2
ประเภทของหลักสตู ร
บทที่ 2
ประเภทของหลกั สตู ร
ประเภทของหลักสูตร แสดงให้เห็นลักษณะวิธีการจัดเนื้อหาของหลักสูตร หลักสูตรแต่ละประเภท
จะมีลักษณะเช่นไร ขึ้นอยู่กับว่าหลักสูตรน้ันจัดโดยยึดถือแนวทางของปรัชญาการศึกษาแบบใด หลักสูตร
จดั เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท คือ ประเภทท่เี น้นเน้ือหาวิชา ไดแ้ ก่ หลกั สูตรรายวิชา หลักสูตรสัมพันธว์ ิชา
และหลักสูตรหมวดวิชา ประเภทท่ีเน้นผู้เรียน ได้แก่ หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ หลักสูตรเกณฑ์
ความสามารถ และหลักสูตรเอกัตภาพ ประเภทท่ีเน้นสังคม ได้แก่ หลักสูตรเพ่ือชีวิตและสังคม และประเภท
ทีเ่ นน้ การบรู ณาการ ไดแ้ ก่ หลกั สูตรแกน หลักสูตรบูรณาการ ดงั จะกลา่ วในรายละเอียดต่อไป
1. หลกั สูตรรายวชิ า
หลักสูตรรายวิชา (subject curriculum) เป็นหลักสูตรท่ีเก่าแก่มาก จัดโดยยึดแนวทางของปรัชญา
การศึกษาแบบนิรันตรนิยมและสารัตถนิยมท่ีให้ความสาคัญกับเน้ือหาวิชา ลักษณะของหลักสูตรจัดโดยแยกเป็น
รายวิชา ตามความเชือ่ ท่ีว่าศาสตรแ์ ต่ละสาขาแยกจากกันชดั เจนและเน้ือหาในแต่ละศาสตร์ไดม้ ีการจัดลาดบั ไวเ้ ป็น
ระบบอยู่แล้ว เช่น เลขคณิต พีชคณิต เรขาคณิต ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าท่ีพลเมือง ศีลธรรม พลศึกษา
สุขศึกษา เป็นต้น ครูมีหน้าท่ีถ่ายทอดเนื้อหาของแต่ละรายวิชาให้แก่นักเรียน วิธีการสอนที่ใช้คือการบรรยาย
นักเรียนมีหน้าท่ีฟังและจดจาเนื้อหาท่ีครูสอนให้ได้มากท่ีสุด หลักสูตรคาดหมายว่าเมื่อนักเรียนเรียนรายวิชา
จนหมดตามหลักสูตรเท่ากับนักเรียนมีความรู้ครบถ้วน การประเมินผลจึงเป็นการทดสอบว่านักเรียนจาเนื้อหา
ได้ครบถ้วนตามทค่ี รูสอนหรอื ไม่
ข้อดขี องหลักสูตรรายวิชา
หลกั สูตรรายวิชามีข้อดี ดงั น้ี
1) ศาสตรต์ า่ ง ๆ มีเน้อื หาท่ีถูกจัดไวเ้ ปน็ ระบบตามลาดบั ความยากง่ายอยูแ่ ล้ว การนาเน้ือหานี้มาจัดเปน็
รายวชิ าจึงทาใหส้ ะดวกต่อการสอน
2) เน้ือหาที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระบบ ทาให้การเรียนรู้ของนักเรียนเป็นระบบไปด้วย นักเรียนได้เห็น
โครงสรา้ งของศาสตร์ ทาใหท้ ราบวา่ เนือ้ หาในวชิ านั้น ๆ สัมพนั ธ์กันอย่างไร
3) หลกั สูตรแบบนเ้ี หมาะสาหรับวชิ าทีเ่ ปน็ ศาสตรท์ ่ีชดั เจน เชน่ เลขาคณติ ชวี วิทยา
4) การจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษามักเป็นการเรียนรู้ศาสตร์ในทางลึก ข้อสอบเรียนต่อใน
ระดับอุดมศึกษาจึงเน้นเนอื้ หาเป็นรายวิชา การสอนเปน็ รายวิชาจงึ ทาให้นกั เรียนได้ประโยชนใ์ นการสอบเข้า
5) ครูได้รับการฝึกหัดสอนแยกเป็นสาขาวิชาเอก ทาให้ครูมีความเชี่ยวชาญในการสอนเน้ือหาท่ีแยกเป็น
รายวชิ า
1
ขอ้ จากดั ของหลักสูตรรายวิชา
ขอ้ จากดั ของหลักสูตรรายวชิ า มดี งั น้ี
1) เนื้อหาบางเน้ือหาล้าสมัยได้ การท่ีนักเรียนเรียนโดยวิธีท่องจา เมื่อเนื้อหาล้าสมัยก็เท่ากับนักเรียนรู้ใน
สิง่ ที่ไม่เกิดประโยชน์ ในขณะท่ีปัจจุบันมีความรู้ใหม่เกิดขึ้นทกุ วันและมเี ทคโนโลยีท่ีสามารถเกบ็ ความรู้จานวนมาก
ไว้ได้ เชน่ คอมพิวเตอร์ การต้องจาเนือ้ หาไว้ในสมองทง้ั หมดจึงไม่ใช่เรอ่ื งทจ่ี าเปน็ อีกต่อไป
2) ไมม่ ีการเชอ่ื มโยงใหเ้ ห็นความสัมพนั ธ์ระหว่างวิชา
3) วิธกี ารสอนหลักที่ครใู ช้ในหลกั สูตรแบบนี้ซง่ึ ได้แก่ การบรรยาย ทาให้สมองของนักเรยี นเฉือ่ ย เนอ่ื งจาก
นักเรียนเป็นฝ่ายรับเนื้อหาเพียงอย่างเดียว ไม่มีกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนนาความรู้ไปใช้ จึงไม่เกิดการถ่ายโอน
ความรู้ จากการค้นคว้าวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า การที่สมองได้เคลื่อนไหว ทาให้การจัดการกับข้อมูลหรอื การเรียนรู้
ความคดิ รวบยอดต่าง ๆ ของคนเรามีประสทิ ธิภาพมากขึ้น
2. หลกั สูตรสัมพนั ธ์วชิ า
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (correlated curriculum) เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรรายวิชา ท้ังน้ี
เพื่อแก้ไขข้อจากัดของหลักสูตรรายวิชาท่ีเน้ือหาของหลักสูตรแยกจากกันเด็ดขาด ลักษณะของหลักสูตรยังคง
จัดเป็นรายวิชาเช่นเดิม แต่ได้มีความพยายามที่จะนาเนื้อหาของวิชาท่ีใกล้เคียงกันหรือเก่ียวข้องกัน 2 - 3 วิชา
มาวางแผนการสอนรว่ มกัน เช่น การสอนวชิ าประวัตศิ าสตร์และวชิ าวรรณคดี ครูทีส่ อนแต่ละวิชาอาจวางแผนสอน
เนื้อหาท่ีมีส่วนสัมพันธ์กันในเวลาเดียวกันหรือไล่เล่ียกัน ทาให้นักเรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของเน้ือหาและ
ครูสามารถตัดเนื้อหาส่วนที่ซ้าซ้อนกันไปได้ วิชาที่นามาสัมพันธ์กันอาจเป็นวิชาในสาขาเดียวกัน หรือต่างสาขา
แตม่ เี นอ้ื หาเกย่ี วขอ้ งกนั ก็ได้
ข้อดีของหลักสตู รสัมพนั ธว์ ชิ า
หลกั สตู รสมั พนั ธว์ ิชามขี ้อดี ดังนี้
1) นักเรียนมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิชา ซ่ึงจะทาให้นักเรียนเกิดความเข้าใจเน้ือหาได้ดียิ่งข้ึน
และเห็นประโยชนจ์ ากการเรยี นวชิ าเหลา่ นี้
2) การสมั พันธว์ ชิ าในลักษณะนส้ี ่งเสรมิ ให้เกดิ การถา่ ยโอนความรู้ในระดบั ต้น
3) การสัมพันธ์วิชา ทาให้ครูผู้สอนต้องวางแผนการสอนร่วมกัน ซึ่งจะช่วยขจัดความซ้าซ้อนของเนื้อหา
และทาใหค้ รสู ามารถระดมความคดิ ทีจ่ ะทาให้เนื้อหาทตี่ นรับผดิ ชอบมคี วามหมายตอ่ นักเรียนย่ิงขน้ึ
2
ข้อจากดั ของหลกั สตู รสัมพนั ธว์ ิชา
หลกั สูตรสมั พันธว์ ิชามีขอ้ จากัด ดังนี้
1) การสมั พันธ์วิชาทาได้ยาก ซึ่งอาจเน่ืองจากเหตุผลต่อไปนี้ คือ การวางแผนเพื่อจัดเน้อื หาให้สมั พันธ์กัน
ต้องใช้เวลามาก ครูต้องมีความรอบรู้ในเนื้อหาวิชาอื่นที่จะมาสัมพันธ์กันด้วย และครูมีทัศนคติหรือมุมมองของ
การสมั พนั ธ์วิชาท่ีต่างกนั
2) ในการสอนจรงิ ครูยงั คงสอนแยกเปน็ รายวิชา ไมไ่ ดเ้ ชอื่ มโยงเนอ้ื หาเข้าด้วยกัน
3) หลักสูตรพัฒนาเฉพาะด้านพุทธิพิสัย และการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นแบบเฉ่ือยเช่นเดียวกับหลักสูตร
รายวชิ า
3. หลักสูตรหมวดวิชา
หลักสูตรหมวดวิชา (broad fields curriculum) เป็นหลักสูตรที่พยายามแก้ไขข้อจากัดของหลักสูตร
รายวิชาและหลักสูตรสัมพันธ์วิชา ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างวิชาและความต่อเน่ืองของเนื้อหา ลักษณะ
ของหลักสูตรเป็นการนาเอาวิชาหลาย ๆ วิชาท่ีเป็นศาสตร์ใกล้ชิดและเก่ียวข้องกันมาบูรณาการและรวมไว้
เป็นหมวดเดยี วกัน เช่น รวมวิชาประวัติศาสตร์ ภมู ิศาสตร์ หน้าท่ีพลเมืองและศีลธรรมเข้าด้วยกันเปน็ หมวดสังคม
ศึกษา รวมวิชาเคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์ เข้าด้วยกันเป็นหมวดวิทยาศาสตร์ วิชาอ่าน คัดลายมือ สะกดคา
เรียงความ รวมกันเป็นหมวดศิลปะการใช้ภาษา (language arts) หรือรวมวิชาเลขคณิต พีชคณิต และเลขาคณิต
เปน็ หมวดคณติ ศาสตร์
ขอ้ ดีของหลกั สูตรหมวดวชิ า
ข้อดีของหลักสูตรหมวดวชิ า ไดแ้ ก่
1) หลักสูตรส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการของเน้ือหาที่มีความเก่ียวข้องกัน ทาให้นักเรียนมองเห็น
ความสัมพนั ธ์ระหว่างเนือ้ หา และมกี ารเรียนรทู้ ่ตี อ่ เนอ่ื ง
2) ไมเ่ กิดปญั หาความซา้ ซ้อนของเนื้อหาในแต่ละรายวิชา
3) การรวมเนอื้ หาหลาย ๆ วชิ าเขา้ ดว้ ยกัน ทาให้เกดิ ความยืดหยนุ่ ในการจดั แบง่ เนือ้ หาเพื่อสอน
ข้อจากดั ของหลักสูตรหมวดวชิ า
หลกั สูตรหมวดวิชามขี ้อจากดั ดงั น้ี
1) การบูรณาการเน้ือหาความรู้เหมาะท่ีจะทากับเน้ือหาระดับพื้นฐาน หรือความรู้เบ้ืองต้นเท่านั้น ซึ่งจะ
ทาให้นกั เรียนได้รบั เฉพาะความรทู้ ่วั ๆ ไป
2) หลกั สตู รอาจเสียความสมดลุ ระหวา่ งความกว้างและความลกึ ของเนือ้ หา
3) เน้ือหาที่เป็นความรู้เฉพาะเจาะจง หรือสาระสาคัญของวิชาอาจขาดหายไประหว่างกระบ วนการ
การบูรณาการเนอ้ื หา
3
4) หากการจดั หมวดวิชาเป็นเพียงการรวมเอาวิชาต่าง ๆ เขา้ ด้วยกัน ไม่ได้บูรณาการเนื้อหา และสอนแยก
เป็นวชิ ายอ่ ย ๆ เชน่ เดิม นกั เรยี นจะไม่เกิดการเชือ่ มโยงความรู้
5) หลักสูตรเนน้ การเรียนรู้เนื้อหาวชิ า นกั เรียนจึงได้รบั การพัฒนาเฉพาะดา้ นพุทธิพิสัย
4. หลกั สตู รกจิ กรรมหรอื ประสบการณ์
หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ (activity or experience curriculum) เป็นหลักสูตรท่ีจัดตามแนว
ปรัชญาการศึกษาแบบพิพัฒนนิยม (Progressivism) ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์จะเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองมีประสบการณ์
และการเรียนท่ีผู้เรียนมีส่วนร่วม หรือการเรียนที่เป็นประสบการณ์จะทาให้พฤติกรรมของมนุษย์เปล่ียนแปลง
เด็กจะเรียนรู้ได้ดีท่ีสุด ถ้าได้เรียนส่ิงท่ีเด็กต้องการจะรู้ และได้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง นอกจากนี้การเรียนรู้มิใช่
การซึมซบั เนอ้ื หาเพียงอย่างเดียว แตก่ ารเรียนรจู้ ะเกดิ ขน้ึ ในระหว่างกระบวนการท่ผี ู้เรยี นพยายามเอาชนะอปุ สรรค
เพือ่ ไปให้ถงึ เปา้ หมาย ซึ่งกค็ ือการสามารถแก้ปัญหาได้สาเรจ็ นน่ั เอง
หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ มีศูนย์กลางอยู่ท่ีความสนใจของนักเรียน (child - centered)
หรือประสบการณ์ของนักเรียน (experience - centered) มีการบูรณาการเน้ือหาวิชาจากสาขาต่าง ๆ และมีการ
เชื่อมโยงจดุ มุ่งหมายในการเรียนเขา้ กับการนาสิ่งท่เี รียนไปใช้ ทาให้การเรยี นรู้อยู่ในสภาพท่ีค่อนข้างเป็นธรรมชาติ
ในระยะเร่ิมแรกที่ได้มีการพัฒนาหลักสูตรน้ีข้ึน ไม่มีการกาหนดเน้ือหาของหลักสูตรไว้ตายตัว แต่ส่งเสริม
ให้นักเรียนทางานที่ตนสนใจจะศึกษาเอาเอง เรียกว่าวิธีเรียนแบบโครงการ (project method) และทางานน้ัน
โดยใช้วิธีแก้ปัญหา (problem – solving method) นักเรียนจะเรียนรู้ทักษะหรือเนื้อหาวิชาเท่าที่จาเป็นต้องใช้
ในการแก้ไขปัญหาน้ัน ๆ เท่าน้ัน เม่ือจบปัญหาเดิม ก็จะศึกษาปัญหาใหม่ต่อไป แต่หลักสูตรที่จัดในลักษณะน้ี
มขี ้อจากัด คือทาให้ครูไมส่ ามารถวางแผนสอนล่วงหน้าได้ เพราะต้องรอจนกว่านักเรียนจะเกิดความสนใจ จากน้ัน
ครูจึงช่วยนักเรียนวางแผนดาเนินการ การเรียนการสอนตามหลักสูตรน้ีจึงไม่มีการกาหนดตารางเรียน ที่แน่นอน
ตัวอย่างของการเรยี นตามหลักสูตรนีค้ ือ โรงเรยี นซัมเมอรฮ์ ลิ ล์ ประเทศอังกฤษ
ด้วยข้อจากัดดังกล่าวทาให้มีการพัฒนาหลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ให้มีลักษณะท่ีสะดวกต่อ
การบริหารหลักสูตรมากข้ึน กล่าวคือปรับให้ความสนใจหรือประสบการณ์ของเด็กเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความรู้
มากกว่าเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ โดยนาเน้ือหาท่ีสัมพันธ์กันมาจัดเป็นหน่วยการเรียน ( learning unit)
นาข้อมูลเกี่ยวกับความสนใจของเด็กในวัยนั้น ๆ หรือระดับน้ัน ๆ มาพิจารณาประกอบ แล้วจัดเป็นกิจกรรม
หรือประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่เด็ก ตัวอย่างหน่วยการเรียน เช่น ชีวิตในบ้าน โลกธรรมชาติ ชุมชน
และประสบการณร์ วมของเดก็ การขนส่งและการสื่อสาร และชีวติ ของผคู้ นในดนิ แดนอ่นื เป็นต้น
4
ขอ้ ดขี องหลักสตู รกจิ กรรมและประสบการณ์
ข้อดีของหลักสตู รกิจกรรมและประสบการณ์ ได้แก่
1) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ พิจารณาจากความสนใจและความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก
หลกั สูตรจึงสอดล้องกบั ความสนใจและความตอ้ งการของผูเ้ รยี น
2) หลักสูตรเน้นประสบการณ์ตรงทาให้ผู้เรียนเรียนรู้แบบเคลื่อนไหว (active learning) และยังส่งเสริม
ใหน้ กั เรียนมสี ่วนร่วมโดยให้นักเรยี นไดแ้ สดงออก สร้างสรรค์ ลงมือปฏิบตั ิ สวมบทบาท ซ่ึงการได้มสี ่วนร่วมกระตุ้น
ให้เด็กเกิดความกระตือรือร้น มองเห็นประโยชน์ของการเรียนและเห็นแนวทางที่จะนาประสบการณ์จากการเรียน
ไปใชน้ อกห้องเรยี น
3) ผู้เรียนไดเ้ รยี นรูก้ ารทางานร่วมกันผ่านกระบวนการกล่มุ
4) หลกั สตู รเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนได้พัฒนาทงั้ ดา้ นพุทธิพสิ ัย จิตพสิ ยั และทักษะพิสัย
5) เปน็ การกระตุ้นใหเ้ ห็นความสาคญั ของการศึกษาพฒั นาการของเดก็ หลกั การและลาดับข้นั ของ
การเรียนรูจ้ ากประสบการณ์ เพ่ือจะได้นาข้อมูลเหล่าน้นั มาใชใ้ นการวางแผนหลกั สตู ร
ขอ้ จากดั ของหลักสตู รกิจกรรมหรอื ประสบการณ์
หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์มีข้อจากัด ดงั นี้
1) หลักสูตรเน้นการจัดให้เด็กมีประสบการณ์ตรง ซ่ึงจัดได้ง่ายกับเด็กเล็กและการเรียนในระดับต้น
แต่เมื่อเด็กโตขึ้น ต้องเรียนรู้ในส่ิงท่ีเป็นนามธรรมมากขึ้นและเน้ือหามีความซับซ้อนมากขึ้น การจัดประสบการณ์
จึงทาได้ยาก ดังนั้นเราจึงพบว่ามีการใช้หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์มากในระดับอนุบาลและระดับ
ประถมศกึ ษามากกวา่ ระดบั สูง ๆ ขนึ้ ไป
2) หลักสูตรไม่ได้มีโครงสร้างของเนื้อหาที่ชัดเจนเหมือนหลักสูตรเน้ือหาวิซา จึงทาให้ขาดความต่อเนื่อง
ของเนื้อหา และอาจทาใหบ้ างเน้ือหา หรือบางประสบการณ์ขาดหายไป
5. หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถ
หลักสตู รเกณฑค์ วามสามารถ (competency - based curriculum) เปน็ หลักสตู รทมี่ ุ่งพัฒนาสมรรถภาพ
เฉพาะด้านของผู้เรียน แม้ว่าหลักสูตรทุกประเภทมีเป้าหมายรวมให้ผู้เรียนมีความสามารถ หรือมีคุณสมบัติตามท่ี
กาหนดเมื่อเรียนจบหลักสูตร แต่หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถมีลักษณะที่ต่างจากหลักสูตรอ่ืน ๆ ตรงท่ีหลักสูตร
แบบนี้จะกาหนดความสัมพันธ์ที่เฉพาะเจาะจงและชัดเจนระหว่างจุดประสงค์ของหลักสูตร กิจกรรมการเรียน
และความสามารถบั้นปลายของนักเรียน หลักสูตรเน้นพฤติกรรมที่นักเรียนสามารถทาได้มากกว่าเนื้อหา การจัด
หลักสูตรใชภ้ าระงานเป็นตัวกาหนดโดยมขี นั้ ตอนในการจัดดังต่อไปนี้ คอื
1) ระบภุ าระงานหรอื ลักษณะงานทีต่ อ้ งการเตรียมใหน้ กั เรยี นสามารถทาได้
2) กาหนดวา่ นกั เรยี นจะต้องรู้อะไรบา้ งจงึ สามารถทางานนั้น ๆ ได้
5
3) จดั ภาระงานเหลา่ นน้ั เป็นหนว่ ย ๆ ตามความเหมาะสม
4) จัดลาดับความรู้ หรอื ทักษะท่ีจาเปน็ ต้องรู้ ตามลาดบั ความยากง่าย หรือจากพื้นฐาน ไปสู่ขั้นสงู
5) กาหนดว่านักเรียนจะต้องปฏิบตั ิอย่างไรจึงจะรู้รอบ (mastery) ในเนื้อหาหรือทักษะน้ัน โดยเขียนเป็น
จุดประสงคย์ ่อย ๆ จากพ้นื ฐานไปสขู่ ้ันสงู
หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถมีท่ีใช้ค่อนข้างจากัด ส่วนมากจะใช้ในการจัดการศึกษาสายอาชีพ
(vocational education) ซ่ึงเป็นการพัฒนาสมรรถภาพเฉพาะด้าน เช่น พิมพ์ดีด ชวเลข ต่อวงจรแบตเตอรี่
หรอื สร้างเฟอร์นเิ จอร์ เป็นต้น หรือใช้เมอ่ื ตอ้ งการเพมิ่ สมรรถภาพของผู้เรียนในบางด้านเท่านั้น
ข้อดขี องหลกั สตู รแบบเกณฑ์ความสามารถ
ข้อดีของหลักสตู รแบบเกณฑ์ความสามารถ ไดแ้ ก่
1) วิธีการจัดหลักสูตรสามารถควบคุมให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถได้ตรงตามจุดมุ่งหมายอย่าง
มปี ระสทิ ธิภาพสูงกวา่ หลักสูตรประเภทอน่ื ๆ
2) การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ย่อตามลาดับ ทาให้ผู้เรียนเกิดกาลังใจในการเรียนและเกิดแรงจูงใจที่จะ
ปฏิบตั งิ านจนบรรลุจดุ ประสงคท์ ้ายสดุ
ขอ้ จากดั ของหลกั สูตรแบบเกณฑค์ วามสามารถ
หลักสตู รเกณฑ์ความสามารถมขี ้อจากัด ดังนี้
1) หลกั สตู รน้เี หมาะสมกับพฤตกิ รรมการเรยี นท่สี ามารถกาหนดเปน็ จดุ ประสงค์ย่อย ๆ ไดเ้ ท่าน้ัน
2) ไม่สามารถจัดหลักสูตรให้บรรลุเป้าหมายของการศึกษาทุกเป้าหมายเพราะหลักสูตรเหมาะกับ
การเรยี นรดู้ ้านทกั ษะพสิ ยั มากกวา่ ดา้ นอ่ืน ๆ ไมค่ รอบคลุมการพัฒนาลกั ษณะนิสัยของมนุษย์ (human traits)
6. หลกั สตู รเอกตั ภาพ
หลักสูตรเอกัตภาพ (individualized curriculum) เป็นหลักสูตรท่ีจัดตามความต้องการและความสนใจ
ของผู้เรียนแต่ละคนโดยยึดตามแนวปรัชญาภาวะนิยม (Existentialism) ซึ่งเชื่อวา่ มนุษย์แต่ละคนมีลกั ษณะเฉพาะ
เป็นของตนเอง มีอิสระที่จะดาเนินชีวิตตามท่ีตัวเองเลือกและรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง การศึกษา
จึงมีหน้าท่ีช่วยให้คนได้พัฒนาตัวเองจนเต็มศักยภาพ หลักสูตรเอกัตภาพจึงไม่มีโครงสร้างวิชาที่ตายตัว แต่เป็น
หลักสูตรเฉพาะของนักเรียนแต่ละคน ทคี่ รแู ละนกั เรียนวางแผนร่วมกันโดยพจิ ารณาจากความสนใจ ความต้องการ
และความสามารถของนักเรียน ครูชว่ ยนกั เรยี นเลือกเน้ือหา และประสบการณก์ ารเรียนรู้ทเ่ี หมาะสมกบั หลกั สตู ร
ขอ้ ดีของหลักสูตรเอกัตภาพ
ขอ้ ดีของหลักสูตรเอกัตภาพ ไดแ้ ก่
1) เป็นหลกั สูตรท่ีสนองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของนักเรียนมากกว่าหลักสตู รประเภทอ่นื ๆ
2) ผู้เรยี นไดเ้ รียนสงิ่ ท่ีตนสนใจ ทาให้เกดิ ความกระตอื รือร้น และมีทัศนคตทิ ี่ดตี ่อการเรียน
6
3) ผูเ้ รียนได้ฝึกความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง
ข้อจากดั ของหลกั สูตรเอกัตภาพ
หลักสูตรเอกตั ภาพมีขอ้ จากัด ดังน้ี
1) การที่ผู้เรียนเรียนเฉพาะสิ่งที่ตนสนใจ อาจทาให้ได้ความรู้ไม่ครบถ้วน เนื้อหาความรู้ที่ผู้เรียนจาเป็น
ต้องรู้ อาจจะไม่ใช่สง่ิ ท่ีนกั เรียนสนใจก็ได้
2) ในการจัดหลักสูตรให้ผู้เรยี นเปน็ รายบุคคล ครูต้องรู้จักผู้เรียนดีพอสมควรจึงจะสามารถจัดได้เหมาะกับ
ความต้องการได้
3) ครอู าจไม่มีความรอบรใู้ นศาสตร์ทีเ่ กี่ยวข้องเพียงพอทีจ่ ะจัดหลักสตู รท่ดี ีไหแ้ ก่นักเรยี นได้
7. หลักสตู รเพ่ือชีวติ และสังคม
หลักสูตรเพ่ือชีวิตและสังคม (social process and life function curriculum) เป็นหลักสูตรที่นาเอา
กระบวนการทางสังคม ปัญหาสังคม หรือส่ิงท่ีมนุษย์ต้องเผชิญในการดารงชีวิตอยู่ในสังคม มาเป็นศูนย์กลางของ
หลักสูตร หลักสูตรนี้จัดโดยยึดแนวปรัชญาการศึกษาแบบปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) ซ่ึงเน้นการนา
การศึกษามาปรับปรุงสังคมให้ดีข้ึน เน้ือหาของหลักสูตรแบ่งออกเป็น 3 ด้านใหญ่ ๆ ได้แก่ 1) ชีวิตในสังคมและ
การดารงอยู่ของมนษุ ย์ 2) ปัญหาของชุมชน และ 3) การดาเนินการเพือ่ ปรบั ปรงุ สภาพสงั คม
ตัวอยา่ งของหวั ข้อการศึกษาด้านชวี ติ ในสังคมและการดารงอยู่ของมนุษย์ ได้แก่ การป้องกันและอนุรักษ์
ชวี ติ ทรัพย์สนิ และทรพั ยากรธรรมชาติ การบรโิ ภคสนิ ค้าและบริการ การส่ือสารและการขนสง่ สนิ และผ้คู น
การสนั ทนาการ การแสดงความชนื่ ชมในศิลปะ การแสดงความเช่อื ทางศาสนา การสารวจ
ตัวอย่างของหัวข้อการศึกษาด้านปัญหาของชุมชน ได้แก่ การอนุรักษ์พลังงาน ความเท่าเทียมกันของ
เช้ือชาติ การใช้ประโยชน์จากท่ีดิน การทาแท้ง ความแปลกแยกของตารวจจากประชาชนท่ัวไป ความรุนแรงใน
สังคมเมอื ง ปัญหาจากการว่างงานยาเสพตดิ ของวัยรุ่น
สาหรับด้านท่ี 3 คือ ด้านการดาเนินการเพื่อปรับปรุงสภาพสังคมนั้น หลักสูตรจะจัดให้นักเรียน
ได้มีประสบการณ์ที่ช่วยให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดเก่ียวกับปัญหาที่มีอยู่ในสังคม และกระบวนการพัฒนา
ทางเลือกต่าง ๆ เพ่ือแก้ไขปัญหาสังคมนั้น นักเรียนจะลงมือปฏิบัติในสภาพแวดล้อมจริง ทาให้นักเรียนได้เรียนรู้
พฤติรรมและวิธีสื่อความหมายทจ่ี าเป็น เพ่อื ใช้ในการแก้ไขปัญหาสังคมทเ่ี ป็นอยู่ ตัวอย่างของหลักสตู รดา้ นนี้ ได้แก่
การปฏิบัติงาน การศึกษาปัญหาและรวบรวมข้อมูลและการเสนอแนะแนวทางแก้ไขในองค์กรสังคมสังเคราะห์
ต่าง ๆ เช่น บ้านคนชรา บ้านเดก็ ถกู ทอดทงิ้ สถานบาบัดยาเสพตดิ องค์กรดแู ลเดก็ ทพี่ ่อแมเ่ ป็นโรคเอดส์ เปน็ ต้น
7
ขอ้ ดขี องหลกั สูตรเพื่อชีวิตและสงั คม
ขอ้ ดขี องหลักสูตรเพ่อื ชีวติ และสังคม
1) เน้ือหาของหลักสูตรใช้กิจกรรมของมนุษย์ในสังคมเป็นหลัก เป็นการหลอมความรู้เข้ากับชีวิตของ
นกั เรยี น ทาใหน้ ักเรยี นมองเห็นประโยชนท์ ่ีได้จากการเรยี น ก่อให้เกิดความกระตือรอื รน้ และเกดิ แรงจูงใจทีจ่ ะเรียน
2) การเรยี นรู้จากสภาพปัญหาทีแ่ ท้จริง ทาใหน้ กั เรยี นไดฝ้ กึ ทักษะการแก้ปัญหา
3) นักเรียนได้รับการพัฒนาด้านจติ พสิ ยั การท่ีนักเรียนอยู่ทา่ มกลางสภาพแวดล้อมของปัญหาสงั คม ทาให้
นักเรียนเข้าใจปัญหาและสาเหตุแห่งปัญหาในชีวิตมากข้ึนและจะปลูกฝังความรู้สึกเอื้อ อาทรต่อเพื่อนมนุษย์ในตัว
นักเรียน เปน็ การเตรยี มให้นักเรยี นสามารถอยูใ่ นวัฒนธรรมภายนอกโรงเรียนได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพเม่ือเติบโตขึ้น
4) การเรยี นการสอนตามหลกั สูตรนี้มสี ว่ นให้การปรับปรุงสงั คมเกดิ ข้ึนไดจ้ ริง เพราะในอนาคตเมอ่ื นักเรยี น
ออกไปเป็นสมาชิกของสังคม นักเรียนสามารถใช้ประสบการณแ์ ละความรู้ทเ่ี รียนมาจดั รูปร่างสังคมใหม้ ีลกั ษณะท่ีดี
ได้
ข้อจากัดของหลักสูตรเพอ่ื ชีวิตและสังคม
หลักสูตรเพอื่ ชีวติ และตงั คมมขี อ้ จากัด ดงั น้ี
1) หลักสูตรเน้นการปรับปรุงสังคม และมุ่งให้นักเรียนมีประสบการณ์จริง ทาให้ละเลยส่วนท่ีเป็นเนื้อหา
ความรู้
2) การจดั เนือ้ หาความรใู้ ห้เหมาะสมกบั จดุ มุง่ หมายของหลักสูตรทาได้ยาก
3) ไมม่ หี ลักเกณฑ์ตายตัวในการจดั เน้อื หาของหลกั สตู ร หรอื ในการเลือกปญั หาสังคมทจี่ ะศึกษา
4) ถ้าค่านิยมในการดารงชีวิตของผู้เรียนและผู้สอนแตกต่างกัน จะทาให้มองและตัดสินปัญหาต่างกัน
หากผสู้ อนไมม่ ีความเชี่ยวชาญในการนาให้ผูเ้ รียนศกึ ษาปญั หา จะทาให้ผเู้ รียนเกิดความสับสนได้
8. หลักสูตรแกน
หลักสูตรแกน (core curriculum) เป็นการเรียกช่ือตามลักษณะของการจัดหลักสูตรซ่ึงมาจากการ
กาหนดให้หลักสูตรมีส่วนที่เป็นแกน หรือเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร เน้นการบูรณาการความรู้โดยนาเนื้อหาวิชา
มาหลอมเข้าด้วยกัน และพยายามเช่ือมโยงเน้ือหา เน้ือหาของหลักสูตรจัดเป็นหน่วยความรู้เข้ากับสภาพชีวิต
และความสนใจของนักเรียน เนื้อหาของหลักสูตรจัดเป็นหน่วย (unit) เพราะต้องรวมเน้ือหาหลายวิชาเข้าด้วยกัน
ในแต่ละหน่วยมคี รสู อนร่วมกันหลายคนและใช้วิธสี อนหลายวธิ รี ว่ มกนั การจัดหลักสูตรแกนทาได้ 4 ลกั ษณะ ดงั น้ี
8.1 หลักสตู รแกนแบบหมวดวชิ า
เป็นหลักสูตรท่ีจดั แบบหมวดวิชา และกาหนดให้หมวดวิชาใดหมวดวิชาหน่ึงเป็นแกนในการสอน
มกี ารนาเน้อื หาจากหมวดวชิ าอืน่ มาสัมพันธ์กัน
8
8.2 หลักสูตรแกนแบบหลอมวิชา
เป็นการนาเอาวิชาต้ังแต่ 2 วิชาข้ึนไปมาหลอมเป็นวิชาเดียว โดยมีวิชาหน่ึงเป็นแกนกลาง เช่น
วชิ าประวตั ศิ าสตร์ วรรณคดี ศลิ ปะ โดยใชว้ ิชาประวัตศิ าสตร์เป็นแกน
8.3 หลักสตู รทใ่ี ช้ปญั หาเปน็ แกน
หลักสูตรจะเลือกและกาหนดขอบเขตของปัญหาไว้ล่วงหน้า ปัญหาท่ีเลือกใช้เป็นแกน
อาจเป็นปัญหาในระดับโรงเรียน ชุมชน หรือปัญหาสังคมก็ได้ โดยต้องนาข้อมูลเกี่ยวกับความสนใจของนักเรียน
และความต้องการของชุมชนที่แวดล้อมมาพิจารณาประกอบด้วย เช่น เร่ืองชีวิตที่แข็งแรง เน้ือหาที่ใช้ประกอบ
การเรียนนามาจากวชิ าต่าง ๆ ในหลกั สูตร
8.4 หลักสูตรท่ีใช้ความสนใจของผู้เรียนเป็นแกน
โดยผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันกาหนดเรื่องท่ีกลุ่มผู้เรียนสนใจจะศึกษา หรือสนใจท่ีจะมี
ประสบการณ์ จากนั้นร่วมกันจัดทาหน่วยกิจกรรม หน่วยกิจกรรมจะเป็นแกนของหลักสูตร หลักสูตรแบบนี้ไม่มี
โครงสร้างที่ตายตวั ตวั อย่างเช่น กิจกรรมปรบั ปรุงภมู ิสถาปตั ย์ของโรงเรยี น
ข้อดีของหลกั สตู รแกน
ข้อดีของหลักสูตรแกน ไดแ้ ก่
1) หลกั สตู รมีความยืดหยนุ่ เนื่องจากจดั เปน็ หน่วยกวา้ ง ๆ
2) นักเรียนเรียนรู้ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เช่น การคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา ทาให้นักเรียน
ได้พฒั นาระดับสตปิ ัญญา
3) สามารถสนองความสนใจส่วนบุคคลของนักเรียน เพราะเม่ือนักเรียนเรียนส่วนท่ีเป็นแกนแล้ว หากมี
ความสนใจอยากมคี วามรู้เพม่ิ เตมิ เฉพาะเรือ่ ง นกั เรียนสามารถทาโครงการพิเศษหรอื เรียนเนื้อหาเพ่มิ เติมได้
4) วิธีสอนโดยใช้ครูหลายคนร่วมกัน ทาให้สามารถระดมความคิด และได้ประโยชน์สูงสุดจากความถนัด
ของครูแต่ละคน
ข้อจากดั ของหลกั สูตรแกน
ขอ้ จากัดของหลักสูตรแกน ได้แก่
1) การจัดหลักสตู รทาไดย้ ากเพราะตอ้ งหลอมหรือผสมผสานความรู้ใหเ้ หมาะสม
2) หลกั สูตรไมไ่ ด้เสนอความรเู้ ป็นระบบใหแ้ กน่ กั เรยี น เน้ือหาทจ่ี ดั มักมีลกั ษณะท่ัว ๆ ไป
3) ครูส่วนใหญ่ได้รับการฝึกให้สอนแยกเป็นวิชา ทาให้ไม่มีความชานาญในการจัดการเรียนการสอน
แบบแกน
4) ครูจากหลายวิชาเอกวางแผนร่วมกัน อาจเกิดปัญหาความขัดแย้งทางความคิด ทาให้การหลอมเนื้อหา
ไม่สมดลุ กัน บางเน้ือหาอาจโดดเดน่ มากกวา่ บางเน้อื หา
9
9. หลกั สูตรบรู ณาการ
หลักสูตรบูรณาการ (integrated curriculum) เป็นหลักสูตรที่พัฒนาข้ึนจากแนวคิดท่ีเช่ือว่าการจัด
ประสบการณ์ที่ต่อเน่ืองกันจะทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีย่ิงขึ้น รวมทั้งก่อให้เกิดคุณค่าต่อการดาเนินชีวิตและ
พัฒนาการต่าง ๆ ของผู้เรียน และสามารถทาให้ดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้น
ผู้เรียนให้พัฒนาทุกด้าน ได้แก่ สติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคม สามารถนาความรู้ไปประยุกต์ให้เกิด
ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวันได้ กระบวนการบูรณาการอาจจัดได้หลายลกั ษณะ เช่น
1) การบูรณาการแบบผู้สอนคนเดียว เป็นการบูรณาการที่เกิดข้ึนจากผู้สอนจัดการเรียนรู้โดยเชื่อมโยง
สาระการเรียนรู้ต่าง ๆ กับหัวข้อเร่ืองที่สอดคล้องกับชีวิตจริงหรือสาระที่กาหนดข้ึนมา เช่น เร่ืองส่ิงแวดล้อม น้า
เป็นตน้ ผสู้ อนสามารถเช่ือมโยงสาระและกระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มสาระต่าง ๆ เช่น การอ่าน การเขียน การคิด
คานวณ การคิดวิเคราะห์ต่าง ๆ ทาให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะและกระบวนการเรียนรู้ไปแสวงหาความรู้ ความจริงจาก
หวั ข้อเรอ่ื งที่กาหนด
2) การบูรณาการแบบคู่ขนาน เป็นการบูรณาการท่ีเกิดข้ึนจากผู้สอนต้ังแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันจัด
การเรียนการสอนโดยยึดหัวข้อเก่ียวกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง แล้วบูรณาการเชื่อมโยงแบบคู่ขนาน เช่น ผู้สอนคนหนึ่ง
สอนวิทยาศาสตร์เร่ืองเงา ผู้สอนอีกคนหนึง่ อาจสอนคณิตศาสตร์เรอ่ื งการวัดระยะทางโดยการวัดเงา คิดคานวณใน
เร่ืองเงาในช่วงเวลาต่าง ๆ จัดทากราฟของเงาในระยะต่าง ๆ หรืออีกคนหน่ึงอาจให้ผู้เรียนรู้ศิลปะ เร่ืองเทคนิค
การวาดรปู ทีม่ ีเงา
3) การบูรณากรแบบสหวิทยาการ เป็นการบูรณาการในลักษณะนาเนื้อหาจากหลายกลุ่มสาระมา
เชอ่ื มโยงเพือ่ จัดการเรยี นรู้ ซงึ่ โดยท่ัวไปผ้สู อนมักจดั การเรยี นการสอนแยกตามรายวิชาหรอื กลมุ่ วิชา แตใ่ นบางเร่ือง
ผู้สอนจัดการเรียนการสอนร่วมกันในเรื่องเดียวกันได้ เช่น เร่ืองวันสิ่งแวด ล้อมของชาติ ผู้สอนภาษาไทย
จดั การเรียนการสอนใหผ้ ู้เรียนรภู้ าษา รู้คาศพั ท์เก่ยี วกับสงิ่ แวดล้อม ผู้สอนวิทยาศาสตรจ์ ัดกิจกรรมคน้ คว้าเก่ียวกับ
สิ่งแวดล้อม ผู้สอนสังคมศึกษาให้ผู้เรียนค้นคว้าหรือทากิจกรรมชมรมเก่ียวกับสิ่งแวดล้อม และผู้สอนสุขศึกษา
จดั กจิ กรรมเก่ยี วกบั การรกั ษาสิ่งแวดลอ้ มใหถ้ กู สขุ ลักษณะ เป็นตน้
4) การบูรณาการแบบโครงการ เกิดข้ึนจากผู้สอนสามารถจัดการเรียนการสอนโดยผู้เรียนและผู้สอน
ร่วมกันสร้างสรรค์โครงการขึ้น และใช้เวลาการเรียนต่อเน่ืองกันได้หลายชั่วโมง ด้วยการนาเอาจานวนช่ัวโมงของ
วิชาต่าง ๆ ท่ีผู้สอนเคยสอนแยกกันน้ันมารวมกันเป็นเรื่องเดียวกันมีเป้าหมายเดียวกันในลักษณะของการสอน
เป็นทีม เรียนเป็นทีม ในกรณีท่ีต้องการเน้นทักษะบางเรื่องเป็นพิเศษ ผู้สอนสามารถแยกกันสอนได้ เช่น กิจกรรม
เข้าคา่ ยดนตรี กิจกรรมเข้าคา่ ยภาษาอังกฤษ กจิ กรรมเข้าค่ายศิลปะ เปน็ ตน้
10
ข้อดขี องหลักสตู รบูรณาการ
ข้อดีของหลักสตู รบูรณาการ ได้แก่
1) เป็นหลักสูตรท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาที่เรียนกับวิชาอ่ืนท่ีเกี่ยวข้อง ทาให้
เปน็ ผู้มที ัศนะกวา้ งไกล จติ ใจไมค่ ับแคบ
2) เป็นหลักสูตรที่สง่ เสรมิ กจิ กรรมการเรียนการสอนได้หลายรปู แบบ
3) เป็นหลักสูตรท่ชี ว่ ยให้ผูเ้ รียนสามารถนาเอาส่งิ ทีเ่ รียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันได้มาก
4) เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมทักษะ และความสามารถในการแก้ปัญหาท้ังผู้เรียนและผู้สอน รวมทั้งส่งเสริม
การค้นคว้าวิจยั ดว้ ย
ข้อจากัดของหลักสูตรบูรณาการ
ข้อจากัดของหลกั สูตรบรู ณาการ ไดแ้ ก่
1) เป็นหลกั สตู รทจ่ี ดั ทาไดย้ าก เพราะตอ้ งอาศยั ความร่วมมือจากผชู้ านาญในวทิ ยาการหลายฝ่าย
2) เป็นหลักสูตรท่ียากแก่การสอน ต้องอาศัยผู้สอนที่มีความสามารถมคี วามชานาญและรอบรู้ นอกจากน้ี
ในบางครง้ั จะต้องสอนเป็นทีมโดยใช้ผสู้ อนหลาย ๆ คน ซึ่งทาให้การบรหิ ารการเรียนการสอนยุ่งยาก
3) ความกว้างขวางของหลักสูตรอาจทาให้ผู้เรียนไม่มีความรู้ลึกซึ้งในเน้ือหาท่ีเรียน นอกจากน้ีถ้าผู้สอน
ไมเ่ กง่ อาจทาให้ผ้เู รยี นมองไมเ่ หน็ ความสัมพันธ์ระหว่างวชิ าตา่ ง ๆ อกี ดว้ ย
สรุป
หลกั สูตรมหี ลายประเภท แต่ละประเภทจัดโดยยึดแนวปรัชญาการศกึ ษาทตี่ า่ งกัน หลกั สตู รแต่ละประเภท
จะมีข้อดีและข้อจากัดอยู่ในตัว การพิจารณาเลือกประเภทของหลักสูตรเพื่อนาไปใช้ในการจัดการศึกษา จึงควร
พจิ ารณาอย่างรอบคอบโดยคานึงถึงข้อจากัดทีม่ ีอยูด่ ว้ ย
11
บรรณานกุ รม
Beauchamp, George A. 1975. Curriculum Theory. Wilmette, III : The Kagg Pr.
Doll, Ronald C. 1992. Curriculum Improvement : Decision Making and Process. 8th ed.
Boston : Allyn and Bacon.McNeil,
John D. 1996, Curriculum : A comprehensive Introduction. 5th ed. New York :
Harper Collins College Publishers.
Ornstein, Allan C. 2003. Contemporary Issues in Curriculum. Boston : Allyn and Bacon.
Ornstein, Allan C. and Francis P. Hunkins. 2004. Curriculum : Foundations, Principles,
and Issues. Boston : Allyn and Bacon.
Saylor, Galen J, and others. 1 981. Curriculum Planning. 4th ed. New York : Holt, Rinehart and
Winston.
Sowell, Evelyn J. 1996. Curriculum : An Integrative Introduction. Englewood Cliffs,N.J.:
Prentice Hall Inc.
12