The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติและวิถีชีวิตของคนกะเหรี่ยง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pongpraiwanarisa, 2022-12-17 22:19:23

กะเหรี่ยง

ประวัติและวิถีชีวิตของคนกะเหรี่ยง

E-book

กะเหรี่ยง (KAREN)
“ปกาเกอะญอ”

จัดทำโดย




นางสาว อริสา พงษ์ไพรวัน

ชาติพันธุ์กะเหรี่ยง



ชื่อ กะเหรี่ยง
ความเป็นมา

กะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าที่มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาชาวเขา
ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน กระจายกันอยู่ทุกอำเภอ ทั้งนี้
เนื่องจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีอาณาเขตติดต่อกับรัฐกอทเล
และรัฐคะยา อันเป็นแคว้นกะเหรี่ยงในประเทศสหพม่า ชาว
กะเหรี่ยงได้เข้ามาอาศัยอยู่ในแม่ฮ่องสอนเมื่อประมาณ ๑๐๐
ปีมาแล้ว มี ๒ เผ่า คือ ชาวกะเหรี่ยงโปว์หรือกะเหรี่ยงแดง
และกะเหรี่ยงสะกอหรือกะเหรี่ยงขาว

การปรับปรนในสังคมปัจจุบัน
ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตตามวิถีชีวิตของ
ชาวกะเหรี่ยงทั่วไป นอกจากหนุ่มสาวยุคใหม่ที่เดิน
ทางออกจากหมู่บ้านไปศึกษาและทำงานในเมือง
จะมีวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามชาวเมือง ยังคงมี
การแต่งกายและพูดภาษากะเหรี่ยงกันทั่วไป ใน
เทศกาลปีใหม่กะเหรี่ยงทุกเผ่าจะกลับมาหมู่บ้าน
เพื่อร่วมงานประเพณีปีใหม่ทุกปี

วิถีชีวิต

ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ชอบใช้ชีวิต
อยู่อย่างสงบ บ้านชาวกะเหรี่ยงเป็นครอบครัวเดี่ยว มีพ่อแม่ลูก
ที่ยังไม่แต่งงาน บ้านชาวกะเหรี่ยงเป็นบ้านยกพื้นสูง ใช้วัสดุ
ไม้ไผ่และมุงด้วยใบตองตึง นับถือผี ศาสนาพุทธและคริสต์
เทศกาลที่สำคัญ คือ ประเพณีขึ้นปีใหม่ ซึ่งมีราวเดือน
กุมภาพันธ์ จะมีการเลี้ยงผีประจำหมู่บ้าน โดยหมอผีจะเป็นผู้
ประกอบพิธี มีการผูกข้อมือให้กับคนในหมู่บ้าน จากนั้นหัวหน้า
หมู่บ้านจะนำเหล้ามาเซ่นผีเจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อให้ช่วยปกปักรักษา
หมู่บ้านและให้สามารถปลูกพืชผลเจริญงอกงาม เสร็จแล้วจะ
ดื่มเหล้าร่วมกัน หมอผีจะเดินทางไปทำพิธีให้ครบทุกบ้าน เสร็จ
แล้วจะมีการล้มหมูแจกจ่ายทำอาหารเลี้ยงกัน

กะเหรี่ยง

กะเหรี่ยง หรือ ปกาเกอะญอ คนล้านนามักเรียกว่า
“ยาง” พม่าเรียกว่า “กะยิ่น” ชาวตะวันตก เรียกว่า “กะเร
น” กลุ่มชาติพันธุ์นี้เรียกตนเองว่า “กะเหรี่ยง” ประกอบ
ด้วยกะเหรี่ยงหลากหลายกลุ่ม กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ปกาเก
อะญอ (สกอว์) โพล่ง (โปว์) ตองสู้ (ปะโอ) และบะแก
(บะเว) แต่เดิมกะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณต้นแม่น้ำ
สาละวิน สหภาพพม่า ต่อมาได้อพยพเข้ามาตามแนวตะเข็บ
ชายแดนไทย-พม่า สู่ภาคเหนือและภาคตะวันตกของ
ประเทศไทย ใน 15 จังหวัด เช่น เชียงใหม่ ลำพูน
แม่ฮ่องสอน ตาก และกาญจนบุรี แม้กะเหรี่ยงจะได้ชื่อว่า
เป็นชาวเขา แต่ก็มิได้อาศัยบนเขาสูงเสียทั้งหมด บางส่วน
สร้างบ้านแปลงเรือนอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบ หรือพื้นที่
ราบเชิงเขา เหมือนกลุ่มชาติพันธุ์ไทอื่นๆ เช่น ชาวกะเหรี่ยง
ในบ้านพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นต้น ใน
ส่วนของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ชาวกะเหรี่ยงนิยมสร้างเรือน
ไม้ยกพื้นสูง มีชานเรือน หลังคาหน้าจั่วยาวคลุมตัวบ้านมุง
ด้วยหญ้าคา ไม่มีหน้าต่าง และดำรงชีพด้วยเกษตรกรรม
และหาของป่า

กะเหรี่ยงมีภาษาเป็นของตนเอง คือ ภาษากะเหรี่ยง เป็น
ภาษาในตระกูลจีน-ทิเบต สาขาทิเบต-พม่า แบ่งเป็นภาษา
ย่อยได้ 8 ภาษา คือ สะกอ โป กะยา เฆโก มอบวา (บิลีจี
, เดอมูฮา) ปาไลซิ ต้องสู้ และ เวเวา นอกจากนี้ยังมีสำเนียง
อีกหลายแบบ ซึ่งแตกต่างกันไปตามพื้นที่ตั้งถิ่นฐาน แด่เดิม
ชาวกะเหรี่ยงนับถือผี โดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ ผีอารักษ์ และ
ผีต่าง ๆ ที่สถิตตามป่าเขา ลำน้ำ และบริเวณหมู่บ้าน ต่อมา
เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนพื้นราบจึงหันมานับถือพระพุทธ
ศาสนา และบางส่วนนับถือศาสนาคริสต์ตามที่มิชชั่นนารีได้
เข้ามาเผยแพร่ศาสนจักร

การแต่งกายของชาวกะเหรี่ยงแต่ละพื้นที่แต่ละกลุ่ม
มีการแต่งกายที่ต่างกัน แต่มีจุดร่วมที่คล้าย ๆ กันคือ เด็ก
และหญิงสาวจะเป็นชุดคลุมยาว เป็นผ้าฝ้ายพื้นขาว ทอหรือ
ปักประดับลวดลายให้งดงาม ส่วนสตรีที่แต่งงานแล้วจะสวม
เสื้อสีดำ น้ำเงิน หรือสีเข้ม และผ้านุ่งสีแดงคนละท่อน
ตกแต่งด้วยลูกเดือย หรือทอยกดอก ยกลาย ส่วนบุรุษนิยม
สวมเสื้อตัวยาวถึงสะโพก ตัวเสื้อจะมีการตกแต่งด้วยแถบสี
ไม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อสตรี นุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้
สร้อยลูกปัดเป็นเครื่องประดับ และสวมกำไลเงินหรือตุ้มหู

ชาวกะเหรี่ยง เรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” ซึ่งแปลว่า “คน”
เป็นชนเผ่าที่มีจำนวนมากที่สุด ในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น
4 กลุ่ม ได้แก่ สะกอ หรือยางขาว หรือ ปากฺกะญอ เป็นกลุ่มที่มี
ประชากรมากที่สุด โป หรือ โพล่ อยู่ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน
เชียงใหม่ และลำพูน ปะโอ หรือ ตองสู และบะเว หรือ คะยา ใน
เขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถิ่นฐานเดิมของกะเหรี่ยงอยู่บริเวณ
มองโกเลียเมื่อกว่า2,000ปีมาแล้ว ต่อมาได้หนีภัยจากการ
รุกรานจากกองทัพจีน มาอยู่ที่ธิเบต ถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อยๆ
ตั้งแต่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ลุ่มน้ำสาละวิน มาถึง
คอคอดกระจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวนที่อพยพเข้ามาใน
ประเทศไทยในตอนปลายศตวรรษที่ 18 ในรัชสมัยสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ

ภาาษา กะเหรี่ยงแต่ละเผ่ามีภาษาพูด
และภาษาเขียนเป็นของตนเอง
โดยการดัดแปลงมาจากตัว
หนังสือพม่า ผสมอักษรโรมัน

ประวัติความเป็นมา

ถิ่นฐานดั้งเดิมของกะเหรี่ยงอยู่บริเวณมองโกเลีย เมื่อกว่า
๒๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ต่อมาได้หนีภัยสงครามมาอยู่ที่ธิเบต และเมื่อ
ถูกรุกรานจากกองทัพจีนก็ถอนลงมาทางใต้เรื่อยๆ จนกระทั่งลงมา
ถึงดินแดนลุ่มแม่น้ำสาละวินในเขตพม่า กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนชาติ
พันธ์ที่อาศัยอยู่หนาแน่นในบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันตกของ
ประเทศไทย กะเหรี่ยงในประเทศไทยเป็นกะเหรี่ยงที่อพยพจาก
ประเทศพม่าทั้งสิ้น จำนวนประชากรในปัจจุบัน กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่
ในประเทศพม่าราว ๒.๖ ล้านคน และในประเทศไทยราว ๔๐๐,๐๐๐
คน

กะเหรี่ยงกลุ่มต่าง ๆ ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น ๔ กลุ่ม
คือ
กะเหรี่ยงสะกอ
กะเหรี่ยงโปว
กะเหรี่ยงคะยา
กะเหรี่ยงตองสูหรือตองตู
นอกจากนี้ยังมีกะเหรี่ยงกลุ่มเล็ก ๆ อีก ๒ กลุ่ม คือ
ปาดอง (กะเหรี่ยงคอยาว)
กะยอ (กะเหรี่ยงหูยาว)

ลักษณะบ้านเรือน

นิยมสร้างเป็นบ้านยกพื้นสูง มีชานบ้าน บางส่วนก็
ตั้งบ้านเรือนบนที่ราบเช่นเดียวกับชาวพื้นราบทั่วไป
ชาวะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งถาวร ไม่ย้าย
ถิ่นบ่อยๆ

ภาษาของเผ่ากะเหรี่ยง
ภาษากะเหรี่ยงที่มีการพูดในประเทศไทยมากที่สุด
คือ ภาษากะเหรี่ยงสะกอ และภาษากะเหรี่ยงโป
ทั้งสองภาษาแบ่งออกเป็นคนละภาษา เพราะแตก
ต่างกันในเรื่องของระบบเสียง และคำศัพท์ค่อน
ข้างมาก ทั้งที่พูดอยู่ประเทศไทยและพม่า ก็อยู่ใน
ตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (Sino –Tibetan
Language Family) เหมือนกัน ภาษาสาขา
กะเหรี่ยงมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างจากภาษาใน
สาขาธิเบต คือภาษาในสาขากะเหรี่ยงจะมีการเรียง
ลำดับคำในประโยคเป็นประธาน–กริยา-กรรม แต่
ภาษาในสาขาธิเบตจะมีการเรียงลำดับคำใน
ประโยคเป็น ประธาน-กรรม-กริยา ภาษากระเหรี่
ยงโปที่มีพูดกันอยู่ในประเทศไทยนั้นมีผู้ศึกษา และ
แบ่งภาษาถิ่นของกะเหรี่ยงโปตามบริเวณพื้นที่ตั้ง
ถิ่นที่อยู่ของชาวกะเหรี่ยงโปเป็น
๓ กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ ๑ เป็นภาษากะเหรี่ยงโปที่อาศัยอยู่ในจังหวัด
เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน
กลุ่มที่ ๒ เป็นภาษากะเหรี่ยงโปที่อาศัยอยู่ในจังหวัด
ลำพูนและลำปาง
กลุ่มที่ ๓ เป็นภาษากะเหรี่ยงโปที่อาศัยอยู่ในจังหวัด
เชียงราย แพร่ ตาก
และกาญจนบุรี (Joseph R. Cook และ คณะ
1976:188)
จากการศึกษาภาษาถิ่นกะเหรี่ยงในระยะต่อๆ มายึด
เกณฑ์การพูดเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นหลัก ภาษาถิ่นของ
ภาษากะเหรี่ยงโปที่ใช้พูดกันในบริเวณภาคเหนือ ของ
ประเทศไทยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ
กลุ่มที่ ๑ ภาษากะเหรี่ยงโปลำปาง ได้แก่ ภาษากะเหรี่ยง
โปที่พูดกันในจังหวัดลำปาง และบางส่วนในจังหวัด
เชียงราย
กลุ่มที่ ๒ ภาษากะเหรี่ยงโปถิ่นเหนือ ได้แก่ภาษา
กะเหรี่ยงโปที่พูดกันในจังหวัดลำพูน แพร่ เชียงใหม่
แม่ฮ่องสอนและบางส่วนในจังหวัดเชียงราย

การแต่งกาย

กะเหรี่ยงทอผ้าจนเป็นวัฒนธรรมประจำเผ่า
เสื้อเด็กและหญิงสาวจะเป็นชุดทรงกระสอบ
ผ้าฝ้ายพื้นขาว ทอหรือปักประดับลวดลาย
ให้งดงาม ส่วนหญิงที่มีครอบครัวแล้วจะ
สวมเสื้อสีดำ น้ำเงิน และผ้านุ่งสีแดงคนละ
ท่อน ตกแต่งด้วยลูกเดือย หรือทอยกดอก
ยกลาย สำหรับผู้ชายกะเหรี่ยงนั้นส่วนมาก
จะสวมเสื้อตัวยาวถึงสะโพก ตัวเสื้อจะมีการ
ตกแต่งด้วยแถบสีไม่มีการปักประดับเหมือน
เสื้อผู้หญิง นุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้สร้อย
ลูกปัดเป็นเครื่องประดับ และสวมกำไลเงิน
หรือตุ้มหู

การแต่งกาย

การแต่งกายของเผ่ากะเหรี่ยง
การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ประจำกลุ่มมักเป็นได้
จากการแต่งกายของผู้หญิง เสื้อสีแดงเป็น
สัญลักษณ์ของความเป็นชาย นั่นคือ ความอดทน
แข็งแรง เสื้อสีแดงของชายกะเหรี่ยงเน้นเสื้อทรงสอบ
คอเสื้อเป็นรูปตัววี ตรงชายเสื้อติดพู่ห้อยลงมา ผู้
หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่ยังไม่แต่งงานใส่ชุดทอด้วยมือ
ทรงสอบ สีขาว ยาวคร่อมเท้า ชุดขาวนี้เรียกว่า “เช้
ว้า” ใส่ตั้งแต่เด็กจนถึงวันแต่งงานจึงจะเปลี่ยนใส่ชุด
ขาว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่
แต่งงานแล้วสวมเสื้อประดับประดาด้วยลูกเดือยและ
ฝ้ายสี เสื้อของหญิงที่แต่งงานแล้ว ต้องมีลายปัก
ต้องมีการปักลูกเดือย สำหรับนับถือผีและพุทธ ส่วน
ศาสนาคริสต์ไม่จำเป็นต้องปักลูกเดือย จะใส่ผ้าซิ่นที่มี
ลายถี่ ผ้าซิ่นของหญิงที่แต่งงานแล้วและนับถือคริสต์
จะไม่มีลายถี่

เครื่องดนตรี



“ เตหน่า ” เป็นเครื่องดนตรีของชนเผ่ากะะเหรี่ยง ทำ
ด้วยไม้อ่อนเหลา และกลึงให้เป็นรูปเหมือนกล่องรูป
ทรงรี มีก้านยาวโก่งและโค้งสูงขึ้นไป ที่ตัวจะเจาะรู
เป็นโพรงปิดด้วยโลหะบาง ๆ สายทำด้วยเส้นลวดมี
สายตั้งแต่ 6 – 9 สาย เตหน่า ใช้สำหรับดีดและร้อง
เพลงประกอบ ใช้ในโอกาสมีเวลาว่างและเพื่อความ
สนุกสนาน โดยเฉพาะหนุ่มชาวปกาเกอะญอจะใช้เต
หน่าในการเกี้ยวพาราสีหญิงสาวในยามค่ำคืน

วัฒนธรรมประเพณี



ชาวกะเหรี่ยงมีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการ ทำพิธีกรรมเลี้ยงผี บวงสรวง
ดวงวิญญาณ ด้วยการต้มเหล้า ฆ่าไก่ - แกง และมัดมือผู้ร่วมพิธีด้วยฝ้าย
ดิบ ซึ่งเกี่ยวโยงกัน

ประเพณีปีใหม่ โดยหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ระบุวันล่วงหน้า แต่ละหมู่บ้านจะ
มีปีใหม่ แต่ละปีไม่ตรงกัน เพราะเป็นพิธีที่หมายถึงการเริ่มต้นของฤดูกาล
การเกษตร และอยู่เย็นเป็นสุข

ประเพณีแต่งงาน ผู้หญิงจะเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง เจ้าสาวจะต้องทอเสื้อผ้า
กางเกง ย่ามไว้ให้เจ้าบ่าว ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องฆ่าหมูฆ่าไก่เพื่อทำพิธีกรรม
บอกต่อผีบรรพบุรุษและเป็นอาหารเลี้ยงแขก แต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องมา
อยู่บ้านฝ่ายหญิง 1 ฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนแยกไปปลูกบ้านใกล้กัน

ด้วยความเชื่อและนับถือในเรื่องผี-วิญญาณ ชาวกะเหรี่ยงจึงมี
ประเพณี และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงผีอยู่เสมอ ผีที่ชาว
กะเหรี่ยงนับถือมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ผีดี กับ ผีร้าย ผีดีคือผีบ้าน ซึ่ง
มีหน้าที่ดูและรักษาหมู่บ้านหรือผีเจ้าที่นั่นเอง และผีเรือน คือผี
บรรพบุรุษ เช่น ผีปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว วิญญาณยังวนเวียน
คุ้มครองลูกหลานอยู่ ชาวกะเหรี่ยงจะมีพิธี เซ่น บวงสรวงบูชาผี
เรือนอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง เพื่อให้ปลอดภัยจากการเจ็บไข้ได้ป่วย
หรือรอดพ้นจากภัยทั้งปวง นอกจากการเลี้ยงผีบ้านผีเรือนแล้ว ชาว
กะเหรี่ยงยังมีพิธีเลี้ยงผีไร่ ผีนา ผีป่า ผีดอย อีกด้วย ทั้งนี้โดยอาศัย
หมอผีผู้มีความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา เน้นผู้ประกอบ
พิธีกรรมเลี้ยงผีเหล่านี้ ซึ่งอาจจะมีทั้งผีดีและผีร้าย ที่อยู่ตามป่าเขา
ลำธารทั่วไป คอยลงโทษผู้ที่ผ่านไปให้ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น
ความเชื่อถือในเรื่องผีและวิญญาณของชาวกะเหรี่ยง จึงมีผลดีต่อ
สังคมชาวกะเหรี่ยงอย่างมาก และทำให้เกิดคุณธรรมขึ้น เพราะไม่มี
ใครกล้าทำความผิดแม้แต่ต่อหน้าและลับหลัง เช่น การลักขโมยหรือ
การผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แม้คนไม่เห็นแต่ผีเห็นเสมอ เป็นต้นนอกจาก
การนับถือผีแล้ว ชาวกะเหรี่ยงยังนับถือศาสนาคริสต์ และพุทธ
ศาสนาอีกด้วย ซึ่งก่อให้เกิดเป็นประเพณีและวัฒนธรรมในเผ่าขึ้นขึ้น
เช่น ประเพณีปีใหม่ ประเพณีขึ้นบ้านใหม่ ประเพณีเกี้ยวสาว และ
แต่งงาน หรือแม้กระทั่งประเพณีงานศพประเพณีปีใหม่ซึ่งเป็น
ประเพณีที่สำคัญที่สุดของชาวกะเหรี่ยง โดยถือกำเนิดเอาเดือน
กุมภาพันธ์ของทุกปี แต่การจัดงานอาจจะไม่ตรงกันทุกปีก็ได้ แล้ว
แต่หัวหน้าหมู่บ้านหรือฮีโข่ จะแจ้งให้ทราบ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น
ระยะเวลาก่อนจะถึงฤดูกาลการเกษตร คือ หลังจากงานปีใหม่แล้ว
กะเหรี่ยงจะเริ่มทำงานในไร่ ในนา ทันที

๑ พิธีปีใหม่
ทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านจะหมักเหล้าเตรียมเอาไว้ เมื่อถึง
วันกำหนดงาน หมอผีจะประกอบพิธีให้ โดยเริ่มจากบ้านข
องฮีโข่ หรือ หัวหน้าหมู่บ้านก่อนเป็นหลังแรก แล้วกระทำ
ต่อไปจนครบทุกหลังคาเรือน ซึ่งกินเวลาถึง ๓ วัน กว่าจะ
เสร็จ โดยพิธีกรรมก็คือ มีการนำเหล้า และไก่มาบวงสรวง
ต่อผีและวิญญาณ จากนั้นก็จะดื่มเหล้ากันตามประเพณี
และทำพิธีผูกข้อมือด้วยสายสินจญ์ เสกมนต์คาถาอวยพร
ให้อยู่เย็นเป็นสุขทุกบ้าน

2.ประเพณีขึ้นบ้านใหม่
พิธีนี้จะจัดขึ้นเมื่อชาวกะเหรี่ยงสร้างบ้านเรือนใหม่ ซึ่งถือ
เป็นเรื่องจำเป็นละมีความสำคัญมาก เพราะชาว
กะเหรี่ยงถือว่าถ้าหากสร้างบ้านเสร็จแล้วไม่ได้ทำพิธีขึ้น
บ้านใหม่ ผู้เข้าอยู่อาศัยก็จะไม่มีความสุข ดังนั้น พิธีขึ้น
บ้านใหม่ของชาวกะเหรี่ยงจึงถูกจัดขึ้นโดยการจัดเลี้ยง
สุรา อาหาร ฆ่าหมู ไก่ เลี้ยงกัน สำหรับแม่บ้านก็จะจัด
ทำขนดหรือข้าวปุก (ข้าวเหนียวตำคลุกงา)และข้าวต้ม
มัด เลี้ยงกันอย่างสนุกสนานครึกครื้น มีการร้องเพลง
อวยพรให้เจ้าของบ้านด้วย

3.การผูกข้อมือ
นี้กะเหรี่ยงมักนิยมทำกันในงานพิธีมงคล
ต่างๆ เรียกว่า กี่จี๊ หรือการมัดมือ เสร็จ
แล้วก็เลี้ยงฉลองกันอย่างสนุกสนานรื่นเริง
งานประเพณีปีใหม่นี้ไก่และหมูจะถูกฆ่านำ
มาเป็นเครื่องเซ่นไหว้ผี และนำมาเลี้ยงกัน
อย่างทั่วถึงในหมู่บ้านแต่ละแห่ง

4.ประเพณีกินข้าวใหม่
มีชาวเขาหลายเผ่าที่จัดให้มีพิธีนี้ขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอบคุณสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบัลดาลให้ได้ผลผลิตอย่างที่หวัง เช่นเดียวกับชาว
มูเซอที่จัดงานประเพณีกินข้าวใหม่ ชาวกะเหรี่ยงจะจัดงานพิธีกิน
ข้าวใหม่ภายหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวในไร่นาเสร็จแล้ว ในพิธี
เลี้ยงก็จัดคล้ายๆกับประเพณีขึ้นบ้านใหม่ คือ มีการเลี้ยงฉลองใน
ระหว่างเพื่อนบ้านคล้ายหมู่บ้านเดียวกัน
ประเพณี พิธีกรรม และความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ที่ชาวกะเหรี่ยงมีการ
นับถือทั้งศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ เกือบร้อยละ ๙๐ ถือผี
การเลี้ยงผีที่สำคัญ ๆ มี ผีเรือน ผีบรรพบุรุษและผีน้ำ พิธีมัดมือ
ปีใหม่ จัดขึ้นประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ตอนเช้าของ
วันพิธีมีการฆ่าควาย แล้วทำอาหารรับประทานกัน มีการต้มเหล้า
ใช้เวลาประมาณ ๔ – ๕ ชั่วโมงและมีการตำข้าวปุ๊ก

ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับ ชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
เผยแพร่ตั้งแต่ปี 2542 - 2562

มารู้จักกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกันเถอะ!

“กะเหรี่ยง” มีถิ่นฐานดั้งเดิมแถบบริเวณทางเหนือ
ของประเทศพม่าและไทย เมื่อประมาณ 600 – 700 ปี
มาแล้ว ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตประเทศพม่า และมีบาง
ส่วนได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตภาคเหนือของ
ประเทศไทยเป็นเวลานาน โดยตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณรอบ
นอกเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 การอพยพ
ครั้งใหญ่ของชาวกะเหรี่ยงจำนวนมากเข้าสู่ประเทศไทย
ได้เกิดราว 200 กว่าปีมาแล้ว อันเนื่องมาจากสงคราม
ไทยรบพม่าสมัยพระเจ้าอลองพญา และมีการอพพยพเข้า
มาอีกครั้งหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ.2428 เมื่อประเทศ
อังกฤษได้เข้ายึดครองประเทศพม่า กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ใน
ประเทศไทยอย่างหนาแน่นในแถบบริเวณต้นน้ำสาละวิน
ทางด้านทิศตะวันออกและบริเวณต้นน้ำแม่ปิง แล้วกระจา
ยตัวไปตามแนวเทือกเขาตะนาวศรี ตั้งแต่ภาคเหนือของ
ประเทศไทยลงไปปจนถึงบริเวณคอคอดกระ จังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์ กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แบ่ง
ออกได้เป็น 4 กลุ่มย่อย คือ

1.สะกอ มีชื่อเรียกตนเองว่า “จญ่า
กอ” บ้าง “ปกาเกอะญอ” บ้าง มี
ภาษาพูดคือ ภาษาสะกอ เป็นกลุ่ม
ย่อยที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด
กระจายตัวอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ที่
ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ตั้งแต่ แรก
เริ่ม ส่วนมากอาศัยอยู่ในจังหวัดทาง
ภาคเหนือตอนบน

2.โป มีชื่อเรียกตนเองอย่าง
ชัดเจนว่า “โพล่ง” หรือ “พล่ง”
มีภาษาพูดคือ ภาษาโป ส่วน
ใหญ่อาศัย อยู่ในเขตจังหวัด
แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน
กาญจนบุรี อุทัยธานี ราชบุรี
และเพชรบุรี

3. ปะโอ หรือตองสู มีภาษาพูดคือ
ภาษาปะโอ อาศัยอยู่ในเขตจังหวัด
แม่ฮ่องสอนและจังหวัด เชียงราย มี
หมู่บ้านปะโอ 4 หมู่บ้าน อยู่ในอำเภอ
เมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน คือ บ้าน
ห้วยสะลอบ ตำบล ห้วยผา และบ้าน
ห้วยขาน บ้านนาป่าแปก บ้านห้วย
มะเขือส้ม ตำบลหมอกจำแป่

4.คะยา หรือกะเหรี่ยงแดง มีภาษาพูดคือ
ภาษากะยา หรือบะเว อาศัยอยู่ในเขตอำเภอ
เมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 7 หมู่บ้าน คือ
บ้านดอยแสงและบ้านไม้สะเป ตำบลปางหม
บ้านห้วยผึ้ง ตำบลห้วยผา บ้านทบศอก
และบ้านห้วยโป่งอ่อน ตำบลหมอกจำแป่
บ้านห้วยช่างคำ ตำบลห้วยโป่ง และบ้าน
ห้วยเสือเฒ่า ตำบลผาบ่อง

กะเหรี่ยง นักเล่านิทานผู้โศกเศร้า

ชาวกะเหรี่ยงนั้นเป็นกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “นักเล่านิทานชั้น
ยอด” โดยชาวกะเหรี่ยงมักตั้งวงนั่งล้อมรอบกองไฟยามค่ำคืน
ผลัดกันเล่าผลัดกันฟังนิยายที่แต่งขึ้นเองใหม่บ้าง หรือเป็นยก
ตำนานเล่าขานมาพูดบ้างก็มี อย่างไรก็ตามเรื่องเล่าของชาว
กะเหรี่ยงนั้นพบว่าเป็นมีแต่เรื่องโศกเศร้า ไม่หนีไปจากเรื่อง
ชีวิตที่ต้องเผชิญแต่กับเรื่องอาภัพอับจน
นิทานอันแสนเศร้าของชาวกระเหรี่ยงนี้เป็นเหมือนกระจก
สะท้อนความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชนชาติของตนที่ไร้ซึ่งอำนาจ
ปกครอง ไร้ซึ่งที่อยู่อาศัย ถูกมองว่าเป็นภาระ
คำว่า “กะเหรี่ยง” กลายเป็นคำที่แฝงความหมายลบในภาษา
ไทย หนำซ้ำในบางครั้งยังได้รับบทเป็นตัวร้ายในละครไทย
บางเรื่องอีกด้วย


Click to View FlipBook Version