ความผิดต่อเจ้าพนักงาน
ดูหมิ่น
จัดทำโดย
นางสาวภัสวัลย์ กัณฐัสว์
รหัสนิสิต 641081254
เสนอ
อาจารย์วีณา สุวรรณโน
รายวิชากฎหมายอาญาภาคความผิด
รหัสวิชา 0801241
คำนำ
วิชากฎหมายอาญา 2 : ภาคความผิด เป็นการ
ศึกษาเนื้อหาในหมวดหมู่เฉพาะ โดยเนื้อหาของเล่มนี้
จะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136 และการดู
หมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา ตามประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา 198 โดยเป็นการสื่อถึงความหมาย
โทษ และยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
โดยการศึกษาของวิชานี้เปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วน
ร่วมในชั้นเรียนทั้งในแบบกลุ่มและรายบุคคล รวมถึง
ศึกษาหลักกฎหมายเพิ่มเติมจากคำพิพากษาฎีกา
บทความทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อพัฒนาให้
นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจ ข้อกฎหมายเกี่ยวกับ
กฎหมายการดูหมิ่นเจ้าพนักงานและดูหมิ่นศาลหรือ
ผู้พิพากษาและสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง
ภัสวัลย์ กัณฐัสว์
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ตามป.อ.มาตรา 136 1
1-3
-ความหมาย ดูหมิ่น สบประมาท
คำพูดไม่สุภาพ 4-8
9-11
-หลักเกณฑ์หรืออค์ประกอบความผิด
ตามป.อ.มาตรา 136
-ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา
ดูหมิ่นศาลหรือผู้พพากษา 12
ตามป.อ.มาตรา 198
13-14
-ความหมาย ศาล ผู้พิพากษา 15
-การกระทำที่ถือว่าป็นการดูหมิ่นศาล 16-21
-ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา
1
การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ป.อ.มาตรา 136 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดดูหมิ่นเจ้า
พนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตาม
หน้าที่ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน
สองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ"
การดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามป.อ.มาตรา 136 นั่นหาก
เป็นการกระทำซึ่งหน้า ก็เป็นความผิดตามมาตรา 393 อีก
บทหนึ่งด้วยอย่างแน่นอน แต่น่าจะต้องถือว่า มาตรา 136
เป็น “บทเฉพาะ” และมาตรา 393 เป็น “บททั่วไป” จึง
ลงโทษตามมาตรา 136 อันเป็นบทเฉพาะ
ความหมายคำว่า "ดูหมิ่น"
“ดูหมิ่น” คือ ดูถูกเหยียดหยาม ทำให้อับอายเสีย
หาย สบประมาท หรือด่า ไม่เพียงแต่คำหยาบคาย ไม่สุภาพ
คำแดกดัน คำสาปแช่ง หรือคำขู่อาฆาตต่างกับหมิ่นประมาท
ตามมาตรา 326 ซึ่งเป็นการใส่ความทำให้ผู้ถูกใส่ความเสีย
หาย และการดูหมิ่นลดคุณค่าของผู้ถูกดูหมิ่นลงโดยไม่ต้อง
กล่าวต่อบุคคลที่สาม
การสบประมาท 2
การสบประมาท ดูถูก เหยียบหยาม ด่าทอ สาบแช่ง
หรือทำให้ถูกลดคุณค่าทางสังคม(ฎีกาที่1654/14)
เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ตัวอย่างจากฎีกา เช่น
1.ผมผิดแค่นี้ใครๆก้อผิดได้ ไปถอดเครื่องแบบ
มาชกกับผมตัวต่อตัวดีกว่า(ฎีกาที่1519/00)
2.รถตำรวจกลัวแม่มันทำไม(ฎีกาที่637/04)
3.รถคันนี้ทำไมไม่จับหรือจะแกล้งจับเฉพาะผมคนเดียว
(ฎีกา1081/05)
4.ลื้ อชุ่ยมาก(ฎีกาที่1735/06)
5.จะบ้าหรืออย่างไร มาขัดขวางกลั่นแกล้ง เลือกที่รักมักที่ชัง
แกล้งอยู่คนเดียวแกล้งมาหลายครั้งแล้ว(ฎีกาที่623/08)
6.ตำรวจเฮงซวย จะต้องให้เจอดีเสียบ้าง(ฎีกาที่316/17)
7.ไม่รับแจ้งความทำอย่างนี้ไม่ยุติธรรม(ฎีกาที่347/19)
8.ด่านตำรวจนี้เท่ารูหี(ฎีกาที่1985/21)
9.ลื้ อจับแบบนี้แกล้งอั้วไว้เจอกันเมื่ อไหร่ก้อได้
(ฎีกาที่1541/22)
10.เรียกทำเย็ดแม่(ฎีกาที่501/37)
11. แน่จริงมึงถอดเสื้อมาต่อยกับกับกู(ฎีกาที่4327/40)
12.ปลัดส้นตีน(ฎีกาที่8422/58)
13.พวกมึงเป็นข้าราชการ รังแกประชาชน แกล้งจับกู
(ฎีกาที่10674/53)
คำพูดไม่สุภาพ 3
คำพูดไม่สุภาพ คำปรารภ คำปรับทุกข์ หรือคำกล่าว
น้อยใจ หรือพูดในขณะที่เจ้าพนักงานไม่ได้ปฏิบัติงาน ไม่เป็น
การดูกมิ่นเจ้าพนักงาน
1.โคตรแม่มึงเวลาลักควาย2-3วันตามหาไม่เจอเวลามีสุรา
ทำไมจับเร็วนัก คุณเป็นหัวหน้าส่วนกระจอก ใหญ่กว่านี้
ผมก็ไม่กลัว(ฎีกาที่786/32)
2.แค่ร้อยตำรวจโทนั้นกระจอกไม่อยากคุยด้วยหรอก
(ฎีกาที่420/29)
3.ตำรวจแม่งใช้ไม่ได้(ฎีกาที่8016/56)
4.มันก้อเข้าข้างกัน(ฎีกาที่2256/37)
5.พวกมึงตำรวจไม่มีความหมายสำหรับกู อยากจับก้อมาจับ
ในเมื่อกูไม่ได้กระทำผิด(ฎีกาที่713/19)
6.คุณเป็นนายอำเภอได้อย่างไร ไม่รับผิดชอบ
(ฎีกาที่860/21)
7.พวกมึงเก่งแต่จับเหล้าไปต่อยกับกูข้างนอกไหม
(ฎีกาที่4529/36)
4
หลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบของความผิด
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3.ซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการ
ตามหน้าที่
4. เจตนา
ดูหม
ิ่น
ดูหมิ่น หมายถึง การกระทำด้วยประการใดๆ อัน
เป็นการสบ ประมาท หรือดูถูก หรือเหยียดหยาม หรือด่า
ซึ่งเป็ นการลดความ น่าเชื่อถือที่มีต่อเจ้าพนักงาน
ตัวอย่าง
จำเลยขับรถผิดกฎจราจร เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้
หลังจากจำเลยถูกจับกุมจำเลยได้พูดกับเจ้าพนักงาน
ตำรวจว่า “ลื้อชุ่ยมาก”
ศาลตัดสิน จำเลยมีความผิด ตาม ปอ.มาตรา 136
ฐานดูหมิ่น เจ้าพนักงาน
5
กรณีตามปัญหา การที่จำเลยขับรถผิดกฎจราจร
ตำรวจจับกุมจำเลยได้ จำเลยพูด กับตำรวจว่า “ลื้อชุ่ย
มาก” คำพูดดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่น เพราะ
เป็นการกระทำด้วย ประการใด ๆ อันเป็นการสบประมาท
หรือดูถูก หรือเหยียดหยาม ซึ่งเป็นการลดความ น่าเชื่อ
ถือต่อเจ้าพนักงาน
การดูหมิ่นตาม ปอ.มาตรา 136 นั้น ต้อง
เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เข้า หลักเกณฑ์4 ข้อคือ
1) ดูหมิ่น
2) เจ้าพนักงาน
3) ซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำ
การตามหน้าที่
4)เจตนา
ถ้าการดูหมิ่นนั้นไม่ใช่ดูหมิ่นต่อเจ้าพนักงานจะเป็น
ความผิดตาม มาตรา 393
ถ้าการดูหมิ่นนั้น เป็นการดูหมิ่นศาล จะเป็นความผิด
ตาม มาตรา 198
เจ้าพนักงาน 6
1. หมายถึง ข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตาม
กฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจาก งบประมาณแผ่นดิน
ประเภทเงินเดือน เช่น ข้าราชการพลเรือน, ข้าราชการ
ทหาร, ข้าราชการ ตำรวจ แต่ไม่รวมถึงลูกจ้าง ไม่ว่าจะ
เป็นลูกจ้างประจำหรือลูกจ้างชั่วคราว
2. หมายถึง บุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ
ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงาน เช่น
พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 บัญญัติว่า พนักงาน
เทศบาล ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงาน ตามความหมาย
ในประมวลกฎหมายอาญา
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 บัญญัติว่า เจ้าอาวาส
วัด หรือไวยาวัจกร ให้ถือว่าเป็น เจ้าพนักงาน ตาม
ความหมาย ประมวลกฎหมายอาญา
(ไวยาวัจกร = มัคทายก)
7
กระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการ
ตามหน้าที่
ความหมายกรณีที่ 1 การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ซึ่งกระทำการตาม หน้าที่ เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ขณะกำลังปฏิบัติการตามหน้าที่
ความหมายกรณีที่ 2 การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
เพราะได้กระทำการ ตามหน้าที่ การดูหมิ่นที่เกิดขึ้น
หลังจากที่
เจ้าพนักงานได้กระทำตามหน้าที่แล้ว
การที่จำเลยพูดกับตำรวจขณะที่ตำรวจจับกุม
จำเลย ถือได้ว่าเป็นการ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำ
การตามหน้าที่ เพราะจำเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ขณะ
กำลังปฏิบัติการตามหน้าที่
8
เจตนา คือเจตนา ตามปอ.มาตรา 59
• โดยเจตนา หมายความว่า จำเลยผู้กระทำจะ
ต้องรู้ว่าบุคคลที่ถูก ดูหมิ่นนั้นเป็นเจ้าพนักงาน
ถ้าหากว่าจำเลยไม่รู้ ย่อมถือว่าขาดเจตนา เมื่อ
ขาดเจตนาแล้ว ก็ย่อมจะไม่เป็นความผิด
การที่จำเลยขับรถผิดกฎจราจร ตำรวจเข้า
จับกุมจำเลย จำเลย ย่อมรู้ว่าบุคคลที่เข้าจับกุมเป็น
เจ้าพนักงาน เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็น เจ้า
พนักงาน ยังใช้ถ้อยคำดูหมิ่น ถือได้ว่าจำเลยมี
เจตนาที่จะดูหมิ่นเจ้า พนักงาน ดังนั้นการกระทำ
ของจำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้า พนักงาน
สรุป จำเลยมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้า
พนักงานตาม มาตรา 136
9
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาฎีกาที่ 501/2537 เมื่อผู้เสีย
หายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย จำเลย
กล่าวกับผู้เสียหายว่า เป็นนายจับอย่างไรก็ได้ และ
เรียกทำเย็ดแม่ ดังนี้ที่จำเลยกล่าวว่า เป็นนายจับ
อย่างไรก็ได้ เป็นเพียงคำกล่าวในทำนองตัดพ้อ
ต่อว่า ไม่ได้กล่าวหาว่าผู้เสียหายกลั่นแกล้ง จึงไม่
เป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย แต่ที่จำเลยกล่าวว่า เรียก
ทำเย็ดแม่ เป็นคำด่าอันเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย
แล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ตาม ป.อ. มาตรา 136
คำพิพากษาฎีกาที่ 860/2521
(สบฎ เน 5617) จำเลยกล่าวว่า "คุณเป็นนาย
อำเภอได้อย่างไร ไม่รับผิดชอบ" ไม่ได้กล่าวโดย
เมาสุรา หรือทุบโต๊ะชวนวิวาท เป็นแต่คำไม่สุภาพ
ไม่ถึงดูหมิ่นตาม มาตรา 136
10
คำพิพากษาฎีกาที่ 1650/2514 จำเลยร่วม
กันจัดพิมพ์เอกสารสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีข้อความบางตอน
กล่าวในทำนองตำหนิศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ และผู้
พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีที่
จำเลยถูกฟ้องว่า พิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่ยึด
หลักกฎหมายและความยุติธรรม ไม่เป็นที่พึ่งของ
ประชาชน นับว่าเป็นการกระทำที่แสดงต่อศาล หรือผู้
พิพากษาในทางที่ลดคุณค่าของศาลหรือผู้พิพากษา
ในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงเป็นการดูหมิ่นศาล
หรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198 / เมื่อการกระ
ทำของจำเลยเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา 198 แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดฐานดู
หมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
136 อีก
11
คำพิพากษาฎีกาที่ 786/2532 จำเลยที่ 1
กล่าวแก่เจ้าพนักงานสรรพสามิตซึ่งทำการจับกุม
อ. ผู้ต้องหาว่า "โคตรแม่มึงเวลาเขาลักขโมยควาย
ไป 2-3 วัน ตามหาไม่เจอเวลามีสุราทำไมจับเร็วนัก
พวกคุณมาสร้างปัญหา คุณไม่ต้องมามองหน้าผม
หรอก คุณเป็นหัวหน้าส่วนกระจอก ๆ ผมไม่กลัวคุณ
หรอก ใหญ่กว่านี้ผมก็ไม่กลัว" เป็นการพูดเปรยขึ้น
มาเพื่อประชดประชันว่า ทำไมเรื่องสุราจับเร็วนัก
และเป็นถ้อยคำที่ไม่สุภาพ มิใช่เป็นการสบประมาท
เหยียดหยามดูหมิ่นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตาม
หน้าที่
คำพิพากษาฎีกาที่ 713/2519 กล่าวว่า
"พวกมึงตำรวจไม่มีความหมายสำหรับกู อยากจะจับก็
มาจับเลย ในเมื่อกูไม่ได้กระทำผิด" เป็นคำพูดที่ไม่
สุภาพ แต่ไม่เป็นดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 136
12
ดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา
ป.อ.มาตรา 198 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดดูหมิ่น
ศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี
หรือกระทำการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษา
ของศาล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี
หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ"
คำว่า “ดูหมิ่น” ตามมาตรานี้ หมายถึง การกระ
ทำซึ่งเป็นการเหยียดหยาม อาจจะกระทำด้วยวาจา
หรือแสดงกิริยาท่าทางก็ได้ และหมายความรวมถึง
การกระทำที่ลดคุณค่าในการพิจารณาพิพากษาคดี
ของศาลหรือผู้พิพากษาในสายตาของผู้กระทำการดู
หมิ่น
13
ศาล เป็นองค์กรสาธารณะที่มีหน้าที่ในการ
วินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับพลเมือง แรงงาน กิจการ
และอาชญากรรมภายใต้กฎหมาย ในกฎหมายทั่วไป
และกฎหมายพลเมือง ศาลนับว่าเป็นทางออกของข้อ
พิพาทต่าง ๆ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ทุก ๆ คนมี
สิทธิ์ที่จะนำข้อกล่าวหามาใช้ในศาลได้ ในขณะเดียวกัน
ผู้ถูกกล่าวหาก็มีสิทธิ์ที่จะแก้ต่างในศาลได้เช่นกัน
ศาลจะสามารถบังคับใช้อำนาจได้ผ่านการ
พิจารณาโดยอำนาจตุลาการ ซึ่งตามหลักแล้ว
ตุลาการจะไม่สร้างกฎหมายขึ้นมาเองตามหลักการ
แยกใช้อำนาจ แต่จะใช้การตีความจากกฎหมายให้
สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในแต่ละคดี
14
ผู้พิพากษา ข้าราชการตุลาการผู้มีอำนาจ
และหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่ฟ้องร้องกันใน
ศาลให้เป็นไปตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ.
การกระทำที่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นศาล 15
การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานดูหมิ่นศาล คือ
การดูหมิ่นศาล หรือ ตัวผู้พิพากษา ‘อันเนื่องมาจาก
การพิจารณาหรือพิพากษาคดี’ เช่น การกล่าวหาว่าผู้
พิพากษาไปกินข้าวกับโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี การก
ล่าวหาว่าผู้พิพากษารับสินบนจากจำเลย การกล่าวอ้าง
ว่าผู้พิพากษาลำเอียงตัดสินให้แพ้คดี การกล่าวหาว่าผู้
พิพากษาลงโทษโดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมาย เป็นต้น
การดูหมิ่นศาลไม่จำเป็นต้องทำในขณะที่มีการ
พิจารณาหรือพิพากษาคดีเท่านั้น แม้จะเป็นนอกเวลา
พิจารณาหรือพิพากษาคดีก็อาจผิดฐานดูหมิ่นศาลได้
เช่น พบผู้พิพากษาบริเวณลานจอดรถของศาล แล้วไป
ต่อว่าว่าผู้พิพากษาคนนั้นตัดสินคดีลำเอียง เป็นต้น
แต่หากเป็นการดูหมิ่นในทางส่วนตัว ในเรื่อง
ส่วนตัว ในประเด็นส่วนตัว ที่ ‘ไม่เกี่ยวกับการพิจารณา
หรือพิพากษาคดี’ แม้คนถูกดูหมิ่นจะมีตำแหน่งเป็นผู้
พิพากษาก็ไม่ถือเป็นความผิดฐานดูหมิ่นศาล
16
ตัวอย่างคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19706/2555
จำเลยไม่ได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมทุจริต เพียงแต่สงสัยใน
พฤติการณ์ของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้พิพากษาในคดีที่
จำเลยถูกผู้อื่ นฟ้องที่มีคำสั่งให้งดชี้สองสถานกับงดสืบ
พยานในคดีนั้น แม้ว่าเป็นอำนาจและดุลพินิจของโจทก์
ร่วม แต่ก็เป็นการใช้ดุลพินิจและอำนาจที่คลาดเคลื่อน
เพราะหลังจากนั้นศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ยกคำ
พิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ร่วมเป็นองค์คณะ และ
ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์และ
จำเลย และที่โจทก์ร่วมสั่งไม่รับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ในข้อ
เท็จจริงไว้แล้ว นอกจากนี้จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่
27 เมษายน 2554 เวลา 10.50 นาฬิกา แต่โจทก์ร่วม
ไม่ได้สั่งอุทธรณ์ในวันดังกล่าว ต่อมาโจทก์ร่วมสั่งรับ
อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยประทับตรายาง
วันเดือนปี คือ เมษายน 2554
17
แต่มีการลบวันที่ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 27 และเขียนด้วย
ลายมือโจทก์ร่วมเป็นวันที่ 30 การที่จำเลยไปพบ ส.
ซึ่งรับราชการในตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ที่
โจทก์ร่วมรับราชการอยู่ในเขตอำนาจเพียงประสงค์
จะให้ ส. ดูแลผู้พิพากษาในภาคให้มากกว่านี้ ไม่ได้ไป
พบในลักษณะที่ว่าจะให้ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์
ร่วม แม้ตามบันทึกเรื่องราวที่จำเลยมอบให้ ส. จะมี
ข้อความเกินเลยไปบ้าง แต่ก็มีลักษณะเป็นการปรับ
ทุกข์และระบายความทุกข์กับ ส. ที่ดูแลผู้พิพากษา
ภายในภาค 7 การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความ
ผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ และดูหมิ่นศาล
หรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดีตาม
ป.อ. มาตรา 136 และ 198
18
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1650/2514
จำเลยถูกฟ้องคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นและ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย ขณะคดีอยู่ใน
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยได้ประพันธ์
พิมพ์ และนำออกโฆษณา ทำให้แพร่หลายไปถึง
ประชาชนซึ่งเอกสารสิ่งพิมพ์ กล่าวถึงการกระทำ
ของผู้ทำการแทนในตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาล
อุทธรณ์ว่าเป็นผู้จัดให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
พิจารณาคดีและตัวผู้ทำการแทนฯ เองก็มี
พฤติการณ์ให้การพิพากษาคดีดังกล่าวเป็นไปโดย
รวบรัดไม่ชอบด้วยหลักยุติธรรมและกล่าวถึงการก
ระทำของศาลอาญาศาลอุทธรณ์ และผู้พิพากษาที่
พิจารณาพิพากษาคดีนั้นว่า "พิพากษาลงโทษ
จำเลย โดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมาย หลักความ
ยุติธรรม ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจะวิ่งไป
ขอความยุติธรรมต่อศาลให้สิ้นเปลืองเงินทองเพื่อ
ประโยชน์อันใด..."
19
ดังนี้ เป็นข้อความที่เรียกได้ว่าจำเลยกล่าวในทำนอง
ตำหนิศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ และผู้พิพากษาซึ่ง
เป็นองค์คณะที่ทำการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ไม่
เป็นที่พึ่งของประชาชน นับว่าเป็นการกระทำที่แสดง
ต่อศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีจึงเป็น
ถ้อยคำดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 198
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 198 แล้ว ย่อมไม่เป็นความ
ผิดตามมาตรา 136 อีก (อ้างฎีกาที่ 1456/2506)
20
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10611/2555
แม้การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งกำหนด
มาตรการและวิธีการคุ้มครองบรรเทาทุกข์ชั่วคราว
ก่อนการพิพากษาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา
66 ประกอบระเบียบของที่ประชุมใหญ่ในศาล
ปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ.2543 ข้อ 77 ที่กำหนดให้นำความในประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งลักษณะ 1 ของ
ภาค 4 วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้ เป็นการ
กระทำตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่งอันเกี่ยวด้วยคดี ซึ่งศาลได้
กระทำต่อคู่ความฝ่ายหนึ่งและเป็นกระบวน
พิจารณาก่อนที่ศาลชี้ขาดตัดสินคดี อันเป็นการ
พิจารณาคดีของศาลตามความหมายของคำว่า
กระบวนพิจารณา และการพิจารณา ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 1 (7) และ (8) ก็ตาม
21
แต่ก็แยกพิจารณาได้เป็นอีกส่วนหนึ่งจากการ
พิจารณาพิพากษาในเนื้อหาแห่งคดีที่ฟ้องร้องกัน
ทั้งกระบวนพิจารณาของศาลปกครองกลางใน
การออกคำสั่งดังกล่าวก็ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว คง
เหลือแต่ผลบังคับถึงจำเลยที่ 2 ให้ต้องปฏิบัติ
ตามเป็นการชั่วคราวก่อนที่คดีที่ฟ้องร้องกันนั้นจะ
มีคำพิพากษาถึงที่สุด หากจำเลยที่ 2 ซึ่งทราบคำ
สั่งแล้วไม่ปฏิบัติตาม กระบวนพิจารณาที่เสร็จสิ้น
ไปแล้วก็ไม่อาจถูกขัดขวางทำให้ไม่สะดวกหรือ
ต้องติดขัดจากการกระทำดังกล่าวไปได้ ทั้งการ
พิจารณาพิพากษาในเนื้อหาแห่งคดีที่ฟ้องร้องกัน
ก็ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้เป็นอีกส่วนหนึ่ง
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวจึงไม่เป็นการขัด
ขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาลอันจะ
เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 198
บรรณานุกรม
Copyright © 2022 สถาบันนิติธรรมาลัย เข้าถึงได้จาก
https://www.drthawip.com/criminalcode/1-25
วันที่สืบค้นข้อมูล 14 กันยายน 2565
ผู้ช่วยทนายเบียร์ศี (ทนายปู) เข้าถึงได้จาก
https://www.beerseelawyer.com
วันที่สืบค้นข้อมูล 14 กันยายน 2565
สำนักงานยุติธรรมจังหวัดยะลา ศูนย์ราชการจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ เข้าถึงได้จาก https://yala.moj.go.th/view/9631
วันที่สืบค้น 14 กันยายน 2565
สำนักงานกิจการยุติธรรม เข้าถึงได้จาก
https://justicechannel.org/law-in-words/vocab-6
วันที่สืบค้นข้อมูล 14 กันยายน 2565
นาวิน ขำแป้น · ทนายความ เข้าถึงได้จาก
https://www.keybookme.com/criminal-law/get?
matra=198&a2=active วันที่สืบค้นข้อมูล 14 กันยายน 2565