ชดุ ท่ี 6
อวยั วะรบั ความร้สู กึ (1)
รายวิชาชีววิทยา 4 รหสั วชิ า ว30244 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6
นางสาวนภศร เสรกี ุล
ตําแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชํานาญการ
ชุดท่ี 6 อวยั วะรับความรู้สกึ (1) ก
คำนำ
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จัดทาขึ้นเพื่อเป็นสื่อนวัตกรรมประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
รายวิชาชีววิทยา 4 รหัสวิชา ว30244 เพ่ือให้ผู้เรียนใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอน
และสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง นาไปใช้ในการเรียนการสอนซ่อมเสริมได้ หรือใช้ในการสอนแทนได้
เป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจและพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนกลุ่ม
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดบทบาทของครูตามแนวทางการปฏิรูปการ
เรียนรู้ท่ียึดผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นกิจกรรม การเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้
ด้วยตนเอง ทาเป็น คิดเป็น แก้ปัญหาได้ สามารถพัฒนาตนเอง ได้เต็มตามศักยภาพ ซ่ึงสอดคล้อง
กับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560) ที่มุ่งเน้น
ให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาท้ังด้านความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
การแก้ปัญหา ความสามารถในการส่ือสาร การตัดสินใจ การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน
ตลอดจนส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี นมจี ติ วทิ ยาศาสตรค์ ณุ ธรรมและคา่ นิยมทถ่ี ูกต้องเหมาะสม
ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นี้จะทาให้ผู้เรียน
มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกได้เป็นอย่างดี มีทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น สามารถใช้เพ่ือศึกษาค้นคว้า
ด้วยตนเองเป็นส่ือที่มีประสิทธิภาพ สามารถอานวยประโยชน์ต่อการเรียนการสอนให้บรรลุ
วัตถุประสงคข์ องหลักสูตรได้
นภศร เสรีกลุ
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรู้สึก (1) ข
สำรบญั หน้ำ
ก
เร่ือง ข
คำนำ ค
สำรบญั ง
คำชี้แจงเกีย่ วกบั กำรใช้ชดุ กิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ จ
แผนภูมลิ ำดบั ขนั้ ตอนกำรใชช้ ุดกิจกรรมกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์ ช
คำชแี้ จงกำรใช้ชดุ กิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตรส์ ำหรบั ครู 1
คำชีแ้ จงกำรใช้ชดุ กิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์สำหรบั นกั เรียน 2
2
สาระการเรยี นรู้/ผลการเรียนรู้ 3
จุดประสงค์การเรยี นรู้ 4
แนวความคดิ รวบยอด 7
สาระสาคญั 22
แบบทดสอบก่อนเรียน 24
บตั รเนอ้ื หา ชดุ ที่ 6 เรือ่ ง อวัยวะรบั ความรู้สกึ (1) 26
บตั รกจิ กรรมที่ 6.1 เรื่อง การตาแหน่งของจุดบอดและโฟเวยี 27
บตั รกิจกรรมที่ 6.2 เรื่อง อวยั วะรบั ความรู้สกึ (1) 28
บัตรกิจกรรมท่ี 6.3 ผงั มโนทัศน์ เร่อื ง อวัยวะรบั ความรู้สกึ (1) 30
บัตรกจิ กรรมท่ี 6.4 ถอดบทเรยี น เรอื่ ง อวยั วะรบั ความรู้สกึ (1) 33
แบบฝึกหดั เรื่อง อวัยวะรับความรู้สกึ (1) 34
แบบทดสอบหลังเรยี น 35
กระดาษคาตอบแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน 36
บรรณำนุกรม 38
ภำคผนวก 40
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 6.1 เร่ือง การตาแหนง่ ของจดุ บอดและโฟเวยี 41
เฉลยบัตรกจิ กรรมท่ี 6.2 เรื่อง อวัยวะรบั ความรู้สึก (1) 44
เฉลยบัตรกิจกรรมท่ี 6.3 ผงั มโนทัศน์ เร่ือง อวยั วะรบั ความรู้สึก (1) 45
เฉลยบตั รกิจกรรมที่ 6.4 ถอดบทเรียน เรอื่ ง อวัยวะรบั ความรู้สกึ (1)
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน
ประวัติย่อผ้จู ัดทำ
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชุดท่ี 6 อวยั วะรับความรู้สกึ (1) ค
คำชีแ้ จงเกี่ยวกับชุดกิจกรรมกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตร์
1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง ระบบประสาทและ
อวัยวะรับความรู้สึก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพ่ือใช้ประกอบการจัดการ
เรียนรู้ วิชาชีววิทยา 4 รหัสวิชา ว30244 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โดยให้สอดคล้องตามหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
หลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ยึดแนวทางการฝึกที่เหมาะสมกับระดับและวัย เพ่ือให้นักเรียนเกิดความ
กระตือรือร้น มีความสุขในการทากิจกรรมการเรียนรู้ และเพ่ือส่งเสริมเจตคติท่ีดี นักเรียนจะได้
พัฒนากระบวนการคิด กระบวนการตัดสินใจ กระบวนการแก้ปัญหา และสามารถนาความรู้ไปใช้
ในชีวิตประจาวันได้ มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ เข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ เกิด
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีสารวจตรวจสอบข้อมูล การคิดแก้ปัญหา ตลอดจนการ
เสริมสรา้ งจิตวิทยาศาสตร์ ซ่ึงประกอบด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จานวน 7 ชดุ ดังนี้
ชุดท่ี 1 เรือ่ ง การรับรแู้ ละการตอบสนองของสัตว์
ชดุ ที่ 2 เรอื่ ง เซลล์ประสาท
ชุดที่ 3 เรื่อง การทางานของเซลล์ประสาท
ชดุ ที่ 4 เรื่อง ศนู ย์ควบคมุ ระบบประสาท
ชุดท่ี 5 เรอื่ ง การทางานของระบบประสาท
ชดุ ท่ี 6 เรื่อง อวัยวะรับความรู้สึก (1)
ชดุ ที่ 7 เรอ่ื ง อวยั วะรบั ความรูส้ กึ (2)
2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นี้เป็น ชุดท่ี 6 เร่ือง อวัยวะรับควำมรู้สึก (1)
ใชเ้ วลำ 2 ชวั่ โมง
3. ผู้ใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์น้ีควรศกึ ษาข้นั ตอนการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
อยา่ งละเอียดก่อนใช้
ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชุดน้ี จะมีประโยชน์ต่อ
นักเรียนและผู้สนใจท่ีจะนาไปใช้สอนและฝึกเด็กในปกครองในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้
วิทยาศาสตรใ์ ห้มีคณุ ภาพมากย่ิงขนึ้ ตอ่ ไป
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ุล ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชุดที่ 6 อวัยวะรบั ความรู้สกึ (1) ง
แผนภมู ลิ ำดับขน้ั ตอนกำรใชช้ ุดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์
อ่านคาช้แี จงและคาแนะนาในการใช้ชดุ กจิ กรรมการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
ศึกษาตวั ช้วี ดั และจุดประสงค์การเรียนรู้ เสรมิ พ้นื ฐำน
ทดสอบก่อนเรียน ผู้มีพนื้ ฐำนตำ่
ศึกษาชดุ กจิ กรรมการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ตามขนั้ ตอน
ประเมนิ ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรจู้ ากชดุ กิจกรรม
ไม่ผำ่ น ทดสอบหลงั เรียน
กำรทดสอบ
ผำ่ นกำรทดสอบ
ศกึ ษาชดุ กิจกรรมการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์เร่ืองตอ่ ไป
แผนภูมิลำดบั ขัน้ ตอนกำรเรียนโดยใชช้ ุดกจิ กรรมกำรเรียนร้วู ทิ ยำศำสตร์
ชดุ ที่ 6 เร่อื ง อวัยวะรับควำมร้สู ึก (1)
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชุดที่ 6 อวยั วะรบั ความรู้สึก (1) จ
คำชแี้ จงกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรูว้ ทิ ยำศำสตรส์ ำหรับครู
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ครูผู้สอนได้ศึกษาต่อไปนี้คือ ชุดที่ 6 เรื่อง อวัยวะ
รับควำมรู้สึก (1) ใช้เวลำในกำรทำกิจกรรม 2 ช่ัวโมง ซ่ึงนักเรียนจะได้สารวจ สังเกตและ
รวบรวม ข้อมูลมาสรุปเป็นองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการคิด กระบวนการสืบค้นข้อมูล
กระบวนการทางสังคม ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการเผชิญสถานการณ์และ
แก้ปัญหา ผ่านทางกระบวนการกลุ่ม เพื่อช่วยให้การดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้บรรลุ
จุดประสงคแ์ ละมปี ระสิทธิภาพ ครูผสู้ อนควรดาเนนิ การดังนี้
1. ครูผู้สอนต้องศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับคาช้ีแจงการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
สาหรับครู และแผนการจดั การเรียนรู้ เพอื่ ที่ครูผู้สอนสามารถนาชุดกิจกรรมการเรียนร้ไู ปใช้ในการ
จดั กิจกรรมการเรยี นรไู้ ด้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
2. ครูผสู้ อนเตรยี มส่ือการเรยี นการสอนใหพ้ ร้อม
3. ก่อนดาเนินการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ครูต้องเตรียมชุดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้
บนโต๊ะประจากลุ่มให้เรียบร้อยและเพียงพอกับนักเรียนในกลุ่มซึ่งนักเรียนจะได้รับคนละ 1 ชุด
ยกเวน้ ส่อื การสอนทตี่ ้องใช้รว่ มกนั
4. ครูต้องช้ีแจงใหน้ ักเรียนรู้เกี่ยวกับบทบาทของนักเรียนในการใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้
ดงั น้ี
4.1 ศึกษาบทบาทของนกั เรียนจากการปฏิบัติกจิ กรรมให้เข้าใจก่อนการเรยี นรู้โดยใช้
ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้
4.2 ปฏิบัติกิจกรรมตามลาดับข้ันตอน อ่านคาชี้แจงจากใบกิจกรรม เพื่อจะได้ทราบ
วา่ จะปฏิบัตกิ จิ กรรมอะไร อย่างไร
4.3 นักเรียนต้องต้ังใจปฏิบัติกิจกรรมอย่างเต็มความสามารถ ต้องให้ความร่วมมือ
ช่วยเหลือซ่งึ กันและกนั ไม่รบกวนผอู้ ื่น และไม่ชักชวนเพ่ือนใหอ้ อกนอกลูน่ อกทาง
4.4 หลงั จากปฏิบตั กิ ิจกรรมแลว้ นักเรียนจะต้องจัดเก็บอปุ กรณ์ทกุ ชิ้นให้เรยี บรอ้ ย
4.5 เมอ่ื มีการประเมนิ ผลนกั เรยี นตอ้ งปฏิบัตติ นอยา่ งตง้ั ใจและรอบคอบ
5. การดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบเน้นมโนทัศน์ (Concept Based
Teaching)
6. ขณะที่นักเรียนทุกกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม ครูไม่ควรพูดเสียงดัง หากมีอะไรจะพูดต้องพูด
เปน็ รายกลุม่ หรือรายบคุ คล ต้องไม่รบกวนกิจกรรมของนักเรียนกลุ่มอื่น
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ุล ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวัยวะรับความรู้สึก (1) ฉ
7. ครูผู้สอนต้องเดินดูการทางานของนักเรียนแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิด หากมีนักเรียนคน
ใดหรอื กลุม่ ใดมปี ัญหาควรเข้าไปให้ความชว่ ยเหลือจนปัญหานัน้ คลคี่ ลายลง
8. การสรุปผลที่ได้จากกิจกรรมการเรียนรู้ควรเป็นกิจกรรมร่วมของนักเรียนทุกกลุ่มหรือ
ตวั แทนของกลมุ่ รว่ มกนั ครคู วรเปิดโอกาสให้นกั เรยี นแสดงออกใหม้ ากท่สี ุด
9. ประเมินผลการเรยี นรู้ของนกั เรียน เพอ่ื ตรวจสอบผลการเรยี นรขู้ องนักเรียน
ตง้ั ใจศึกษา
ชดุ กจิ กรรมนะคะ
เด็ก ๆ
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชุดที่ 6 อวยั วะรับความรู้สึก (1) ช
คำชี้แจงกำรใช้ชดุ กิจกรรมกำรเรยี นร้วู ทิ ยำศำสตรส์ ำหรับนักเรียน
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่นักเรียนได้ศึกษาต่อไปนี้คือ ชุดท่ี 6 เร่ือง อวัยวะ
รับควำมรู้สึก (1) ซึ่งนักเรียนจะได้สารวจ สังเกต และรวบรวมข้อมูลมาสรุปเป็นองคค์ วามรู้ โดย
ใช้กระบวนการคิด กระบวนการสืบค้นข้อมูล กระบวนการทางสังคม ทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และแก้ปัญหาผ่านทางกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้เกิด
ประโยชน์สงู สุด นกั เรียนควรปฏิบัติตามคาชแ้ี จง ดังต่อไปน้ี
1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ชุดท่ี 6 เร่ือง อวัยวะรับควำมรู้สึก (1) ใช้เวลำในกำรทำ
กิจกรรม 2 ชั่วโมง
2. นักเรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น จานวน 10 ข้อ
3. นกั เรยี นทากจิ กรรมเป็นรายกลุ่มและศกึ ษาวธิ ดี าเนนิ กิจกรรมใหเ้ ข้าใจ
4. นกั เรียนปฏิบตั ิกจิ กรรมในชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
5. นักเรียนทากจิ กรรมในชุดกิจกรรมการเรยี นร้ใู ห้ครบ
6. นักเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น จานวน 10 ขอ้
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 1
ชดุ ที่ 6
อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1)
สาระการเรยี นรู้และผลการเรยี นรู้
สาระ ชวี วิทยา
4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ รวมทั้งการหายใจและการ
แลกเปล่ียนแก๊ส การลาเลียงสารและการหมุนเวยี นเลอื ด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การเคล่ือนที่ การสืบพันธุ์
และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์
รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้
7. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างและหน้าท่ีของ ตา หู จมูก ล้ิน และผิวหนังของ
มนุษย์ ยกตัวอย่างโรคต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง และบอกแนวทางในการดูแลป้องกัน
และรกั ษา
8. สังเกต และอธิบายการหาตาแหน่งของจุดบอด โฟเวีย และความไวในการรับ
สมั ผสั ของผวิ หนงั
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 2
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายโครงสรา้ งและหน้าทขี่ องอวัยวะรับความรู้สึก ตา และจมกู (K)
2. หาตาแหน่งของจดุ บอดและโฟเวยี (P)
3. สบื คน้ ขอ้ มูลเกยี่ วกบั โรคทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั อวยั วะรับความรสู้ ึก ตา และจมกู (P)
4. นาความรมู้ าใชใ้ นการดูแลรกั ษาและป้องกันอันตรายของอวยั วะรับความรู้สกึ ตา
และจมูก (A)
5. ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเก่ียวกับอวัยวะรับความรู้สึก ตา
และจมูก ในการร่วมกจิ กรรมการเรียนการสอนและนาความรไู้ ปใช้ในชีวติ ประจาวนั (A)
6. สนใจใฝ่รูใ้ นการศึกษาและมุง่ มน่ั ในการทางาน ทางานร่วมกบั ผ้อู ื่นอยา่ งสร้างสรรค์
ยอมรบั ความคดิ เห็นของผู้อนื่ ได้ (A)
แนวความคดิ รวบยอด
ตอ่ เนอื่ ง
อวัยวะรบั ความรู้สึก (1)
ตาประกอบด้วย ช้ันสเคลอรา โครอยดแ์ ละเรตินา เลนส์ตาเป็นเลนส์นูนอยู่ถัดจาก
กระจกตาทาหน้าท่ีรวมแสงจากวัตถุไปที่เรตินา ซ่ึงประกอบด้วย เซลล์รับแสง และเซลล์
ประสาททน่ี ากระแสประสาทสู่สมอง
ตา เม่ือแสงตกกระทบกับวัตถุและสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตา แสงผ่านรูม่านตาโดยมี
เลนส์ตาทาหน้าท่ีรวมแสงไปตกบริเวณเรตินาที่ประกอบด้วยเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวย
แลว้ แปลเป็นกระแสประสาทสง่ ไปทางเส้นประสาทสมองค่ทู ี่ 2 เขา้ สู่สมองส่วนออพติกโลบ
หูประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หูส่วนนอก หูส่วนกลางและหูส่วนใน ภายในหูส่วนในมี
คอเคลีย ซ่ึงทาหน้าท่ีรับและเปล่ียนคล่ืนเสียงเป็นกระแสประสาท นอกจากน้ียังมีเซมิเซอร์คิว
ลารแ์ คเเนลทาหน้าทร่ี บั รเู้ กี่ยวกับการทรงตัวของรา่ งกาย
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 3
หู เม่อื คล่ืนเสียงผ่านเข้าหู จากหูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน คลื่นเสยี งจะ
ทาให้ของเหลวในคอเคลียส่ันสะเทือน แล้วแปลเป็นกระแสประสาทส่งไปยังเส้นประสาท
สมองคู่ท่ี 8 เพ่ือเข้าสู่สมองส่วนเซรีบรัม และยังทาหน้าท่ีรับรู้การทรงตัวของร่างกายโดย
อาศัยการเปลี่ยนแปลงของของเหลวในเซมเิ ซอร์ควิ ลาร์แคแนล แล้วแปลเป็นกระแสประสาท
สง่ ไปยงั เสน้ ประสาทสมองคู่ท่ี 8 เพ่อื เขา้ สูส่ มองสว่ นเซรีเบลลมั
สาระสาคญั
ตา เมื่อแสงตกกระทบกับวัตถุและสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตา แสงผ่านรูม่านตาโดยมีเลนส์
ตาทาหน้าที่รวมแสงไปตกบริเวณเรตินาท่ีประกอบด้วยเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวย แล้วแปลเป็น
กระแสประสาทส่งไปทางเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 2 เข้าสูส่ มองสว่ นออพติกโลบ
หู เม่ือคลนื่ เสียงผ่านเข้าหู จากหูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูสว่ นใน คลื่นเสียงจะทา
ให้ของเหลวในคอเคลียสั่นสะเทือน แล้วแปลเป็นกระแสประสาทส่งไปยังเส้นประสาทสมองคู่ที่ 8
เพ่ือเข้าสู่สมองส่วนเซรีบรัม และยังทาหน้าท่ีรับรู้การทรงตัวของร่างกายโดยอาศัยการเปลี่ยนแปลง
ของของเหลวในเซมิเซอร์คิวลาร์แคแนล แล้วแปลเป็นกระแสประสาทส่งไปยังเส้นประสาทสมองคู่ท่ี
8 เพื่อเข้าสู่สมองสว่ นเซรเี บลลัม
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 4
รายวชิ าชีววิทยา 4 แบบทดสอบกอ่ นเรียน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6
เร่ือง อวยั วะรับความร้สู ึก (1)
รหัสวชิ า ว30244
คาชแ้ี จง 1. แบบทดสอบฉบบั น้ี จานวน 10 ขอ้ คะแนนเตม็ 10 คะแนน เวลาทีใ่ ช้ 10 นาที
2. จงเลอื กคาตอบท่ีถกู ต้องทสี่ ุด แล้วเขียนเคร่อื งหมาย ลงในกระดาษคาตอบ
1. เซลลร์ ับแสงของมนุษย์อยู่ในตาช้ันใด
ก. เรตินา
ข. มา่ นตา
ค. โครอยด์
ง. กระจกตา
2. ขอ้ ใดกลา่ วถึงเรตนิ าในบริเวณทพี่ บเซลล์รูปแทง่ มากกวา่ รปู กรวยได้ถกู ต้อง
ก. มองเหน็ ภาพได้ชัดเจน
ข. รับภาพในทท่ี ่ีมีแสงน้อย
ค. แยกความแตกต่างของสไี ด้
ง. มองเห็นภาพในระยะไกลได้
3. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ การแกไ้ ขความผดิ ปกติของสายตาได้ถกู ต้อง
ความผิดปกติ การแก้ไข
ก. สายตาสั้น สวมแว่นตาเลนสน์ ูน
ข. สายตาสั้น สวมแว่นตาเลนส์ทรงกระบอก
ค. สายตายาว สวมแวน่ ตาเลนสน์ ูน
ง. สายตายาว สวมแวน่ ตาเลนสเ์ ว้า
4. หากเป็นโรคตาบอดสีแดงจะเหน็ ไฟจราจรสีใดผดิ ปกติ
ก. สแี ดง
ข. สีเหลือง
ค. สีแดงและสีเขยี ว
ง. สีแดงและสเี หลือง
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 5
5. ในขณะอา่ นหนงั สือ กล้ามเนือ้ ยดึ เลนสแ์ ละเอ็นยดึ เลนส์มีลักษณะอยา่ งไร
กลา้ มเน้อื ยดึ เลนส์ เอน็ ยึดเลนส์
ก. หดตวั ตงึ
ข. หดตวั หย่อน
ค. คลายตวั ตงึ
ง. คลายตวั หยอ่ น
6. ท่อยสู เตเชยี นท่ีพบในหชู ้นั กลางทาหนา้ ทีใ่ ด
ก. ปรับความดันอากาศ
ข. ควบคมุ การทรงตวั ของร่างกาย
ค. ขยายการส่นั สะเทอื นของคล่ืนเสียง
ง. เปลยี่ นสญั ญาณเสยี งเปน็ กระแสประสาท
7. โฟเวียมปี รมิ าณเซลลร์ ปู แทง่ และเซลลร์ ูปกรวยอยา่ งไร
ก. พบเฉพาะเซลล์รูปแทง่
ข. พบเฉพาะเซลลร์ ูปกรวย
ค. พบเซลลร์ ปู แทง่ มากกวา่ เซลล์รูปกรวย
ง. พบเซลล์รปู กรวยกากกวา่ เซลลร์ ูปแทง่
8. ในขณะขึ้นเครอื่ งบนิ จะรู้สึกปวดแก้วหู ร่างกายมกี ลไกปรับสมดุลโดยอาศยั การทางานของ
โครงสรา้ งใด
ก. เยอ่ื แก้วหู
ข. แอมพูลลา
ค. ท่อยูสเตเซียน
ง. เซมิเซอร์ควิ ลารแ์ คแนว
9. ในการเลน่ เครือ่ งเล่นในสวนสนกุ จะส่งผลต่อการทางานของโครงสรา้ งใดของหูมากที่สุด
ก. กระดูกค้อน โกลน และท่งั ในหูสว่ นกลาง
ข. เซมิเซอร์คิวลารแ์ คแนวในหสู ่วนใน
ค. ทอ่ ยสู เตเซียนในหูส่วนกลาง
ง. เยื่อแกว้ หใู นหูส่วนนอก
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 6
10. หากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 ถกู ทาลายจะสง่ ผลอย่างไร
ก. ไมส่ ามารถรับกลน่ิ อาหารได้
ข. ไมส่ ามารถกลอกนยั น์ตาได้
ค. ไมส่ ามารถรับรสอาหารได้
ง. ไมส่ ามารถแปลผลภาพได้
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 7
บัตรเน้ือหา
ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ชดุ ที่ 6 อวัยวะรับความรู้สึก (1)
6.1 ตากับการมองเห็น
การมองเหน็ จะเกิดขึ้นได้เมือ่ มีแสงจากวัตถทุ ่ีเรากาลังมองอยู่ตกกระทบกบั ตัวรับภาพ
ในดวงตา (photoreceptor) และส่งข้อมูลไปยังสมอง สมองส่วนรับภาพจะจัดเรียงแปลผลข้อมูล
และสร้างเป็นภาพให้รู้สึกมองเห็นได้ ส่วนส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น พวกโพรโทซัวแบคทีเรีย
จะตอบสนองตอ่ แสงสวา่ งได้แตไ่ ม่มีอวยั วะรบั ภาพ
ภาพที่ 6.1 ภาพจาลองกลไกการมองเห็นภาพ
ทมี่ า : https://sites.google.com/site/lamaiyodpho/bth-thi-2-saeng/6-naynta-laea-
kar-mxng-hen
ดวงตาท่ีเราเห็นอยู่บนใบหน้าเป็นเพียงส่วนหน่ึงของลูกตาส่วนท่ีเหลือจะจมลึกอยใู่ นกระดูก
เบ้าตาท่ีมีขนาดเสน้ ผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ซึง่ เป็นส่วนของกะโหลกศีรษะเพ่ือป้องกัน
อันตรายส่วนท่ีเปิดสู่ภายนอกจะไม่ได้รับการคุ้มกันอันตรายจากกระดูกเบ้าตาแต่จะไ้ด้รับ การชาระ
ลา้ งด้วยน้าตาทุกคร้ังเม่อื กระพริบตาและมีเปลอื กตาปดิ คลุมดวงตาไว้เพื่อป้องกันไมใ่ หไ้ ด้รบั อนั ตราย
ส่วนขนตาจะคอยป้องกันฝุ่นละอองลูกตายังสามารถเคล่ือนไหวไปมาได้ในช่องกระบอกตาโดยการ
ทางานของกล้ามเนื้อตาจานวนหกมัดนอกจากน้ียังมีส่วนประกอบอ่ืนๆท่ีอยู่ภายในเบ้า ตาซ่ึงได้ถูก
ออกแบบมาเพื่อทาหน้าที่เฉพาะเจาะจงอย่างมีประสิทธิภาพย่ิงโดยเรียงลาดับจากด้านนอกเข้าไป
ดา้ นในตามลาดับดังน้ี
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 8
ภาพท่ี 6.2 สว่ นประกอบของตาด้านขา้ ง
ที่มา : https://sites.google.com/site/lamaiyodpho/bth-thi-2-saeng/6-naynta-laea-
kar-mxng-hen
ภาพท่ี 6.3 ตา
ทม่ี า : คลงั ภาพ อจท.
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 9
ภาพท่ี 6.4 เรตนิ า
ท่มี า : คลังภาพ อจท.
ตาเปน็ อวยั วะรบั สัมผัสแสง (photpreceptor) มีโครงสร้างแบง่ ออกเป็น 3 ชั้น ดงั น้ี
1. สเคอรา หรือเปลือกลูกตา (sclera)
เป็นชั้นท่ีเหนียวแต่ไม่ยืดหยุ่น อยู่ชั้นนอกสุดเห็นเป็นสีขาวส่วนท่ีอยู่ด้านหน้ามีลักษณะ
ใสและนูนออกมาเรียกว่ากระจกตา (cornea) ทาหน้าท่ีรับและให้แสงผ่านเข้าสู่ภายในกระจกตามี
ความสาคัญมากเพราะถ้าเป็นอันตรายหรือพิการเป็นฝ้าทึบ จะมีผลกระทบต่อการมองเห็นปัจจุบัน
แพทย์สามารถนากระจกตาของผเู้ สยี ชวี ิตใหม่ๆซ่ึงไดร้ ับบรจิ าคมาเปล่ยี นให้กับคนท่ีมกี ระจกตาพกิ าร
เพ่อื ใหส้ ามารถมองเห็นไดเ้ หมอื นเดิม
2. โครอยด์ (choroid)
เป็นชั้นท่ีมีเส้นเลือดมาเล้ียงมากมายส่วนที่ยื่นออกไปด้านหน้าเรียกว่า ซีเลียรีบอด้ี
(ciliary body) ทาหน้าท่ีสร้างของเหลวท่ีเรียวว่า เอเควียวฮิวเมอร์ (aqueous humor) เข้าไปอยู่ใน
ชอ่ งว่างของลูกตาด้านหน้าเลนซ์โดยปกตขิ องเหลวนี้จะถูกดดู ซึมกลับเขา้ เส้นเลือดดาของตาโดยผ่าน
ทางท่อแคแนลออฟชเลม (canal of Schlemm) ดังนั้นถ้ามีการอุดตันของท่อเกิดข้ึนจะทาให้ความ
ดันของของเหลวในลูกตาสูงและเป็นสาเหตุของโรคต้อหิน(glaucoma) ในชั้นนี้ยังมีรงควัตถุหรือสาร
สแี ผ่กระจายอยู่เป็นจานวนมากเพื่อป้องกันไม่ใหแ้ สงสวา่ งทะลุผา่ นชนั้ เรตนิ าไปยังดา้ นหลังของลูกตา
โดยตรงคนเราจะมีสีตาต่างกันเนื่องจากมรี งควตั ถตุ า่ งชนิดกัน
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 10
ภาพที่ 6.5 โครงสรา้ งของตา
ท่มี า : หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพิ่มเตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชีววิทยา
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 เลม่ 1 บริษัทอักษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จากัด (หนา้ 72)
ชัน้ ของตาที่มีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงและมีสารสีกระจายอยู่จานวนมาก ด้านหน้าของ
โครอยด์มีเลนสต์ า (lens) ท่เี ป็นเลนส์นูนเพอื่ ป้องกันไม่ใหแ้ สงทะลุผ่านเรตนิ าไปยังด้านหลังของตาได้
โดยตรง บริเวณหน้าเลนส์เป็นม่านตา (iris) ซึ่งมีรูม่านตา (pupil) เป็นช่องให้แสงผ่านเข้าไปได้
ปริมาณแสงท่ีผ่านเข้าส่ตู าข้ึนอยู่กับม่านตา ซ่ึงอาศัยการทางานของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเน้ือทเี่ รียง
ตวั ตามแนวรัศมี ทาให้สามารถควบคุมปริมาณแสงทผี่ า่ นเข้าสู่ตาได้ นอกจากน้ี เลนสต์ ายงั ทาหนา้ ท่ี
กั้นตาออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ช่องหน้าเลนส์และช่องหลังเลนส์ ภายในช่องทั้งสองมีน้าเลี้ยงลูกตา
บรรจุอยู่ ทาหนา้ ที่ปรับความดันของนัยน์ตาให้เป็นปกติ นา้ เล้ยี งลูกตาทอี่ ยูใ่ นชอ่ งหนา้ เลนส์ทาหน้าท่ี
ให้สารอาหารและแก๊สออกซเิ จนแกก่ ระจกตา สว่ นนา้ เล้ียงลูกตาท่ีอยู่ในช่องหลงั เลนส์ช่วยให้ลูกตาคง
รูปอยู่ได้
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 11
3. จอตาหรือเรตินา (retina)
เป็นเน้ือเยื่อชั้นในสุดประกอบด้วยเซลล์ประสาทและเซลล์ซึ่งไวต่อแสงเรียงตัวกันเป็น
ชัน้ ในชอ่ งว่างของลูกตาดา้ นหลงั ของเลนซแ์ ละส่วนที่ติดกับเรตนิ ามขี องเหลวลักษณะคล้ายว้นุ เรียกว่า
วิสเทรียสฮิวเมอร์ (vitreous humor) บรรจุอยู่ช่วยทาให้ลูกตาคงรูปร่างอยู่ได้เรตินาทาหน้าท่ีเป็น
จอรับภาพเน่อื งจากมเี ซลล์รับแสง 2 ชนิดคือ เซลล์รปู แท่ง (rod cell) ซ่ึงไวตอ่ การรับแสงสว่างแตไ่ ม่
สามารถแยกความแตกตา่ งของสีได้ ส่วนเซล้ล์อกี ประเภทหนงึ่ เปน็ เซลลร์ ูปกรวย (cone cell) ซ่ึงเป็น
เซลล์ท่ีแยกความแตกต่างของสีได้แต่ตอ้ งการแสงสว่างมากจึงบอกสีของวัตถุได้ถูกต้องจอตาหรือเรติ
นาขา้ งหน่งึ จะมเี ซลล์รปู แทง่ ประมาณ 125 ล้านเซลล์และเซลลร์ ูปกรวยประมาณ 7 ล้านเซลล์
นอกจากช้ันเรตินาจะมีเซลล์ท่ีไวต่อแสงดังกล่าวแล้วยังมีเซลล์ประสาทอ่ืนท่ีรับกระแส
ประสาทท่ีรวมกันเป็นมัดเพื่อส่งไปยังเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 2 แล้วส่งต่อไปยังสมองส่วนซีรีบรัมที่มี
หน้าท่ีควบคุมเกี่ยวกับการมองเห็น จะเห็นว่าแสงจะตกกระทบผ่านชั้นเซลล์ปมประสาท (ganglion
cells) และ เซลล์ประสาทชนิดสองขั้ว (bipolar cells) แล้วจึงจะมาถึงช้ันของเซลล์รูปแท่งและรูป
กรวยท่ีไวต่อแสงท่ีเม่ือมีพลังงานแสงมากระตุ้นจะเกิดการเปล่ียนแปลงการซึมผ่านของเย่ือบุ
(membrane permeability) จนเกดิ เปน็ กระแสประสาทสง่ ผ่านเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 ไปยังสมอง
ได้ บริเวณด้านหน้าของเลนซ์ (lens) จะมีแผ่นเนื้อเย่ือเรียกว่าม่านตา (iris) ออกมาบังบางส่วนของ
เลนซ์ (lens) ไวเ้ หลอื บรเิ วณตรงกลางให้แสงผ่านเขา้ ไปสเู่ ลนซ์ (lens) ได้เรยี กว่ารูมา่ นตา (pupil) ถ้า
มองจากภาพท่ี 3.4 ซึ่งแสดงรูปด้านข้างของดวงตาจะเห็นว่าด้านหน้าของแก้วตาหรือเลนซ์ตามีม่าน
ตา (iris) ย่ืนลงมาจากดา้ นบนและดา้ นล่างของผนงั คอรอยด์คล้ายกับเป็นผนังกั้นบางส่วนของแกว้ ตา
หรอื เลนซ์เพื่อควบคุมปริมาณแสงให้พอเหมาะ้ทจี่ ะผา่ นไปสูเ่ ลนซ์ตาโดยมา่ นตาสามารถเปดิ กวา้ งมาก
หรือน้อยตามความสว่างของแสงเพื่อเปิดเป็นช่องกลางท่ีเหลือมีลักษณะกลม ให้แสงผ่านเข้าถ้าแสง
สวา่ งมากรูม่านตาจะเปิดนอ้ ยแสงสวา่ งนอ้ ยรมู า่ นตาจะเปดิ กว้าง
เรตินา (retina) บริเวณที่มีเซลล์รับแสง ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ เซลล์รูปแท่ง (rod
cell) ซ่ึงมีความไวในการรับแสงมากแม้อยู่ในบริเวณท่ีมีแสงน้อย แต่ไม่สามารถแยกความแตกต่าง
ของสีได้ และเซลล์รูปกรวย (cone cell) ซงึ่ สามารถแยกความแตกต่างของสีได้ แต่ต้องการแสงสว่าง
ที่เพียงพอ เซลล์ท้ัง 2 ชนิด ทาหน้าท่ีรับแสงและส่งกระแสประสาทไปยังเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2
แล้วส่งต่อไปยังสมองส่วนเซรีบรัมเพื่อแปลภาพที่ตามองเห็น ปกติเซลล์รูปแท่งมีปริมาณมากกว่า
เซลล์รปู กรวย แต่บางบรเิ วณจะมีเซลล์รูปกรวยมากกว่า เรียกบริเวณน้ันวา่ โฟเวีย (fovea) ซ่ึงแสงท่ี
ตกบริเวณน้ีจะเกิดภาพชัดเจน แต่บางบริเวณไม่มีท้ังเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยอยู่เลย เรียกว่า
จุดบอด (blind spot) ซ่งึ แสงทีต่ กบรเิ วณนจ้ี ะไมม่ ภี าพเกดิ ขน้ึ
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 12
ภาพท่ี 6.6 เรตนิ า
ทีม่ า : หนังสอื เรียนรายวิชาเพิม่ เติมวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชวี วิทยา
ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6 เลม่ 1 บริษัทอกั ษรเจริญทัศน์ อจท. จากดั (หนา้ 72)
การเกิดภาพเกิดข้ึนเมื่อแสงจากวัตถุผ่านเข้าสู่กระจกตา มีเลนส์ตาทาหน้าท่ีรวมแสงไป
ตกบนจอตา เมื่อเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยได้รับแสงจะส่งสัญญาณประสาทผ่านเส้นประสาท
สมองคทู่ ่ี 2 สง่ ไปยงั สมอง
การหักเหของแสงขึ้นอยู่กับความโค้งของกระจกตาและเลนส์ตา ปกติความโค้งของ
กระจกตาจะคงที่เสมอ ส่วนความโค้งของเลนส์ตาจะเปลยี่ นแปลงได้โดยการทางานของเอ็นยึดเลนส์
(suspensory ligament) และกล้ามเนื้อยึดเลนส์ (ciliary muscle) การหดตัวและคลายตัวของ
กล้ามเนือ้ ยึดเลนส์มีผลทาให้เอ็นยดึ เลนสห์ ย่อนและตงึ ได้
หากกล้ามเน้ือยึดเลนสห์ ดตัว เอ็นยึดเลนส์จะหย่อนลง ทาให้เลนสโ์ ป่งออก ผวิ ของเลนส์
จึงโค้งนูนข้ึน ทาใหจ้ ุดโฟกัสใกล้เลนสม์ ากข้ึนเหมาะกบั การมองภาพในระยะใกล้ แตห่ ากกล้ามเน้อื ยึด
เลนส์คลายตัว เอ็นยึดเลนส์จะตึงเลนส์จะโค้งนูนน้อยลง ทาให้จุดโฟกัสอยู่ไกลเลนส์ เหมาะกับการ
มองภาพในระยะไกล
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 13
ภาพที่ 6.7 กลไกการมองเห็นภาพ
ทมี่ า : หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วิทยา
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 เลม่ 1 บริษัทอักษรเจริญทัศน์ อจท. จากดั (หนา้ 74)
ภาพที่ 6.8 การเปลย่ี นแปลงรปู รา่ งของเลนส์ตาในการมองภาพระยะใกล้ (บน)
และการมองภาพระยะไกล (ล่าง)
ทม่ี า : หนงั สือเรียนรายวชิ าเพ่ิมเติมวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชวี วิทยา
ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 6 เลม่ 1 บริษัทอกั ษรเจรญิ ทัศน์ อจท. จากดั (หน้า 74)
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 14
ผู้ที่มีความผิดปกติทางสายตา เช่น สายตาส้ัน (myopia) สายตายาว (hypermettropia)
สายตาเอยี ง (astigmatism) มีสาเหตุและวธิ ีแก้ไข ดังนี้
ภาพที่ 6.9 ความผดิ ปกติของสายตาและการแกไ้ ขความผดิ ปกติของสายตา
ท่มี า : หนังสอื เรียนรายวชิ าเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วิทยา
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 เลม่ 1 บรษิ ัทอักษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จากดั (หนา้ 75)
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 15
การมองเหน็ ภาพเป็นกลไกทเ่ี กดิ จากสารโรดอพซิน (rhodopsin) ทีฝ่ งั ตวั อยบู่ นเย่อื หมุ้ เซลล์
ของเซลล์รูปแท่ง โรดอพซินประกอบด้วยโปรตีนออพซิน (opsin) กับสารเรตินอล (retinol) ซึ่งไวต่อ
แสง การเปลยี่ นแปลงของโรดอพซนิ ทาใหเ้ กดิ การมองเห็นภาพ ดังน้ี
ภาพที่ 6.10 การเปลยี่ นแปลงของโรดอพซินเมอื่ ถูกกระตนุ้ ดว้ ยแสง
ทีม่ า : หนงั สือเรียนรายวิชาเพม่ิ เติมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา
ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6 เลม่ 1 บรษิ ัทอกั ษรเจริญทศั น์ อจท. จากดั (หนา้ 76)
แสงกระตุ้นเซลล์รูปแท่ง
โมเลกุลของเรตินอลเปล่ียนรูปจนไม่สามารถจับกับโมเลกุลของออพซินได้ และส่ง
กระแสประสาทผา่ นเส้นประสาทสมองคูท่ ี่ 2 เพ่อื แปลภาพ
เมื่อไม่มแี สง เรตินอลจะเปลยี่ นรปู กลับเปน็ โมเลกุลรูปแบบเดิม
เรตนิ อลจับกับออพซนิ กลายเป็นโรดอพซนิ
เซลล์รูปกรวยท่ีพบในชั้นเรตินาแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามความไวต่อช่วงคล่ืนแสง ได้แก่
เซลล์รูปกรวยไวต่อแสงสีน้าเงิน เซลล์รูปกรวยไวต่อแสงสีแดง และเซลล์รูปกรวยไวต่อแสงสีเขียว
เซลล์รูปกรวยแตล่ ะชนิดจะถกู กระตุ้นด้วยช่วงของความยาวคลืน่ แสงท่ีแตกต่างกัน
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 16
การมองเห็นสีของวตั ถไุ ด้มากกว่า 3 สี เกิดจากการผสมแสงสีตา่ ง ๆ เช่น การมองเห็นวัตถุสี
เหลืองเกิดจากเซลล์รูปกรวยไวต่อแสงสีเขียวและเซลล์รูปกรวยไวต่อแสงสีแดงถูกกระตุ้นพร้อมกัน
การมองเห็นวัตถุสีขาวเกิดจากเซลล์รูปกรวยทั้ง 3 ชนิด ถูกกระตุ้นพร้อมกัน แต่หากเกิดความ
บกพรอ่ งของเซลล์รูปกรวยจะทาใหเ้ กิดโรคตาบอดสี ซงึ่ ไม่สามารถแยกความแตกต่างของสไี ด้ โรคตา
บอดสีที่พบมากท่ีสุด คือ ตาบอดสีแดงและสีเขียวซ่ึงเป็นลักษณะท่ีถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรมและมี
โอกาสพบในเพศชายมากกวา่ เพศหญิง
ภาพท่ี 6.11 การมองเหน็ สีตา่ ง ๆ ท่ีเกิดจากเซลลร์ ูปกรวยถูกกระตนุ้
ท่ีมา : หนังสอื เรียนรายวิชาเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชีววิทยา
ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 1 บรษิ ทั อักษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จากดั (หนา้ 76)
6.2 หกู ับการไดย้ ิน
หู เป็นอวัยวะที่ทาหน้าที่รับเสียงและแยกความแตกต่างของคลื่นเสียง รวมทั้งยังทา
หนา้ ทร่ี กั ผาการทรงตัวและสมดลุ ของร่างกาย
หูส่วนนอก
ประกอบด้วยใบหู (pinna) เป็นกระดูกอ่อนที่สามารถพับงอได้ ทาหน้าท่รี ับและ
รวมคลนื่ เสยี งส่งผ่านเข้าสู่รูหู (auditory canal) ทีเ่ ปน็ ท่อยาวทาหน้าทเ่ี ป็นทางเดินของคลนื่ เสยี งเข้า
สู่หูส่วนกลาง ภายในรูหูมีขนและต่อมสร้างไขมันหรือต่อมสร้างข้ีหู (ceruminous gland) ช่วย
เคลือบรูหู ทาให้เกิดความชุ่มชื้น ป้องกันแมลง ฝุ่นละออง และเช้ือโรคเม่ือไขมันท่ีสร้างขึ้นมีปริมาณ
มากจะรวมกันเป็นข้ีหูและหลุดออกมาเองรูหูมีความยาวไปจนถึงเยื่อแก้วหู ( tympanic
membrane) มีลักษณะเป็นเย่ือบาง ๆ และเป็นส่วนท่ีเชื่อมระหว่างหูส่วนนอกกับหูส่วนกลางเยื่อ
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 17
เหล่านจ้ี ะสั่นสะเทือนและแยกคลื่นเสียงออกเป็นระดบั เสียงต่างๆ และมีความไวต่อการเปล่ียนแปลง
ความดนั ซงึ่ คลืน่ เสยี งมีผลทาใหค้ วามดนั ในช่องหเู ปลีย่ นแปลงได้
ใบหู ยื่นเป็นมุมประมาณ ๓๐ องศา จากด้านข้างของศีรษะ แกนกลางของใบหู
เป็นกระดูกอ่อนชนิดยืดหยุ่นได้ (elastic) ช้ินเดียว หุ้มด้วยผิวหนังทั้งสองด้าน ยกเว้นติ่งหู ไม่มี
กระดูกอ่อน มีแต่เย่ือพังผืด และไขมันหลวมๆ กระดูกอ่อนนี้ ไม่เรียบ แต่มีส่วนนูนย่ืนขึ้นมา
และระหวา่ งสว่ นท่ีนูนกเ็ ป็นแอง่ ใบหจู งึ ไมเ่ รยี บท้งั สองด้าน
ภาพที่ 6.12 หสู ว่ นนอก
ทีม่ า : https://www.saranukromthai.or.th/
โดยปกติมนุษย์ได้ยินเสียงในช่วงความถ่ี 20-20,000 เฮิรตซ์ หรือเรียกว่า ช่วง
การไดย้ ิน ส่วนเสียงทม่ี คี ่าความถีต่ า่ หรือสูงกว่าจะไม่สามารถได้ยินได้ แต่สตั ว์บางชนิดสามารถไดย้ ิน
ได้ เช่น สุนัขสามารถได้ยินเสียงท่ีมีความถ่ีต่าหรือสูงกว่าการได้ยินของมนุษย์ ค้างคาวสามารถได้ยิน
เสยี งที่มีความถสี่ งู กว่าการไดย้ นิ ของมนุษย์
รูหู เป็นช่องทางติดต่อระหว่างแอ่งลึกสุดของใบหู ไปจนถึงเย่ือแก้วหูลึก
ประมาณ ๒๔ มิลลิเมตร ประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ รูหูส่วนกระดูกอ่อน ยาว ๘ มิลลิเมตร เป็นส่วนท่ี
ต่อจากกระดูกอ่อนของใบหู และรูหูส่วนกระดูกยาว ๑๖ มิลลิเมตร เป็นส่วนที่มีผนังเป็นกระดูก
ติดต่อลึกเข้าไปจากส่วนกระดูกอ่อน รูหูทั้งหมดไม่เป็นช่องตรงทีเดียว แต่จะโค้งเล็กน้อย รูหูจะคอด
เป็นบางแห่ง เช่น ที่รอยต่อระหวา่ งส่วนกระดูกและ ส่วนกระดูกอ่อน และท่ีส่วนกระดูกห่างจากเยื่อ
แก้วหู ๒-๓ มิลลิเมตร รูหู จะบุด้วยผิวหนัง ที่ส่วนกระดูกอ่อน ผิวหนังค่อน ข้างหนา และมีขน และ
ยังมตี ่อมข้หี ดู ว้ ย
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 18
เยื่อแก้วหู
รูปร่างเป็นแผ่นกลม ก้นบุ๋ม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประ มาณ ๑๐ มิลลิเมตร
วางเฉียงๆ หันลงล่างไปทางข้างหน้า และใกล้ริม ในคนมีชีวิต เย่ือแก้วหู มีสีเทาเป็นเงาแต่อาจมีสี
เหลืองอ่อน และแดงปนด้วย มีด้ามของกระดูกค้อนติดที่ด้านในของเย่ือแก้วหู จุดกึ่งกลางของเย่ือ
แก้วหูจึงถกู ดงึ เข้าไปเป็นรอยบมุ๋
หูสว่ นกลาง
เป็นโพรงถัดจากเยื่อแก้วหูของหูส่วนนอกและติดกับหูส่วนใน ทาหน้าท่ีขยาย
เสยี งและปอ้ งกนั เสยี งดังประกอบดว้ ยกระดูก 3 ชิ้นได้แก่ กระดูกคอ้ น (malleus) กระดกู ทั่ง (incus)
และกระดูกโกลน (stapes) ยดึ ติดกนั ทาหน้าท่ีขยายการส่นั สะเทือนของคลนื่ เสียงและสง่ เข้าหูสว่ นใน
หูส่วนกลางยังติดต่อกับโพรงจมูกและมีท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ติดต่อกับคอหอย
ทาหน้าที่ปรับความดันภายในหูส่วนกลางกบั ภายนอกให้เทา่ กันโดยผ่านอากาศบางส่วนไปทางท่อยู่ส
เตเชยี น หากความดันของ 2 ตาแหน่งแตกต่างกัน จะทาให้หอู ื้อหรือปวดหู ปกติท่อยูสเตเชียนจะปิด
แต่จะเปิดเมื่อเด้ียวหรือกลืนอาหาร และหากมีการติดเชื้อที่คอหรือจมูกเป็นผลทาให้เช้ือโรคเข้าสู่หู
ส่วนกลางได้ทางทอ่ ยูสเตเชยี นเชน่ กนั
เป็นโพรงอากาศเล็กๆ ในกระดูก อยู่ระหว่างเย่ือแก้วหกู ับหูส่วนใน ภายในโพรง
น้ีมีกระดูกหูเล็กๆ ๓ ช้ิน คือ กระดูกค้อน กระดูกท่ัง และกระดูกโกลน ซึ่งต่อกันจากเย่ือแก้วหูไปยัง
ผนังใกล้ริมของหูส่วนใน เพื่อนาคลื่นเสียงท่ีมากระทบเย่ือแก้วหูไปยังหูส่วนในได้ หูส่วนกลางยาว
และสูงประมาณ ๑๕ มิลลิเมตร แต่กว้างเพียง ๖ มิลลิเมตรท่ีส่วนบน ๔ มิลลิเมตรที่ส่วนล่าง
และ ๑.๕-๒.๐ มิลลิเมตรท่ีส่วนกลาง โพรงอากาศของหูส่วนกลางยังมีท่อทางข้างหน้า ไปติดต่อกับ
คอหอยส่วนจมูก (nasopharynx) และมีท่อทางข้างหลัง ไปติดต่อกับโพรงอากาศ ในปุ่มกระดูกหลัง
ใบหดู ้วย
หูสว่ นใน
ประกอบด้วยโครงสรา้ ง 2 ส่วน ดังนี้
- ชุดท่ีใช้ฟังเสียง ประกอบด้วยคอเคดีย (cochlea) มีลักษณะเป็นท่อกลมขด
ซ้อนกันเป็นรูปก้นหอย 2 รอบครึ่ง ภายในบรรจุของเหลวอยู่ เม่ือมีคล่ืนเสียงผ่านเข้ามาจะทาให้เกิด
การสั่นของของเหลวในคอเคลียและเปลี่ยนสัญญาณเสียงเป็นกระแสประสาทส่งไปยังเส้นประสาท
สมองคู่ท่ี 8 เพอื่ เข้าสู่สมองสว่ นเซรีบรัม
- ชุดที่ใช้ในการทรงตัว อยู่ด้านหลังของหสู ่วนใน ทาหน้าที่รับรู้เก่ียวกับการทรง
ตัวของร่างกาย การเอียงและการหมุนของศีรษะ ประกอบด้วยเซมิเซอร์ดิวลาร์แคแนล
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 19
(semicircular canal) มีลักษณะเป็นหลอดคร่ึงวงกลม 3 หลอด ด้ังฉากกัน ภายในมีของเหลวบรรจุ
อยู่ โคนหลอดพองออก เรียกวา่ แอมพูลลา (ampulla) ภายในมีเซลล์ขนทาหน้าท่ีรับความรู้สึกซ่ึงไว
ต่อการไหลของของเหลวภายใน หากมีการเปล่ียนแปลงทิศทางของศีรษะหรือเปล่ียนการทรงตัวจะ
กระตุ้นให้ส่งกระแสประสาทออกจากเซมิเซอร์คิวลาร์แคแนลไปรวมกับกระแสประสาทของคอเคลีย
แล้วสง่ ไปยงั เส้นประสาทสมองคทู่ ี่ 8 เพ่ือเขา้ สูส่ มองสว่ นเซรบี รมั
เป็นช่องท่ีมีสารน้าอยู่ค่อนข้างสลับซับซ้อนอยู่ภายใน กระดูกที่เรียกว่า โบนีลา
บีรินธ์ (bony labyrinth) และภายในโบนีลาบีรินธ์ ยังมีท่อหรือถุงซึ่งมีผนังบางๆ อยู่อีกช้ันหนึ่ง
เรียกว่า เมมเบรนัสลาบีรินธ์ (membranous labyrinth) โบนีลาบีรินธ์ ประกอบด้วย เวสติบูล
(vestibule) ช่องเซมิเซอร์ คูลาร์(semicircularcanals) และช่องโคเคลียร์ (cochlearcanal)
ซ่งึ ภายในมีเมมเบรนสั ลาบีรนิ ธ์ ซึ่งประกอบด้วย ยตู ริเคลิ (utricle) แซคคูล (saccule) ทอ่ เซมิเซอร์คู
ลาร์ (semicircularduct) และทอ่ โคเคลียร์ (cochlear duct)
ภาพท่ี 6.13 โครงสรา้ งของหู
ที่มา : หนงั สือเรียนรายวิชาเพม่ิ เติมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 เลม่ 1 บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จากัด (หนา้ 78)
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 20
ภาพท่ี 6.14 หผู า่ ตามยาว แสดงส่วนประกอบภายใน
ทม่ี า : https://www.saranukromthai.or.th/
เวสติบูล เป็นส่วนกลางของโบนีลาบีรินธ์ ทางหลังติดต่อกับช่องเซมิเซอร์คูลาร์
และทางหน้าติดต่อกับช่องโคเคลียร์เป็นโพรงเล็กๆ ในกระดูกยาวจากหน้าไปหลัง 6 มิลลิเมตร
สงู 4 - 5 มิลลิเมตร และกวา้ ง 3 มิลลเิ มตร
ช่องเซมิเซอร์คูล่าร์ มี 3 ช่อง อยู่หลังช่องเวสติบูล ท้ังสามวางตั้งฉากซ่ึงกันและกัน
จึงให้มีช่ือตามท่ีอยู่ คือ อันหน้า อันหลัง และอันใกล้ริม ช่องน้ีอยู่ในกระดูกประมาณ 2/3 วงกลม
ซึ่งปลายหนึ่งจะโป่งออก เรียกว่า แอมพูลลา (ampulla) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 มิลลิเมตร
แต่ที่แอมพูลลาประมาณ 2.0 มิลลิเมตร เปิดเข้าสู่เวสติบูล เพียง 5 รู เนื่องจากปลายใกล้กลางของ
ช่องอันหน้ากบั ปลายบนของอนั หลังรวมกัน
ช่องโคเคลียร์ เป็นโพรงคล้ายก้นหอย ฐานกว้าง 9 มิลลิเมตร รากฐานถึงยอด 5
มลิ ลิเมตร จากฐานถึงยอด 5 มิลลิเมตร มีกระดูกเป็น แกนกลางเรียก โมดิโอลสุ (modiolus) ยาว 3
มิลลิเมตร มีช่องโคเคลียร์วนรอบโมดิโอลุส ประมาณ 2.1/2 – 2.2/3 รอบ ท่อทั้งหมดยาว 32
มลิ ลิเมตร และมีเสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 2 มลิ ลิเมตรจากกระดูกแกน มีแผน่ กระดูกบาง (osseus
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 21
spiral lamina) ย่ืนออกวนรอบโมดิโอลุส คล้ายตะปูควง ยื่นเข้าไปประมาณครึ่งหนึ่งของช่องโค
เคลียร์ จึงแบ่งช่องโคเคลียรอ์ อกเป็นสองช่อง แตไ่ มส่ มบูรณ์ จากปลายของแผ่นกระดูกวนรอบ มีแผ่น
พังผืดบาสิลาร์ (basilar membrane) ไปติดกับผนังของช่องโคเคลียร์ ทาให้แบ่งช่องโคเคลียร์เป็น
สองช่องโดยสมบรู ณ์
เมมเบรนัสลาบรี ินธ์ อยู่ภายในโบนีลาบีรินธ์ ซ่ึงมรี ูปรา่ งเหมือนโบนี ลาบีรินธ์ เว้นแต่มี
ถุงบางๆ ๒ ถุงอยู่ในเวสตบิ ลู คือ
ยตู ริเคิล เป็นถุงยาวอยู่ตอนบนและหลังของเวสตบิ ูล มีท่อเซมิเซอรค์ ูลาร์ มาเปิด 5 ท่อ
ภายในยูตเิ คิล มเี ซลลร์ ับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตวั แล้วส่งความรู้สกึ นน้ั ไปยงั สมอง
แซคคูล เป็นถุงรูปไข่อยู่หน้ายูตริเคิล ภายในก็มีเซลล์รับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว
เช่นเดียวกนั ทัง้ แซคคลู และยูตรเิ คิล มที ่อมาติดต่อซ่ึงกันและกันนอกจากน้ี แซคคูลยังมีไปต่อกับท่อ
โคเคลยี ร์ดว้ ย
ท่อเซมิเซอร์คูลาร์ มีลักษณะเป็นท่ออยู่ภายในช่องเซมิเซอร์คูลาร์ ช่องเซมิเซอร์คูลาร์
ส่วนใดโป่ง ท่อเซมิเซอร์คูลาร์ส่วนน้ันก็โป่งด้วย ภายในท่อเซมิเซอร์คูลาร์ที่โป่งออก มีสันขวาง
ประกอบด้วยเซลล์รับความรูส้ ึกเก่ียวกับการทรงตวั
ท่อโคเคลียร์ เป็นท่อวนรอบอยู่ภายในช่องโคเคลียร์ เป็นท่อรูปสามเหลี่ยม ด้านล้าง
เป็นแผ่นบาสิลาร์ และดา้ นบนเป็นแผ่นเยื่อบางๆ อีกแผ่นหน่ึง เรียกว่า แผ่นเวสติบูลาร์ (vestibular
membrane) ขึงจากด้านบนของแผ่นกระดูกวนรอบไปยังผนังของช่องโคเคลียร์ อีกด้านหนึ่งเป็น
แผ่นเยื่อของช่องโคเคลียร์ ด้านในช่องโคเคลียร์ที่ด้านบนของแผ่นบาสิลาร์มีอวัยวะสาหรับรับเสียง
(organs of corti) ซึง่ มเี ซลล์สาหรับรบั ความรสู้ ึกในการได้ยิน
ภายในเมมเบรนัสลาบีรเนธ์ทั้งหมด มีน้าที่เรียกว่า เอ็นโดลีมพ์ (endolymph) ซึ่งจะ
ตดิ ต่อกันทง้ั หมด
ภายในโบนีลาบีรินธ์ และภายนอกเมมเบรนัสลาบีรินธ์ก็มีน้าอยู่ซ่ึง เรียกว่า เพอริลีมพ์
(perilymph) ซง่ึ ตดิ ต่อกนั ทง้ั หมดเชน่ เดยี วกนั
เมอื่ มคี ลื่นเสยี งผา่ นรหู ูไปกระทบเย่อื แก้วหู เยือ่ แก้วหกู ็สั่นสะเทือน ทาให้กระดูกหเู ลก็ ๆ
ส่ันสะเทอื น ส่งต่อไปยังเพอริลมี พภ์ ายในเวสติบูล จากนั้นการสนั่ สะเทือนก็แพร่ไปยงั เพอริมลีมพ์ของ
ส่วนต่างๆ ไปสู่เซลล์สาหรับรับเสียง และเซลล์สาหรับรับความรู้สึกในการทรงตัว ซ่ึงจะส่งความรู้สึก
ตอ่ ไปยงั สมองได้ทางประสาทสมองคทู่ ี่ 8
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 22
บัตรกจิ กรรมท่ี 6.1
เรอ่ื ง การหาตาแหนง่ ของจดุ บอดและโฟเวยี
จุดประสงค์
หาตาแหน่งของจุดบดและโฟเวียในการมองเหน็ ได้
วัสดุอุปกรณ์
1. กระดาษขาว
2. ไม้บรรทัด
3. ปากกา / ดินสอ
4. อุปกรณ์ท่ีมสี สี ดใส
วธิ ีปฏบิ ตั ิ
ตอนที่ 1 การหาตาแหนง่ ของจุดบอด
1. ทาเครือ่ งหมายบวก (+) และจดุ () บนกระดาษขาวในแนวระนาบ โดยให้เครอ่ื งหมายทัง้
สองหา่ งกัน 10 เซนตเิ มตร
2. หลับตาซา้ ย เหยียดแขนขวาให้ตรง ใชม้ ือขวายกกระดาษข้ึนให้ตาแหนง่ เครอื่ งหมายบวก
ตรงกับตาขวา
3. ใชต้ าขวามองภาพเคร่ืองหมายบวกตลอดเวลา แล้วค่อย ๆ เลอื่ นกระดาษเข้ามาใกลต้ าจน
มองไมเ่ ห็นเคร่ืองหมายบวก
4. ทาซ้าขั้นตอนที่ 2. และข้ันตอนท่ี 3. โดยเปลี่ยนเป็นใชต้ าซ้ายและให้มองเคร่ืองหมายจุด
แทน
ตอนที่ 2 การหาตาแหนง่ ของโฟเวยี
1. ย่ืนแขนไปด้านหลงั เพื่อรบั อปุ กรณ์ท่ีมีสสี ดใสจากเพ่ือน แลว้ นามาถือไว้
2. ค่อย ๆ เลือ่ นแขนมาทางด้านหน้า เหลอื บตามองอุปกรณีในมือจนกระท่ังมองเหน็ อปุ กรณ์
ชนิ้ นัน้ และสามารถบอกสีของอุปกรณช์ ้นิ นน้ั ได้
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 23
ผลการทากิจกรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
คาถามทา้ ยกิจกรรม
1. เพราะเหตุใดตาขวาจึงมองไม่เห็นเคร่ืองหมายจุดและตาซ้ายจึงมองไม่เห็นเคร่ืองหมาย
บวก เมอ่ื เล่ือนกระดาษเขา้ มาใกล้ตา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. จากกิจกรรม สามารถระบไุ ด้หรือไมว่ ่าจุดบอดอยเู่ ยอ้ื งไปดา้ นใดของตา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ตาสามารถมองเหน็ สขี องอปุ กรณไ์ ด้ชัดเม่ืออปุ กรณ์นนั้ อยใู่ นทิศทางใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 24
บตั รกิจกรรมท่ี 6.2
เรื่อง อวยั วะรบั ความรูส้ กึ (1)
1. ใหน้ กเรยี นเขยี นแผนภาพโครงสรา้ งของตา
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 25
2. ให้นกเรียนเขียนแผนภาพโครงสร้างของหู
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 26
บตั รกิจกรรมท่ี 6.3
แผนผงั มโนทศั น์ เรอ่ื ง อวยั วะรับความรสู้ กึ (1)
คาชี้แจง ให้นักเรียนสรุปความรู้ที่เก่ียวกับ “อวัยวะรับความรู้สึก (1)” เป็นแผนผังมโนทัศน์
(Concept Mapping) ในกระดาษที่แจกใหแ้ ลว้ นาเสนอผลงานหน้าช้นั เรียน
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 27
บตั รกิจกรรมที่ 6.4
ถอดบทเรียน เร่ือง อวัยวะรบั ความรู้สกึ (1)
คาช้ีแจง ให้นักเรียนถอดบทเรียนที่เกี่ยวกับ “อวัยวะรับความรู้สึก (1)” ตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงเป็น ในกระดาษชาร์ตที่กาหนดให้แล้วนาเสนอผลงานโดยนาไปติดป้ายนิเทศหน้า
ชั้นเรียน
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 28
แบบฝกึ หัด
เรอื่ ง อวัยวะรบั ความรูส้ กึ (1)
คาชี้แจง : ให้นักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ใี หถ้ กู ตอ้ งท่ีสดุ
1. เพราะเหตุใดเมื่อเข้าไปในห้องท่ีมีแสงสลัว ในช่วงแรกจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่เมื่อเวลาผ่านไป
จะมองเหน็ ได้ชดั เจนข้ึน ทงั้ ทไี่ มไ่ ดเ้ พิ่มความสว่าง
............................................................................................................................. .................................
................................................................................................. .............................................................
............................................................................................................................. ................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
2. หากรา่ งกายขาดวติ ามนิ A จะส่งผลตอ่ การมองเห็นอยา่ งไร
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................. .................
................................................................................................................. .............................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
3. เพราะเหตุใดจงึ ร้สู ึกปวดแกว้ หูเม่อื ขนึ้ ดอยท่อี ยู่สงู จากระดับนา้ ทะเลมาก ๆ และร่างกายมกี ลไก
แก้ไขอย่างไร
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
............................................................................................................................. .................................
............................................................................................................................. .................................
4. การส่ันของของเหลวในคอเคลียและในเซมิเซอร์คิวลารแ์ คแนลมผี ลต่อร่างกายแตกต่างกนั อย่างไร
...................................................................................................................................... ........................
.......................................................................................................... ....................................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 29
5. เพราะเหตใุ ดเมื่อเล่นป่ันจงิ้ หรดี หลาย ๆ รอบ แลว้ หยดุ ยืนตรง จึงไม่สามารถทรงตวั ได้ตามปกติ
.................................................................................................................................... ..........................
........................................................................................................ ......................................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
6. โรคทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ตาและหู มีอะไรบ้าง แตล่ ะโรคมแี นวทางในการดูแลและรักษาโรคอย่างไร
............................................................................................................................. .................................
................................................................................................. .............................................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
..................................................................................................................................... .........................
......................................................................................................... .....................................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
............................................................................................................................................. .................
................................................................................................................. .............................................
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 30
รายวชิ าชีววิทยา 4 แบบทดสอบหลังเรยี น ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6
เรอ่ื ง อวัยวะรบั ความรู้สึก (1)
รหสั วชิ า ว30244
คาช้ีแจง 1. แบบทดสอบฉบับน้ี จานวน 10 ขอ้ คะแนนเตม็ 10 คะแนน เวลาทใี่ ช้ 10 นาที
2. จงเลอื กคาตอบที่ถูกต้องทสี่ ดุ แล้วเขียนเครื่องหมาย ลงในกระดาษคาตอบ
1. โฟเวยี มปี ริมาณเซลล์รปู แท่งและเซลลร์ ูปกรวยอยา่ งไร
ก. พบเฉพาะเซลลร์ ปู แทง่
ข. พบเฉพาะเซลลร์ ูปกรวย
ค. พบเซลล์รูปแทง่ มากกว่าเซลลร์ ปู กรวย
ง. พบเซลลร์ ูปกรวยกากกวา่ เซลล์รปู แท่ง
2. เซลล์รับแสงของมนุษย์อยใู่ นตาชั้นใด
ก. เรตนิ า
ข. ม่านตา
ค. โครอยด์
ง. กระจกตา
3. ข้อใดกล่าวถงึ เรตินาในบรเิ วณที่พบเซลลร์ ปู แทง่ มากกวา่ รปู กรวยได้ถูกต้อง
ก. มองเหน็ ภาพไดช้ ัดเจน
ข. รบั ภาพในทท่ี ี่มีแสงน้อย
ค. แยกความแตกตา่ งของสีได้
ง. มองเห็นภาพในระยะไกลได้
4. ขอ้ ใดกลา่ วถึงการแกไ้ ขความผิดปกตขิ องสายตาไดถ้ ูกต้อง
ความผิดปกติ การแก้ไข
ก. สายตาส้นั สวมแว่นตาเลนสน์ นู
ข. สายตาสน้ั สวมแวน่ ตาเลนส์ทรงกระบอก
ค. สายตายาว สวมแว่นตาเลนส์นนู
ง. สายตายาว สวมแวน่ ตาเลนสเ์ วา้
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 31
5. ในขณะอา่ นหนงั สือ กล้ามเนอื้ ยึดเลนส์และเอ็นยดึ เลนสม์ ลี กั ษณะอย่างไร
กลา้ มเนอ้ื ยึดเลนส์ เอ็นยึดเลนส์
ก. หดตัว ตงึ
ข. หดตัว หยอ่ น
ค. คลายตวั ตงึ
ง. คลายตวั หยอ่ น
6. หากเปน็ โรคตาบอดสีแดงจะเห็นไฟจราจรสใี ดผดิ ปกติ
ก. สแี ดง
ข. สีเหลอื ง
ค. สแี ดงและสีเขียว
ง. สีแดงและสเี หลือง
7. ท่อยสู เตเชียนที่พบในหชู ัน้ กลางทาหน้าที่ใด
จ. ปรบั ความดนั อากาศ
ฉ. ควบคมุ การทรงตวั ของร่างกาย
ช. ขยายการสัน่ สะเทือนของคลนื่ เสยี ง
ซ. เปลีย่ นสญั ญาณเสียงเป็นกระแสประสาท
8. ในขณะขึน้ เคร่อื งบนิ จะรสู้ ึกปวดแกว้ หู รา่ งกายมกี ลไกปรบั สมดุลโดยอาศัยการทางานของ
โครงสรา้ งใด
ก. เย่ือแกว้ หู
ข. แอมพูลลา
ค. ท่อยูสเตเซียน
ง. เซมิเซอร์คิวลาร์แคแนว
9. หากเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 1 ถูกทาลายจะส่งผลอย่างไร
ก. ไม่สามารถรับกลิ่นอาหารได้
ข. ไมส่ ามารถกลอกนยั น์ตาได้
ค. ไม่สามารถรับรสอาหารได้
ง. ไม่สามารถแปลผลภาพได้
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 32
10. ในการเล่นเครือ่ งเลน่ ในสวนสนุกจะส่งผลต่อการทางานของโครงสรา้ งใดของหูมากทสี่ ดุ
ก. กระดูกค้อน โกลน และท่ังในหูสว่ นกลาง
ข. เซมิเซอร์ควิ ลาร์แคแนวในหสู ่วนใน
ค. ทอ่ ยูสเตเซยี นในหูสว่ นกลาง
ง. เยือ่ แก้วหูในหูส่วนนอก
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 33
กระดาษคาตอบ
แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1)
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ง แบบทดสอบหลังเรยี น ง
ขอ้ ก ข ค ขอ้ ก ข ค
1 1
2 2
3 3
4 4
5 5
6 6
7 7
8 8
9 9
10 10
คะแนนเต็ม 10 คะแนน คะแนนเตม็ 10 คะแนน
ได้ ...................คะแนน ได้ ...................คะแนน
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 34
บรรณานกุ รม
เกศทิพย์ อิศรางกรู ณ อยุธยา และฤทธ์ิ วฒั นชยั ยงิ่ เจริญ. (2564). หนังสือเรยี นรายวชิ าเพ่มิ เติม
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชวี วิทยา ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 เล่ม 1. (พิมพ์ครัง้ ท่ี 3)
กรงุ เทพฯ : ไทยร่มเกลา้ , บรษิ ทั อักษรเจรญิ ทัศน์ อจท. จากัด.
จิรัสย์ เจนพาณิชย์ (2558). ชีววทิ ยาสาหรับนกั เรยี นมัธยมปลาย. กรงุ เทพมหานคร :
หจก.สามลดา.
ซีร์สตาร์ (2552). ชีววิทยา เลม่ 1. (แปลจาก Biology 1 Concepts and Applications
โดยทีมคณาจารย์ ภาควชิ าชวี วทิ ยามหาวิทยาลยั ขอนแก่น, ผแู้ ปล). กรงุ เทพมหานคร :
เจเอสที พับลิชช่งิ จากดั .
ปรชี า สวุ รรณพนิ ิจ และนงลักษณ์ สุวรรณพนิ จิ (2549). ชวี วิทยา 2. กรงุ เทพมหานคร :
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
วันดี วัฒนชัยย่ิงเจรญิ (2552). การจดั จาแนกสิง่ มีชีวิต. ภาควชิ าชวี วิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์ :
มหาวทิ ยาลยั นเรศวร.
ศกึ ษาธกิ าร, กระทรวง. (2560). ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาชนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพซ์ มุ นมุ สหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย,ี สถาบนั . (2554). หนงั สอื เรียนรายวชิ าชวี วทิ ยา
เพม่ิ เติมเล่ม 5. กรุงเทพมหานคร : สกสค.
สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี สถาบนั . (2555). คู่มือครูรายวิชาชวี วทิ ยาเพิ่มเติม
เล่ม 5. กรงุ เทพมหานคร : สกสค.
สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบนั . (2556). หนังสือเรียนรายวิชาเพม่ิ เดิม
ชวี วิทยา เล่ม 2 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร.์
พมิ พ์คร้งั ท่ี 9. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว.
ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน.(2558). หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพิ่มเดมิ
ชวี วิทยา เลม่ 1 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4-6 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์.
พมิ พค์ รง้ั ที่ 9. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพรา้ ว.
สตาร์, ซีซาย. (2553). ชวี วิทยา เลม่ 2. กรงุ เทพมหานคร : เซนเกจ เลินนิ่ง.
https://www.baanjomyut.com/library_3/extension-
1/function_of_the_nervous_system/index.html
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 35
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 36
เฉลยบัตรกิจกรรมท่ี 6.1
เรอ่ื ง การหาตาแหนง่ ของจุดบอดและโฟเวีย
จุดประสงค์
หาตาแหน่งของจุดบดและโฟเวียในการมองเห็นได้
วสั ดอุ ุปกรณ์
1. กระดาษขาว
2. ไม้บรรทัด
3. ปากกา / ดนิ สอ
4. อปุ กรณ์ท่ีมสี สี ดใส
วิธีปฏบิ ตั ิ
ตอนท่ี 1 การหาตาแหนง่ ของจุดบอด
1. ทาเครื่องหมายบวก (+) และจุด () บนกระดาษขาวในแนวระนาบ โดยใหเ้ ครือ่ งหมายทง้ั
สองหา่ งกัน 10 เซนติเมตร
2. หลบั ตาซา้ ย เหยยี ดแขนขวาให้ตรง ใชม้ ือขวายกกระดาษขนึ้ ใหต้ าแหนง่ เครือ่ งหมายบวก
ตรงกับตาขวา
3. ใช้ตาขวามองภาพเครื่องหมายบวกตลอดเวลา แลว้ ค่อย ๆ เลือ่ นกระดาษเข้ามาใกลต้ าจน
มองไม่เหน็ เครื่องหมายบวก
4. ทาซ้าขนั้ ตอนท่ี 2. และข้นั ตอนที่ 3. โดยเปลยี่ นเปน็ ใช้ตาซ้ายและให้มองเคร่ืองหมายจดุ
แทน
ตอนที่ 2 การหาตาแหนง่ ของโฟเวีย
1. ยนื่ แขนไปดา้ นหลังเพอื่ รับอุปกรณ์ที่มสี สี ดใสจากเพื่อน แล้วนามาถือไว้
2. คอ่ ย ๆ เล่ือนแขนมาทางด้านหนา้ เหลอื บตามองอุปกรณีในมือจนกระท่ังมองเหน็ อปุ กรณ์
ชิ้นนน้ั และสามารถบอกสขี องอุปกรณ์ชนิ้ น้ันได้
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 37
ผลการทากจิ กรรม
…แ…น…วค…า…ต…อ…บ………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………ข……ึ้น…………อ……ย……ู่ก……บั ……ด……ุล…………พ……นิ ……จิ ……ข…………อ……ง……ค……ร……ูผ……ูส้ ……อ……น……………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
คาถามท้ายกิจกรรม
1. เพราะเหตุใดตาขวาจึงมองไม่เห็นเครื่องหมายจุดและตาซ้ายจึงมองไม่เห็นเคร่ืองหมาย
บวก เมือ่ เลอ่ื นกระดาษเขา้ มาใกล้ตา
…แ…น…ว…ค…าต…อ…บ………………………………………………………………………………………………………………………….
………………ภ…า…พ…เค…รือ่…ง…ห…ม…าย…จ…ดุ …ตก…ล…ง…ท…ี่จดุ…บ…อ…ด…ขอ…ง…ต…าข…ว…าพ…อ…ด…ี …………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. จากกิจกรรม สามารถระบุได้หรือไมว่ า่ จดุ บอดอยเู่ ยอ้ื งไปดา้ นใดของตา
…แ…น…ว…ค…าต…อ…บ………………………………………………………………………………………………………………………….
………………จ…ุด…บ…อด…ข…อ…ง…ตา…แ…ต…่ล…ะข…้า…งเ…ย…้ือ…งไ…ป…ท…าง…ด…้าน…ใ…ก…ล้จ…ม…ูก…ด…ัง…น…ั้น…ต…าข…ว…า …จึง…ม…ีจ…ุดบ…อ…ด…อ…ย…ู่ด้…าน…ซ…้า…ย .
…ข…อ…ง…ตา……ตา…ซ…า้ ย…จ…ึง…มจี…ุด…บ…อ…ด…อย…ูด่ …า้ …น…ขว…า…ขอ…ง…ต…า………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ตาสามารถมองเห็นสีของอปุ กรณ์ไดช้ ดั เมื่ออุปกรณน์ ้ันอย่ใู นทิศทางใด
…แ…น…ว…ค…าต…อ…บ………………………………………………………………………………………………………………………….
………………เม…อื่ …อ…ปุ …กร…ณ…เ์ …ค…ลอื่…น…ท…่ีใก…ล…้แ…น…วก…า…รม…อ…ง…เห…็น…ข…อ…งต…า…จึง…ส…าม…า…ร…ถบ…อ…ก…ส…ีได…้ช…ัด…เจ…น…………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 38
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 6.2
เรื่อง อวัยวะรับความรสู้ ึก (1)
1. ใหน้ กเรยี นเขียนแผนภาพโครงสร้างของตา
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 39
2. ให้นกเรียนเขียนแผนภาพโครงสร้างของหู
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม
ชดุ ที่ 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 40
เฉลยบตั รกจิ กรรมที่ 6.3
แผนผังมโนทศั น์ เร่ือง อวัยวะรับความรู้สกึ (1)
คาช้ีแจง ให้นักเรียนสรุปความรู้ที่เกี่ยวกับ “อวัยวะรับความรู้สึก (1)” เป็นแผนผังมโนทัศน์
(Concept Mapping) ในกระดาษที่แจกให้แลว้ นาเสนอผลงานหน้าชัน้ เรียน
ข้นึ อยูก่ ับดลุ พินจิ ของครผู สู้ อน
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรับความรสู้ กึ (1) 41
เฉลยบตั รกิจกรรมที่ 6.4
ถอดบทเรียน เรือ่ ง อวยั วะรับความรสู้ กึ (1)
คาชี้แจง ให้นักเรียนถอดบทเรียนที่เก่ียวกับ “อวัยวะรับความรู้สึก (1)” ตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงเป็น ในกระดาษชาร์ตที่กาหนดให้แล้วนาเสนอผลงานโดยนาไปติดป้ายนิเทศหน้า
ชัน้ เรยี น
ขึน้ อยู่กบั ดลุ พนิ ิจของครผู สู้ อน
โดย : นางสาวนภศร เสรีกลุ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ชดุ ท่ี 6 อวยั วะรบั ความรสู้ กึ (1) 42
เฉลยแบบฝึกหดั
เร่ือง อวยั วะรับความรสู้ กึ (1)
คาชแ้ี จง : ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ งท่ีสุด
1. เพราะเหตุใดเมื่อเข้าไปในห้องท่ีมีแสงสลัว ในช่วงแรกจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่เม่ือเวลาผ่านไป
จะมองเหน็ ไดช้ ดั เจนขึน้ ทง้ั ท่ไี ม่ไดเ้ พ่มิ ความสว่าง
..แ..น...ว..ค...า..ต...อ..บ...........................................................................................................................................
................น...ัย..น...์ต..า..ข..อ...ง..ม..น...ุษ..ย...์ต..อ้ ...ง.ก...า..ร..ร..ะ..ย..ะ..เ..ว..ล..า..ใ..น..ก...า..ร..ป..ร..ับ...ใ..ห..ช้...ิน..ต...่อ..ก...า..ร..ม..อ..ง..เ.ห...น็ ..ภ...า..พ....ซ..่ึง..เ.ม...ือ่ ..เ..ป..ล..ี่ย...น.....
..จ..า..ก...บ..ร..เิ..ว..ณ...ท...ี่ม..ีแ..ส...ง..ส..ว..า่..ง..ม..า..ก...ไ.ป...ย..งั..บ...ร..เิ .ว..ณ...ท...่มี...ีแ..ส..ง..ส..ว...่า..ง.น...้อ..ย...จ..ะ..ท...า..ใ.ห...ม้..่า..น...ต..า..ป...ร..ับ..ไ..ม..่ท...นั .....แ..ต...่เ.ม...่ือ..เ.ว..ล...า...
..ผ..่า..น...ไ..ป....ร..ะ..บ...บ..ป...ร..ะ..ส...า..ท..อ...ัต..โ..น..ว..ัต...ิจ..ะ...ก..ร..ะ..ต...ุ้น..ใ..ห..้ก...ล..้า..ม...เ.น...ื้อ..ม...่า..น..ต...า..ค..่อ...ย....ๆ....ห..ด...ต..วั....ร.ูม...่า..น..ต...า..จ..ึง..เ.ป...ิด..ก...ว..้า..ง....
..ม..า..ก...ข..ึน้....แ..ส...ง..ท..ีต่...ก..บ...น..เ..ร..ต..ิน...า..ม..ีม...า.ก...ข..้ึน....ท...า..ใ.ห...้ม..อ...ง..เ.ห...็น..ภ...า..พ...ไ.ด..้ช...ดั ..เ.จ..น...ข..ึน้....................................................
2. หากรา่ งกายขาดวิตามิน A จะสง่ ผลต่อการมองเห็นอยา่ งไร
.แ..น...ว..ค...า..ต..อ..บ.............................................................................................................................................
...............ส..่ง..ผ..ล...ต..่อ...ก..า..ร..ม...อ..ง..เ.ห...็น..ใ..น...บ..ร..ิเ..ว..ณ...ท...่ีม..ีแ...ส..ง..น...้อ..ย....เ.ม...ื่อ..ร..่า..ง..ก...า..ย..ข..า..ด...ว..ิต..า..ม...ิน....A....จ...ะ..ท..า..ใ..ห...้เ.ซ..ล...ล..์ร..ูป......
.แ..ท...่ง..ข..า..ด...เ.ร..ต..ิน...อ..ล...จ..ึง..ส..่ง..ผ...ล..ใ..ห..้ข...า..ด..โ..ร..ด..อ...พ..ซ...ิน....ซ...ึ่ง.ก...ร..ะ..บ...ว..น...ก..า..ร..ม...อ..ง..เ.ห...็น...เ.ก..ิด...จ..า..ก..แ...ส. .ง.ก...ร..ะ..ต...ุ้น..ใ..ห..้.โ.ร..ด...อ..ฟ......
.ซ..ิน...เ.ป...ล...่ีย..น...เ.ป...็น...เ.ร...ต..ิน...อ..ล...ก..ับ...อ...อ..ป...ซ..ิ.น....แ..ล...้ว..เ..ก..ิด...ก..ร..ะ...แ..ส...ป..ร...ะ..ส...า..ท..ไ..ป...ย..ัง..ส...ม..อ...ง..เ.พ...ื่อ...แ..ป...ล..เ.ป...็น...ภ...า..พ....เ..ม..่ือ......
.โ.ร..ด...อ..ฟ...ซ..นิ...น..้อ...ย..ก...า.ร..เ..ป..ล...ีย่ ..น...แ..ป...ล..ง..ด..งั..ก..ล...่า..ว..จ..งึ..เ.ก...ดิ ..น...้อ..ย....ท...า.ใ..ห...้ม..อ..ง..ไ..ม..เ่.ห...น็ ..ภ...า..พ...ใ.น...บ..ร..ิเ..ว..ณ...ท...ีม่ ..ีแ..ส...ง..น..อ้...ย..........
3. เพราะเหตุใดจงึ รู้สึกปวดแก้วหูเมอ่ื ขึน้ ดอยทีอ่ ยูส่ ูงจากระดบั นา้ ทะเลมาก ๆ และรา่ งกายมกี ลไก
แก้ไขอย่างไร
..แ..น...ว..ค...า..ต...อ..บ...........................................................................................................................................
................เ.ม...ื่อ..ข...้ึน..ด...อ..ย...ท..่ีอ...ย..ู่ส...ูง..จ..า..ก..ร..ะ...ด..ับ...น...้า..ท..ะ...เ.ล..ม...า..ก...จ..ะ..ม...ีก..า..ร..เ..ป..ล...่ีย..น...แ..ป...ล..ง..ค...ว..า..ม..ด..ัน...ข..อ...ง..อ..า..ก...า..ศ..ใ..น...ห..ู.
..ส..ว่...น..น...อ..ก...ท..า..ใ..ห..เ้..ย..่ือ..แ...ก..้ว..ห...ูต...ึง.จ...ึง..ร..ู้ส..ึก..ป...ว..ด...แ..ก..ว้...ห..ู ..ร..่า..ง..ก..า..ย..ม...กี ..ล...ไ.ก...ป..ร..ับ...ส...ม..ด..ุ.ล..โ.ด...ย..ป...ร..ับ...ค..ว..า..ม...ด..ัน...ภ..า..ย..ใ..น..ห...ู .
..ส..ว่..น...ก..ล...า..ง..ใ.ห...เ้ .ท...่า..ก..บั...ห..ูส...่ว..น..น...อ..ก...............................................................................................................
4. การสัน่ ของของเหลวในคอเคลยี และในเซมิเซอรค์ ิวลาร์แคแนลมผี ลตอ่ ร่างกายแตกต่างกนั อยา่ งไร
.แ...น..ว...ค..า..ต...อ..บ.............................................................................................. ..............................................
...............ร..ะ...บ...บ...ป...ร..ะ..ส...า..ท...ซ...ิม...พ...า..เ.ท...ต...ิก...ม..ีศ...ูน...ย..์.ส..่ัง..ก...า..ร..อ...ย..ู่.บ...ร..ิเ.ว...ณ....ไ.ข...ส..ั.น...ห...ล..ัง..บ...ร..ิเ.ว...ณ...อ...ก...แ..ล...ะ..บ...ั้น...เ..อ..ว...
.ส...่ว..น...ร..ะ..บ...บ...ป...ร..ะ..ส...า..ท...พ...า..ร..า..ซ...ิม..พ...า...เ.ท...ต..ิก...ม..ี.ศ..ูน...ย..์ส...่ัง..ก...า..ร..อ..ย...ู่บ...ร..ิเ.ว...ณ....ส..ม...อ..ง..ส...่ว..น...เ.ม...ด. .ัล..ล...า..อ...อ..บ...ล...อ..ง..ก...า..ต...า..
.แ...ล..ะ..ไ..ข..ส..ั.น..ห...ล..ัง..บ...ร..ิเ.ว..ณ....ก..ร..ะ...เ.บ...น..เ..ห..น...็บ...ก..า..ร..ส...ั่น...ข..อ..ง..ข...อ..ง..เ.ห...ล..ว...เ.ป...็น..ก..า..ร..เ..ป..ล...ี่ย..น...ส..ัญ....ญ...า..ณ...เ..ส..ีย..ง..เ..ป..็น...ก..ร...ะ..แ..ส...
.ป...ร..ะ..ส..า..ท...ส..่.ง.ไ..ป...ย..ัง..ส..ม...อ..ง...แ...ต..่ก...า..ร..ส..่ัน...ข..อ..ง..ข...อ..ง..เ.ห...ล..ว..ใ..น...เ.ซ..ม...ิเ.ซ...อ..ร..์ค..วิ...ล..า..ร..์แ..ค...แ..น...ล..เ..ก..ิด..จ. .า..ก..ก...า..ร..เ.ป...ล..่ีย...น..แ...ป..ล...ง..
ทิศทางของศรษี ะหรอื การสง่ ตวั และกระตุน้ การสง่ กระแสประสาทไปยงั สมอง
โดย : นางสาวนภศร เสรกี ลุ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม