The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นูรีฮัน หะยีสัน, 2023-03-19 06:34:48

การพัฒนาทักษะการอ่านภาอังกฤษ โดยใช้ทบสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ

วิจัยในชั้นเรียน

รายงานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการอ่านภาอังกฤษ โดยใช้ทบสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดย 1. นางสาวนูรีฮัน หะยีสัน รหัสนักศึกษา 406228007 รายงานการวิจัยเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฎิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565


ชื่อวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านภาอังกฤษโดยใช้ทบสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ผู้วิจัย นางสาวนูรีฮัน หะยีสัน สาขาวิชา ภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คณะกรรมการที่ปรึกษา กรรมการ ( อาจารย์ ดร. ลันล์ลลิต สืบประดิษฐ์ ) (อาจารย์นิเทศก์ประจำหลักสูตร) กรรมการ ( นางโนรีซัน ฆูร์ราม นาวีด ) (ครูพี่เลี้ยง) รายงานการวิจัยเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัตการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565


ก ชื่อวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านภาอังกฤษโดยใช้ทบสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ผู้วิจัย นางสาวนูรีฮัน หะยีสัน สาขาวิชา ภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร.ลัลน์ลลิต สืบประดิษฐ์ ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของ บทสนทนาภาษาอังกฤษ 2) เพื่อเปรียบเทียบ ผลการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษ และ 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ในพัฒนา ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ที่เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษ 3 ( อ 22101 ) สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษายะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 19 คน ได้มาโดยการเจาะจง มาหนึ่งห้องเรียน ด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จากทั้งหมด 2 ห้องเรียน เนื่องจากเป็น ห้องเรียนที่สะดวกต่อการติดตามผลของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ บทสนทนา ภาษาอังกฤษ แบบทดสอบการ่านภาษาอังกฤษ และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ T-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษ พบว่าคะแนนการอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรียนของนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 7.00 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.00 เมื่อนำคะแนนมาเปรียบเที่ยบพบว่าผลสัมฤทธิ์ในการอ่าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้ บทสนทนาภาษาองักฤษ แบบมีปฏิสัมพันธ์ภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ย = 2.80, S.D. = 0.42) ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ พบว่าการพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษด้วยบทสนทนาภาษาองักฤษ ช่วยให้นักเรียน ฝึกอ่านภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นแบบอย่างในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนในทักษะต่อไป คำสำคัญ: การอ่านภาษาอังกฤษ, บทสนทนาภาษาอังกฤษ


ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ดีเพราะได้รับความกรุณาช่วยเหลือเป็นอย่างดี จากอาจารย์ ดร.ลัลน์ ลลติต สืบประดิษฐ์อาจารย์ที่ปรึกษา ที่สละเวลาให้คำปรึกษา คำแนะนำที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ตรวจและแก้ไข ข้อบกพร่องของงานวิจัย ตลอดจนคอยให้ความช่วยเหลือในกระบวนการดำเนินการวิจัย ตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จ ทำให้ งานวิจัยเสร็จสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอกราบขอบคุณด้วยความเคารพอย่างสูง ขอขอบคุณ คณะอาจารย์ที่ให้ความกรุณาตรวจเครื่องมือวิจัยนี้ รวมทั้งให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ อย่างยิ่งในการทำวิจัย ขอขอบคุณพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบุดี ที่ให้โอกาสในการสนับสนุนอำนวยความ สะดวกในด้านเวลาการเรียนและในการทดลองเครื่องมือวิจัย ผู้วิจัยขอกราบขอบคุณด้วยความเคารพ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ที่ให้ความร่วมมือในการทำแบบสังเกตและแบบสอบถามตลอดถึงกิจกรรมต่างๆ จนงานวิจัยสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นางสาวนูรีฮัน หะยีสัน


ค สารบัญ บทที่ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์วิจัย 2 ขอบเขตของการวิจัย 2 กรอบแนวคิดการวิจัย 3 ประโขชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ 5-14 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 14-15 บทที่ 3 วิธีดำเนินวิจัย แบบแผนการวิจัย 16 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 16 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 16-18 การเก็บรวบรวมข้อมูล 18-19 การวิเคราะห์ข้อมูล 19 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 19-20 บทที่ 4 ผลการวิจัย ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ 21 ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรม 22


สารบัญ (ต่อ) บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายและข้อเสนอแนะ สรุปผล 23 อภิปรายผล 23-24 ข้อเสนอแนะ 24 บรรณานุกรม 25 ภาคผนวก ก 27-31 ข 32-33 ค 34-44 ง 45-47 จ 48-49 ฉ 50-127 ช 128-134 ซ 135-136


1 บทที่1 บทนำ 1. บทนำ การเรียนรู้ภาษาอังกฤษประกอบไปด้วยทักษะหลายประการ ทั้งการฟ้ง การพูด การอ่านและการเขียน การ อ่านเป็นทักษะพื้นฐานภาษาอังกฤษทักษะหนึ่งที่สำคัญต่อการเรียนรู้ การอ่านทำให้เกิดการพัฒนาด้านสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ พฤติกรรมและค่านิยมต่างๆ รวมทั้งช่วยในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต พัฒนาไปสู่สิ่งดีที่สุด ของชีวิต การอ่านภาษาอังกฤษนอกจาก ผู้อ่านจะได้รับความเพลิดเพลินจากการอ่านแล้ว ก็ยังได้รับประโยชน์ที่สำคัญ อื่นๆ คือ การเพิ่มพูนความรู้ การช่วยให้นักเรียนพัฒนาความสามารถในภาษาอังกฤษที่เรียนมาและได้ความรู้เพิ่มเติม ทั้งในด้านคำศัพท์โครงสร้างประโยค และการทำความเข้าใจและการคิดวิเคราะห์เมื่ออ่านบทอ่าน หรือสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ (เยาวรัตน์ การพานิช และคณะ, 2542 : 13) การอ่านจึงจำเป็นต้องฝึกให้เกิด ความชำนาญ (ฉวีวรรณคูหาภินันท์, 2545 : 3) เพื่อให้เข้าใจเรื่องที่อ่านได้อย่างรวดเร็วถูกต้อง ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นส่วนหนึ่งของหลายๆกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะทักษะการอ่านเป็นหัวใจ หลักของการเรียนรู้ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความสามารถได้ด้วยตนเอง มีทักษะพื้นฐาน แห่งการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน การอ่านเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้เรียนที่ต้องพบเจอ และ เป็นหัวใจหลักของการแสวงหาความรู้ ครูผู้สอนจะต้องหาหลากหลายวิธีการสอนใหม่ ๆ เพื่อมาช่วยในการพัฒนาการ เรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นครูผู้สอนควรที่จะพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งทักษะการอ่าน เพื่อความเข้าใจของผู้เรียน ให้เหมาะสมกับความสนใจของผู้เรียนและเลือกเทคนิควิธีการสอนที่ดีที่สุดมาจัดกิจกรรมใน ห้องเรียนให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจากการศึกษา ข้างต้นทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะนำบทสนทนาภาษาอังกฤษ มาเพื่อพัฒนาทักษะการ อ่านภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยผู้วิจัยจะนำบทสนทนา มาใช้ในขั้นสรุป คือหลังจากสอน อ่านบทสนทนาให้นักเรียนไปแล้ว ผู้วิจัยจะนำแบบทดสอบ มาทบทวนให้นักเรียนโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ซึ่งจะ วัดผลโดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษ


2 2. วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนและหลังการใช้บทฝึกสนทนาภาษาอังกฤษ 2. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อบทฝึกสนทนาภาษาอังกฤษ 3. ขอบเขต 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ที่เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษ 3 ( อ 22101 ) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษายะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 53 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ที่เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษ 3 ( อ 22101 ) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษายะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 19 คน ได้มาโดยการเจาะจงมาหนึ่งห้องเรียน ด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จากทั้งหมด 2 ห้องเรียน เนื่องจากเป็นห้องเรียนที่สะดวกต่อการติดตามผลของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ 2. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย คือ บทสนทนาภาษาอังกฤษ เรื่อง What there for lunch จากหนังสือเรียนวิชา ภาษาอังกฤชั้นมัธยศึกษาปีที่ 2 (New world 2) 4. ระยะเวลาในการวิจัย ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยคือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ชั่วโมง 3. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือ บทสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ตัวแปรตาม คือ ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ 4. กรอบแนวคิดการวิจัย 1.แบบฝึกการอ่าน องค์ประกอบของแบบฝึกทักษะการอ่าน 1. วัตถุประสงค์ (ผลการเรียนรู้) 2. แบบทดสอบก่อนเรียน 3. แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดย ใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 4. แบบทดสอบหลังเรียน 5. แผนการจัดการเรียนรู้บทที่ 5 เรื่อง What there for lunch 2. ขั้นตอนในการในการจัดการเรียนรู้ 1. ขั้นนำเสนอบทเรียน ( Pre-reading) 2. ขั้นระหว่างเรียน ( While-reading) 3. ขั้นหลังการอ่าน (Post – reading) - ความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ - ความรู้ เรื่อง What there for lunch จากการใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ - ความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อแบบบทสนทนาภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ


3 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ นักเรียน: นักเรียนมีการพัฒนาทักษะด้านการอ่านภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่วและมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ภาษาอังกฤษ สามารถวิเคราะห์และคาดคะเนความหมายของคำศัพท์ที่อ่านในบทสนทนาภาษาอังกฤษมากขึ้น 6. นิยามศัพท์เฉพาะ 1. บทสนทนา หมายถึง ชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เรื่อง What there for lunch เพื่อ พัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษให้คล่องแคล่ว 2. ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการอ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจ ได้อย่างถูกต้อง 3. นักเรียน หมายถึง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์อ.รามัน จ.ยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 7. สมติฐานวิจัย 1. ภายหลังการเรียนด้วยบทสนทนาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษสูงกว่า ก่อนใช้บท สนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 2. ภายหลังการเรียนด้วยบทสนทนาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนมีความเข้าใจในบทสนทนาภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ มากมาก 3. ภายหลังการเรียนด้วยบทสนทนาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อบทสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจอยู่ในระดับมาก


4 บทที่ 2 เอกสารและการงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลและทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ประกอบไปด้วย ประเด็นดังต่อไปนี้ ความหมายของคำอ่านความสำคัญของการอ่านลักษณะของการอ่านที่ดีจุดมุ่งหมายของการอ่าน ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยมีนักการศึกษาได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้ 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ 2.1.1 ความหมายของการอ่าน 2.1.2 ความสำคัญของการอ่าน 2.1.3 ลักษณะของการอ่านที่ดี 2.1.4 จุดมุ่งหมายของการอ่าน 2.1.5 ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ 2.1.6 องค์ประกอบสําคัญของการอ่าน 2.1.7 ความเข้าใจในการอ่าน 2.1.8 ระดับความเข้าใจในการอ่าน 2.1.9 การวัดและประเมินผลความเข้าใจในการอ่าน 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.4.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ


5 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอนคำศัพท์ 2.1.1 ความหมายของการอ่าน การอ่าน มีความสําคัญและเป็นความจําเป็นขั้นพื้นฐานสําหรับมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งต้องแข่งขันดิ้นรน เพื่อการอยูรอดและพัฒนาตนเองในการดําเนินชีวิตให้ทัดเทียมผู้อื่นในสังคมการอ่านจึงเป็นเครื่องมือสําคัญใน การศึกษา แสวงหา ค้นคว้าข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ ได้ การอ่านจึงมีประโยชน์ในการพัฒนาตนให้เป็นผู้รอบรู้ ฉลาด เข้าใจ ตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้มากขึ้น และพร้อมที่จะก้าวไปให้ทันต่อความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสังคม นักการศึกษาได้กล่าวถึงความหมายของการอ่านไว้ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2545: 1364 ) ให้ความหมายของค่าว่า “อ่าน” หมายถึงว่าตาม ตัวหนังสือถ้าอ่านออกเสียงด้วยเรียกว่าอ่านออกเสียง ถ้าไม่ออกเสียง เรียกว่าการอ่านแบบในใจ หรือหมายถึง สังเกต หรือพิจารณาดูเพื่อให้เขาใจหรือตีความ (อ้างอิงใน วิลัยวรรณ ร่วมชาติ :2549) สถาบันภาษาอังกฤษสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2560, หน้า 97) ได้อธิบายว่า การอ่าน คือ การสื่อความรู้ ความรู้สึกนึกคิด ระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านโดยผู้อ่านเข้าใจในสัญลักษณ์ เครื่องหมาย รูปภาพ ประโยค ข้อความ ตัวอักษร คํา และข้อความที่พิมพ์หรือเขียนขึ้นมา ด้วยการสังเกตและพิจารณา ซึ่งมีความหมายตรง กับผู้สื่อสารเขียน โดยเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์และการตีความระหวางผู้เขียนและผู้อ่าน ซึ่งจะเข้าใจมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความรู้เดิมและการทํานายความรู้เกี่ยวกบเรื่องความหมายของคำศัพท์ โครงสร้างไวยากรณ์ ตลอดจนความ เข้าใจในเรื่องความสอดคล้องต่อเนื่องของประโยคแต่ละประโยค พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 (2556, หน้า 13-64) ได้อธิบายความหมายของการอ่านว่า “อ่าน” หมายถึง “วาตามตัวหนังสือ ออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ออกเสียงเรียกวาอ่านในใจ สังเกต หรือพิจารณาดูเพื่อให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ, ตีความเช่น อ่านรหัส อ่านลายแทง,คิด, นับ.(ไทย เดิม)” ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ และพิรุณ อนวัชศิริวงศ์ (2559, หน้า 17) ได้อธิบายว่า การอ่านเป็นการเรียนรู้ กระบวนการถอดรหัส (Coding) และเมื่อคนเราพัฒนาถึงความสามารถได้ในระดับหนึ่งประโยชน์ของมันจะกลายเป็น ผลที่เอื้อให้อ่านได้มากขึ้นเรื่อย ๆ นันคือการอ่านจะช่วยให้สมองเราเก็บข้อมูลได้เพิ่มขึ้น วันเพ็ญ วัฒฐานะ (2558, หน้า 25) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่าน หมายถึงการรับรู้ความหมาย จากข้อความ ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ผานกระบวนการคิดวิเคราะห์ แปลความ ตีความ ขยายความ และจับ ใจความสําคัญ โดยอาศัยทักษะความรู้ด้านภาษาและประสบการณ์ทําให้สื่อสารได้อยางมีประสิทธิภาพ บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์ (2549, หน้า 3) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านหมายถึง กระบวนการแปล ความหมายสัญลักษณ์ทางภาษา โดยผานกระบวนการคิดวิเคราะห์ตามความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้อ่านและ ตีความเพื่อให้เกิดความเข้าใจความหมายของเรื่องที่อ่าน ตามความต้องการของผู้เขียนที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้


6 บรรพต ศิริชัย (๒๕๔๗ : ๒) กล่าวว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการทางความคิดในการรับสารขณะที่อ่าน สมองของผู้อ่านจะต้องแปลความหมาย ตีความข้อความหรือเรื่องราวที่อ่านไปด้วยตลอดเวลาในระหว่างที่ผู้อ่านกำลัง อ่านหนังสืออยู่นั้น จะต้องใช้กลวิธีหลาย ๆ อย่าง เพื่อช่วยให้เข้าใจ เรื่องราวได้เร็วขึ้นได้แก่ ความรู้เดิมในค่าศัพท์เพื่อใช้อธิบายความหมาย แปลความ ตีความ และขยายความ จากเรื่องที่อ่านได้ นอกจากนี้ผู้อ่านจะต้องมีความคิดเชิงวิจารณ์ และสร้างสรรค์ สามารถพิจารณาเหตุผลจากข้อความ ที่อ่าน เข้าใจความคิดหรือความมุ่งหมายของผู้เขียน รวบรวมความคิดที่ได้จากการอ่าน แล้วน่าไปประสานกับ ประสบการณ์เดิมของตนเป็นความคิดใหม่ เพื่อน่าไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคม (อ้างอิงในสมจิตต์ วัฒน วงศ์: 2557) ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การอ่านออกเสียงไปตามตัวหนังสือและผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายจาก ตัวหนังสือนั้นการอ่านเป็นกระบวนการทางความคิดในการรับสาร เป็นพฤติกรรมทางการใช้ภาษาที่มีลักษณะเฉพาะตัว เป็นการแปลความหมายของตัวอักษร สัญลักษณ์ ข้อความ ประโยค คำ เครื่องหมาย ภาพที่ได้ดูออกมาเป็นถ้อยค่า และความคิด 2.1.2 ความสำคัญของการอ่าน การอ่านมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านท่าให้รู้ข่าวสารข้อมูล ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลก ท่าให้ผู้อ่านมีความสุขมีความหวัง และมีความอยาก รู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ท่าให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้อยากเห็น การที่จะพัฒนา ประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งความรู้ต่าง ๆ ก็ได้มาจากการอ่าน นั่นเอง (ฉวีวรรณ คูหาภินนท์, 2542, หน้า 11) การอ่านมีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพราะการอ่านเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาบุคคล ช่วยให้ เกิดความงอกงามทางสติปัญญา และมีส่วนผลักดันให้สังคมเจริญก้าวหน้าไปได้เร็วขึ้น การอ่านท่าให้คนฉลาด รู้จักคิด และมีโลกทัศน์กว้าง ยิ่งในปัจจุบันความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นยุคข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดน มีความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายที่จะช่วยให้การด่ารงชีวิตของมนุษย์สะดวกสบาย มีความปลอดภัยและมีความสุข การ อ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญมากและเป็นกิจกรรมที่จ่าเป็นต้องท่าอย่างสม่ำเสมอ เพราะการอ่านได้ดีหรือไม่ดี อ่านช้าหรือเร็ว ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ต่อการเป็นนักอ่านที่มีคุณภาพ พินิตนันท์ บุญพามี (2542, หน้า 1-2) กล่าววา การอ่านมีความจําเป็นต่อชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน เพราะมี การเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็วทั้งด้านวัตถุ วิทยาการ และความนึกคิด การอ่านช่วยให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และความกาวหน้าได้ทัน ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ความคิด และวิจารณญาณ ให้คนมีความงดงามทางวุฒิภาวะ วุฒิปัญญาและความสวามารถมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตวิญญาณของผู้อ่านให้ ไปในทางที่ดีงามด้วยตนเอง และทําประโยชน์ต่อส่วนรวมได้เป็นอยางดี การอ่านเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมประสาน


7 ความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาให้ประจักษ์ความจริงอย่างเดียวกัน และสามารถประกอบกิจต่าง ๆ ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์ (2542, หน้า 3-6) ได้กล่าวถึงความสําคัญของการอ่านว่ามีความสําคัญต่อการพัฒนา อาชีพการศึกษา และเป็นหัวใจของการเรียนการสอน การอ่านมีความจําเป็นต้องฝึกให้มีความชํานาญเพื่อจะได้สะสม ประสบการณ์ให้เกิดความคิดกว้างขวางและเข้าใจเรื่องที่อ่านอยางรวดเร็ว ถูกต้อง การอ่านเป็นประจําช่วยลับสมอง และความคิดให้เฉียบแหลมในขณะเดียวกนคนที่อ่านหนังสือไม่ได้หรือไม่อ่าน จะมีความลําบากมากในการดํารงชีวิตอยู ในโลกนี้อยางมีความสุข ถูกเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ นานา การอ่านจึงมีความจําเป็นสําหรับทุกคนและเป็นกุญแจไข ไปสู่ความสําเร็จ จากความสําคัญของการอ่านตามที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้วา การอ่านมีความสําคัญต่อการพัฒนาอาชีพ การศึกษา และเป็นหัวใจของการเรียนการสอน ช่วยให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและความกาวหน้าได้ทัน ช่วย เพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ ความคิด และวิจารณญาณของผู้อ่าน 2.1.3 ลักษณะของการอ่านที่ดี “การอ่านสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือการอ่านออกเสียง (Read aloud) และการอ่านในใจ (Silent reading) 1 ” การอ่านออกเสียง มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าคนเราเมื่อเกิดมาก็ต้องมาอ่านออกเสียง เพื่อให้ครูหรือผู้ปกครองทราบว่าเด็กอ่านถูกต้องหรือไม่ ชัดเจนหรือไม่จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง การอ่านออกเสียงควร เริ่มต้นจากการเห็นค่าอ่านที่ใกล้ ๆ ตัวแล้วน่ามาอ่านออกเสียง เช่น พ่อ แม่ พีฯลฯ เพราะเป็นค่าที่ใกล้ๆ ตัว เมื่อโตขึ้น ไปในอนาคตก็อาจจะขยายการอ่านออกไปให้กว้างขึ้น อาธิเช่น ท้องฟ้า พระอาทิตย์ดวงจันทร์ฯลฯ การอ่านออกเสียง สามารถใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ่าวันได้อาธิเช่น การเป็นผู้ประกาศ เป็นพิธีกรในงานต่าง ๆ ท่าหน้าที่อ่านข่าวใน โทรทัศน์วิทยุฯลฯ การอ่านในใจ มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะเมื่อเรียนไปในระดับที่สูงขึ้นการอ่านมีความสำคัญ เป็นอย่างยิ่งเพราะต้องอ่านหนังสือหรืออ่านบทความเพื่อการสรุปใจความสำคัญและเพื่อความรวดเร็วในการทราบ ข้อมูลข่าวสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร “จะเห็นได้ว่าการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจนั้น มีความสำคัญและจ่าเป็น ต้องใช้การอ่านทั้งสองอย่าง แต่จะอ่านออกเสียงหรืออ่านในใจเมื่อใดจึงจะเหมาะสม และให้ได้ประโยชน์มากที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการอ่านเป็นสำคัญ (ฉวีวรรณ คูหาภินนท์ , 2542 หน้าที่ 16) 2.1.4 จุดมุ่งหมายของการอ่าน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546, หน้า 9) 1. อ่านเพื่อความรู้ ได้แก่ การอ่านจากหนังสือตำราทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ ควรอ่านอย่างหลากหลาย เพราะความรู้ในวิชาหนึ่ง อาจน่าไปช่วยเสริมในอีกวิชา หนึ่งได้ 2. อ่านเพื่อความบันเทิง ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทสารคดีท่องเที่ยว นวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล การ์ตูน บทประพันธ์ บทเพลง แม้จะเป็นการอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ผู้อ่านจะได้ความรู้ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องด้วย 3. อ่านเพื่อทราบข่าวสารความคิด ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทบทความ บทวิจารณ์ ข่าว รายงานการ ประชุม ถ้าจะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต้องเลือกอ่านให้หลากหลาย ไม่เจาะจงอ่านเฉพาะสื่อ ที่น่าเสนอตรงกับ


8 ความคิดของตน เพราะจะท่าให้ได้มุมมอง ที่กว้างขึ้น ช่วยให้มีเหตุผลอื่น ๆมาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ได้หลาย มุมมองมากขึ้น 4. อ่านเพื่อจุดประสงค์เฉพาะทางแต่ละครั้ง ได้แก่การอ่านที่ไม่ได้เจาะจง แต่เป็นการอ่านในเรื่องที่ตนสนใจ หรืออยากรู้เช่น การอ่านประกาศต่าง ๆ การอ่านโฆษณา แผ่นพับ ประชาสัมพันธ์สลากยา ข่าวสังคม ข่าวบันเทิง ข่าว กีฬา การอ่านประเภทนี้มักใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่เป็นการอ่านเพื่อให้ได้ความรู้และน่าไปใช้ หรือน่าไปเป็นหัวข้อ สนทนา เชื่อมโยงการอ่าน สู่การวิเคราะห์ และคิดวิเคราะห์ บางครั้งก็อ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน 2.1.5 ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ การอ่านภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างมากสำหรับผู้เรียน แต่อย่างไรก็ตามที่จะอ่านได้เข้าใจอย่างถ่อง แท้นั้นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง การอ่านเริ่มจากระดับที่ง่ายซึ่งผู้อ่านไม่จำเป็นต้องต้องอาศัยความคิดเห็น เพียงแต่เข้าใจตรงตามตัวอักษรเท่านั้นและระดับยากคือผู้อ่านต้องใช้ความคิดเพื่อการวิเคราะห์ตัดสินประเมินค่าจาก สิ่งที่อ่าน นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ในลักษณะที่คล้ายกันดังนี้ สมิธ (Smith, 1973, p.6) กล่าวว่า การอ่านไม่ใช่กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่มองเห็นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสองประเภท คือ ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรในหน้ากระดาษที่ปรากฏต่อสายตา (Visual Information) และข้อมูลที่มาจากสมองหรือประสบการณ์ (Nonvisual Information) ซึ่งข้อมูลประเภทหลัง มีความหมายต่อความเข้าใจในการอ่านมากกว่าประเภทแรกการวิเคราะห์แยกแยะความหมายในระดับคำจึงไม่ใช่สิ่งที่ จำเป็นแต่มุ่งเน้นในความหมายของประโยคห้อข้อความมากกว่า คูเปอร์ เดวิด และวอร์เนค (Cooper & David, 1988, p.3) กล่าวว่า การอ่านคือ กระบวนการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้อ่านกับสิ่งที่อ่านเพื่อให้ได้คาวมหมายจากสิ่งที่อ่าน Milller (1982 : 12) ได้อธิบายจุดมุ่งหมายของการอ่านเป็น 6 ข้อดังนี้ 1. อ่านเพื่อจับใจความคร่าว ๆ (Scanning Skimming Reading) 2. อ่านเพื่อจับใจความสำคัญ (Idea Reading) 3. อ่านเพื่อสำรวจรายละเอียด และจับใจความสำคัญโดยทั่วๆ ไป (Exploratory Reading) 4. อ่านเพื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้ (Study Reading) 5. อ่านเพื่อใช้วิจารณญาณติดตามข้อความที่อ่าน (Critical Reading) 6. อ่านเพื่อวิเคราะห์ข้อความหรือแนวคิดเรื่องที่อ่าน Analytical Reading) สุมิตรา อังวัฒนกุล (2539 : 178-179) ได้กล่าวว่า การอ่านเพื่อวัตุถประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่ นอกเหนือไปจากการอ่านเพื่อศึกษาตัวอักษร ได้แบ่งการจัดกิจกรรมการสอนอ่านดังนี้ 1. กิจกรรมก่อนการอ่าน (Pre-Reading Activity) สร้างความสนใจในเรื่องในเรื่องที่จะอ่านและปูพื้นความรู้ ในเรื่องที่จะอ่าน คาดคะเนเรื่องที่จะอ่าน การคาดคะเน 2. กิจกรรมระหว่างอ่าน (While-Reading Activity) เป็นการทำความเข้าใจโครงสร้างและเนื้อหาในเรื่องที่ อ่าน ลำดับเรื่องโดยตัดออกมาเป็นตอนๆ Strip story เพื่อลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง การเติมข้อความ การเขียนแผนผัง


9 3. กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-Reading Activity) เป็นการตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนถ่ายทอดโยงไปสู่ ทักษะอื่น ๆ กนิษฐา แสงสว่าง (2551 : 19) กล่าวว่า การอ่านคือการแปลความหมายของคำ สัญลักษณ์ รวมทั้งเรื่องราว ต่าง ๆโดยอาศัยกระบวนการคิด ประสบการณ์เดิมและเจตคติของผู้อ่านเพื่อที่จะเข้าใจและความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียน และสามารถนำสิ่งที่ได้จากการอ่านไปปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ รวมถึงจับใจความสำคัญ สรุป เกี่ยวกับสิ่งทีอ่านได้ สมุทร เซ็นเชาวนิช (2551 : 1 ) กล่าวว่า การอ่านคือการสื่อความหมายเป็นการสื่อความหมายระหว่างผู้เขียน กับผู้อ่าน แสดงปฏิกิริยาตอบโต้และอาจจะโต้ตอบกับผู้อื่นด้วย กรวิก ศรีแก้ว (2553 : 28) กล่าวว่า การอ่านคือ ความสามารถในการอ่านเรื่องเพื่อความเข้าใจในด้านการรู้ ความหมาย แปลความหมายสัญลักษณ์ทางภาษาโดยผ่านกระบวนการคิดตามความรู่และประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน ตีความเพื่อให้เกิดความเข้าใจความหมายของเรื่องที่อ่าน คมสันติ์ เณรฐานันท์ (2553 : 29) สรุปได้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการทางด้านความคิดเห็นในการ ตีความหมายสิ่งที่อ่าน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในข้อมูลที่อ่าน โดยต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิม ตลอดจน ความสามารถของผู้อ่าน เพื่อให้สามารถเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านและเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียนที่ต้องสื่อ ความหมายได้ ดำรงคต์ อดุลย์ฤทธิกุล (2555 : 123) ได้กล่าวว่า การอ่าน เป็นทักษะของการแปลความหมายจากตัวหนังสือ และเมื่อผู้อ่านสามารถอ่านและเข้าใจความหมายสิ่งที่อ่านได้ จะถือว่าการอ่านนั้นประสบผลสำเร็จ อมร เอี่ยมตาล (2556 : 23) สรุปว่า การอ่านนั้นเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนพอสมควร ต้องใช้ทักษะของสมองในการตีความหมาย สายตาในการมองเห็น หรือรับรู้จากการสัมผัส ต้องใช้ความรู้และ ประสบการณ์เดิมในการแปลความหมาย หรือการใช้ทักษะการเดาอย่างมีหลักการที่เชื่อถือได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้รับสาร หรือผู้อ่านต้องรู้วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารหรือผู้เรียนตลอดจนต้องมีความละเอียดอ่อนมากพอที่จะสามารถท ำความ เข้าใจในสารหรือข้อความที่กำลังอ่านได้เป็นอย่างดี จากคำกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ความหมายของการอ่าน หมายถึงกระบวนการแปลความหมายสัญลักษณ์จาก ตัวอักษร โดยผ่านกระบวนการคิดที่ผู้อ่านต้องใช้ประสบการณ์เดิม (Scheme) มาเป็นตัวช่วยในการแปลความหมาย ตีความ และสร้างความเข้าใจในสิ่งที่อ่าน จึงทำให้เกิดความเข้าใจในสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนต้องการสื่อความไปยังผู้อ่าน และสามารถนำสิ่งที่ได้จากอ่านไปปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ 2.1.6 องค์ประกอบสําคัญของการอ่าน นักการศึกษาได้กล่าวถึงองค์ประกอบสําคัญของการอ่านไว้หลายท่าน ดังนี้ กรมวิชาการ (2545, หน้า 89-90) ได้กล่าววา การอ่านจะได้ผลดีต้องประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้ 1. ความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่าน ผู้ที่มีความรู้มากก็ยอมอ่านหนังสือได้เข้าใจกว่าผู้ ที่มีความรู้ น้อย นอกจากนี้แล้วประสบการณ์ของผู้อ่านก็จะมีส่วนทําให้เข้าใจเรื่องที่อ่านได้รวดเร็ว


10 2. ความรู้ทางด้านภาษา ผู้อ่านจะอ่านเรื่องเข้าใจและได้รับประโยชน์คุ้มค่าก็ควรจะเข้าใจในเรื่องคํา ที่ใช้ในหนังสือที่อ่าน คําบางคํามีความหมายหลายอยาง ความหมายตรง ความหมายแฝงและความหมาย เปรียบเทียบ คําใหม่ศัพท์บัญญัติ คํายอต่าง ๆ 3. วิธีการเขียนของผู้แต่ง ผู้อ่านควรรู้จักแบบการเขียนของผู้แต่ง ซึ่งแตกต่างกันตามยุคสมัและ ความสามารถแต่ละบุคคล แบบการเขียนของแต่ละคนยอมไม่เหมือนกนั 4. นิสัยรักการอ่าน 5. รู้จักสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ การรู้จักลักษณะสิ่งพิมพ์แต่ละประเภทจะทําให้อ่านได้เร็วยิ่งขึ้นวัชรี วัชรี บูรณสิงห์ และนิรมล ศตวุฒิ (2542, หน้า 6-7) ได้กล่าวว่า การอ่านจะดีได้หรือเกิดประโยชน์เพียงใดนั้น จะต้องอาศัยองค์ประกอบสําคัญของการอ่าน ดังนี้ 1. ความรู้ทางภาษา 2. ประสบการณ์ในเรื่องที่อ่าน 3. ความสามารถในการคิด 4. ความสนใจและความเชื่อ 5. จุดประสงค์ในการอ่าน 6. การรู้จักและเข้าใจในองค์ประกอบของหนังสือ 7. รู้จักเลือกใช้วิธีอ่านให้เหมาะสมกบประเภทของหนังสือและตรงกับจุดประสงค์ของการอ่าน 8. รู้จักเลือกหนังสือสําหรับการอ่านตามจุดมุ่งหมาย รู้วาหนังสือเล่มใดนั้นดีหรือไม่ควรใช้เวลาในการ อ่านมากน้อยเพียงไร หรือควรให้ความสําคัญมากน้อยเพียงใด 9. รู้จักแหล่งของหนังสือ รู้ว่าหนังสือประเภทใดอยู่ที่ไหน หรือจะหาความรู้หรือจะอ่านเนื้อหาความรู้ นั้นได้จากหนังสือประเภทใด จิดาภา ฉันทานนท์ (2541, หน้า 52-59) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่านว่าควา เข้าใจในการอ่านเป็นจุดหมายหลักของการอ่านโดยทัวไป มีแนวคิดของทฤษฎี โครงสร้างความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบ สําคัญ ๆ ที่ส่งผลต่อความเข้าใจในการอ่าน ซึ่งนักการศึกษาจํานวนมากเห็นพ้องกนวั ามีองค์ประกอบอยู่ 3 ด้าน คือ 1. พื้นความรู้ด้านภาษา (Linguistic schema) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกบตัวอักษร การสะกดคํา คําศัพท์ โครงสร้างไวยากรณ์ และสัมพันธภาพในข้อความ 2. พื้นความรู้ด้านเนื้อหา (Content schema) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกบวัฒนธรรม ความรู้รอบตัวทั่วไป และ ความรู้ในเนื้อหาเฉพาะด้านตามที่ปรากฏหรือเกี่ยวข้องกบเนื้อหาในบทอ่าน 3. พื้นความรู้ด้านโครงสร้างบทอ่าน (Formal schema) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของงานเขียน ประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในในการนําเสนอเนื้อหาในบทอ่าน ซึ่งมีอยูหลายประเภท เช่น ประเภทบรรยาย (Descriptive) ประเภทเล่าเรื่อง (Narrative) ประเภทเปรียบเทียบ (Comparison)


11 จากองค์ประกอบของการอ่านที่กล่าวมา สรุปได้วา การอ่านจะได้ผลดีผู้อ่านจะต้องมีความรู้ทางเนื้อหา ความรู้ทางภาษา ความสามารถในการคิด ความสนใจ และต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้อ่าน การศึกษาองค์ประกอบ ของความเข้าใจในการอ่านจึงเป็นเรื่องยาก เพราะความเข้าใจในการอ่านเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสมอง ไม่สามารถ กระทําได้โดยตรง แต่ต้องใช้วิธีการศึกษาโดยอ้อม เช่น การสังเกตพฤติกรรมในการอ่าน ตรวจสอบความถูกต้องในการ ตอบคําถามของผู้อ่าน แล้วจึงสรุปอ้างอิงไปยังองค์ประกอบที่คาดวาจะส่งผลต่อความเข้าใจในการอ่าน 2.1.7 ความเข้าใจในการอ่าน การอ่านเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน หัวใจของการอ่านอยูที่การเข้าใจความหมายของคํา หรืออาจกล่าวได้ว่า การอ่านที่ประสบผลสําเร็จ คือ สามารถเข้าใจสิ่งที่อ่าน จากการศึกษาพบว่า มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ ความหมายของความเข้าใจในการอ่านไว้ดังนี้ พรรณศรี ปทุมสิริ (2541, หน้า 29) ได้ให้ความหมายการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ว่าหมายถึงความสามารถใน การอ่านและเข้าใจความหมายของคําศัพท์ โดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม ทําให้เกิดความเข้าใจและจับใจความ สําคัญของเรื่องที่อ่านได้ สมุทร เซ็นเชาวนิช (2549, หน้า 73) ได้ให้ทัศนะว่า ความเข้าใจในการอ่านคือความสามารถที่จะอนุมาน ข้อสนเทศหรือความหมายอันพึงประสงค์จากสิ่งที่อ่านได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ความเข้าใจใน การอ่านมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกบการศึกษา และประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลและถือเป็นองค์ประกอบ ที่สําคัญยิงของ การอ่านถ้าอ่านแล้วไม่เกิดความเข้าใจใด ๆ เลย ก็อาจจะกล่าวได้วาการอ่านที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้นเป็น เพียงการเห็นตัวหนังสือปรากฏอยูบนหน้ากระดาษเท่านั้น บัญชา อึ่งสกุล (2545, หน้า 52-72) ได้ให้คําจํากดความว่า ความเข้าใจในการอ่านคือการแปลความหมาย ของตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่มีการจดบันทึกไว้ การเข้าใจความหมายของตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่อ่าน ขึ้นอยู่กับ ความหมายของผู้อ่านที่จะต้องทําความเข้าใจ โดยอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้อ่านเป็นพื้นฐาน ดัฟฟี่ และโรเลอร์ (Duffy & Roehler,1993,p. 29) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจหมายถึง ความสามารถ ในการตีความหมายจากบทอ่านได้อยางถูกต้อง รวมทั้งสามารถทําความเข้าใจกบความหมายนั้น การตีความจะอาศัย พื้นฐานความรู้เดิมของผู้อ่านเป็นสําคัญ หรือความเข้าใจในการอ่านจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้อ่านนําประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ แล้วมาสัมพันธ์กบข้อเขียนที่อ่าน จากความหมายของความเข้าใจในการอ่าน สรุปได้วา ความเข้าใจในการอ่านเป็นความสามารถในการทํา ความเข้าใจทั้งในระดับตัวอักษร และระดับความหมายโดยการตีความจะอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหวางเนื้อเรื่องที่อ่านกับ ความรู้หรือประสบการณ์เดิมของผู้อ่านเป็นหลักจึงทําให้เกิดความรู้ใหม่ความเข้าใจเป็นพื้นฐานที่จะนําไปสู่ ความสามารถทางการอ่าน ทําให้การอ่านประสบความสําเร็จ อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการอ่าน และทําให้ผู้อ่าน สามารถนําความรู้อันเกิดจากความเข้าใจในการอ่านนั้นไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและสังคมได้


12 2.1.8 ระดับความเข้าใจในการอ่าน ความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ สามารถแบ่งได้หลายระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับความเข้าใจตามตัวอักษร ไป จนถึงระดับที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์วิจารณ์ โดยได้มีนักการศึกษาแบ่งระดับความเข้าใจในการอ่านไว้หลายท่าน ดังนี้ สมุทร เซ็นเชาวณิช (2549, หน้า 73) ได้แบ่งความเข้าใจออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1. ความเข้าใจแบบทันที (Receptive comprehension) เป็นความเข้าใจที่ต้องอาศัยการรู้ความหมายของ คําศัพท์ต่าง ๆ ที่ผู้เขียนใช้เป็นส่วนใหญ่ต้องรู้คําศัพท์ต่าง ๆ มากพอ จะต้องเข้าใจความหมายที่สําคัญ ๆ ของสํานวน และประโยคต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของผู้เขียน ขณะที่อ่านต้องมีสมาธิแน่วแน่จึงจะเข้าใจสิ่งที่อ่านได้โดย ตลอด 2. ความเข้าใจแบบไตร่ตรอง (Reflective comprehension) คือความเข้าใจที่ต้องอาศัยความรอบรู้และ ทักษะความสนใจหลาย ๆ ด้าน เป็นหลักใหญ่เพื่อนํามาใช้เป็นเครื่องมือช่วยทําความเข้าใจเรื่องได้อยางถูกต้องตาม จุดมุ่งหมายของผู้เขียนวาต้องการอธิบาย ชี้แจง สั่งสอน ชักจูงหรือให้ความเพลิดเพลิน นอกจากนี้ยังสามารถพินิจ พิจารณาและไตร่ตรองหาข้อมูลสรุปตามความคิดที่ผู้เขียนต้องการความเข้าใจแบบนี้ต้องพึ่งเหตุผล และอาศัยการ เปรียบเทียบระหวาง่ประสบการณ์ต่าง ๆ หรือสิ่งที่เคยพบเห็นมาแล้วในชีวิตเป็นสําคัญ ดอลแมน และดีบอร์(Dallman & Deboer,1978, p. 166) ได้แบ่งระดับความเข้าใจในการอ่านออกเป็น 3 ระดับ คือ 1. ความเข้าใจในระดับข้อเท็จจริง (Factual level) คือ ความเข้าใจในเนื้อเรื่องที่อ่านตามตัวอักษรที่เขียนไว้ 2. ความเข้าใจขั้นตีความ (Interpretation level) คือ ความเข้าใจโดยอาศัยการสรุปความตีความ และแปล ความหมายจากเรื่องที่อ่าน 3. ความเข้าใจขั้นประเมินค่า (Evaluation level) คือ ความสามารถในการประเมินค่าสิ่งที่อ่าน โดยอาศัย ความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่านในการพิจารณาและตัดสินใจ จากแนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งระดับความเข้าใจในการอ่านที่กล่าวมาแล้วนั้น อาจสรุปได้วาความเข้าใจในการ อ่าน สามารถแบ่งออกเป็น 3ระดับใหญ่ ๆ ด้วยกน คือ ระดับความเข้าใจความหมายตามตัวอักษร ระดับความเข้าใจ แบบตีความ และระดับวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่อ่าน ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีจุดประสงค์ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจใน การอ่านทั้ง 3ระดับ ดังกล่าว 2.1.9 การวัดและประเมินผลความเข้าใจในการอ่าน เนื่องจากการสอนอ่านในปัจจุบัน เน้นการทําความเข้าใจต่อเรื่องที่อ่านเป็นหลัก การวัดและประเมินผลการ อ่าน จึงออกมาในรูปแบบของการทดสอบความเข้าใจในการอ่าน ซึ่งมีผู้ให้ข้อเสนอแนะไว้ดังรายละเอียดต่อไปนี้ อัจฉรา วงศ์โสธร (2539, หน้า 154-155)กล่าวถึง เกณฑ์การประเมินทักษะการอ่านว่าสามารถพิจารณาได้ เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ เกณฑ์ที่กาหนดตามส่วนประกอบของภาษาแบบแยกยอยู่และเกณฑ์ที่กาหนดตามความสามารถ รวมในการรับสาร ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ความสามารถทางภาษาที่เป็นเกณฑ์แบบย่อย ได้แก่


13 1.1 ความรู้ในด้านศัพท์ หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจคําศัพท์และสํานวนต่าง ๆ 1.2 ความรู้ในด้านไวยากรณ์ หมายถึง ความสามารถในการใช้ความรู้ด้านไวยากรณ์ในการทําความ เข้าใจเกี่ยวกบคําสรรพนาม ความเชื่อมโยงของเนื้อความ เช่น การใช้คําสันธานคําบุพบทที่กำหนดหน้าที่ของ ภาษาวาเป็นการขอร้อง เชื่อเชิญ หรือขออนุญาต เป็นต้น 2. ความสามารถทางการอ่านที่เป็นเกณฑ์แบบรวม ได้แก่ 2.1 ความสามารถในการเรียบเรียงความ หมายถึง ความสามารถในการทําความเข้าใจบทอ่าน และ สามารถตอบคําถามที่ให้เรียบเรียงถ้อยคําใหม่ โดยให้ได้ใจความเดิมหรือสามารถตอบคําถามแบบเลือกตอบ และแบบเรียงลําดับข้อความได้ 2.2 ความสามารถในการอ่านข้อมูลที่เป็นรายละเอียด หมายถึง ความสามารถในการโยงรายละเอียด ที่เกี่ยวข้องเข้ากับใจความสําคัญของเรื่องได้ว่า เป็นรายละเอียดสนับสนุนหรือเป็นรายละเอียดที่ขัดแย้งกน เพื่อให้ข้อมูลตรงกนข้าม ตลอดทั้งเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดต่าง 2.3 ความสามารถในการอ่านจับใจความสําคัญ หมายถึง ความสามารถในการระบุแก่นเรื่อง หัวเรื่อง และ ใจความสําคัญของเรื่องที่อ่านได้ 2.4 ความสามารถในการวิเคราะห์และประเมินความสัมพันธ์ของเนื้อความ และสุนทรียศาสตร์ของการใช้ ภาษา หมายถึง ความสามารถในการใช้ความรู้ด้านศัพท์ ไวยากรณ์ความเข้าใจสิ่งที่อ่านและความรู้เกี่ยวกับรูปแบบลีลา ภาษาที่ใช้ในบทอ่านที่เป็นตัวกระตุ้น วิเคราะห์ประเมิน และสรุปบทอ่านได้วา เป็นสารประเภทใด ใช้ลีลาภาษาแบบ เป็นทางการหรือไม่เข้าใจเจตนาทัศนคคติของผู้เขียนที่แฝงอยู่ สามารถวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุและผลที่เกิดขึ้นได้ ตลอดจนสามารถประเมินบทอ่านได้วา มีความชัดเจนเข้าสู่ประเด็นอยางไม่อ้อมค้อมและใช้ภาษาได้กระชับไม่เยินเย้อ ความสามารถในระดับนี้เป็นระดับสูง ซึ่งต้องอาศัยความรู้ในระดับต้น ๆ เป็นพื้นฐาน ฟินน็อคเซียโร และซาโก (Finocchiaro & Sako,1983,p. 16) ได้กล่าวไว้ว่า รูปแบบของแบบทดสอบที่ใช้ใน การประเมินผลความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษที่นิยมใช้มี 2 แบบ คือ 1. แบบทดสอบอัตนัย (Subjective test) ได้แก่แบบทดสอบความเรียงที่ให้ผู้เรียนตอบคําถามจากเรื่องที่อ่าน โดยเขียนคําตอบเป็นประโยคหรือข้อความยาว ๆ 2. แบบทดสอบแบบปรนัย (Objective test) ได้แก่แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบถูกผิด แบบจับคู่และ แบบเติมคํา เป็นต้น แมดสัน (Madsen, 1983, p. 97) ได้กล่าวว่า ในทาง ปฏิบัติมักนิยมใช้แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ (Multiple choice) เพราะการตรวจให้คะแนนสะดวก รวดเร็ว มีความเที่ยงตรงต่อการคิดค่าคะแนน ใครเป็นผู้ตรวจก็ ได้ คะแนนที่ออกมามีความเที่ยงตรง รวมทั้งเป็นแบบทดสอบที่มีค่าความเชื่อมันสูง สะดวกในการให้คะแนน และใช้ เวลาในการทําแบบทดสอบน้อย นอกจากนั้นยังสามารถถามได้ครอบคลุมเนื้อหาหลาย ๆ ด้าน และสามารถใช้วัดกบ ผู้สอบทุกระดับในขณะเดียวกน ฟินน็อคเซียโร และซาโก (Finocchiaro & Sako,1983,pp. 131-135) ได้เสนอ แนวทางในการวัดและประเมินผลความเข้าใจในการอ่านเพิ่มเติมว่า ควรครอบคลุมถึงสิ่งต่อไปนี้


14 1. คําศัพท์การเดาคําศัพท์โดยใช้ข้อความบริบทที่อยูรอบ ๆ เพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้องและเหมาะสมกบ คําศัพท์นั้น ๆ 2. ใจความสําคัญหรือใจความหลักของเรื่องที่อ่าน 3. รายละเอียดในเนื้อเรื่องที่อ่าน 4. การสรุปเรื่องและตีใจความที่ปรากฏโดยนัย หรือเรื่องที่ไม่ปรากฏอยูในข้อความ ่ 5. อารมณ์ ความรู้สึก และเจตนารมณ์ของผู้เขียน 6. ความสัมพันธ์ของข้อความหรือประโยคที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง 7. โครงสร้างของประโยค โดยการแปลความประโยคหรือโดยการกาหนดประโยคมาให้ 1 ประโยค แล้วเลือก ประโยคเทียบเคียงที่มีความหมายตรงกับประโยคที่กำหนดให้ จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ สรุปได้ว่าการวัดและประเมินผลการอ่าน สามารถครอบคลุมถึงด้านวลี คํา ประโยค ข้อความ ใจความสําคัญ และการตีความในการประเมิน สามารถใช้เกณฑ์ความสามารถแบบแยกยอยหรือแบบร่วม ก็ ได้ หรืออาจใช้เกณฑ์ทั้งสองแบบประยุกต์รวมกันสิ่งสําคัญที่ควรคํานึงถึงคือ รูปแบบในการประเมินและเนื้อหา ต้อง เหมาะสมกบความสามารถในการใช้ภาษา ประสบการณ์เดิมและพื้นฐานความรู้ของผู้อ่าน รวมทั้งควรพิจารณาให้ สอดคล้องกับจุดประสงค์ของรายวิชา 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิไล ร่วมชาติ(2554) ได้ศึกษาค้นคว้า การพัฒนาทักษะการอ่านค่าศัพท์ภาษาอังกฤษ พบว่า นักเรียนที่เป็น กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนบ้านปงสนุก ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2549 จ่านวน 18 คน ที่ได้เรียนการอ่านค่าศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยแบบฝึกการอ่าน ค่าพ้องภาษาอังกฤษ-ไทย มีความสุขในการเรียน ภาษาอังกฤษมีเจตคติที่ดีต่อวิชาภาษาอังกฤษและครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ไม่เครียด และนักเรียนมีการรับรู้ถึง ความสามารถของตนด้านการอ่านค่าศัพท์ภาษาอังกฤษสูงขึ้น โดยรู้สึกว่าตนเองสามารถที่จะท่องศัพท์หรือจดจ่าศัพท์ และความหมายของค่าศัพท์ได้มากขึ้น ตลอดจนมีความภาคภูมิใจในความสามารถของตนท่าให้นักเรียนอยากที่จะ เรียนภาษาอังกฤษ อภิญญา แก้วสุวรรณ (2554) ได้ศึกษาค้นคว้าการพัฒนาทักษะการอ่านค่าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปี ที่ 2/3 สาขางาน ช่างยนต์ จ่านวน 18 คนได้สรุปผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ตอน ดั้งนี้ ตอนที่1 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะการอ่านค่าศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลงเรียนด้วยแบบฝึกการ อ่านค่าพ้องภาษาอังกฤษ – ไทยของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนจากการศึกษาคะแนนทักษะการอ่านค่าศัพท์ ภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด18 คน พบว่านักเรียนมีคะแนนทักษะการอ่านค่าศัพท์ ภาษาอังกฤษภายหลังเรียนผ่านแบบฝึกการอ่านค่าพ้องภาษาอังกฤษ – ไทย สูงขึ้นทุกคน ตอนที่2 ความคิดเห็นของนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับการเรียนการอ่านค่าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้ แบบฝึกการอ่านค่าพ้องภาษาอังกฤษ –ไทยจากการวิเคราะห์เนื้อหาพบว่านักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ได้เรียนการอ่าน ค่าศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยแบบฝึกการอ่านค่าพ้องภาษาอังกฤษ – ไทย มีความสุขในการเรียนภาษาอังกฤษ มีเจตคติที่ดี


15 ต่อวิชาภาษาอังกฤษและครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ไม่เครียดและนักเรียนมีการรับรู้ความสามารถของตนด้านการอ่านค่า ศัพท์ภาษาอังกฤษสูงขึ้นโดยรู้สึกว่าตนเองสามารถที่จะท่องหรือจดจ่าค่าศัพท์และความหมายของค่าศัพท์ได้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนมีความภาคภูมิใจในความสามารถของตนท่าให้นักเรียนอยากที่จะเรียนภาษาอังกฤษ นภาพร วงศ์พุทธา (2557) ได้ศึกษาค้นคว้า การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/12โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑลพบว่าผลการพัฒนาทักษะการอ่านของกลุ่ม ตัวอย่าง จ่านวน 19 คน หลังจากนักเรียนได้ฝึกการอ่านพบว่าแบบฝึกชุดที่ 1 นักเรียนผ่านเกณฑ์ประเมินร้อยละ 68.42 ชุดที่ 2 ร้อยละ73.68 ชุดที่ 3 ร้อยละ 78.94ชุดที่ 4 ร้อยละ73.68 และนักเรียนผ่านเกณฑ์ประเมินร้อยละ 78.94 ในการอ่านแบบฝึกชุดที่ 5จากผลการท่าทั้ง5 ชุดแสดงว่า นักเรียนมีการพัฒนาทักษะการอ่านดีขึ้น ธีรวงศ์ อาภรณ์รัตน์ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับ ปวช.1 ได้พัฒนาทักษะการอ่านกลุ่มปุ่มเป้าหมายจ่านวน 17 คนพบว่าหลังจากนักเรียนได้ฝึกการอ่านแบบฝึกชุดที่ 1 นักเรียนผ่านเกณฑ์ประเมินร้อยละ 58.82 ชุดที่ 2 70.59 และนักเรียนผ่านเกณฑ์ประเมินร้อยละ 82.35 ในการอ่าน แบบฝึกชุดที่ 3 แสดงว่านักเรียนมีการพัฒนาทักษะการอ่านดีขึ้นพบว่าหลังจากนักเรียนได้อ่านชุดฝึกจากแบบฝึก3ชุด พบว่านักเรียนมีทักษะการอ่านดีขึ้นและมีความมั่นใจในการอ่านมากขึ้น ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า การพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึกทักษะนั้น สามารถช่วยในการ พัฒนาการอ่านออกเสียงของนักเรียนได้และหลังจากนักเรียนผ่านการพัฒนาผ่านแบบฝึกทักษะ นักเรียนมีทักษะการ อ่านดีขึ้นและมีความมั่นใจในการอ่านมากขึ้น


16 บทที่3 วิธีดำเนินการวิจัย ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านภาอังกฤษโดยใช้ทบสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 1. แบบแผนการวิจัย 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ใช้การวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว, วัดผลก่อนและหลัง การทดลอง ( The single group, Pretest-Posttest design) มีแบบแผนการวิจัยคือ O1 X O2 O1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน X หมายถึง บทสนทนาภาษาอังกฤษ O2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ที่เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษ 3 ( อ 22101 ) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษายะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 53 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ที่เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษ 3 ( อ 22101 ) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษายะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 53 คน ได้มาโดยการเจาะจงมาหนึ่งเรียน ด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จากทั้งหมด 2 ห้องเรียน เนื่องจากเป็นห้องเรียนที่สะดวกต่อการติดตามผลของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.1 แบบทดสอบการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ แบบทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ ซึ่งแบบทดสอบนี้ใช้ทดสอบก่อนและหลังเรียน ให้คะแนนเป็นรายข้อ ข้อละ 1 คะแนน โดยนักเรียนที่มีคะแนนสูง แสดงว่านักเรียนมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษที่สูงกว่านักเรียนที่มีคะแนนต่ำ (ตัวอย่างในภาคผนวก ช) วิธีการสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ 3.1.1 ผู้วิจัยศึกษาเอกสารแหละกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับตัวแปรที่เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของกร วิจัยและเพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดข้อสังเกต รวมถึงศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบ และเครื่องมือสำหรับการวิจัย


17 3.1.2 การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำ - ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง - สร้างแบบทดสอบการอ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยใช้เนื้อหาจากหนังสือเรียนวิชาภาษาอังกฤษชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 (New World) - นำแบบฝึกให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน 3.1.3 สร้างแบบทดสอบการอ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้การวัด 3 ระดับ ดังนี้ ระดับ 3 คะแนน หมายถึง นักเรียนสามารถอ่านบทสนทนาและแปลความหมายได้ถูกต้อง และชัดเจน ระดับ 2 คะแนน หมายถึง นักเรียนอ่านบทสนทนาได้แต่แปลความหมายไม่ได้ ระดับ 1 คะแนน หมายถึง นักเรียนอ่านบทสนทนาและ แปลความหมายไม่ได้ มีระดับคะแนน 3-2-1 3.1.4 นําแบบทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) จากนั้นนำความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) โดยคัดเลือกข้อ ที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่า +0.50 ขึ้นไป ทำการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้ได้ค่าดัชนีความ สอดคล้องระหว่าง 0.60 – 1.00 3.1.5 นำแบบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (Try out) กับนักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มเป้าหมาย แล้วนำคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤ มาหาความเชื่อมั่นโดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาตามวิธีของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) มีค่าเท่ากับ 0.89 3.2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อนวัตกรรม แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์จัดทำขึ้นเพื่อ สอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ มีทั้งหมด มีทั้งหมด 5 ข้อ มีเกณฑ์ การให้คะแนน 3 ระดับ ตามแบบของไลเคิร์ท (Likert 2539) ซึ่งได้กำหมดคะแนนของระดับความคิดเห็นแต่ละช่วง ดังนี้ คะแนน 5 หมายถึง เห็นด้วยในระดับมากที่สุด หรือมีความพึงพอใจมากที่สุด คะแนน 4 หมายถึง เห็นด้วยในระดับมาก หรือมีความพึงพอใจมาก คะแนน 3 หมายถึง เห็นด้วยในระดับปานกลาง หรือมีความพึงพอใจปานกลาง คะแนน 2 หมายถึง เห็นด้วยในระดับน้อย หรือมีความพึงพอใจน้อย คะแนน 1 หมายถึง เห็นด้วยในระดับน้อยมาก หรือมีความพึงพอใจน้อยที่สุดดังนี้


18 การแปลความหมายค่าคะแนนเฉลี่ยของระดับความพึงพอใจ ผู้วิจัยกำหนดเกณฑ์โดยใช้เกณฑ์ของไลเคิร์ท (Likert, 2539) ดังนี้ 4.51 - 5.00 หมายถึง ผู้เรียนมีความพอใจต่อการเรียนการสอนในระดับมากที่สุด 3.51 - 4.50 หมายถึง ผู้เรียนมีความพอใจต่อการเรียนการสอนในระดับมาก 2.51 - 3.50 หมายถึง ผู้เรียนมีความพอใจต่อการเรียนการสอนในระดับปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง ผู้เรียนมีความพอใจต่อการเรียนการสอนในระดับน้อย 1.00 - 1.50 หมายถึง ผู้เรียนมีความพอใจต่อการเรียนการสอนในระดับน้อยที่สุด วิธีการสร้างและหาคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน 1. ผู้วิจัยศึกษาเอกสาร และกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับตัวแปรที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของการวิจัย และเพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดข้อคำถาม รวมถึงศึกษาวิธีการสร้างข้อคําถามและเครื่องมือสำหรับการวิจัย 2. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้มาตรวัดประเมินค่า 5 ระดับ (Rating scale) ที่ประกอบไปด้วย ข้อความเชิงบวก 3. นำแบบประเมินที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) จากนั้นนำความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ค่าดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) ทั้งนี้ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 ซึ่ง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีไม่ต้องทำการปรับปรุง 4. นําแบบประเมินความพึงพอใจที่ผ่านการปรับปรุงแล้วไปให้นักเรียนประเมิน ที่มี ลักษณะคล้ายคลึงกับ กลุ่มเป้าหมาย แล้วนําคะแนนที่ได้จากแบบประเมินความพึงพอใจมาหาความเชื่อมั่นโดยใช้วิธี หาค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาตามวิธีของครอนบาค (Cronbac’s Alpha Coefficient) มีค่าเท่ากับ 0.89 3.3 บทสนทนาภาษาอังกฤษ บทสนทนาภาษาอังกฤษ สาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 2 จัดทำขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษเรื่อง What is there for lunch โดยแบบทดสอบ ประกอบด้วย 10 คำถาม เป็นแบบตัวเลือก 4 ตัวเลือก จากนั้นผู้เรียนหรือกลุ่มเป้าหมายต้องตอบคำถามให้ถูกต้องเพื่อ ฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้กรอบแนวคิดเกี่ยวกับการใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยผู้วิจัยเป็นผู้ชี้แนะ แนวทางการใช้บท สนทนาภาษาอังกฤษ ด้วยตนเอง มีลำดับขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้


19 1. ผู้วิจัยได้ทำการจัดเลือกกลุ่มเป้าหมายในการทำวิจัยครั้งนี้ เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลการวิจัยกับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้โดยผ่านครูพี่เลี้ยง 2. จัดเตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แบบ ทดสอบการอ่าน ภาษาอังกฤษ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน และบทสนทนาภาษาอังกฤษ 3. นําเครื่องมือที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วมาใช้ในการเก็บข้อมูลวิจัยกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์โดยมีลำดับขั้นตอนการเก็บ ข้อมูลดังนี้ 3.1 นํานักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายให้ทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง What is there for lunch โดยใช้เวลา 20 นาที 3.2 อธิบายและชี้แจงกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ เป็นฐานการพัฒนา ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษให้นักเรียนเข้าใจ 3.3 ดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ 3.4 หลังจากใช้นวัตกรรม ผู้วิจัยนำแบบทดสอบหลังเรียนให้นักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทำ แบบทดสอบ เรื่อง What is there for lunch โดยใช้เวลา 30 นาทีภายในชั่วโมงที่ 2 ในรายวิชา ภาษาอังกฤษ พื้นฐาน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ จากนั้นผู้วิจัยจึงทำการประเมิน การพัฒนาทักการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียน และ บันทึกคะแนนตามเกณฑ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น พร้อมทั้งให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจบทสนทนาภาษาอังกฤษ ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เป็นต้น 5. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์ ดังนี้ 1. วิเคราะห์การพัฒนาทักษะการออกอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษและแบบทดสอบการ ออกอ่านภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่า T-test 4. หาค่าระดับความพึงพอใจต่อการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าระดับ ความพึงพอใจ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 6.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ 6.1.1 หาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามแต่ละข้อกับจุดประสงค์หรือเนื้อหา (Index of Item-Objective Congruence หรือ IOC) ดังนี้ IOC = ∑ เมื่อ ∑ R คือ ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 6.1.2 หาค่าความเชื่อมั่นแบบสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach's Coefficient alpha) ใช้สูตรดังนี้


20 ∝= − [1 - ∑ ] เมื่อ ∝ คือ ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของเครื่องมือ คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนสอบในแต่ละข้อ คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนสอบของเครื่องมือวัดทั้งฉบับ K คือ จำนวนข้อ 6.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์การวิจัย 6.2.1 หาค่าการเปรียบเทียบโดยใช้ T-test ดังนี้ t = ∑ √ ∑−(∑) (−) เมื่อ t คือ ค่าสถิติที่ใช้ในการเปรียบเทียบกับค่าวิกฤติ D คือ ค่าผลต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ ∑D คือ ผลรวมค่าผลต่างระหว่างคู่คะแนน n คือ จำนวนกลุ่มตัวอย่างหรือจำนวนคู่คะแนน (หรือจำนวนคน) 6.2.3 หาค่าระดับความพึงพอใจ ดังนี้ 6.2.3.1 ค่าเฉลี่ย x̄= ∑ เมื่อ x̄ คือ ค่าเฉลี่ย ∑ x คือ ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด N คือ จำนวนข้อมูลทั้งหมด


21 บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลผลการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที2 โดยการใช้ วิธีการสอนแบบสวมบทบาทสมมติผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลําดับ ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและภายหลังการใช้ บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจต่อการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ในการพัฒนาทักษะการอ่านออก เสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 1. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและภายหลัง การใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปรากฏผลดังตารางที่ ตารางที่ 3 การวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและภายหลังการใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษ คะแนนทดสอบ N mean S.D. t df sig ก่อนเรียน 19 7.00 0.67 9.89 18 0.00** หลังเรียน 19 9.00 0.75 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.00 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.00 เมื่อนำคะแนนมาเปรียบเทียบพบว่าผลสัมฤทธิ์ ในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยบทสนทนา ภาษาอังกฤษ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05


22 2. ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจต่อการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ในการพัฒนาทักษะการ อ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปรากฏผลดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 การวิเคราะห์หาค่าระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อทบสนทนาภาษาอังกฤษ รายการ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ระดับความพึง พอใจ 1. ได้รับความรู้จากการอ่านบทสนทนา 4.15 0.75 มาก 2. ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จัก 4.45 0.69 มาก 3. เข้าจความหมายมากขึ้น 4.40 0.68 มาก 4. สนุกสนานในการเรียนรู้ 4.50 0.51 มาก 5. ความพึงพอใจในภาพรวมของการเรียนรู้ โดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ 4.55 0.69 มาก จากตารางที่ 4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจบทสนทนาภาษาอังกฤษ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.55, S.D. = 0.69) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อโดยเรียงลำดับจากความพึงพอใจมากไปยังความพึงพอใจน้อยดังนี้ นักเรียนได้รับความรู้จากการอ่านบทสนทนา มีความพึงพอใจในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.15, S.D. = 0.75) นักเรียนได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากบทสนทนาภาษาอังกฤษ มีความพึงพอใจในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.45, S.D. = 0.69) นักเรียนเข้าจความหมายมากขึ้น มีความพึงพอใจในระดับมาก(ค่าเฉลี่ย = 4.40, S.D. = 0.68) นักเรียนสนุกสนานในการเรียนรู้โดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ มีความพึงพอใจในระดับมาก(ค่าเฉลี่ย = 4.50, S.D. = 0.51)


23 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ วิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกสียงภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์อำเภอรามัน จังหวัดยะลา สามารถสรุปสาระสำคัญของการวิจัยได้ดังนี้ 1. สรุปผล 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ 1. สรุปผล ผลการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์อำเภอรามัน จังหวัด ยะลา สามารถสรุปสาระสำคัญของการวิจัยได้ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและภายหลังการใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แสดงให้เห็นว่า คะแนนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.00 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.00 เมื่อนำคะแนนมา เปรียบเทียบพบว่าผลสัมฤทธิ์ในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนการ สอนโดยบทสนทนาภาษาอังกฤษ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 2. . ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจต่อการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ในการพัฒนาทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจบทสนทนาภาษาอังกฤษ ในภาพรวมอยู่ ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.55, S.D. = 0.69) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อโดยเรียงลำดับจากความพึงพอใจมากไปยัง ความพึงพอใจน้อยดังนี้ นักเรียนได้รับความรู้จากการอ่านบทสนทนา มีความพึงพอใจในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.15, S.D. = 0.75) นักเรียนได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากบทสนทนาภาษาอังกฤษ มีความพึงพอใจในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.45, S.D. = 0.69) นักเรียนเข้าจความหมายมากขึ้น มีความพึงพอใจในระดับมาก(ค่าเฉลี่ย = 4.40, S.D. = 0.68) นักเรียนสนุกสนานในการเรียนรู้โดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ มีความพึงพอใจในระดับมาก(ค่าเฉลี่ย = 4.50, S.D. = 0.51) 2. อภิปรายผล การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษบทสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประเด็นสำคัญที่นำมาอภิปรายผลดังต่อไปนี้ การศึกษาพบว่าคะแนนการอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 7.00 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.00 เมื่อนำคะแนนมาเปรียบเทียบพบว่าผลสัมฤทธิ์ในการอ่าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยบทสนทนาภาษาอังกฤษ หลังเรียน


24 สูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 แสดงให้เห็นว่าบทสนทนาภาษาอังกฤษ สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนได้อย่างชัดเจน เนื้องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจในการอ่านภาอังกฤษจากการบท สนทนาภาษาอังกฤษ ซึ่งภายใน บทสนทนาภาษาอังกฤษ ก็จะมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่นักเรียนไม่คุ้นเคย เพื่อให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้ความหมายและการอ่านที่ถูกต้อง ซึ่งเมื่อผู้เรียนได้ฝึกฝนบ่อยครั้งจนสามารถอ่านจนเกิดความเข้าใจ ส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะอ่านภาษาออังกฤษได้ดียิ่งขึ้น นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.55, S.D. = 0.69) เนื้องจากผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อบทสนทนาภาษาอังกฤษ และเห็นถึงความสำคัญของการอ่าน ภาษาอังกฤษ และมีการศึกษาเอกสารงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ่านภาษาอังกฤษ ตลอดจนผ่านการประเมิน จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บทสนทนาภาษาอังกฤษ มีระดับความพึงพอใจนักเรียนในภาพรวมอยู่ในระ กับมาก 3. ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะทั่วไป ในการใชบทสนทนาภาษาอังกฤษเพื่ออ่านประกอบการสอนนั้น ครูผูสอนควรชี้แจงกับนักเรียนถึงจุดมุ่งหมาย ของการใช้บทสนทนาวา เปนการฝกอ่านโดยใช้ทนสนทนาเขามาประกอบการสอนเพื่อเปนการทบทวนความเข้าใจใน บทสนทนา เพราะบางครั้งนักเรียนอาจไมเขาใจ และอ่านเพื่อมุงหวังที่จะเข้าใจและสนุกสนานในการอ่านมากกวา และ ครูผูสอนควรใชบทสนทนาภาษาอังกฤษที่มีความหลากหลายและนํามาแทรกในขั้นตอนต่าง ๆ ของการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ โดยอาจทําแบบฝกหัดทบทวนใหกับนักเรียนหลังการสอน เพื่อช่วยใหผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียน สูงขึ้น และบ้างครั้งครูควรใหโอกาสนักเรียนจับคู่สนทนาบางจะทําใหนักเรียนรูสึกวามีสวนร่วมในดาน การเรียนการ สอนมากขึ้น ข้อเสนอแนะเพื่อการศึกษาววิจัยครั้งต่อไป 1. ควรทําการศึกษาทดลองการสอนอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษประกอบการสอน กับ นักเรียนกลุมตัวอยางอื่น และในระดับชั้นอื่น ๆ 2. ควรทําการวิจัยการสอนโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษในการทดลองเกี่ยวกับการสอนทักษะการฟง พูด อ่าน และเขียน


25 บรรณานุกรม กนิษฐา แสงสว่าง. (2551). การเปรียบเทียบความเข้าใจและความสนใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์กับการสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง. คมสันติ์เณรฐานันท์. (2553). การศึกษาความเข้าใจและความสนใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านห้วยเชือก อ าเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่นที่ได้รับการสอนอ่านตามแนวทฤษฏีการ สอนภาษาแบบอรรถฐาน (Genre-Based Approach) โดยใช้อรรถลักษณะของนิทาน (Narrative Genre Features). วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง. จิดาภา ฉันทานนท์. (2541). การสอนภาอังกฤษตามแนวคิดทฤษฎีของทฤษฎีโครงสร้างความรู้(Schema Theory). วิชาการ, 3(5), 52-59. ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ และพิรุณ อนวัชศิริวงศ์. (2559).การอ่านมหัศจรรย์แห่งสุขภาพ-สุขชีวิต. กรุงเทพฯ: แปลน ปริ้นติ้ง. บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์. (2549).การสอนอ่านภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา.กรุงเทพฯ:พัฒนาศึกษา. บัญชา อึ๋งสกุล. (2545,กรกฎาคม).การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ หลักการ ทักษะและการ ปฏิบัติ.วารสารวิชาการ, 5(7), 52-72. พรรณศรี ปทุมศิริ.(2541). การพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี ที่6โดยใช้เทคนิคการสอนที่เน้นสื่อในชีวิตประจําวัน.วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชา ประถมศึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. รศ. ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์, การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน, พิมพ์ครั้งที่ 1, (กรุงเทพมหานคร: โสภณการ พิมพ์,2542), วันเพ็ญ วัฒฐานะ. (2558). การจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการอ่านแบบ SQ3R เพื่อพัฒนาความเข้าใจใน การอ่านและศึกษาพฤติกรรมการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6โรงเรียนวัดตะปอนน้อย จังหวัด จันทบุรี.วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน,คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาบูรพา. สุมิตรา อังวัฒนกุล. แนวคิดและเทคนิควิธีการสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539. สมุทร เซ็นเชาวนิช. (2551). การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.


26 สุมิตรา อังวัฒนกุล. (2540). วิธีสอนภาษาอังกฤษ.กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สมุทร เซ็นเชาวนิช. (2549). เทคนิคการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ(พิมพ์ครั้งที่ 11). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. อมร เอี่ยมตาล. (2556). การศึกษาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษและเจตคติต่อการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้นปี่ที่ 1 สาขาวิชานิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ด้วยวิธีสอนตามแนว ทฤษฎีการสอนภาษาแบบอรรถฐาน (Genre-Based Approach) โดยใช้อรรถลักษณะของข่าวหนังสือพิมพ์(News Report Genre Features) . วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง. Cooper, J., & David, W. (1988). The what and how of reading instructing (2 nd ed.). Ohio: Maritt. Millis, B. J., & Cottel Jr.,P. G. (1998). Cooperative learning for higher education faculty. American Council on Education. Oryx Press. Smith, F. (1973). Understanding reading: A psycholinguistic analysis of reading and learning to read. New York: Holt, Rinehart & Winston.


27 ภาคผนวก ก. เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย


28 แบบสอบถามสำหรับผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ เรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านภาอังกฤษโดยใช้ทบสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นประ มัธยมศึกษาปีที่2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2565 1. นางสาวนูรีฮัน หะยีสัน รหัสนักศึกษา 406228007 นักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุสาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ___________________________________________________________________________ 1. วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของบทสนทนาภาษาอังกฤษ 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและหลังการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ 2. เกณฑ์การประเมินทักษะการเขียนสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับแบบประเมินทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยสร้างขึ้น 10 ข้อ ให้คะแนนประเมินค่า 3 ระดับ ดังนี้ ระดับ 3 คะแนน หมายถึง นักเรียนสามารถอ่านบทสนทนาและแปลความหมายได้ถูกต้อง และชัดเจน ระดับ 2 คะแนน หมายถึง นักเรียนอ่านบทสนทนาได้แต่แปลความหมายไม่ได้ ระดับ 1 คะแนน หมายถึง นักเรียนอ่านบท สนทนาและแปลความหมายไม่ได้ โดยนักเรียนที่มีคะแนนสูงแสดงว่านักเรียนมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษสูงกว่า นักเรียนที่มีคะแนนต่ำ 3. แบบประเมินความพึงพอใจต่อการนำนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน สำหรับแบบประเมินความพึงพอใจต่อการนำนวัตกรรมใช้ในการจัการเรียนการสอน ผู้วิจัย สร้างขึ้น จำนวน 5 ข้อ ให้คะแนนประเมินค่า 3 ระดับ มาก ปานกลาง น้อย โดยนักเรียนที่มีคะแนนสูงแสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจใน การใช้เกมออนไลน์ wordwall สูงกว่านักเรียนที่ได้คะแนนต่ำ


29 แบบสอบถามสำหรับผู้เชียวชาญตรวจสอบเครื่องมือ การพัฒนาทักษะการอ่านภาอังกฤษโดยใช้ทบสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 คำชี้แจง โปรดทำเครื่องมือ ลงใน □ หลังข้อความที่ตรงกับความคิดเห็นของท่าน +1 หมายถึง เห็นด้วย 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ -1 หมายถึง ไม่เห็นด้วย การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 1. Is Greg hungry? a. Yes, he is. b. No, she is. c. No, he is. d. Yes, she is. 2. What is there for lunch? a. There is a Hamburger. b. There are some fries. c. There is some vegetable soup. d. There is an apple. 3. Does he like soup? a. No, she doesn’t. b. Yes, he does. c. Yes, she does. d. No, he doesn’t. 4. What does he want for lunch? a. He wants Thai food. b. She wants Korean food. c. He wants Chinese food. d. I want Italian food.


30 การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 5. Does he want a turkey sandwich? a. Yes, she does. b. No, he doesn’t. c. Yes, he does. d. No, she doesn’t. 6. What does he want to drink? a. She wants to drink apple juice. b. He wants to drink soda. c. She wants to drink tea. d. He wants to drink coffee. 7. Why did Greg’s mother make orange juice? a. It’s delicious. b. It’s not good for you. c. It’s will rot d. It’s good for you 8. Does he want some salad? a. No, he doesn’t. b. Yes, she does. c. No, she doesn’t. d. Yes, he does. 9. Mother: What do you want then? Greg: Can I order Chinese food and get______________________ a. Some fried rice and shrimp? b. Some fries and coffee? c. A hamburger and juice? d. An egg and tea?


31 การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 10. What him name? a. James b. Logan c. Lucas d. Greg ลงชื่อ...................................ผู้ประเมิน ( ................................... )


32 ภาคผนวก ข รายนามผ ู้เช ี่ยวชาญตรวจเคร ื่องม ื อวดั


33 รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัยจำนวน 3 ท่าน 1. นางโนรีซัน ฆูร์ราม นาวีด ครูชำนาญการ 2. นางสาวฟาตีหม๊ะ มะลี 3. นางสาวนูรอัยนี แปเฮาะอีแล หัวหน้าหมวดสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ( ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา )


34 ภาคผนวก ค. การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือจากผู้เชี่ยวชาญ


35 แบบสอบถามสำหรับผู้เชียวชาญตรวจสอบเครื่องมือ การพัฒนาทักษะการอ่านภาอังกฤษโดยใช้ทบสนทนาภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของ 1. นางสาวนูรีฮัน หะยีสัน รหัสนักศึกษา 406228007 นักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุสาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ___________________________________________________________________________ 1. วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของบทสนทนาภาษาอังกฤษ 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและหลังการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของการใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ 2. เกณฑ์การประเมินทักษะการเขียนสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับแบบประเมินทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยสร้างขึ้น 10 ข้อ ให้คะแนนประเมินค่า 3 ระดับ ดังนี้ ระดับ 3 คะแนน หมายถึง นักเรียนสามารถอ่านบทสนทนาและแปลความหมายได้ถูกต้อง และชัดเจน ระดับ 2 คะแนน หมายถึง นักเรียนอ่านบทสนทนาได้แต่แปลความหมายไม่ได้ ระดับ 1 คะแนน หมายถึง นักเรียนอ่านบท สนทนาและแปลความหมายไม่ได้ โดยนักเรียนที่มีคะแนนสูงแสดงว่านักเรียนมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษสูงกว่า นักเรียนที่มีคะแนนต่ำ


36


37


38


39


40


41


42


43


44


Click to View FlipBook Version