The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by patcharee01k, 2022-12-29 11:38:09

เล่มที่ 4

เล่มที่ 4

เอกสารประกอบการเรยี น

ประกอบการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน (PjBL)
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

รายวิชาชวี วิทยา 3 รหสั วิชา ว30248 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เร่ือง การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง

เล่มท่ี 4 : การเพม่ิ ความเขม้ ข้นของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน
ตำแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ

โรงเรยี นเบ็ตตด้ี ูเมน 2 ช่องเมก็ อำเภอสริ ินธร จงั หวัดอบุ ลราชธานี
สังกัดองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั อบุ ลราชธานี




เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

คำนำ

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาชวี วิทยา 3 รหัสวชิ า ว30248 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
เร่อื ง การสงั เคราะหด์ ้วยแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบดว้ ยเอกสาร
ประกอบการเรียนทัง้ หมด 5 เล่ม ผู้สอนจัดทำข้นึ เพือ่ ให้ผเู้ รยี นใช้ประกอบกิจกรรมการเรยี นการสอน
และสามารถเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง หรือนำไปใชใ้ นการเรยี นการสอนซ่อมเสริมได้ หรอื ใช้ในการสอนแทน
ไดเ้ ป็นอย่างดี เพ่ือให้ผ้เู รยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจในเรอ่ื งกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง อย่างคงทน
และนำผลไปสกู่ ารยกระดับผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นได้ดยี ิ่งขึ้น

ภายในเล่มประกอบด้วย คำชี้แจงในการใช้เอกสารประกอบการเรียนสำหรับครู
คำชี้แจงในการใช้เอกสารประกอบการเรียนสำหรับนักเรียน แผนภูมิลำดับขั้นการใช้เอกสาร
ประกอบการเรียน มาตรฐานการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้ แบบฝึกหัด ใบงาน
แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบฝึกหัด เฉลยใบงาน เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
นักเรียนจงึ สามารถใช้เอกสารประกอบการเรียน เล่มนไี้ ด้ดว้ ยตนเอง ซึง่ กอ่ นใช้นกั เรยี นจะต้องศึกษา
คำชี้แจงการใช้ให้เข้าใจ หากมีข้อสงสัยให้สอบถามครูผู้สอนจนเกิดความเข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ
กจิ กรรมเพ่ือให้เกดิ ประสิทธภิ าพสงู สุด

ผูจ้ ดั ทำหวังเปน็ อย่างยิง่ ว่าเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง กระบวนการสังเคราะห์ด้วย
แสง นี้จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้เป็นอย่างดี
และมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นสงู ข้นึ สามารถใชเ้ พอื่ ศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง เปน็ สือ่ ท่ีมปี ระสิทธิภาพ
สามารถอำนวยประโยชนต์ อ่ การเรยี นการสอนให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ของหลักสูตรได้

บุญล้อม แก้วดอน

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน




เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

สารบญั

เรือ่ ง หน้า

คำนำ ก
สารบญั ข
คำช้แี จงเกี่ยวกับเอกสารระกอบการเรยี น ค
คำแนะนำในการใช้เอกสารประกอบการเรียนสำหรบั ครู ง
คำแนะนำในการใช้เอกสารประกอบการเรียนสำหรับนักเรยี น จ
แผนภมู ลิ ำดบั ขัน้ การใช้เอกสารประกอบการเรียน ฉ
สาระการเรียนร้แู ละผลการเรียนรู้ 1
ใบความรู้ เร่ือง การเพิ่มความเขม้ ของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 3
ใบงาน เรือ่ ง การเพ่มิ ความเข้มของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 19
แบบฝึกหัด เร่อื ง การเพ่ิมความเข้มของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ 20
แบบทดสอบยอ่ ยหลังเรยี น เรือ่ ง การเพมิ่ ความเข้มของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ 22
กระดาษคำตอบแบบทดสอบยอ่ ยหลงั เรียน 26
บรรณานุกรม 27

ภาคผนวก 28
เฉลยใบงาน เรื่อง การเพม่ิ ความเขม้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ 29
เฉลยแบบฝึกหัด เรอ่ื ง การเพิ่มความเข้มของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 31
เฉลยแบบทดสอบยอ่ ยหลงั เรยี น เรือ่ ง การเพม่ิ ความเข้มของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 33

ประวัตยิ อ่ เจ้าของผลงาน 34

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน




เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

คำช้แี จงเก่ียวกบั เอกสารประกอบการเรียน

1. เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง รายวิชาชีววิทยา 3 รหัสวิชา

ว30248 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ประกอบด้วยเอกสารประกอบการเรียน ทั้งหมด 5 เลม่ ดงั น้ี

เลม่ ที่ 1 การศกึ ษาท่เี กย่ี วกับการสังเคราะห์ดว้ ยแสง เวลา 4 ชั่วโมง

เลม่ ท่ี 2 กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืช เวลา 4 ชวั่ โมง

เลม่ ท่ี 3 โฟโตเรสไพเรชัน เวลา 4 ชว่ั โมง

เลม่ ที่ 4 การเพิม่ ความเขม้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ เวลา 4 ชว่ั โมง

เลม่ ท่ี 5 ปจั จยั บางประการทมี่ ผี ลตอ่ การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง เวลา 4 ชัว่ โมง

2. เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ รายวิชาชีววิทยา 3

รหัสวชิ า ว30248 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ประกอบด้วย

- คำชแ้ี จงเกย่ี วกับเอกสารประกอบการเรยี น

- คำแนะนำสำหรับครู

- คำแนะนำสำหรับนกั เรยี น

- หน่วยการเรยี นรู้ / สาระการเรยี นรู้ / ผลการเรยี นรู้

- จุดประสงค์การเรียนรู้ / สาระสำคัญ

- ใบความรู้ / ใบงาน / แบบฝกึ หดั

- แบบทดสอบยอ่ ยหลังเรียน

- เฉลยใบงาน / แบบฝกึ หัด

- เฉลยแบบทดสอบยอ่ ยหลงั เรียน

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน




เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

คำแนะนำในการใช้เอกสารประกอบการเรียนสำหรับครู

เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง รายวิชาชีววิทยา 3
รหัสวิชา ว30248 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ครูผู้สอนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการจัดการ
เรียนรขู้ องนกั เรียนใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์ ครูผู้สอนควรปฏิบัติ ดงั นี้

1. จัดเตรยี มเอกสารประกอบการเรยี นใหพ้ รอ้ มและเพียงพอสำหรบั นักเรียน
2. ให้นกั เรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เพือ่ ประเมินความรูเ้ ดิมของนกั เรียน
3. แจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรูส้ ตู่ ัวช้ีวดั ให้นักเรียนทราบ
4. แจกเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ ให้นักเรียน
ศึกษาและแนะนำวธิ ีใช้เอกสารประกอบการเรยี นเพื่อนกั เรียนจะได้ปฏิบตั ไิ ด้อย่างถูกต้อง
5. ดำเนนิ การสอนตามกิจกรรมการเรยี นรูท้ ีก่ ำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้
6. หากมีนักเรยี นบางคนเรียนไม่ทัน ครคู วรให้คำแนะนำ หรืออาจมอบหมายงาน
หรอื เอกสารให้ศึกษาเพมิ่ เตมิ ในเวลาว่าง
7. หลังจากนักเรียนศึกษาเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง ความหลากหลายทาง
ชวี ภาพ เรียบรอ้ ยแล้ว ครูและนกั เรียนควรชว่ ยกันสรุป พร้อมทงั้ ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดและทำ
แบบทดสอบหลังเรยี น
8. ครูเฉลยแบบฝึกหัด แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน และบันทึกคะแนนของ
นกั เรยี นแตล่ ะคนไว้ เพอ่ื ประเมนิ การพัฒนาและความก้าวหน้า หากมนี กั เรียนไมผ่ ่านเกณฑค์ รูควร
จดั สอนซ่อมเสรมิ
9. ครสู งั เกตความต้ังใจของนักเรียน ความสนใจในการเรยี น การทำงานร่วมกันเป็น
กลุม่ ของนกั เรยี นทกุ กล่มุ อย่างใกลช้ ดิ ถา้ กลุ่มใดมปี ัญหาครทู ำหน้าทใี่ ห้คำแนะนำ
10.การตรวจนับคะแนนแบบทดสอบหลังเรียน ตอบถูกได้คะแนนข้อละ 1 คะแนน
โดยใชเ้ กณฑ์การผ่านร้อยละ 80 ถ้านกั เรียนทำคะแนนได้น้อยกวา่ ร้อยละ 80 ควรจดั ให้มีการสอน
ซอ่ มเสริม

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน




เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

คำแนะนำในการใช้เอกสารประกอบการเรยี นสำหรบั นกั เรยี น

ในการศกึ ษาเอกสารประกอบการเรยี น เรอ่ื ง กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง รายวิชา
ชีววิทยา 3 รหัสวิชา ว30248 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่มที่ 4 เรื่อง การเพิ่มความเข้มของแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ นักเรยี นควรปฏบิ ตั ติ ามคำแนะนำ ดังนี้

1. อ่านคำชี้แจงเกยี่ วกับเอกสารประกอบการเรยี นและคำแนะนำสำหรับนักเรียนให้
เข้าใจก่อนที่จะลงมือศึกษาเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การเพิ่มความเข้มของแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์

2. นกั เรยี นศกึ ษาสาระ/มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระสำคัญ จุดประสงค์
การเรยี นรขู้ องเรอ่ื งท่ีเรียนใหเ้ ขา้ ใจ

3. ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนจากใบความรู้ที่ครูจัดเตรียมไว้ด้วยความตั้งใจ
โดยปฏิบัติตามข้ันตอนท่กี ำหนดไวใ้ นกรอบคำสั่ง

4. เมื่อนักเรียนศึกษาสาระการเรียนรู้เสรจ็ เรียบร้อย ให้นักเรียนทำแบบฝึกหดั ท่คี รู
จัดเตรียมไว้ หากนักเรียนไม่เข้าใจสาระการเรียนรู้ใดให้กลับไปศึกษาอีกครั้ง และให้นักเรียน
ปฏบิ ตั ิตามขั้นตอนเพ่ือให้เกดิ ความเข้าใจมากย่ิงข้ึน

5. ทำแบบทดสอบย่อยหลังเรียน เพื่อเปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนของ
นกั เรียน

6. นักเรียนศึกษาและทำกิจกรรมร่วมกับครูหรือร่วมกับกลุ่มตามที่กำหนดไว้ใน
แบบฝึกหัดและใบงาน

7. นักเรียนควรมีความซื่อสัตย์และวินัยในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ใน
เอกสารประกอบการเรียน

8. ในการทำแบบฝึกหัด แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนให้นักเรียนทำด้วย
ความตั้งใจและมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองให้มากที่สุด โดยไม่ดูเฉลยก่อนทำแบบฝึกหัดและ
แบบทดสอบ

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน




เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

แผนภมู ลิ ำดับขน้ั การใช้เอกสารประกอบการเรียน

อ่านคำช้ีแจงและคำแนะนำในการใช้เอกสารประกอบการเรยี น

ศึกษาจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้สตู่ ัวชวี้ ัด เสริมพื้นฐาน
ทดสอบกอ่ นเรยี น ผมู้ พี น้ื ฐาน

ศกึ ษาบทเรยี นและฝกึ ปฏิบตั ติ ามข้นั ตอน ตำ่

ประเมินผลการทำเอกสารประกอบการเรียน

ไม่ผ่าน ทดสอบหลังเรยี น
การทดสอบ ผา่ นการทดสอบ

c[ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนเรอ่ื งตอ่ ไป

เล่มท่ี 4 การเพม่ิ ความเขม้ ของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


1

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

เล่มที่ 4 การเพ่ิมความเข้มของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์

สาระการเรียนรู้และผลการเรยี นรู้

สาระชีววิทยา

3. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของ
พืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุข์ องพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช
รวมท้งั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ผลการเรยี นรู้

4. สืบค้นข้อมูล อภิปรายและสรุปปัจจัยความเข้มของแสง ความเข้มข้นของ
คารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละอณุ หภมู ิ ท่ีมีผลต่อการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพชื

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


2

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. สืบค้นข้อมูล และอธิบายกลไกในการเพิ่มความเข้มข้นของ CO2 ของพืช C4 และพืช
CAM (K)

2. วิเคราะห์ อธิบายและเปรียบเทียบกลไกการตรึงคาร์บอนในพืช C3 พืช C4 และพืช CAM
(P)

3. สามารถสร้างนวัตกรรมที่ใช้ในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนด้วยกิจกรรมการ
เรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานไปสู่การปฏิบัติจริง พัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และทักษะใน
ศตรวรรษท่ี 21 ได้ (P)

4. รับผิดชอบต่อหนา้ ท่ีและงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย (A)

สาระสำคัญ

ความเข้มแสง ความเข้มข้นของ CO2 อุณหภูมิ ปริมาณน้ำา และธาตุอาหาร เป็นปัจจัยที่มี
ผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ซึ่งเมื่อพืชได้รับปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อย่างเหมาะสมจะ
ส่งผลใหม้ ีการเจรญิ เติบโตไดด้ ี

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


3

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

ใบความรู้ท่ี 4
เร่อื ง การเพม่ิ ความเขม้ ของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

การเพ่ิมความเขม้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

พืชบางชนิดที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งจะมีใบที่มีการลดรูปให้มีขนาดเล็กลงเพื่อลด
การสญู เสยี นำ้ ซ่งึ เปน็ ววิ ฒั นาการของพชื ที่มีการปรับตัวทางกายภาพ ในทางเมแทบอลิซึมพืชก็มีการ
ปรบั ตัวตอ่ สภาพแวดลอ้ มท่ีร้อนหรอื แหง้ แล้งเพ่ือคงประสิทธภิ าพในการตรงึ CO2 ไว้เชน่ กันโดยพบวา่
มพี ชื บางชนิดซ่งึ อยใู่ นสภาพแวดล้อมทรี่ ้อนหรอื แหง้ แลง้ แต่ไม่เกดิ โฟโตเรสไพเรชนั หรือเกิดในอัตราที่
น้อยมาก เนื่องจากพืชเหล่านัน้ มีกลไกในการเพิ่มความเขม้ ข้นของ CO2 ซึ่งทำให้อัตราส่วนของ CO2
ต่อ O2 เพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้รูบสิ โกสามารถตรึง CO2 ได้เร็วกว่า O2 มากหรืออาจไม่มีการตรงี O2
เกิดขน้ึ กลไกในการเพ่ิมความเข้มขันของ CO2 ดังกล่าวนี้สามารถพบได้ในพืช C4 และพชื CAM

4.1 การตรึงคารบ์ อนในพชื C4
พืชบางชนิดที่มักพบในเขตร้อน เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง อ้อย หญ้าแพรก บานไม่รู้โรย

จะตรึงคารบ์ อนไดส้ ารประกอบคาร์บอนชนิดแรกท่ีเสถยี รซึ่งมีคารบ์ อน 4 อะตอม จึงเรียกพืชในกลุ่ม
นี้ว่า พืช C4 โดยเมื่อศึกษาโครงสร้างภายในของใบพืช C3 และพืช C4 จะพบว่ามีลักษณะ
ที่แตกต่างกัน ดงั รปู 4.2

จะเห็นว่าใบพืช C3 มีเซลล์ในมีซฟิลล์ 2 ชนิด คือ แพลิเซดมีโซฟิลล์และสปองจีมีโซ
ฟิลล์ โดยพืช C3 อาจมีหรือไม่มีเซลล์บันเดิลชีทก็ได้ และมักไม่พบคลอโรพลาสต์ในเซลล์บันเดิลชีท
เมือ่ สงั เกตด้วยกล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สงเชิงประกอบ ส่วนใบพืช C4 พบว่ามีโซฟิลลป์ ระกอบด้วยเซลล์ท่ี
มีลักษณะคล้ายกัน และเห็นคลอโรพลาสต์ในเซลล์บันเดิลได้ชัดเจน ลักษณะโครงสร้างที่แตกต่างกัน
ระหว่างใบพชื C3 และพชื C4 นี้

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


4

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

รูปท่ี 4.1 โครงสรา้ งภายในของใบพืชตดั ตามขวาง
ก. โครงสร้างภายในของใบพืช C3 ข. โครงสร้างภายในของใบพืช C4
ท่มี า : หนังสือเรียนรายวชิ าเพ่มิ เติมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 3 (หนา้ 158)
สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ

พืช C4 มีการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ประกอบด้วยปฏิกิริยาแสงและการตรึงคาร์บอน
เช่นเดียวกับพืช C3 โดยพบว่าปฏิกิริยาแสงในพืช C3 และพืช C4 นั้นไม่แตกต่างกัน แต่การตรึง
คาร์บอนของพืช C4 มีกลไกที่แตกต่างจากพืช C3 โดยพืช C4 จะมีการตรึงคาร์บอน 2 ครั้ง โดยครั้ง
แรกจะเป็นการตรึงคาร์บอนในรูปของไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน (HCO3) ส่วนครั้งที่สองจะเป็น
การตรงึ คารบ์ อนในรูปของ CO2 ซ่ึงการตรึงแต่ละครงั้ จะเกิดขึ้นทีเ่ ซลลต์ ่างชนดิ กนั ดงั รูปที่ 4.2

การตรีงคาร์บอนครั้งที่หนึ่ง เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึมของเซลล์มีโซฟิลล์โดยจะตรึง (HCO-3)
ด้วย PEP (phosphoenolpyruvate) ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 3 อะตอม โดยมีเอนไซม์ PEP
carboxylase เร่งการเกิดปฏิกิริยา ได้เป็น OAA (oxaloacetic acid) ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน
4 อะตอม จากนั้น OAA จะถูกเปลี่ยนเป็นสารอินทรีย์ที่มีคาร์บอน 4 อะตอม เช่น กรดมาลิก
(malic acid) แลว้ ลำเลียงผ่านพลาสโมเดสมาตาไปยงั เซลลบ์ นั เดลิ ชที ท่อี ยตู่ ิดกัน

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


5

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

การตรึงคาร์บอนครั้งที่สอง เกิดขึ้นที่เซลล์บันเดิลชีท โดยกรดมาลิกที่ลำเลียงจากเซลล์
มโี ซฟลิ ลม์ ายังเซลลบ์ ันเดลิ ชีทจะถูกสลายเป็นกรดไพรูวิก และ CO, โดย CO, นีจ้ ะถกู นำเข้าสู่วัฎจักร
คัลวินในคลอโรพลาสต์ของเซลล์บันเดิลชีท ส่วนกรดไพรูวิกจะถูกลำเลียงกลับไปยังเซลล์มีโซฟิลล์
และเปลยี่ นกลับเปน็ PEP โดยใช้พลงั งานจาก ATP

กระบวนการดังกล่าวน้ที ำใหเ้ ซลล์บันเดลิ ชีทของพืช C. มีปริมาณ CO2 เพมิ่ สงู กวา่ ในเซลล์มี
โซฟลิ ลม์ าก และในเซลลบ์ นั เดลิ ชีทของพืช C. จะมรี ูบสิ โกในขณะทเ่ี ซลลม์ ีโซฟลิ ล์ไม่มีเอนไซม์นี้จึงทำ
ให้รูบิสโกในพืช C, มีโอกาสน้อยมากที่จะทำปฎิกิริยากับ 02 ทำให้เกิดโฟโตเรสไพเรซันน้อยหรือไม่
เกดิ ขนึ้ จึงชว่ ยป้องกนั การสญู เสียคารบ์ อนอะตอมทเี่ กิดจากโฟโตเรสไพเรชนั ได้

รปู ท่ี 4.2 การตรงึ คารบ์ อนในพชื C4
ทม่ี า : หนังสือเรยี นรายวชิ าเพ่มิ เติมวิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 3 (หน้า 159)

สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


6

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

4.2 การตรึงคารบ์ อนในพืช CAM
ในกลมุ่ พืชอวบน้ำทีพ่ บในสภาพแวดลอ้ มที่แหง้ แล้งหรอื ในทะเลทราย ช่วงเวลากลางวัน

จะมีอุณหภูมิสูงและความชื้นต่ำซึ่งเป็นภาวะที่พืชสูญเสียน้ำได้ง่าย พืชในกลุ่มนี้จะลดรูปของใบให้มี
ขนาดเล็กลงเพื่อลดพื้นที่ของการเสียน้ำจากการคายน้ำ รวมทั้งปิดรูปากใบในเวลากลางวันเพื่อลด
การคายน้ำ ส่งผลให้ CO ไม่สามาถเพร่เข้ามาภายในเซลล์ได้ การที่พืชเหล่านี้ปิดปากใบในเวลา
กลางวนั

การตรึงคาร์บอนของพืชกลุ่มนี้เกิดขึ้น 2 ครั้ง เช่นเดียวกับพืช C3 แต่ต่างกันตรงที่การ
ตรงึ คารบ์ อนทงั้ สองครง้ั เกิดขน้ึ ในเซลลเ์ ดียวกนั แต่เกิดตา่ งช่วงเวลา ดงั รูปท่ี 4.3

รปู ท่ี 4.3 การตรงี คาร์บอนในพืช CAM
ทม่ี า : หนังสือเรยี นรายวชิ าเพมิ่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ ชีววิทยา เล่ม 3 (หน้า 160)

สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


7

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

ในเวลากลางคนื ซึ่งมีอุณหภมู ิต่ำลงและความช้ืนสงู ขึ้นพืชกลุ่มนีเ้ ปิดรูปากใบเพื่อตรึง
คาร์บอนที่อยู่ในรูปของ HCO3 โดยใช้เอนไซม์ PEP carboxylase ในเซลล์มีโซฟิลล์ โดย HCOS
จะทำปฏกิ ิรยิ ากับ PEP ได้เป็น OAA ซง่ึ จะถกู เปล่ยี นเป็นกรดมาลิกและเก็บสะสมไวใ้ นแวคิวโอล

ในเวลากลางวัน รูปากใบจะปิดเพื่อลดการสูญเสียน้ำพืชจะมีปฏิกิริยาแสง กรดมาลิก
จะถูกลำเลียงออกจากแวคิวโอล สลายเป็นกรดไพรูวิกและ CO2 โดย CO2 จะถูกนำเข้าสู่วัฏจักร
คลั วนิ ในคลอโรพลาสต์ซ่ึงอย่ใู นเซลล์เดียวกนั สว่ นกรดไพรูวิกจะถกู เปลี่ยนกลบั เปน็ PEP อีกครง้ั

การที่รูปากใบปิดและเกิดการสลายของกรดมาลิกในเวลากลางวัน จึงไม่มีการปล่อย
CO2 ออกนอกเซลล์ ทำให้ความเข้มข้นของ CO2 ภายในเซลล์สูง โฟโตเรสไพเรชันจึงเกิดขึ้นได้
นอ้ ยมาก กลไกดงั กล่าวนพี้ บคร้งั แรกในพชื วงศ์กุหลาบหิน (Crassulaceae) จงึ เรยี กพชื กลมุ่ น้ีว่าพืชซี
เอเอ็ม (Crassulacean acid metabolism; CAM) แต่ในปัจจุบันพบในพืชวงศ์อื่นอีก เช่น
กระบองเพชร กล้วยไม้ ศรนารายณ์ ลิ้นมังกร วา่ นหางจระเข้ เป็นตน้ นอกจากนี้ยังพบว่าพืชบางชนิด
เช่น สับปะรด ซึ่งในภาวะปกติจะตรึงคาร์บอนแบบพืช C3 แต่หากอยู่ในภาวะขาดน้ำ สับปะรด
สามารถตรึงคารบ์ อน แบบพชื CAM ไดเ้ ช่นกนั

เชื่อมโยงกบั การลำเลยี งของพชื
หากพิจารณาการดำรงชีวิตของพืช C3 พืช C4 และพืช CAM พืชกลุ่มใดน่าจะมีการ
สูญเสยี นำ้ จากการคายนำ้ นอ้ ยท่สี ดุ เพราะเหตุใด
พืช CAM มีประสิทธิภาพในการใช้น้ำได้ดีที่สุด เพราะพืช CAM จะปิดรูปากใบในเวลา
กลางวันเพอื่ ลดการสญู เสยี น้ำ โดยเม่ือเปรยี บเทียบการสูญเสียน้ำของพืชต่อ 1 กรัมของ CO2 ทไี่ ด้รับ
พืช CAM จะสูญเสียน้ำเพียง 50-100 กรัม ส่วนพืช C4 จะสูญเสียน้ำ 250-300 กรัม และพืช C3
จะสญู เสียน้ำ 400-500 กรมั จะเห็นไดว้ ่าพชื CAM จงึ สามารถอย่รู อดได้ในสภาพแวดลอ้ มทแ่ี ห้งแลง้

4.3 กลไกการเพม่ิ ความเขม้ ข้นของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นพชื C4
พืชแตล่ ะชนิดมปี ระสิทธิภาพในการตรึง CO2 ไม่เท่ากนั พืชที่มีการตรงึ CO2 ในวัฎจักร

คัลวิน แล้วได้สารประกอบคาร์บอนที่เสถียรชนิดแรกเป็นสารท่มี ีคารบ์ อน 3 อะตอม เรียกว่า พืช C3
ตอ่ มามกี ารศกึ ษา พบวา่ พืชบางชนิดสามารถสรา้ งสารประกอบคารบ์ อนทีเ่ สถยี รชนิดแรกเป็นสารที่มี
คารบ์ อน 4 อะตอมดว้ ยกลไกท่ีนอกเหนือไปจากวฎั จกั รดัลวนิ เรียกพืชกลุ่มนวี้ า่ พืช C4

4.3.1 โครงสร้างของใบพชื C3 และใบพืช C4
พืชสว่ นใหญ่เปน็ พืช C3 เช่น ขา้ วเจา้ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถ่วั พืชทัว่ ๆ ไป สว่ นพชื C4
มักพบในเขตร้อนหรือกึ่งร้อนซึ่งมีประมาณ 1,500 ชนิด เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง หญ้าแพรก
บานไม่รู้โรย ออ้ ย ผกั โขมจีน

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


8

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

รูปที่ 4.4 ใบพืชตัดตามขวางเปรยี บเทียบระหวา่ งพชื C3 และพืช C4
ทมี่ า : คลงั ภาพ อจท.

ใบพืช C3 และใบพืช C4 มีโดรงสร้างภายในที่แตกต่างกัน โดยโครงสร้างของใบพืช C3
จะมีเซลลใ์ นชั้นมีโซฟิลล์ 2 ชนิด คือ แพลิเซดมีโซฟิลล์ (palisade mesophyll) และสปันจ่ีมโี ซฟิลล์
(spongy mesophy!l) และจะพบคลอโรพลาสตภ์ ายในมีโซฟิลลท์ ัง้ 2 ชนิดอย่างชัดเจน และบันเดลิ
ชีท (bundle sheath) อาจมีหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งหากมีบันเดิลชีทมักไม่พบคลอโรพลาสต์ไนบันเดิลชีท
ส่วนโครงสร้างของใบพืช C พบว่า มีเซลล์มีโซฟิลล์อยู่ติดกับบันเดิลซีท มีพลาสโมเดสมาตา (plas-
modesmata) เชื่อมระหว่างเซลล์ทั้งสองชนิด นอกจากนี้ยังพบคลอโรพลาสต์ในเซลล์มีโซฟิลล์
และบนั เดิลชีทอย่างชดั เจน

4.3.2 วัฎจักรคาร์บอนของพชื C4
จากการศึกษาพบว่า ปฏิกิริยาแสงที่พบในพืชทั่วไปทั้งในพืช C3 และพืช C4 จะไม่
แตกต่างกันในขณะที่การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชทั้ง 2 ชนิดจะแตกต่างกัน กล่าวคือ
สารเสถียรชนิดแรกทีเ่ กิดจากการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นพชื C3 และพืช C4 เป็นคนละชนดิ กนั
เซลล์ที่ทำหน้าที่ในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช C มี 2 ชนิด คือ เซลล์บันเดิลชีท
และเซลล์มีโซฟิลล์ ซึ่งเซลล์บันเดิลชีทจะเรียงตัวกันหนาแน่นรอบเส้นใบและถัดออกมาจะเป็นเซลล์
มโี ซฟิลล์
วัฏจักรคาร์บอนของพืช C เกิดขึ้นในเซลล์บันเดิลชีท คาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้าสู่
วัฏจักรนั้นได้มาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของสารอินทรีย์ในเซลล์มีโซฟิลล์ ดังนั้น
จงึ กลา่ วไดว้ า่ ในพชื C มีการตรึงดาร์บอนไดออกไซด์ 2 ครัง้ คอื คร้งั แรกในเซลล์มโี ซฟิลล์ และครั้งที่
สองในเซลลบ์ ันเดิลชีท

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


9

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

รปู ที่ 4.5 แผนภาพวฏั จักรคารบ์ อนของพชื C4
ที่มา : คลงั ภาพ อจท.

ครั้งแรก เกิดขึ้นในเซลล์มีโซฟิลล์ เริ่มจากคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศรวมตัว
กับฟอสโฟอีนอลไพรูเวต (phosphoenolpyruvate) หรือกรดฟอสโฟอีนอลไพรูวิก
(phosphoenolpyruvic acid; PEP) ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 3 ะตอมในเซลล์มีโซฟิลล์ โดยอาศัย
เอนไซม์ฟอสโฟอีนอลไพรูเวตดาร์บอกซิเลส (phosphoenolpyruvate carbox ylase) เกิดเป็น
สารประกอบที่มีคารบ์ อน 4 อะตอม ที่เรียกว่า ออกซาโลแอซีเทต (oxaloacetate) หรือกรดออก-
ซาโลแอซีติก (oxaloacetic acid; OAA) ซ่ึงเป็นสารเสถียรชนิดแรกที่ได้จากการตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้น OAA จะถูกเปลี่ยนเป็นมาเลต (malate) หรือกรดมาลิก (malic acid)
แล้วถูกส่งออกจากเซลล์มีโซฟิลล์ไปยังเซลล์บันเดิลชีทผ่านทางพลาสโมเดสมาตา
(plasmodesmata)

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


10

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในเซลล์บันเดิลชีท โมเลกุลของมาเลตจะถูกสลายได้เป็นไพรูเวต
และคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกตรึงโดยการรวมตัวกับไรบูโลส 1,5
บสิ ฟอสเฟตแล้วเข้าสู่วฎั จักรคัลวินภายในคลอโรพลาสต์ของเซลล์บนั เดลิ ซีทต่อไป สว่ นไพรูเวตจะถูก
ส่งผ่านพลาสโมเดสมาตากลับไปยงั เซลลม์ ีโซฟลิ ลต์ ามเดมิ เพ่อื เปลี่ยนเป็น PEP โดยอาศัยพลังงานจาก
ATP

จะเห็นว่า วัฏจักรคาร์บอนของพืช C4 จะทำให้พืชซึ่งได้รับคาร์บอนไดออกไซด์จาก
บรรยากาศในปริมาณน้อย สามารถเพม่ิ ความเข้มข้นของคารบ์ อนไดออกไซด์ภายในบันเดลิ ชที ได้มาก
ขึ้นทำให้เกิดการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการตรึงออกซิเจน ทำให้พืชมีการ
สญู เสียคารบ์ อนอะตอมจากกระบวนการโฟโตเรสไพเรซันน้อยมาก

รูปที่ 4.6 ตวั อย่างพชื C3 ข้าว
ที่มา : https://pixabay.com/th

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


11

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

รปู ที่ 4.7 ตัวอย่างพืช C3 ข้าวสาลี
https://www.komchadluek.net/news/505469

รูปท่ี 4.8 ตัวอย่างพืช C4 บานไมร่ ู้โรย
ท่มี า : https://sites.google.com/site/photo612017/bth-thi-13

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


12

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

รูปที่ 4.9 ตวั อย่างพืช C4 ข้าวโพด
ทีม่ า : https://www.dailynews.co.th/news/1248742/

4.4 กลไกการเพมิ่ ความเขม้ ข้นของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นพชื CAM
พืชบางชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีแสงแดดจัดและแห้งแล้ง เช่น

ในทะเลทราย พืชจะสญู เสยี น้ำไดง้ า่ ยในเวลากลางวนั เน่ืองจากเป็นช่วงท่มี อี ุณหภูมสิ งู และความช้ืนต่ำ
พืชจึงมีววิ ัฒนาการในการลดการสูญเสยี นำ้ เชน่ การลดรูปของใบให้มีขนาดเลก็ ลงเพื่อลดพื้นที่ในการ
ดายนำ้ หรือมีลำตนั และใบอวบน้ำเพอ่ื รกั ษานำ้ ไวใ้ ช้ในกระบวนการต่างๆ

พืช CAM (crassulacean acid metabolism plant) ส่วนใหญ่เป็นพืชที่อยู่ในที่
แห้งแล้งซึ่งมีการปรับตัวเพื่อลดอัตราการสูญเสียน้ำ แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด คือ
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ต่างไปจากพืช C3 และ C4 กล่าวคือ พืชในกลุ่มนี้จะเปิดปากใบ
เฉพาะในเวลากลางคืนเพื่อตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์พืชและสะสมสารประกอบคาร์บอนไว้ในแววโอล
ในรูปของกรดอินทรีย์ และปิดปากใบในเวลากลางวันเพื่อลดการสูญเสียน้ำ โดยกระบวนการ
สงั เคราะหด์ ้วยแสงจะไดร้ บั คาร์บอนไดออกไซด์จากกรดอินทรียท์ ี่สะสมไว้ ซ่งึ กรดอินทรีย์ดังกล่าวจะ
เกิดการเปลี่ยนแปลงและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่คลอโรพลาสต์เพื่อเข้าสู่วัฏจักรคัลวินต่อไป

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


13

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

กลไกการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชในกลุ่มนี้จะมีการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ 2 ครั้ง ซ่ึงคล้ายกับพืช
C4 แตเ่ กดิ ข้นึ ตา่ งเวลากนั

รูปท่ี 4.10 กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงในพืช CAM
ทม่ี า : คลงั ภาพ อจท.

ครั้งแรก เกิดขึ้นในเวลากลางคืนเนื่องจากอากาศมีอุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง ปากใบของ
พืช CAM จะเปิด แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะเข้าทางรูปากใบในรปู ของไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน
(HCO ) ไปยงั เซลลม์ โี ซฟลิ ล์ สารประกอบPEP จะตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ไวโ้ ดยเอนไซม์เพปคาร์บอก
ซิเลส (PEP carboxylase) ได้ออกซาโลแอซีเตต ((AA) ซึ่งเป็นสารตัวกลางที่ไม่เสถียรมีการ
เปลี่ยนแปลงทางเคมีเป็นสารประกอบที่มีคาร์บอน 4 อะตอม คือ มาเลตหรือกรดมาลิก โดยอาศัย
เอนไซม์มาเลตดีไฮโดรจีเนส (malate dehydrogenase) เร่งปฏิกิริยา และจะลำเลียงมาสะสมไว้
ในแวคิวโอล

ครั้งท่ีสอง เกิดขึ้นในเวลากลางวัน เมื่อเริ่มมีแสงปากใบจะปิดเพื่อลดการสญู เสียน้ำ กรดมา
ลิกจะแพร่ออกจากแวคิวโอลและเปลี่ยนเป็นไพรูเวตและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นแก๊สิ
คาร์บอนไดออกไซด์จะถูกลำเลียงไปยังคลอโรพลาสต์เพื่อเข้าสู่วัฏจักรคัลวินต่อไป แต่เนื่องจากการ
ปิดปากใบทำให้คาร์บอนไดออกไซด์แพร่ออกนอกใบได้ยาก ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ใน
เซลล์จึงสูง ทำให้อัตราโฟโตเรสไพเรชันลดลงมาก ส่วนไพรูเวตจะเปลี่ยนกลับไปเป็น PEP โดยใช้
พลงั งาน ATP จากปฏกิ ริ ยิ าแสงเพอ่ื ไปทำหนา้ ทต่ี รึงไฮโดรเจนคารบ์ อเนตไอออนต่อไป

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


14

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

กระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในพืชดังกล่าว ถูกค้นพบครั้งแรกในพืชตระกูลแครส
ซูลาซี (crassulaceae) และเรียกการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแสงแดดจัดและแห้งแล้งโดยใช้
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงดังกล่าวว่า เมแทบอลิซึมของกรดอินทรีย์ในพืชแครสซูลาซี
(crassulaceae acid metabolism; CAM) ต่อมายังพบว่ามีพืชอื่น ๆ ที่มีการปรับตัวแบบเดียวกับ
พืชแครสซูลาซีด้วย จึงเรียกพืชเหล่านั้นรวม ๆ ว่า พืชซีเอเอ็ม (CAM) เช่น สับปะรด กล้วยไม้
กระบองเพชร ศรนารายณ์ วา่ นหางจระเข้

รปู ท่ี 4.11 สับปะรด
ทีม่ า : https://www.thailandplus.tv/archives/199343

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


15

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

รปู ท่ี 4.12 กล้วยไม้
ที่มา : https://www.thailandplus.tv/archives/199343

รูปที่ 4.13 ศรนารายณ์
ท่มี า : https://www.picturethisai.com/th/ask/Agave_sisalana-0.html

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


16

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

รปู ท่ี 4.14 กระบองเพชร
ทมี่ า : https://www.technologychaoban.com/flower-and-decorating-

plants/article_242

รูปท่ี 4.15 วา่ นหางจระเข้
ที่มา : https://medthai.com

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


17

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า พืช C3 C4 หรือ CAM เป็นพืชเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่
แตกต่างกัน ดังนั้น พืชแต่ละชนิดจึงมีกลไกการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมือนและแตกต่างกันซึ่ง
สามารถสรปุ ได้ ดงั ตาราง

ตาราง : เปรียบเทยี บกลไกการเพ่มิ ดวามเขม้ ข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของพชื C3 C4 และ CAM

รปู ท่ี 4.16
ทมี่ า : หนังสือเรียนรายวิชาเพ่มิ เติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ชน้ั มัยมศกึ ษาปีท่ี 5

เลม่ 1 อจท. (หน้า 98)

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


18

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

รูปท่ี 4.17 กลไกการตรงึ คารน์ ไดออกไซดขื องพชื C3
ทมี่ า : คลังภาพ อจท.

รปู ที่ 4.18 กลไกการตรึงคาร์นไดออกไซดขื องพชื C4 พืช CAM
ที่มา : คลังภาพ อจท.

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


19

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

ใบงาน
เรือ่ ง การเพมิ่ ความเข้มของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์

คำช้แี จง

1. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความเข้ม
ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

2. ตั้งชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความเข้มของแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์

3. และกำหนดจุดมุ่งหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความ
เข้มของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

4. วางแผนการจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความเข้มของ
แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

5. ระบุวิธีการนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความเข้มของ
แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

6. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ เขียนรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์
7. นกั เรยี นตัวแทนแต่ละกลุ่มนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรอ่ื ง การเพิ่ม

ความเขม้ ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


20

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

แบบฝกึ หัด
เรอื่ ง การเพ่มิ ความเขม้ ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

1. จงเปรยี บเทยี บโครงสร้างภายในของพืช C3 และ C4
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. นักเรยี นคิดวา่ กลไกการตรึงแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ของพืช C3 และ C4 เหมอื นหรอื แตกต่างกนั
อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. พืช C4 มีกลไกการเพ่ิมความเข้มขน้ ของคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide) อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


21

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

4. ให้นกั เรียนอธิบายกลไกการตรึงแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ของพชื CAM
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

5. จงเติมคำตอบลงในตารางเปรียบเทียบโครงสร้างและกลไกการตรึงแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดข์ องพืช
C3 C4 และ CAM

หัวข้อเปรยี บเทยี บ พืช C3 พืช C4 พชื CAM

บันเดิลชที
คลอโรพลาสตท์ บ่ี ันเดลิ ชีท
จำนวนคร้ังที่มีการตรึง CO2
ช่วงเวลาในการตรึง CO2
ตำแหน่งทีม่ ีการตรงี CO2
ตำแหนง่ ที่เกดิ วฏั จกั รคลั วิน
สารตัวแรกที่เกิดจากการตรงึ
CO2
สารทใ่ี ช้ตรงึ CO2
การเกดิ โฟโตเรสไพเรชนั

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


22

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

แบบทดสอบย่อยหลงั เรยี น

เรือ่ ง การเพมิ่ ความเข้มของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

รายวิชาชีววิทยา 3 รหสั วชิ า ว30248 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5

คำช้ีแจง 1. แบบทดสอบฉบบั นี้ จำนวน 10 ข้อ คะแนนเตม็ 10 คะแนน เวลาทใี่ ช้ 10 นาที
2. จงเลอื กคำตอบท่ถี กู ต้องที่สดุ แล้วเขยี นเคร่ืองหมาย  ลงในกระดาษคำตอบ

1. การสรา้ ง PGA ของพชื CAM เกดิ ขึ้นที่ใด
ก. Mesophyll
ข. Sponge cell
ค. Palisade cell
ง. Bundle sheath

2. การตรึง CO2 2 ครง้ั ของพืช CAM เกิดข้ึนท่ีใดบ้าง
ข้อ 1 Palisade cell
ขอ้ 2 Spong cell
ขอ้ 3 Epidermal cell
ขอ้ 4 Mesophyll cell
ขอ้ 5 Bundle sheath cell
ก. ท้ังข้อ 1 และ 2
ข. ท้ังขอ้ 3 และ 4
ค. ทั้งขอ้ 4 และ 5
ง. ท้ังข้อ 2 และ 5

3. สารประกอบอินทรยี ท์ เี่ ป็นสารตั้งต้นในกระบวนการคารบ์ อนไดออกไซด์ฟิกเซชนั ของพืช
CAM คือข้อ

ก. PGA
ข. PEP
ค. OAA
ง. RuBP

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


23

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

4. ข้อใดเป็นจริงเกี่ยวกับการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ของพชื CAM
ก. ตรงึ CO2 คร้ังเดยี ว เกิดท่ีมีโซฟลิ ล์ ในเวลากลางวนั
ข. ตรึง CO2 ครง้ั เดยี ว ในเวลากลางคนื เกิดที่บนั เดลิ ชีท
ค. ตรึง CO2 2 คร้งั ครัง้ ท่ี 1 ในเวลากลางวัน เกดิ ท่มี บี ันเดิลชที ครงั้ ที่ 2 ในเวลากลางคนื

เกดิ ที่โซฟิลล์
ง. ตรงึ CO2 2 ครัง้ ครง้ั ท่ี 1 ในเวลากลางคนื เกดิ ท่ีมีโซฟลิ ล์ ครั้งท่ี 2 ในเวลากลางวนั เกิดท่ี

บันเดิลชที

5. พชื C, และ CAM มีอะไรทเี่ หมือนกนั ในเรอื่ งทเี่ ก่ียวกับกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง
ขอ้ 1 : วัตถดุ ิบ
ขอ้ 2 : ผลผลติ
ขอ้ 3 : รงควตั ถุ
ขอ้ 4 : การหายใจ
ขอ้ 5 : การตรึง CO2
ก. ขอ้ 1, 2, 3
ข. ขอ้ 1, 3, 4
ค. ข้อ 1, 2, 5
ง. ขอ้ 1, 3, 5

6. ขอ้ ใดเป็นจรงิ เก่ียวกับการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของกระบองเพชร
ขอ้ 1 พบ RuBP เฉพาะในเซลลช์ ั้นมโี ซฟิลล์
ขอ้ 2 มกี ารตรงึ CO, คร้งั แรกท่บี ันเดิลชที
ข้อ 3 มีการผลิตสาร C4 ในมีโซฟิลล์ และผลิตสาร C3 ในเซลลบ์ ันเดิลชีท
ก. เฉพาะข้อ 2
ข. เฉพาะข้อ 3
ค. ทัง้ ขอ้ 1 และ 2
ง. ทั้งขอ้ 2 และ 3

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


24

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

7. ข้อใดไมใ่ ช่พืช CAM
ก. กลว้ ยไม้ ศรนารายณ์
ข. กระบองเพชร สับปะรด
ค. ผักโขมจีน บานไม่รู้โรย
ง. วา่ นหางจระเข้ แก้วมังกร

8. ถ้าใช้ 14CO2 ศึกษาการสังเคราะหด์ ้วยแสงในวา่ นหางจระเข้ เมอ่ื ฉายแสงให้เปน็ เวลา 6
ชั่วโมง ควรตรวจพบ 14C ในสารตา่ งๆ ยกเว้นข้อใด

ก. PGA และ RuBP
ข. RuBisCO และ PGAL
ค. PEP และ Pyruvic acid
ง. Sucrose sugar และ Malic acid

9 พชื C4 และ CAM มีอะไรท่ีเหมือนกนั ในเรอ่ื งทเ่ี ก่ยี วกับกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง
ขอ้ 1 : วตั ถุดิบ
ขอ้ 2 : ผลผลติ
ข้อ 3 : รงควตั ถุ
ข้อ 4 : การหายใจ
ขอ้ 5 : การตรึง CO2
ก. ข้อ 1, 2, 3
ข. ขอ้ 1, 3, 4
ค. ขอ้ 1, 2, 3, 5
ง. ข้อ 1, 2, 4, 5

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


25

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

10. ข้อใดไม่เป็นจริง เก่ยี วกับพชื CAM
ข้อ 1 มีอตั ราการใช้นำ้ ต่อการเจรญิ เป็นนำ้ หนักแห้ง 1 กรัมน้อยกว่าพืช C3
ข้อ 2 มคี วามเข้มขน้ ของ CO2 ที่เซลล์บนั เดลิ ชีทมากกว่าท่มี โี ซฟิลล์ของพชื C3
ขอ้ 3 มกี ารตรงึ CO2 จากบรรยากาศทงั้ ท่ีมโี ซฟลิ ล์ และบันเดิลชที
ข้อ 4 ใช้ RUBP Carboxylase ตรึง CO2 จากบรรยากาศ
ก. ทง้ั ข้อ 1, 2
ข. ทั้งข้อ 2, 3
ค. ทงั้ ขอ้ 2, 4
ง. ทั้งขอ้ 3, 4

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


26

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

กระดาษคำตอบแบบทดสอบย่อยหลังเรียน
เล่มท่ี 4 เรอ่ื ง การเพมิ่ ความเขม้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

ข้อท่ี คำตอบ ขอ้ ที่ คำตอบ

1 6
2 7
3 8
4 9
5 10

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


27

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

บรรณานุกรม

กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551.
กรุงเทพมหานคร:ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.

กองปฐพีวิทยา กรมวิชาการเกษตร. (2543). ลกั ษณะอาการขาดธาตุอาหารของพืช (พิมพค์ รัง้ ท่ี 1)
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย

จริ ัสย์ เจนพาณชิ ย์ (2558). ชีววทิ ยาสำหรบั นกั เรียนมธั ยมปลาย. กรุงเทพมหานคร :
หจก.สามลดา.

เชาวน์ ชิโนรกั ษ์ และพรรณี ชิโนรักษ์ (2552). ชวี วทิ ยา 1. กรงุ เทพมหานคร : โสภณการพิมพ์
ซรี ส์ ตาร์ (2552). ชีววิทยา เล่ม 1. (แปลจาก Biology 1 Concepts and Applications

โดยทีมคณาจารย์ ภาควชิ าชีววิทยามหาวิทยาลัยขอนแก่น, ผู้แปล). กรงุ เทพมหานคร :
เจเอสที พับลชิ ชง่ิ จำกัด.
ชุมพล คณุ วาส. (2551). สัณฐานวทิ ยาเบือ้ งตน้ ในการระบุชื่อวงศ์พืชดอกสามญั . กรงุ เทพฯ :
สำนกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
เทียมใจ คมกฤส. (2546). กายวิภาคของพฤกษ์ (พิมพ์คร้งั ที่ 5). กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี.(2558). หนังสือเรยี นรายวิชาเพ่ิมเติมชีววทิ ยา
เลม่ 3 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ตามหลักสตู ร
แกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (พิมพ์ครงั้ ท่ี 9). กรงุ เทพฯ:
โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโลยี. (2561). หนงั สือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐาน
วิทยาศาสตรว์ ิทยาศาสตร์ชีวภาพ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (พิมพค์ ร้งั ที่ 1). กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2564). หนังสือเรียนรายวิชาชวี วิทยา
เพม่ิ เติม เล่ม 3. กรงุ เทพมหานคร : สกสค.
สำนกั งานราชบณั ฑิตยสภา. (2560). พจนานุกรมศพั ท์พฤกษศาสตร์ ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสภา
(พิมพค์ รง้ั ท่ี 1). กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานเุ บกษา.

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


28

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


29

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

เฉลยใบงาน
เรอ่ื ง การเพมิ่ ความเขม้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

คำช้แี จง

1. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความเขม้
ของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

2. ตั้งชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความเข้มของแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์

3. และกำหนดจุดมุ่งหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความ
เขม้ ของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์

4. วางแผนการจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความเข้มของ
แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

5. ระบุวิธีการนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การเพิ่มความเข้มของ
แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

6. นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ เขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์
7. นกั เรียนตัวแทนแต่ละกลุ่มนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรอ่ื ง การเพ่ิม

ความเขม้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


30

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

แบบประเมินโครงงานวทิ ยาศาสตร์

ชื่อโครงงาน……………………………………………………………………………………………………………….………

ที่ รายการประเมนิ คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด้

1 เนือ้ หาของโครงงานมคี วามน่าสนใจ และเป็นประโยชน์ 10

2 มกี ระบวนการพัฒนาโครงงานอย่างเป็นระบบ 10

3 มกี ารเลอื กใช้เครื่องมือ โปรแกรม ได้อยา่ งเหมาะสม 10

4 การประสานงานและสบื เสาะขอ้ มูลจากแหลง่ เรียนรู้ในชุมชน 10

5 ความคดิ สร้างสรรค์ และความน่าสนใจของผลงาน 10

6 ความสมบูรณข์ องผลงาน (เนื้อหา, ภาพประกอบ หรือ อ่นื ๆ) 10

7 เทคนคิ ในการนำเสนอโครงงาน 10

8 การนำเสนอเสยี งดังฟงั ชดั และออกเสยี งอักขระถกู ต้อง 10

9 การนำเสนอโครงงานทนั ตามเวลาท่กี ำหนด 10

10 การแตง่ กายของผนู้ ำเสนอโครงงานถูกต้องตามระเบยี บ 10

รวม 100

ขอ้ เสนอแนะ
............................................................................................................................. .................................
................................................................................................. .............................................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................

ลงชื่อ...............................................................ผู้ประเมนิ
(...............................................................)
วนั ที่ .......เดอื น ........................ พ.ศ...............

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


31

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

เฉลยแบบฝกึ หัด
เรอ่ื ง การเพ่มิ ความเข้มของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์

1. จงเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งภายในของพืช C3 และ C4
…………………โค…ร…งส…ร…้า…งภ…า…ย…ใ…นข…อ…ง…ใบ……C…3 …ป…ระ…ก…อ…บ…ด…้ว…ย…m…e…s…op…h…y…ll…c…el…l …2…แ…บ…บ…ค…ือ……p…al…is…ad…e…
…m……es…o…p…h…yl…l …แล…ะ…s…p…o…n…gy…m……es…o…p…hy…l…l แ…ล…ะ…ม…ีก…ล…ุ่มเ…น…ื้อ…เย…ื่อ…ล…ำ…เล…ีย…งแ…ท…ร…ก…อ…ยู่…อ…าจ…ม…ีก…ล…ุ่ม…เซ…ล…ล…์
…ล…้อ…ม…ร…อ…บ…กล…ุ่ม…ท…่อ…ล…ำ…เล…ีย…ง…ซ…ึ่งเ…ร…ียก…ว…่า…b…u…n…d…le…s…h…ea…t…h…c…el…l …ส…่วน…โ…ค…รง…ส…ร…้าง…ภ…า…ยใ…น…ข…อ…งพ…ืช……C4…
…ป…ร…ะ…ก…อ…บ…ด…้ว…ย…e…p…id…e…rm……al…c…e…ll…, m……es…o…p…hy…l…l c…e…ll…แ…ล…ะ…b…u…n…d…le…s…h…e…at…h…c…e…ll…ท…ี่ม…ีค…ล…อ…โ…ร-…
…พ…ล…า…ส…ต…์ ซ…ึ่ง……bu…n…d…le……sh…e…at…h…c…e…ll…เป…็น…เ…ซ…ล…ล์ท…ี…่อย…ู่ล…้อ…ม…ร…อ…บ…ม…ัด…ท…่อ…มั…ดล…ำ…เล…ีย…ง…น…้ำ…(…va…s…cu…l…ar…
…b…u…n…d…le…) ……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. นักเรยี นคิดว่ากลไกการตรึงแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ของพืช C3 และ C4 เหมอื นหรือแตกตา่ งกัน
อย่างไร
…………………แต…ก…ต…่า…ง…ก…ัน…เ…น…ื่อ…งจ…า…ก…พ…ื…ช…C…3…บ…า…งช…น…ิด…ไ…ม…่พ…บ…b…u…n…d…le…s…h…ea…t…h…c…el…l …บ…าง…ช…น…ิด…ม…ี
…B…u…n…d…le…s…h…e…at…h…c…el…l …ซ…ึ่งแ…ต…ก…ต่า…ง…จา…ก…เน…้อื …เย…อ่ื …ใบ…ข…อ…ง…พชื……C…4 …ซึง่…จ…ะพ…บ……b…un…d…le……sh…e…a…th…c…e…ll…ท…มี่ …ี
…ค…ล…อ…โร…พ…ล…า…สต…์อ…ย…่าง…ช…ัด…เจ…น…ด…ัง…น…ั้น…ค…าร…์บ…อ…น…ได…อ…อ…ก…ไซ…ด…์ใน…บ…ร…รย…า…ก…าศ…เ…มือ…ผ…่า…น…เข…้า…สู่ป…า…ก…ใบ…พ…ืช……C3…
…จ…ะ…เข…้า…ส…่วู ฏั…จ…กั …รค…ัล…ว…ิน…ส…่ว…น…พชื……C…4 …คา…ร…์บ…อน…ไ…ด…ออ…ก…ไ…ซด…์ท…ี่ผ…า่ …นเ…ข…า้ ส…่ปู …า…ก…ใบ…จ…ะถ…ูก…เ…ปล…ี่ย…น…ให…้เ…ป…็น…สา…ร…
…ท…่มี…คี …า…รบ์…อ…น…4……อะ…ต…อ…ม…ก่อ…น……………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. พชื C4 มกี ลไกการเพิ่มความเขม้ ขน้ ของคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide) อย่างไร
………………ม…กี …าร…ต…ร…งึ ค…า…ร์บ…อ…น…ได…อ…อ…ก…ไซ…ด…์ 2……คร…้งั …โ…ดย…ค…ร…ั้งแ…ร…ก…เก…ิด…ขึ้น…ท…ม่ี …โี ซ…ฟ…ิล…ล…เ์ ซ…ล…ล…์ โ…ดย…ใ…ช…เ้ อ…น…ไซ…ม…์
…P…E…P…c…a…rb…o…xy…la…s…e…ไ…ด้ส…า…ร…อ…ินท…ร…ีย…์ต…ัวแ…ร…ก…ท…ี่ม…ีค…าร…์บ…อ…น…4…อ…ะ…ต…อ…ม…ซ…ึ่งส…า…ร…ตั…วน…ี้จ…ะ…ส…ลา…ย…ต…ัวป…ล…่อ…ย…
…ค…า…ร…์บ…อ…น…ไ…ด…ออ…ก…ไ…ซ…ด…์ (…C…a…rb…o…nd…i…ox…id…e…)…ใ…ห…้ก…ับ…ร…ูบ…ิส…โก……(R…u…b…isc…o…)…โด…ย…ต…ร…ง…ใน…บ…ัน……เด…ิล…ช…ีท…
…(…B…un…d…le…S…h…e…at…h…) เ…ซ…ลล…์………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


32

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

4. ให้นกั เรียนอธบิ ายกลไกการตรงึ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ของพืช CAM
………………ใ…น…เว…ลา…ก…ล…าง…ค…ืน…พ…ืช…ต…ร…ึงค…า…ร์บ…อ…น…ไ…ดอ…อ…ก…ไซ…ด…์ …(C…O…2)…ไ…ด…้แต…่ไ…ม…่สา…ม…า…รถ…ส…ร…้าง…น…้ำไ…ด…้ เ…พ…รา…ะ…
…ข…า…ด…N…A…D…P…H…แ…ล…ะ…A…T…P…พ…ืช…C…A…M…(…C…ra…ss…u…la…c…ea…n…a…c…id…M……et…a…bo…l…is…m…P…la…n…t)…จ…ึง…ต…้อง…ต…ร…ึงแ…ก…๊ส…
…ค…า…ร…์บ…อน…ไ…ด…ออ…ก…ไ…ซด…์ไ…ว้…ใ…นร…ูป…ส…า…รท…ี่ป…ร…ะ…กอ…บ…ด…้ว…ยค…า…ร…์บ…อน……4…อ…ะ…ต…อม……เพ…ื่อ…เก…็บ…ส…ะ…สม…ไ…ว…้ก่อ…น……เม…ื่อ…
…พ…ืช…ไ…ด…้รั…บแ…ส…ง…ใน…เ…วล…า…ก…ล…าง…ว…ัน…จ…ึงส…า…ม…าร…ถ…ส…ร…้าง……NA…D…P…H…แ…ล…ะ…A…T…P…ม…า…ใช…้ใ…น…กร…ะ…บ…ว…น…กา…ร…ส…ร้า…ง…
…น…้ำ…ต…าล…ไ…ด…้ …………………………………………………………………………………………………………………………
………………พ…ชื …ท…ม่ี …ีกา…ร…ต…รงึ …ค…าร…บ์ …อ…น…ได…อ…อก…ไ…ซ…ด์ล…ัก…ษ…ณ…ะ…เช…น่ …น…้ีว่า……(C…ra…s…su…la…c…e…an……ac…id…M……et…a…bo…l…is…m…
…P…l…an…t…) …เร…ียก…ย…่อ…ๆ…ว…่า…พ…ืช…C…A…M……เน…ื่อ…งจ…า…ก…กา…ร…ค…้น…พบ…ก…ร…ะ…บ…วน…ก…า…รต…ร…ึงค…า…ร…์บ…อน…ไ…ด…ออ…ก…ไ…ซด…์แ…บ…บ…น…ี้
…ใ…น…พ…ืช…พ…วก…ว…งศ…์ …(C…ru…s…su…l…ac…e…) …เป…็น…พ…ืช…อ…วบ…น…้ำ…ข…ย…าย…พ…ัน…ธ…ุ์ได…้ง…่า…ย…โด…ย…ใช…้ส…่ว…น…ป…ระ…ก…อ…บ…ต่า…ง…ๆ……ขอ…ง…
…พ…ืช……เช…่น……เช…่น…ก…ุห…ล…า…บ…ห…ิน…ค…ว…่ำต…า…ย…ห…งา…ย…เป…็น……ต…่อ…มา…ใ…น…ภ…าย…ห…ล…ัง…พ…บว…่า……พื…ชท…ี่ข…ึ้น…ใ…น…ท…ี่แ…ล้ง……เช…่น…
…ก…ร…ะ…บ…อ…กเ…พ…ช…ร …ห…ร…ือก…ล…้ว…ย…ไม…้ร…ว…ม…ท…ั้งส…ับ…ป…ะ…ร…ด …ก…็ม…ีก…าร…ต…ร…ึงแ…ก…๊ส…ค…าร…์บ…อ…น…ได…อ…อ…ก…ไซ…ด…์ล…ัก…ษ…ณ…ะ…น…้ี
…เ…ช…น่ …กัน…………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

5. จงเตมิ คำตอบลงในตารางเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งและกลไกการตรงึ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ของพืช
C3 C4 และ CAM

หวั ข้อเปรยี บเทยี บ พชื C3 พชื C4 พชื CAM

บันเดิลชีท อาจมหี รอื ไม่มี มี -

คลอโรพลาสต์ทบี่ นั เดิลชีท ไม่มี มี -

จำนวนครงั้ ท่ีมีการตรึง CO2 1 2 2
ชว่ งเวลาในการตรงึ CO2 เชา้ เชา้ กลางคนื
ตำแหน่งทมี่ กี ารตรงี CO2 มีโซฟิลล์ ครัง้ ท่ี 1 มโี ซฟลิ ล์
คร้ังที่ 2 บันเดิลชที -

ตำแหน่งท่ีเกิดวัฏจักรคลั วิน ตำแหน่งใดกไ็ ด้ท่ีมี มโี ซฟลิ ล์ ตำแหน่งใดกไ็ ด้ท่มี ี
คลอโรพลาสต์ คลอโรพลาสต์

สารตัวแรกทีเ่ กิดจากการตรึง PGA OAA OAA
CO2

สารทีใ่ ช้ตรึง CO2 RuBP PEP PEP

การเกิดโฟโตเรสไพเรชัน

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


33

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

เฉลยแบบทดสอบยอ่ ยหลงั เรยี น
เลม่ ที่ 4 เรอื่ ง การเพมิ่ ความเข้มของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

ข้อท่ี คำตอบ ข้อท่ี คำตอบ

1ง 6ข
2ค 7ค
3ข 8ข
4ง 9ก
5ก 10 ง

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


34

เล่มที่ 4 การเพมิ่ ความเขม้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์

ประวตั ิยอ่ ผู้จัดทำ

ชือ่ – สกลุ นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน

วนั เดอื น ปี เกดิ วนั ท่ี 16 สงิ หาคม พ.ศ. 2517

สถานทีเ่ กิด บ้านเลขท่ี 9 หมู่ 11

บา้ นนางาม ตำบลนาดี อำเภอเดชอุดม

จังหวัดอบุ ลราชธานี 34160

โทรศพั ท์ 091-828-417-9

ตำแหนง่ หน้าที่ปัจจบุ ัน ครู วิทยฐานะ ครชู ำนาญการพเิ ศษ

สถานทท่ี ำงานในปจั จบุ นั โรงเรียนเบ็ตตี้ดูเมน 2 ชอ่ งเมก็ ตำบลชอ่ งเม็ก

อำเภอสิรนิ ธร จังหวดั อุบลราชธานี

สังกัดองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั อุบลราชธานี

ประวตั กิ ารศกึ ษา
พ.ศ. 2541 ปรญิ ญาตรี วทิ ยาศาสตรบัณฑติ วิชาเอก ชวี วทิ ยาประยุกต์

สถาบันราชภฏั อบุ ลราชธานี
พ.ศ. 2542 ประกาศนียบตั รบัณฑิตวิชาชพี ครู สถาบนั ราชภฏั อุบลราชธานี

ประสบการณก์ ารทำงาน
พ.ศ. 2542 ตำแหนง่ อาจารย์ 1 ระดับ 3 โรงเรยี นชอ่ งเม็กวิทยา

อำเภอสิรินธร จังหวดั อบุ ลราชธานี
พ.ศ. 2547 ครู โรงเรยี นชอ่ งเมก็ วิทยา อำเภอสริ นิ ธร จงั หวดั อุบลราชธานี
พ.ศ. 2550 ครู วทิ ยฐานะ ครูชำนาญการ โรงเรยี นเบ็ตตี้ดูเมน 2 ช่องเม็ก

อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
สงั กัดองค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั อบุ ลราชธานี
พ.ศ. 2558 ครู วิทยฐานะ ครชู ำนาญการพิเศษ โรงเรยี นเบ็ตต้ีดูเมน 2 ชอ่ งเมก็
อำเภอสริ นิ ธร จงั หวดั อบุ ลราชธานี
สงั กัดองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัดอุบลราชธานี

โดย : นางบุญลอ้ ม แกว้ ดอน


เอกสารประกอบการเรยี น

ประกอบการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน (PjBL)
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เรือ่ ง การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง

โรงเรียนเบต็ ตีด้ เู มน 2 ช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จงั หวดั อบุ ลราชธานี
สงั กัดองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัดอบุ ลราชธานี


Click to View FlipBook Version