The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PROBLEM–BASED LEARNING) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย
โดยครูเนตรทราย เทียมสัมฤทธิ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by khuntenz tn, 2022-09-03 02:23:28

การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PROBLEM–BASED LEARNING) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย

ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PROBLEM–BASED LEARNING) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย
โดยครูเนตรทราย เทียมสัมฤทธิ์

รายงานการวิจยั ในชั้นเรยี น

การพฒั นาทักษะการแก้ปญั หาจากการจดั การเรยี นรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
(PROBLEM–BASED LEARNING) ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4

โรงเรียนนวมนิ ทราชินูทิศ เบญจมราชาลยั

โดย
นางสาวเนตรทราย เทยี มสมั ฤทธ์ิ

ครู
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
โรงเรียนนวมนิ ทราชินูทศิ เบญจมราชาลัย
สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษามธั ยมศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 2
สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

ช่อื เรือ่ ง การพฒั นาทักษะการแกป้ ัญหาจากการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (PROBLEM–BASED

LEARNING) ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นนวมนิ ทราชนิ ทู ิศ เบญจมราชาลัย

ชอ่ื ผู้วจิ ัย นางสาวเนตรทราย เทียมสมั ฤทธิ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

สอนวิชา ออกแบบและวทิ ยาการคำนวณ รหัสวิชา ว31102 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565

**************************************************************************************************
ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา

ในสังคมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมปัจจุบัน และจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากปัญหาเล็ก
กลายเปน็ ปญั หาทีใ่ หญ่ และยากต่อการแก้ไขหากปล่อยให้เรื้อรงั ในปจั จุบนั ประเทศไทยประสบปัญหามากมาย
ทงั้ ปญั หาเกี่ยวกบั คุณภาพของประชากรในประเทศ คุณภาพการศึกษา คุณภาพด้านการบริการสาธารณสุข ซ่ึง
ทำให้สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำ ก่อให้เกิดความแตกแยก และประชาชนส่วนใหญ่มักมีปัญหาด้านคุณธรรม
จริยธรรม ไม่มีระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์ และการมีจิตสาธารณะ ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและ
ความรุนแรงในสังคมไทย (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12, 2560: 1-3) ประกอบกับ
เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการดำรงชวี ิตของประชาชนมากขึน้ โดยเฉพาะกลุ่มวยั รนุ่ ท่ีมีการใช้ส่ือออนไลน์
มากที่สุด โดยแอปพลิเคชันยอดฮิต ได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram (กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจ
และสังคม, 2562: 65) ซึ่งการเข้าถึงสื่อออนไลน์ของกลุ่มวัยรุ่นทำให้เกิดทั้งผลดีและผลเสีย โดยข้อดีนั้นทำให้
การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ส่วนข้อเสียมีมากมาย เช่น การถูกล่อลวงบนอินเทอร์เน็ต
ผ่านการพูดคุยกันบน Social Network เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการล่อลวง ปัญหาความรุนแรง ปัญหา
ยาเสพติด ปญั หาพฤตกิ รรมทางเพศ และปญั หาความเสื่อมโทรมด้านจติ ใจและศีลธรรม เปน็ ตน้

นักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาด้านครอบครัว บางครอบครัวพ่อและแม่แยกทางกัน บางครอบครัวเกิด
ปัญหาดา้ นความแตกต่างระหวา่ งชว่ งวัยและไม่มีทป่ี รกึ ษาในการจดั การความรสู้ กึ หรือความคิดท่ีขดั แย้งกัน บาง
คนอาศัยอยู่กับญาติพน่ี ้อง อันเนอ่ื งมาจากหลายสาเหตุ ส่งผลใหก้ ารอบรมเล้ยี งดูอาจไม่เทียบเท่ากับพ่อและแม่
และปญั หาอ่ืนๆ ซ่งึ ปญั หาเหลา่ นที้ ำให้นักเรียนหันไปใช้เวลาอยกู่ ับเพื่อน เกม สมารท์ โฟน หรือเทคโนโลยีต่างๆ
มากกว่า ซึ่งมีสิ่งเร้ามากมายที่มีส่วนทำให้นักเรียนซึมซับข้อมูลต่างๆ ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เกิดการ
ลอกเลียนแบบตามกระแสสังคม ซึ่งเป็นบอ่ เกิดปจั จัยที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา หากขาดการคิดพิจารณา
และความระมัดระวังในการเสพสื่อหรือเล่น Social Network เช่น เสี่ยงต่อการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดท่ี
อาจเกิดขึ้นจากการถูกชักชวนกันในกลุ่มเพื่อนหรือค่านิยมที่ผิด เสี่ยงต่อการต้ังครรภ์ในวัยเรียนที่เกิดจาก
คา่ นิยมการมคี ่รู ักและรู้เทา่ ไมถ่ งึ การณ์ เน่ืองจากไมห่ กั ห้ามใจตนเองหรือหลงคารม หลงคำหวา่ นลอ้ มตา่ งๆ จาก
ผู้อื่น เสี่ยงต่อการติดการพนนั จากการโฆษณาบนส่ือออนไลน์หรือการชักชวนของเพื่อน เสี่ยงต่อการถูกล่อลวง
ผ่านการใช้ Social Network เช่น Facebook, Line, Instagram, Twitter และอื่นๆ เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกงใน
การซ้อื ขายสินคา้ ผ่านอินเทอร์เนต็ หรือแอปพลิเคชนั ต่างๆ เปน็ ต้น ซ่งึ ปัญหาดงั กล่าวนน้ั เปน็ ปัญหาท่ีนักเรียนได้
เผชิญ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง หรืออาจแก้ปัญหาได้แต่วิธีหรือผลของการแก้ปัญหานั้นไม่
เหมาะสม โดยกระบวนการแก้ปัญหาของนักเรียนส่วนใหญ่ที่ได้เผชิญกับปัญหาเหล่านี้ คือ ปรึกษาเพื่อน ซึ่งมี
วุฒิภาวะที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นกระบวนการคิดแก้ปัญหาจึงมีความคล้ายคลึงกัน ทำให้ปัญหาบานปลายและ
แก้ไขได้ยาก ผวู้ ิจยั จงึ ไดว้ เิ คราะห์หาสาเหตุของปัญหา พบว่า การจดั การเรียนการสอนในห้องเรียนน้ัน ยังไม่ได้
เน้นในเรือ่ งการแก้ปัญหาเท่าท่ีควร ซ่ึงในความเปน็ จริงแลว้ การจัดการเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกับสภาพสังคม
ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้น ไม่ควรเน้นแต่ด้านเนื้อหาวิชาการเท่านั้น แต่ควรเน้นการสร้างองค์ความรู้ท่ี
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแก้ปัญหาที่สามารถพบเจอได้บ่อยครั้งในการ
ดำเนินชีวิต

การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นการจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอนที่ใช้
ปัญหาเป็นเครื่องมือในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายยึดหลัก ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ
เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ผู้เรียนมีความสำ คัญที่สุด (สุพล วังสินธุ์, 2549) โดยผู้สอนนำ ผู้เรียนไปเผชิญ
สถานการณ์ปัญหาจริงหรอื อาจจัดสภาพการณ์ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหา และฝึกกระบวนการวิเคราะห์ปัญหาและ
แก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่มระดมความคิดร่วมกลั่นกรองความรู้ที่แสวงหามาจนเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาท่ี
เหมาะสม จนเกดิ เป็นทกั ษะทส่ี ามารถประยุกต์ใช้ได้กับสถานการณป์ ัญหาทผี่ ูเ้ รียนต้องเผชญิ ในอนาคต เกิดเป็น
ทักษะที่จำ เป็นเพ่ือเสริมสรา้ งภมู ิคุ้มกันท่ีจะทำ ให้ผู้เรียนเติบโตและดำ เนนิ ชีวติ ในสงั คมปจั จบุ นั อย่างมีสติและ
มีความสุข

จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะนำแนวคิดปัญหาเป็นฐานมาใช้ในการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดกระบวนการเรียนรู้จากการใช้ปัญหาเป็นจุดตั้งต้นและเป็นตัวกระตุน้ ให้
เกิดความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน เพือ่ พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทีถ่ ือว่าเป็นส่วนสำคัญ
ในการดำเนินชีวิตภายใต้สังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 โดยปัญหาที่นำมาใช้ในการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนนัน้ เป็นปัญหาที่เกิดข้ึนจริงหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่สามารถพบได้ในชวี ิตประจำวันและเป็น
เรื่องใกล้ตัวของผู้เรียน ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดปัญหาเป็นฐาน เรื่อง ปัญหาที่ไม่เป็นปัญหา
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย ทำให้นักเรียนสามารถเผชิญกับ
ปัญหาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นระบบ นำไปเป็นประสบการณ์หรืออุทาหรณ์ใน
การดำเนนิ ชีวติ บนพ้นื ฐานความถูกต้อง เหมาะสม และอยใู่ นสงั คมได้อย่างมีความสุข

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based

learning) ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นนวมนิ ทราชินทู ศิ เบญจมราชาลยั
2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้น

มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 ทีเ่ รยี นโดยใช้กจิ กรรมการเรียนรปู้ ัญหาเปน็ ฐาน
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ปัญหาเป็น

ฐานของนกั เรียน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4

วธิ ีดำเนินการวิจยั
การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เป็นการวิจัยปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อศึกษาผลการปฏิบัติการการ

พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PROBLEM BASED LEARNING)
ได้ดำเนินตามลำดับข้ันตอน ดงั ต่อไปนี้

ประชากร/กลมุ่ ตวั อยา่ ง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียน
นวมินทราชนิ ูทศิ เบญจมราชาลัย จำนวน 210 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจยั ครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์
คณติ ศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2565 โรงเรียนนวมนิ ทราชินทู ิศ เบญจมราชาลยั จำนวน 42 คน
เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจยั
ในการวิจยั ครัง้ น้ี เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั จะจำแนกออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้
1. เคร่อื งมือท่ีใช้ในการปฏบิ ัตกิ าร

1.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน รายวิชาออกแบบและวิทยาการคำนวณ

สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมีการนำขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน มาประยุกต์ใช้

กบั เน้ือหาและบริบทของการเรียนรใู้ นงานวิจยั คร้ังน้ี

2. เครอื่ งมือทีใ่ ชใ้ นการประเมนิ ผลการวิจัยเชิงปฏบิ ตั ิการ

2.1 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน

2.2 แบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน

3. เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติการ

3.1 แบบบันทกึ ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้

3.2 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

3.3 แบบทดสอบท้ายวงจร

ขนั้ ตอนการวิจัย

ในการวิจัยครัง้ นี้ เป็นการวิจยั เชงิ ปฏบิ ัติการ เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาจากการจดั การเรียนรู้โดย

ใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ซง่ึ มขี ัน้ ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดังตารางต่อไปนี้

วงรอบปฏิบตั ิการ กจิ กรรม เคร่ืองมือ

ก่อนวงรอบปฏิบัติการ 1. ศึกษาสภาพปัญหาของผูเ้ รียนและแนวทาง 1. แบบสังเกตพฤตกิ รรมการจัด

แต่ละวงรอบ แกป้ ัญหา กจิ กรรมการเรียนรู้

2. สัมภาษณ์ผ้เู รยี นถงึ สาเหตขุ องปัญหาทีพ่ บ

3. วางแผนดำเนนิ การสร้างเครอ่ื งมือ

วงรอบปฏิบตั ิการ 1 - 3 ข้ันวางแผน (Plan) 1. แผนการจดั การเรียนรู้

1. ศึกษาสภาพปัญหา วเิ คราะห์หาสาเหตุ 2. แบบบนั ทึกผลการจดั

ของปัญหา และวธิ ดี ำเนินการแกไ้ ข กจิ กรรมการเรียนรู้

2. วางแผนและออกแบบการจัดกจิ กรรม 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการจัด

การเรียนรู้ กจิ กรรมการเรยี นรู้

3. สรา้ งเครื่องมือที ่ใช้ในการวิจัยและ 4. แบบทดสอบทา้ ยวงจร

เครื่องมือทใ่ี ชส้ ำหรบั เกบ็ ขอ้ มูล

ขนั้ ปฏิบตั ิการ (Act)

1. ดำเนินการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ตาม

แผนการจดั การเรียนร้ทู ่สี รา้ งขนึ้

ขั้นสงั เกตการณ์ (Observe)

1. สังเกตส่งิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ระหว่างการจดั

กิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรม และบันทึก

ผล

ขัน้ สะทอ้ นผลการปฏบิ ัติ (Reflect)

1. วิเคราะห์ข้อมูลท่เี ก็บรวบรวมได้ นำมา

สรุปผลและหาแนวทางแก้ไขปรับปรุงการจัด

กจิ กรรมในวงรอบถัดไป

หลังวงรอบปฏบิ ตั ิการ สอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการ 1. แบบสอบถามความพึงพอใจ

จดั การเรียนรโู้ ดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ปัญหา

เปน็ ฐานของนกั เรียน

การวเิ คราะห์ขอ้ มลู /สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวิจัย
การวิเคราะห์ขอ้ มูล ผู้วิจัยไดด้ ำเนนิ การแบ่งข้อมูลออกเปน็ 2 ประเภท คือ
1. ข้อมูลเชิงคุณภาพ นำข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้เรียน และผู้วิจัยมา
วิเคราะห์ ตีความ และสรุปผล แล้วรายงานผลในรปู แบบของการบรรยาย
2. ข้อมูลเชิงปริมาณ นำข้อมูลที่ได้จากแบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยผู้เรียนประเมิน
ตนเอง, แบบสังเกตแรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธ์ิทางการเรียนโดยผู้วิจัยและผู้ร่วมวจิ ัย, แบบสอบถามความพึงพอใจของ
นักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ในแต ่ละวงรอบปฏิบัติการมาวิเคราะห์หาค ่าระดับแรงจงู ใจ โดยใช้สถิติ คือ
ค่าเฉล่ยี ( ̅) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) การแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูลพจิ ารณาจากคะแนนเฉล่ียของ
ชว่ งระดับคะแนน 5 ระดบั ของลิเคริ ท์ (Likert Scale) ดงั ตอ่ ไปนี้
ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายถึง มากทส่ี ุด
ค่าเฉลย่ี 3.50 - 4.49 หมายถึง มาก
ค่าเฉลีย่ 2.50 - 3.49 หมายถงึ ปานกลาง
ค่าเฉล่ยี 1.50 - 2.49 หมายถงึ นอ้ ย
คา่ เฉลย่ี 1.00 - 1.49 หมายถึง น้อยทส่ี ุด

ผลการวจิ ัย
1. ทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนที่เรียนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-

Based learning) ร้อยละ 81.25 ของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 76.56 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำ หนดไว้
นกั เรยี นรอ้ ยละ 70 ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรยี นที่เรียนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem
Based learning) ร้อยละ 87.50 ของกลุ่มเป้าหมาย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75.42 ซึ่งสูง
กว่าเกณฑ์ทก่ี ำ หนดไวน้ กั เรยี นร้อยละ70 ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70

อภิปรายผลการวิจยั
จากผลการทดลองใช้ระบบการเรียนรู้แบบผสมผสานร่วมกับแนวคิดเกมิฟิเคชนั เพื่อส่งเสริมแรงจูงใจ

ใฝส่ มั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรียนสามารถอภิปรายผลได้ดังนี้
1. ผลการพัฒนาทักษะการแกป้ ัญหา
จากการทดสอบเพื่อวัดทักษะการแก้ปัญหา พบว่า มีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าวร้อยละ 81.25 ของ

กลุ่มเป้าหมายและมีคะแนนที่ผ่านเกณฑ์ดังกลา่ วร้อยละ 76.56 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำ หนดไว้ ทั้งนี้เป็นเพราะการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) เป็นกิจกรรมที่ฝึกพัฒนาการ
แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นักเรียนทุกคนมีการฝึกปฏิบัติทักษะการแก้ปัญหาทั้ง 18 ชั่วโมงผู้สอนใช้
สถานการณป์ ัญหาเป็นจุดเร่ิมตน้ ในการคน้ คว้าหาคำ ตอบดงั นั้นลักษณะของปัญหาจากการกล่าวไวต้ ามแนวคิด
ของ คูทซ์ (1991 อ้างถึงในจันทร์ติยะวงศ์, 2549) “ปัญหา” ควรเป็นปัญหาที่พบเห็นโดยทั่วไปเป็นปัญหาท่ี
นักเรียนคุ้นเคย มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ผู้แก้ปัญหามีความคุ้นเคยกับโครงสร้างลักษณะของปัญหาและวิธีการ
แก้ปัญหา โดยกระบวนการต่าง ๆ ที่ครูจัดไว้อย่างเป็นขั้นตอนส่งเสริมการคิดอย่างเป็นระบบ ใช้สถานการณ์
ปัญหาที่หลากหลายเร้าความสนใจ กระตุ้นการเรียนรู้และค้นหาคำ ตอบของผู้เรียนเพราะการแก้ปัญหาเป็น
เร่ืองที่สำ คัญย่งิ สำ หรับชีวิตมนษุ ยจ์ ึงต้องพยายามคล่คี ลายปญั หานัน้ ให้ไดด้ ้วยเหตนุ ี้ทกั ษะการแกป้ ัญหาจึงเป็น

ลักษณะเฉพาะของบุคคล การแก้ปัญหาหนึ่งปัญหาจึงมีหลากหลายวิธีการ เนื่องจากแต่ละบุคคลมีความ
แตกต่างทั้งประสบการณ์ความรู้ ความคิด วุฒิภาวะ ทัศนคติการที่ผู้วิจัยนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้
ปัญหาเป็นฐาน (Problem-BasedLearning) มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของผู้เรียน
และผลปรากฏวา่ ผูเ้ รยี นมที กั ษะการแกป้ ญั หาทีเ่ พมิ่ ขน้ึ นนั้ สอดคล้องกบั แนวคิดของทิศนาแขมมณี(2545)กล่าว
ว่า การจดั การเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเปน็ หลกั เป็นการจดั สภาพการณ์ของการเรียนท่ีใช้ปญั หาเปน็ เครื่องมือ
เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมาย มีการเผชญิ ปัญหาฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์ แกป้ ัญหาร่วมกันเป็น
กลุ่มสอดคล้องกับงานวิจัยของ สภุ าพร สายสวาท (2548) เก่ยี วกบั การจดั ประสบการณแ์ บบใช้ปัญหาเป็นหลัก
พบว่า ส่งเสริมให้นักเรียนมีพัฒนาการทางภาษาเพิ่มขึ้น สามารถขยายความคิดของตนเองอย่างกว้างขวางและ
ลึกซึ้งนักเรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบใช้ปัญหาเป็นหลักมีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าก่อน
ได้รับการจัดประสบการณ์ตามเกณฑ์ 80/80 ด้วยเหตุนี้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-
Based Learning) สามารถทำ ให้เกิดทักษะการแก้ปัญหาได้ด้วยกระบวนการขั้นตอนที่เกิดจากกิจกรรมในข้ัน
การจัดการเรียนรู้ เริ่มตั้งแต่การกำ หนดปัญหา เพราะปัญหาเปรียบเสมือนเครื่องมือที่จะนำ ไปสู่การแสวงหา
ความรู้ เรียนรู้จากปัญหาน้ัน ๆ จนเกิดเป็นทกั ษะ และความรู้ใหม่ การวิเคราะหถ์ ึงสาเหตุแหง่ ปญั หาที่เกิดจาก
หลายปัจจัย การนำ เสนอวิธีแก้ปัญหาที่หลากหลายซึ่งตั้งอยู่บนความเป็นเหตุเป็นผล และการประเมินผลอัน
เกิดจากแกป้ ญั หาท่ถี ูกต้อง

2. ผลการพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
จากการทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
(Problem Based Learning) พบว่านักเรียนมีคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี
นกั เรียนผ่านเกณฑ์ที่กำ หนดไวจ้ ำ นวน 14 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ87.50 ของกลมุ่ เป้าหมาย และมีจำ นวนนักเรียน
ที่สอบไมผ่ า่ นเกณฑ์จำ นวน 2 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 12.50 มีผลคะแนนเฉล่ีย22.63 คดิ เป็นร้อยละ 74.42 สูงกว่า
เกณฑ์ที่กำหนดไว้ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานนำ มาซึ่งการแสวงหาความรู้สืบค้น วิเคราะห์
สงั เคราะหจ์ นเกิดเปน็ ความรู้และทักษะการแก้ปัญหารวมถงึ คุณลักษณะด้านต่าง ๆ โดยมปี ัญหาเป็นฐานในการ
หาคำ ตอบและได้มาซึ่งความรู้ทักษะกระบวนการและคุณลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วอันเป็นไปตามจุดมุ่งหมาย
ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช2551(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) รวมทั้งการมสี ่วน
ร่วมจากบริบทต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งแหล่งเรียนรู้อันหลากหลาย เช่น บุคคลสถานที่ วัฒนธรรม และ สื่อการ
เรียนรู้ประเภทวสั ดุอุปกรณ์เกิดเป็นการแลกเปลี่ยนเรยี นรูร้ ะหว่างกัน จนเกิดเป็นความรู้และประสบการณ์ตรง
จากการลงมือปฏิบัติมีความสุขในการเรียน มีความกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหาและสถานการณ์ที่กำ หนดให้ลุ
ลวงไป จากการรว่ มมอื กันภายในกลุ่มและการอำ นวยความสะดวกจากครูและผู้มีสว่ นเกีย่ วข้อง สามารถนำ ไป
ประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำ วัน เป็นผลให้การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากแบบวัดที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดย
การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 มีผลมาจากรูปแบบการจัดการเรียนรู้
โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน(Problem-Based Learning) ซึ่งประกอบด้วยหลักการสำ คัญ 3 ประการคือ การเรียนรู้
โดยเน้นนักเรียนเป็นสำ คัญ การเรียนรู้โดยใช้วิธีการกลุ่มย่อย (Small Group Tutorial) เป็นวิธีการที่ครูต้อง
คอยดูแลให้การสนับสนุนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากการอภิปรายกลุ่มย่อยส่งเสริมให้มีการถกเถียง (Dialogue)
เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และให้รู้จักการทำ งานเป็นกลุ่ม และหลักการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา
เป็นหลัก (Problem-Based Learning หรือ PBL) (ทองจันทร์หงส์ลดารมณ์, 2533) เนื่องจากการเรียนโดยใช้

ปัญหาเป็นหลักเป็น การจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนมีโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกับ

งานวิจัยของจันทร์ติยะวงศ์(2549)ซึ่งใช้รูปแบบการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก( Problem-Based

Learning)ซึ่งผลการวิจัยพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มเป้าหมายจากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 ที่ระดับนัยสำ คัญ 0.05 จากการทดสอบค่า Z และ

สอดคล้องกับงานวิจัยของ สิรินทรา คงบุญ (2547) พบว่า ผลที่ได้จากการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนใน

วิชาฟิสิกส์เรื่อง ไฟฟ้ากระแสตามทฤษฏีการสร้างองค์ความรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักคือนักเรียนร้อยละ 75 มี

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ70 โดยผู้วิจัยยังสรุปด้วยว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก

(Problem-Based Learning) เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่ทำ ให้นักเรียนส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ทางการ

เรียนผา่ นเกณฑท์ ี่กำหนด ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based

Learning) สามารถพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของผเู้ รยี นได

เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ:

โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
จันทร์ติยะวงศ์. (2549). รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้าน

เนื้อหาและกระบวนการทางคณิตศาสตร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา
หลักสตู รและการสอน บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแกน่
ทองจันทร์หงศล์ ดารมภ.์ (2538). การเรียนรโู้ ดยใช้ปัญหาเปน็ หลัก. วารสารขา่ วสารกองบรกิ ารศึกษา, 6(5).
ทิศนา แขมมณี. (2552). ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรู้เพอ่ื การจดั กระบวนการเรียนรู้ท่มี ีประสิทธิภาพ.
กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
วิทยากร เชียงกูล. (2550). สภาวะการศึกษาไทยปี 2549/2550 “การแก้ปัญหาและการปฏิรูปการศึกษา
อยา่ งเป็นระบบองคร์ วม”. กรุงเทพฯ: สำ นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2552). การศึกษาองค์ความรู้เก่ียวกบั คุณลักษณะ
ของคนไทยที่พึงประสงค์:ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค. กรุงเทพฯ:
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.
สิรินทรา คงบุญ. (2547). การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนในวิชาฟิสิกส์เรื่อง ไฟฟ้ากระแส ตามทฤษฎี
การสร้างองค์ความรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem Based Learning). วิทยานิพนธ์ปริญญา
ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์ศึกษา
สุพล วังสินธุ์. (2549). วธิ ีสอนแบบแกป้ ัญหา: การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน. [ม.ป.ท.: ม.ป.พ.].
สุภาพร สายสวาท. (2548). การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยโดยการจัด
ประสบการณ์แบบใช้ปัญหาเป็นหลัก. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา
หลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร


Click to View FlipBook Version