ประวัติศาสตร์ภาษายอง
ก
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อศึกษาหา
ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภาษายอง โดยได้ทำการศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ
รายงานเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภาษายอง
คณะผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจและศึกษาเกี่ยวกับ
ประวัติศาสตร์ภาษายองเป็นอย่างมาก
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ ข
เรื่อง หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
บทนำ ประวัติและความเป็นมา
ความเป็นมาของคำว่ายอง 1
ที่มาของชาวยอง 2
ที่มาของภาษายอง 3
ความแตกต่างของภาษายองกับภาษาไทยมาตรฐาน 4
ภาษายองกับภาษาไทยมาตรฐาน 5
ความแตกต่างของภาษายองระหว่าง10-30ปี ถึง40-70ปี 6
สาเหตุที่เกิดความแตกต่างของภาษายอง 7
บรรณานุกรม 8
1
ความเป็นมาของคำว่า “ยอง”
ได้มีนักวิชาการสันนิษฐานไว้ว่า คนสมัยก่อนเมื่อพบกันจะซักถามกันว่า
มาจากเมืองอะไร เพื่อเป็นการบอกถึงถิ่นฐานบ้านเกิดที่ตนจากมา เป็นการ
แสดงถึงความแตกต่างระหว่างที่มาของเมืองหรือบรรพบุรุษ (แสวง มาละแซม,
2544 : 43) เช่นเดียวกับแนวความคิดของ ธเนศวร์ เจริญเมือง (2544)
ที่ได้กล่าวไว้ว่า คนไทยวนเริ่มเรียกตัวเองว่าเป็น “คนเมือง”เพื่อบอกตนเองว่า
เป็นคนพื้นเมืองไม่ได้โยกย้ายมาจากที่อื่น หลังจากที่มีคนไทกลุ่มอื่นๆ
โดยเฉพาะ ยอง ลื้อ ขึน และไทใหญ่ เข้ามาอาศัยอยู่ในล้านนา
ในการที่บอกว่าเป็น “คนเมือง” ของคนไทยวนไม่ได้มีนัยของการยกย่องว่า
ตนเองนั้นมีอารยธรรมเหนือกว่า (ธเนศวร์ เจริญเมือง, 2544 : 19)
2
ที่มาของ "ชาวยอง"
“คนยอง” เป็นกลุ่มคนไทลื้อกลุ่มหนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองยอง มีชื่อ
เป็นภาษาบาลีว่า “มหิยังคนคร” ผู้เฒ่าผู้แก่เรียกว่าเมืองเจงจ้าง (เชียงช้าง)
ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงตุงอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ของรัฐฉาน ในสหภาพเมียนมาร์ ถูกกวาดต้อนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมือง
ลำพูน-เชียงใหม่ ประมาณ พ.ศ. 2348 ตามนโยบาย “เก็บผักใส่ซ้า เก็บ
ข้าใส่เมือง” ของพระเจ้ากาวิละ เมื่อเข้ามาอยู่ในลำพูนคนไทลื้อกลุ่มนี้ก็ยัง
ตั้งชื่อหมู่บ้านของตนตามชื่อเมืองเดิมคือ เวียงยอง และยังคงเรียกตนเองว่า
“คนยอง” เพื่อแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของพวกเขาที่ผูกติดกับพื้นที่
(โครงการพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมและชาติพันธุ์ล้านนา 2551:1) และแสดง
ให้เห็นถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่างไปจากคนกลุ่มอื่น เช่น คนเมือง และคนไท
ลื้อที่มาจากเมืองอื่น
3
ที่มาของภาษายอง
ภาษายอง เป็นภาษาหนึ่งของชาวไทลื้อ ตระกูลภาษาขร้า-ไท
กลุ่มกัม-ไท สาขาเบ-ไท สาขาย่อยไท-แสก มีผู้พูดราวหนึ่งแสนคนใน
ประเทศไทย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดลำพูน บางพื้นที่ของจังหวัด
เชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวไทลื้อที่อพยพมาจาก
เมืองยอง รัฐชาน ประเทศพม่า มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาไทลื้อ
4
ความแตกต่างของภาษายองกับภาษาไทยมาตรฐาน
ภาษายองจะออกสำเนียงเหมือนชาวสิบสองปันนาที่อยู่ในประเทศจีน
ตอนใต้ สิบสองปันนา มีภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์อาณาจักรสิบสองปันนา
มีความเจริญรุ่งเรืองมีกษัตริย์ปกครองต่อเนื่องยาวนาน แต่ไม่อาจต้าทาน
ความยิ่งใหญ่ของจีนได้จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของจีน
ในยุคต่อมาคอมมิวนิสต์ยึดประเทศจีนได้สำเร็จจึงมีผลทำให้แหล่ง
อารยธรรมเก่าแก่ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง แต่ภาษาชนชาวยองยังคงรักษา
เอาไว้จนทุกวันนี้
ส่วนภาษาไทยมาตรฐาน คือ ภาษาที่ได้รับการยกฐานะขึ้นให้เป็น
ภาษาที่ถูกต้องมากที่สุดในสังคมระดับชาติ เป็นภาษาที่เป็นที่ยอมรับ
มากที่สุด ใช้เป็นภาษาราชการ ภาษาสื่อมวลชน และสื่อการสอนในโรงเรียน
ภาษาใดจะเป็นภาษามาตรฐานได้ ต้องมีการสร้างกฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐาน
เช่น การสร้างระบบการเขียน การจัดทำพจนานุกรม ตำราไวยากรณ์ หรือกฎ
เกณฑ์อื่น ๆ ของการใช้ภาษา
5
ความแตกต่างของภาษายองกับภาษาไทยมาตรฐาน
ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษายอง
กุญแจ ขะแจ๋
มะม่วง บะโม้ง
ต้นไม้ เก้าไม่
ร่ม จ้อง
แตงโม บะเต้า
6
ความแตกต่างของภาษายองระหว่างช่วงอายุ
10-30ปี ถึง40-70ปี
ตัวอย่างคำที่ใช้ต่างกัน
10-30ปี 40-70ปี
เกิบแตะ แขป
รองเท้าแตะ
กุ่น ต่าว
หกล้ม
แป๋งกับเข้า เยะกิ๋น
ทำอาหาร
ผีเส้อ อีเบ้อ
ผีเสื้อ
กะท่อน บะตื๋น
กระท้อน
7
จากตัวอย่างจะพบได้ว่ามีการใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกันซึ่งเกิดจากสาเหตุดังนี้
1.การเวลาหรือยุคสมัยที่ต่างกันไป คนที่มีช่วงอายุที่แก่กว่าก็จะมีการใช้ภาษา
หรือคำศัพท์ที่ดั้งเดิมกว่า
2.มีการรับวัฒนธรรมอื่นๆเข้ามา
3.มีตัวแปรทางสังคมเพิ่มขึ้น ตัวแปรที่ว่าก็คือการศึกษา เมื่อคนยองที่อายุ
น้อยได้รับการศึกษาจะใช้คำศัพท์ที่เป็นภาษาไทยมาตรฐานมากกว่า
8
บรรณนุกรม
https://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/ethnicGroups/149
https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษายอง
https://youtu.be/aGjuK2zOd3E
ภาษายองเป็นภาษาที่มีภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์ชาวยองยังคงรักษาและ
สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน
คณะผู้จัดทำ
1)นายอมรเทพ เจ้าแก้ว เลขที่ 4
2)นายปฏิมากร อินทะจักร เลขที่ 6
3)น.ส.อดิศา เเสงอนันต์ เลขที่26
4)น.ส.นิรามัย เชอเปี้ย เลขที่ 36
5)น.ส.สวิชญา จันดา เลขที่ 37
6)น.ส.ชลณิฌา ศรียาบ เลขที่ 38
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7