The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือบริหารความเสี่ยงด้านการฝึกปฏิบัติงานนักศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by phrommala1988, 2023-04-11 22:00:19

คู่มือบริหารความเสี่ยงด้านการฝึกปฏิบัติงานนักศึกษา

คู่มือบริหารความเสี่ยงด้านการฝึกปฏิบัติงานนักศึกษา

คู่มือบริหารความเสี่ยง ด้านการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ


2 ค าน า คู ่มือบริหารความเสี ่ยงด้านการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาฉบับนี้จัดท าขึ้นเพื ่อใช้เป็นแนวทางในการ ด าเนินงานบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษา และเป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจ ให้กับผู้บริหารและบุคลากรของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ โดยประกอบด้วยเนื้อหา 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 บทน า ส่วนที่ 2 ประเด็นความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาลและแนวทางการป้องกัน และส่วนที่ 3 แนวปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงและอุบัติการณ์ คณะกรรมการบริหารหลักสูตรหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือฉบับนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยส่งเสริมให้ผู้บริหาร อาจารย์พยาบาล อาจารย์พี่เลี้ยง แหล่งฝึกปฏิบัติ และนักศึกษาพยาบาล มีความเข้าใจและน าไปใช้ในการปฏิบัติทั่วทั้ง องค์กร เพื่อก ากับดูแลการด าเนินงานด้านการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษามีประสิทธิภาพ และน าไปประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรต่อไป คณะกรรมการบริหารหลักสูตร คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ 20 ตุลาคม 2565


สารบัญ หัวข้อเรื่อง หน้า ส่วนที่ 1 บทน า 1 1. ความส าคัญและความจ าเป็น 1 2. ขั้นตอนการบริหารความเสี่ยง 3 ส่วนที่ 2 ประเด็นความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาลและแนวทางการป้องกัน 6 1. ประเด็นความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาล 6 2. แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันความเสี่ยง 6 ส่วนที่ 3 แนวปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงและอุบัติการณ์ 12 1. หลักการบริหารความเสี่ยง 12 2. แนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงระหว่างสถาบันการศึกษาและแหล่งฝึกภาคปฏิบัติ 13 3. การจัดระดับความรุนแรงของความเสี่ยง 15 4. แนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษา 16 ภาคผนวก 17 รายการอุบัติการณ์/ความเสี่ยงในการดูแลผู้ป่วยของนักศึกษาพยาบาล 18 แบบบันทึกรายงานอุบัติการณ์ (Incident report) 20


1 ส่วนที่ 1 บทน า 1. ความส าคัญและความจ าเป็น องค์การอนามัยโลกได้เชิญชวนให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกก าหนดเป้าหมายความปลอดภัยในการดูแลผู้ป ่วย Patient Safety Goals (PSGs) เพื ่อกระตุ้นให้บุคลากรทางสาธารณสุข ผู้ป ่วยและประชาชน เห็นความส าคัญ และร ่วมกันปฏิบัติเพื ่อไปสู ่เป้าหมายดังกล ่าว PSGs เป็นการก าหนดประเด็นความปลอดภัยในการดูแลผู้ป ่วยที ่มี ความส าคัญสูง และสรุปแนวทางปฏิบัติจากหลักฐานวิชาการที่ควรน ามาใช้ เพื่อให้สถานพยาบาลต่างๆ ให้ความส าคัญ และน าแนวทางดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ PSGs จึงเป็นทั้งเป้าหมาย (goals) และแนวทางปฏิบัติ (guidelines) American Accreditation Commission International (AACI, 2022) ได้ก าหนดเป้าหมายความปลอดภัย ของผู้ป่วย Patient Safety Goals (PSGs) พ.ศ. 2566-2568 ที่องค์กรด้านการดูแลสุขภาพต้องยึดถือไว้ดังนี้ 1. การตระหนักรู้และการป้องกันความเหนื่อยหน่ายในการท างานของบุคคลากร 2. สร้างวัฒนธรรมการตระหนักถึงความจ าเป็นอย่างยิ่งยวดของการล้างมือในการดูแลผู้ป่วย 3. การเฝ้าระวังและทบทวนปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนของเจ้าหน้าที่ 4. การเฝ้าระวังและทบทวนกระบวนการก าจัดสิ่งปนเปื้อน การจัดเก็บ และการน าส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ เกี่ยวกับการใช้ส่องกล้องและอุปกรณ์ที่น ากลับมาใช้ใหม่ได้ 5. ใช้วิธีการเตรียมหลักฐานในการระบุต าแหน่งของการผ่าตัด 6. ปรับปรุงผลลัพธ์ของการผ่าตัดโดยใช้รายการตรวจสอบ (Check list) ก่อนการผ่าตัดของ WHO 7. ตรวจสอบบันทึกการได้รับยาและท าให้เสร็จทันเวลา เป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยของประเทศไทย พ.ศ. 2561 (Patient Safety Goals: SIMPLE Thailand 2018) ก าหนดเป้าหมายความปลอดภัยไว้ 6 ด้าน (ตามหลักการ SIMPLE ซึ่งประกอบด้วย S = Safe Surgery, I = Infection Control, M = Medication Safety, P = Patient Care Process, L = Line, Tube & Catheter and Laboratory, และ E = Emergency Response) (ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ, 2561) ได้แก่ 1. ความปลอดภัยด้านการผ่าตัด (Safe surgery) 1.1 ความปลอดภัยด้านกระบวนการผ่าตัด 1.2 ความปลอดภัยด้านการใช้ยาระงับความเจ็บปวด 1.3 ความปลอดภัยด้านห้องปฏิบัติการผ่าตัด 2. การควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ 2.1 การท าความสะอาดมือ 2.2 การป้องกันการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ 2.3 การป้องกันหรือยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคจากผู้เป็นพาหะของโรค 2.4 การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยา


2 3. ความปลอดภัยด้านการให้ยาและเลือด 3.1 ความปลอดภัยจากอาการไม่พึงประสงค์จากยา 3.2 ความปลอดภัยจากความคลาดเคลื่อนทางยา 3.3 บันทึกประวัติการใช้ยาของผู้ป่วย 3.4 การใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU) 3.5 ความปลอดภัยในการเปลี่ยนถ่ายเลือด 4. ความปลอดภัยด้านกระบวนการดูแลผู้ป่วย 4.1 การบ่งชี้ตัวผู้ป่วย 4.2 การสื่อสาร 4.3 การลดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยโรค 4.4 การป้องกันแผลกดทับ 4.5 การจัดการความปวด 4.6 ความปลอดภัยในการส่งต่อ 5. ความปลอดภัยด้านการใส่สาย ท่อ ข้อต่อต่างๆ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Line, Tube, and Catheter & Laboratory) 5.1 ความปลอดภัยในการใส่สาย ท่อ ข้อต่อ และเครื่องควบคุมการไหลสารน ้า 5.2 ความถูกต้องและแม่นย าของผลการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ 6. การตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน 6.1 การระบุตัวผู้ป่วยที่มีอาการทรุดลงหรือมีอาการแย่ลงอย่างมีประสิทธิภาพ 6.2 การดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิตแบบรุนแรง (severe sepsis) และภาวะช็อกเหตุ ติดเชื้อ (septic shock) มีประสิทธิภาพ 6.3 ความปลอดภัยในการดูแลภาวะผิดปกติของมารดาและทารก 6.4 ความปลอดภัยด้านการดูแลในแผนกฉุกเฉิน จากเป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยของประเทศไทย พ.ศ. 2561 จะเห็นได้ว่า เป้าหมายความปลอดภัยทั้ง 6 ด้านนั้น มีความเกี่ยวข้องกับการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สภาการพยาบาลก็ได้ก าหนดตัวชี้วัด ในการรับรองสถาบันการศึกษาวิซาการพยาบาลและการผดุงครรภด้านแหล่งฝึกปฏิบัติการพยาบาล โดยก าหนดให้ แหล ่งฝึกและสถาบันการศึกษา มีระบบการจัดการความเสี ่ยงที ่อาจเกิดขึ้นกับนักศึกษาในการฝึกปฏิบัติงานด้วย หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มุ่งเน้นการจัดการศึกษาพยาบาลที่พัฒนาศักยภาพ บัณฑิตพยาบาลให้มีความรู้ทั้งในศาสตร์ทางการพยาบาล การผดุงครรภ์ และศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ เพื่อประยุกต์ใช้ในการพยาบาลแบบองค์รวม และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้รับบริการในสังคมและท้องถิ่นบนพื้นฐาน ของความแตกต ่างทางวัฒนธรรม ด้วยกระบวนการจัดการเรียนการสอนที ่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ มีการบูรณาการ


3 การพัฒนาทักษะในห้องปฏิบัติการพยาบาล รวมทั้งการฝึกปฏิบัติการพยาบาลในสถานการณ์จริงกับผู้ป ่วยใน โรงพยาบาล เพื่อให้นักศึกษาพยาบาลได้รับประสบการณ์จากการเรียนรู้ในสภาพจริง ให้สามารถน าความรู้ภาคทฤษฎี ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพ กระบวนการจัดการศึกษาพยาบาลจึงนับว่าเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติตาม มาตรฐานโรงพยาบาล นักศึกษาพยาบาลก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของบุคลากรในทีมสุขภาพที่ต้องปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วย แต่เนื่องจากนักศึกษายังมีทักษะและประสบการณ์การปฏิบัติการพยาบาลยังไม่เพียงพอ จึงมีความเสี่ยงสูงในการฝึก ปฏิบัติงาน มีโอกาสเกิดอุบัติการณ์หรือเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ และอาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยและตนเองได้ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ด้านการจัดการความเสี่ยงที่ อาจเกิดขึ้นกับนักศึกษาขณะฝึกปฏิบัติงานและค านึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วย รวมทั้งตระหนักถึงความส าคัญและ ความจ าเป็นของการบริหารความเสี่ยงเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา จึงได้จัดท าคู่มือบริหารความเสี่ยงด้านการฝึก ปฏิบัติงานของนักศึกษา เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาล อาจารย์ พยาบาล อาจารย์พี่เลี้ยงแหล่งฝึกและนักศึกษาพยาบาล ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติที่มีประสิทธิผลและเป็นไปตาม มาตรฐานความปลอดภัยของโรงพยาบาลในการลดความเสี่ยง สร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้เกิดขึ้นกับผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุข และนักศึกษา 2. ขั้นตอนการบริหารความเสี่ยง ขั้นตอนการบริหารความเสี่ยงยึดตามองค์ประกอบของวิธีการบริหารความปลอดภัย ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ (วีณา จีระแพทย์, 2550 อ้างถึงใน พร บุญมีและคณะ, 2553) ขั้นตอนที่ 1 สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย หมายถึง การที่บุคลากรภายในองค์กร มีการตระหนักและการเฝ้า ระวังอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่มีแนวโน้มว่าอาจเกิดความผิดพลาดโดยทั้งบุคลากรและองค์กรสามารถระบุความ ผิดพลาด เรียนรู้ จากสิ่งที่เกิดขึ้นและจัดการกระทำ เพื่อแก้ไขให้เกิดสิ่งที่ถูกต้อง ขั้นตอนที่ 2 มีผู้นำและผู้สนับสนุนบุคลากรในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ทำได้โดย 1) ผู้บริหารแจ้งประเด็นความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ต้องให้ความสนใจทั่วทั้งองค์กรอย่างสม่ำเสมอ 2) มีการพบปะระหว่างผู้นำในองค์กร อาจารย์พยาบาล และนักศึกษาพยาบาล เพื่อหาประเด็นความ ปลอดภัยที่เกิดขึ้น 3) สร้างกลไกการสื่อสารที่ส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษาพยาบาล เกี่ยวกับ วิธีการพัฒนาความปลอดภัยในการจัดบริการและฝึกปฏิบัติ 4) จัดให้มีการสนทนาเกี่ยวกับประเด็นความปลอดภัยในการฝึกปฏิบัติของนักศึกษาโดยใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ก่อนเริ่มและหลังปฏิบัติงานประจำ เพื่อฝึกการรายงานอุบัติการณ์ วิธีการจัดการความปลอดภัย และสร้าง จริยธรรมในการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นกับนักศึกษาพยาบาล 5) ให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของความเห็นที่ได้รับ เพื่อให้อาจารย์และนักศึกษา พยาบาล เห็นประโยชน์ของการนำเสนอความเห็น


4 6) มีคณะกรรมการบริหารเป็นผู้ดูแลการจัดการความเสี่ยงและความปลอดภัย 7) จัด/สนับสนุนให้มีการอบรมด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย ให้กับอาจารย์และนักศึกษา 8) สร้างกระบวนการเรียนรู้และนำบทเรียนความปลอดภัยไปใช้ในการฝึกปฏิบัติและติดตาม ประเมินผลของการเปลี่ยนแปลง ขั้นตอนที่ 3 การบูรณาการกิจกรรมการบริหารความเสี่ยง ความเสี่ยง หมายถึง โอกาสของการเกิดความเสียหายหรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในองค์กร โดย ความเสี่ยงจะแทรกซึมอยู่ในทุกขณะของการปฏิบัติงาน โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือความเสี่ยงต่อผู้ใช้บริการและความ เสี่ยงต่อองค์กร การบูรณาการกิจกรรมการบริหารความเสี่ยง คือการนำบทเรียนที่ได้รับในแต่ละความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ไป ใช้ในการจัดการความเสี่ยงอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งองค์กร อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง การบูรณาการกิจ กรรมการบริหารความเสี่ยงทำได้โดย 1) การค้นหาความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการสูญเสียต่อผู้ใช้บริการและองค์กร 2) การประเมินความรุนแรงและความถี่ของการเกิดความเสี่ยง ทั้งในระดับหน่วยงาน กลุ่มงาน และ องค์กร เพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหา ตลอดจนการจัดเก็บข้อมูลไว้ในระบบสารสนเทศ 3) การจัดการกับความเสี่ยง โดยการป้องกันหรือควบคุมความเสียหายจากอุบัติการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากบุคคลและอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม การถ่ายโอนความเสี่ยง ตลอดจน การชดเชยความ เสียหายที่เกิดจากอุบัติการณ์ 4) ประเมินผลลัพธ์ของกิจกรรมการบริหารความเสี่ยงกับดัชนีความปลอดภัยขององค์กรที่มุ่งลด และ บรรเทาการเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้บริการ ความเสียหายต่อองค์กรจากการถูกร้องเรียน การฟ้องร้องทางกฎหมายเกี่ยวกับ การฝึกปฏิบัติและการให้บริการทางคลินิก ข้อมูลที่ได้รับจากระบวนการบริหารความเสี่ยง จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบโครงการที่ ต้องการปรับปรุงและการจัดการความปลอดภัยใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและทันสมัย ขั้นตอนที่ 4 สนับสนุนการรายงานอุบัติการณ์ การรายงานสิ่งที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการสร้างระบบการฝึกปฏิบัติของ นักศึกษาพยาบาลที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย การสนับสนุนการรายงานอุบัติการณ์ทำได้โดย 1) สนับสนุนให้อาจารย์และนักศึกษาพยาบาลทุกคน ในการรายงานปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของ ผู้ป่วย ขณะขึ้นฝึกปฏิบัติ 2) ติดตามและเทียบเคียงสถิติการเกิดอุบัติการณ์และวิธีการจัดการกับอุบัติการณ์ของมหาวิทยาลัย/ วิทยาลัยกับองค์กรอื่น รวมทั้งหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) ตั้งเป้าหมายในการลดความรุนแรงของผลกระทบจากอุบัติการณ์และวางแผนปฏิบัติการเพื่อ ป้องกันการเกิดซ้ำในทุกอุบัติการณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ป่วย นักศึกษาพยาบาล อุปสรรคของการรายงานอุบัติการณ์ คือ การที่ผู้รายงานรู้สึกล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ กลัวถูก ลงโทษ กลัวว่ารายงานจะไม่เป็นความลับ มองไม่เห็นประโยชน์ของการรายงาน ไม่ได้รับความสะดวกในการรายงาน ตลอดจนรู้สึกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่ต้องรายงาน หากพบว่าอุบัติการณ์ที่ตนไม่ได้กระทำ


5 ขั้นตอนที่ 5 สื่อสารและให้อาจารย์ นักศึกษาพยาบาล และแหล่งฝึกมีส่วนร่วมในระบบความปลอดภัย การสื่อสารให้และการให้อาจารย์ นักศึกษาพยาบาล และแหล่งฝึกมีส่วนร่วมในระบบความปลอดภัย ทำได้โดย 1) กำหนดและเผยแพร่นโยบายและจัดอบรมแนวปฏิบัติในการสื่อสารปัญหาและอุบัติการณ์ความไม่ ปลอดภัยที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ขณะที่นักศึกษาพยาบาลขึ้นฝึกปฏิบัติ 2) ฝึกให้นักศึกษาพยาบาลได้เรียนรู้ในบทบาทของการให้ความรู้และสิทธิของผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับ ความปลอดภัยของการบริการ โดยกระตุ้นให้ผู้รับบริการดำเนินการตามแนวทาง “SPEAK UP” คือ Speak up คือ พูดเมื่อสงสัย ไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่ได้รับ และรู้สึกไม่ ปลอดภัย โดยไม่ต้องอายหรือกลัวที่จะพูด Pay attention คือ การเอาใจใส่การดูแลที่ได้รับและให้แน่ใจว่าได้รับการรักษาพยาบาล และยาที่ ถูกต้อง ตลอดจนเข้าใจผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงอื่น ที่อาจเกิดขึ้นได้ Education คือเรียนรู้โรคที่ได้รับการวินิจฉัย สอบถามหากไม่เข้าใจ อย่าคิดว่าการไม่ได้รับข่าวสาร คือข่าวดี Ask คือการขอให้สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนที่ไว้วางใจเป็นผู้แทนในการดูแลสุขภาพ (Agency) Know คือ รู้ว่าต้องได้รับยาอะไร เพราะเหตุใด ระบุยาที่แพ้ หากต้องได้รับสารละลาย ยาทางหลอด เลือด ให้ถามถึงระยะเวลาที่ควรได้รับ หากพบว่าเร็วหรือช้าเกินต้องแจ้งให้พยาบาล/บุคลากรที่เกี่ยวข้องทราบ Understand คือ เข้าใจองค์กรที่ใช้บริการว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่และมีอุบัติการณ์ความ ผิดพลาดหรือความประมาทเกิดขึ้นบ่อยเพียงใด Participation คือ มีส่วนร่วมในการตัดสินเกี่ยวกับการรักษาที่ตนได้รับ และไม่ต้องกลัวที่จะขอ ความเห็นจากแพทย์ พยาบาล หากต้องการข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจและมั่นใจ ขั้นตอนที่ 6 แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากบทเรียนความปลอดภัย เมื่อเกิดอุบัติการณ์เกิดขึ้น สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การค้นหาคนผิด แต่เป็นการค้นหาและเรียนรู้ อุบัติการณ์เกิดขึ้นอย่างไรและอะไรคือสาเหตุ สถาบันการศึกษาทางการพยาบาลต้องส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการ จัดการความปลอดภัยของผู้ป่วยกับอาจารย์พยาบาล และนักศึกษาพยาบาล โดยต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องรายงาน ข้อมูลอะไรที่จำเป็นและควรใช้เมื่อใด วิธีการวิเคราะห์และการตอบสนองต่อข้อมูลที่ได้รับ ขั้นตอนที่ 7 นำแนวทางการแก้ไขปัญหาไปใช้ในการป้องกันการเกิดอันตรายต่อผู้ป่วย ขั้นตอนนี้เป็นการส่งเสริมการถ่ายโอนบทเรียนที่ได้รับจากอุบัติการณ์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงระยาวใน การปฏิบัติงานบริการที่ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์กรและเป็นสิ่งที่อาจารย์ นักศึกษาพยาบาล ปฏิบัติเป็นกิจวัตรขณะทำงาน โดย 1) ออกแบบระบบที่ช่วยให้อาจารย์ นักศึกษาพยาบาล ทำสิ่งที่ถูกต้องได้ง่าย 2) ออกแบบโดยการนำปราการป้องกันทางกายภาพมาใช้ในระบบ มากกว่าการใช้ปราการป้องกันแบบ อื่นๆ ซึ่งเป็นวิธีที่จำนำมาใช้จัดทำแผนการเปลี่ยนแปลง ได้ผ่านการพิสูจน์ประสิทธิภาพในการป้องกันและการทำให้เกิด ความยั่งยืนของการเปลี่ยนแปลงระยะยาวได้จริง


6 ส่วนที่ 2 ประเด็นความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาล และแนวทางการป้องกัน 1. ประเด็นความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาล ความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาล มีดังนี้ 1. การบริหารยาผิดพลาด เช่น การเตรียมยาและบริหารยาคลาดเคลื่อน การค านวณขนาดยา คลาดเคลื่อน การเลือกสารละลายผสมยาไม่ถูกต้อง การใช้ยาผิดชนิดและขนาด ผิดคน ผิดวิธีการ ผิดเวลา เป็นต้น 2. การได้รับอุบัติเหตุจากการถูกของมีคมทิ่มต า 3. การได้รับอุบัติเหตุจากการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากการฝึกปฏิบัติ 4. การติดเชื้อจากการปฏิบัติงาน 5. การเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติงาน 2. แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันความเสี่ยง 1. การป้องกันการบริหารยาผิดพลาด 1.1 ในกระบวนการจัดเตรียมยาและการให้ยาผู้ป่วย ต้องให้มีอาจารย์นิเทศ อาจารย์พี่เลี้ยงแหล่งฝึก หรือพยาบาลวิชาชีพ ตรวจสอบและควบคุมในทุกขั้นตอนของการจัดเตรียมยาและการให้ยา 1.2 ต้องยึดหลักความสะอาดหรือปราศจากเชื้อตามชนิดของยาที่ให้เสมอ 1.3 บริหารยาโดยการยึดหลัก 9R ดังนี้ R1 : Right person (Right patient) คือการให้ยาถูกต้องกับผู้ป ่วย ซึ ่งการระบุตัวผู้ป่วย ให้ พิจารณาร่วมกับความครบถ้วนของข้อมูลส าคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เวชระเบียน ใบสั่งยา บันทึกการบริหารยา การ์ดยา ความครบถ้วนของฉลากของผลิตภัณฑ์/ยา ซึ่งก าหนดข้อมูลอย่างน้อยได้แก่ ชื่อผู้ป่วย ชื่อยา ความแรง ขนาด และ วิธีการบริหารยา การบริหารยาต้องใช้ Sticker ระบุตัวผู้ป่วยติดที่เอกสาร ซองยาหรือบรรจุภัณฑ์ยาอื่นๆ การระบุตัว ผู้ป่วย ท าได้โดย ตรวจสอบป้ายท้ายเตียง/ป้ายห้องผู้ป่วย ป้ายข้อมือ ให้ผู้ป่วยขานชื่อ-สกุลของตนเอง หรือพยาบาล สอบถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย (Speak out) หรือ สอบถามจากญาติก่อนให้ยาผู้ป่วยเสมอ R2 : Right History and Assessment คือ การป้องกันการแพ้ยาซ ้า ควรตรวจสอบ ประวัติการ แพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนการให้ยา กรณีพบผู้ป่วยรายใหม่ให้ประวัติว่ามีการแพ้ยา ให้รายงานพยาบาลประจ าการ เพื่อการปรึกษาเภสัชกรและการบันทึกข้อมูลใน HosXp และจัดท าบัตรแพ้ยาให้ผู้ป่วย รวมทั้งการติด Sticker ระบุการ แพ้ยาหน้า Chart หากประเมินผู้ป่วยแล้วคาดว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยในการให้ยา ควรตรวจสอบค าสั่งการรักษาซ ้า หรือปรึกษาพยาบาลประจ าการก่อนให้ยาเสมอ


7 R3 : Right Drug (Right medication) คือให้ยาถูกชนิด ยาที่ผู้ป่วยได้รับต้องสอดคล้องกับโรค หรืออาการผู้ป่วยและเป็นยาที่แพทย์สั่งใช้ในปัจจุบัน การระบุยา ท าได้โดยตรวจสอบชื่อยาที่ขวด ซอง หรือบรรจุภัณฑ์ ยากับค าสั่งการรักษาของแพทย์เสมอ R4 : Right dose คือการให้ยาถูกขนาด การระบขนาดยา ท าได้โดยการตรวจสอบความถูกต้อง ของขนาดยาให้เป็นไปตามค าสั่งการรักษา รวมทั้งให้สอดคล้องหรือเหมาะสมกับโรค อาการผู้ป่วย และข้อมูลผู้ป่วย เช่น น ้าหนัก การท าหน้าที่ของไต เป็นต้น R5 : Right route (Right method) คือ ให้ยาถูกวิถีทาง การระบุวิถีทางการให้ยา ท าได้โดยการ ตรวจสอบวิถีทางการให้ยาให้ถูกต้องตามค าสั่งการรักษาก่อนให้ยาเสมอ ว่าเป็นค าสั่งการให้ยาทางปาก การให้ทาง หลอดเลือดด า การให้ทางกล้ามเนื้อ การให้ทางผิวหนัง หรือ การเหน็บทางทวารหนัก เป็นต้น R6 : Right time คือ การให้ยาถูกเวลา ให้สอดคล้องกับค าสั่งการรักษา และหลักการบริหารยา เช่น ให้ยาก่อนอาหาร หลังอาหาร หรือยาที่ให้วันละกี่ครั้ง หรือให้เมื่อมีอาการ R7 : Right Drug-Drug Interaction and Evaluation คือ การป้องกันอันตรายหรือภาวะแทรก ซ้อนจากการเกิดปฏิกิริยาระหว่างกันของยา โดยตรวจสอบเรื่องของปฏิกิริยาต่อกันของยาว่ายาชนิดใดเกิดปฏิกิริยาต่อ กันเมื่อมีการให้พร้อมกัน R8 : Right to Education and Information คือ การให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับยาอย่างถูกต้อง แก่ผู้ป่วยและญาติ โดยการอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติได้รับทราบถึงชื่อยาที่จะให้ วิถีทางที่จะให้ยา ผลการรักษา และ ผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดขึ้น ผู้ป่วยและญาติรับรู้และเข้าใจ ในเรื่องการแพ้ยาของผู้ป่วย เพื่อช่วยกันในการสร้าง ความปลอดภัยในการให้ยาร่วมกัน R9 : Right record (Right document) คือ มีการบันทึกการให้ยาอย่างถูกต้องครบถ้วนตรงตาม ความเป็นจริง โดยบันทึกใน Medication record หรือบันทึกทางการพยาบาลอื่นๆ 1.4 มีการติดตามประเมินผลการให้ยา หรือมีการติดตามหลังการบริหารยาอย่างเหมาะสม 2. การป้องกันอุบัติเหตุจากการถูกของมีคมทิ่มต า 2.1 ให้ความรู้และรณรงค์ให้นักศึกษาใช้เข็มหรือของมีคมให้ถูกต้องตามหลักการ ดังนี้ 1) เข็มฉีดยาและเจาะเลือดที่ใช้แล้ว ห้ามสวมปลอกเข็มโดยใช้มือจับปลอกเข็ม หากมีความ จ าเป็นต้องสวมปลอกเข็มให้ใช้วิธีสวมด้วยมือเดียว (One hand technique) หรือใช้อุปกรณ์หรือเครื ่องมือช่วยจับ ปลอกเข็มให้ตรงกันเพื่อสะดวกต่อการใส่เข็มเข้าในปลอกอย่างปลอดภัยไม่เปรอะเปื้อน และไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หาก ไม่จ าเป็นต้องสวมปลอกเข็ม ให้ทิ้งเข็มที่ใช้แล้วลงในภาชนะพลาสติกที่เข็มแทงไม่ทะลุ รองรับเข็มที่ใช้แล้ว เก็บรวบรวม ไว้เพื่อรอน าไปท าลายเชื้อต่อไป 2) เข็มส าหรับหัตถการอื่น เช่น เข็มเจาะหลัง เข็มตรวจชิ้นเนื้อ เข็มเจาะปอด เจาะตับ เข็ม อิเล็กโทรนิกตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับเข็มฉีดยาชนิดใช้ช ้าอีก


8 3) เข็มเย็บแผล ไม่จับเข็มด้วยมือโดยตรง ให้ใช้คีมจับเข็ม (Needle holder) จับเสมอ และ ในระหว่างการใช้เข็มเย็บแผล ให้ซ่อนปลายเข็มเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเข็มต าตัวเองและผู้อื่น เช่น ใช้คีมจับเข็ม จับใกล้ บริเวณปลายเข็มและคว ่าไว้ และเมื่อใช้แล้วให้ทิ้งในภาชนะทิ้งเข็ม 4) ของมีคมอื่นๆ เช่นใบมีด ห้ามส่งจากมือคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งโดยตรง ให้ส่งโดยการวาง ในภาชนะรองรับแล้วจึงหยิบ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในระหว่างส่งเครื่องมือ นอกจากนี้ห้ามวางของมีคมให้ส่วนแหลมคม ยื่นออกนอกภาวะนะรองรับ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ และให้วางอุปกรณ์นั้นให้ส่วนมีคมราบขนานกับภาชนะ เพื่อป้องกันส่วนแหลมคมเกี่ยวถูกภาชนะ หรือเกี่ยวมือเจ้าหน้าที่อื่น และในการถอดใบมีดออก ให้ใช้คีมจับ (Clamp) จับใบมีดงัดออก และทิ้งในภาชนะส าหรับทิ้งของมีคม 5) หลอดยา (Ampule) ให้ใช้ผ้าสะอาดหรือส าลีรองเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเศษแก้วทิ่มต าหรือ บาดมือ หลอดยาที่ใช้แล้วให้บรรจุในภาชนะที่แก้วแทงไม่ทะลุน าไปทิ้งตามหลักการควบคุมการติดเชื้อ ( Infection control) ส่วนหลอดปั่นความเข้มข้นของเลือด (Capillary tube) และเศษแก้วที่แตกทุกชนิดที่ปนเปื้อนเลือดหรือสาร น ้าจากร่างกายผู้ป่วย ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับเข็มฉีดยา หากไม่ปนเปื้อนให้บรรจุในภาชนะที่แก้วแทงไม่ทะลุ และน าไป ทิ้งตามหลักการควบคุมการติดเชื้อ (Infection control) 2.2 ห้ามทิ้งของแหลมหรือของมีคมในถุงขยะหรือถังขยะ ทิ้งลงในภาชนะ ให้ทิ้งในภาชนะที่เตรียมไว้ เฉพาะเท่านั้น 2.3 ห้ามรื้อค้นขยะในถุงหรือถังขยะ เพราะอาจถูกเข็มหรือของมีดคมทิ่มต ามือได้ 2.4 สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันร่างกายให้เหมาะสมกับกิจกรรมหรือหัตถการที่จะปฏิบัติเช่นการใส่ท่อ ช่วยหายใจ การเย็บแผลหรือท าแผลที่มีเลือดหรือสารคัดหลั่งจ านวนมากการท าหัตถการที่มีการทิ่มแทงเข้าร่างกาย ผู้ป่วยโดยตรงต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันร่างกายได้แก่ การสวมถุงมือสะอาดก่อนเจาะเลือดหรือก ่อนแทงน ้าเกลือหาก หัตถการนั้นเสี่ยงต่อการกระเด็นของเลือดหรือสารคัดหลั่งเข้าตา ควรใส่หน้ากากป้องกัน( face shield) เป็นต้นหรือ ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติของแหล่งฝึกนั้นๆ 3. การป้องกันอุบัติเหตุจากการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากการฝึกปฏิบัติ 3.1 ให้ความรู้เรื่องการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่ง 3.2 ล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังการปฏิบัติการพยาบาล และภายหลังสัมผัสเลือด สารน ้า สารคัดหลั่ง เยื่อบุ และผิวหนังที่มีรอยแยกของผู้ป่วย และภายหลังถอดถุงมือ 3.3 ใส่อุปกรณ์เครื่องป้องกันดังนี้ 1) สวมถุงมือทุกครั้งที่จะท ากิจกรรมที่คาดว่าจะมีการสัมผัสเลือด สารน ้า สารคัดหลั่ง เยื่อบุ และผิวหนังที่มีรอยแยกของผู้ป่วย 2) สวมผ้าปิดจมูก – ปาก และแว่นตาทุกครั้งที่จะท ากิจกรรมที่คาดว่าจะมีการกระเด็นของ เลือด สารน ้า หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยถูกบริเวณใบหน้า 3) ใส่ผ้ากันเปื้อน (ยางหรือพลาสติก) ทุกครั้งที่จะท ากิจกรรมที่คาดว่าจะมีการกระเด็นของ เลือด สารน ้า หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยถูกบริเวณล าตัว


9 4. การป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อในการปฏิบัติงาน การป้องกันการติดเชื้อในการปฏิบัติงาน ท าโดยปฐมนิเทศหรือเน้นย ้าให้นักศึกษาปฏิบัติตามแนว ทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วย เพื่อลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อในโรงพยาบาล ดังนี้ 4.1 นักศึกษาที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบบี สุกใส และหัด ฉีดวัคซีนก่อนขึ้นฝึกปฏิบัติงาน 4.2 การล้างมืออย่างถูกต้อง 7 ขั้นตอนและ 5 moment คือ 1) ก่อนสัมผัสผู้ป่วย 2) ก่อนท า หัตถการกับผู้ป่วย 3) หลังสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย 4) หลังสัมผัสคนไข้ 5) หลังสัมผัสสิ่งที่ล้อมรอบผู้ป่วย 4.3 ปฏิบัติงานโดยยึดหลัก Standard precaution อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ทางเลือดสารน ้า สารคัดหลั่งของผู้ป่วยโดยให้ค านึงว่าผู้ป่วยทุกรายอาจจะมีเชื้อโรคในร่างกายที่สามารถติดต่อโดยเลือด และสารคัดหลั่งได้แก่น ้าคร ่าน ้าในเยื่อหุ้มปอดน ้าในเยื่อหุ้มหัวใจน ้าในช่องท้อง น ้าไขสันหลัง น ้าอสุจิน ้า ในช่องคลอด น ้าเหลืองหรือหนองของผู้ป่วย อุจจาระ ปัสสาวะ เสมหะ (ยกเว้นเหงื่อ) การสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลหรือเยื่อบุต่างๆวิธี ปฏิบัติมีดังนี้ 1) ล้างมือ (Handwashing) โดยการล้างมืออย่างถูกต้องก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย 2) สวมเครื่องป้องกันร่างกาย (Protective barriers) ควรสวมหรือใช้เมื่อคาดว่าจะสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยเพื่อป้องกันผิวหนังหรือเยื่อบุสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งจากตัวผู้ป่วยเช่นการสวมผ้าปิด ปากปิดจมูก (Mask) หน้ากาก (Face shield) แว่นตา (Goggle) เสื้อคลุม (Gown) และถุงมือ (Glove) 3) การดูแลอุปกรณ์เครื ่องมือ – เครื ่องใช้ของผู้ป ่วย (Patient care equipment) อุปกรณ์ที่ เปื้อนเลือด สารคัดหลั ่งจากตัวผู้ป ่วยให้ล้างท าความสะอาดด้วยความระมัดระวังและมีการท าลายเชื้อหรือท าให้ ปราศจากเชื้ออย่างถูกต้องตามความเหมาะสมก่อนน ามาใช้ต่อไป 4.4 Airborne Precautions เป็นวิธีการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคที่แพร่ทางอากาศที่มีขนาด เล็กกว ่า 5 ไมครอนได้แก ่วัณโรค (TB) หัด (Measles) สุกใส (Chickenpox) งูสวัดและเริมแบบแพร ่กระจาย (Disseminated herpes zoster and Disseminated herpes simplex) โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันร ุนแ รง (Severe Acute Respiratory Syndrome ; SARS) และโรคไข้หวัดนก (Avian Influenza) ซึ่งโรค 4 ชนิดหลังนี้ต้องมี การปฏิบัติตามหลัก Contact precautions ร่วมด้วย ซึ่งวิธีปฏิบัติมีดังนี้ 1) ปฏิบัติตามหลัก Standard precautions ในการดูแลผู้ป่วย 2) ดูแลแยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกจนกว่าจะพ้นระยะแพร่เชื้อห้องแยกควรมีการถ่ายเทอากาศสู่ ภายนอกอาคารได้ดีและมีแสงแดดส่องถึงรวมทั้งประตูห้องแยกต้องปิดไว้ตลอดเวลา 3) ถ้าไม่มีห้องแยกควรจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องเดียวกับผู้ป่วยอื่นที่ติดเชื้อโรคชนิดเดียวกันหรือจัด เตียงผู้ป่วยไว้มุมใดมุมหนึ่งของหอผู้ป่วยที่มีอากาศถ่ายเทได้ดีและจัดให้เตียงห่างจากเตียงผู้ป่วยอื่นและควรจ ากัดบริเวณ ผู้ป่วยเท่าที่ท าได้ 4) สวมผ้าปิดปากปิดจมูกที่มีคุณสมบัติกรองเชื้อโรคเมื่อเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือเข้าใกล้ผู้ป่วย จนกว่าผู้ป่วยจะพ้นระยะการแพร ่เชื้อเช่นสวม Particulate mask (N95) กรณีของผู้ป ่วยวัณโรคหรือสวม Surgical mask ในกรณีอื่นเช่นผู้ป่วยโรคสุกใสผู้ป่วยงูสวัดเป็นต้น


10 5) ไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากห้องหรือหอผู้ป่วยโดยไม่จ าเป็นถ้าจ าเป็นต้องเคลื่อนย้ายให้ ผู้ป่วย สวมผ้าปิดปากปิดจมูกชนิดSurgical mask เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจาย 6) แนะน าให้ผู้ป่วยใช้ผ้าหรือกระดาษเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกขณะไอหรือจามและให้บ้วน เสมหะ ในภาชนะที่จัดไว้ให้โดยต้องมีถุงพลาสติกรองรับและมีฝาปิดมิดชิด 7) แนะน าการปฏิบัติตัวแก่ญาติในการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยเช่นให้สวมผ้าปิดปากปิดจมูกอย่างถูกต้อง และควรจ ากัดคนเข้าเยี่ยมผู้ที่ติดเชื้อได้ง่ายไม่ควรเข้าเยี่ยมเช่นเด็กผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต ่าเป็นต้น 4.5 Droplet Precautions เป็นวิธีการป้องกันการแพร ่กระจายเชื้อโรคจากละอองฝอยเสมหะที ่มีขนาดใหญ ่กว ่า 5 ไมครอน นอกจากนี้ยังติดต่อจากการสัมผัสเยื่อบุตาเยื่อบุปากและจมูกได้แก่หัดเยอรมัน (Rubella) คางทูม (Mumps) ไอกรน (Pertussis) ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal infection) เป็นต้น ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติดังนี้ 1) ปฏิบัติตามหลัก Standard precautions ในการดูแลผู้ป่วย 2) แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกจนพ้นระยะแพร่เชื้อห้องแยกควรมีการถ่ายเทอากาศสู่ภายนอก อาคารได้ดีและมีแสงแดดส่องถึง 3) ถ้าไม่มีห้องแยกจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องเดียวกับผู้ป่วยอื่นที่ติดเชื้อโรคชนิดเดียวกันหรือจัด เตียงไว้มุมใดมุมหนึ่งของหอผู้ป่วยที่มีอากาศถ่ายเทได้ดีและจัดระยะห่างจากเตียงผู้ป่วยอื่นมากกว่า3 ฟุต 4) ให้สวมผ้าปิดปาก-จมูกชนิด Surgical mask เมื่อต้องเข้าใกล้ผู้ป่วยภายในระยะ 3 ฟุต 5) ไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากห้องหรือหอผู้ป่วยโดยไม่จ าเป็นถ้าจ าเป็นต้องเคลื่อนย้าย ให้ผู้ป่วยสวมผ้าปิดปากปิดจมูกชนิดSurgical mask เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจาย 6) แนะน าให้ผู้ป่วยใช้ผ้าหรือกระดาษเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกขณะไอจามและให้บ้วนเสมหะ ในภาชนะที่มีถุงพลาสติกรองรับและมีฝามิดชิด 7) แนะน าการปฏิบัติตัวแก่ญาติในการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยเช่นให้สวมผ้าปิดปากปิดจมูกเมื่อเข้า ใกล้ผู้ป่วยภายในระยะ 3 ฟุตล้างมือก่อน - หลังสัมผัสผู้ป่วยควรจ ากัดคนเข้าเยี่ยมผู้ที่ติดเชื้อได้ง่ายไม่ควรเข้าเยี่ยมเช่น เด็กผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต ่าเป็นต้น 4.5 Contact Precautions เป็นวิธีการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคที่ติดต่อได้โดยการสัมผัสทั้ง ทางตรงและทางอ้อมได้แก ่ Infectious diarrhea, Infectious wound, Abscess, Viral hemorrhagic infections, Viral conjunctivitis, Lice, Scabies รวมทั้งเชื้อที่ต้องมีทั้ง Airborne และ Contract precautions เช่นโรคทางเดิน หายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) โรคไข้หวัดนก (Avain Influenza) และโรคสุกใสรวมทั้งผู้ป ่วยที ่มีการติดเชื้อหรือ Colonization ของเชื้อที่ดื้อยา เช่น Methicillin-resistant Staphylococcus aureus(MRSA) และเชื้อ Multidrug - resistant gram negative bacilli (MDR-GNB) เป็นต้น ซึ่งวิธีปฏิบัติมีดังนี้ 1) ปฏิบัติตามหลัก Standard precautions ในการดูแลผู้ป่วย 2) แยกของใช้ผู้ป่วยไว้ในห้องแยกจนพ้นระยะแพร่เชื้อ (ผลเพาะเชื้อไม่พบเชื้อติดต่อกัน 2 สัปดาห์) ห้องแยกควรมีการถ่ายเทอากาศสู่ภายนอกอาคารได้ดีและมีแสงแดดส่องถึง


11 3) ถ้าไม่มีห้องแยกจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องเดียวกับผู้ป่วยอื่นที่ติดเชื้อโรคชนิดเดียวกันหรือจัด เตียงผู้ป่วยไว้มุมใดมุมหนึ่งของหอผู้ป่วยที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี 4) สวมถุงมือและถอดถุงมือทันทีหลังให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยแต่ละครั้งและต้องล้างมือ แบบ Hygienic handwashing หลังถอดถุงมือทันที 5) สวมเสื้อคลุมหรือผ้ากันเปื้อนพลาสติกเมื่ออยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยหรือคาดว่าจะต้องสัมผัสกับ สิ่งแวดล้อมและสารคัดหลั่งจากตัวผู้ป่วยโดยเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ทุกครั้งที่จะดูแลผู้ป่วยในแต่ละกิจกรรม 6) ไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากห้องหรือหอผู้ป่วยโดยไม่จ าเป็นถ้าจ าเป็นต้องเคลื่อนย้าย ให้ห่อหุ้มหรือปิดส่วนที่มีการติดเชื้อหรือมีสารคัดหลั่งที่ปนเปื้อนเชื้อโรคออกมาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น และการป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อต่อสิ่งแวดล้อม 7) อุปกรณ์เครื่องมือ-เครื่องใช้ให้แยกใช้กับผู้ป่วยเฉพาะรายหลังใช้งานต้องล้างให้สะอาดและ ท าลายเชื้อหรือท าให้ปราศจากเชื้ออย่างเหมาะสมก่อนน ามาใช้ต่อไป 8) แนะน าการปฏิบัติตัวแก่ญาติในการเข้าเยี่ยมโดยให้ล้างมือก่อน-หลังสัมผัสผู้ป่วยและควร จ ากัดคนเข้าเยี่ยมผู้ที่ติดเชื้อได้ง่ายไม่ควรเข้าเยี่ยมเช่นเด็กผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต ่า เป็นต้น 5. การป้องกันการเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติงาน 5.1 เตรียมความพร้อมของนักศึกษาก่อนการขึ้นฝึกปฏิบัติในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาล และจัด ประสบการณ์ทางคลินิกให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติเพิ่มในห้องปฏิบัติการ 5.2 จัดให้มีจ านวนอาจารย์นิเทศกับจ านวนนักศึกษาตามเกณฑ์ของสภาการพยาบาล ในอัตราส่วน อาจารย์นิเทศ:นักศึกษา ในรายวิชาของภาคปฏิบัติไม่เกิน 1:8 เพื่อให้สามารถติดตามนิเทศนักศึกษาได้อย่างทั่วถึง 5.3 มีการจัดการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติโดยเน้นการพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์หรือการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาสามารถวิเคราะห์และแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในการฝึกปฏิบัติงาน 5.4 เน้นย ้าให้นักศึกษาให้การพยาบาลโดยค านึงถึงสิทธิผู้ป่วย รวมถึงการให้การพยาบาลด้วยความมี คุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ 5.5 มีการด าเนินการตามแนวทางบริหารความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาล โดย ร่วมกับสถาบันการศึกษาและแหล่งฝึกที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 6. ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน (การเกิดอุบัติเหตุ ถูกผู้ป่วยท าร้าย หรือพฤติกรรมรุนแรงอื่นๆ) 6.1 เดินทางไปฝึกปฏิบัติงานโดยรถที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้ตามเวลาที่ก าหนด 6.2 จัดให้มีอาจารย์/บุคลาการร่วมเดินทางพร้อมกับนักศึกษา ในกรณีที่มีรถรับส่งจากสถาบัน 6.3 เน้นย ้าให้นักศึกษาประเมินผู้ป่วยก่อนให้การพยาบาลเพื่อวางแผนการให้การพยาบาลได้อย่าง เหมาะสม และเฝ้าระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้น 6.4 จัดให้มีอาจารย์นิเทศ หรืออาจารย์พี ่เลี้ยงแหล ่งฝึกติดตามนิเทศนักศึกษาอย ่างใกล้ชิดใน อัตราส่วน ไม่เกิน 1:8


12 ส่วนที่ 3 แนวปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงและอุบัติการณ์ 1. หลักการบริหารความเสี่ยง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ยึดหลักการบริหารความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของ นักศึกษาพยาบาล ดังนี้ 1. สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษา โดยสร้างความตระหนักและการเฝ้าระวัง ความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาลอย ่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับสิ ่งต่างๆที่มีแนวโน้มว่าอาจเกิดความ ผิดพลาด โดยทั้งอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา สามารถระบุความผิดพลาด เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นและจัดการกระท า เพื่อแก้ไขให้เกิดสิ่งที่ถูกต้อง 2. สนับสนุนอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ในการสร้างสภาพแวดล้อมการฝึกปฏิบัติงานที่ปลอดภัย โดย 2.1 มีการปฐมนิเทศเรื่องการป้องกันความเสี่ยงก่อนออกฝึกปฏิบัติทุกรายวิชา 2.2 มีการพบปะระหว่างผู้น าในองค์กร อาจารย์พยาบาล และนักศึกษาพยาบาล เพื่อหาประเด็นความเสี่ยง ที่เกิดขึ้น 2.3 มีการสื่อสารที่ส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษาพยาบาล เกี่ยวกับวิธีการพัฒนา ความปลอดภัยในการจัดบริการและฝึกปฏิบัติงาน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 2.4 จัดให้มีการสนทนาเกี่ยวกับประเด็นความปลอดภัยในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาโดยใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ก่อนเริ่มและหลังปฏิบัติงานเป็นประจ า เพื่อฝึกการรายงานอุบัติการณ์ วิธีการจัดการความปลอดภัย และสร้าง จริยธรรมในการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นกับนักศึกษาพยาบาล 2.5 ให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของความเห็นที่ได้รับ เพื่อให้อาจารย์และนักศึกษาพยาบาล เห็นประโยชน์ของการน าเสนอความเห็น 3. การน าบทเรียนที่ได้รับในแต่ละความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ไปใช้ในการจัดการความเสี่ยงอื่นๆอย่างสม ่าเสมอและ ต่อเนื่อง โดยการค้นหาความเสี่ยง ประเมินความรุนแรงและความถี่ของการเกิดความเสี่ยง การจัดการกับความเสี่ยง การป้องกันหรือควบคุมความเสียหายจากอุบัติการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และประเมินผลลัพธ์ของกิจกรรมการบริหารความ เสี่ยง 4. สนับสนุนการรายงานอุบัติการณ์การรายงานสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จ าเป็นสาหรับ การสร้างระบบการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาลที่ปลอดภัย ซึ่งท าได้โดย 4.1 สนับสนุนให้อาจารย์และนักศึกษาพยาบาลทุกคน รายงานปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ป่วย ขณะขึ้นฝึกปฏิบัติ 4.2 ติดตามและเทียบเคียงสถิติการเกิดอุบัติการณ์และวิธีการจัดการกับอุบัติการณ์ของมหาวิทยาลัย/กับ องค์กรอื่น รวมทั้งหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์


13 4.3 ตั้งเป้าหมายในการลดความรุนแรงของผลกระทบจากอุบัติการณ์และวางแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกัน การเกิดซ ้าในทุกอุบัติการณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ป่วย 5. สื่อสารและให้อาจารย์ นักศึกษาพยาบาล และแหล่งฝึกมีส่วนร่วมในระบบความปลอดภัย โดย 5.1 ปฐมนิเทศร่วมกับแหล่งฝึกก่อนเริ่มฝึกปฏิบัติงาน เพื่อเผยแพร่นโยบายและจัดอบรมแนวปฏิบัติในการ สื่อสารปัญหาและอุบัติการณ์ความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยขณะที่นักศึกษาพยาบาลขึ้นฝึกปฏิบัติ 5.2 ฝึกให้นักศึกษาพยาบาลได้เรียนรู้ในบทบาทของการให้ความรู้และสิทธิของผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับความ ปลอดภัยของการบริการ โดยกระตุ้นให้ผู้รับบริการด าเนินการตามแนวทาง “SPEAK UP” คือ Speak up พูดเมื่อสงสัย ไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่ได้รับและรู้สึกไม่ปลอดภัย โดยไม่ต้อง อายหรือกลัวที่จะพูด Pay attention การเอาใจใส่การดูแลที่ได้รับและให้แน่ใจว่าได้รับการรักษาพยาบาลและยาที่ถูกต้อง ตลอดจนเข้าใจ ผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงอื่น ที่อาจเกิดขึ้นได้ Education เรียนรู้โรคที่ได้รับการวินิจฉัย สอบถามหากไม่เข้าใจ อย่าคิดว่าการไม่ได้รับข่าวสารคือข่าวดี Ask การขอให้สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนที่ไว้วางใจเป็นผู้แทนในการดูแลสุขภาพ (Agency) Know รู้ว่าต้องได้รับยาอะไร เพราะเหตุใด ระบุยาที่แพ้ หากต้องได้รับสารละลายยาทางหลอดเลือด ให้ถาม ถึงระยะเวลาที่ควรได้รับ หากพบว่าเร็วหรือช้าเกินต้องแจ้งให้พยาบาล/บุคลากรที่เกี่ยวข้องทราบ Understand เข้าใจองค์กรที่ใช้บริการว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่และมีอุบัติการณ์ความผิดพลาดหรือความ ประมาทเกิดขึ้นบ่อยเพียงใด Participation มีส่วนร่วมในการตัดสินเกี ่ยวกับการรักษาที่ตนได้รับ และไม่ต้องกลัวที่จะขอความเห็นจากแพทย์ พยาบาล หากต้องการข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจและมั่นใจ 6. การทบทวนปัญหาและอุบัติการณ์โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากบทเรียนความปลอดภัย ค้นหาและเรียนรู้ อุบัติการณ์เกิดขึ้นอย่างไรและอะไรคือสาเหตุ แนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการความปลอดภัยของ ผู้ป่วยกับอาจารย์พยาบาล และนักศึกษาพยาบาล 7. น าแนวทางการแก้ไขปัญหาไปใช้ในการป้องกันการเกิดอันตรายต ่อผู้ป ่วย โดยออกแบบระบบที ่ช ่วยให้ อาจารย์ นักศึกษาพยาบาล ท าสิ่งที่ถูกต้องได้ง่ายขึ้น 2. แนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงระหว่างสถาบันการศึกษาและแหล่งฝึกภาคปฏิบัติ 1. สร้างความเข้าใจร่วมกันและพัฒนาแนวทางการบริหารความเสี่ยงร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาและ แหล่งฝึกปฏิบัติ โดยจัดให้มีการประชุมร่วมกันทุกปีการศึกษาและกรณีมีความเสี่ยงรุนแรง 2. เตรียมความพร้อมอาจารย์นิเทศเพื่อลดความเสี่ยงในการฝึกภาคปฏิบัติโดยให้อาจารย์ไปศึกษาดูงานในหอ ผู้ป่วยที่จะฝึกปฏิบัติก่อนขึ้นฝึกปฏิบัติ 3. เตรียมความพร้อมนักศึกษาก่อนการขึ้นฝึกปฏิบัติดังนี้


14 3.1 ปฐมนิเทศเกี่ยวกับรายวิชา กฎระเบียบ แนวปฏิบัติต่างๆของแหล่งฝึก ก่อนฝึกปฏิบัติงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ 3.2 ให้ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับ Patient safety ในทุกรายวิชา ความปลอดภัยของผู้ป่วย หมายถึงการลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภัยหรืออันตรายทื่ไม่ควรเกิดขึ้นจาก การบริการสุขภาพให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่สามารถยอมรับได้กล่าวคือ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้บนพื้นฐานของ ข้อมูลความรู้ ทรัพยากร และบริบทที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความเสี่ยงระหว่างการไม่ได้รับหรือได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ การสร้างความปลอดภัยของผู้ป่วยมีจุดเน้นที่ส าคัญคือ - การระบุตัวผู้ป่วยถูกต้อง (Accuracy of patient identification) - การใช้ยาที่ปลอดภัย (Safety of using Medication) - การลดอันตรายจากผลการเกิดพลัดตกหกล้ม (Reduced harm resulting Falls) - การลดการติดเชื้อจากการดูแลรักษา (Reduced Health care – acquired Infection) - การสื่อสารที่ถูกต้อง ชัดเจน (Improve effective Communication) และยึดหลัก patient safety goals ตามหลัก SIMPLE ประกอบด้วย S = Safe Surgery I = Infection Control M = Medication Safety P = Patient Care Process L = Line, Tube, Catheter E = Emergency Response 3.3 ให้นักศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยของการบริการ โดยกระตุ้นให้ผู้รับบริการด าเนินการตาม แนวทาง “SPEAK UP” (องค์กรความปลอดภัยผู้ป่วยแห่งสหราชอาณาจักร) เพื่อรักษาเอกสิทธิ์ (Autonomy) ของ ผู้รับบริการ 3.4 ให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการปฏิบัติตามหลัก C 3 THER ประกอบด้วย - Care คือ การดูแลอย่างเต็มความสามารถด้วยความระมัดระวัง - Communication คือ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ - Continuity คือ ความต่อเนื่องของการดูแลรักษาทั้งใน รพ.และเมื่อกลับไปบ้าน - Team คือ ความร่วมมือระหว่างวิชาชีพ - Human Resource Development คือ ความรู้และทักษะของทีมงานที่เพียงพอ - Environment & Equipment คือ สิ่งแวดล้อมและเครื่องมือที่ดีและพอเพียง - Record คือ ความสมบูรณ์ของการบันทึก 4. สร้างความตระหนักในการให้การพยาบาลโดยค านึงถึงบทบาทหน้าที่ ขอบเขตความรับผิดชอบ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพและสิทธิผู้ป่วย เช่น ห้ามถ่ายภาพขณะปฏิบัติงาน ไม่เปิดเผยความลับผู้ป่วย เป็นต้น


15 5. เน้นย ้าการสร้างสัมพันธภาพเชิงวิชาชีพและการติดต่อสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 6. กรณีที่นักศึกษาเกิดการเจ็บป่วย ให้แจ้งให้อาจารย์นิเทศ อาจารย์พี่เลี้ยง และแหล่งฝึกทราบก่อนล่วงหน้า 1 วัน หรือกรณีฉุกเฉินควรแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมง 7. มอบหมายผู้ป่วยกรณีศึกษาให้เหมาะสมกับความรู้ของสามารถของนักศึกษาและให้ดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง 8. เมื่อเกิดความเสี่ยง หรืออุบัติการณ์ ให้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติของแหล่งฝึก 9. มีการทบทวน/วิเคราะห์ความเสี่ยงร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาและแหล่งฝึกทุกปี เพื่อปรับปรุงแนว ทางการบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน 3. การจัดระดับความรุนแรงของความเสี่ยง การจัดระดับความรุนแรงของความเสี ่ยง แบ ่งเป็น 4 กลุ ่ม ตามเกณฑ์การจัดระดับความรุนแรง A-I ดังนี้ (The National Coordinating Council for Medication Error Reporting and Prevention: NCCMERP อ้างถึงใน มาลี ค าคง และ จีระภา นะแส, 2563) ดังนี้ ระดับความรุนแรง ผลกระทบ รุนแรงต ่ามาก หรือน้อยมาก A เหตุการณ์ที่มีโอกาสก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน เช่น มียาฉีดหมดอายุในตู้เก็บยา B เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นแต่ตรวจพบก่อนยังไม่ถึงผู้ป่วยและผู้อื่น เช่น หยิบยามาเตรียมฉีดแต่ตรวจซ ้าพบว่ายาหมดอายุ รุนแรงต ่า หรือน้อย C เกิดความคลาดเคลื่อนกับผู้ป่วยและผู้อื่นแต่ไม่ท าให้ได้รับอันตราย เช่น จัดให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวนอนบนเตียงที่ไม่มีราวกั้น เตียงและไม่มีญาติเฝ้า D เกิดความคลาดเคลื่อนกับผู้ป่วยและผู้อื่นและส่งผลให้เกิดการเฝ้าระวังเพื่อให้มั่นใจว่าไม่เกิดอันตรายขึ้น เช่น ผู้ป่วยตก เตียงต้องประเมินและสังเกตอาการทางสมอง รุนแรงปาน กลาง E เกิดความคลาดเคลื่อนกับผู้ป่วยและผู้อื่นที่ส่งผลให้ต้องรับการรักษาหรือได้รับการรักษาเพิ่มมากขึ้น หรือต้องรับการ รักษาในโรงพยาบาลนานขึ้นแต่ไม่เกิน 3 วัน หรือมีความกดดันทางจิตใจหรืออารมณ์ เช่น ผู้ป่วยตกเตียงแล้วเย็บแผลที่ ศีรษะหรือสังเกตอาการในโรงพยาบาล 1-3 วัน หรือต้องรักษาในโรงพยาบาลนานขึ้นจากจ านวนวันที่รักษาเดิม 1-3 วัน F เกิดความคลาดเคลื่อนกับผู้ป่วยและผู้อื่นที่ส่งผลให้ได้รับอันตรายชั่วคราว ต้องได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มมาก ขึ้นหรือนานขึ้นมากกว่า 3 วัน หรือมีความชอกช ้าทางด้านจิตใจหรืออารมณ์ เช่น ผู้ป่วยตกเตียงแล้วมีอาการทางสมอง ต้องอยู่โรงพยาบาลนานขึ้นจากจ านวนวันที่รักษาโรคเดิมมากกว่า 3 วัน รุนแรงสูงหรือ รุนแรงมาก G เกิดความคลาดเคลื่อนกับผู้ป่วยและผู้อื่นที่ส่งผลให้ได้รับอันตรายที่รุนแรงหรือเกิดความพิการอย่างถาวรหรือบาดเจ็บ หรือเจ็บปวดทางจิตใจและอารมณ์ เช่น ผ่าตัดขาผิดข้างท าให้สูญเสียขา H เกิดความคลาดเคลื่อนกับผู้ป่วยและผู้อื่นที่ส่งผลให้ได้รับอันตรายจนต้องรับการบัดรักษาเพื่อช่วยชีวิต (CPR) หรือพิการ หลายอย่างหรือพิการซ ้าซ้อน หรือเจ็บปวดทางจิตใจและอารมณ์ เช่น ฉีดยา Penicillin ให้ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ Penicillin ท าให้เกิด Anaphylaxis หัวใจหยุดเต้นต้อง CPR และผู้ป่วยรอดชีวิต I เกิดความคลาดเคลื่อนกับผู้ป่วยและผู้อื่นที่ส่งผลให้เสียชีวิตหรือการเสียชีวิตหลายคน หรือบาดเจ็บหรือเจ็บปวดทาง จิตใจและอารมณ์อย่างรุนแรง เช่น ฉีดยา penicillin ให้ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ penicillin ท าให้เกิดอาการ anaphylaxis และภาวะหัวใจหยุดเต้นต้อง CPR แต่ผู้ป่วยเสียชีวิต


16 4. แนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงในการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษา ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา นักศึกษา ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ นักศึกษา/อาจารย์นิเทศ/ ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ หัวหน้าเวร/อาจารย์พี่เลี้ยง นักศึกษา/อาจารย์นิเทศ/ ตามก าหนด หัวหน้าเวร/อาจารย์พี่เลี้ยง อาจารย์นิเทศ/ ภายใน 1 วัน หัวหน้าเวร/ อาจารย์พี่เลี้ยง ภายใน 3 วัน ภายใน 5 วัน ภายใน 30 วัน Feedback Feedback มีอุบัติการณ์ความผิดพลาดจากการฝึกปฏิบัติ รายงานอาจารย์นิเทศ/หัวหน้าเวร/อาจารย์พี่เลี้ยง แก้ไขเบื้องต้น แก้ไข/บันทึกรายงาน ระดับ A-D 30 วัน ระดับ E-F 15 วัน ระดับ G-I ทันที/1 วัน ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติ ของแหล่งฝึก อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชา ประธานสาขาวิชา รองคณบดีฝ่ายวิชาการ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร คณะกรรมการบริหารคณะ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร สรุป/วิเคราะห์/ ทบทวนเหตุการณ์ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร ก าหนดมาตรการ การป้องกันการเกิดอุบัติการณ์ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร


17 ภาคผนวก


18 รายการอุบัติการณ์/ความเสี่ยงในการดูแลผู้ป่วยของนักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ A=ความเสี่ยงด้านการบริหารยา B = ความเสี่ยงด้านสารน ้า/เลือด/ผลิตภัณฑ์จากเลือด C= ความเสี่ยงทางคลินิกอื่น ๆ ของผู้ใช้บริการ A01 ไม่ซักประวัติแพ้ยา B01 จัดสารน ้า/เตรียมสารน ้าที่แพทย์สั่งหยุดแล้ว C01 ผู้ใช้บริการในความดูแลเสียชีวิตกะทันหัน A02 จัดยา/เตรียมยาที่แพทย์สั่งหยุดแล้ว B02 จัดสารน ้า/เตรียมสารน ้าผิดคน C02 ผู้ใช้บริการเกิดพลัดตากหกล้ม A03 จัดยา/เตรียมยาผิดคน B03 จัดสารน ้า/เตรียมสารน ้าผิดชนิด C03 ผู้ใช้บริการเกิดแผลกดทับใหม่ A04 จัดยา/เตรียมยาผิดชนิด B04 จัดสารน ้า/เตรียมสารน ้าผิดขนาด C04 ผู้ใช้บริการเกิดการติดเชื้อที่เส้นเลือด A05 จัดยา/เตรียมยาผิดขนาด B05 จัดสารน ้า/เตรียมสารน ้าผิดเวลา C05 ผู้ใช้บริการเกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด A06 จัดยา/เตรียมยาผิดเวลา B06 จัดสารน ้า/เตรียมสารน ้าผิดทาง C06 ผู้ใช้บริการเกิดการติดเชื้อระบบทางเดิน ปัสสาวะ A07 จัดยา/เตรียมยาผิดทาง B07 จัดสารน ้า/เตรียมสารน ้าไม่ถูกหลัก sterile C07 ผู้ใช้บริการเกิดการเชื้อที่แผลผ่าตัด A08 จัดยา/เตรียมยาไม่ถูกหลัก sterile B08 ไม่มีการ double check C08 มารดาตกเลือดหลังคลอด A09 ไม่มีการ double check B09 คัดลอกค าสั่งสารน ้า ผิด C09 ทารกเสียชีวิตขณะคลอด A10 คัดลอกค าสั่งยาผิด B10 ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสารน ้าที่ให้ผู้ป่วย C10 ทารกเสียชีวิตหลังคลอด A11 ไม่มีความรู้เกี่ยวกับยาที่ให้ผู้ป่วย B11 ให้สารน ้าผิดคน (ระดับ............) 11 แผลฝีเย็บบวม/ติดเชื้อ A12 ให้ยาผิดคน (ระดับ............) B12 ให้สารน ้าผิดชนิด (ระดับ............) C12 มีการ NCPR ในทารก A13 ให้ยาผิดชนิด(ระดับ............) B13 ให้สารน ้าผิดขนาด (ระดับ...........) C13 birth asphyxia A14 ให้ยาผิดขนาด(ระดับ............) B14 ให้สารน ้าผิดเวลา (ระดับ............) C14 ระบุตัวผู้ใช้บริการผิดคน A15 ให้ยาผิดเวลา(ระดับ............) B15 ให้สารน ้าผิดทาง (ระดับ............) C15 มีการ CPR ในผู้ใช้บริการ A16 ให้ยาผิดทาง(ระดับ............) B16 ให้สารน ้าผิดวิธี (ระดับ............) C16 เป็นผู้ใช้บริการ re-admit ภายใน 7 วัน A17 ให้ยาผิดวิธี(ระดับ............) B17 ให้สารน ้าไม่ถูกหลัก sterile C17 ไม ่ได้ท า D-METHOD ในผู้ใช้บริการที่ จ าหน่ายกลับบ้าน A18 ให้ยาไม่ถูกหลัก sterile B18 ให้สารน ้าที่แพทย์สั่งหยุดยาแล้ว C18 เจาะเลือดผิดคน A19 ให้ยาที่แพทย์สั่งหยุดยาแล้ว B19 ไม่ติดตามหลังการให้สารน ้าที่มีความเสี่ยงสูง C19 เจาะเลือดไม่ได้ปริมาณตามมาตรฐาน A20 ไม่ติดตามผลหลังให้ยาที่มีความเสี่ยงสูง B20 ไม่บันทึกการให้สารน ้า C20 ไม่สามารถบอกค่าวิกฤติของผล lab ได้ A21 ไม่บันทึกการให้ยา B21 เตรียมเลือด/ส่วนประกอบของเลือดผิดชนิด C22 ท าหัตถการต่าง ๆ ผิดวิธี/ไม่ได้มาตรฐาน A22 ไม่ทดสอบยาที่จ าเป็นต้องมีการทดสอบ B22 เตรียมเลือด/ส่วนประกอบของเลือดผิดคน C23 กระท าการพยาบาลต่าง ๆ โดยละเมิดสิทธิ ผู้ใช้บริการ A23 ผู้ป่วยแพ้ยาจากการให้ยาของนักศึกษา B23 ให้เลือด/ส่วนประกอบของเลือดผิดชนิด C24 ผู้ใช้บริการได้รับอันตรายจากการผูกยึด A24 เกิดภาวะแทรกซ้อนบริเวณที่ให้ยา B24 ให้เลือด/ส่วนประกอบของเลือดผิดคน


19 A=ความเสี่ยงด้านการบริหารยา B = ความเสี่ยงด้านสารน ้า/เลือด/ผลิตภัณฑ์จากเลือด C= ความเสี่ยงทางคลินิกอื่น ๆ ของผู้ใช้บริการ B25 ให้เลือด/ส่วนประกอบของเลือดไม่ถูกต้องตาม มาตรฐานการให้เลือด B26 ให้เลือด/ส ่วนประกอบของเลือดไม ่ถูกหลัก sterile B27 ไม ่ซักประวัติการแพ้เลือด/ส ่วนประกอบของ เลือด B28 ผู้ป่วยแพ้เลือด/ส่วนประกอบของเลือดที่ให้โดย นักศึกษา B29 ผู้ป ่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการให้เลือด/ ส่วนประกอบของเลือด D = ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาและอาจารย์ D01 ไม่ใช้เครื่องป้องกันตามมาตรฐานขณะท าหัตถการต่าง ๆ D02 ถูกเข็มต า/ของมีคมต า D03 ถูกสารคัดหลั่งกระเด็นเข้าอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย D04 ถูกผู้ใช้บริการคุกคามหรือก้าวร้าว D05 ถูกญาติคุกคามหรือก้าวร้าวใส่ D06 หกล้มขณะปฏิบัติงาน D07 เกิดอุบัติเหตุจากการจราจร D08 ถูกท าร้ายร่างกายจากบุคคลอื่นๆ D09 ถูกท าร้ายจิตใจจากทีมสุขภาพ D10 เป็นลมหมดสติขณะฝึกปฏิบัติงาน D11 มาฝึกปฏิบัติงานไม่ตรงเวลา D12 ไม่มาฝึกปฏิบัติงาน D13 ดูแลผู้ป่วยไม่ต่อเนื่อง D14 มีสัมพันธภาพที่ไม่เหมาะสมกับผู้รับบริการ D15อื่นๆ ระบุ................................................................................................................................


20 แบบบันทึกรายงานอุบัติการณ์(Incident report) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ สถานที่เกิดเหตุ………………………………………………….…………..…. สาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง …………………………..……………… เหตุเกิดกับ [ ] อาจารย์ [ ] เจ้าหน้าที่ [ ] นักศึกษา [ ] ประชาชน [ ] อื่นๆ ……………….. ชื่อ-นามสกุล…….........................................................รหัสประจ าตัว..................................ชั้นปี............. ชื่ออาจารย์นิเทศ/อาจารย์คลินิก/หัวหน้าเวร.........................................................วิชา.................................................... วันที่เกิดเหตุการณ์.............................................เวลา.................................... ความเสี่ยง/อุบัติการณ์ที่พบ ด้านความเสี่ยง กิจกรรมความเสี่ยง ระดับความรุนแรง A B C D E F G H I การประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น ผู้รับบริการ ภาพลักษณ์สถาบัน จริยธรรม/จรรยาบรรณวิชาชีพ คุณภาพการฝึกปฏิบัติ ผู้ให้บริการ สรุปเหตุการณ์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


21 การแก้ไข/การจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น/ผลการแก้ไข ……………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อผู้รายงาน................................................................ (...............................................................) ต าแหน่ง………………………………………………………….…….. วันที่รายงาน............................................เวลา................. ความคิดเห็นของอาจารย์นิเทศ/หัวหน้าเวร/อาจารย์พี่เลี้ยงแหล่งฝึก (Preceptor) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………… ความคิดเห็นของผู้รับผิดชอบรายวิชา ……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………… ลงชื่อ........................................................ (...............................................................) วันที่..................................เวลา................... ลงชื่อ........................................................ (...............................................................) วันที่..................................เวลา...................


22 ความคิดเห็นของประธานสาขา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… …………………………………………………………………………………………………………………...……………………………………………….. ความคิดเห็นของรองคณบดีฝ่ายวิชาการ/อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ……………………………………………………………………………….……………………………………………….…………………………………… ความคิดเห็นของคณบดี …………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………… ….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……… ………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………. ลงชื่อ........................................................ (...............................................................) วันที่..................................เวลา................... ลงชื่อ........................................................ (...............................................................) วันที่..................................เวลา................... ลงชื่อ........................................................ (...............................................................) วันที่..................................เวลา...................


Click to View FlipBook Version