบ ได้แก่ เวลา
เรยี น สาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ สื่อการ
เรยี นรู้ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ และบันทกึ หลังการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย การ
จัดกจิ กรรม เนอื้ หาและเวลาเรียน ดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 การจดั กจิ กรรม เน้อื หาและเวลาเรียนท่ใี ช้จัดกิจกรรมการเรยี นรู้
แผนการจัดการ เร่ือง เกมคณติ ศาสตร์ เวลาเรยี น
เรียนรูท้ ี่ (คาบ)
บทท่ี 2 ปริซมึ และทรงกระบอก 2
2
1 พื้นทผี่ ิวของปรซิ ึม เกมโยนบอล แก้โจทย์ นบั คะแนน 2
เกมเดินหน้า ไขรหัส ถึงจุดหมาย
2 ปริมาตรของปริซมึ เกมนาฬกิ าทราย ไขโจทย์ หยุดเวลา
เกมบิงโก ทดสอบ วางเบยี้
3 พื้นทผี่ วิ ของทรงกระบอก เกมบันไดงู แกโ้ จทย์ พชิ ติ เส้นชยั
เกมโยนห่วง ไขปริศนา บวกแต้ม
4 ปริมาตรของทรงกระบอก เกมหยบิ การ์ด หาผลลัพธ์ จับไปเรยี ง 2
รวม 8 แผนการจัดการเรยี นรู้ เกมเศรษฐี ลา่ รหัส จดแตม้ 8
8 กิจกรรม
7.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความ
ถูกตอ้ งและให้คำแนะนำ แล้วนำไปให้ผู้เชย่ี วชาญจำนวน 3 ทา่ น ตรวจสอบความถูกต้องของแผนการ
จัดการเรียนรู้ในด้านเวลา เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ การวัดและประเมินผลของแผนการจัดการ
เรยี นรู้ แล้ววเิ คราะหค์ ่าดชั นีความสอดคล้องของเคร่อื งมอื ( index of item objective congruence
: IOC) โดยกำหนดเกณฑก์ ารให้คะแนนดังนี้
+1 หมายถงึ แนใ่ จว่าแผนการจัดการเรียนรู้น้นั สอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หาตามตัวช้ีวดั
0 หมายถงึ ไมแ่ นใ่ จวา่ แผนการจดั การเรยี นร้นู น้ั สอดคล้องกบั เนื้อหาตามตัวช้ีวดั
-1 หมายถงึ แนใ่ จว่าแผนการจัดการเรยี นร้นู ้นั ไมส่ อดคล้องกับเนอื้ หาตามตวั ชีว้ ดั
นำคะแนนที่ไดม้ าแทนค่าในสูตร ดังนี้
∑
=
แทน ดชั นีความสอดคล้องของแผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่สร้างขึ้น
แทน คะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญแต่ละทา่ น
∑ แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผู้เช่ียวชาญ
แทน จำนวนผเู้ ชยี่ วชาญ
โดยกำหนดเกณฑ์การพิจารณา ดงั นี้ ค่าดัชนีความสอดคล้องตงั้ แต่ 0.5 ขึ้นไป ถือวา่ มีความสอดคล้อง
กนั ในเกณฑท์ ยี่ อมรับได้ (มาเรยี ม นิลพนั ธ์ุ, 2549: 177)
7.1.6 นำแผนการจดั การเรยี นร้ไู ปปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะของผเู้ ชย่ี วชาญ
7.1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพือ่ นคู่คิดร่วมกบั
เกมคณิตศาสตร์ไปใช้จรงิ กบั กลุ่มตัวอยา่ ง
7.2 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปริซึมและทรงกระบอก ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ฉบับ ใช้ทดสอบทั้งก่อนเรียน (pretest) และหลังเรียน (posttest)โดย
เป็นข้อสอบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ กำหนดการให้คะแนน คือ ถูกได้ 1 คะแนนผิดได้
0 คะแนน ครอบคลุมเน้อื หา เร่อื ง ปริซมึ และทรงกระบอก มขี ัน้ ตอนในการดำเนินการสร้าง ดังน้ี
7.2.1 ศกึ ษาหลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2
7.2.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นจากเอกสารหลักสูตรและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง
7.2.3 สร้างตารางวิเคราะห์ตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเนื้อหา เรื่อง ปริซึมและ
ทรงกระบอกซึ่งเปน็ การวเิ คราะหข์ อ้ สอบ มรี ายละเอียดดงั ตารางที่ 4
7.2.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปริซึมและทรงกระบอก
แบบปรนยั ชนิด 4 ตวั เลอื ก จำนวน 40 ข้อ เพื่อนำไปใช้เป็นแบบทดสอบฉบบั จริงจำนวน 20
ข้อ
7.2.5 นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรือ่ ง ปรซิ มึ และทรงกระบอก และ
ตารางวิเคราะห์แบบทดสอบไปให้อาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานพิ นธ์ตรวจสอบ และให้คำแนะนำ
7.2.6 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องของ
การวัดและใชด้ ลุ พนิ ิจเพือ่ ตรวจสอบความเทย่ี งตรงของเน้ือหา และนำตารางวเิ คราะห์ค่าดัชนี
ความสอดคล้อง (IOC) ของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยกำหนดเกณฑ์
การใหค้ ะแนนดังนี้
+1 หมายถงึ แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบสอดคล้องกับตัวช้วี ัดขอ้ นน้ั
0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จวา่ ข้อสอบสอดคลอ้ งกบั ตัวช้วี ัดข้อนัน้ หรอื ไม่
-1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบไม่สอดคล้องกับตัวชี้วัดข้อนั้นโดยพิจารณาเลือก
ข้อสอบทมี่ ีคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ งมากกวา่ 0.5
7.2.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่แก้ไขปรับปรุงแล้ว ไปทดลองใช้
เพื่อตรวจสอบหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นราษฎร์บำรุงธรรม จำนวน 26 คน ซ่ึงกำลงั ศึกษาในภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2562 ที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง เพราะนักเรียนได้ผ่านการเรียน
วิชาคณติ ศาสตร์ เร่อื ง ปริซึมและทรงกระบอกมาแล้ว
7.2.8 นำกระดาษคำตอบจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมา
ตรวจให้คะแนน โดยคำตอบที่ถูกต้องให้ 1 คะแนน และคำตอบผิดหรือไม่ตอบให้ 0 คะแนน
แล้วนำมาหาค่าสถิติของแบบทดสอบ ซึ่งเป็นค่าที่ยอมรับกันตามทฤษฎีการสร้างข้อสอบคือ
ความยากงา่ ย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) ดังน้ี
การตรวจสอบคา่ ความยากง่าย (p) คือสดั ส่วนระหวา่ งจำนวนผูต้ อบข้อสอบถกู ในแต่ละขอ้ ตอ่ จำนวนผู้
เข้าสอบทั้งหมด โดยใช้เกณฑ์ความยากง่ายระหว่าง 0.20-0.80 (พวงรัตน์ทวีรัตน์, 2543: 129) และการ
ตรวจสอบค่าอำนาจจำแนก (r) คือการตรวจหาความสัมพันธข์ องคะแนนรายขอ้ กับคะแนนรวม โดยใชเ้ กณฑค์ ่า
อำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.2 ขึ้นไปถือว่าข้อสอบมคี ่าอำนาจจำแนก โดยการคัดเลือกข้อสอบนั้นต้องผ่านเกณฑ์ทง้ั
เกณฑ์การตรวจสอบค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) จำนวน 20 ข้อ ซึ่งครอบคลุมตาราง
วเิ คราะห์ขอ้ สอบ
7.2.9 การตรวจสอบค่าความเชอ่ื มัน่ (reliability) คอื การตรวจสอบผลการวดั ที่สมำ่ เสมอและ
คงที่ โดยผู้วิจัยเลือกข้อสอบที่ผา่ นเกณฑ์การตรวจสอบค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r)
จำนวน 20 ข้อ นำมาหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบใช้วิธีการของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน จากสูตร
KR20 (พวงรตั น์ ทวีรัตน์, 2543: 123)
7.2.10 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปริซึมและทรงกระบอกไป
ใชก้ บั นักเรยี นกลมุ่ ตัวอย่าง
7.3 การสร้างแบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริซึมและทรงกระบอก ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นข้อสอบอัตนัย วัดทักษะการแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์ จำนวน10 ข้อ เพื่อใช้เป็แบบทด
สอบฉบับจริงจำนวน 5 ข้อ ข้อละ 8 คะแนน โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค ผู้วิจัยดำเนินการตาม
ขน้ั ตอนดังน้ี
7.3.1 ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้เพื่อกำหนดขอบเขตด้านเนื้อหา และวิธีการสร้าง
แบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์จากเอกสารหลักสูตร และงานวิจัยท่ี
เกยี่ วข้อง
7.3.2 สร้างแบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริซึมและ
ทรงกระบอก แบบอตั นัย จำนวน 10 ขอ้ เพ่อื นำไปใชเ้ ปน็ แบบทดสอบฉบบั จรงิ จำนวน 5 ขอ้
7.3.3 นำแบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริซึมและ
ทรงกระบอก และตารางวิเคราะห์แบบทดสอบไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาวทิ ยานพิ นธต์ รวจสอบ
และให้คำแนะนำ
7.3.4 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องเพื่อ
ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา และนำตารางวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง ( IOC)
ของผเู้ ช่ียวชาญมาคำนวณคา่ ดัชนคี วามสอดคล้อง โดยกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนดังน้ี
+1 หมายถึง แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบสอดคลอ้ งกบั ตัวช้วี ัดขอ้ น้นั
0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จวา่ ข้อสอบสอดคล้องกบั ตวั ชี้วัดขอ้ นั้นหรือไม่
-1 หมายถึง แน่ใจวา่ ข้อสอบไม่สอดคลอ้ งกบั ตัวชวี้ ัดข้อนนั้
โดยพจิ ารณาเลอื กขอ้ สอบทมี่ คี า่ ดัชนีความสอดคล้องมากกวา่ 0.5
7.3.5 นำแบบทดสอบวัดทักษะการแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์ เร่อื งปริซึมและทรงกระบอกไป
ใช้กบั นกั เรียนกลุ่มตัวอยา่ ง
7.4 การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ปริซึมและทรงกระบอก
ผ้วู จิ ัยได้ดำเนนิ การตามขั้นตอนดงั น้ี
7.4.1 ศกึ ษาเอกสารแนวคิดทฤษฎี และองคค์ วามรทู้ เี่ กย่ี วข้อง
7.4.2 วเิ คราะหต์ วั บง่ ช้ี คุณลกั ษณะ และพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ตามวธิ ีการเรยี นรู้
7.4.3 สรา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจตามกรอบตัวบง่ ช้พี ฤติกรรมการเรยี นรู้ โดยจัดทำเป็น
แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 25 ข้อ เพื่อนำไปใช้จริงจำนวน 15 ข้อในด้านการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศในการเรียนรู้ ด้านปร ะโยชน์ที่ได้รับจากการร่วมกิจกรรม และ
ด้านสือ่ การเรียนรู้
7.4.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และผู้เชี่ยวชาญ
พจิ ารณาตรวจสอบคณุ ภาพดา้ นความถกู ต้องเหมาะสม ความชัดเจนความครอบคลมุ ของข้อคำถามกับ
สงิ่ ท่ตี อ้ งการวดั และหาค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) โดยกำหนดเกณฑก์ ารให้คะแนน ดงั นี้
+1 หมายถึง แน่ใจวา่ แบบสอบถามมีความสอดคลอ้ งเหมาะสม
0 หมายถงึ ไมแ่ น่ใจวา่ แบบสอบถามมคี วามสอดคล้องเหมาะสม
-1 หมายถึง แน่ใจว่าแบบสอบถามไม่มีความสอดคล้องเหมาะสมค่าดัชนีความสอดคล้อง
ตง้ั แต่ 0.5 ข้นึ ไป ถอื วา่ มคี วามสอดคล้องกนั ในเกณฑ์ทย่ี อมรบั ได้
7.4.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา
วิทยานิพนธแ์ ละผ้เู ชยี่ วชาญ
7.4.6 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปใช้กับนักเรียนกลมุ่ ตัวอย่าง
7.4.7 นำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจ ตามแบบประเมินแบบมาตราส่วน
ประมาณค่ามาวิเคราะห์เพื่อหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยทำการ
วิเคราะห์เปน็ รายข้อและภาพรวม หลงั จากนน้ั นำคา่ เฉลยี่ ทีไ่ ดม้ าแปลความหมายตามเกณฑ์ดงั นี้
(พวงรตั น์ ทวีรตั น์, 2543: 107-108)
ค่าเฉล่ีย 4.50 – 5.00 หมายถึง พงึ พอใจมากท่ีสุด
คา่ เฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถงึ พงึ พอใจมาก
ค่าเฉลย่ี 2.50 – 3.49 หมายถงึ พงึ พอใจปานกลาง
ค่าเฉลีย่ 1.50 – 2.49 หมายถงึ พึงพอใจนอ้ ย
คา่ เฉล่ีย 1.00 – 1.49 หมายถงึ พึงพอใจนอ้ ยที่สดุ
8. การดำเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ในการทดลองและการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผวู้ ิจัยดำเนนิ การตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
8.1 ผู้วิจัยดำเนินการทดสอบก่อนเรียน (pre-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น และ
แบบวดั ทกั ษะการแก้ปญั หาทางคณิตศาสตรก์ บั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นเทศบาลบา้ นหม่ี
8.2 ผู้วิจัยดำเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับเกมคณิตศาสตร์ตามแผนการจัดการ
เรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และเก็บคะแนนทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระหว่างการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรู้
8.3 ผวู้ ิจยั ดำเนินการทดสอบหลังเรียน (post-test) ดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ
แบบวดั ทกั ษะการแกป้ ัญหาทางคณติ ศาสตร์ กบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลบ้านหมี่
ตารางที่ 5 เกณฑ์การให้คะแนนทักษะการแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์
รายการประเมนิ 2 เกณฑ์การให้คะแนน 0
1
1. ข้ันทำความเขา้ ใจ ระบสุ ิ่งทีโ่ จทยก์ ำหนดให้ ระบสุ งิ่ ทโี่ จทย์กำหนดให้และ ระบุสิง่ ทีโ่ จทยก์ ำหนดให้
ปัญหา และสง่ิ ทโี่ จทย์ถาม ได้ ส่ิงทโ่ี จทยถ์ าม ไดถ้ กู ต้องเปน็ และส่งิ ทีโ่ จทยถ์ ามไม่
ถกู ต้องและครบถว้ น บางส่วน หรอื เขียนอยา่ งใด ถูกตอ้ ง หรอื ไม่ระบุเลย
2. ข้นั การวางแผน อยา่ งหนง่ึ ได้ถูกต้อง
แกป้ ญั หา เลอื กวิธีการแกป้ ญั หาได้ เลือกวธิ ีการแก้ปัญหา เลือกวิธีการแกป้ ญั หาไม่
ถกู ตอ้ งและครอบคลมุ ได้ถกู ต้องบางสว่ น ถกู ต้องหรอื ไม่สามารถเลือก
3. ขน้ั ดำเนนิ การ ทุกประเดน็ วิธีการแก้ปัญหาได้
แก้ปญั หา นำวธิ กี ารแกป้ ัญหาไป นำวิธีการแกป้ ัญหาไปใช้ได้ นำวธิ กี ารแก้ปญั หาไปใชไ้ ม่
ใช้ได้อยา่ งถูกตอ้ งและ อย่างถกู ต้องเปน็ บางส่วน ถกู ตอ้ ง หรือไมส่ ามารถนำ
4. ข้นั ตรวจสอบหรอื ครบถ้วน วิธกี ารแก้ปญั หาไปใช้ได้
มองย้อนกลับ ตรวจสอบคำตอบได้ ตรวจสอบคำตอบได้ถูกตอ้ ง ตรวจสอบคำตอบไมถ่ กู ต้อง
ถกู ต้องครบถว้ น บางส่วน หรอื ไมม่ ีการตรวจสอบ
คำตอบ
8.5 นำคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบวัดทักษะการแก้ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์ มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.) และทดสอบคา่ ที (t - test) แบบไมเ่ ป็นอสิ ระตอ่ กัน (dependent)
8.6 ให้นกั เรยี นตอบแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนร้โู ดยจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค
เพื่อนคู่คิดร่วมกับเกมคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบประเมินที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 15 ข้อ แล้วนำข้อมูลที่เก็บ
รวบรวมมาวเิ คราะหเ์ พอ่ื หาคา่ เฉล่ยี และเปรียบเทียบกบั เกณฑ์
9. สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู
9.1 สถิติพนื้ ฐาน
9.1.1 การหาคา่ เฉลีย่ (Mean) โดยใชส้ ูตร
̅ = ∑
̅ แทน ค่าเฉลี่ย
∑ แทน ผลรวมทงั้ หมดของคะแนน
แทน จำนวนคะแนนทัง้ หมด
9.1.2 การหาค่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใชส้ ตู ร
. . แทน ค่าส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
∑ แทน ผลรวมของคะแนน
∑ 2 แทน ผลรวมของกำลงั สองของคะแนนแตล่ ะตวั
แทน จำนวนของผเู้ ขา้ สอบท้งั หมด
9.2 สถิตทิ ่ีใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมือ ได้แก่
9.2.1 การทดสอบหาความเที่ยงตรงของแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค
เพอ่ื นค่คู ิดรว่ มกับเกมคณติ ศาสตร์ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น แบบทดสอบวัดทักษะการ
แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สูตรดัชนีค่า
ความสอดคล้อง (IOC) (มาเรียม นลิ พันธ์ุ, 2549: 177)
∑
=
แทน ดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรทู้ ส่ี รา้ งข้นึ
แทน คะแนนความคดิ เห็นของผู้เชี่ยวชาญแตล่ ะท่าน
∑ แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เช่ยี วชาญ
แทน จำนวนผูเ้ ชี่ยวชาญ
9.2.2 หาค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร
(พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543: 123)
=
แทน คา่ ความยากของขอ้ สอบรายข้อ
แทน จำนวนผทู้ ่ที ำข้อสอบข้อน้นั ถูก
แทน จำนวนคนทัง้ หมด
9.2.3 หาค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ โดยใช้สูตร (มาเรียม
นลิ พนั ธุ์, 2549: 189)
= −
/2
แทน คา่ อำนาจจำแนก
แทน จำนวนคนทต่ี อบถกู ในกลมุ่ สงู
แทน จำนวนคนทตี่ อบถูกในกล่มุ ต่ำ
แทน จำนวนคนท้งั หมด
9.2.4 หาคา่ ความเชอ่ื มนั่ ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน โดยใชส้ ตู ร KR20 ของคู
เดอร์-ริชาร์ดสนั (พวงรตั น์ ทวีรัตน์, 2543: 123)
∑
= − 1 {1 − 2 }
แทน คา่ ความเชื่อม่ัน
แทน จำนวนขอ้ สอบ
แทน สดั ส่วนผทู้ ำถกู ในแตล่ ะขอ้ กบั นกั เรยี นทงั้ หมด
แทน สดั สว่ นผูท้ ำผิดในแตล่ ะขอ้ กับนักเรยี นท้งั หมด
2 แทน ความแปรปรวนของเคร่อื งมอื ทั้งฉบับ
โดยท่ี
2 = ∑ 2 − ( )2
2
2 แทน ความแปรปรวนของเครือ่ งมอื ทัง้ ฉบับ
∑ แทน ผลรวมของคะแนน
∑ 2 แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนนแตล่ ะตัว
แทน จำนวนคนเข้าสอบ
9.3 สถติ ิทใี่ ช้ในการทดสอบสมมตฐิ าน ไดแ้ ก่
9.3.1 การคำนวณค่าที (t-test) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน
(ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ, 2538: 104)
=
√ ∑ 2 − ( 2)
− 1
โดยมี df เทา่ กับ n-1
แทน คา่ สถิตทิ ดสอบ
แทน ความแตกตา่ งของคะแนนรายคู่
แทน จำนวนนกั เรยี น