บทท่ี 1
หนงั สือแบบเรยี นภาษาไทยสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา
ภาษาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมปรากฏการณ์หน่ึงซึ่งมีความซับซ้อน และมีพัฒนาการมาอย่าง
ต่อเน่ืองยาวนาน การที่สังคมใดสังคมหน่ึงจะมีภาษาของตนเอง ทั้งท่ีเป็นภาษาเพ่ือใช้ส่ือสารระหว่างกัน
ในสังคม และท้ังท่ีเป็นระบบสัญลักษณ์เพ่ือบันทึกความรู้ ความคิด ตลอดจนประสบการณ์ของคนรุ่นหน่ึง
ไปสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้น้ัน ย่อมเป็นหลักฐานแสดงร่องรอยอารยธรรมท่ีสาคัญ ซ่ึงผลจากการค้นคว้าศึกษา
ร่องรอยเหล่านั้นทาให้คนในปัจจุบันได้รู้ว่า ภาษายุคแรก ๆ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล
โดยชาวสุเมเรียนผู้มีถ่ินฐานแถบดินแดนเมโสโปเตเมียได้คิดเขียนเคร่ืองหมายด้วยการใช้ไม้เหลาปลายจิ้มบน
กอ้ นดินเหนียว ที่มักจะปั้นเป็นรูปแท่งอิฐในขณะดินยงั เปียกอยู่ ทาให้เกิดรอยและเห็นเป็นรูปลม่ิ ในแนวต่าง ๆ
ตัวหนังสือชนดิ นจี้ ึงไดช้ ื่อว่าอกั ษรรูปล่มิ (Cuneiform)* เมอ่ื เขยี นเสรจ็ แลว้ ต้องนาก้อนดินไปผ่งึ แดดใหแ้ ห้งหรือ
เผาไฟให้แข็ง
การประดิษฐ์ระบบสัญลักษณ์อย่างอื่น ซึ่งเกิดข้ึนในเวลาใกล้เคียงกันกับการเกิดอักษรรูปลิ่มของ
ชาวสุเมเรียน คือ การเขียนหนังสือ Hieroglyphic ของชาวอียิปต์ผู้อาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้าไนล์ ชาวอียิปต์
เขียนหนังสือ Hieroglyphic ไว้ด้วยการแกะสลักจารึกบนแผ่นดินและเสาศิลา การเขียนชนิดนี้มีทั้งท่ีเป็น
ตัวหนังสือภาพ (Picyograph) และท่ีเป็นเคร่ืองหมายแทนความคิด (Ideograph) นอกเหนือไปจากการสลัก
บนแผ่นหินแล้ว ชาวอียิปต์ยังได้สร้างวัสดุท่ีมีชื่อเสียงอย่างหน่ึงคือแผ่นปาไปรัส (Papyras Roll) ซ่ึงทาจาก
ต้นปาไปรัส (Papyras) โดยใช้ไม้จากพืชชนิดหน่ึงซ่ึงมีลักษณะคล้ายต้นอ้อนามาย่างไฟเสี้ยมปลายให้แหลม
ทาเปน็ ปากกาสาหรับเขียน ส่วนหมึกน้ันได้จากการใช้ผงถ่านไม้เค่ียวด้วยกาวจากพืช หนังสือชนิดน้ีมักจะเขียน
แลว้ ม้วนไว้เป็นมว้ น ๆ เป็นท่ีนิยมใชก้ ันแพรห่ ลายมากในเวลานัน้
ทางด้านแหล่งอารยธรรมตะวันออก คือ จีนและอินเดีย มีหลักฐานยืนยันให้เชื่อได้ว่า เม่ือสมัย
ราชวงศ์ชาง (ซุงเหยิน) ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาลมีการเขียนหนังสือบนกระดองเต่า กระดูกมนุษย์
และกระดูกสัตว์ แต่คงเนือ่ งจากวสั ดเุ หล่าน้ีหาได้ยาก จนี จงึ ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลักของการเขยี นหนงั สอื วิธใี ช้คือ
ผ่าไม้ไผ่เป็นแผ่นแล้วตั้งตรง เจาะรูร้อยต่อ ๆ กันเป็นผืน ระยะแรก ๆ ใช้พู่กันทาด้วยหญ้าเป็นปากกา
เขียนด้วยหมึกซึ่งทามาจากผงถ่าน นอกจากไม้ไผ่แล้ว ผ้าไหมก็เป็นวัสดุที่นิยมใช้กันอยู่ในยุคน้ัน จวบจน
ค.ศ. ๑๐๕ ขุนนางจีนช่ือ ไซ่หลุน (Jsai Lun) ข้าราชการของพระเจ้าเหอต้ี ราชวงศ์ตงฮั่น (ค.ศ. ๒๕ - ๒๒๐)
จึงคิดประดิษฐ์กระดาษได้เป็นครั้งแรก การประดิษฐ์กระดาษจากเยื่อของเปลือกไม้ได้สาเร็จ ทาให้มีกระดาษ
ใช้กนั ทั่วแผ่นดนิ จนี แตถ่ ึงแม้จนี จะคิดประดษิ ฐ์ได้เป็นชาติแรก และสามารถพัฒนาอุปกรณ์การเขยี นจนได้พกู่ ัน
และหมึกที่มีคุณภาพดีเพียงใดก็ตาม หากในส่วนของตัวหนังสือแล้ว ตัวหนังสือจีนยังคงเป็นตัวหนังสือภาพ
(Pictograph) และมีการพัฒนามาเป็นตัวหนังสือในลักษณะของเคร่ืองหมายแทนความคิด (Ideograph)
เท่านั้น ข้อที่น่าสังเกตสาหรับภาษาจีนก็คือ การมีตัวหนังสือเพียงแบบเดียว และสามารถใช้เผยแพร่ไปทั่ว
ดินแดนประเทศจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล โดยมีหลักเกณฑ์อยู่ว่า เมื่อชนกลุ่มใดนาตัวหนังสือไปใช้จะสามารถ
อ่านออกเสียงตัวเขียนน้ันตามสาเนียงของตนได้ และไม่ว่าการออกเสียงจะต่างกันไปอย่างไรก็ตามแต่
1
ความหมายของตัวหนังสือคาน้ันจะไม่เปลี่ยนแปลงไป ซ่ึงจะส่งผลให้การส่ือความหมายด้วยการเขียนหนังสือ
เป็นไปได้โดยสะดวก แม้ว่ากลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ จะมีระบบเสียงและสาเนียงผิดแผกแตกต่างกันอยู่ วิธีการเช่นน้ี
แตกต่างกับภาษาของชาวอินเดีย แหล่งอารยธรรมตะวันออกอีกแห่งหนึ่งท่ีมีดินแดนกว้างขวางเหมือน ๆ กัน
และมีประวัติอารยธรรมยาวนานไม่แพ้กัน อินเดียนั้นมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่ามีความเจริญมาต้ังแต่
๒,๐๐๐ ปี ถึง ๓,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล ทางด้านภาษาแล้ว หลักฐานที่สาคัญย่ิงคือ จารึกพระเจ้าอโศก
มหาราช ซ่งึ มอี ยู่ดว้ ยกันรวมทั้งส้ิน ๓๕ หลกั ระยะเวลาจารึกอยรู่ ะหว่าง ๒๗๔ - ๒๓๗ ปีก่อนครสิ ตกาล ภาษา
ท่ใี ช้มที ง้ั ทีเ่ ป็นภาษาสันสกฤต และภาษาปรากฤต อักษรทใ่ี ช้คือ อักษรพราหมี ตวั อกั ษรท่ใี ช้กันเป็นทแ่ี พรห่ ลาย
ในประเทศอินเดียเวลานั้น และเป็นต้นเค้าของตัวอักษรชนิดอ่ืน ๆ ที่พัฒนาขึ้นต่อมา ลกั ษณะสาคัญของอักษร
พราหมี ก็คือการเขียนตัวหนังสือเป็นเคร่ืองหมายแทนเสียง ฉะนั้นเม่ือมีการนาอักษรชนิดน้ีไปใช้ทาให้ต้องมี
การดัดแปลงไปเร่ือย ๆ จนเม่ือมีการนาอักษรในภาพต่าง ๆ ท่ีรับอักษรพราหมีไปใช้มาศึกษาค้นคว้า
เปรียบเทียบกนั แลว้ จงึ ไดเ้ ขา้ ใจถึงความเปลยี่ นแปลงและความเปน็ มาของภาษานีม้ ากขนึ้
การค้าและศาสนาเป็นปจั จยั ในการเผยแพร่ภาษาจากชนชาติหนง่ึ ไปสู่ชนชาติอ่นื ๆ ไม่ว่าจะคนไทยจะ
อพยพมาจากประเทศจีนตอนใต้ หรือจะอยู่มาเนิ่นนานต้ังแต่ด้ังเดิมบนดินแดนสุวรรณภูมินี้ก็ตามที ที่แน่นอน
ท่สี ุดคือ ไทยอยู่ในเส้นทางการติดต่อระหว่างอินเดยี และจีน และย่อมได้รับอทิ ธิพลท้งั จากจนี และอนิ เดีย ภาษา
ก็เช่นเดียวกัน ปจั จุบันนักภาษาศาสตรล์ งความเห็นวา่ ภาษาไทยเป็นภาษาท่ีมีโครงสรา้ งอยู่ในกลุม่ ภาษาตระกูล
คาโดด (Monosyllabic) ร่วมตระกลู กันกับภาษาจีน โดยการแบ่งตระกูลภาษาน้ีมไิ ดห้ มายรวมระบบการเขียน
ตัวอักษรไวด้ ้วย ดังนนั้ ถ้าจะตั้งคาถามข้ึนมาว่า ระบบสัญลักษณห์ รือตัวอักษรอยา่ งใดท่ไี ทยใช้เป็นเคร่อื งหมาย
ในการเขียนภาษาไทย ในระหว่างห้วงเวลาก่อนการคิดประดิษฐ์อักษรไทยของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช
คาถามน้ียังคงต้องการการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลมาเป็นหลักฐานประกอบเหตุผลท่ีจะหยิบยกมาอธิบายกัน
ตอ่ ไป คนไทยโดยทวั่ ไปจงึ ยอมรับกนั ว่า ภาษาไทยน้นั เริม่ ต้นข้นึ ทปี่ ี พ.ศ. ๑๘๒๖ เม่อื พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
ทรงประดิษฐ์อักษรไทย โดยอาศัยตัวหนังสือขอมเป็นแนวทางร่วมกับอักษรมอญโบราณ ท้ัง ๆ ที่ตัวอักษรใน
ภาษาทั้งสองนั้นได้มาจากการดัดแปลงอักษรอินเดียใต้ซ่ึงมีอักษรพราหมีเป็นต้นเค้าท่ีมา ดังน้ันจึงน่าท่ีจะตั้ง
ข้อสังเกตเสียก่อนว่าภาษาไทยน้ี เป็นภาษาท่ีมีโครงสร้างระบบไวยากรณ์อยู่ในตระกูลคาโดดร่วมกันกับ
ภาษาจีน แต่มีการเขียนระบบสัญลกั ษณ์ทใ่ี ชเ้ ปน็ แบบอักษรพราหมีซึง่ เป็นของภาษาจากอนิ เดีย และเป็นภาษา
ที่กาหนดให้สัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายแทนเสียง ผิดกับภาษาจีนท่ีใช้สัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายใช้แทนคา
การทาความเข้าใจในประเด็นนี้เป็นเบ้ืองต้นเสียก่อน จะช่วยให้สามารถเข้าใจเนื้อหาตาราเรียนภาษาไทยของ
ยคุ สมัยต่าง ๆ ไดง้ ่ายข้ึน
ดังได้กล่าวแล้วว่า พ่อขุนรามคาแหงทรงใช้ตัวอักษรขอมเป็นแนวทางในการประดิษฐ์อักษรไทย
ขอมเป็นชนชาติท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิมาเก่าก่อน ตัวหนังสือขอมได้รับมาจากอินเดีย
ตอนใต้ โดยมีการดดั แปลงให้สะดวกกบั การสลักบนศลิ า ตวั อักษรขอมจึงมรี ปู เปน็ เหลีย่ ม ไม่เหมอื นกับตวั อกั ษร
มอญท่ีเป็นรูปกลม เน่ืองจากมกั ใช้จารลงบนใบลานเป็นหลกั แต่ทั้งขอมและมอญก็ล้วนแลว้ แต่เป็นภาษาซ่ึงไม่
ใช้เสียงวรรณยุกต์ เม่ือรับตัวอักษรมาจากอินเดียก็รับมาเท่าท่ีอินเดียมีอยู่ คือ พยัญชนะ ๓๓ ตัว สระ ๘ ตัว
รวมเป็นอักษร ๔๑ ตัว แม้ว่ามอญจะเพ่ิมพยัญชนะอีก ๒ ตัวตามเสียงมอญ แต่ก็ไม่ได้เพ่ิมเตมิ อะไรไปมากกว่า
2
นั้น เพราะฉะน้ันจะเห็นได้ว่า พ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงพระปรีชาสามารถยิ่งในการที่ได้ทรงคิดประดิษฐ์
ตัวอักษรข้ึนใช้ เขียนคาไทยอย่างถูกต้องตรงกับเสียงภาษาไทยท่ีคนไทยพูดกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการสร้าง
สัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายแทนเสียงวรรณยุกต์เป็นพระอัจฉริยภาพที่สุด คนไทยจึงถือกันว่าภาษาไทยนั้น
เริม่ ตน้ มี เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๒๖ อนั เป็นปที ที่ รงประดิษฐ์อักษรไทยข้ึนไว้เพือ่ พสกนิกรของพระองค์
หนังสอื จินดามณี
ตามประวัติการศึกษาของไทย ไม่ปรากฏว่าได้มีแบบเรียนภาษาไทยเกิดขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา
ความเจริญทางอักษรศาสตร์ในยุคสุโขทัยมีมากเพียงไรคงจะต้องถือเอาศิลาจารึกเป็นหลักฐานสาคัญ
เพียงอย่างเดียวเท่าน้ัน แต่เม่ือส้ินรัชสมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ระบบการเขียนอักษรในจารึก
ซึ่งทรงบญั ญัติให้เขียนสระกับพยัญชนะอยู่ในบรรทัดเดียวกนั ก็เปล่ียนแปลงไป กลับเป็นการเขียนอักษรแบบที่
มีสระอยู่ข้างบนข้างล่างอย่างขอมอีก แสดงให้เห็นว่าการศึกษาเล่าเรียน “ลายสือไทย” นี้ ยังไม่เป็นการม่ันคง
เท่าใดนัก การคิดประดิษฐ์อักษรไทย ในปี พ.ศ. ๑๘๒๖ จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้แน่นอนว่า คนไทยมีภาษา
เพ่ือสื่อสาร เพ่ือถ่ายทอดความคิดความเชื่อและความเข้าใจต่อกันและกัน แต่ในส่วนของการศึกษาเล่าเรียน
ภาษาไทยปรากฏข้อมูลหลักฐานแน่นแฟ้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยานับต้ังแต่รัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมเป็นต้นมา
ไทยมีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากข้ึน การศึกษาก็เริ่มรุ่งเรืองขึ้นโดยลาดับจนได้มีแบบเรียนภาษาไทย
เล่มแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งพระโหราธิบดีผู้เป็นมหาราชครูในเวลาน้ันเป็นผู้แต่ง ให้ช่ือว่า
“จินดามณี” ระยะเวลาในการแต่งน่าจะอยู่ราว ๆ ปี พ.ศ. ๒๑๘๕ รวม ๕ เล่ม เพ่ิงจะเลิกใช้จินดามณี
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
แต่งมูลบทบรรพกิจโดยพระบรมราชโองการ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๒ รวมเวลาประมาณ ๒๒๗ ปี ที่น่าจะกล่าวได้ว่า
คนไทยใช้แบบเรียนภาษาไทยเล่มแรกนี้อยู่เป็นหลักสาคัญ ดังน้ันก่อนที่จะศึกษาและวิเคราะห์แบบเรียน
ภาษาไทยทัง้ หลายในปจั จุบัน การศึกษาแบบเรียนในอดตี เสียก่อนย่อมจะทาให้สามารถมองเห็นพัฒนาการของ
แบบเรียนได้ชัดเจน และจะเปน็ การชว่ ยใหเ้ กิดความเขา้ ใจภาษาไทยกวา้ งขวางยงิ่ ขนึ้
ในอดีตนั้นสภาพสังคมไทยยังไม่เอื้ออานวยให้เกิดการเรียนภาษาไทยอย่างกว้างขวาง การสอนวิชา
หนังสือสาหรับคนท่ัวไปไม่ได้เป็นความจาเป็นของสังคม คงเป็นแต่เฉพาะกลุ่มผู้มีอันจะกินหรือมีความสัมพันธ์
กับราชสานักหรือวัดเท่าน้ัน ท่ีจะมุ่งศึกษาเล่าเรียนวิชาหนังสือ เพื่อนาไปใช้ประโยชน์ในราชการหรือ
การเผยแผ่พระศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง รัฐจึงมิได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการศึกษาแก่สมาชิกในสังคม หลักสูตร
เนื้อหาวิชาและแบบเรียน ตกเป็นภาระหน้าท่ีโดยตรงของผู้สอนซ่ึงได้แก่ พระ จุดมุ่งหมายของการเรียน
คือการนาความรู้ไปใช้ เช่น มุ่งเรียนระเบียบการเขียนการอ่านให้ถูกต้องเพ่ือใช้ในราชการ หรือฝึกฝนร่าเรียน
ฉันทลักษณ์ตามพระราชนิยม เปน็ ต้น การศึกษาเล่าเรยี นวิชาหนังสือเช่นน้ีดาเนนิ เรอ่ื ยมา จนกระท่งั สังคมไทย
ถูกกระทบจากการจัดการศึกษาอย่างมีรูปแบบของคณะนักสอนศาสนาชาวต่างชาติ ในรัชสมัย
สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชซง่ึ เป็นต้นเหตสุ าคัญท่ีทาให้เกิดแบบเรยี นภาษาไทยเล่มแรกขึน้
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติในระหว่างรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ประกอบกับการที่ทรงมีพระบรมราชานญุ าตให้ชาวต่างชาตเิ ข้ามาตั้งโรงเรียนสอนศาสนาขึ้นท่ีกรงุ ศรีอยธุ ยาได้
3
ทาให้เกิดการศึกษาในระบบโรงเรียนขึ้นเป็นคร้ังแรก โรงเรียนของมิชชันนารีที่เรียกว่า “โรงเรียนสามเณร”
เป็นรูปแบบใหม่ของการเรียนวิชาหนังสือ ความที่มีระเบียบวิธีศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนมีตาราใช้เรียนใช้สอน
อย่างเป็นระบบ ทาให้คนเร่ิมเกิดความนิยมกันข้ึน การท่ีประชาชนหันมาให้ความสนใจต่อโรงเรียนและวิธี
การเรียนการสอนของชาวตา่ งชาติเช่นน้ี ก่อให้เกิดวิตกกังวลกันว่า พ่อแม่จะส่งบุตรหลานไปเข้าเรียนโรงเรียน
มิชชันนารี และในที่สุดก็จะเป็นหนทางชักจูงให้เปล่ียนศาสนาได้โดยง่าย ความต้องการให้มีหนังสือสาหรับ
แบบเรียนภาษาไทยที่ได้มาตรฐานแน่นอน พอท่ีจะเทียบเคียงกับตาราเรียนของชาวต่างเพ่ือเป็นหลักเกณฑ์
ให้สมาชิกของสังคมได้เรียนรู้ตามแนวทางเดียวกัน คือสาเหตุที่ทาให้พระโหราธิบดีผู้เป็นนักปราชญ์คนสาคัญ
ในเวลาน้ันแต่งหนังสือแบบเรียนจินดามณีขึ้น โดยมีความมุ่งหมายให้เป็นหนังสือสาคัญท่ีผู้ใดได้เรียนแล้ว
จะเกดิ ความรแู้ ตกฉานในอกั ษรศาสตร์เสมือนหนง่ึ มีแกว้ สารพัดนึก เจตนาน้ไี ด้แสดงไว้ในโคลงบทหนง่ึ คือ
ลิขติ วิจิตรสร้อย ศุภอรรถ
ด่งงมณีจินดารตั น์ เลอศแล้ว
อันมศี ริ สิ วสั ด์ิ โสภาคย์
ใครรู้คือได้แกว้ คา่ แท้ควรเมืองฯ
ในปัจจบุ นั หนงั สอื จนิ ดามณมี อี ยดู่ ว้ ยกนั หลายฉบบั แบง่ ออกเปน็ ประเภทใหญ่ ๆ คือ
๑. จนิ ดามณฉี บับความแปลก คอื เป็นฉบับทมี่ ีข้อความแปลกไปจากจนิ ดามณีฉบบั อ่ืน ๆ มอี ยู่ ๒ ฉบับ
คือ ฉบับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพประทานฉบับหนึ่ง กับฉบับเดิมที่เป็นสมบัติ
ของหอสมุดฯ อกี ฉบบั หนึง่
๒. จินดามณีฉบับความพ้อง คือ ฉบับที่มีข้อความพ้องกันเป็นส่วนมาก จะมีแตกต่างกันบ้างก็เพียง
เลก็ นอ้ ย มีอย่หู ลายเลม่ สมดุ ไทย
๓. จินดามณีฉบับพระราชนิพนธ์กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซ่ึงทรงแต่งตามรับสั่งของพระบาทสมเด็จ
พระน่ังเกลา้ เจ้าอย่หู วั โดยนาเอาจนิ ดามณีของพระโหราธบิ ดีมาเป็นแนวในการแต่ง
๔. จินดามณีฉบับหมอบรัดเลย์ เป็นฉบับที่พิมพ์จาหน่ายในรัชกาลท่ี ๕ มีการเพิ่มประถม ก กา
ปฐมมาลา และปทานุกรมไวด้ ว้ ย ตอ่ มาโรงพมิ พ์พานิชศุภผล พิมพ์จาหน่ายอีก เมือ่ พ.ศ. ๒๔๔๘
๑. จินดามณีฉบบั พระโหราธิบดี
จุดมุ่งหมายของหนังสือเล่มน้ีนั้นดูเหมือนว่านอกจากจะต้องการให้ใช้เป็นแบบเรียนภาษาไทย
ของกุลบุตรแล้ว ยังเป็นการรวบรวมแบบแผนวิชาการประพันธ์เข้าไว้ด้วย จึงจัดเป็นหนังสือสาคัญในความรู้
ด้านอักษรศาสตร์ สอดคล้องกับพระราชนิยมของกษัตริย์ในเวลาน้ันอย่างยิ่ง ในด้านทานองแต่ง หนังสือเล่มน้ี
เปน็ รูปลักษณะของหนงั สอื สมัยโบราณ เช่น มกี ารขน้ึ ต้นเป็นร่ายไหว้ครูตามธรรมเนียมนยิ ม เปน็ ตน้
เนอื้ หาของแบบเรียน
ในการเรียนภาษาใดภาษาหน่ึง เราอาจแบ่งแบบเรียนออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ แบบเรียน
ทางภาษา ได้แก่ หลักและกฎเกณฑ์วิธีใช้ภาษาอย่างถูกต้องพวกหน่ึง แบบเรียนที่ใช้เป็นหนังสือสาหรับฝึกฝน
ทักษะการใช้ภาษา ซึ่งมักเรียกว่า แบบสอนอ่านอีกพวกหนึ่ง และแบบเรียนเพื่อสุนทรียะทางภาษา คือ
4
แบบเรียนวรรณคดีอีกพวกหน่ึง แม้หนังสือจินดามณีท่ีหลงเหลืออยู่จะไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์ แต่ก็ยังหลงเหลือ
ร่องรอยให้เห็นได้ว่าเป็นหนังสือท่ีมีลักษณะของแบบเรียนท้ัง ๓ ชนิดอยู่ครบถ้วน เพ่ือให้เกิดความสะดวก
ในการวเิ คราะห์ จึงจะศกึ ษาเน้ือหาแบบเรยี นเรยี งไปตามลาดับตามตน้ ฉบบั พิมพ์ในปัจจุบัน
๑. อักษรศัพท์ คือ เนื้อหาส่วนแรกซ่ึงเป็นลักษณะแบบเรียนทางภาษาในเรื่องของคา
คาต่าง ๆ ท่ีมอี ยูแ่ บง่ ออกได้เป็น
๑.๑ คาพ้องเสียง คาชนิดน้ีในหนังสือจินดามณีหมายความถึง คาท่ีออกเสียง
อย่างเดียวกัน ซึ่งผู้ฟังอาจจะยังไม่สามารถเข้าใจความหมายทันทีก็เป็นได้ ถ้าเป็นแต่เพียงฟัง ต้องดูรูป
ที่อักษรเขียนด้วยจึงจะเข้าใจความหมายได้โดยถ่องแท้ เพราะรูปอักษรจะส่ือความหมายไว้ได้หมด แต่ไม่ได้
จัดลาดับอักษรหรือเรียบเรียงไวเ้ ป็นหมวดหมู่ เพียงแต่รวบรวมคาไว้และใช้การซอ้ นคา เพื่ออธิบายความหมาย
ของคาพ้องเสียงแตล่ ะคา ดังตัวอย่าง “พระบาท บาตรพระสงฆ์ บาศเชือกคล้อง เงินบาด บาดอาวุธ อุบาทวะ
วบิ ัดติ นิยายนบิ าต สนิ ระบาท”
๑.๒ คาทใ่ี ช้ ไอ - ใอ ในเน้อื หาภาคอกั ษรศพั ทน์ ้ี ปรากฏคาท่ีใช้สระไอ - ใอ อยู่เพียง
เล็กน้อย เช่น ไห้ - ให้ คาประเภทน้ไี ปมอี ยใู่ นเนื้อหาเรอื่ งการใช้ สศษ, ฤ ฤา ฦ ฦา และอื่น ๆ สว่ นทมี่ ปี ะปนอยู่
ในเนื้อหาของอักษรศัพท์คงเกิดจากความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกมากกว่าท่ีจะเป็นเจตนาท่ีจะเสนอเนื้อหา
เร่ืองน้ี
๑.๓ คาศัพท์ เป็นส่วนการรวบรวมคาศัพท์ต่าง ๆ พร้อมทั้งอธิบายความหมายของ
คาศัพท์น้ัน มีท้ังท่ีเป็นหมวดศัพท์ คือ คาศัพท์ต่าง ๆ ท่ีมีความหมายเดียวกัน คาภาษาบาลี - สันสกฤต
หรือคาเขมรท่ีไทยรับเข้ามาใช้ บ้างก็เป็นคาศัพท์ท่ีว่าด้วยช่ือเมือง ช่ือดาวนพเคราะห์ ศัพท์ทางศาสนาพุทธ
และคาราชาศัพท์ ในส่วนสรปุ กล่าวไวด้ ังนี้
“...คชกับพยหุ วา่ ชา้ งทนี่ ง่ั อัษฎธิคช วา่ งชา้ งอยืน่ ท้งั แปดทศิ
ชอื่ วา่ สรรพนาม นักปราชญ์จึ่งประกอบ เพราะให้ใชส้ รรพนามกาพยกลอน
ทั้งปวง ถ้าแลมิไดเ้ รียนถ้อยคาท้ังปวง จะแปลอักษรใหเ้ รียนจ่ึงจรู้
อกั ษรใช้จใหช้ อบ แลนกั ปราชญท์ ้ังปวงพงึ เรียน ตามบังคบั ไวน้ ้แี ล”
๑.๔ นามศัพท์ เน้ือหาสว่ นนี้กวีกลา่ วในท่สี ดุ ของคานมัสการวา่
ขา้ ขอประกอบอักษรแถลง สรรพภาคยวาที
นานาวุดโตไทยวจี นามศพั ทเสรจการ
เนื้อหาของนามศพั ท์ ไดแ้ ก่ คาศัพท์ที่ใช้ สศษ คาไมม้ ว้ น ๒๐ คา คาไม้มลาย ๘๐ คา
และการใช้ ฤ ฤา ฦ ฦา ส่ิงที่น่าสังเกตคือ เนื้อหาทั้งหมดเป็นลักษณะของการรวบรวมคาศัพท์มาผูกเป็น
คาประพันธ์ให้อ่านได้คล้องจอง สะดวกแก่การจดจา ไม่ได้มีการอธิบายหรือวางกาหนดกฎเกณฑ์ไว้เ หมือน
เนอ้ื หาเรื่องเดียวกันน้ใี นแบบเรียนสมยั ตอ่ ๆ มา
๒. การจาแนกอักษรเป็น ๓ หมู่ เน้ือหาทางภาษาส่วนนี้เน้นหนักไปเพ่ือการสอนอ่านและ
สอนเขยี น ไดแ้ ก่ การสอนเร่อื งสระ พยัญชนะ การแจกลกู และการผันอกั ษร ดงั นี้
5
๒.๑ สระ ภาษาไทยมีหลักเกณฑ์ในการจัดลาดับอักษรคล้อยไปทางภาษาบาลีและ
สนั สกฤต คือ เรียนเร่ืองสระก่อนพยัญชนะ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ทรงอธิบายความเห็นใน
เรอื่ งนี้ไวว้ า่
“...ภาษาของเรามีมาก่อน หนงั สอื มที ีหลัง มีความเสียใจที่หนังสอื
ของเราหาไดป้ รงุ ขึน้ จากภาษาของเราไม่ เอาแบบหนังสือสนั สกฤตแท้ ๆ
มาใช้ เห็นจะเป็นครู (พระหรือพราหมณก์ ็ตามท)ี ผ้ทู น่ี าศาสนาทาง
มหายานเขา้ มาสั่งสอนจดั การให้ เห็นไดจ้ ากคาประณามเบอื้ งต้นวา่
“นโม พทุ ธาย สทิ ธิ” หนังสือสันสกฤตนน้ั ไม่เหมาะกับภาษาของเรา
เลย เพราะภาษาของเรามสี ระกลา้ มาก ภาษาสันสกฤตมสี ระกลา้ แต่
สอง คอื ไอ กบั เอา เทา่ น้นั เม่ือเอามาใช้ในภาษาไทยกต็ ้องเตมิ สระ
เขา้ อกี มากมาย...”
ลกั ษณะสาคัญของการเรยี นเน้ือหาเรอื่ งสระของภาษาไทยน้ัน ได้แก่ การมีแตร่ ูปสระ
ท่ีใช้ประสมกับพยัญชนะอย่างเดียว ไม่มีเรื่องสระลอย - สระจม เม่ือต้องการจะเขียนสระตามลาพังก็ให้นา
ตัว “อ” ซ่ึงจัดไว้ในพวกพยัญชนะมาประสมเข้า เว้นแต่สระ ฤ ฤา ฦ ฦา ๔ ตัว หนังสือจินดามณีไม่แยกสระ
ออกเป็น รูปสระ - เสียงสระ และสระเด่ียว สระประสม และสระเกิน จานวนสระที่นาเสนอไว้ในตอนต้นนี้
เปน็ เสยี งสระเดี่ยว ๑๒ เสียง คอื เติมสระ อึ อื กบั แอ และสระเกิน ๘ ตวั
๒.๒ พยัญชนะ หนังสือจินดามณีจาแนกอักษร ๔๔ ตัว ตามกาหนดเสียงสูงต่า
คอื ไตรยางศ์ ซง่ึ อาจารยก์ าชยั ทองหลอ่ อธิบายเรอื่ งน้ีไว้ว่า
การจัดแยกพยญั ชนะออกเป็นอักษรสามหมหู่ รือไตรยางศน์ ัน้
ถอื เอาเสียงเป็นสาคญั คอื พื้นเสียงของพยัญชนะตัวใดท่ียงั
ไม่ได้ผนั มเี สียงสงู กจ็ ดั เป็นพวกอักษรสูง พ้ืนเสยี งพยญั ชนะ
ตวั ใดที่ยงั ไมไ่ ดผ้ นั อยูใ่ นระดบั กลางกจ็ ัดเปน็ พวกอักษรกลาง
สว่ นทเ่ี หลือกจ็ ัดเปน็ อักษรต่า ท่เี รียกว่า อักษรต่านั้นนา่ จะ
หมายถงึ เสียงต่ากว่าอักษร ๒ พวกข้างต้น
เมื่อจาแนกอักษรออกเป็น ๓ หมู่แล้ว จึงถึงเรื่องการแจกลูกในมาตราแม่ ก กา
การแจกลูกน้ีเป็นวิธีการเทียบเสียง เม่ือผู้เรียนเรียนสระและพยัญชนะแล้ว ก็ให้นาพยัญชนะมาตั้งข้ึน ๑ ตัว
ซึ่งนิยมใช้พยัญชนะตัวแรกคือ ก พยัญชนะตัวนี้เป็นเสมือนแม่ ที่จะไล่ผันสระไปทีละตัว ในมาตราแรกยังไม่มี
ตัวสะกดจึงเรียก มาตราแม่ ก กา วิธีการเช่นนี้แสดงให้เหน็ ลกั ษณะพื้นฐานอักขรวิธภี าษาไทยและรวมความไป
ถงึ จุดมุง่ หมายของหนังสือทต่ี อ้ งการให้ผู้ใชเ้ ข้าใจหลักการประสมคา อันจะทาใหส้ ามารถอ่านเขียนไดถ้ ูกต้อง
๒.๓ การผันอักษร คือ การเปล่ียนเสียงพยางค์ตามเสียงวรรณยุกต์อันเป็นเรื่อง
สืบเน่ืองจากการกาหนดเสียงพยัญชนะในข้อ ๒.๒ การผันอักษรของหนังสือจินดามณีกาหนดให้อักษรทุกหมู่
ผันไดต้ วั ละ ๓ คา มีรูปวรรณยกุ ต์กากบั ๒ รปู คอื ไม้เอกกับไมโ้ ท และได้อธบิ ายวิธผี นั อกั ษรหมู่ต่าง ๆ ไวด้ ังนี้
6
๒.๓.๑ การผันคาทปี่ ระสมมาตราแม่ ก กา
อกั ษรสงู อักษรสูง ๑๑ แม่นนั้ ใหอ้ า่ นสูงแลว้ ลดลงตามไม้เอก ไม้โท ดังนี้
ขา ฉา ผา
ขา่ ฉา่ ผ่า
ข้า ฉา้ ผ้า
อักษรกลาง อักษรกลาง ๙ แม่น้ัน คาต้นให้อ่านเป็นคากลาง แล้วอ่านขนึ้ เม่ือมีรูปวรรณยุกต์
เอก และอา่ นลงเมื่อมีรูปวรรณยกุ ต์โทกากับ เป็นรูปจั่ว ดงั นี้
ก่า จา่ ดา่
กา ก้า จา จา้ ดา ดา้
อักษรเสียงกลางก้อง ในปัจจุบันอักษรหมู่น้ีเรียกว่า อักษรต่า จินดามณีกาหนดไว้ว่าอักษร
เสียงกลางก้อง ๒๔ ตัวนั้น คาต้นให้อ่านเป็นคากลาง อ่านทุ้มลงเมื่อมีวรรณยุกต์เอกแล้วอ่านสูงข้ึนไปเม่ือมี
วรรณยุกตโ์ ท ดงั นี้
ซา้ นา้ ยา้
ซา นา ยา
ซา่ นา่ ย่า
๒.๓.๒ การผันคาทมี่ ีตัวสะกดคาเป็น จนิ ดามณีกาหนดให้อ่านแต่เสียงเดียว
ตามตัวสูงต่าและผันได้เป็นสามคาตามไม้เอก ไม้โทท่ีกากับไว้เช่นในมาตราแม่ ก กา มีตัวอย่างคาควบกล้า
ท่ีสะกดในมาตราคาเป็นผนั ให้ดดู ว้ ย
๒.๓.๓ การผันคาท่ีมีตัวสะกดคาตาย ไม่มีกฎเกณฑ์การผันคาตาย เป็นแต่
กาหนดว่าอกั ษร ๑๕ เหลา่ คือ กิ กึ กุ กะ กก กด กบ เกียะ เกือะ เกอะ กัวะ เกะ แกะ โกะ เกาะ นี้เป็นคาตาย
๒.๔ มาตราตัวสะกด หนังสือจินดามณีบอกกาหนดตัวอักษรที่ใช้สะกดในมาตรา
ต่าง ๆ ไว้และให้ความสาคัญกับมาตราแม่เกยมากกว่ามาตราอื่น ๆ เสียงสระประสม ๖ เสียง ในตารา
หลกั ภาษาไทยปัจจุบัน รวมท้ังเสยี งสระ เออะ - เออ เป็นสว่ นหนึง่ ของมาตราแม่เกย ตัวสะกดในมาตราน้ี ไดแ้ ก่
/ย/, /ว/ และ /อ/ จากเน้ือหาส่วนนี้เป็นหลักฐานความรู้ทางอักขรวิธีของเรื่องมาตราแม่เกยและแม่เกอว
ในปัจจุบัน และถ้าพิจารณาถึงระเบียบสระให้ดี อาจจะเห็นข้อสังเกตของการมีมาตราตัวสะกดด้วยพยัญชนะ
กึ่งสระมาตราน้ีชัดเจนยิ่งข้ึน ซ่งึ อาจรวมไปถึงคาอธิบายที่จะตอบได้ว่าเหตุใดพวกที่สะกดด้วย ร หัน จึงรวมอยู่
ในมาตราแม่เกย เช่นเดยี วกบั เสยี งสะกดด้วยสระคาตาย
๒.๕ คาควบกล้า เนื้อหาเร่ืองคากล้ากับเนื้อหาเร่ืองอักษรนาน้ันปะปนกันอยู่
คาควบกล้าที่ให้ไว้ในจินดามณีมีไม่ตรงกับท่ีมีอยู่ในระบบเสียงปัจจุบัน เสียง /กร/ เป็นเสียงท่ีไม่มีคาตัวอย่าง
7
อยู่เลย แต่มีเสยี ง /มล/ ซึง่ ปัจจุบันเปน็ หน่วยเสียงทีม่ ีอยเู่ ฉพาะในภาษาถนิ่ ใต้ ความรู้เก่ยี วกับอักขรวิธใี นเรื่องน้ี
น่าจะเปน็ ขอ้ มูลสาหรับการศกึ ษาเปรียบเทียบภาษาไทยและภาษากลุม่ ไตได้เป็นอยา่ งดี
๓. ฉันทลักษณ์ เป็นเน้ือหาที่กล่าวถึงการแต่งคาให้ไพเราะตามชนิดของคาประพันธ์ คาว่า
โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ที่ใช้ในหนังสือจินดามณีนั้นไม่ได้ตรงกับความหมายท่ีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เพ่ือให้
สะดวกตอ่ การทาความเขา้ ใจจึงจะแยกเน้ือหาออกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ต่อไปน้ี
๓.๑ โคลง คาประพันธ์ประเภทนี้เป็นเน้ือหาส่วนสาคัญของฉันทลักษณ์ โคลง
ตัวอย่างมีอยู่หลายชนิด เช่น โคลงลาว โคลงโบราณ โคลงสุภาพและโคลงด้ัน โคลงสี่สุภาพเป็นเร่ืองท่ีมี
รายละเอียดอยู่มากกว่าเรื่องอื่น ๆ เนื้อหาสมบูรณ์เพราะประกอบด้วย แผนผัง โคลงตัวอย่าง และคณะของ
โคลง ซ่ึงมคี าอธิบายเปน็ โคลงส่ีสภุ าพไวอ้ ย่างชัดเจน นอกจากนนั้ ยงั มีโคลงชนิดอืน่ ๆ อีก ไดแ้ ก่
๑) โคลงสท่ี ี่มิได้กาหนดคาเอก กาหนดแต่คาโท เช่น โคลงขบั ไม้ กาพย์เพชร
มังกร และลักขิตคาฉันท์ พึงสังเกตชื่อท่ีใช้เรียก โดยเฉพาะอย่างย่ิง กาพย์เพชรมังกร ซ่ึงมีลักษณะบังคับของ
โคลงดั้นอยูด่ ้วย
๒) โคลงลาว ประกอบไปดว้ ย พระยาลืมงายโคลงลาว อินทรหลงห้องโคลง
ลาว ฟองสมุทและไหมยุ่งพันน้าโคลงลาว ลักษณะของโคลงลาวควรนาไปศึกษาเปรียบเทียบกับลักษณะของ
โคลงโบราณ
๓) โคลงกลบท กลบท คือ คาประพันธ์โคลงฉันท์กาพย์กลอนร่ายท่ีผู้แต่ง
เจตนาแต่งพลกิ แพลงให้แปลกไปจากธรรมดา เพื่อแสดงความสามารถหรือเพ่ือทดลองความสามารถของผูอ้ ่าน
กลบทในหนังสือจินดามณีส่วนใหญ่เป็นกลบทโดยกฎเกณฑ์ บางบทก็อ่านเข้าใจได้โดยง่าย แต่บางบทก็อ่าน
เข้าใจได้ยากต้องมีกลวิธีโดยเฉพาะ เช่น โคลงกลบทไทยนับสาม ซึ่งอาจารย์นิรันดร์ นวมารค ให้กฎเกณฑ์ไว้
ดงั น้ี
- วรรณยกุ ต์และสระบน สระหลงั สระลา่ ง นับรวมกับพยัญชนะ
เป็นหนงึ่ หน่วย
- นับใหต้ กสามทกุ หน่วยพยัญชนะไม่มเี วน้ ในบรรทดั หน่งึ ๆ
ก า ร ถ อ ด ก ล บ ท ทั้ ง ไ ท ย นั บ ส า ม แ ล ะ ไ ท ย นั บ ห้ า ก็ ใ ช้ ห ลั ก เ ก ณ ฑ์ นี้
เช่นเดยี วกนั
๔) โคลงอื่น ๆ นอกเหนือจากโคลงส่ีสุภาพและโคลงลาว เช่น โคลง
ตรีพธิ พรรณ โคลงจัตวาทัณฑี โคลงกระทู้และโคลงด้นั ข้อท่ีนา่ สังเกตมากคือ โคลงดั้น จากรูปแบบฉันทลักษณ์
จะมีอยู่ทั้งโคลงส่ีดั้นบาทกุญชรและโคลงส่ีดั้นวิวิธมาลี แต่ไม่มีเนื้อความตอนใดกล่าวถึงโคลงด้ันไว้เลย ท้ังใน
กระบวนโคลงเอง แผนผังโคลงยังมีวรรคสุดท้ายของบทที่ ๕ กาหนดแต่คาเอก คาโท ๒ คาเท่าน้ัน เรื่องของ
โคลงด้นั จงึ เป็นเรื่องทค่ี วรศึกษาวิเคราะห์ต่อไป
๓.๒ ฉนั ท์ หนงั สอื จนิ ดามณีใชค้ าว่า “ฉนั ท์” เรียกคาประพนั ธอ์ ่ืน ๆ หลายอยา่ ง เช่น
นาคบริพันธฉนั ท์ (โคลงส)่ี โคลงสงิ ฆฉนั ท์ (กาพย์ฉบงั ๑๖) เปน็ ตน้ เน้อื หาของฉนั ท์พอจะแบ่งออกได้เปน็
8
๑) คาอธิบายหลักเกณฑ์ เร่ิมจากการอธิบายลักษณะคาครุ ลหุ คณะท้ัง ๘
ตามคมั ภีรว์ ตุ โตทยั คาอธบิ ายมที ้งั สว่ นคาแปลจากภาษาบาลีและสว่ นสาหรบั ท่องจา คือ
เรากินแตง โม ลกู อ้ายกระ โต ฉะเพาะเจาะ นาน
ธค่อยอยู่ ไย กจู ะไคร่ ราญ ไม้ระพะ ภาน
ฉิฉะสง สาร แนะให้เกาะ ชาย ฯ ๓๒ ฯ
ลักษณะสาคัญของคาประพันธ์ประเภทฉันท์คือ เร่ืองของคาครุ คาลหุ
แม้ว่ากวีโบราณจะไม่ค่อยให้ความสาคัญในเรื่องกฎเกณฑ์และคาครุลหุมากนัก แต่หนังสือจินดามณีก็ยังระบุ
หลักเกณฑ์ท่ีจาเป็นไว้อย่างแน่นอน เช่น “นัยหน่ึงลหุ ๑๔ คือ อะ อิ อี อุ ฤ ฦ เอียะ เออะ อัวะ เอะ แอะ โอะ
เอาะ แล อา น้ัน สังสกฤตเอาเปนลหดุ ้วยแล”
๒) ชนิดของฉันท์ จินดามณีใช้คณะเป็นหลักในการบอกกาหนดของฉันท์
ชนิดต่าง ๆ เช่น ต ต ช ครุ ๒ ฯ ผิแลคณะสอง ชคณะหนึ่ง แลครุสองอยู่ดับกันดังนี้ช่ือ อินทรวิเชียรฉันท์
จากนน้ั จงึ ใหต้ ัวอย่างประกอบคาอธิบายเรอื่ งการจัดวรรคและสมั ผัส ดังน้ัน เมอ่ื เอ่ยถึงช่อื ฉนั ทแ์ ต่ละชนดิ จึงเป็น
เช่นน้ี อินทรวิเชียรฉนั ท์ ๑๔ (ต ต ช ครุ ๒), โตฎกฉนั ท์ ๑๒ (ส ส ส ส), วสนั ตดิลกฉนั ท์ ๑๔ (ต ภ ช ช ครุ ๒),
มาลินฉี ันท์ ๑๕ (น น ม ย ย), สทั ทลุ วิกกีฬิตรฉนั ท์ ๑๙ (ม ส ช ส ต ต คร)ุ , และสทั ธราฉนั ท์ (ม ร ภ น ย ย ย)
เปน็ ตน้
๓.๓ กาพย์ เร่ืองของกาพย์กวีกล่าวอ้างว่านามาจากตารากาพย์สารวิลาสินี ดังใน
เนื้อหาเรอ่ื งกาพย์สุรางคนางค์ คือ “ชื่อวิสาลวิกฉันท์ ในกาพยสารวิลาสนิ ี มิได้กาหนดครุลหุ กาหนดแต่กลอน
ฟัดกัน โดยนิยมน้ี” ชนิดของกาพย์มีกาพย์ฉบัง ๑๖ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์สุรางคนางค์ และกาพย์ฉบัง
นาคบริพัทธ์ซ่ึงแต่งเป็นกลบท การท่ีกวีรวมเรื่องของกาพย์ไว้กับฉันท์แสดงให้เห็นที่มาของคาประพันธ์
ท้ังสองชนิดน้ีได้ทางหนึ่ง ทั้งยังมีข้อที่น่าสังเกตคือ ตัวอย่างคาประพันธ์ประเภทกาพย์ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของ
บทพากยร์ ามเกียรต์ิ ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นความนิยมด้านวรรณคดีและลกั ษณะวรรณกรรมในเวลานั้นได้ด้วย
๓.๔ คาประพันธ์ชนิดอ่ืน ๆ คือ ลิลิต กาพย์ห่อโคลง และโคลงขับไม้ ท้ังสามชนิดนี้
มีคาอธิบายทานองแต่ง ฉันทลักษณ์ และตัวอย่างคาประพันธ์ ซึ่งพอจะเห็นได้ว่าคงต้องการให้ไว้เป็นแนวทาง
สาหรบั ผู้รักในการกวีได้ศึกษาเลา่ เรียน
๓.๕ อักษรเลข อักษรเลข คือ การกาหนดให้สระและเครื่องหมายวรรณยุกต์
มีค่าเป็นตัวเลขต่าง ๆ เหมือนกับการสร้างกลให้ผู้อ่านได้ใช้สติปัญญาอ่านและตีความให้ได้ด้วยตนเอง
เป็นการฝึกฝนความรู้ทั้งด้านการใช้ถ้อยคาและระเบียบวิธีการประพันธ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นสมกับเป็นเน้ือหา
สว่ นสรุปของฉนั ทลกั ษณ์
ข้อควรสังเกต เรื่องฉันทลักษณ์ในหนังสือจินดามณี เป็นเนื้อหาส่วนสาคัญส่วนหนึ่ง
ท่ีควรวิเคราะห์ในด้านสภาพสังคม ความนิยม วธิ ีการศกึ ษาเล่าเรียน ตลอดจนความเป็นมา และพัฒนาการของ
คาประพันธ์ชนิดต่าง ๆ เช่น เร่ืองการกาหนดสัมผัสเพ่ือให้เกิดความไพเราะในการออกเสียงเกิดข้ึนได้อย่างไร
เพราะในปัจจุบัน “สัมผัส” มีบทบาทสาคัญในระเบียบวิธีการประพันธ์ และเป็นข้อกาหนดท่ีแตกตัว
สลับซบั ซ้อนมากขึน้
9
เร่ืองอื่น ๆ ที่เป็นเนื้อหาในจินดามณีนั้น ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ถูกต้องตรงตามต้นฉบับเม่ือแรก
แต่ง แต่ก็มีประเด็นท่ีควรสังเกตอยู่หลายประการ เช่น เรื่องของระเบียบของสระ เร่ืองวรรณยุกต์ และเรื่อง
มาตราตัวสะกด เป็นต้น ข้อควรระวังในการศึกษาเนื้อหาของหนังสือจินดามณีเล่มนี้คือ ต้องทาความเข้าใจ
เสียก่อนว่า จินดามณีเป็นหนังสือที่มีการเรียบเรียงไม่เป็นระเบียบ เนื้อหาไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจเป็นเพราะ
ความคลาดเคล่ือนในการท่องจาหรือการคัดลอกสืบทอดกันมา ผู้ศึกษาวิเคราะห์จะต้องไม่นาข้อบกพร่อง
ประการนี้มาลดทอนคณุ คา่ ของหนังสือลง และควรจะหลกี เล่ียงการพจิ ารณารูปแบบเชน่ น้ี ท้งั นี้เพราะแนวทาง
ที่จะนามาศึกษาวิเคราะห์หนังสือจินดามณีมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเพ่ือเปรียบเทียบกับจินดามณี
ฉบับอ่ืน การศึกษาถึงความสัมพันธ์ของเน้ือหากับสังคมและวัฒนธรรม หรือการวิเคราะห์คุณค่าของเน้ือหา
ในฐานะที่เปน็ แบบเรยี นหลกั ภาษาไทยเลม่ แรก เปน็ ต้น
๒. จนิ ดามณีครัง้ แผ่นดินพระเจา้ บรมโกศ
หนังสือเล่มนี้ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง แต่ระบุเวลาท่ีแต่งไว้ว่าเป็นจุลศักราชที่ ๑๐๙๔ ซึ่งตรงกับปีแรก
ทพี่ ระเจ้าอยูห่ วั บรมโกศเสวยราชย์สมบตั ิ จงึ เรียกกนั ว่า จินดามณีฉับพระเจ้าบรมโกศ
ในสว่ นนาของหนังสอื ได้แถลงเร่อื งของตวั อกั ษรไว้ว่า
“อันหนึง่ ในจดหมายแต่ก่อนวา่ ศักราช ๖๔๕ มแมศก พรญารว่ งเจา้
ได้เมืองษรสี ชั นาไลยแลว้ แต่งหนังสอื ไทย แลจ่ไดว้ า่ แตง่ รูปกด็ ี แตง่ แมอ่ ักษรก็ดี
หมีไดว้ า่ ไวแ้ จ้ง อนงึ่ แมห่ นังสือ แต่ ก กา กน ฯลฯ ถึงเกอย เมืองขอมกแ็ ต่ง
มอี ยแู่ ลว้ เหนวา่ พรญาร่วงเจา้ จ่แตง่ แต่รูปอักษรไทยฯ”
เนื้อหาของแบบเรยี น
เน้อื หาของจนิ ดามณฉี บับนอี้ าจแยกเปน็ สว่ น ๆ ได้ดังน้ี
๑. การประสมคา เรื่องพยัญชนะมี ๔๔ ตัว กาหนดให้พยัญชนะ ๓๓ ตัว เป็นพวกใน กข
และอีก ๑๑ ตัว เป็นพวกนอก กข แต่ยังไม่กาหนดเป็นพยัญชนะวรรค เสียงพยัญชนะนั้น กาหนดเป็นอักษร
สามหมู่เช่นเดียวกับจินดามณีฉบับพระโหราธิบดี แม้ในเร่ืองสระก็เช่นกัน ข้อแตกต่างอยู่ตรงที่เปล่ียน อ
เป็น อา เท่าน้นั
๑.๑ การผันอักษร ให้อักษรเสียงกลางผันได้ ๕ เสียง โดยใช้รูปวรรณยุกต์ตรีและ
จตั วา สว่ นอักษรเสยี งสงู และอกั ษรเสียงตา่ ให้ผันได้ตวั ละ ๓ เสยี ง ซึ่งเมอ่ื เข้าค่กู นั ก็จะผนั ได้ ๕ เสยี งเช่นเดียวกบั
อักษรเสียงกลาง การอธิบายอักษรคู่จะกล่าวถึงการใช้ “ห” นาอักษรเด่ียวด้วย ขอให้ดูตัวอย่าง
การผันอกั ษรตอ่ ไปน้ี
10
ก๋ ข
ข่
ก่ ค ข้
ก ก้
ค่
ก๊
ค้
๑.๒ มาตราตัวสะกด เรื่องมาตราตัวสะกดในหนังสือจนิ ดามณีเล่มน้ีไม่เป็นท่ีแน่นอน
ชัดเจน แม้จะอ้างถึงมาตรา ๘ แม่ แต่ก็มักจะอ้างถึงแม่กัว หรือ กว เป็นอีกส่วนหนึ่งแยกออกไปส่วนตัวสะกด
ในมาตราต่าง ๆ นั้น เน้ือหาเน้นหนักเร่ืองการอธิบายคาบาลี - สันสกฤต และคาเขมรที่ใช้กันบ่อยในขณะนั้น
เป็นสาคญั
๑.๓ การแจกลูก เนื้อหาเรื่องการแจกลูกเป็นเช่นเดียวกับจินดามณีฉบับ
พระโหราธิบดี มีการแจกลูกคากล้า การแจกลูกในมาตราต่าง ๆ ไว้พอเป็นตัวอย่าง ส่วนท่ีไม่เหมือนกันก็คือ
การแจกลูกอกั ษรกลางดว้ ยวรรณยุกต์ตรีและจตั วา
๒. วิธีเขียนหนังสือไทยคาอธิบายเรื่องการใช้เคร่ืองหมายต่าง ๆ เมื่อเขียนหนังสือไทย
มีอยู่มาก ในบางเร่ืองก็ย้อนความถึงหลักภาษาบาลี - สันสกฤต และภาษาเขมร เป็นการอ้างอิง ส่วนท่ีไม่ได้
อ้างอิงถึงท่ีมาจากภาษาเดิมก็มักจะชี้แจงแสดงเหตุผลไว้ เช่น “เพลิงมิไชเพิลง...เหตุว่าคาออกคู้ตัวรองพินท่ี
ตัวรองต่างหาก” เป็นต้น เครื่องหมายบางตัว อาทิ ไม้หันอากาศ ไม้ไต่คู้ และทัณฑฆาฏ จะมีคาอธิบายพร้อม
ตัวอย่างมากกวา่ เครื่องหมายอ่ืน ๆ ทาให้พอจะสันนิษฐานได้ว่า ในเวลาน้ันการใชเ้ ครอื่ งหมายเหล่านี้ไม่ถูกต้อง
คงเป็นปัญหาของการเรยี นภาษาไทยประการหน่ึง
๓. วิธีอ่านหนังสือไทย เน้ือหาเร่ืองการอ่านประกอบด้วยการอ่านออกเสียงให้ถูกต้องตาม
ที่เขียน เชน่ กัย์ ต้องอ่านว่า ไก เปน็ ต้น การอ่านคาพ้องรปู เช่น เพลา - พลว์ นอกจากน้นั ก็เปน็ เน้อื หาการอ่าน
คาศัพท์ยากใหถ้ กู
เนื้อหาส่วนสุดท้ายของหนังสอื เล่มน้ีเป็นการอธิบายมาตราแม่ เกย เมื่อประสมกับสระต่าง ๆ
ซึ่งเปน็ เรื่องของสระชนิดทเ่ี รียกว่า สระประสม ในปัจจบุ ัน
ข้อควรสังเกต
๑. เรื่องอักษรนา หนังสือน้ีมีคาอธิบายพร้อมตัวอย่างในเร่ืองการใช้ ห นา โดยไม่มีเนื้อหา
ของการใช้ อ นา แต่กลบั มีตัวอย่างคาที่ใช้ อ นา ย เชน่ เอยียบ เอยยี ด
อน่ึง อกั ษรนาน้เี รยี กชือ่ ว่า “อกั ษรพา” โดยตลอด ซ่งึ จะไม่ได้พบชอ่ื นีใ้ นหนังสอื เล่มอน่ื ๆ
๒. เรื่องวรรณยุกต์ มีรูปวรรณยุกต์ตรีและจัตวาขึ้นมา กาหนดให้ใช้เฉพาะแต่กับอักษรกลาง
และให้คาอธิบายไว้ว่า เพ่ือเป็นการทาให้อักษรกลางได้มีจานวนคาเสมอกับอักษรสูง ซึ่งมีเสียงคู่กับอักษรต่า
อยู่แลว้
11
๓. เร่ืองมาตราตวั สะกดแมเ่ กย หนงั สือเล่มนี้ใหค้ าอธิบายไวช้ ดั เจนว่ามาตราตัวสะกดแม่เกยนี้
มีตวั สะกดอยู่ ๓ ตัว คือ อ ว และ ย
๔. เร่ืองฉันทลักษณ์ ไม่มีเน้ือหาฉันทลักษณ์ในหนังสือจินดามณีฉบับน้ี และทานองเขียน
กเ็ ป็นความเรียงรอ้ ยแก้ว ผิดกบั ทานองเขียนในหนังสือจินดามณีฉบบั อ่ืน ๆ ในฉบับพมิ พป์ จั จุบันมโี คลงอยเู่ พยี ง
๒ บทเทา่ นน้ั
๕. เร่ืองคาภาษาต่างประเทศ ตั้งแต่ส่วนนา หนังสือเล่มน้ีได้ให้ข้อมูลเรื่องการใช้อักษรขอม
เขียนภาษาไทยไว้แล้ว ซ่ึงอาจสันนิษฐานได้ว่าก็คงมีการใช้อักษรขอมเขียนภาษาบาลีด้วยเช่นกัน การใช้คา
“ขอม” ของจินดามณีฉบับนี้หมายถึงท้ังภาษาเขมรและบาลีปน ๆ กันอยู่ และยังมีเน้ือความที่กล่าวถึง
ภาษาบาลแี ละสนั สกฤตไว้ตอนหนง่ึ ว่า
พระบาลีแลเน้อื ความในโคลงทงง ๒ ย่างนีจ้ ะได้เถยี งกันอยู่ หาบ่หมไี ด้
แตง่ ตามอักษรทาง ๓ เหล่า อนั แยกกันอยนู่ ั้น เพ่ือจ่ใหแ้ จง้ ดงงนแี้ ล
ฎ ตวั ใหญน่ ้นี อกกะขะ สาหรบั สังษกฤษจก่ ลายมาจากฐานฐะ มทุ ธชะ ใน
พระบาลตี วั น้ี คือ วษี ฎาร ขัษฎา ราษฎร อษั ฎางคีด หยา่ งน้หี นังสือเกา่
ใช้มมี ากอยแู่ ล้ว ด นอ้ ยตัวนี้ นอกกะขะ สาหรบั สงั ษกฤษจก่ ลาย
จาก ถะ ทันตะชะ ในพระบาลตี ัวนี้คือ สาษดา หัษดนี ทร นกหษั ดลิ งิ ค
หย่างน้หี นงั สือเก่าใช้ยมีมากอยู่
คาว่า นอกกะขะ ท่ีใช้น้ีอาจจะหมายถึง พยัญชนะนอกภาษาบาลี มีจานวน ๑๑ ตัว คือ ฃ ฅ
ซ ฎ ด บ ฝ ฟ ศ ษ และ ฮ แต่จากเนื้อหาท่ียกมาเป็นตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ผู้เขียนมีความรู้ภาษาบาลีมากกว่า
ภาษาสันสกฤต และเมื่ออธิบายการออกเสียงพยัญชนะ ๔๔ ตัว โดยเฉพาะการอ่านอักษร ฆ ฌ (ฒ) ฑ ธ
ใหอ้ อกเสยี งหนกั ลงคอตา่ งกบั อักษรอ่นื ย่อมแสดงให้เหน็ ความรู้ไวยากรณ์ภาษาบาลีได้ค่อนข้างชดั เจน
จากข้อสังเกตดังที่กล่าวมาข้างต้น คงจะพอเป็นแนวทางให้เห็นได้ว่า หนังสือจินดามณีฉบับ
พระเจ้าอยหู่ ัวบรมโกศนี้ เป็นแบบเรยี นภาษาไทยอีกเล่มหน่ึงที่มคี ณุ คา่ แม้ว่าต้นฉบับจะยังไม่ไดช้ าระให้ชดั เจน
ก็ตาม ประเด็นที่ควรจะนาไปพิจารณาต่อไปมีอยู่หลายเรื่อง เช่น การกาหนดเครื่องหมายวรรณยุกต์และวิธีใช้
การเขียนตัวสะกดการันต์ หรือการใช้เคร่ืองหมายทแ่ี ตกตา่ งจากจินดามณฉี บับพระโหราธบิ ดอี ย่างเห็นไดช้ ัด
12