3หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี
ความคล้าย
ตัวช้ีวัด
เขา้ ใจและใชส้ มบตั ขิ องรปู สามเหลยี่ มทค่ี ล้ายกนั ในการแก้ปัญหาคณติ ศาสตร์และปญั หาในชวี ิตจรงิ (ค 2.2 ม.3/1)
?
นิดหน่อยไดถ้ า่ ยรูปท่ีสวนสาธารณะแหง่ หน่งึ เมอ่ื วัดความสูงของตนเองในภาพถ่าย พบว่า นิดหนอ่ ย
มีความสงู 3 เซนติเมตร ซ่ึงในความเปน็ จรงิ นดิ หนอ่ ยสูง 150 เซนติเมตร และนดิ หนอ่ ยวดั ความสูง
ของต้นไมใ้ นภาพถ่ายได้ 9 เซนติเมตร นดิ หน่อยจะสามารถหาความสงู ทีแ่ ทจ้ ริงของตน้ ไม้ได้อย่างไร
ควรรูก้ อ่ นเรียน
สมบตั ิของเส้นขนาน
Y
F
C D
A E B
X
จากรปู XY ตดั AB และ CD ทจ่ี ุด E และจดุ F ตามลาดบั จะได้วา่ AB // CD กต็ ่อเม่อื
1) มุมแยง้ มีขนาดเท่ากนั เชน่ BEF = CFE
หรอื 2) มมุ ภายนอกและมุมภายในที่อยูต่ รงขา้ มบนขา้ งเดียวกนั ของเสน้ ตัดจะมีขนาดเท่ากนั เช่น
DFY = BEF
หรือ 3) มุมภายในทอี่ ยบู่ นด้านเดียวกันของเสน้ ตัดมขี นาดรวมกันเทา่ กับ 180 องศา เช่น
AEF + CFE = 180°
ควรรกู้ ่อนเรียน
ความเทา่ กนั ทุกประการของรูปสามเหลยี่ ม
รูปสามเหล่ยี ม 2 รูป เท่ากนั ทุกประการ กต็ อ่ เมือ่ ดา้ นคทู่ ีส่ มนยั กนั และมุมคทู่ ีส่ มนัยกนั ของรปู สามเหล่ยี มทั้ง 2 รปู
มขี นาดเทา่ กันเปน็ คู่ ๆ
CF
A BD E
∆ABC ≅ ∆DEF
ในชีวิตประจาวันจะมีสง่ิ ของที่มีรูปร่างเหมอื นกนั มากมาย
เรามาช่วยกันหาว่า ส่งิ ของในชวี ติ ประจาวันใดบา้ ง
ทม่ี ีรปู รา่ งเหมือนกัน
จะเห็นว่า รอบ ๆ ตัวเรามีสง่ิ ของมากมายทมี่ ีรูปร่างเหมอื นกัน แต่มีขนาดแตกตา่ งกนั จะเรยี กสิ่งของที่มลี ักษณะเชน่ นี้วา่ รปู ที่คลา้ ยกนั
รปู ท่คี ลา้ ยกนั
รปู เรขาคณติ 2 รปู เป็นรปู ทคี่ ล้ายกัน ก็ต่อเม่อื รปู เรขาคณิตท้งั สองมีรูปร่างเหมือนกัน
A
B
เมอื่ รูปเรขาคณติ A คลา้ ยกับรูปเรขาคณิต B จะเขยี นแทนด้วยสญั ลักษณ์
รปู เรขาคณติ A ~ รปู เรขาคณิต B
อ่านว่า รูปเรขาคณติ A คลา้ ยกับรปู เรขาคณติ B
รปู ที่คล้ายกนั
รปู เรขาคณิต 2 รปู เปน็ รปู ที่คล้ายกัน ก็ตอ่ เมื่อ รปู เรขาคณติ ทัง้ สองมีรปู ร่างเหมอื นกนั แล้วนกั เรยี นคิดวา่
1. รูปเรขาคณติ รูปหน่ึง ๆ จะคล้ายกับรูปเรขาคณติ รปู น้นั หรือไม่
เฉลย
รูปเรขาคณติ รูปหนง่ึ ๆ จะคลา้ ยกบั รูปเรขาคณติ รปู น้นั ดว้ ย เช่น
AA
จะเหน็ วา่ รปู เรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณติ A
รปู ท่คี ล้ายกนั
รปู เรขาคณติ 2 รูป เปน็ รูปท่คี ล้ายกนั กต็ อ่ เมอ่ื รูปเรขาคณิตท้งั สองมีรปู รา่ งเหมือนกนั แล้วนักเรยี นคิดวา่
2. ถา้ รูปเรขาคณติ A คลา้ ยกับรปู เรขาคณิต B แล้วรูปเรขาคณิต B จะคล้ายกบั รูปเรขาคณิต A หรอื ไม่
เฉลย
ถา้ รูปเรขาคณติ A คล้ายกับรปู เรขาคณติ B แลว้ รูปเรขาคณิต B จะคลา้ ยกับ
รูปเรขาคณิต A ด้วย เชน่
AB
จะเหน็ วา่ รูปเรขาคณิต A ~ รูปเรขาคณติ B
และ รปู เรขาคณิต B ~ รปู เรขาคณติ A
รปู ท่คี ลา้ ยกนั
รูปเรขาคณิต 2 รปู เป็นรูปทีค่ ล้ายกนั กต็ อ่ เมอื่ รูปเรขาคณิตทั้งสองมรี ปู ร่างเหมือนกัน แล้วนักเรียนคิดวา่
3. ถา้ รูปเรขาคณติ A คลา้ ยกบั รูปเรขาคณิต B และรปู เรขาคณติ B คล้ายกับรูปเรขาคณิต C
แล้วรูปเรขาคณติ A คลา้ ยกบั รูปเรขาคณติ C หรอื ไม่
เฉลย
ถ้ารปู เรขาคณิต A คลา้ ยกับรูปเรขาคณติ B และรูปเรขาคณิต B คลา้ ยกบั รปู เรขาคณิต C
แลว้ รูปเรขาคณิต A คล้ายกับรปู เรขาคณิต C ด้วย เช่น
A B รูปเรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณติ B
B c รูปเรขาคณติ B ~ รูปเรขาคณติ C
จะไดว้ ่า
A c รูปเรขาคณิต A ~ รูปเรขาคณติ C
รปู ที่คล้ายกัน
จากคาถามข้างตน้ เป็นไปตามสมบตั ขิ องความคล้ายของรูปเรขาคณิต ดงั น้ี
กาหนดให้ A, B และ C เปน็ รูปเรขาคณิตใด ๆ
สมบัติสะท้อน : รูปเรขาคณติ A ~ รปู เรขาคณติ A
สมบตั ิสมมาตร
: ถ้ารูปเรขาคณติ A ~ รปู เรขาคณติ B แล้ว
สมบัตถิ า่ ยทอด รปู เรขาคณิต B ~ รูปเรขาคณติ A
: ถ้ารูปเรขาคณิต A ~ รูปเรขาคณิต B และ
รูปเรขาคณิต B ~ รปู เรขาคณติ C แล้ว
รูปเรขาคณิต A ~ รปู เรขาคณิต C
รปู ที่คลา้ ยกัน
รูปหลายเหลยี่ ม 2 รปู เป็นรปู ทคี่ ล้ายกนั ก็ตอ่ เมื่อ รปู หลายเหลี่ยม 2 รูปน้ัน
1) มขี นาดของมุมคู่ที่สมนัยกันเทา่ กนั เปน็ คู่ ๆ ทุกคู่
และ 2) มีอตั ราสว่ นของความยาวของดา้ นคทู่ ่สี มนยั กันเทา่ กันทกุ อตั ราสว่ น
5.5 ซม. C 8.25 ซม. R
4 ซม.
3 ซม. S 4.5 ซม.
D B 3 Q
2 ซม. ซม.
A P
6 ซม.
จากรูป จะเห็นวา่ A = P, B = Q, C = R และ D = S
และ AB BC CD DA 2
PQ = QR = RS = SP = 3
รปู ที่คลา้ ยกัน
การใชส้ ญั ลักษณ์ ~ แสดงความคล้ายของรูปหลายเหลย่ี ม จะเขยี นจุดยอดของรปู หลายเหลย่ี มที่
สมนัยกันให้อยใู่ นลาดบั เดียวกนั เชน่
D 5.5 ซม. C ∆ABCD ~ ∆PQRS
4 ซม.
2 ซม. 3 ซม. ซง่ึ หมายความวา่
1. A = P, B = Q, C = R และ D = S
A B 2. AB = BC = CD = DA
R
8.25 ซม. PQ QR RS SP
4.5 ซม.
S
Q
3 ซม.
P
6 ซม.
รปู ทคี่ ล้ายกนั
ตัวอยา่ งท่ี 1
จงพิจารณาว่า รูปสเี่ หลยี่ มดา้ นขนาน ABCD และรูปส่ีเหลี่ยมดา้ นขนาน HIJK ทีก่ าหนดให้
เปน็ รูปส่เี หลยี่ มทคี่ ลา้ ยกนั หรอื ไม่
K J
D C 4 ซม.
2 ซม. 80° 100°
A B I
H
6 ซม. 12 ซม.
รปู ท่คี ลา้ ยกนั C
เนือ่ งจาก ABCD เป็นรปู ส่เี หลย่ี มด้านขนาน 80°
D
2 ซม.
A B
จะไดว้ ่า A = C = 80° 6 ซม.
AB = CD = 6 เซนตเิ มตร
มุมท่ีอยู่ตรงขา้ มกันของรูปสี่เหลย่ี มด้านขนาน มีขนาดเทา่ กัน
และ BC = DA = 2 เซนตเิ มตร
ดงั นัน้ B = 180°− 80°= 100° ดา้ นทอี่ ยู่ตรงข้ามกันของรปู สเ่ี หล่ียมด้านขนาน
มีความยาวเท่ากัน
และ D = B = 100° มุมภายในท่อี ยบู่ นดา้ นเดียวกนั ของเสน้ ตดั เสน้ ขนาน
มีขนาดรวมกนั เทา่ กับ 180°
มมุ ทีอ่ ยู่ตรงขา้ มกันของรูปสเี่ หลี่ยมด้านขนาน มขี นาดเทา่ กนั
รปู ที่คลา้ ยกนั J
ในทานองเดียวกัน เนอ่ื งจาก HIJK เปน็ รปู ส่เี หลี่ยมดา้ นขนาน
K
4 ซม.
H 100°
12 ซม. I
จะไดว้ า่ Iመ = K = 100° และ H = Jመ = 80°
และ HI = JK = 12 เซนตเิ มตร และ IJ = HK = 4 เซนตเิ มตร
รปู ที่คล้ายกนั K J
D C 4 ซม.
2 ซม. 80°
AB 12 ซม. 100°
6 ซม. H I
พจิ ารณา ABCD และ HIJK จะไดว้ า่
1. มีขนาดของมุมคทู่ ่ีสมนัยกนั เทา่ กนั เปน็ คู่ ๆ ทกุ คู่ คอื A = H, B = Iመ, C = Jመ และ D = K
2. มีอตั ราสว่ นของความยาวของด้านคูท่ ี่สมนยั กนั เท่ากนั ทุกอตั ราส่วน คอื
AB 6 1 BC 2 1 น่นั คอื AB BC CD DA 1
HI = 12 = 2 IJ = 4 = 2 HI = IJ = JK = KH = 2
CD 6 1 DA 2 1
JK = 12 = 2 KH = 4 = 2 ดังน้นั ABCD ~ HIJK
รปู สามเหลย่ี มทค่ี ลา้ ยกัน
สมบตั ิของรูปสามเหลยี่ ม 2 รูปทคี่ ลา้ ยกนั มดี งั น้ี
1. ขนาดของมมุ ภายในของรปู สามเหลี่ยมทง้ั สองเท่ากนั เปน็ คู่ ๆ 3 คู่
C
R
A BP Q
รปู สามเหลย่ี มทค่ี ล้ายกนั
2. อตั ราส่วนของความยาวของดา้ นคู่ที่สมนยั กนั ของรปู สามเหล่ยี มทั้งสอง
เทา่ กัน 3 คู่
C 8 ซม. R 4 ซม.
6 ซม. 3 ซม.
A 10 ซม. BP 5 ซม. Q
รปู สามเหลีย่ มที่คลา้ ยกัน
3. อตั ราสว่ นของความยาวของด้านของรปู สามเหลยี่ มทง้ั สองเท่ากัน 2 คู่
และมีมุมระหวา่ งด้านทม่ี อี ัตราส่วนของความยาวดา้ นเท่ากัน มขี นาดเท่ากัน
C
R
8 ซม.
4 ซม.
55° 6 ซม. B P 55° Q
A 3 ซม.
รปู สามเหลย่ี มทค่ี ล้ายกัน
ตวั อย่างที่ 2
จงพิจารณาวา่ รูปสามเหลยี่ มทก่ี าหนดให้เป็นรูปสามเหลย่ี มทคี่ ล้ายกันหรอื ไม่
B V U
80° 30° 80°
30° C
70°
A
วธิ ีทา เนอ่ื งจาก ∆ABC และ ∆TUV มมี มุ เทา่ กัน 3 คู่ ดงั น้ี T
BAC = UTV = 70° ดังน้นั ∆ABC ~ ∆TUV
ABC = TUV = 80°
ACB = TVU = 30°
รปู สามเหลี่ยมที่คลา้ ยกนั
D
C
E
A BF
ถ้ารูปสามเหลีย่ ม 2 รูป ทมี่ ขี นาดของมมุ เทา่ กัน 2 คู่ นกั เรยี นคิดว่า
รูปสามเหล่ยี ม 2 รปู น้ัน จะเปน็ รูปสามเหล่ียมที่คลา้ ยกันหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
รปู สามเหลี่ยม 2 รปู ทีม่ ีขนาดของมมุ เท่ากนั 2 คู่ เป็นรปู สามเหลยี่ มที่
คล้ายกัน เพราะมมุ คู่ที่เหลอื จะมขี นาดเทา่ กนั ด้วย
รปู สามเหลยี่ มที่คลา้ ยกนั
ตัวอย่างท่ี 3
กาหนดให้ ∆DEF และ ∆STU มี FDE = UST, FD = 4 เซนติเมตร, DE = 6 เซนติเมตร,
US = 6 เซนตเิ มตร และ ST = 9 เซนติเมตร ดงั รูป จงพิจารณาว่า ∆DEF และ ∆STU
เป็นรปู สามเหลยี่ มท่คี ล้ายกันหรอื ไม่
F 9 ซม.
4 ซม. TS
D E 6 ซม.
6 ซม.
U
รปู สามเหล่ยี มท่ีคลา้ ยกนั T 9 ซม.
F S
4 ซม.
D E 6 ซม.
6 ซม.
วิธที า เน่อื งจาก FD = 4 = 2 และ DE = 6 = 2 U
US 6 3 ST 9 3
ดังนัน้ FD DE
US = ST
และ FDE = UST (กาหนดให้)
นนั่ คอื ∆DEF ~ ∆STU เพราะเปน็ รูปสามเหล่ยี มซงึ่ มอี ัตราสว่ นของความยาวของ
ดา้ นเท่ากนั 2 คู่ และมมุ ระหว่างด้านทม่ี อี ัตราส่วนของความยาวด้านเท่ากัน มขี นาดเท่ากนั
รปู สามเหลี่ยมทคี่ ลา้ ยกัน
ตวั อย่างท่ี 4
กาหนดให้ ∆ABC และ ∆DEF ดงั รปู จงหาขนาดของ CAB และ DEF
F
C 6 ซม. 8 ซม.
3 ซม. 4 ซม.
A 5 ซม. 35° B D 55° 10 ซม. E
วิธีทา เน่ืองจาก AB BC CA 1
DE = EF = FD = 2
นัน่ คือ อตั ราส่วนของความยาวของด้านของรูปสามเหลีย่ ม 2 รปู เท่ากัน 3 คู่
จะได้วา่ ∆ABC ~ ∆DEF ซ่ึงมีมุมทีส่ มนัยกนั
ทาให้ CAB = FDE และ ABC = DEF
ดงั นั้น เทา่ กบั 55 องศา และ เทา่ กับ 35 องศา
การนารปู สามเหล่ยี มคลา้ ยไปใช้ในทางคณติ ศาสตร์
นกั เรยี นสามารถนาความรู้ เรอื่ ง อตั ราส่วนของความยาว
ของด้านท่ีสมนัยกนั ของรูปสามเหล่ยี มคลา้ ย
ไปใชใ้ นการคานวณความยาวของด้านของรปู สามเหลยี่ ม
ที่คล้ายกัน เมือ่ กาหนดเงื่อนไขทเี่ หมาะสม
การนารปู สามเหล่ยี มคล้ายไปใช้ในทางคณติ ศาสตร์
ตวั อยา่ งท่ี 5
กาหนดให้ ABC = BDC, AB = 12 เซนติเมตร, DC = 6 เซนตเิ มตร และ BC = 8 เซนตเิ มตร
ดงั รูป จงหาวา่ BD ยาวกเ่ี ซนตเิ มตร B
วธิ ีทา พิจารณา ∆BDC และ ∆ABC ดงั นี้ 12 ซม. 8 ซม.
1. BDC = ABC (กาหนดให้)
2. DCB = BCA (เปน็ มมุ รว่ ม) A C
3. CBD = CAB D 6 ซม.
(รูปสามเหล่ียม 2 รูป ทีม่ ีขนาดของมุมภายในเท่ากนั 2 คู่ มมุ คู่ที่สามจะมขี นาดเท่ากันดว้ ย)
ดังนั้น ∆BDC ~ ∆ABC เพราะมมี มุ เทา่ กัน 3 คู่
การนารปู สามเหล่ียมคลา้ ยไปใชใ้ นทางคณิตศาสตร์
B
12 ซม. 8 ซม.
A C
จะได้วา่ BD DC D 6 ซม.
AB = BC
น่ันคือ ยาว 9 เซนติเมตร
BD 6
12 = 8
6 × 12
BD = 8
BD = 9
การนารูปสามเหลยี่ มคลา้ ยไปใช้ในชีวิตประจาวนั
นกั เรยี นสามารถนาความรู้ เร่ือง รปู สามเหลยี่ มคลา้ ย ไปใชใ้ นการแกป้ ญั หา
เกยี่ วกับระยะทางและความสูงในชีวติ ประจาวนั ได้ โดยเฉพาะอย่างย่งิ
การหาระยะทางและความสงู ซงึ่ ไม่สามารถใชเ้ คร่ืองมอื วัดได้โดยตรง
หรือมีความยงุ่ ยากในการวดั
ความสงู ของตึก ความกว้างของแมน่ ้า
การนารปู สามเหล่ยี มคลา้ ยไปใช้ในชีวิตประจาวัน
ตวั อยา่ งที่ 6
สุธีมคี วามสูง 1.7 เมตร ยนื อยูห่ ่างจากตน้ ไม้ 6 เมตร เขาสังเกตเหน็ เงาของตวั เองทอดยาวออกไป
ซ่งึ วดั ความยาวได้ 3 เมตร ดังรูป จงหาว่าต้นไมส้ ูงกีเ่ มตร
ให้ BC แทนความสงู ของสธุ ี
DE แทนความสงู ของตน้ ไม้
AC แทนความยาวของเงาของสธุ ี
CE แทนระยะทางที่สธุ ียืนหา่ งจากตน้ ไม้
การนารูปสามเหล่ียมคล้ายไปใช้ในชวี ิตประจาวัน D
พิจารณา ∆ADE และ ∆ABC ดังนี้
1. DAE = BAC (เปน็ มมุ ร่วม) B
2. AED = ACB (เป็นมมุ ฉาก)
1.7 ม.
A 3 ม. 6 ม. E
C
3. ADE = ABC
(รปู สามเหล่ียม 2 รปู ที่มขี นาดของมุมภายในเทา่ กัน 2 คู่
มุมคทู่ ่ีสามจะมขี นาดเทา่ กันดว้ ย)
ดังน้ัน ∆ADE ~ ∆ABC เพราะมมี มุ เทา่ กนั 3 คู่
จะไดว้ า่ DE AE
BC = AC
DE 9 ดังนนั้ ต้นไม้สูง 5.1 เมตร
1.7 = 3
9 × 1.7
DE = 3
= 5.1
การนารปู สามเหลย่ี มคลา้ ยไปใชใ้ นชวี ิตประจาวัน
นกั เรียนจาไดไ้ หมว่า จากปัญหาทน่ี ดิ หนอ่ ยต้องการทราบความสงู ของต้นไม้
โดยนิดหนอ่ ยมีภาพถ่ายที่ถ่ายกับตน้ ไมต้ ้นนน้ั ซ่ึงนิดหน่อยวัดความสงู ของตนเอง
และต้นไม้ในภาพถ่ายได้ 3 เซนติเมตร และ 9 เซนตเิ มตร ตามลาดับ
และนดิ หนอ่ ยสงู 150 เซนติเมตร
ในปญั หาน้ีเราสามารถใช้ความรู้ เร่อื ง ความคล้าย มาช่วยในการแกป้ ญั หาได้
เนอื่ งจากภาพถา่ ยท่เี กิดจากกล้องถ่ายรปู จะมีลักษณะเหมือนกับวตั ถขุ องจริง โดยท่ี
อตั ราส่วนของวตั ถุในภาพถ่ายจะมอี ัตราส่วนทเี่ ท่ากันกบั อัตราสว่ นของวัตถจุ รงิ
ดังนนั้ นิดหนอ่ ยสามารถหาความสงู ของต้นไมไ้ ด้ ดังนี้
การนารปู สามเหลีย่ มคล้ายไปใช้ในชีวิตประจาวัน
?
เน่ืองจากอัตราสว่ นของวตั ถใุ นภาพถ่ายจะมีอัตราสว่ นท่เี ท่ากนั กบั อัตราสว่ นของวัตถจุ ริง
จะไดว้ ่า ความสูงของนดิ หนอ่ ยในภาพถา่ ย ความสงู ของตน้ ไมใ้ นภาพถา่ ย
ความสูงจรงิ ของนดิ หน่อย = ความสูงจริงของต้นไม้
3 = 9
150
ความสูงจริงของต้นไม้
ความสูงจรงิ ของต้นไม้ = 450 เซนตเิ มตร
ดังนน้ั ตน้ ไม้มีความสูง 450 เซนติเมตร หรือ 4.5 เมตร
การนารปู สามเหลี่ยมคล้ายไปใชใ้ นชีวติ ประจาวัน
นักเรยี นได้รบั ความรูเ้ กย่ี วกับ “ความคล้าย” มาแลว้
หวังว่านักเรียนจะนาความรูไ้ ปใช้ในชีวิตจริงได้นะคะ