The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

81713 การวิเคราะห์การเมือง 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Rattana Sritawetch, 2020-11-08 22:26:07

81713 การวิเคราะห์การเมือง 1

81713 การวิเคราะห์การเมือง 1

การวิเคราะห์การเมืองแนวทางอุดมการณ์ทางการเมือง 2-47

มสธตอนที่ 2.6

อุดมการณ์อนาธิปไตย

มสธ มสธโปรดอ่านแผนการสอนประจ�ำตอนที่ 2.6 แลว้ จงึ ศึกษาเน้อื หาสาระ พร้อมปฏบิ ตั กิ ิจกรรมในแตล่ ะเร่ือง
หวั เร่ือง
เรื่องที่ 2.6.1 ความหมาย ก�ำเนิดและพัฒนาการของอุดมการณ์อนาธิปไตย
เร่ืองที่ 2.6.2 บทบาทและอิทธิพลของอุดมการณ์อนาธิปไตย
แนวคิด
มสธ1. แ นวคิดอนาธิปไตยเกิดขึ้นจากงานเขียนของนักปรัชญาทางสังคมการเมือง ประกอบด้วย
วิลเล่ียม ก็อดวิน ปิแอร์ โจเซฟ พรูดอง ไมเคิล บากูนิน และปีเตอร์ โครพ็อตคิน นัก
ปรัชญาสังคมการเมืองเหล่าน้ีมีความคิดโดยรวมเน้นไปยังความสามารถในการปกครอง
ตนเองของประชาชน ท่ีเกิดจากพ้ืนฐานของความร่วมมือและหลักการของการใช้เหตุผล
มสธ มสธซึ่งเป็นธรรมชาติในด้านที่ดีของมนุษย์ เป็นความช่วยเหลือในการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน
และสังคมการเมือง ซึ่งเป็นส่ิงที่เกิดข้ึนหรือด�ำเนินมาก่อนท่ีจะเกิดมีรัฐสมัยใหม่ แต่ภาย
หลังจากการอุบัติข้ึนของความเป็นรัฐประชาชาติสมัยใหม่ บทบาทและหน้าที่ของรัฐสมัย
ใหม่ได้ขยายตัวและครอบง�ำอยู่เหนือทั้งระดับบุคคลไปจนถึงสังคม มิหน�ำซ้�ำบทบาทและ
หน้าที่ได้สร้างให้เกิดปัญหาและความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย ท�ำให้การลดบทบาท หน้าที่
และความรับผิดชอบของรัฐควรจะลดลงหรือจ�ำกัดให้น้อยลง อุดมการณ์อนาธิปไตยจึง
มสธกลับมาได้รับความนิยมอีกคร้ัง
2. แ นวคิดอนาธิปไตยทรงอิทธิพลอย่างมีนัยส�ำคัญต่อแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง
หลกั ส�ำคัญในยุคปัจจบุ ัน ได้แก่ อุดมการณเ์ สรนี ยิ มประชาธิปไตย ประกอบด้วยหลกั การ
ที่การเน้นให้ความส�ำคัญไปเฉพาะที่บุคคลผู้มีเสรีภาพและทางเลือก มีความคาดหวังว่า
ปัจเจกบุคคลสามารถด�ำเนินการต่าง ๆ อยู่ภายใต้การมีวิจารณญาณผ่านการเป็นบุคคล
มสธ มสธที่มีและนิยมใช้เหตุผล และความรู้ ท่ีมีความใกล้เคียงและมีความเชื่อมโยงกับแนวคิด
เสรีภาพในเชิงบวก ท่ีไม่เป็นเพียงเสรีภาพท่ีปรากฏและใช้ผ่านมาทางด้านกายภาพหรือ
ร่างกายของบุคคลผู้นั้น ประกอบกับหลักการส�ำคัญในเร่ืองของความเสมอภาค เน้นไป
ยังเรื่องของการได้มา การสะสมและการถือครองทรัพย์สินที่มีความสอดคล้องไปกับ
อุดมการณ์สังคมนิยมท่ีเน้นในเร่ืองของการกระจายทรัพย์สินอย่างเป็นธรรม การวิพากษ์
และโจมตีรูปแบบและความสัมพันธ์ทางการผลิตภายใต้ระบอบทุนนิยมว่าสร้างให้เกิด
มสธความไม่เท่าเทียม น�ำมาสู่การเอารัดเอาเปรียบ

2-48 การวิเคราะห์การเมือง

มสธ มสธ มสธวัตถปุ ระสงค์
เม่ือศึกษาตอนที่ 2.6 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความหมาย ก�ำเนิดและพัฒนาการของอุดมการณ์อนาธิปไตยได้

มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธ2. อธิบายและวิเคราะห์บทบาทและอิทธิพลของอุดมการณ์อนาธิปไตยได้

การวิเคราะห์การเมืองแนวทางอุดมการณ์ทางการเมือง 2-49

เรมื่องที่ ส2.6.1 อคธนวาามธหิปมไตายย กมำ�เนดิ แสละพฒัธนาการของอมดุ มกาสรณ์ ธอนาธิปไตยหรือ ‘anarchy’ เป็นค�ำท่ีมาจากภาษากรีก ‘anarkhia’ มีความหมายตรงข้ามกับการ

มีสิทธิอ�ำนาจ (authority) และสภาวะท่ีปราศจากผู้ปกครอง (rulers) ซึ่งเป็นความหมายที่มีนัยในเชิงลบ
ต่อมาต้ังแต่หลัง ค.ศ. 1840 นักคิดชาวฝร่ังเศส ปิแอร์ โจเซฟ พรุดอง (Pierre-Joseph Proudhon) ได้น�ำ
แนวคิดอนาธิปไตย (anarchism) มาอธิบายและท�ำให้เกิดนัยใหม่ทางสังคมการเมือง มีผลให้แนวคิด
อนาธิปไตยกลายมาเป็นแนวคดิ ทีม่ ีความหมายในเชงิ บวกมากขน้ึ สบื เน่อื งมาจากพฒั นาการและการขยายตัว

มสธรวมไปถึงบทบาทหน้าท่ีของรัฐสมัยใหม่มีเพิ่มมากขึ้น ท�ำให้เกิดการบริหารปกครองแบบรวมศูนย์อ�ำนาจ จน

สยายปีกเข้ามาครอบง�ำตั้งแต่ปัจเจกบุคคล ชุมชน องค์กร สมาคมและประชาสังคม จนเกิดความพยายาม
ท่ีจะจ�ำกัด คานอ�ำนาจท้ังอ�ำนาจ บทบาทและหน้าท่ีของรัฐสมัยใหม่ ท�ำให้การตอบรับแนวคิดอนาธิปไตย
เข้ามาประยุกต์ใช้ ในลักษณะของการปกครองในลักษณะของการจัดต้ังผ่านชุมชนและองค์กร ให้ประชาชน
ปกครองกันเอง เป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจจากท้ังนักคิด แนวคิดและส่งอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวเพ่ือ

มสธ มสธจัดต้ังมวลชนของกระบวนการเสรีนิยมและสังคมนิยมท่ีก�ำลังขยายตัวและมีบทบาททางการเมืองในช่วง

ศตวรรษท่ี 1978 ในขณะเดียวกันเนื้อหาและหลักการของอุดมการณ์อนาธิปไตยให้น้ําหนักไปในเร่ืองความ
เชื่อมั่นในเสรีภาพบนหลักการของความมีเหตุมีผลของปัจเจกบุคคลและการเรียกร้องในความยุติธรรมทาง
สังคมผ่านเร่ืองของความเท่าเทียม มีผลให้อุดมการณ์อนาธิปไตยเข้ามามีอิทธิพลในลักษณะของการผสม
ผสานทางแนวคิดซึ่งปรากฏภายใต้แนวคิดเสรีนิยมและสังคมนิยม79

แนวคิดอนาธิปไตยเกิดขึ้นจากงานเขียนของนักปรัชญาทางสังคมการเมือง ประกอบด้วยวิลเลี่ยม

มสธก็อดวิน (William Godwin) ปิแอร์ โจเซฟ พรูดอง ไมเคิล บากูนิน (Michael Bakunin) และปีเตอร์

โครพ็อตคิน (Peter Kropotkin) นกั ปรชั ญาสังคมการเมืองเหล่าน้ีมคี วามคดิ โดยรวมเนน้ ไปยงั ความสามารถ
ในการปกครองตนเองของประชาชน ท่ีเกิดจากพื้นฐานของความร่วมมือซ่ึงเป็นธรรมชาติในด้านท่ีดี ความ
ช่วยเหลือในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมการเมือง ซ่ึงเป็นส่ิงที่เกิดขึ้นหรือด�ำเนินมาก่อนที่จะเกิดมีรัฐสมัยใหม่
สังเกตได้จากงานเขียนของปีเตอร์ โครพ็อตคิน

มสธ มสธ‘คือช่ือท่ีน�ำไปสู่หลักการและทฤษฎีที่ส่งผลต่อการด�ำรงชีวิตและการปฏิบัติตัวของผู้คนในสังคมที่

ปราศจากรัฐบาล สังคมท่ีเกิดความประสานสอดคล้องโดยไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความยินยอมต่อกฎหมาย

78 Colin Ward. (2004). Anarchism: A very short introduction. Oxford: Oxford University Press. p. 1.
79 Marshall Shatz. (2013). ‘Anarchism’. in The Oxford Handbook of the History of Political Philosophy.

มสธEdited by George Klosko. Oxford: Oxford University Press. pp. 725-726.

2-50 การวิเคราะห์การเมือง

หรือการเช่ือฟังผู้มีอำ� นาจทางการเมือง แต่มาจากข้อตกลงอย่างเป็นอิสระ (free agreements)’ ระหว่างกลุ่ม

มสธอาณาเขตและวิชาชีพต่าง ๆ ของสังคม80
ในกรณขี องวลิ เลย่ี ม กอ็ ดวนิ ปฏเิ สธการมรี ฐั บาล ตอ้ งการสงั คมการเมอื งทไี่ รร้ ฐั (stateless society)
เขาตดั สนิ รัฐบาลในฐานะสงิ่ ชวั่ รา้ ยเนอ่ื งจากมธี รรมชาตใิ นการใชก้ ำ� ลงั หรือไม่กด็ ำ� เนินการขเู่ ขญ็ ประชาชนหรอื
ผู้ใต้ปกครอง การมีรัฐบาลจึงเป็นส่ิงท่ีไร้ประโยชน์มิหน�ำซ�้ำยังท�ำให้ผู้ใต้ปกครองประสบกับความทุกข์ยาก

มสธ มสธมากกวา่ ความสขุ ก็อดวนิ มีทัศนะทางการเมืองวา่ แต่ละบุคคลน้นั เปน็ ผ้ทู ่ีมีเหตุผลสำ� นึกความรบั ผิดชอบชวั่ ดี

(moral self-direction) มวี ิจารณญาณสามารถตดั สนิ และเลอื กสรรสง่ิ ตา่ ง ๆ ใหก้ บั ตวั เองและสงั คมโดยทร่ี ฐั
ไม่มีความจ�ำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวและช้ีแนะ หากบุคคลปกครองเป็นนายตัวเองได้ (autonomous) จะมี
ผลกระทบต่อบทบาท สถานะและความชอบธรรมในฐานะของรัฐจะถูกกัดกร่อนและเส่ือมสลายลงไปในที่สุด
หรือในกรณีเร่ืองของความผูกพันและพันธะทางการเมือง (political obligation) ระหว่างประชาชนกับการ
เช่ือฟังและปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐบาลน้ันเป็นส่ิงท่ีขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของบุคคลต่อความชอบธรรม

มสธและความยุติธรรมท่ีเกิดข้ึนมาจากการเช่ือฟังกฎหมายและปฏิบัติตามอ�ำนาจตลอดจนค�ำส่ังของผู้ปกครอง
ในส่วนรูปแบบท่ีจะเกิดขึ้นมาแทนท่ีผู้ปกครองหรือรัฐบาลนั้น ก็อดวินเสนอความเป็นอยู่ของชุมชน
ขนาดเล็กที่สมาชิกมีความใกล้ชิดรู้จักสนิทสนมกันเป็นอย่างดี (face-to-face community) เพ่ือจะได้เลือก
และคัดสรรสมาชิกมาปฏิบัติหน้าที่ทั้งในด้านการออกกฎหมาย ด้านการบริหารปกครองและด้านพิจารณา

มสธ มสธตัดสินลงโทษ ซ่ึงการพิจารณาคดีหรือการลงโทษด�ำเนินอยู่ภายใต้รูปแบบการประนีประนอมมากกว่าการใช้

กฎหมายและสถาบันมาบังคับจัดการ ในส่วนเรื่องของทรัพย์สินก็อดวินเสนอให้เกิดการกระจายการถือครอง
ทรัพย์สินอย่างเท่าเทียมกัน (equalization of property) เพ่ือให้การอาศัยอยู่ร่วมกันบังเกิดความยุติธรรม
ไม่มีชอ่ งว่างระหวา่ งบุคคลในการถอื ครองทรพั ย์สนิ เพอื่ ชว่ ยไมใ่ หเ้ กดิ การลกั ขโมยและอาชญากรรม ก็อดวิน
เช่ือมั่นว่าหากไม่ให้ความส�ำคัญกับการถือครองทรัพย์สิน ผู้คนในสังคมก็จะไม่เน้นไปยังเรื่องของการเก็บ
สะสมทรัพย์สมบัติมาไว้เป็นของส่วนตัว ชีวิตของผู้คนเองก็จะมีความสุขเกิดข้ึนจากความสมดุลระหว่างการ

มสธท�ำงานเพื่อเล้ียงชีพโดยมีเวลาว่างเหลือไว้ให้กับเรื่องของการศึกษาและเสพศิลปวัฒนธรรม เรียนรู้

ศิลปะวิทยาการต่าง ๆ มากขึ้น
การให้ความส�ำคัญเฉพาะปัจเจกบุคคลในขณะที่ปฏิเสธรูปแบบแนวคิดต่าง ๆ ท่ีปรากฏในรูปของ

การเหมารวม ยกตัวอย่างเช่น ค�ำว่า สังคม เจตจ�ำนงทั่วไป (general will) และประชาชน ถูกทางด้านปิแอร์
โจเซฟ พรูดอง นกั อนาธปิ ไตยชาวฝร่ังเศสโจมตวี ่าเป็นสง่ิ ที่มคี วามเปน็ นามธรรมและเล่ือนลอยอยใู่ นลักษณะ

มสธ มสธท่ีไม่เกิดประโยชน์ มิหน�ำซ�้ำยังถูกผู้ปกครองใช้กดข่ีเอารัดเอาเปรียบผู้ใต้ปกครองในนามของส่วนรวม

พิจารณาดูผิวเผินมันเป็นส่ิงที่ดีเน่ืองจากเกิดข้ึนจากการท่ีผู้คนได้เกิดการรวมตัวหันมาให้ความร่วมมือ
ทัศนคติต่อการรวมตัวดังกล่าวท�ำให้พรูดองได้ชื่อว่าเป็นนักอธิปไตยท่ีสุดโต่ง (radical anarchist) พรูดอง
ยงั ใหน้ ยิ ามทรพั ยส์ นิ วา่ เปน็ สง่ิ ทม่ี าจากการโจรกรรม (property is theft) ในความหมายทท่ี รพั ยส์ นิ ทแี่ สวงหา
ได้มาจากดอกเบ้ียและค่าเช่าท่ีเกิดข้ึนในสังคมทุนนิยม ถือเป็นส่ิงที่น่ารังเกียจเนื่องจากเป็นการได้ทรัพย์สิน

มสธ80 Coin Ward. (2004) op.cit. p. 13.

การวิเคราะห์การเมืองแนวทางอุดมการณ์ทางการเมือง 2-51

โดยฝ่ายเจ้าของไม่ได้ท�ำการผลิตหรือตนเองต้องลงทุนลงแรงเพ่ือให้เกิดผลผลิตขึ้นมา แต่มาจากการเป็น

มสธเจ้าของครอบครองทรัพย์สินและในรูปของที่ดิน ซึ่งเป็นส่ิงที่สร้างความไม่เท่าเทียมให้เกิดข้ึนกับคนในสังคม

จงึ สงั เกตไดว้ า่ รปู แบบและความสมั พนั ธท์ างการผลติ ตลอดถงึ การไดม้ าและการสะสมทรพั ยส์ นิ ในความหมาย
ของพรูดองจึงมีนัยถึงสังคมที่มีพื้นฐานและความสัมพันธ์ทางการผลิตในแบบเกษตรกรรมและพาณิชย์กรรม

ความน่าสนใจในแนวคิดอนาธิปไตยของพรูดอง อยู่ในส่วนแนวคิดของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

มสธ มสธพรูดองเสนอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด�ำเนินอยู่ในลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือกล่าวในภาษาการ

เปล่ียนแปลงทางการเมืองคือการปฏิรูป แต่มีประเด็นต่อมาว่าการเปลี่ยนแปลงในรูปของการปฏิรูปนั้นต้อง
ริเริ่มและเกิดมาจากด้านล่างของสังคมคือต้องมาจากความต่ืนตัวและริเร่ิมของประชาชน พรูดองไม่เห็นด้วย
กับการเปล่ียนแปลงท่ีมาจากด้านบนหรือผ่านการเมืองซึ่งมีแนวโน้มท่ีจะใช้ก�ำลังและความรุนแรงเข้าจัดการ
และจะจบลงด้วยการเปลี่ยนแปลงในแบบรุนแรงท่ีรู้จักกันในช่ือของการปฏิวัติ ที่มันไม่ได้เป็นหลักประกันว่า
จะน�ำไปสู่สังคมและระบอบการปกครองท่ีดีและยุติธรรม

มสธหลังจากศกึ ษาเนือ้ หาสาระเรอื่ งท่ี 2.6.1 แลว้ โปรดปฏิบัตกิ ิจกรรม 2.6.1
ในแนวการศกึ ษาหน่วยท่ี 2 ตอนที่ 2.6 เรื่องที่ 2.6.1

มสธ มสธเร่ืองที่ 2.6.2 บทบาทและอิทธพิ ลของอุดมการณ์อนาธิปไตย
ในการศึกษาประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางความคิดทางการเมืองทั้งจากยุคโบราณต่อเน่ืองมา

มสธจนถงึ ยคุ ใหม่ มชี อ่ื ของนกั ปรชั ญาการเมอื งสองคนทวี่ างรากฐานใหก้ บั การทมี่ นษุ ยม์ คี วามจำ� เปน็ ตอ้ งอยอู่ าศยั

อยู่ร่วมกันภายใต้ชุมชนการเมืองซ่ึงจะต้องมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลเพื่อมาดูแลจัดการเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง
ของการบังคับใช้อ�ำนาจ ช่ือของนักปรัชญาทั้งสอง ได้แก่ อริสโตเติลและโธมัส ฮอบส์ ส่วนเหตุผลท่ีใช้อ้างถึง
ความชอบธรรมในการมีรัฐน้ัน ฝ่ายแรกอ้างเหตุผลในเร่ืองของการมีชีวิตที่ดีและสมบูรณ์แบบ ภายใต้หน่วย
การปกครองที่เรียกว่านครรัฐ ส่วนฝ่ายหลังอ้างสภาวะธรรมชาติคือสภาวะท่ีมีแต่จะปล่อยให้ชีวิตของผู้คน

มสธ มสธตกอยู่ในอันตราย ขณะที่อุดมการณ์อนาธิปไตยพยายามปฏิเสธถึงสมมติฐานและค�ำอธิบายความชอบธรรม

ของการมีผูป้ กครองและรฐั บาลจากนกั ปรชั ญาทั้งสอง ในแง่นีป้ ระวัตศิ าสตร์ของปรัชญาและความคดิ ทางการ
เมืองจึงเปรียบเสมือนการต่อสู้และความขัดแย้งระหว่างเรื่องของอ�ำนาจกับเสรีภาพ ในลักษณะท่ีฝ่ายหนึ่ง
ปรากฏลดน้อยลงไป ก็จะไปเป็นการเพ่ิมระดับให้อีกฝ่ายหน่ึง

การปกครองทด่ี ำ� เนนิ อยภู่ ายใตก้ รอบของความเปน็ รฐั ชาตสิ มยั ใหม่ (modern nation-state) อาศยั
ความมีประสิทธิภาพของระบบราชการ ประกอบกับเครื่องมือและเทคโนโลยีอันทันสมัยท้ังในด้านการขนส่ง

มสธและการส่ือสารท�ำให้บทบาทและหน้าท่ีของรัฐชาติสมัยใหม่ขยายออกไปครอบคลุมท้ังพื้นท่ีและประชากร

2-52 การวิเคราะห์การเมือง

อย่างที่รัฐในยุคโบราณก่อนหน้าไม่สามารถท�ำได้ รัฐชาติสมัยใหม่ด�ำเนินการท้ังการปกครองและควบคุม

มสธผู้ใต้ปกครองเรียกได้ว่าเกือบทุกอณูของการมีชีวิต ตั้งแต่ห้องนอนไปจนถึงท้องถนน ท้ังความคิดและ

พฤติกรรม (omni-potence, omni-presence) เป็นการด�ำเนินชีวิตท่ีล้วนแล้วแต่โดนจัดการมาจากรัฐ
สมัยใหม่ท้ังส้ิน ซ่ึงอิทธิพลและมรดกทางความคิดในความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ส่วนหน่ึงนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า
มาจากงานเขียน ‘Leviathan’ อันทรงอิทธิพลของฮอบส์น้ันเอง

มสธ มสธอดุ มการณอ์ นาธปิ ไตยในทางปฏบิ ตั ไิ ดม้ อี ทิ ธพิ ลดว้ ยการหยบิ ยืมของขบวนการตอ่ ตา้ นทางการเมอื ง

ตอ่ ระบอบการปกครองและผปู้ กครองทเ่ี ปน็ เผดจ็ การในหลาย ๆ ประเทศ เชน่ ในชว่ งสงครามกลางเมอื งสเปน
(Spanish Civil War) เพ่ือใช้ต่อต้านเผด็จการนายพลฟรังโก อุดมการณ์อนาธิปไตยกลายมาเป็นที่นิยมของ
กระบวนการเคลอื่ นไหวทางสงั คมการเมอื ง (social movement) ตง้ั แตก่ ารเรยี กรอ้ งความเปน็ อสิ ระทางการเมอื ง
ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ อ่ รฐั ชาตใิ นยโุ รป มกี รณตี วั อยา่ งทนี่ า่ สนใจเกดิ ขน้ึ กบั ดนิ แดนคาตาโลเนยี (Catalonia) และ
แอนดาลูเซีย (Andalusia) เพ่ือเป็นอิสระจากรัฐบาลกลางที่แมดริด หรือในกรณีของกระบวนการปัญญาชน

มสธและนักศึกษาในการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ (civil right movement) ครั้งใหญ่ท่ีเกิดขึ้นในช่วง

ค.ศ. 1968 เป็นต้นมา
มีประเด็นท่ีน่าสังเกตต่ออุดมการณ์อนาธิปไตยในเร่ืองการให้ความส�ำคัญของสังคมและชุมชน

ทางการเมืองเป็นส่ิงท่ีมีความส�ำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมากกว่ารัฐหรือรัฐบาล ส่งผลต่อ

มสธ มสธความคิดของทอม เพน (Tom Paine) ปรากฏในงานเขียนชิ้นส�ำคัญ ‘Common Sense’ ว่า ‘สังคมของ

แต่ละรัฐน้ันเป็นส่ิงที่ดี แต่รัฐบาลแม้ว่ามันจะอยู่ในรัฐท่ีดีท่ีสุดก็ยังเป็นความชั่วร้ายท่ีจ�ำเป็น’81 อย่างไรก็ตาม
การน�ำเสนอแนวคิดของการปกครองตนเองท้ังในระดับบุคคลและสังคมจากอุดมการณ์อนาธิปไตย ถูกหลาย
ฝ่ายพิจารณาว่าเป็นข้อเสนอท่ีค่อนข้างเกินเลยไปจากความเป็นจริง เป็นสิ่งที่เกิดข้ึนและปฏิบัติได้ยาก ท�ำให้
อุดมการณ์อนาธิปไตยเป็นอุดมการณ์ที่ค่อนข้างมีความเลื่อนลอย (utopia) เสียมากกว่า

กล่าวได้ว่าแนวคิดอนาธิปไตยทรงอิทธิพลอย่างมีนัยส�ำคัญต่อแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง

มสธหลักส�ำคัญในยุคปัจจุบัน ได้แก่ อุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย ประกอบด้วยหลักการที่การเน้นให้ความ

ส�ำคัญไปเฉพาะท่ีบุคคลผู้มีเสรีภาพและทางเลือก มีความคาดหวังว่าปัจเจกบุคคลสามารถด�ำเนินการต่าง ๆ
อยู่ภายใต้การมีวิจารณญาณ (conscientious) ผ่านการเป็นบุคคลท่ีมีและนิยมใช้เหตุผล (rationality) และ
ความรู้ท่ีมีความใกล้เคียงและมีความเช่ือมโยงกับแนวคิดเสรีภาพในเชิงบวก (positive freedom) ท่ีไม่เป็น
เพยี งเสรภี าพทป่ี รากฏและใชผ้ า่ นมาทางดา้ นกายภาพหรอื รา่ งกายของบคุ คลผนู้ น้ั ประกอบกบั หลกั การสำ� คญั

มสธ มสธในเรื่องของความเสมอภาค เน้นไปยังเร่ืองของการได้มา การสะสมและการถือครองทรัพย์สินที่มีความ

สอดคล้องไปกับอุดมการณ์สังคมนิยมที่เน้นในเร่ืองของการกระจายทรัพย์สินอย่างเป็นธรรม การวิพากษ์

81 ‘Society in every state is a blessing, but government even in its best state is but a necessary evil;
in its worst state an intolerable one; for when we suffer, or are exposed to the same miseries by a government
which we might expect in a country without a government, our calamity is heightened by reflecting that we
furnish the means by which we suffer. Government, like dress, is the badge of lost innocence: the palaces of kings

มสธare built on the ruins of the bowers of paradise.’

การวิเคราะห์การเมืองแนวทางอุดมการณ์ทางการเมือง 2-53

และโจมตีรูปแบบและความสัมพันธ์ทางการผลิตภายใต้ระบอบทุนนิยมว่าสร้างให้เกิดความไม่เท่าเทียม

มสธน�ำมาสู่การเอารัดเอาเปรียบ
การน�ำเสนอแนวคิดท่ีเน้นไปในความมีเหตุมีผลของปัจเจกบุคคลและความเท่าเทียมกันในทางด้าน
การถือครองทรัพย์สิน อาจเป็นจุดอ่อนของอุดมการณ์อนาธิปไตยที่ขัดแย้งกับธรรมชาติของโลกแห่งความ
เป็นจริงและของผู้คนส่วนใหญ่ของสังคมท่ีอาจไม่ถึงคุณสมบัติที่นักคิดอนาธิปไตยต้ังเป้าหมายเอาไว้ ส่วน

มสธ มสธในกรณีความเท่าเทียมของผู้คนในสังคม ด้านของเงื่อนไขและปัจจัยอาจจะต้องย้อนกลับไปยังรูปแบบและ

ความเป็นอยู่ของสังคมก่อนหน้าสังคมอุตสาหกรรมและทุนนิยม คือสังคมเกษตรกรรมและพาณิชยกรรมที่
วางอยบู่ นพน้ื ฐานจารตี ประเพณี มคี วามเรยี บงา่ ยและความสลบั ซบั ซอ้ นนอ้ ยกวา่ ปญั หานอ้ ยกวา่ แตใ่ นความ
เป็นจริงก็ไม่อาจย้อนกลับไปได้หรือยากที่จะย้อนกลับไป จึงท�ำให้อุดมการณ์อนาธิปไตยจัดเป็นอุดมการณ์
ที่มีความเป็นอุดมคติ (utopia) มีความสมบูรณ์แบบในทางความคิดและค�ำพูดเท่าน้ัน

ในขณะท่ีโรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) นักปรัชญาการเมืองสายเสรีภาพนิยม (libertarianism)

มสธความคดิ ของโนซคิ ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ จอหน์ ลอ็ คในศตวรรษท่ี 20 ตงั้ ขอ้ สงั เกตถงึ อดุ มการณอ์ นาธปิ ไตย

ไว้อย่างน่าสนใจว่า เป็นแนวคิดที่ทรงพลังเน่ืองจากตั้งค�ำถามในเชิงกระตุ้นให้ครุ่นคิดถึงพ้ืนฐานในการอยู่
ร่วมกันเป็นสังคมการเมือง ถึงการมีอยู่ของรัฐน้ันยังมีความจ�ำเป็นหรือไม่ หากมีความจ�ำเป็นควรจะจ�ำกัด
และก�ำหนดขอบข่ายอ�ำนาจ หน้าที่และความรับผิดชอบของรัฐไว้แค่ไหน เพื่อท่ีจะเหลือพื้นที่เอาไว้ให้กับ

มสธ มสธอุดมการณ์อนาธิปไตย
หลงั จากศกึ ษาเน้ือหาสาระเร่อื งท่ี 2.6.2 แล้ว โปรดปฏิบัติกจิ กรรม 2.6.2
มสธ มมสสธธ มสธในแนวการศึกษาหน่วยท่ี2ตอนท่ี2.6เรอ่ื งท่ี2.6.2

2-54 การวิเคราะห์การเมือง

มบรรณสานุกรธมAristotle. (1978). The Politics of Aristotle. Translated by Ernest Barker. London: Oxford University
Press.

มสธ มสธAnderson, Benedict. (2006). Imagine Community: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism.
London: Verso.
Barber, Benjamin. (2003). Strong Democracy: Participatory Politics for a New Age. Berkeley:

University of California Press.
Bayly. C.A. (2004). The Birth of the Modern World: 1780-1914 Global Connections and Comparisons.

Malden: Blackwell Publishing.

มสธConstant, Benjamin (ed.). (1988). Political Writing. Biancamaria Fontana. Cambridge: Cambridge
University Press.
Dahl. A. Robert. (1965). A Preface to Democratic Theory. Chicago: The University of Chicago Press.
Dawson. Christopher. (2001). Progress & Religion: An Historical Inquiry. With a foreword by

Christian Scott and introduction by Mary Douglas. Washington: The Catholic University

มสธ มสธofAmericaPress.

Dunn, John (ed.). (2002). Democracy: The Unfinished Journey, 508 B.C. to A.D. 1993. Oxford: Oxford
University Press.

Freeden, Michael. (2003). Ideology: A Very Short Introduction. Oxford: Oxford University Press.
Godwin, William. (1976). Enquiry Concerning Political Justice. Edited by Isaac Kramnick. Har-

mondsworth: Pelican Books.

มสธGoldie, Mark. (1995). ‘Ideology’, in Political Innovation and Conceptual Change. Edited by Terence
Ball, James Farr and Russell L. Hanson. Cambridge: Cambridge University Press.
Goodin, E. Robert, Philip Pettit and Thomas Pogge (eds.). (2012). A Companion to Contemporary

Political Philosophy (2nd ed.). West Essex: Blackwell Publishing Ltd.
Gray. John. (2000). Two Faces of Liberalism. New York, NY: The New Press.
Held. David. 2006. Models of Democracy. Cambridge: Polity Press.

มสธ มสธHeraclitus. (2001). Fragments. Translated by Brooks Haxton. Foreword by James Hillman. New
York, NY: Penguin Books.
Hobbes. (1999). Elements of Law: Nature and Politics. Edited with an introduction and notes by

J.C.A. Gaskin. Oxford: Oxford University Press.
Hobsbawn, Eric. (1975). The Age of Capital: 1848-1875. New York, NY: Vintage Books.
Ignatieff, Michael. (2000). The Rights Revolution. Toronto: House of Anansi Press Limited.

มสธKeane, John. (2009). The Life and Death of Democracy. London: Pockets Book.

การวิเคราะห์การเมืองแนวทางอุดมการณ์ทางการเมือง 2-55

Klosko, George (ed.). (2013). The Oxford Handbook of the History of Political Philosophy. Oxford:

มสธOxford University Press.

Kohn, Hans. (1969). The Ideas of Nationalism. Second printing. Toronto: Collier-Macmillan Canada.
Kymlicka, Will. (2001). Contemporary Political Philosophy. Oxford: Oxford University Press.
Lakoff, Sanford. (2011). Ten Political Ideas that Have Shaped the Modern World. Lanham: Rowman

มสธ มสธ& Littlefield Publishers, Inc.

Macpherson, C.B. (1997). The Life and Times of Liberal Democracy. Oxford: Oxford University
Press.

Miller, David. (2006). ‘Nationalism’, in The Oxford Handbook of Political Theory. Edited by John
S. Dryzek, Bonnie Honig and Anne Phillips. Oxford: Oxford University Press.

Mouffe, Chantal (ed.). (1992). Dimensions of Radical Democracy: pluralism, citizenship, community.
London: Verso.

มสธMuller, Z. Jerry (ed.). (1997). Conservatism: An Anthology of Social and Political Thought from
David Hume to the Present. Princeton: Princeton University Press.
Nussbaum, C. Martha. (2002). For Love of Country? Edited by Joshua Cohen for Boston Review.

Boston: Beacon Print.

มสธ มสธPitkin, F. Hanna. (1972). The Concept of Representation. California: The University of California
Press.
Quinton, Anthony. (2012). ‘Conservatism’ in A Companion to Contemporary Political Philosophy

(2nd ed.). Edited by Robert E. Goodin, Philip Pettit and Thomas Pogge. Oxford: Blackwell
Publishing Ltd.
Ruggiero, Guido de. (1961). The History of European Liberalism. Translated by R.G. Collingwood.
Boston: Beacon Press.

มสธSargent, Lyman Tower. (2009). Contemporary Political Ideologies A Comparative Analysis. Fourteen
edition. Belmont: Wadsworth, Cengage Learning.
Sartori, Giovanni. (1987). The Theory of Democracy. Revisited. New Jersey, NY: Chatham House.
Saward, Michael. (ed.). (2007). Democracy. Volume I. London: Routledge.
Schmitt, Carl. (1996). The Crisis of Parliamentary Democracy. Translated by Ellen Kennelly. Cam-

มสธ มสธbridge:MITPress.

Schwarzmantel, John. (2008). Ideology and Politics. London: SAGE Press.
Scruton, Roger. (2015). How to be a Conservative. London: Bloomsbury.
Self, Peter. (2012). ‘Socialism’, in A Companion to Contemporary Political Philosophy (2nd ed.).

Edited by Robert E. Goodin, Philip Pettit and Thomas Pogge. West Essex: Blackwell
Publishing Ltd.
Sen, Amartaya. (2009). ‘Democracy as Universal Values’, in The Global Divergence of Democracies.

มสธEdited by Larry Diamond and Marc F. Plattner. Baltimore: John Hopkins University Press.

2-56 การวิเคราะห์การเมือง

Shatz, Marshall. (2013). ‘Anarchism’, in The Oxford Handbook of the History of Political Philosophy.

มสธEdited by George Klosko. Oxford: Oxford University Press.

Smith, D. Anthony. (1988). National Identity. Harmondsworth: Penguin Books.
Strauss, Leo. (1953). Natural Right and History. Chicago: The University of Chicago Press.
Taquieff, Pierre Andre. (1997). ‘The Traditionalist Paradigm-Horror of Modernity and Antiliberalism:

มสธ มสธNietzsche in Reactionary Rhetoric’, in Why We are not Nietzscheans. Edited by Luc
Ferry and Alain Renaut. Translated by Robert de Loaiza. Chicago: University of Chicago
Press.
Walzer, Michael. (2004). Politics and Passion: Toward a more Egalitarian Liberalism. New Haven:

Yale University Press.
Ward, Colin. (2004). Anarchism. Oxford: Oxford University press.
Young, I. Marion. (2000). Inclusion and Democracy. Oxford: Oxford University Press.

มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธZakaria,Fareed.(2003).TheFutureofDemocracy.NewYork,NY:W.W.Norton&Company.

3 มสธหน่วยที่

การวเิ คราะหต์ ามแนวคิดประวตั ิศาสตร์

มสธ มสธผชู้ ่วยศาสตราจารย์พทุ ธพลมงคลวรวรรณ
มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธชอ่ื
วุฒ ิผู้ช่วยศาสตราจารย์พุทธพล มงคลวรวรรณ
สส.บ. (เกียรตินิยมอันดับสอง)
ตำ� แหน่ง อ.ม. (ประวัติศาสตร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจ�ำภาควิชาประวัติศาสตร์
มสธหน่วยทเี่ ขียน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง
หน่วยท่ี 3

3-2 การวิเคราะห์การเมือง

การวิเคราะหต์ ามแนมวคิดปสธหนว่ ยที่3
มสธ ระวตั ศิ าสตร์ มสธเคา้ โครงเนื้อหา
ตอนที่ 3.1 ประวัติศาสตร์กับการวิเคราะห์การเมือง
3.1.1 ความหมายของประวัติศาสตร์
3.1.2 ประวัติศาสตร์ในฐานะสาขาวิชา
ตอนท่ี 3.2 วิธีการทางประวัติศาสตร์
มสธ 3.2.1 หลักฐานและการใช้หลักฐาน
3.2.2 การวิพากษ์หลักฐาน
ตอนท่ี 3.3 แนวพินิจทางประวัติศาสตร์
3.3.1 ประวัติศาสตร์การเมือง
มสธ มสธ 3.3.2 ประวัติศาสตร์จากเบ้ืองล่าง
3.3.3 ประวัติศาสตร์ความคิดและความรู้สึกนึกคิด
3.3.4 ประวัติศาสตร์ระยะยาว
มสธ มมสสธธ มสธแนวคิด
1. ประวัติศาสตร์ในฐานะสาขาวิชาท่ีศึกษาอดีตในมิติของเวลา คือการวิเคราะห์ส่ิงต่าง ๆ
อย่างมีพัฒนาการและสัมพันธ์กับบริบทแวดล้อมในแต่ละช่วงเวลามีความส�ำคัญต่อ
การวิเคราะห์การเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน

2. วธิ กี ารศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตรใ์ ชห้ ลกั ฐานประเภทตา่ ง ๆ ในการศกึ ษาและมวี ธิ กี ารจดั การ
ข้อมูลหลักฐานเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง

3. แนวคิดประวัติศาสตร์ คือ แนวทางในการศึกษาท�ำความเข้าใจและตีความอดีต ซึ่งเรียก
ว่า แนวพินิจทางประวัติศาสตร์ มีด้วยกันหลายแนวคิด แนวพินิจประวัติศาสตร์การเมือง
ประวัติศาสตร์จากเบื้องล่าง ประวัติศาสตร์ความคิดและความรู้สึกนึกคิด และ
ประวัติศาสตร์ระยะยาวเป็นแนวพินิจที่ส�ำคัญท่ีสามารถน�ำวิเคราะห์การเมืองได้

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-3

มสธ มสธ มสธวัตถปุ ระสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยท่ี 3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความส�ำคัญของแนวคิดประวัติศาสตร์ในการวิเคราะห์การเมืองได้
2. ประยุกต์ใช้วิธีการและแนวคิดประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ในการวิเคราะห์การเมืองได้
มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธ3. อธิบายแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ได้

3-4 การวิเคราะห์การเมือง

มสธตอนที่ 3.1

ประวัติศาสตร์กับการวิเคราะห์การเมือง

มสธ มสธโปรดอา่ นแผนการสอนประจ�ำตอนท่ี 3.1 แลว้ จงึ ศึกษาเนอ้ื หาสาระ พรอ้ มปฏิบัตกิ จิ กรรมในแตล่ ะเร่อื ง
หัวเร่ือง
เร่ืองท่ี 3.1.1 ความหมายของประวัติศาสตร์
เรื่องที่ 3.1.2 ประวัติศาสตร์ในฐานะสาขาวิชา
มสธแนวคิด
1. ความหมายของประวัติศาสตร์ มี 2 ความหมาย ความหมายแรก หมายถึง ส่ิงต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้นในอดีต ความหมายที่สอง หมายถึง การศึกษาท�ำความเข้าใจอดีต การศึกษา
ท�ำความเข้าใจอดีตของประวัติศาสตร์ต่างกับกิจกรรมอย่างอื่นที่มีความคิดเกี่ยวกับอดีต
ตรงทป่ี ระวตั ศิ าสตรต์ อ้ งการทำ� ความเขา้ ใจอดตี ทง้ั หมดและการตระหนกั ถงึ ความแตกตา่ ง
มสธ มสธระหว่างอดีตกับปัจจุบัน การถือว่าอดีตมีคุณค่าในตัวมันเองจะท�ำให้การศึกษา
ประวัติศาสตร์เป็นไปอย่างเท่ียงตรง ซ่ึงอาจจะก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงปฏิบัติได้
2. ความต้องการของมนุษย์ที่จะเข้าใจและอธิบายอดีตมีมาอย่างยาวนานและเกิดข้ึนใน
ทุกสังคม ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในกรีซโบราณเม่ือราวสองพันห้าร้อยปีก่อนเม่ือเฮโรโดตัส
คอื คนแรกทพ่ี ยายามไตส่ วนสบื หาความจรงิ ในอดตี และอธบิ ายเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ ในอดตี
อย่างเป็นเหตุเป็นผล ในยุคกลางการเขียนประวัติศาสตร์ก็เป็นการเขียนรูปแบบหน่ึง
มสธที่แสดงให้เห็นความเปล่ียนแปลงของมนุษย์ท่ีมีจุดเริ่มต้นจากการสร้างของพระเจ้าสู่
การสิ้นสุดของโลก ซึ่งส�ำนึกทางประวัติศาสตร์แบบคริสเตียนน้ีส่งผลต่อวิธีคิดของคน
ต่ออดีตท่ีแต่ละช่วงเวลามีความส�ำคัญและไม่อาจย้อนกลับคืน
3. เม่ืออิทธิพลของศาสนจักรถดถอยลงและเกิดการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ความสนใจเร่ือง
ทางโลกและแนวคดิ มนษุ ยนยิ ม ทำ� ใหค้ วามรู้ สงิ่ ของ หนงั สอื และเอกสารจากอดตี มคี ณุ คา่
มสธ มสธนักประวัติศาสตร์ให้ความสนใจกับการเก็บรวบรวมและตรวจสอบเอกสารมากขึ้น และ
น�ำเสนอมันในฐานะสิ่งท่ีมีคุณค่าโดยตัวมันเอง และจนกระทั่งในศตวรรษที่ 18
วิทยาศาสตร์พยายามหาค�ำตอบเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติและความเป็นมนุษย์
มสธประวัติศาสตร์ก็พยายามตอบค�ำถามใหญ่ ๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-5

มสธ มสธ มสธ4. แนวประวัติศาสตร์นิยมที่มองว่าอดีตมีคุณค่าในตัวมันเอง การศึกษาอดีตเพื่อท�ำความ
เข้าใจอดีตอย่างท่ีมันเป็นอย่างน้ันจริง ๆ มีความส�ำคัญ รังเกได้พัฒนาระเบียบวิธีวิจัย
ในการศึกษาประวัติศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต้องฝึกฝนการใช้เคร่ืองมืออย่าง
เชย่ี วชาญ ประวตั ศิ าสตรจ์ งึ กลายเปน็ สาขาวชิ าทา่ มกลางศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ กระนนั้ คำ� ถาม
มสธทเี่ รามตี อ่ อดตี และคำ� ตอบทไี่ ดน้ น้ั อาจมคี วามแตกตา่ งและเปลยี่ นแปลงไดข้ น้ึ อยกู่ บั จดุ ยนื
และความต้องการของปัจจุบัน

วตั ถุประสงค์

เม่ือศึกษาตอนท่ี 3.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ

มสธ มสธ1. อธิบายความหมายของประวัติศาสตร์ได้
มสธ มมสสธธ มสธ2. อธิบายความเป็นมาของวิชาประวัติศาสตร์ได้

3-6 การวิเคราะห์การเมือง

มสธเรื่องท่ี 3.1.1 ความหมายของประวัติศาสตร์
ค�ำว่า “ประวัติศาสตร์” ท้ังในภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้นมีด้วยกัน 2 ความหมาย ความหมาย

มสธ มสธแรก หมายถึง อดีตที่ผ่านไปแล้ว ทุกสิ่งทั้งปวงที่เกิดข้ึนในอดีต ไม่ว่าจะมีคนรู้เห็น หรือจะมีความสลักส�ำคัญ

หรือไม่ก็ตาม หากเป็นส่ิงที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ล้วนเป็นประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น กับประวัติศาสตร์ในความหมายที่
สองดูจะเฉพาะเจาะจงลงไปกว่านั้น คือหมายถึง การจดบันทึก บอกเล่า ให้ความส�ำคัญเก่ียวกับส่ิงท่ีเกิดขึ้น
ในอดีต กลา่ วอีกนัยหนง่ึ เหตกุ ารณ์ในอดตี ท้ังหมดยังไมใ่ ช่ประวัตศิ าสตร์ หากจำ� เป็นที่จะต้องมีการใหค้ ณุ คา่
หรอื ความหมายกับมนั เสยี กอ่ น โดยผา่ นกจิ กรรมของมนษุ ย์อยา่ งการเขยี น บอกเลา่ สรา้ งอนสุ รณส์ ถาน หรอื
การศึกษาค้นคว้า จะเห็นได้ว่าประวัติศาสตร์ทั้งสองความหมายนี้มีความแตกต่างกันแต่มีความสัมพันธ์กัน

มสธอย่างแนบแน่น ความหมายแรก คือ วัตถุภายนอกที่ด�ำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ ในขณะท่ีความหมายสอง คือ

กิจกรรมของมนุษย์ที่ให้คุณค่า หาความหมายเกี่ยวกับส่ิงท่ีเกิดขึ้นไปแล้วในอดีต
ส่ิงท่ีเกิดขึ้นแล้วในอดีตมีอยู่มากมายจนพ้นวิสัยท่ีมนุษย์จะรับรู้ได้ ตั้งแต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ

ไปจนถึงกิจกรรมของมนุษย์ การเมืองก็เป็นเรื่องหนึ่งของกิจกรรมของมนุษย์ที่รวมกันเป็นสังคม ใน

มสธ มสธประวัติศาสตร์จึงมีเร่ืองของการเมืองของมนุษย์อยู่ด้วยเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ มากมายนับไม่ถ้วนนั้น

กิจกรรมทางปัญญาของมนุษย์หลายอย่าง เช่น การอ่านวรรณกรรม ศึกษาเศรษฐกิจ หรือหาความหมาย
เกี่ยวกับบทบาทและความสัมพันธ์ทางการเมือง ล้วนท�ำกับส่ิงที่เกิดข้ึนมาแล้วในอดีตทั้งสิ้น เราไม่สามารถ
อ่านวรรณกรรมท่ียังไม่เขียนออกมาได้ หรือไม่สามารถศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองท่ียัง
ไม่เกิดข้ึนได้ แม้ว่าการกระท�ำของเราดังกล่าวอาจต้องการท่ีจะท�ำนายหรือคาดคะเนอนาคตก็ตาม เส้นแบ่ง
ระหวา่ งกจิ กรรมทางปญั ญาอน่ื ๆ ทศี่ กึ ษาปจั จบุ นั กบั ประวตั ศิ าสตรท์ หี่ มายถงึ กจิ กรรมทางปญั ญาของมนษุ ย์

มสธท่ีต้องการเข้าใจอดีตน้ัน ดูจะซ้อนทับกันเพราะสิ่งที่เรียกว่าปัจจุบันไม่มีความตายตัว การแบ่งคร่าว ๆ ว่าเม่ือ

เวลาผ่านไปแล้วกี่ปี ๆ ดูจะเป็นการแบ่งตามอ�ำเภอใจมากกว่ามาจากการให้เหตุผลที่แท้จริง
เส้นแบ่งท่ีเป็นประโยชน์กว่า มี 2 ประการด้วยกัน ประการแรก ประวัติศาสตร์เป็นความพยายาม

ทำ� ความเข้าใจอดตี ทั้งหมด เพราะอดตี ไมส่ ามารถแยกส่วนได้ ที่กล่าวเช่นนไี้ ม่ไดห้ มายความวา่ ประวัตศิ าสตร์
จะต้องศึกษา เขียน หรือจดจ�ำอดีตทั้งหมดได้ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นส่ิงที่เป็นไปไม่ได้ แต่หมายถึงการตระหนัก

มสธ มสธหรือช้ีให้เห็นถึงอดีตหรือประวัติศาสตร์ท่ีกว้างว่าส่ิงท่ีเราศึกษา ในแง่นี้เราจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนข้ึน

ระหว่างกิจกรรมทางปัญญาท่ีเรียกว่าประวัติศาสตร์กับกิจกรรมทางปัญญาอ่ืน ๆ เช่น การอ่านวรรณกรรมท่ี
มีเป้าหมายที่จะหาความหมายหรือความงามที่อยู่ในตัวบท โดยไม่จ�ำเป็นที่จะต้องออกไปสัมพันธ์กับสิ่งอ่ืน
นอกตัวบทเลยก็ได้ เช่นเดียวกับการศึกษากฎหมายหรือบทบาทของผู้น�ำทางการเมืองที่อาจจะจ�ำกัด
การท�ำความเข้าใจอยู่เฉพาะสิ่งท่ีเราศึกษาหรือปัจจัยแวดล้อม เช่น ผลประโยชน์หรือโครงสร้างทางการเมือง
ในทางกลับกันส�ำหรับประวัติศาสตร์แล้ว สิ่งเหล่าน้ีล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของมนุษย์ทั้งหมดและ

มสธประวัติศาสตร์ท้ังหมด

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-7

ประการทสี่ อง คอื การตระหนกั ถงึ ความเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขนึ้ ในประวตั ศิ าสตร์ การอา่ นวรรณกรรม

มสธหรือกฎหมายโดยล�ำพังอาจจะไม่ได้ตระหนักว่าส่ิงเหล่าน้ันเป็นส่ิงที่เกิดขึ้นในอดีต (“เพราะมันยังใช้อยู่”

“มันเปน็ ที่นยิ ม” ฯลฯ) การมสี ำ� นกึ เรื่องเวลา ความเปน็ อดีต-ปัจจบุ นั คอื ความคิดเร่อื งของความเปลยี่ นแปลง
ท่ีเกิดในกาลเวลา ยุคสมัยหรือช่วงเวลาท่ีแตกต่างกันไม่เพียงแต่เป็นความแตกต่างของเวลาแต่ยังมี
ความแตกต่างในทุก ๆ เรื่องด้วย เช่น ลักษณะสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วิถีชีวิตและวิธีคิด และย่ิงเม่ือมี

มสธ มสธระยะห่างของช่วงเวลาระหว่างกันมากเท่าไหร่ความแตกต่างหรือไม่เหมือนกันยิ่งมีมากข้ึน การด�ำรงอยู่ของ

ส่ิง ๆ หน่ึงเม่ือผ่านกาลเวลาย่อมมีความเปล่ียนแปลง ไม่เพียงแต่หมายถึงการเกิดข้ึน ต้ังอยู่และดับไปของ
สถาบันทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง แต่ยังรวมถึงการเปล่ียนแปลงในเชิงสารัตถะหรือคุณลักษณะส�ำคัญ
ภายในของส่ิงนั้นด้วย เช่น เราไม่อาจทึกทักว่าครอบครัวและการปกครองระหว่างอดีตและปัจจุบันจะมีความ
เหมือนกัน หรือแม้กระท่ังในอดีตในแต่ละช่วงเวลาหรือยุคสมัยจะเป็นในแบบเดียวกันเสมอไป

เส้นแบ่งทั้งสองประการน้ีมาจากแนวทางหลักของการศึกษาประวัติศาสตร์ในปัจจุบันท่ีถือว่าอดีต

มสธมีคุณค่าในตัวมันเอง ซึ่งต่างจากกิจกรรมทางปัญญาและการคิดเกี่ยวกับอดีตแบบอ่ืน ๆ ท่ีมีแรงจูงใจทาง

สังคมมาเป็นตัวก�ำกับ การให้คุณค่าแก่อดีตของวิชาประวัติศาสตร์นี้มาจากแนวคิดทางปรัชญาของเยอรมนี
ท่ีเรียกว่า “ประวัติศาสตร์นิยม” (Historicism) ท่ีเกิดขึ้นในศตวรรษท่ี 19 ท่ีถือว่าเราต้องเคารพความเป็น
อิสระของอดีต ยอมรับความแตกต่างของยุคสมัย หน้าท่ีของนักประวัติศาสตร์คือการน�ำอดีตให้กลับขึ้นมา

มสธ มสธมีชีวิตข้ึนมาใหม่ พยายามท�ำความเข้าใจวัฒนธรรม สถาบันทางสังคมต่าง ๆ ภายใต้ความหมายของยุคสมัย

ของมันเอง ซ่ึงการผลิกฟื้นอดีตข้ึนมาใหม่น้ีจะเป็นหนทางในการเข้าใจโลกได้
การกลา่ ววา่ ประวตั ศิ าสตรม์ คี ณุ คา่ ในตวั มนั เอง ไมไ่ ดห้ มายความวา่ การศกึ ษาแนวคดิ ประวตั ศิ าสตร์

จะไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากรู้จักอดีต แต่ส�ำหรับนักประวัติศาสตร์นิยมท่ีเสนอเช่นน้ันด้วยเหตุว่าการน�ำ
เสนอที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ส�ำคัญท่ีสุด และเมื่อประวัติศาสตร์ถูกน�ำเสนออย่างถูกต้อง
อย่างที่มันเป็นจริงแล้วก็อาจมีประโยชน์ในทางปฏิบัติได้ ไม่ว่าเป็นเร่ืองของการให้มุมมองต่อการวิเคราะห์

มสธและเปรียบเทียบ หรือพอคาดการณ์ผลลัพท์ท่ีอาจจะเกิดข้ึนภายภาคหน้าได้1
หลังจากศึกษาเนอ้ื หาสาระเรอื่ งที่ 3.1.1 แล้ว โปรดปฏบิ ัตกิ ิจกรรม 3.1.1
ในแนวการศกึ ษาหนว่ ยที่ 3 ตอนท่ี 3.1 เร่อื งที่ 3.1.1
มสธ มสธ มสธ1John Tosh. (2013). The Pursuit of History. London: Roultledge. pp. 1 - 23.

3-8 การวิเคราะห์การเมือง

มสธเรอื่ งท่ี 3.1.2 ประวัตศิ าสตรใ์ นฐานะสาขาวิชา
มนษุ ยม์ คี วามสนใจใครร่ อู้ ดตี ของตนเองมาโดยตลอด ตง้ั แตอ่ ดตี ความเปน็ มาของตนเอง บรรพบรุ ษุ

มสธ มสธเผ่าพันธุ์ของตน เพ่ือตอบค�ำถามว่าตนคือใคร ในแง่นี้ประวัติศาสตร์จึงท�ำหน้าท่ีในการสร้างอัตลักษณ์ของ

บุคคลและชุมชน หรือแม้กระท่ังรัฐประชาชาติในสมัยหลัง นอกจากนี้มนุษย์เรายังอยากรู้อดีตของโลกท่ีตน
อยอู่ าศยั และมนษุ ยชาตโิ ดยรวมดว้ ย เพอ่ื ใหท้ ราบถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปจั เจกบคุ คลหรอื ชมุ ชนของตนเอง
กับสิ่งที่ใหญ่กว่าตนเอง อันน�ำไปสู่การก�ำหนดพฤติกรรมหรือการกระท�ำท่ีมีต่อโลกภายนอก ในแง่น้ี
ประวัติศาสตร์ก็ท�ำหน้าท่ีสร้างแบบแผนทางจริยธรรม คุณธรรม หรือแม้กระท่ังศีลธรรม (ศาสนากลุ่ม
อับราฮัมให้ความส�ำคัญกับประวัติศาสตร์อย่างมาก อันสะท้อนออกมาในพระคัมภีร์เก่า) ท่ีเป็นเรื่องของการ

มสธให้คุณค่าความหมายต่อการกระท�ำของบุคคล ประวัติศาสตร์แบบนี้จึงอยู่กับมนุษย์ชาติมาตั้งแต่เร่ิมแรกและ

มีความสืบเน่ืองมาจนถึงปัจจุบัน ดังที่ปรากฏผ่านต�ำนาน นิทานปรัมปราท่ีเล่าอดีตของชุมชนและมนุษยชาติ
กระน้ันแม้ว่าในยุคปัจจุบันเราจะถือว่าต�ำนาน นิทานปรัมปราไม่ใช่ “ประวัติศาสตร์” เพราะมีเรื่องราว
เหนือจริงและดูไม่น่าเชื่อถือ แต่หน้าท่ีของประวัติศาสตร์แบบเดียวกับนิทานปรัมปราก็ไม่ได้หายไป เพราะ

มสธ มสธความจำ� เปน็ ในการมอี ตั ลกั ษณแ์ ละสรา้ งแบบแผนทางจรยิ ธรรมคณุ ธรรมของปจั เจกบคุ คลและชมุ ชนยงั คงอยู่

ประวัติศาสตร์ที่ท�ำหน้าที่ในลักษณะนี้ในปัจจุบันคือ “ประวัติศาสตร์ชาติ” ที่ปรากฏในแบบเรียนและโฆษณา
ของรัฐ เพื่อปลูกฝังกล่อมเกลาผู้คนในรัฐให้มีส�ำนึกในความเป็นชาติ “มีความรักชาติ” และมีพฤติกรรม
ท่ีพึงประสงค์ เช่น เสียสละ กล้าหาญ ฯลฯ ตามแบบท่ีรัฐต้องการ

ถ้าเราพิจารณาจากเป้าประสงค์ของประวัติศาสตร์ที่เป็นความต้องการท่ีจะ “รู้” และเข้าใจอดีตเพ่ือ
ตอบค�ำถามอะไรบางอย่างที่เราต้องการในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เขียน เล่ากันมาตลอดนั้นก็เป็น

มสธประวัติศาสตร์แบบหน่ึง แต่กระนั้นมันก็ยังไม่เป็น “ศาสตร์” ในความหมายของกระบวนการศึกษาค้นคว้า

อย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้มาซึ่ง “ความรู้” ประวัติศาสตร์แบบที่กล่าวมาข้างต้นดูจะให้ความส�ำคัญกับค�ำตอบ
ทสี่ ำ� คญั กบั สงั คมรว่ มสมยั มากกวา่ อยา่ งอน่ื แมก้ ระทงั่ ความจรงิ อยา่ งไรกต็ ามเรากไ็ มอ่ าจปฏเิ สธความสำ� คญั
ของประวัติศาสตร์ท่ีท�ำหน้าที่ตอบค�ำถามร่วมสมัย และการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางประวัติศาสตร์จ�ำนวนมาก
ก็มาจากแรงจูงใจที่มาจากสังคม หัวใจส�ำคัญของประวัติศาสตร์จึงอยู่ท่ีการใช้วิธีการที่ถูกต้องในการศึกษา

มสธ มสธค้นคว้าวิจัยมากกว่าท่ีจะเป็นเรื่องของแรงจูงใจ
พัฒนาการของศาสตร์ท่ีเรียกว่าประวัติศาสตร์นั้นอาจจะกล่าวได้ว่าจุดเร่ิมต้นของมันเริ่มต้นเม่ือเกิด
ความคิดว่าประวัติศาสตร์ต่างจากเรื่องเล่าอ่ืน ๆ อย่างไร เราจะเชื่อถือเร่ืองราวที่เกิดข้ึนในอดีตที่ถูกเล่าโดย
นักเล่าเรื่องได้อย่างไร ค�ำถามจ�ำพวกน้ีเกิดข้ึนในสังคมกรีกโบราณเมื่อราว 2,500 ปีก่อน ที่เหล่านักปรัชญา
ต่างถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องของความรู้และความจริง เฮโรโดตัส (Herodotus, 484–425 BC) อยู่ท่ามกลาง
บรรยากาศทางปัญญาน้ัน โดยได้เขียนงานที่ท�ำให้ตนเองได้ชื่อว่าเป็นนักประวัติศาสตร์คนแรก หรือ “บิดา

มสธของประวัติศาสตร”์ คือ Histories ที่เล่าถึงสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย เพื่อหาค�ำตอบว่าท�ำไมสองชาติ

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-9

ท�ำสงครามกัน เขาไม่ได้เล่าแต่เรื่องของสงครามเท่าน้ัน แต่ได้เล่าความเป็นมาของอารยธรรมเปอร์เซีย และ

มสธดินแดนต่าง ๆ ในโลกโบราณ โดยเขาชี้ให้เห็นว่า “ชะตากรรม” หรือ “โชคชะตา” เป็นตัวก�ำหนดให้เหตุการณ์

ต่าง ๆ คลี่คลาย ส่ิงท่ีท�ำให้งานชิ้นน้ีมีความส�ำคัญอย่างมากเพราะ “ประวัติศาสตร์” ของเฮโรโดตัส เป็นความ
พยายามหาค�ำตอบด้วยวิธีการไต่สวน สืบสาวหาความจริง ต่างจากการเล่าเรื่องแบบเทพนิยายหรือนิทาน
ปรัมปราที่เล่าต่อ ๆ กันมา โดยสิ่งท่ีเขาได้ไต่สวนนั้นคือการกระท�ำของมนุษย์ ผ่านการเดินทางไปยังสถานท่ี

มสธ มสธท่ีเคยเกิดเหตุการณ์และใช้หลักฐานในการยืนยัน ไม่เพียงเท่าน้ันเขายังแสดงถึงความพยายามวิพากษ์และ

ตีความหลักฐานด้วย
นอกจากน้ีเฮโรโดตัสไม่เพียงแต่บรรยาย แต่พยายามอธิบายการกระท�ำของมนุษย์ท่ีกระท�ำอย่างมี

เหตุผล เขาเป็นนักเขียนเกี่ยวกับอดีตคนแรกที่ถามว่า “ท�ำไม” ในประวัติศาสตร์ ค�ำตอบท่ีได้เป็นในลักษณะ
เป็นกลไก (mechanic answer) ไม่ใช่ค�ำตอบที่เน้นไปยังเป้าหมาย (teleological answer)
นักประวัติศาสตร์กรีกอีกคน คือ ธูซีดีดีส (Thucydides, 460–400 BC) เขียนเรื่องสงครามเช่นกันคือ

มสธHistory of the Peloponnesian War ซึ่งเขาอยู่ร่วมเหตุการณ์และเห็นว่ามีความส�ำคัญต่อกรีซท้ังหมด

เขาจึงพยายามหาสาเหตุของสงคราม และสาเหตุของการกระท�ำของบุคคล รัฐ กองทัพ ฯลฯ ที่เกิดข้ึน
ในสงคราม การศึกษาสงครามของธูซีดีดีสไม่เพียงรู้เร่ืองสงครามเท่าน้ัน แต่เพ่ือท�ำความเข้าใจธรรมชาติ
ของมนุษย์ด้วย ความส�ำคัญของธูซีดีดีสท่ีท�ำให้บางทีเขาก็เป็นบิดาประวัติศาสตร์ร่วมกับเฮโรโดตัสคือ

มสธ มสธการเล่าเร่ืองที่มีลักษณะภาววิสัยมากข้ึน ไม่เชิดชูเอเธนส์มากจนเกินไป และท่ีส�ำคัญคือ การวิพากษ์หลักฐาน

ถามจากผู้เห็นเหตุการณ์ ตรวจสอบข้อมูลท่ีได้ แล้วจึงน�ำมาเขียน2
แม้ว่าพัฒนาการการเขียนประวัติศาสตร์หรือวิชาประวัติหลังจากน้ันจะไม่ได้พัฒนาเจริญขึ้นเป็นเส้น

ตรง แต่การใช้เหตุผลในการหาค�ำตอบและการใช้หลักฐาน การวิพากษ์ตีความหลักฐาน กลายเป็นสิ่งส�ำคัญ
ในการเขียนประวัติศาสตร์ แม้กระท่ังในยุคกลาง ท่ีศาสนจักรและความเช่ือทางศาสนามีอิทธิพลส�ำคัญต่อ
การสรา้ งความรู้ การเขียนประวตั ิศาสตร์ในยคุ กลางรับเอาความคดิ ตามกรอบพระคัมภรี ท์ ี่มองประวัติศาสตร์

มสธอย่างเป็นเส้นตรงมาเป็นกรอบอธิบายพัฒนาการของประวัติศาสตร์ ซ่ึงต่อมาแม้ว่าเราจะไม่เชื่อในเส้นทาง

ประวตั ศิ าสตรแ์ บบครสิ เตยี นกต็ ามแตม่ คี วามสำ� คญั ตอ่ วธิ คี ดิ และการเขยี นประวตั ศิ าสตรส์ มยั ใหมด่ ว้ ย กลา่ ว
คือ ในขณะที่พวกกรีก-โรมัน เช่นเดียวกับอารยธรรมอื่น ๆ ทั่วโลกมักมองประวัติศาสตร์หรือสายธารเวลา
ท้ังหมดว่าเป็นวัฏจักร ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนกับโลกธรรมชาติและมนุษย์เป็นวงกลมที่หมุนย้อนมาจุด
เดิม ซึ่งถ้ามองอีกในแง่หน่ึงโลกและมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะมันหมุนวนย�่ำอยู่กับท่ี ในขณะท่ีชาวคริสต์

มสธ มสธเช่นเดียวกับชาวยิวท่ีมองประวัติศาสตร์อย่างมีทิศทางและมีเส้นทางจากจุดเร่ิมต้นไปยังจุดจบ คือจากการ

สร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้า ไปยังการสิ้นสุดของโลกและจักรวาล การมอง
ประวัติศาสตร์ของชาวคริสต์ จึงเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างมีความหมายและมีความเป็นสากล (หมาย
ถงึ มนษุ ยท์ ง้ั หมด ไมใ่ ชแ่ คก่ รกี โรมนั หรอื ชนเผา่ ) เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ ในอดตี จงึ มคี วามหมายตอ่ ประวตั ศิ าสตร์
ท้ังหมดด้วย เช่น การเขียนประวัติศาสตร์ของคริสเตียนจะถือว่าการเกิดของพระเยซูมีความส�ำคัญในฐานะ

2 นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2525). ประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการต�ำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.

มสธน. 5-27.

3-10 การวิเคราะห์การเมือง

พระผู้ไถ่ลงมาเพ่ือให้มนุษย์รอดพ้นจากบาป หรือการเข้ารีตของจักรพรรดิคอสแตนตินท่ีท�ำให้เกิดคริสตจักร

มสธและสามารถเผยแผ่ศาสนาได้ เหล่านี้ถือว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” ของประวัติศาสตร์3 ช่วงเวลาและยุคสมัยจึงมี

ความส�ำคัญต่อวิธีคิดและการเขียนทางประวัติศาสตร์ ถ้าเราไม่มีความคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทั้งหมดว่า
มีความหมายอะไรบางอย่าง ก็จะเป็นไปไม่ได้เลยท่ีเราจะบอกว่าเหตุการณ์อะไรส�ำคัญหรือไม่ส�ำคัญ หรือเป็น
“จุดเปล่ียน” เช่น การกล่าวถึงความส�ำคัญของ “การเปล่ียนแปลงการปกครอง 2475” หรือ “การรัฐประหาร

มสธ มสธ2549” จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราไม่มีความคิดเร่ืองพัฒนาการของประชาธิปไตย เช่นเดียวกับการแบ่งยุคสมัย

ต่าง ๆ ทั้งในประวัติศาสตร์หรือการแบ่งช่วงเวลาในงานวิจัยก็จะมีเหตุมีผลเมื่อเรามีกรอบคิดบางอย่าง
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยู่ด้วย

อย่างไรก็ตามภายใต้กรอบของศาสนาในยุคกลาง ท�ำให้การเขียนประวัติศาสตร์เป็นไปเพื่อรับใช้
ศาสนจักรมากกว่าท่ีจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องการหาความจริงเก่ียวกับอดีตโดยทั่ว ๆ นอกจากน้ียังรวมถึง
กรอบการอธิบายท่ีอิงอยู่กับความเชื่อทางศาสนามากกว่าที่จะเป็นเร่ืองเหตุผลของมนุษย์ จนกระท่ังใน

มสธยุคสมัยใหม่ตอนต้นท่ีเริ่มมีเสรีภาพและบรรยากาศทางภูมิปัญญาใหม่ท่ี “มนุษย์” ได้กลายเป็นศูนย์กลาง

ของการศึกษาหาความรู้อีกครั้ง การเขียนประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน มีการเขียนประวัติศาสตร์ทางโลกมากขึ้น
การกลับไปหาภูมิปัญญากรีกโรมันในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ไม่เพียงแต่ความสนใจเขียนประวัติศาสตร์ของ
ยุคคลาสสิกดังกล่าว แต่ยังรวมถึงการกลับไปค้นคว้าและศึกษาหลักฐานชั้นต้นในยุคดังกล่าวด้วย ในช่วงนี้

มสธ มสธการสะสมของเก่า ไม่เพียงแต่วัตถุมีค่า แต่ยังรวมถึงหนังสือและเอกสารจึงมีความส�ำคัญ และย่ิงไปกว่านั้น

การตรวจสอบว่าของส่ิงนั้น หรือเอกสารน้ันเป็นของแท้ยังมีความส�ำคัญอย่างมากด้วย วัลลา (Lorenzo
Valla, 1407-1457) นักนิรุกติศาสตร์ได้ท�ำการตรวจสอบเอกสาร Donation of Constantine ว่าเป็นของ
ปลอมถูกเขียนข้ึนในภายหลัง การเก็บรวมรวบและตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ได้กลายเป็นรากฐานส�ำคัญ
ของการท�ำงานของนักประวัติศาสตร์ ที่ก่อนหน้าน้ีไม่ได้ถูกให้ความส�ำคัญมากกว่าการใช้ภาษาและโวหาร
การใช้และตรวจสอบหลักฐานกลายเป็นหัวใจหลักของการยืนยันความจริงในงานเขียนประวัติศาสตร์4

มสธในยุคสมัยใหม่ตอนต้นน้ีนอกจากวิชาประวัติศาสตร์เร่ิมท่ีจะมีการพัฒนาเครื่องมือในการจัดการกับ

หลักฐานแล้ว การศึกษากรีกโรมันและเอกสารชั้นต้น ยังท�ำให้พบว่าคนในอดีตคิดและท�ำส่ิงต่าง ๆ ไม่เหมือน
กับในปัจจุบัน (time distance) และความช่ืนชมอดีตว่ามีคุณค่าในตัวมันเองท่ีให้การศึกษาประวัติศาสตร์
มีคุณค่าท่ีเป็นอิสระจากการเป็นเพียงแค่เคร่ืองมือทางศีลธรรมและการปกครอง แต่ล�ำพังการศึกษาค้นคว้า
เร่ืองราวในอดีตและเขียนเล่ามันออกมาก็เป็นเรื่อง “เบ็ดเตล็ด” หรือเกร็ดประวัติศาสตร์ ท่ีดูจะมีความส�ำคัญ

มสธ มสธไม่มากเม่ือเทียบกับศาสตร์หรือสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เร่ิมเกิดขึ้นในช่วงเวลาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เช่น ปรัชญา

วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ท่ีต้องการหากฎเกณฑ์ของธรรมชาติและความเป็นมนุษย์
ในแง่มุมต่าง ๆ ดังนั้นประวัติศาสตร์ ถ้าจะเป็นสาขาวิชาหนึ่ง จึงถูกเรียกร้องให้ตอบค�ำถามมากกว่า
รายละเอียดของเหตุการณ์ตามล�ำดับเวลา ต้องตอบค�ำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ด้วย
นักประวัติศาสตร์ที่ท�ำงานในลักษณะนี้ที่ส�ำคัญ ได้แก่ กิบบอน (Edward Gibbon, 1737-1794) ท่ีเขียน

3 เพ่ิงอ้าง. น. 48-74.

มสธ4 จอห์น เอช อาร์โนลด์. (2549). ประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. น. 53-59.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-11

History of the decline and fall of the Roman Empire ที่รับและรวมเอาแนวการเขียนประวัติศาสตร์

มสธท่ีผา่ นมา ได้แก่ การคน้ ควา้ และตรวจสอบหลกั ฐานตามแนวทางนกั ศึกษาคน้ คว้าเรือ่ งโบราณ (Antiquarian)

และการเขียนเรียบเรียงอย่างมีวาทศิลป์แบบซิเซโร รวมเข้ากับความพยายามที่ตอบค�ำถามในเชิงปรัชญาท่ีได้
จากความเส่ือมและล่มสลายของจักรวรรดิโรมันด้วย กิบบอนยังมีความส�ำคัญต่อประวัติศาสตร์อีกประการ
หนึ่งคือการเป็นนักประวัติศาสตร์อาชีพ ท่ีก่อนหน้านั้นนักประวัติศาสตร์คือนักเขียนและนักปราชญ์ที่เขียน

มสธ มสธและมีความรู้ในหลาย ๆ ด้าน5
ในช่วงเวลาเดียวกันน้ีนักปรัชญาเยอรมันส�ำนักประวัติศาสตร์นิยมให้ความส�ำคัญกับประวัติศาสตร์
เสนอว่าการจะเข้าใจประวัติศาสตร์ หรืออดีตน้ันจะต้องศึกษาหลักฐานอย่างละเอียดควบคู่ไปกับการพัฒนา
ทฤษฎีว่าด้วยสาเหตุของเหตุการณ์ นักประวัติศาสตร์เยอรมันท่ีมีความสำ� คัญอย่างมากต่อการก�ำเนิดของวิชา
ประวัติศาสตร์ในฐานะท่ีเป็น สาขาวิชา (discipline) หนึ่ง คือ รังเก (Leopold von Ranke, 1795–1886BC)
ไม่เพียงแต่เขาในฐานะนักวิชาการ ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ท่ีเท่ากับการมีสาขาวิชาและบัณฑิต

มสธท่ีได้รับการฝึกฝนให้ท�ำอาชีพเป็นนักประวัติศาสตร์เท่าน้ัน แต่ท่ีส�ำคัญกว่านั้นคือแนวคิดในการท�ำงานทาง

ประวัติศาสตร์ หรือระเบียบวิธีการวิจัยทางประวัติศาสตร์ ที่เน้นการใช้ข้อมูลและการค้นคว้าหลักฐานชั้นต้น
ในหอจดหมายเหตุ การตรวจสอบหลักฐานให้ได้ข้อเท็จจริง (fact) โดยรังเกมองว่าในแต่ละยุคสมัยมีความ
เฉพาะของตัวเอง การศึกษาประวัติศาสตร์จะต้องศึกษายุคสมัยต่าง ๆ ภายใต้บริบทของยุคสมัยน้ัน ๆ โดย

มสธ มสธไม่เอาวิธีคิดในปัจจุบันหรือยุคต่อมาเป็นตัวตัดสิน แม้ว่าในแต่ละยุคสมัยจะมีความคิดช้ีน�ำบางอย่างอยู่ แต่

รังเกปฏิเสธเส้นทางพัฒนาการของประวัติศาสตร์ที่เคล่ือนจากจุดหน่ึงไปยังจุดหนึ่ง ยุคสมัยต่าง ๆ มีความ
เทา่ เทยี มกนั ไมส่ ามารถบอกไดว้ า่ มคี วามกา้ วหนา้ หรอื พฒั นาขนึ้ แตอ่ ยา่ งใด วธิ กี ารของรงั เกไดก้ ลายเปน็ แบบ
มาตรฐานของการวิจัยทางประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 ของเยอรมนีและโดยทั่วไป โดยเฉพาะในส่วนท่ี
รังเกที่ว่า ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาส่ิงท่ีเกิดขึ้นจริง ๆ ในอดีต โดยการน�ำเสนอข้อเท็จจริงที่ท�ำให้
นกั ประวัติศาสตร์ทไ่ี ด้เรียนและรับการฝึกฝนมาถือวา่ ศาสตร์ของตนเป็นวทิ ยาศาสตร์อยา่ งหน่ึง และแยกขาด

มสธจากกรอบการเล่าเร่ืองซ่ึงเก่ียวโยงกับวรรณกรรม
อย่างไรก็ตามการเน้นท่ีค�ำขวัญ “wie es eigentlich gewesen” (หรือ “what actually
happened”) ของรงั เกมากกว่าแง่มมุ อ่ืน ๆ (ทางปรชั ญา) ท่เี ขาเสนอ คือการให้ความส�ำคัญกบั เคร่ืองมือ หรอื
ระเบียบวิธีการในฐานะที่เป็นส่วนส�ำคัญของการเป็นสาขาวิชา อาจจะยังไม่พอส�ำหรับการสาขาวิชา
ประวัติศาสตร์ในปัจจุบันที่คาดหวังว่าจะต้อง “ประวัติศาสตร์นิพนธ์” หรือการเขียนทางประวัติศาสตร์สมัย

มสธ มสธใหม่นั้นจะต้องตอบโจทย์ที่มากกว่านั้น นักประวัติศาสตร์คนส�ำคัญอย่าง อี.เอช. คาร์ (E.H. Carr, 1982-

1982BC) กล่าวว่าการค้นคว้าท่ีละเอียดลออและการตรวจสอบหลักฐานอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง
เป็นเง่ือนไขส�ำคัญของการเป็นนักประวัติศาสตร์ แต่เพียงแค่นั้นยังไม่เพียงพอ เพราะล�ำพังข้อเท็จจริงที่ได้ก็
แสดงให้เห็นเพียงแค่บอกว่าบางสิ่งเกิดข้ึนในอดีต แต่ข้อเท็จจริงจะกลายเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ก็
ต่อเม่ือถูกน�ำมาใช้สนับสนุนข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ การพยายามมองหาพลังทางประวัติศาสตร์
ท่ีใหญ่กว่าเหตุผลและการกระท�ำของบุคคล เช่น ความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม

มสธ5 เพิ่งอ้าง. น. 69-72.

3-12 การวิเคราะห์การเมือง

การก่อตัวและความขัดแย้งทางชนชั้น เป็นต้น เม่ือถึงตรงนี้ ตามข้อเสนอของคาร์ นักประวัติศาสตร์อาจจะ

มสธต้องมองหากรอบแนวคิดหรือทฤษฎีเพื่อใช้ในการอธิบาย6
ข้อเสนอของคาร์ข้างต้นมีความส�ำคัญต่อวงการประวัติศาสตร์ในรอบห้าสิบปีที่ผ่านมา ท�ำให้
นักประวัติศาสตร์ตระหนักถึงอัตวิสัยและภาระหน้าที่ของประวัติศาสตร์ที่มีต่อปัจจุบันและอนาคต พร้อม ๆ
ไปกับการท�ำให้ประวัติศาสตร์มีความเป็นศาสตร์ กระน้ันทุกวันนี้ นักประวัติศาสตร์จะไม่ได้เขียน

มสธ มสธประวัติศาสตร์ที่ตอบโจทย์ท่ีคาร์เสนอมาข้างต้นแล้วก็ตาม แต่การเขียนประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงไปยัง

ภาพท่ีใหญ่กว่า หรือประวัติศาสตร์ท่ีใหญ่กว่าเร่ืองที่ตนเองศึกษายังมีความจ�ำเป็นและการใช้มุมมอง แนวคิด
ทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อสร้างข้อเสนอหรือทำ� การอธิบายความเปล่ียนแปลงก็ยังคงเป็นแนวทางการศึกษาที่ส�ำคัญ
ของสาขาวิชาประวัติศาสตร์ในปัจจุบันอยู่

เม่ือได้ท�ำความเข้าใจเก่ียวกับความหมายของประวัติศาสตร์และแนวคิดเก่ียวกับความเป็นสาขาวิชา
ของประวัติศาสตร์ ที่กล่าวได้ว่าแบ่งออกเป็นส่วนของเครื่องมือในการค้นหาข้อเท็จจริงและส่วนของการสร้าง

มสธค�ำอธิบายทางประวัติศาสตร์ ในตอนถัดไปจะได้กล่าวถึง วิธีการทางประวัติศาสตร์และแนวพินิจทาง

ประวัติศาสตร์

หลังจากศกึ ษาเนื้อหาสาระเรอื่ งท่ี 3.1.2 แล้ว โปรดปฏบิ ตั ิกจิ กรรม 3.1.2

มสธ มสธในแนวการศึกษาหนว่ ยท่ี3ตอนท่ี3.1เรอ่ื งที่3.1.2
มสธ มมสสธธ มสธ6 ดู อี.เอช. คาร์. (2543). ประวัติศาสตร์คืออะไร. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-13

มสธตอนท่ี 3.2

วิธีการทางประวัติศาสตร์

มสธ มสธโปรดอา่ นแผนการสอนประจำ� ตอนที่ 3.2 แลว้ จงึ ศึกษาเน้ือหาสาระ พร้อมปฏบิ ตั กิ จิ กรรมในแต่ละเรื่อง
หวั เรอื่ ง
เรื่องที่ 3.2.1 หลักฐานและการใช้หลักฐาน
เร่ืองท่ี 3.2.2 การวิพากษ์หลักฐาน
มสธแนวคิด
1. ในการวิเคราะห์การเมืองในมิติต่าง ๆ เราจ�ำเป็นต้องอาศัยข้อหลักฐานเพื่อใช้ในการ
วิเคราะห์และสนับสนุนข้อเสนอของเรา เร่ืองของหลักฐานและวิธีการจัดการหลักฐานเป็น
แนวคิดและทักษะพื้นฐานส�ำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ การใช้หลักฐานที่น่าเชื่อถือและ
สามารถสกัดเอา “ข้อเท็จจริง” ออกมาได้น้ันเป็นรากฐานส�ำคัญของการท�ำวิจัย ถ้าเราได้
มสธ มสธข้อมูลท่ีเป็นจริงแล้ว การวิเคราะห์ของเราภายใต้กรอบแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ก็จะมีความ
ถูกต้องน่าเช่ือถือตามไปด้วย ในทางกลับกันถึงแม้ว่าเราจะใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีในการ
วิเคราะห์ หรือ “เครื่องมือ” ในการวิเคราะห์แต่ถ้าได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องก็จะท�ำให้งานของ
เราไม่มีความน่าเช่ือถือ ร่องรอยของการกระท�ำของมนุษย์ ท่ีเราในปัจจุบันน�ำข้ึนมาศึกษา
เพ่ือท�ำความเข้าใจอดีตหรือตอบค�ำถามท่ีเรามีต่ออดีต เราสามารถจ�ำแนกประเภทของ
หลักฐาน โดยอาจแบ่งได้ใน 2 ลักษณะ คือ การแบ่งประเภทหลักฐานตามลักษณะ
มสธภายนอกของหลักฐาน และการแบ่งประเภทตามข้อสนเทศของหลักฐาน การจ�ำแนกตาม
ลักษณะภายนอกของหลักฐาน มี 2 ประเภท คือ หลักฐานท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร และ
หลักฐานท่ีไม่เป็นลายลักษณ์อักษร การจ�ำแนกตามข้อสนเทศของหลักฐาน แบ่งได้เป็น 2
ประเภท หลักฐานชั้นต้น คือ หลักฐานที่ถูกจัดท�ำขึ้นร่วมสมัย และหลักฐานชั้นรอง คือ
ข้อมูลหลักฐานท่ีถูกจัดท�ำขึ้นภายหลัง ที่โดยทั่วไปหลักฐานชั้นต้นมักมีน้�ำหนักความน่า
มสธ มสธ มสธเช่ือถือมากกว่าหลักฐานช้ันรองที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง

3-14 การวิเคราะห์การเมือง

มสธ มสธ มสธ2. การวิพากษ์หลักฐาน คือวิธีการเพื่อให้เราได้ข้อสนเทศและประเมินความน่าเชื่อถือของข้อ
สนเทศ แบ่งเป็น การวิพากษ์ภายนอก และการวิพากษ์ภายใน การวิพากษ์ภายนอก คือ
การตรวจสอบความแท้ของหลักฐาน ด้วยการพิจารณาตัวหลักฐานอย่างละเอียดโดยยัง
ไม่เข้าไปพิจารณาเน้ือหาว่า ผู้แต่ง สถานท่ีและเวลาท่ีถูกเขียนขึ้นเป็นจริงตามที่ปรากฏใน
หลักฐานน้ัน ๆ หรือไม่ การวิพากษ์ภายใน แบ่งเป็น การตีความเนื้อหาท่ีปรากฏในหลัก
ฐานเพื่อให้ได้ความหมายเพื่อให้ได้ข้อมูลหรือข้อสนเทศท่ีเราสามารถจะน�ำมาใช้ในการ
มสธวิเคราะห์ โดยมีในระดับการตีความให้ได้ความหมายตามตัวอักษร และการตีความ
เพ่ือให้ได้ความหมายที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในหลักฐาน และการประเมินคุณค่าข้อสนเทศ คือ
การประเมินว่าเน้ือหาในหลักฐานมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ สามารถจ�ำแนกแยกแยะ
ข้อสนเทศในหลักฐานว่าข้อสนเทศไหนจริง หรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง

มสธ มสธวตั ถปุ ระสงค์
เม่ือศึกษาตอนท่ี 3.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายการประเภทต่าง ๆ ของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้
มสธ มมสสธธ มสธ2. อธิบายวิธีการวิพากษ์หลักฐานได้

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-15

มสธเรือ่ งท่ี 3.2.1 หลกั ฐานและการใชห้ ลักฐาน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ ร่องรอยของการกระท�ำของมนุษย์ ท่ีในปัจจุบันน�ำขึ้นมาศึกษาเพื่อ

มสธ มสธท�ำความเข้าใจอดีตหรือตอบค�ำถามท่ีเรามีต่ออดีต หากกล่าวให้สอดคล้องกับประเด็นของเรา ตรงน้ีคือ

การวิเคราะห์การเมือง หลักฐานคือส่ิงท่ีจะเป็นวัตถุดิบในการวิเคราะห์เพ่ือให้ทราบถึงค�ำตอบของค�ำถามที่เรา
ต้ังขึ้น ซึ่งหลักฐานก็มีมากมายหลากหลาย ขึ้นอยู่กับโจทย์หรือค�ำถามท่ีเราต้ังข้ึน การจะบอกได้ว่าอะไรคือ
หลักฐานส�ำหรับการศึกษาน้ันก็สัมพันธ์กับค�ำถามการวิจัยว่าเราต้องการศึกษาหรือวิเคราะห์เร่ืองอะไร แต่เรา
พอที่จะจ�ำแนกหลักฐานเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการท�ำความเข้าใจในเบ้ืองต้นตรงนี้ โดยการ
จำ� แนกประเภทของหลกั ฐานเราอาจแบง่ ไดใ้ นสองลกั ษณะ คอื การแบง่ ประเภทหลกั ฐานตามลกั ษณะภายนอก

มสธของหลักฐาน และการแบ่งประเภทตามข้อสนเทศของหลักฐาน
1. การจ�ำแนกตามลกั ษณะภายนอกของหลักฐาน
การจ�ำแนกแบบน้ีมีประโยชน์เพ่ือท�ำให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ของแหล่งข้อมูลท่ีจะเราจะท�ำการ
ค้นคว้าหาหลักฐาน ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลและปริมาณของข้อมูลหลักฐานท่ีเราจ�ำต้องท�ำการ

มสธ มสธค้นคว้าเพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีเพียงพอต่อการวิเคราะห์ของเรา การจ�ำแนกตามลักษณะภายนอกของหลักฐานอาจ

แบ่งประเภทของหลักฐานเป็นสองประเภทหลัก คือ หลักฐานท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร และ หลักฐานที่ไม่เป็น
ลายลักษณ์อักษร ซึ่งในแต่ละประเภทจะแบ่งได้เป็นประเภทย่อย ๆ ได้อีก

หลักฐานท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ เอกสารราชการหรือเอกสารทางการปกครอง บันทึก
และจดหมายส่วนตัว หนังสือ หนังสือพิมพ์และส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ เช่น วรรณกรรม โฆษณา เป็นต้น

หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ภาพถ่าย ภาพยนตร์ และ

มสธค�ำบอกเล่า7
2. การจำ� แนกตามข้อสนเทศของหลกั ฐาน
หลักฐานชั้นต้น คือ หลักฐานท่ีถูกจัดท�ำข้ึนร่วมสมัย ถูกบันทึกไว้โดยผู้ท่ีเก่ียวข้องโดยตรงหรือรู้
เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง โดยเราน�ำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการศึกษาของเราโดยตรงโดยไม่พ่ึงการวิเคราะห์
ตีความของคนอื่นท่ีศึกษามาก่อนหน้า

มสธ มสธหลักฐานช้ันรอง คือข้อมูลหลักฐานที่ถูกจัดท�ำขึ้นภายหลัง อาจจะเป็นบันทึกของผู้ท่ีได้รับทราบ

เหตุการณ์จากค�ำบอกเล่าของบุคคลอ่ืนมาอีกต่อหน่ึง หนังสือประวัติศาสตร์ที่มีผู้เขียนข้ึนภายหลัง หรือการ
ค้นคว้าวิจัยท่ีศึกษาจากหลักฐานช้ันต้นก็ถือว่าเป็นหลักฐานชั้นรอง

มสธ7 ดู นธิ ิ เอยี วศรวี งศ,์ และอาคม พฒั ยิ ะ. (2525). หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรใ์ นประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: บรรณกจิ . น. 36-83.

3-16 การวิเคราะห์การเมือง

การจำ� แนกดงั กลา่ วอาจพอมปี ระโยชนใ์ นการประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถอื ของหลกั ฐานอยบู่ า้ ง เพราะโดย

มสธทวั่ ไปหลกั ฐานชน้ั ตน้ มกั มนี ำ้� หนกั ความนา่ เชอ่ื ถอื มากกวา่ หลกั ฐานชน้ั รองทถี่ กู สรา้ งขน้ึ ทหี ลงั แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม

หลักฐานช้ันต้นก็ให้ข้อเท็จจริงท่ีผิดพลาดได้ หรือหลักฐานช้ันรองที่เขียนขึ้นในภายหลังถ้ามีการค้นคว้า
ตรวจสอบท่ีดีอาจจะให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมากกว่าก็ได้ และเอาเข้าจริงการจ�ำแนกน้ีไม่อาจท�ำได้อย่างชัดเจน
นัก ท้ังขอบเขตของค�ำว่าร่วมสมัยว่ากินระยะเวลาเท่าไหร่และการอยู่ร่วมเหตุการณ์จะกินความถึงขั้นไหน

มสธ มสธการกำ� หนดวา่ อะไรเปน็ หลกั ฐานชนั้ ตน้ กย็ งั ขน้ึ อยกู่ บั คำ� ถามหรอื ประเดน็ ทนี่ กั ประวตั ศิ าสตรศ์ กึ ษา เชน่ การศกึ ษา

ความคิดและทัศนคติของประชาชนก็อาจจะต้องถือว่าเรื่องเล่าปากต่อปาก การซุบซิบนินทาและข่าวลือเป็น
หลักฐานชั้นต้นท่ีส�ำคัญในการศึกษาดังกล่าว8 ดังนั้นในหลักฐานชิ้นหน่ึงอาจเป็นท้ังหลักฐานช้ันต้นและ
หลักฐานรองได้พร้อม ๆ ไปกับมีส่วนที่เป็นหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานชั้นรองในหลักฐานช้ินเดียวกัน9

หลงั จากศกึ ษาเนอื้ หาสาระเร่ืองที่ 3.2.1 แล้ว โปรดปฏิบัติกิจกรรม 3.2.1

มสธในแนวการศึกษาหนว่ ยท่ี 3 ตอนท่ี 3.2 เรื่องท่ี 3.2.1
มสธ มสธเรอื่ งท่ี 3.2.2 การวิพากษ์หลกั ฐาน

การรวบรวมและค้นคว้าหาขอ้ มูลหลักฐานเป็นเพียงข้นั เรมิ่ ต้นเท่านั้น เพราะทจี่ ริงแล้วหลักฐานไม่ใช่
วัตถุหรือสิ่งของอย่างหนังสือหรือหรือเอกสาร แต่สิ่งที่จ�ำเป็นต่อการวิเคราะห์ วิจัยของเราคือ ข้อสนเทศ

มสธ(information) เพ่ือให้สามารถประเมินความน่าเช่ือถือของข้อสนเทศหรือข้อมูลท่ีจะน�ำมาใช้ในการศึกษาน้ัน

ก็จ�ำเป็นต้องมีการตรวจสอบหลักฐานและข้อสนเทศน้ันเสียก่อน วิธีการตรวจสอบนี้เรียกว่า “วิพากษ์วิธีทาง
ประวัติศาสตร์” โดยจะแบ่งเป็น การวิพากษ์ภายนอก และการวิพากษ์ภายใน

การวิพากษ์ภายนอก

มสธ มสธการวิพากษ์ภายนอก (external criticism) คือ การตรวจสอบความแท้ (authenticity) ของ

หลกั ฐาน ดว้ ยการพจิ ารณาตวั หลกั ฐานอยา่ งละเอยี ดโดยยงั ไมเ่ ขา้ ไปพจิ ารณาเนอ้ื หาวา่ ผแู้ ตง่ สถานทแ่ี ละเวลา
ท่ีถูกเขียนข้ึนเป็นจริงตามที่ปรากฏในหลักฐานน้ัน ๆ หรือไม1่ 0 เพราะเราจะพบว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์

8 วิศรุต พ่ึงสุนทร. (2556). นักประวัติศาสตร์กับกอสซิปในขนบประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก. รัฐศาสตร์สาร 34, 2.
น. 31-74.

9 John Tosh. (2013). Op.cit. p. 57-58.

มสธ10 Ibid. p. 124.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-17

จ�ำนวนหนึ่งถูกท�ำปลอมขึ้น (historical forgery) จะด้วยความต้ังใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังน้ันการวิพากษ์

มสธภายนอกจึงเป็นการท�ำความเข้าใจเก่ียวกับหลักฐานชิ้นน้ันเพ่ือให้มั่นใจว่าหลักฐานท่ีเราใช้ศึกษามีความแท้

และจะเป็นประโยชน์ในการวิพากษ์ภายในต่อไป การวิพากษ์หลักฐานเราอาจพิจารณาหลักฐานท่ีเราศึกษา
ใน 5 ประเด็นด้วยกันคือ

1. อายขุ องหลกั ฐาน การก�ำหนดอายุและช่วงเวลาท่ีถูกสร้างขึ้นเพ่ือประเมินช่วงเวลาว่าผู้เขียนหรือ

มสธ มสธผู้สร้างอยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์ที่อยู่ในเน้ือหาของหลักฐานมากน้อยเพียงไร นอกจากนี้ยังช่วยให้ท�ำความเข้าใจ

เน้ือหาของหลักฐานมากข้ึนทั้งในเรื่องส�ำนวนภาษาที่ใช้ในตัวหลักฐานและสิ่งต่าง ๆ ที่หลักฐานกล่าวถึง
การดอู ายขุ องหลกั ฐานนนั้ ถา้ หากไมม่ กี ารระบอุ ายหุ รอื วนั เวลาทเ่ี ขยี นขนึ้ มา กจ็ ำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งดจู ากการอา้ งถงึ
จากหลักฐานอื่น อายุของผู้เขียนหรือผู้สร้าง คาดคะเนจากวิธีการเขียน วิธีการสะกดและส�ำนวนโวหารในตัว
หลักฐาน หรือพิจารณาจากเน้ือหาของตัวหลักฐานก็อาจจะพบท่ีจะระบุอายุหรือช่วงเวลาที่หลักฐานนั้น
ถูกสร้างข้ึนมาก็ได้

มสธ2. สภาพแวดล้อมที่หลักฐานถูกสร้างข้ึน หรือการระบุแหล่งท่ีมาของหลักฐานมีความส�ำคัญที่จะ

ท�ำให้เราเช่ือได้ว่าหลักฐานนั้นมีความแท้หรือไม่ นอกจากน้ีการรู้แหล่งท่ีมาของหลักฐานยังช่วยให้น�ำไปสู่
การค้นคว้าเพ่ิมเติมท้ังในประเด็นท่ีเราศึกษาและประเด็นที่เก่ียวเน่ืองได้ โดยวิธีการตรวจสอบให้ดูจากแหล่ง
ที่ได้มาหรือพบหลักฐานชิ้นน้ัน ถ้าหากไม่ทราบโดยตรงจากพิจารณาจากรูปลักษณ์และเนื้อหาหรือการอ้างอิง

มสธ มสธถึงจากหลักฐานอื่น
3. ผู้สร้างหรือผู้เขียน การทราบถึงตัวผู้เขียนหรือผู้สร้างหลักฐานท�ำให้เราสามารถพิจารณาได้ว่า
สถานะของบุคคลผู้สร้างนั้น โดยดูจากประวัติความเป็นมาของเขา สามารถท่ีจะเล่าหรือรายงานสิ่งท่ีเป็นจริง
ได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถตรวจสอบหลักฐานในแง่มุมอ่ืน ๆ ได้ เช่น การก�ำหนดอายุและ
แหล่งท่ีมาของหลักฐาน เป็นต้น หากตัวหลักฐานไม่ได้ระบุผู้สร้างหรือผู้เขียน หรือไม่มีการอ้างอิงถึงจาก
หลักฐานช้ินอ่ืน เราอาจจะท�ำการเช่นเดียวกับข้ออ่ืน ๆ คือ คาดคะเนจากตัวเนื้อหาของหลักฐานท้ังในแง่ของ

มสธส�ำนวนโวหารท่ีใช้และตัวเนื้อหาท่ีอาจพอบ่งช้ีได้ว่าใครคือผู้แต่ง
4. วัตถุประสงค์ของการเขียน ถ้าเราทราบวัตถุประสงค์ของการเขียนจะช่วยให้เราประเมินความ
น่าเช่ือถือของข้อสนเทศในหลักฐานนั้นเป็นอย่างดีและช่วยให้เราสามารถตีความข้อสนเทศท่ีอยู่ในหลักฐาน
นั้นได้ วิธีการหาจุดมุ่งหมายของหลักฐาน ในเอกสารบางประเภทระบุวัตถุประสงค์เอาไว้อย่างชัดเจน เช่น
หนังสือราชการ หรือในเอกสารบางประเภทแม้จะไม่ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน แต่เรารู้จักรูปแบบ หรือ

มสธ มสธ“แบบฟอร์ม” ขนบของการเขียนแล้ว ก็พอท่ีจะสามารถน�ำมาเปรียบเทียบกับหลักฐานท่ีเราก�ำลังพิจารณาและ

ท�ำให้ทราบถึงจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการเขียนหลักฐานน้ันได้ นอกจากน้ี หลักฐานก็เช่นเดียวกับ
การส่ือสารท้ังปวงท่ีมีท้ังความหมายโดยตรงและความหมายแฝงเร้น ในหลักฐานชิ้นหน่ึงอาจมีวัตถุประสงค์
แฝงควบคู่ไปกับวัตถุประสงค์หลัก เราจึงจ�ำเป็นจะต้องพิจารณาให้ถ้วนถ่ี โดยอาจพิจารณาว่าหลักฐานชิ้นนั้น
ผู้สร้างต้องการให้ใครอ่านและหากผู้รับสารได้อ่านและมีความเห็นคล้อยความหลักฐานชิ้นนี้แล้วใครเป็น

มสธคนได้ประโยชน์

3-18 การวิเคราะห์การเมือง

อนึ่งจุดมุ่งหมายแฝงเร้นไม่จ�ำเป็นต้องน�ำไปสู่การบิดเบือนข้อเท็จจริงเสมอไป และบางทีวัฒนธรรม

มสธประเพณี ตลอดจนความคิดของยุคสมัยหน่ึง ๆ อาจเป็นตัวบ่งช้ีจุดมุ่งหมายของหลักฐานได้
5. รูปแบบเดิมของหลักฐาน การท่ีเราทราบว่าหลักฐานช้ินน้ีอยู่ในลักษณะเดิมเช่นไรจะท�ำให้
เรามั่นใจได้ว่าข้อสนเทศท่ีเราจะได้จากหลักฐานนั้นตรงหรือมาจากบุคคล ยุคสมัยและวัตถุประสงค์น้ัน
จรงิ ๆ ทง้ั นหี้ ลกั ฐานอาจจะถกู ทำ� ซำ้� ออกมาในหลากหลายลกั ษณะและในกระบวนการดงั กลา่ วอาจมกี ารแกไ้ ข

มสธ มสธดัดแปลง เราจึงจ�ำเป็นที่จะต้องตรวจสอบ ถ้าหากว่าหลักฐานนี้มีหลายฉบับ เช่น การพิมพ์ซ�้ำ น�ำข้อความ

มารวมเล่ม หรือเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต เราก็ควรน�ำข้อความมาเปรียบเทียบ หรือหากไม่พบหลักฐานใน
รปู แบบเดมิ ใหเ้ ปรยี บเทยี บโดยอาจพจิ ารณาจากรปู แบบหรอื วสั ดขุ องหลกั ฐาน การระบวุ า่ มกี ารแกไ้ ขปรบั ปรงุ
ในตัวเนื้อหาหรือไม่ หรือดูการอ้างอิงถึงจากหลักฐานช้ินอ่ืน11

ในการท�ำความเข้าใจตัวหลักฐานข้างต้นเราก็จะสามารถน�ำมาพิจารณาว่าหลักฐานน้ันถูกท�ำปลอม
ขึ้นหรือสร้างข้ึนภายหลังอาจพิจารณาจากค�ำถามหลัก ๆ ว่าหลักฐานน้ัน โดยเฉพาะถ้าเป็นหนังสือราชการ

มสธหรือหน่วยงาน เราสืบย้อนว่าผู้แต่งอยู่ในต�ำแหน่งหน้าท่ีท่ีจะเขียนหรือสร้างหลักฐานนี้ขึ้นมาได้หรือไม่

ประการต่อมาคือเน้ือหาว่ามีความคงเส้นคงวาและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่รู้กันในช่วงเวลาน้ัน ซึ่งถ้าเน้ือหา
ในหลักฐานขัดแย้งกับข้อเท็จจริงท่ัวไปในยุคสมัยก็อาจชวนให้เช่ือได้ว่าหลักฐานน้ันถูกท�ำปลอมข้ึนมา
ภายหลัง และประการสุดท้ายคือรูปแบบตัวเอกสารว่ามีความน่าสงสัยหรือความน่าเชื่อถือทั้งในเชิงรูปแบบ

มสธ มสธการเขียน แบบฟอร์มและภาษาท่ีใช้ว่าสอดคล้องกับบริบทที่เอกสารอ้างว่าถูกสร้างข้ึนหรือไม่12

การวพิ ากษ์ภายใน

การวิพากษ์ภายใน (internal criticism) คือการตีความเน้ือหาที่ปรากฏในหลักฐาน ซึ่งการวิพากษ์
ภายนอกน้ันเป็นเพียงขั้นต้นเพ่ือให้เรามั่นใจว่าผู้แต่ง เวลาและสถานท่ีของหลักฐานที่เราจะศึกษาน้ันมีความ
ถูกต้อง ขั้นต่อมาเราจึงพิจารณาส่ิงที่เน้ือหาในหลักฐานบอกแก่เรา การวิพากษ์ภายในน้ีอาจเรียกอีกอย่างหน่ึง

มสธว่าการวิพากษ์ข้อสนเทศ เพราะข้อสนเทศ (information) หมายถึงสิ่งที่หลักฐานบอกแก่เรา ซ่ึงจะเป็นข้อมูล

ส�ำหรับการวิเคราะห์ของเราอีกทีหน่ึง วิพากษ์ภายในก็แบ่งได้เป็นสองขั้นด้วยกันคือ การตีความหลักฐาน
เพื่อให้ความหมาย และการประเมินคุณค่าข้อสนเทศ

1. การตีความหลกั ฐาน
ตีความหลักฐาน คือ การท�ำความเข้าใจความหมายที่อยู่ในตัวหลักฐาน หรือการท�ำความเข้าใจตัว

มสธ มสธบทว่ามีความหมายอะไร ซึ่งกินความตั้งแต่การแปลตัวบทจากภาษาต่างประเทศ หรือรูปแบบ ส�ำนวนภาษาที่

ต่างจากยุคสมัยของเราให้เป็นที่เข้าใจ จนถึงการท�ำความใจความหมายที่แฝงไว้ในตัวบท ซึ่งผู้ศึกษาจ�ำเป็น
ต้องตีความด้วยความเป็นกลาง และต้องอาศัยความรู้ ทักษะและความช�ำนาญในการอ่าน เช่น ความรู้ทาง
ภาษา ความรู้พื้นฐานในเรื่องต่าง ๆ การสังเกตและเปรียบเทียบ ตลอดจนการต้ังค�ำถามกับสิ่งที่อ่าน
การตีความหลักฐานแบ่งได้เป็น 2 ระดับด้วยกัน คือ

11 นิธิ เอียวศรีวงศ์, และอาคม พัฒิยะ. อ้างแล้ว. น. 87-120.

มสธ12 John Tosh. Op.cit. pp. 124–126.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-19

1.1 การตคี วามเพอื่ ใหไ้ ดค้ วามหมายตามตวั อกั ษร หมายถึง การอ่านหลักฐานเพื่อให้ได้ความ

มสธเข้าใจว่าหลักฐานบอก หรือเล่าอะไรบ้าง กล่าวอีกนัยหน่ึงการตีความหมายตามตัวอักษรคือการตีความ

เพ่ือให้ได้ความหมายช้ันต้น ได้แก่ สาระที่ได้จากหลักฐานน้ันโดยตรง โดยท่ีเราจ�ำเป็นจะต้องมีความรู้ใน
เร่ืองความหมายของค�ำและโวหาร ท่ีอาจจะแตกต่างจากยุคสมัยของเรา จารีตในการเขียนและศัพท์เฉพาะ
บางอย่าง ตลอดจนต้องมีความรู้เกี่ยวกับบริบทโดยท่ัว ๆ ไปเกี่ยวกับเรื่องน้ัน จึงสามารถอ่านและตีความ

มสธ มสธเพ่ือท�ำความเข้าใจเน้ือหาในตัวหลักฐานได้อย่างถูกต้องได้
1.2 การตีความเพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริง เป็นการอ่านท่ีไม่เพียงต้องอ่านอย่างละเอียด
แต่ยังต้องอาศัยความรู้และทักษะของผู้ศึกษาเพราะเป็นการอ่านเพื่อหาความหมายเชิงลึก หรือเป็น
การหาความหมายที่แฝงไว้ในตัวหลักฐาน ไม่ได้บอกตรง ๆ อย่างเจตนารมณ์ของผู้เขียน และความหมาย
แฝงที่ไม่ได้มาจากความตั้งใจของผู้เขียน ได้แก่ สังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ท่ีฝังแฝงและสะท้อน
ออกมาในตัวหลักฐาน โดยให้ความส�ำคัญกับข้อสนเทศที่ผู้เขียนไม่ได้ต้ังใจเขียนขึ้น สิ่งเหล่านี้จะท�ำให้เรา

มสธเห็นร่องรอยของทัศนคติ สมมติฐานและรูปแบบการด�ำเนินชีวิตซึ่งเป็นท่ีน่าสนใจส�ำหรับนักประวัติศาสตร์
หลักฐานช้ินหน่ึงอาจมีประโยชน์ได้หลายทาง ขึ้นอยู่กับการต้ังค�ำถามของนักประวัติศาสตร์
ซึ่งบางค�ำถามอาจจะไม่เคยเกิดข้ึนในสมัยที่เอกสารได้ถูกสร้างขึ้น ซึ่งในแง่นี้การต้ังค�ำถามจึงมีความส�ำคัญ
อย่างมากต่อการศึกษา เพราะการศึกษาวิเคราะห์ของเรามักจะมาจากค�ำถามก่อนที่จะมาจากแหล่งข้อมูลของ

มสธ มสธการศึกษา ดั้งน้ันหลักฐานในเรื่องท่ีเราศึกษาอาจจะมีมากกว่าท่ีเราคาดไว้ก็เป็นไปได้
2. การประเมนิ คุณค่าข้อสนเทศ
การประเมินคุณค่าของข้อสนเทศ คือ การประเมินว่าเนื้อหาในหลักฐานมีความน่าเช่ือถือหรือไม่
สามารถจำ� แนกแยกแยะขอ้ สนเทศในหลกั ฐานว่าข้อสนเทศไหนจริง ไม่จริงหรือคลาดเคลอ่ื นไปจากความเปน็
จริง ซ่ึงการประเมินคุณค่านี้ไม่ใช่เพียงการตัดสินว่าข้อสนเทศนั้นจริงหรือเท็จเท่าน้ัน ท้ังนี้เพราะความจริง
มีความสลับซับซ้อน คุณค่าของข้อสนเทศจึงมีหลายเฉดหรือหลายระดับด้วยกัน ดังนั้นการประเมินคุณค่า

มสธของข้อสนเทศจึงเป็นการระบุความคลาดเคล่ือนไปจากความจริงการไม่บอกความจริงทั้งหมด ฟังเรื่องไม่จริง

มาจากคนอื่นแล้วเช่ือ-เล่าต่อ เข้าใจผิด อคติ ไปจนถึงการมีเจตนาบิดเบือนความจริง
การวิพากษ์ข้อสนเทศ เราพิจารณาข้อสนเทศในประเด็นดังต่อไปน้ี
1) ช่วงเวลา หลักการทั่วไปคือย่ิงเขียนใกล้กับเหตุการณ์ผู้เขียนหลักฐานก็จะย่ิงจ�ำ

รายละเอยี ดไดม้ าก แตถ่ า้ เวลาผา่ นไปนานเทา่ ไรกจ็ ะยงิ่ ลมื ไมส่ ามารถจดจำ� อารมณค์ วามรสู้ กึ และรายละเอยี ด

มสธ มสธของเหตุการณ์ และมีโอกาสที่การน�ำเสนอจะบิดเบือนไปจากความเป็นจริงได้มาก
2) ผู้เขียนหรือผู้สร้างหลักฐานอยู่ในสถานะท่ีจะเล่าเร่ืองราวที่เป็นจริงได้หรือไม่ และได้รับรู้
เรื่องราวมาจากแหล่งใด ด้วยตนเอง หรือรับรู้มาจากแหล่งอื่นอีกครั้งหนึ่ง

3) จดุ มงุ่ หมายของหลกั ฐานตอ้ งการทจี่ ะนำ� เสนอความจรงิ หรอื ไม่ หลกั การทว่ั ไปคอื เอกสาร
ทมี่ งุ่ ผอู้ า่ นจำ� นวนมากเทา่ ไร กย็ ง่ิ นา่ เชอื่ ถอื นอ้ ยลงเพยี งนนั้ และในทางกลบั กนั ยง่ิ มงุ่ ผอู้ า่ นนอ้ ยกย็ งิ่ นา่ เชอ่ื ถอื

4) การใช้หลักฐานภายใน หมายถึง การอ่านหลักฐานน้ันอย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อพิจารณา

มสธเน้ือความ ส�ำนวนภาษา โดยน�ำส่ิงนั้นเป็นตัววินิจฉัยความน่าเช่ือถือ

3-20 การวิเคราะห์การเมือง

5) การตรวจสอบกับหลักฐานจากแหล่งอื่น แม้ว่าเราอาจได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่าข้อสนเทศน้ี

มสธมีความน่าเชื่อถือ แต่เราก็ยังไม่ควรปักใจเช่ือ เป็นไปไม่ได้ท่ีเราจะสามารถพึ่งหลักฐานที่มีความเท่ียงตรง

น่าเชื่อถือเพียงชิ้นเดียว ทั้งนี้เพราะหลักฐานเกือบทุกชิ้นมีความคลาดเคล่ือน ไม่สมบูรณ์ ถูกบิดเบือนด้วย
อคตแิ ละผลประโยชนท์ งั้ สนิ้ ดงั นนั้ เราจำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งใชห้ ลกั ฐานจำ� นวนมากและหลากหลายประเภทประกอบ
เข้าด้วยกันจึงจะสามารถได้ข้อมูลที่เป็นจริงน่าเชื่อถือ และการมีหลักฐานจ�ำนวนมากนี้เองท�ำให้เราสามารถ

มสธ มสธตรวจสอบข้อสนเทศในหลักฐานต่าง ๆ13
หลงั จากศึกษาเนือ้ หาสาระเรอ่ื งที่ 3.2.2 แล้ว โปรดปฏิบตั ิกิจกรรม 3.2.2
ในแนวการศกึ ษาหน่วยที่ 3 ตอนที่ 3.2 เร่อื งท่ี 3.2.2
มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธ13JohnTosh.Ibid.pp.126–145,;,นิธิเอียวศรีวงศ์,และอาคมพัฒิยะ.อ้างแล้ว.น.127-161.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-21

มสธตอนที่ 3.3

แนวพินิจทางประวัติศาสตร์

มสธ มสธโปรดอ่านแผนการสอนประจ�ำตอนที่ 3.3 แล้วจึงศกึ ษาเนื้อหาสาระ พร้อมปฏิบตั ิกจิ กรรมในแตล่ ะเร่ือง
หัวเร่ือง
เร่ืองท่ี 3.3.1 ประวัติศาสตร์การเมือง
เรื่องท่ี 3.3.2 ประวัติศาสตร์จากเบื้องล่าง
เร่ืองท่ี 3.3.3 ประวัติศาสตร์ความคิดและความรู้สึกนึกคิด
มสธเร่ืองท่ี 3.3.4 ประวัติศาสตร์ระยะยาว
แนวคดิ
1. การวิพากษ์หลักฐานพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริง หรือข้อสนเทศท่ีมีความน่าเชื่อถือเป็นเพียงส่วน
หน่ึงของแนวคิดเกี่ยวกับสาขาวิชาประวัติศาสตร์เท่าน้ัน ล�ำพังข้อเท็จจริงหน่ึง ๆ อาจจะ
มสธ มสธยังไม่มีความหมายอะไรถ้าไม่ถูกน�ำมาเขียนเชิงพรรณนา หรือการเขียนในเชิงวิเคราะห์
เพื่ออธิบายหรือหาค�ำตอบเกี่ยวกับสาเหตุและผลของความเปล่ียนแปลงที่สัมพันธ์กับ
บริบททางประวัติศาสตร์ที่ใหญ่กว่าน้ันด้วย
2. การอธิบายทางประวัติศาสตร์ คือ การอธิบายหรือการเล่าถึงความเปล่ียนแปลง ว่าเกิด
อะไรขนึ้ เกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไรและทำ� ไมจงึ เกดิ เหตกุ ารณน์ นั้ ขนึ้ ซงึ่ การอธบิ ายดงั กลา่ วนหี้ วั ใจ
ส�ำคัญคือการอธิบายซ่ึงความเปล่ียนแปลง ที่ไม่เพียงแต่ในระดับของตัวเหตุการณ์และ
มสธรวมถึงความเปล่ียนแปลงในระดับท่ีมีความส�ำคัญต่อสังคมด้วย ดังน้ันความสัมพันธ์เชิง
เหตุและผลจึงมีในหลายระดับด้วยกัน
3. การอธิบายและวเิ คราะหค์ วามเปลยี่ นแปลง หรือการเกดิ ขึน้ ของเหตุการณ์ ในแนวคิดของ
ประวัติศาสตร์ สามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การเมืองได้หลายประการด้วย
กัน อย่างไรก็ตามการอธิบายและวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ยังสัมพันธ์กับกรอบแนวคิด
มสธ มสธมุมมอง ซึ่งในท่ีนี้จะเรียกว่า “แนวพินิจ” ท่ีแต่ละแนวก็มีค�ำถามและแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ใน
มสธการหาค�ำตอบท่ีแตกต่างกันไป

3-22 การวิเคราะห์การเมือง

มสธ มสธ มสธ4. ประวัติศาสตร์การเมือง คือ การศึกษาประวัติศาสตร์เก่ียวกับผู้น�ำและบุคคลส�ำคัญทาง
การเมอื ง สถาบนั และขบวนการทางการเมอื งและเหตกุ ารณส์ ำ� คญั ทางการเมอื ง แนวพนิ จิ นี้
มีจารีตท่ียาวนาน แต่ในปัจจุบันอาจแบ่งเป็น ประวัติศาสตร์การเมืองระดับบน เป็นแนว
การเขียนท่ีศึกษาในโครงสร้างทางการเมืองท่ีเป็นทางการ ได้แก่ บรรดานักการเมืองหรือ
บุคคลส�ำคัญทางการเมืองเป็นหลัก และประวัติศาสตร์การเมืองแนวใหม่ ท่ีศึกษา
ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งในมมุ กวา้ งออกไปโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การศกึ ษาเกยี่ วกบั วฒั นธรรม
มสธการเมือง
5. ประวัติศาสตร์จากเบื้องล่าง คือ แนวพินิจทางประวัติศาสตร์ท่ีมุ่งเน้นศึกษาเร่ืองของ
ขบวนการมวลชนและคนระดับล่างของสังคม โดยได้รับอิทธิพลอย่างส�ำคัญจากแนวคิด
มาร์กซิสต์ที่ต้องการอธิบายความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองในระดับกว้าง และให้
ความส�ำคัญแก่กลุ่มคนท่ีเป็นคนชายขอบและถูกกดขี่ที่ไม่เคยปรากฏในงานเขียนทาง

มสธ มสธประวัติศาสตร์แบบเดิมมาก่อน
6. ประวัติศาสตร์ความคิด และประวัติศาสตร์ความรู้สึกนึกคิด คือแนวพินิจทาง
ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เน้นศึกษาตัวเหตุการณ์ แต่เน้นเรื่องของความคิด ความรู้และ
โลกทัศน์ของมนุษย์ในมิติของเวลา การวิเคราะห์ในแนวทางท่ีอาจจะศึกษาผ่านตัวบทหรือ
ผลงานเขียนต่าง ๆ ภาษาและวาทกรรม วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ความคิดของฟูโกต์
เป็นแนวทางสำ� คัญท่ีจะเผยใหเ้ ห็นโครงขา่ ยของความรูแ้ ละอ�ำนาจท่ีดำ� รงอยใู่ นสังคม และ
มสธการศึกษาประวัติศาสตร์ความรู้สึกนึกคิดของส�ำนัก Annales school ท่ีพยายามศึกษา
ระบบสัญลักษณ์ท่ีเป็นตัวสร้างวิธีการมองโลกของคนในยุคสมัยต่าง ๆ
7. ประวัติศาสตร์ระยะยาว เป็นแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ที่เน้นการศึกษาประวัติศาสตร์
ในชว่ งระยะเวลาทยี่ าวนานเพอื่ ทำ� ความเขา้ ใจพฒั นาการหรอื ความเปลย่ี นแปลงของมนษุ ย์
และสังคม ตลอดจนความสัมพันธ์ในระดับท่ีลึกซึ้งระหว่างมนุษย์และสังคมกับบริบท
มสธ มสธแวดล้อมต่าง ๆ การศึกษาแบบนี้บุกเบิกโดย Braudel ที่ศึกษาทะเลเมดิเตอร์เรเนียนผ่าน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมและเหตุการณ์ใน
ช่วงระยะเวลาท่ียาวนาน การศึกษาประวัติศาสตร์ระยะยาวน้ีกลับมามีความส�ำคัญอีกคร้ัง
ในศตวรรษที่ 21 เพ่ือการท�ำความเข้าใจปรากฏการณ์ในโลกปัจจุบัน ความรู้ท่ีได้จากการ
ศกึ ษาประวตั ศิ าสตรใ์ นระยะยาวไดใ้ หม้ มุ มองเชงิ เปรยี บเทยี บและทางเลอื กในเชงิ นโยบาย
มสธต่อปัญหาใหญ่ ๆ ที่เราต้องเผชิญหน้าในปัจจุบัน

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-23

มสธ มสธ มสธวตั ถุประสงค์
เม่ือศึกษาตอนที่ 3.3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายแนวพินิจทางประวัติศาสตร์การเมืองได้
2. อธิบายแนวพินิจทางประวัติศาสตร์จากเบ้ืองล่างได้
3. อธิบายแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ความคิดและความรู้สึกนึกคิดได้

มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธ4. อธิบายแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ระยะยาวได้

3-24 การวิเคราะห์การเมือง

เร่ืองท่ี 3.3.1 ประวัติศาสตมร์การเสมือง ธประวัติศาสตร์การเมือง (Political history) คือ การศึกษาประวัติศาสตร์เก่ียวกับผู้น�ำและบุคคล
มสธ มสธส�ำคัญทางการเมือง สถาบันและขบวนการทางการเมืองและเหตุการณ์สำ� คัญทางการเมือง แนวพินิจดังกล่าว

น้ีมีจารีตการเขียนที่ยาวนาน ทั้งน้ีเนื่องจากการเขียนประวัติศาสตร์เป็นกิจกรรมทางปัญญาของชนช้ันสูง
ดังน้ันชนชั้นน�ำจึงมักเขียนเรื่องราวท่ีเก่ียวข้องกับโลกและกิจกรรมท่ีตนเองเห็นว่ามีความส�ำคัญ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งประวัติศาสตร์ได้ท�ำหน้าท่ีสั่งสอนศีลธรรมและเป็นบทเรียนทางการเมืองให้กับชนชั้นน�ำ นอกจากน้ี
ประวตั ศิ าสตรย์ งั ท�ำหน้าท่สี รา้ งความชอบธรรมทางการเมืองและวางแบบแผนจารตี ประเพณขี องการปกครอง
อกี ด้วย ดังเราจะพบการเขียนในลักษณะประวตั ศิ าสตร์การเมืองในสังคมกอ่ นสมยั ใหม่หลาย ๆ แหง่ ดว้ ยกัน

มสธที่ใกล้ตัว เช่น การเขียนประวัติศาสตร์แบบพงศาวดารท่ีเป็นเรื่องราวของราชวงศ์และพระราชกรณียกิจของ

กษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวเก่ียวกับสงคราม โดยไม่มีเรื่องราวเก่ียวกับสังคมและเศรษฐกิจ14
แม้กระทั่งในศตวรรษที่ 19 ที่ประวัติศาสตร์ได้กลายเป็นสาขาวิชา และมีระเบียบวิธีการศึกษาโดย

ได้รับอิทธิพลจากรังเกเป็นส�ำคัญ การให้ความส�ำคัญกับหลักฐาน การตรวจสอบหลักฐานและความถูกต้อง

มสธ มสธ(accuracy) ก็ย่ิงท�ำให้การเขียนประวัติศาสตร์เน้นหนักมาท่ีประวัติศาสตร์การเมืองเพราะมีหลักฐานที่เป็น

ลายลักษณ์อักษรจ�ำนวนมากและแหล่งจัดเก็บหลักฐานท่ีนักประวัติศาสตร์สามารถเข้าถึงได้อย่าง
หอจดหมายเหตุ (archive) ก็มักจะเป็นเอกสารเก่ียวกับการเมืองการปกครองหรือหนังสือราชการ
ประวัติศาสตร์ ก�ำเนิดของการเขียนประวัติศาสตร์แบบสมัยใหม่ของไทย ซ่ึงสมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชา-
นภุ าพ ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ บดิ าของประวตั ศิ าสตรไ์ ทยนน้ั กไ็ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากรงั เกและมอมเซน (Theodor
Mommsen, 1817-1903) การเขียนประวัติศาสตร์แบบจารีตถูกแทนที่ด้วยการเขียนประวัติศาสตร์สมัยใหม่

มสธที่เน้นความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริง แต่อย่างไรก็ตามหัวข้อท่ีถูกให้ความส�ำคัญในประวัติศาสตร์ก็ยังคงเน้น

ศึกษาบุคคลส�ำคัญทางการเมืองเช่นเดียวกับพระราชพงศาวดารอยู่เช่นเดิม โดยที่เหตุการณ์ส�ำคัญทาง
ประวตั ิศาสตรท์ ม่ี ักเป็นเรือ่ งการเมอื งการปกครองหรือสงครามกจ็ ะอธบิ ายดว้ ยการกระทำ� ของบคุ คล ในขณะ
ที่บริบทความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนบริบทในเชิงพ้ืนที่และเวลา อย่าง
ความเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นในภูมิภาคและความสนใจในเชิงพัฒนาการของสถาบันแทบจะไม่มีความส�ำคัญ

มสธ มสธในประวัติศาสตร์นิพนธ์ของพระองค์ ซึ่งแนวทางการศึกษาของพระองค์ก็จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเขียน

ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย จึงมีการขนานนามแนวการเขียนประวัติศาสตร์แบบนี้วิพากษ์วิจารณ์ว่า
ประวตั ศิ าสตร์ “สกลุ ด�ำรงราชานภุ าพ” ท่ีเนน้ การศึกษาบุคคลและเหตกุ ารณส์ �ำคญั ทางการเมอื ง โดยให้ความ
ส�ำคัญกับข้อเท็จจริงในรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าการศึกษาพัฒนาการ และท่ีส�ำคัญคือความเชื่อม่ันว่า

14 เดวดิ เค. วยั อาจ. “การเขยี นประวตั ศิ าสตรไ์ ทยแบบตำ� นานและพงศาวดาร.” ใน ชาญวทิ ย์ เกษตรศริ ิ และสชุ าติ สวสั ดศิ ร.ี

มสธ(บรรณาธิการ). (2527). ปรัชญาประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการต�ำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. น. 187-188.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-25

ประวัติศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ โดยไม่ได้ตระหนักว่าอคติของตนจะแสดงออกมาในงานเขียนของตนเอง

มสธทงั้ ๆ ทเี่ ปา้ หมายของประวตั ศิ าสตรใ์ นแนวทางนค้ี อื การรกั ชาติ หรอื ชาตนิ ยิ ม ซงึ่ กเ็ ปน็ อคตอิ ยา่ งหนงึ่ เชน่ กนั 15
ความนิยมของประวัติศาสตร์การเมืองในแวดวงการศึกษาประวัติศาสตร์เองและความแพร่หลาย
ผ่านการศึกษาสาธารณะและการสรา้ งความทรงจำ� ของสังคม ดังปรากฏในหลกั สตู ร แบบเรยี น อนสุ าวรยี ์และ
ส่ือสารมวลชน ท�ำให้ประวัติศาสตร์การเมืองเป็นภาพตัวแทนของส่ิงท่ีเรียกว่าประวัติศาสตร์ จึงเป็นท่ีเข้าใจ

มสธ มสธกันว่าประวัติศาสตร์คือเรื่องราวเก่ียวกับอาณาจักร ผู้ปกครอง กษัตริย์ ผู้น�ำการเมืองและเหตุการณ์ส�ำคัญ

ทางการเมืองในอดีต ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วทุก ๆ เรื่องต่างก็มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามหากมองแนวพินิจประวัติศาสตร์การเมืองในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ปัจจุบันก็จะ

พบว่ามีความแตกต่างจากช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 พอสมควรถึงแม้ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง
คือทศวรรษท่ี 1960 ถึงทศวรรษ 1970 ความนิยมในการศึกษาในแนวนี้จะลดความส�ำคัญไปบ้างเน่ืองจาก
การเกดิ ขน้ึ ของแนวพนิ จิ ใหม่ ๆ ในการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งประวตั ศิ าสตรส์ งั คมและวฒั นธรรม ตลอดจน

มสธการน�ำเอาทฤษฎีทางสังคมมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ ที่ในแง่หนึ่งก็ขยายขอบเขตของ

การศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองให้กว้างขวางออกไป โดยเราอาจจะแบ่งได้เป็นสองแนวคิดด้วยกันคือ
ประวัติศาสตร์ “การเมืองระดับบน” (high political history) และประวัติศาสตร์การเมืองแนวใหม่ (new
political history)

มสธ มสธประวัติศาสตร์การเมืองระดับบน เป็นแนวการเขียนที่ศึกษาในโครงสร้างทางการเมืองที่เป็นทางการ

ได้แก่ บรรดานักการเมืองหรือบุคคลส�ำคัญทางการเมืองเป็นหลัก โดยพิจารณาถึงแรงจูงใจ การกระท�ำและ
ผลกระทบของการกระท�ำ ตลอดจนกระบวนการออกกฎหมายและการปฏิบัติของนโยบายสาธารณะ แม้ว่า
แนวการเขยี นแบบนจ้ี ะเปน็ แนวคิดและแนวการเขยี นแบบดงั้ เดมิ ของประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง แตใ่ นระยะหลัง
ก็ยังให้ความส�ำคัญกับบริบทเชิงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมการเมืองด้วย

ประวัติศาสตร์การเมืองแนวใหม่มีแนวคิดและความสนใจต่อการเมืองท่ีต่างออกไป กล่าวคือไม่ได้

มสธมองการเมืองว่าอยู่แค่เพียงการเมืองอย่างเป็นทางการเพียงอย่างเดียว แต่มองสัมพันธ์กับสังคมในวงกว้าง

ออกไป ในแง่น้ปี ระวัตศิ าสตร์การเมืองแนวใหมเ่ ป็นผลมาจากอิทธิพลของแนวคิดและทฤษฎีสังคมอนื่ ๆ เชน่
เร่ืองชนชั้นหรือเพศสภาวะกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็เป็นอิทธิพลมาจากแนวคิดมาร์กซิสต์และสตรี
นิยมที่แพร่หลายในกลางศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ประวัติศาสตร์การเมืองแนวใหม่ยังมีประเด็นที่ต้องการ
ศึกษาท่ีต่างออกไปจากเดิมที่ให้ความสนใจกับการกระท�ำหรือเหตุการณ์ มาเป็นให้ความสนใจลักษณะของ

มสธ มสธระบบการเมืองในฐานะที่เป็นการแสดงออกของความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ และการให้ความสนใจกับวัฒนธรรม

และความคิดทางการเมือง16

15 นธิ ิ เอียวศรวี งศ.์ (2512). สมเดจ็ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพกบั อารโ์ นล์ด ทอยนบ์ ี. สงั คมศาสตรป์ รทิ ัศน์ 7, 1 (มิถนุ ายน-
สิงหาคม 2512). น. 24-34.

16 Susan Pederson. “What is Political History Now?”, in David Cannadine. (ed). (2003). What is History

มสธNow. Palgrave Macmillan. pp. 41-42.

3-26 การวิเคราะห์การเมือง
ในปัจจุบันเส้นแบ่งสองแนวคิดในการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองอาจจะไม่ชัดเจนเท่าไรนัก โดย

มสธเราอาจยกตัวอย่างการเขียนประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่ได้รับการยกย่องอย่างแพร่หลาย เช่น งานของ

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประวัติการเมืองไทย (2538) และธ�ำรงศักด์ิ เพชรเลิศอนันต์ 2475 และ 1 ปี
หลังการปฏิวัติ (2543) แม้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับบุคคลและเหตุการณ์ส�ำคัญทางการเมืองก็ให้ความส�ำคัญกับ
บริบททางประวัติศาสตร์ท่ีใหญ่ออกไป หรือ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ แผนชิงชาติไทย (2534) ที่ศึกษาการเมือง

มสธ มสธในช่วงพุทธทศวรรษ 2490 ก็ได้ศึกษาการเคลื่อนไหวทางการเมืองท่ีกว้างไปกว่าการเมืองในระบบ อย่าง

ขบวนการสังคมนิยมเข้าไปด้วย นอกจากนี้ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ความคิด ความรู้และอ�ำนาจการเมือง
ในการปฏิวัติสยาม 2475 (2534) ก็ให้ความส�ำคัญกับความคิดหรือประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของคนกลุ่ม
ต่าง ๆ ในเหตุการณ์การเปล่ียนแปลงการปกครองด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีงานเขียนประวัติศาสตร์การเมือง
แนวใหม่ช้ินส�ำคัญ ที่ได้น�ำเอาทฤษฎีสังคมร่วมสมัยมาศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยและได้รับอิทธิพล
อย่างส�ำคัญจากเบเนดิก แอนเดอร์สัน นักวิชาการที่ถือว่ามีความส�ำคัญอย่างมากในการศึกษาเกี่ยวกับลัทธิ

มสธชาตินิยม คืองานของเกษียร เตชะพีระ Commodifying Marxism: The Formation of Modern Thai

Radical Culture, 1927-1958 (2001) ได้ศึกษาก�ำเนิดวัฒนธรรมการเมืองของฝ่ายซ้ายไทย จากการน�ำเข้า
แนวคดิ สงั คมนยิ มคอมมวิ นสิ ตข์ องลกู จนี สกู่ ระบวนการทำ� ใหเ้ ปน็ ไทยผา่ นสงิ่ พมิ พใ์ นชว่ งพทุ ธทศวรรษ 2490
และงานของธงชัย วินิจจะกูล ก�ำเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ (2556) ที่ท�ำให้เห็นว่า
ความรู้และเทคโนโลยีแผนท่ีสมัยใหม่ท่ีเกิดข้ึนจากการเผชิญหน้ากับเจ้าอาณานิคมในช่วงปลายศตวรรษท่ี

มสธ มสธ19 ได้ก่อก�ำเนิดความเป็นรัฐสมัยใหม่ที่มีพรมแดนและความคิดเร่ืองอธิปไตยเหนือดินแดน และส�ำนึก

ตัวตนที่มาจากแผนท่ีนี้ได้กลายเป็นส่วนส�ำคัญของความเป็นชาติและลัทธิชาตินิยมไทยในเวลาต่อมา
การใช้แนวพินิจประวตั ศิ าสตร์การเมืองจึงตอ้ งใหค้ วามส�ำคัญกบั ใชเ้ อกสารหลักฐานจำ� นวนมากและ

หลากหลาย การวิพากษ์หลักฐานอย่างละเอียดลออเพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระท�ำของบุคคล และ
วิเคราะห์ถึงเหตุและผลในระดับเฉพาะหน้า โดยพิจารณาสาเหตุเชิงปัจจัยในแง่มุมของอิทธิพลของความคิด
หรือวัฒนธรรมการเมืองที่มีต่อชนช้ันน�ำทางการเมืองและการเคลื่อนไหวทางการเมือง และไม่ควรมองข้าม

มสธไปคือพลังเศรษฐกิจและสังคมท่ีก่อตัวเป็นบริบทหรือสภาพแวดล้อมก็ท่ีมีผลต่อปัจเจกชนหรือสถาบันทาง

การเมืองที่เราศึกษาด้วย นอกจากน้ีมุมมองในเชิงเปรียบเทียบภายใต้บริบทโลกก็ดูจะเป็นประโยชน์ต่อ
การวิเคราะห์การเมือง เนื่องจากในการท�ำความเข้าใจโครงสร้างทางการเมือง หรือสถาบันทางการเมืองก็ดี
จะให้เห็นอย่างชัดเจนน้ันก็ต่อเม่ือเรามองอย่างเปรียบเทียบ เช่น การมองเปรียบเทียบระหว่างการปฏิรูป
ของราชวงศ์จักรีและการปฏิรูปเมจิในช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 เราก็จะเห็นถึงขนาดและระดับของ

มสธ มสธความเปล่ยี นแปลงที่แตกตา่ งกันอยา่ งมากซึ่งกจ็ ะทำ� ให้เหน็ ถึงความหมายหรือลักษณะทแ่ี ทจ้ ริงของการปฏิรปู

การปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าเป็นการปฏิรูปเพ่ือสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากกว่าท่ีจะเป็นรัฐ
ประชาชาติ17

หลงั จากศึกษาเนอ้ื หาสาระเร่อื งท่ี 3.3.1 แลว้ โปรดปฏิบตั กิ ิจกรรม 3.3.1
ในแนวการศกึ ษาหนว่ ยที่ 3 ตอนที่ 3.3 เร่ืองท่ี 3.3.1

มสธ17 เบเนดกิ แอนเดอรส์ นั . (2546). ศกึ ษารฐั ไทย วพิ ากษไ์ ทยศกึ ษา. ฟา้ เดยี วกนั 1, 3 (กรกฎาคม-กนั ยายน, 2546) น. 110-112.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-27

เรือ่ งที่ 3.3.2 ประวตั ศิ าสตมรจ์ ากเสบือ้ งลธ่างประวัติศาสตร์จากเบื้องล่าง (History from below) คือแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ที่มุ่งเน้นศึกษา
มสธ มสธเรื่องของขบวนการมวลชนและคนระดับล่างของสังคมที่มักไม่ถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์นิพนธ์แนวอ่ืน ๆ

แนวพินิจประวัติศาสตร์การเมือง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์การเมืองแบบดั้งเดิมท่ีเน้นการเมืองระดับบน
(high politics) แม้ว่าจะพยายามที่จะขยายกรอบการอธิบายให้ครอบคลุมพลังทางสังคมอ่ืน ๆ ในฐานะ
บริบททางประวัติศาสตร์ท่ีมีอิทธิพลต่อโลกทางการเมืองแล้วก็ตาม แต่ด้วยเง่ือนไขในเชิงหัวข้อท่ีมุ่งศึกษา
ผู้น�ำและขบวนการทางการเมืองจึงเป็นตัวจ�ำกัดที่ท�ำให้บุคคลธรรมดาสามัญและเรื่องราวของพวกเขาไม่ถูก
ให้ความส�ำคัญข้ึนมา ดังน้ันการศึกษาเร่ืองราวเก่ียวกับคนธรรมดาสามัญจ�ำนวนมากจึงเป็นโจทย์ส�ำคัญ

มสธอันหน่ึง ค�ำว่า “ประวัติศาสตร์สังคม” (social history) จึงถือก�ำเนิดข้ึนเพื่อบ่งบอกถึงแนวการศึกษาท่ีต่าง

จากประวัติศาสตร์การเมืองท่ีศึกษาผู้น�ำทางการเมืองและประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาท่ีศึกษาความคิดที่ส�ำคัญ
ของสังคม แม้ว่านักประวัติศาสตร์สังคม G.M. Trevelyan (1876-1962) จะนิยามประวัติศาสตร์สังคมว่า
คือ ประวัติศาสตร์ท่ีไม่มีเรื่องการเมือง (“history with the politics left out”) แต่พัฒนาการของ

มสธ มสธประวตั ศิ าสตรน์ พิ นธใ์ นระยะหลงั กท็ ำ� ใหป้ ระวตั ศิ าสตรส์ งั คมมคี วามหลากหลายและเชอื่ มโยงกบั การใชก้ รอบ

แนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ จนกลายเป็นแนวการเขียนทางประวัติศาสตร์หนึ่งท่ีมีความส�ำคัญในปัจจุบัน18
การศึกษาประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดท่ีไม่จ�ำกัดเฉพาะกลุ่มชนช้ันน�ำทางการเมืองนี้ แนวคิด

มาร์กซิสต์ดูจะมีอิทธิพลอย่างมาก เพราะได้มอบกรอบการวิเคราะห์ให้กับประวัติศาสตร์ที่แม้ว่าในปัจจุบัน
การเมืองแบบมาร์กซิสต์จะเส่ือมคลายพลังไปมากก็ตาม แต่แนวการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงทาง
ประวัติศาสตร์หลายประการก็ยังคงเป็นที่ยอมรับ ประยุกต์ใช้และเป็นท่ีถกเถียงกันอยู่จนทุกวันน้ี

มสธมารก์ ซม์ องประวตั ศิ าสตรว์ า่ เปน็ เรอ่ื งของการขยายตวั ของพลงั การผลติ เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการ

ของมนุษย์ เศรษฐกิจหรือเรื่องปากท้องจึงเป็นพลังท่ีส�ำคัญท่ีสุดของประวัติศาสตร์ ดังนั้นเราจึงเรียกแนวคิด
ทางประวัติศาสตร์ของมาร์กซ์ว่า “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์” มาร์กซ์มองว่าสังคมประกอบไปด้วยโครงสร้าง
สามระดับด้วยกัน ระดับพื้นฐานสุด คือ พลังการผลิต ท่ีได้แก่ เคร่ืองมือ เทคโนโลยี และวัตถุดิบ ขั้นต่อมา
คือ ความสัมพันธ์การผลิต คือ การแบ่งงานกันท�ำในสังคมและรูปแบบการร่วมมือและการบังคับบัญชาเพื่อ

มสธ มสธท�ำการผลิต สองส่วนน้ีถือว่าเป็นส่วนฐานให้แก่ส่วนท่ีสามคือโครงสร้างส่วนบน อันได้แก่ ระบบกฎหมาย

สถาบันทางการเมืองและอุดมการณ์ที่สนับสนุนสิ่งดังกล่าว

18 David Cannadine. (March, 1985). “What is Social history.” History Today 35:3 Retrieved from http://

มสธwww.historytoday.com/raphael-samuel/what-social-history.

3-28 การวิเคราะห์การเมือง

แนวคิดของมาร์กซ์ถูกมองว่าเป็นตัวแบบที่แข็งท่ือหรือเป็นสูตรส�ำเร็จท่ีก�ำหนดความเปลี่ยนแปลง

มสธทางประวัติศาสตร์ท้ังหมดภายใต้กฎเกณฑ์หรือโครงสร้างอันน้ี อย่างไรก็ตามจากข้อเขียนของมาร์กซ์เองก็ชี้

ใหเ้ ห็นส่ิงท่ีเปน็ ความสร้างสรรคข์ องมนษุ ยท์ ี่นำ� ไปสกู่ ารสรา้ งเทคโนลยี ที ี่พัฒนาพลังการผลิต หรือการยอมรบั
ถึงอิทธิพลท่ีมีต่อกันระหว่างโครงสร้างส่วนบน พลังการผลิตและความสัมพันธ์ทางการผลิต ไม่จ�ำเป็นท่ี
โครงสรา้ งสว่ นบนจะถกู กำ� หนดการความสมั พนั ธท์ างการผลติ เพยี งถา่ ยเดยี ว และกจิ กรรมนอกภาคเศรษฐกจิ

มสธ มสธไม่จ�ำเป็นจะต้องถูกก�ำหนดจากฐานทางเศรษฐกิจเสมอไป โครงสร้างส่วนบนอาจมีพลวัตของตัวมันเองก็ได้
จุดเด่นของความคิดของมาร์กซ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์คือการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ท่ี
สัมพันธ์กับความก้าวหน้าของพลังการผลิต ได้แก่ สังคมโบราณ ศักดินา และทุนนิยม โดยในความ
เปลี่ยนแปลงแต่ละขั้น เกิดข้ึนเมื่อพลังการผลิตของสังคมขัดแย้งกับความสัมพันธ์ทางการผลิตท่ีด�ำรงอยู่
เม่ือความขัดแย้งน้ีมาจนถึงขีดสุดก็น�ำไปสู่การปฏิวัติทางสังคมที่ปลดปล่อยพลังการผลิตที่ก้าวหน้ากว่าและ
เปล่ียนแปลงโครงสร้างส่วนบนทั้งหมด ซึ่งความขัดแย้ง หรือ “วิภาษวิธี” ระหว่างพลังการผลิตและความ

มสธสัมพันธ์ทางการผลิตเป็นตัวก�ำหนดความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในระยะยาว
ความขัดแย้งทางชนชั้น คือการอธิบายแนวคิดความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ท่ีเป็นรูปธรรม
มาร์กซ์ได้นิยามชนชั้นจากบทบาทในกระบวนการผลิต ซึ่งในแต่ละวิถีการผลิตของสังคม ต้ังแต่สังคมโบราณ
มีการแบ่งงานกันท�ำและเกิดเป็นชนชั้นต่าง ๆ ท่ีผลประโยชน์ต่างขัดแย้งกันอย่างแท้จริง ซ่ึงความขัดแย้งนี้

มสธ มสธจะน�ำไปสู่การปฏิวัติ ที่ชนชั้นหน่ึงโค่นล้มอีกชนชั้นหน่ึง แนวคิดเร่ืองชนชั้นยังมีความหมายถึงการเป็น

ตัวกระท�ำการของมนุษย์ในประวัติศาสตร์ด้วย แม้ว่าการเกิดข้ึนของชนช้ันจะมาจากเรื่องเศรษฐกิจ แต่การท่ี
ชนช้ันหนึ่งจะโค่นล้มอีกชนช้ันหน่ึงสมาชิกของชนช้ันน้ันจะต้องมีจิตส�ำนึกทางชนช้ันด้วย จุดหมายปลายทาง
ของการเปลี่ยนแปลงระยะยาวท่ีข้ึนกับวิภาษวิธีระหว่างพลังการผลิตและความสัมพันธ์การผลิต แต่ช่วงเวลา
และรูปแบบท่ีแน่นอนของการเปลี่ยนผ่านจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกข้ึนหน่ึงได้นั้นจะข้ึนอยู่กับการตระหนักรู้และ
ความสามารถของการกระท�ำของมนุษย์ที่มีมาจากการจิตส�ำนึกทางชนช้ันนี้19

มสธแนวคิดมาร์กซิสต์มีอิทธิพลต่อการเขียนประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่ให้มุมมองที่ให้ความส�ำคัญต่อ

ชนชั้นล่าง ผู้ถูกกดขี่ในสังคม ยังให้กรอบแนวคิดและทฤษฎีในการอธิบายความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น
ประวัติศาสตร์ ได้แก่ “ชนช้ัน” หรือกลุ่มทางสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างคนจ�ำนวนมากกับระบบเศรษฐกิจ
ทมี่ คี วามเปลยี่ นแปลงในชว่ งระยะเวลาทางประวตั ศิ าสตร์ ซงึ่ นกั ประวตั ศิ าสตรอ์ งั กฤษทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลแนวคดิ
น้ีได้แก่ Christopher Hill, Eric Hobsbawn, Dorothy Thompson และ E.P. Thompson ซ่ึงคนหลัง

มสธ มสธเป็นคนที่ท�ำให้ค�ำว่า “ประวัติศาสตร์จากเบื้องล่าง” เป็นที่นิยมขึ้นมา นักประวัติศาสตร์กลุ่มน้ีพยายามที่จะ

การสร้างค�ำอธิบายประวัติศาสตร์จากมุมมองของคนธรรมดาสามัญ โดยเฉพาะกลุ่มคนท่ีเป็นผู้เสียเปรียบ
กดขี่หรือคนยากคนจน

ตัวอย่างที่ส�ำคัญของประวัติศาสตร์จากเบื้องล่างคืองานศึกษาของ อี.พี. ทอมป์สัน (E.P. Thomp-
son, 1927-1993) เรื่อง The Making of the English Working Class (1963) ที่ศึกษาการก�ำเนิดขึ้นของ

มสธ19 John Tosh. Op.cit. pp. 226-234.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-29

ชนชน้ั ผใู้ ชแ้ รงงานองั กฤษ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรข์ องผใู้ ชแ้ รงงานของเขาไมไ่ ดศ้ กึ ษาผา่ นสถาบนั หรอื องคก์ ร

มสธอย่างสภาพแรงงาน แต่เป็นชนช้ันผู้ใช้แรงงานอังกฤษท้ังหมด โดยต้องการศึกษาว่าจิตส�ำนึกทางชนช้ันตาม

กรอบแนวคิดของมาร์กซิสต์เกิดขึ้นได้อย่างไร เขาได้เร่ิมต้นจากจารีตเดิมของชนช้ันผู้ใช้แรงงานอังกฤษ
ที่ติดตัวมาต้ังแต่ก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม อันได้แก่ ส�ำนึกขบถท่ีมาจากพวกเมโทดิสต์ (Methodism)
แนวคิดเรื่องความยุติธรรมของมวลชนหรือ “กฎหมู่” และแนวคิดเก่ียวกับสิทธิโดยก�ำเนิดของชาวอังกฤษ

มสธ มสธไดแ้ ก่ การรบั รองสทิ ธติ า่ ง ๆ ตามกฎหมายและสทิ ธใิ นการแสดงออกอยา่ งเสรี การตอบสนองของผใู้ ชแ้ รงงาน

ที่มีประสบการณ์ร่วมกันต่อสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาที่ตกต�่ำลงและการปราบปรามทางการเมือง สังคม
และศาสนาท่ีมากข้ึนในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้พัฒนากลายเป็นจิตส�ำนึกทางชนช้ัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์
ทางประวัติศาสตร์ท่ีเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของมนุษย์ และความเป็นชนชั้นน้ีไม่ได้เกิดข้ึนโดยอัตโนมัติ
แต่มาจากการท่ีปัจเจกชนจ�ำนวนมากมีประสบการณ์ร่วมกันและน�ำเอาจารีตเดิมของพวกเขาเข้ามาหลอมรวม
เข้าสู่การเป็นชนชั้น20

มสธการศึกษาของทอมป์สันได้รับการยกย่องว่ามีความเข้าอกเข้าใจหัวข้อท่ีตนเองศึกษา มีการค้นคว้า

วิเคราะห์และเรียบเรียงเป็นอย่างดี แนวการศึกษาของเขาจึงส่งอิทธิพลไม่เพียงแต่ในสาขาวิชาประวัติศาสตร์
แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมศึกษา มานุษยวิทยาและสังคมวิทยาด้วย การศึกษาในแนวทางนี้ที่ส�ำคัญกลุ่มหน่ึง
ก็ยังได้รับอิทธิพลมาจากประวัติศาสตร์จากเบื้องล่างของทอม์ปสัน คือ งานศึกษาผู้อยู่ในสถานะรอง

มสธ มสธ(Subaltern Studies) เริ่มต้นในอินเดียในทศวรรษ 1980 โดยมี รณชิต คูฮา (Ranajit Guha, 1923) เป็น

ผู้บุกเบิกคนส�ำคัญ แนวคิดหลักของการศึกษาผู้อยู่ในสถานะรองคือการวิพากษ์ประวัติศาสตร์กระแสหลัก
ท้ังประวัติศาสตร์แบบจักรวรรดินิยมและประวัติศาสตร์ชาตินิยม ว่าเป็นประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบชนช้ันน�ำ
เพราะท่ีทางของชาวนาในประวัติศาสตร์ไม่ถูกให้ความส�ำคัญ ถูกมองว่าโง่เขลาในประวัติศาสตร์แบบ
อาณานิคม หรือแม้ว่าจะได้รับการยกย่องเชิดชูในประวัติศาสตร์ชาตินิยม แต่การลุกขึ้นสู้ของชาวนาก็ถูก
อธิบายว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาต่อความเปลี่ยนแปลงท่ีไม่มีอุดมการณ์หรือแนวคิดทางการเมืองแบบขบวนการ

มสธชาตินิยมท่ีจะมีบทบาทในการสร้างชาติในเวลาต่อมา ดังนั้นงานในกลุ่มน้ีจึงพยายามที่จะอธิบายและเปล่ียน

มุมมองทางประวัติศาสตร์การเคล่ือนไหวของชาวนาหรือผู้อยู่ในสถานะรองนี้ใหม่และมีความหมายในตัว
มันเอง21

แนวพินิจแบบประวัติศาสตร์จากเบื้องล่างไม่เพียงแต่จะมีความส�ำคัญในเชิงประเด็นในการศึกษาท่ี
ศึกษาคนจ�ำนวนมาก โดยเฉพาะคนจ�ำนวนมากในสังคม ประวัติศาสตร์สังคมและโดยเฉพาะประวัติศาสตร์

มสธ มสธจากเบื้องล่างยังเป็นตัวเปิดโอกาสให้ในเวลาต่อมาเกิดแนวการเขียนทางประวัติศาสตร์ในหัวข้อท่ีไม่เคยถูก

ให้ความส�ำคัญมาก่อนอย่างประวัติศาสตร์คนด�ำ (Black History) ประวัติศาสตร์ผู้หญิง ประวัติศาสตร์
คนรักร่วมเพศ ซ่ึงในแง่น้ีการวิเคราะห์การเมืองก็อาจหมายถึงการศึกษาประชาชนทั่วไปท่ีไม่ใช่นักการเมือง

20 Marnie Hughes-Warrington. (2008). Fifty Key Thinkers on History. London and New York: Routledge.
pp. 349–350.

21 สงิ ห์ สวุ รรณกจิ . (2558). “งานศกึ ษาผอู้ ยใู่ นสถานะรอง : ทบทวนประวตั ศิ าสตรน์ พิ นธ์ และมวลชนผเู้ คลอื่ นไหว,” วารสาร

มสธสังคมศาสตร์: วารสารทางวิชาการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 27,1 (มกราคม–มิถุนายน, 2558). p. 149-189.

3-30 การวิเคราะห์การเมือง

และขบวนการทางการเมืองท่ีไม่ใช่สถาบันการเมืองในระบบ โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของคนท่ีไม่ได้มี

มสธอ�ำนาจอิทธิพลหรือเป็นคนชายขอบ
แต่ประวัติศาสตร์จากเบื้องล่างยังมีความส�ำคัญในเชิงกรอบคิดทฤษฎีในการศึกษาที่แม้ว่าจะใช้หรือ
ไม่ใช้แนวคิดมาร์กซิสต์ในการอธิบายก็ตาม การตระหนักว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมีผลต่อวิธีการมอง
โลกของคน อันสัมพันธ์หรือน�ำไปสู่การกระท�ำของบุคคลก็เป็นท่ียอมรับโดยท่ัวไป นอกจากนี้ ยังรวมถึงการ

มสธ มสธให้ความสนใจ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของประชาชนโดยทั่วไปด้วย ในแง่นี้ประวัติศาสตร์จาก

เบื้องล่างอาจหยิบยืมเอาทฤษฎีทางสังคมวิทยาและมนุษยวิทยามาใช้ในการอธิบายแบบแผนทางพฤติกรรม
ชีวิตประจ�ำวันและการให้ความหมายต่อพื้นท่ีทางสังคมโดยให้ความส�ำคัญกับค�ำถามเกี่ยวกับความ
เปล่ียนแปลงของสิ่งดังกล่าวในมิติของกาลว่าเวลาว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและเพราะเหตุใด

หลงั จากศกึ ษาเน้ือหาสาระเร่อื งท่ี 3.3.2 แลว้ โปรดปฏิบัติกจิ กรรม 3.3.2

มสธในแนวการศึกษาหนว่ ยที่ 3 ตอนที่ 3.3 เร่ืองท่ี 3.3.2
มสธ มสธเร่ืองที่ 3.3.3 ประวตั ศิ าสตร์ความคิดและความรู้สกึ นกึ คิด

ประวัติศาสตร์ความคิด (History of ideas) และประวัติศาสตร์ความรู้สึกนึกคิด (history of
mentalities) คือแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เน้นศึกษาตัวเหตุการณ์ แต่เน้นเรื่องของความคิด ความ
รู้และโลกทัศน์ของมนุษย์ในมิติของเวลา โดยมีแนวคิดพ้ืนฐานท่ีว่ามนุษย์ในยุคสมัยต่าง ๆ กันมีวิธีการมอง

มสธโลกและเข้าใจโลกที่แตกต่างกัน ดังน้ันในการศึกษาในแนวทางน้ีจึงศึกษาความคิดภายใต้บริบททาง

ประวัติศาสตร์และภายใต้ความสัมพันธ์กับความคิดอื่น ๆ ด้วย
ประวัติศาสตร์ความคิดและความรู้สึกนึกคิดน้ีอาจจัดอยู่ในส่ิงท่ีเรียกว่าประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา

(Intellectual history) ท่ีแต่เดิมให้ความส�ำคัญกับการศึกษาความคิดผ่านตัวบท (text) ส�ำคัญ ๆ ที่สะท้อน
ความคดิ ทย่ี ง่ิ ใหญข่ องปญั ญาชน นกั คดิ คนสำ� คญั ทจ่ี ะเผยใหเ้ หน็ ความกา้ วหนา้ หรอื ความเขา้ ใจโลกทมี่ ากขน้ึ

มสธ มสธและสะท้อนความเปล่ียนแปลงของความคิดที่มีอิทธิพลในสังคมของยุคสมัยต่าง ๆ ทั้งน้ีเช่นเดียวกับ

พัฒนาการของสาขาวิชาประวัติศาสตร์และแนวพินิจอื่น ๆ ที่ประวัติศาสตร์จ�ำต้องให้ความส�ำคัญกับบริบท
การศึกษาประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาก็เช่นกัน ก็พยายามศึกษาท�ำความเข้าใจความคิดหรือการสร้างสรรค์ทาง
ปัญญาภายใต้บริบททางการเมือง วัฒนธรรมและสังคม ตลอดจนภายใต้บริบททางความรู้หรือภูมิปัญญาใน
ยุคสมัยในเองด้วย ซึ่งการศึกษาในลักษณะน้ีท่ีมีความส�ำคัญอย่างมากในไทยคืองานของนิธิ เอียวศรีวงศ์
เร่ือง ปากไก่และใบเรือ (2527) ท่ีได้ศึกษาวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ว่ามีลักษณะที่แตกต่างจากยุคสมัย

มสธก่อนหน้าอันสะท้อนความคิดของชนชั้นน�ำที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยอยุธยา คือมีลักษณะท่ีเป็นมนุษยนิยม

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-31

และเป็นเหตุเป็นผลมากข้ึน รวมถึงจารีตของการอ่านวรรณกรรมเพ่ือความบันเทิงก็สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะ

มสธของวฒั นธรรมกระฎมุ พที เ่ี กดิ ขนึ้ ในหมชู่ นชน้ั นำ� ทก่ี รงุ เทพฯ ทง้ั นก้ี ารเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรมและความคดิ

ของชนช้ันน�ำเหล่าน้ันมาจากเศรษฐกิจการค้า โดยเฉพาะการค้าข้าวท่ีเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาดังกล่าว
เน่ืองจากตัวบทและภาษาเป็นส่วนส�ำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ความคิด แนวคิดทางปรัชญา

ท่ีหันมาให้ความส�ำคัญแก่ภาษาโดยตัวมันเอง (linguistic turn) เพราะแต่เดิมภาษาถูกมองว่าเป็นเพียง

มสธ มสธสื่อกลางที่จะสะท้อนความจริงของโลกภายนอกได้อย่างเป็นอิสระ แต่แท้จริงแล้วภาษาคือส่ิงท่ีประกอบสร้าง

ความเป็นจริงหรือโลกภายนอกให้แก่เราต่างหาก ซึ่งการให้ความส�ำคัญกับภาษาในแง่นี้ส่งผลให้การศึกษา
ประวัติศาสตร์ความคิด ท่ีอาจจะมองภาษาต้ังแต่ในระดับที่เป็นทรัพยากรให้ผู้พูดได้เลือกใช้ ไปจนกระทั่ง
มองว่าภาษาต่างหากท่ีอยู่เบื้องหลังเราและเป็นสิ่งที่ท�ำให้เราเข้าใจและสามารถกระท�ำการต่าง ๆ ต่อโลก
ภายนอกได้ ซ่ึงในแง่น้ีภาษาเป็นอิสระ อยู่นอกเหนือการบังคับของเราและภาษาต่างหากที่เป็นตัวบังคับเรา

ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1929-1984) เป็นนักประวัติศาสตร์ความคิดคนส�ำคัญท่ีให้ความส�ำคัญ

มสธกับภาษาและตั้งค�ำถามเกี่ยวกับความเป็นผู้กระท�ำการ (agency) ของมนุษย์ ประวัติศาสตร์ความคิดของ

ฟูโกต์เป็นเร่ืองของชุดวาทกรรม (discourse) หรือค�ำพูดที่มีกฎเกณฑ์ของมันเองที่เป็นตัวก�ำหนดว่าเราจะ
พดู อะไรและใครเปน็ ผพู้ ดู การอา่ นตวั บทเพอื่ ศกึ ษาประวตั ศิ าสตรค์ วามคดิ แบบฟโู กตน์ ้ี ผแู้ ตง่ ไมใ่ ชศ่ นู ยก์ ลาง
ของการวิเคราะห์ แต่เป็นตัวบทท่ีเป็นอิสระจากเจตนาของผู้แต่ง22

มสธ มสธฟูโกต์เขียนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโรงพยาบาล สถาบันจิตเวชและทัณฑสถาน ซึ่งเป็นสถาบันท่ีใช้

ความรู้สมัยใหม่ในการจัดการกับคนท่ีถูกนิยามว่าเบี่ยงเบนจากปทัสถาน วิธีการที่เขาใช้ศึกษาน้ันอิทธิพล
อยา่ งสำ� คญั ไมเ่ พยี งแตป่ ระวตั ศิ าสตรท์ างความคดิ แตย่ งั รวมถงึ แงม่ มุ อน่ื ๆ ในทางสงั คมและการเมอื งรว่ มสมยั
ได้อีกด้วย เพราะความคิดหรือ “ความรู”้ ที่ด�ำรงอยู่ในสังคมนั้นแยกไม่ออกกับอ�ำนาจ วิธีการที่จะเผยให้เห็น
ถึงสิ่งดังกล่าว ฟูโกต์ ใช้วิธีการที่เรียกว่า วิธีการโบราณคดี (Archaeology) และวงศาวิทยา (Genealogy)
ซึ่งท้ังสองแนวคิดน้ีมีความสัมพันธ์กัน

มสธแนวคิดเรื่องวิธีการโบราณคดีของเขาได้สรุปรวบยอดในหนังสือเรื่อง The Archaeology of

Knowledge ถือว่าระบบความคิดและความรู้ต่าง ๆ (Episteme หรือ Discursive formation) ถูกก�ำหนด
โดยกฎเกณฑ์บางอย่าง ซ่ึงท�ำงานอยู่เบ้ืองหลังจิตส�ำนึกขององค์ประธาน (subject) และเป็นตัวสร้างระบบ
ของความเป็นไปได้ของมโนทัศน์ ท่ีเป็นตัวก�ำหนดความคิดให้อยู่ในขอบเขตเชิงพ้ืนที่และช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ดัง
ตัวอย่างใน History of Madness ที่เขาได้ “ขุดค้น” ทางปัญญาผ่านการอ่านหลักฐานหรือตัวบทร่วมสมัย

มสธ มสธจนท�ำให้เห็นถึงการก่อตัวทางวาทกรรมท่ีเป็นตัวก�ำหนดการพูดหรือความคิดเก่ียวความบ้าในศตวรรษที่ 17-

19 ซึ่งแตกต่างจากยุคสมัยของเราอย่างมาก
วิธีการโบราณคดีของฟูโกต์น้ีท�ำให้เราสามารถเขียนประวัติศาสตร์ที่ไม่ขึ้นกับจิตส�ำนึกหรือเจตนา

ขององค์ประธานท่ีเป็นปัจเจกได้ ท�ำให้นักประวัติศาสตร์สามารถศึกษาลึกลงไปกว่าเจตจ�ำนงของตัวบุคคล
หนึ่ง ๆ ได้ แต่อย่างไรก็ตามข้อจ�ำกัดของวิธีการนี้อยู่ท่ีการท�ำให้เห็นเพียงการก่อตัวทางวาทกรรมในช่วงเวลา

22 Annabel Brett. “What is Intellectual History Now?,” in David Cannadine. (ed.). (2002). What is History

มสธNow?. Palgrave Macmillan. pp. 120-121.

3-32 การวิเคราะห์การเมือง

หนงึ่ ๆ โดยไมไ่ ดก้ ลา่ วถงึ สาเหตขุ องความเปลย่ี นแปลงจากแบบหนงึ่ ไปสอู่ กี แบบหนง่ึ และไมไ่ ดใ้ หค้ วามสำ� คญั

มสธกับเหตุการณ์ของการปะทะกันระหว่างความคิดต่าง ๆ ดังนั้นเขาจึงพัฒนาแนวคิดเร่ืองวงศาวิทยาขึ้น โดย

ถือว่าในระบบคิดหนึ่ง ๆ เป็นผลมาจากจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์มากกว่าท่ีจะเป็นกระแสธารที่เป็นเหตุเป็น
ผลอย่างสืบเน่ือง ฟูโกต์ได้ใช้วิธีการวงศาวิทยาน้ีในงานเขียนเรื่อง Discipline and Punish ที่ได้ศึกษาวิธี
การคุมขังนักโทษสมัยใหม่ ท่ีถือว่ามีความเมตตาปราณี หรือมีมนุษยธรรมกว่ายุคก่อนหน้าท่ีใช้วิธีทรมาน

มสธ มสธหรือประหารชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ซ่ึงแน่นอนว่าส่วนหน่ึงมาจากความคิดยุคภูมิธรรม (Enlightenment) แต่

อย่างไรก็ตามฟูโกต์มองว่าการลงโทษแบบใหม่น้ีเป็นไปเพื่อการควบคุมที่มีประสิทธิภาพมากข้ึน และวิธีการ
ดงั กลา่ วกลายเปน็ ตน้ แบบใหก้ บั การควบคมุ คนทงั้ สงั คม เชน่ โรงงาน โรงเรยี น โรงพยาบาล ซงึ่ การใชต้ น้ แบบ
นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานท่ีมีอ�ำนาจหน่วยงานหนึ่ง ฟูโกต์วิเคราะห์ว่าสถาบันและเทคนิควิธีการที่พัฒนา
ขึ้นมาแตกต่างกันและมักมีวัตถุประสงค์ของตนเองต่างมาบรรจบกันสร้างระบบอ�ำนาจวินัยสมัยใหม่23

นอกจากวิธิการของฟูโกต์ในการศึกษาประวัติศาสตร์ความคิดแล้ว อีกแนวทางหน่ึงท่ีน่าสนใจคือ

มสธแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ความรู้สึกนึกคิด ของส�ำนัก Annales school ที่ก่อตั้งโดย Marc Bloch

และ Lucien Febvre ในต้นศตวรรษท่ี 20 โดยความรู้สึกนึกคิด (Mentalité) น้ีมีความหมายกว้างกว่า
ความคิด แต่หมายถึงการมองโลกทั้งหมดของมนุษย์ ท้ังในระดับปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม ทั้งน้ีด้วย
เหตผุ ลวา่ โลกภายนอกทงั้ หมดเรายงั ไมส่ ามารถทจี่ ะเขา้ ใจมนั ได้ ตราบใดทยี่ งั ไมม่ โี ครงสรา้ งการรบั รบู้ างอยา่ ง

มสธ มสธมาเป็นส่ือกลางในการท�ำความเข้าใจมัน ดังนั้นความรู้สึกนึกคิดจึงหมายถึงระบบสัญลักษณ์ การให้ความ

หมายรว่ มกนั อนั เปน็ ทม่ี าของการกระทำ� และพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ของคนในสงั คม (représentation collective)
การศึกษาความรู้สึกนึกคิดจึงไม่ใช่เพียงการศึกษาภาษาหรือกรอบความคิดเท่าน้ัน แต่ยังต้องรวมถึงการรับรู้
และอารมณ์ความรู้สึกด้วย ดังน้ันการอ่านตัวบทที่มีความลุ่มลึกของปัญญาชนจึงไม่เพียงพอต่อการเข้าใจ
วธิ กี ารมองโลกของคนในยคุ สมยั ตา่ ง ๆ ในอดตี ในการทำ� ศกึ ษาทำ� ความเขา้ ใจประวตั ศิ าสตรค์ วามรสู้ กึ นกึ คดิ
จะต้องศึกษาจากเอกสารและหลักฐานประเภทต่าง ๆ ที่หลากหลายจึงจะท�ำให้เราเห็นโครงสร้างความเชื่อของ

มสธคนส่วนใหญ่ได้24
หลงั จากศกึ ษาเน้ือหาสาระเรอื่ งท่ี 3.3.3 แลว้ โปรดปฏิบตั ิกิจกรรม 3.3.3
ในแนวการศึกษาหน่วยที่ 3 ตอนท่ี 3.3 เรอื่ งท่ี 3.3.3
มสธ มสธ23 Gary Gutting. “Michel Foucault”, The Stanford Encyclopedia of Philosophy (Winter 2014 Edition),

Edward N. Zalta. (ed.). URL = <https://plato.stanford.edu/archives/win2014/entries/foucault/>.

มสธ24 Annabel Brett. Op.cit. pp. 124-125.

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-33

เรอ่ื งท่ี 3.3.4 ประวตั ศิ าสตมร์ระยะสยาว ธประวัติศาสตร์ระยะยาว (Long-term history) เป็นแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ที่เน้นการศึกษา
มสธ มสธประวัติศาสตรใ์ นชว่ งระยะเวลาท่ยี าวนานเพือ่ ทำ� ความเข้าใจพัฒนาการหรอื ความเปล่ยี นแปลงของมนุษย์และ

สังคม ตลอดจนความสัมพันธ์ในระดับท่ีลึกซ้ึงระหว่างมนุษย์และสังคมกับบริบทแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
เศรษฐกิจ หรือส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ การท�ำความเข้าใจเร่ืองดังกล่าวล�ำพังการศึกษาช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
ไม่สามารถหาค�ำตอบได้ จ�ำเป็นต้องศึกษาช่วงระยะเวลาท่ียาวพอจึงจะเห็นถึงแนวโน้มและภาพรวมท้ังหมด
เชน่ การตงั้ คำ� ถามวา่ สงิ่ แวดลอ้ มทางธรรมชาตสิ ง่ ผลอยา่ งไรตอ่ มนษุ ย์ หรอื ในทางกลบั กนั กจิ กรรมของมนษุ ย์
ส่งผลอย่างไรต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ค�ำถามในลักษณะท่ีใหญ่แบบน้ี ไม่สามารถตอบได้ด้วยข้อมูล

มสธหลักฐานเพียงช่วงระยะเวลาส้ัน ๆ อย่าง 5 ปี หรือ 10 ปี แต่จะต้องศึกษาข้อมูลท่ีย้อนหลังไปยาวไกล

ไม่ต่�ำกว่าร้อยปีจึงจะได้ค�ำตอบ ท�ำนองเดียวกัน แม้ว่าโจทย์จะเล็กลงมาอย่างการต้ังค�ำถามเกี่ยวกับ
กระบวนการพฒั นาประชาธิปไตยในภูมิภาคหรอื ประเทศหนงึ่ ๆ ก็จ�ำเปน็ จะต้องศึกษาชว่ งระยะเวลาท่ยี าวพอ
จึงจะเห็นพัฒนาการดังกล่าว

มสธ มสธก่อนหน้าท่ีจะมีแนวการเขียนประวัติศาสตร์ระยะยาว ความต้องการท�ำความเข้าใจประวัติศาสตร์ใน

มิติของเวลาที่ยาวนานหรือต้องการทราบความหมายของประวัติศาสตร์ท้ังหมดเป็นที่สนใจใคร่รู้ของมนุษย์
มาโดยตลอด ทั้งน้ีก็เพราะเป็นส่วนหนึ่งของค�ำถามว่าเราคือใคร การกระท�ำต่าง ๆ ของเราท่ีผ่านมาจะส่งผล
อย่างไรต่อเราในปัจจุบันและอนาคต ศาสนาเป็นส่วนหน่ึงของการตอบค�ำถามน้ัน เช่น ประวัติศาสตร์สากล
ของครสิ เตยี นทเ่ี รมิ่ ตง้ั แตพ่ ระเจา้ สรา้ งสรรพสง่ิ และสรา้ งมนษุ ยไ์ ปจนถงึ การสนิ้ สดุ ของกาลเวลา ดงั นน้ั ความหมาย
ของประวัติศาสตร์ของมนุษย์จึงเป็นเรื่องของการทดสอบที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ก่อนที่จะไปยังการพิพากษา

มสธครั้งสุดท้าย นักปรัชญาก็พยายามใช้เหตุผลในการท�ำความเข้าใจอดีตทั้งหมดและปัจจุบันก�ำลังด�ำเนินต่อไป

ยงั อนาคตของมนษุ ยว์ า่ มคี วามหมายอะไรเชน่ กนั ซง่ึ ความพยายามดงั กลา่ วนเี้ รยี กวา่ “ปรชั ญาประวตั ศิ าสตร”์ 25
แม้วา่ ในปัจจบุ นั การตคี วามประวัติศาสตร์ของนกั ปรชั ญาประวตั ศิ าสตร์จะเส่ือมอิทธิพลลงมากแตก่ ็มีแนวคดิ
ของนักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่ยังคงได้รับการกล่าวถึงอยู่ในระยะหลัง เช่น เฮเกลท่ีเสนอว่าประวัติศาสตร์
ของมนุษยชาติคือกระบวนการตระหนักรู้ในเสรีภาพของตนเอง ที่เร่ิมจากสังคมเผด็จการเบ็ดเสร็จมาสู่

มสธ มสธประชาธิปไตยแบบราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญของตะวันตกอันเป็นจุดหมายปลายทางของส�ำนึกเกี่ยวกับ

เสรีภาพของมนุษย์ ที่นักรัฐศาสตร์อย่าง Francis Fukuyama วิเคราะห์ว่าการล่มสลายของลัทธิสังคมนิยม

25 ปรัชญาประวัติศาสตร์ ในความหมายน้ีหากเรียกอย่างรัดกุมคือ ปรัชญาประวัติศาสตร์แนวคาดคะเน หรือ ปรัชญา
ประวัติศาสตร์ทฤษฎี (Speculative Philosophy of History) ที่อาจจัดได้ว่าเป็นเร่ืองของอภิปรัชญา ในขณะท่ีการท�ำความเข้าใจ
เกี่ยวกับความเป็นความรู้ของวิชาประวัติศาสตร์ หรือการท�ำความเข้าใจวิชาประวัติศาสตร์ในเชิงญาณวิทยาก็จะเรียกว่า ปรัชญา

มสธประวัติศาสตร์วิเคราะห์ (Analytical Philosophy of History)

3-34 การวิเคราะห์การเมือง

ในปลายศตวรรษที่ 20 เป็น “จุดจบของประวัติศาสตร์” ที่ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมตะวันตกคือจุดหมาย

มสธปลายทางของวิวัฒนาการของอดุ มการณแ์ ละรปู แบบทางการเมอื งการปกครองของมนุษย์ คารล์ มารก์ ซ์ ก็จัด

วา่ เปน็ นกั ปรชั ญาประวตั ศิ าสตรท์ ต่ี คี วามอดตี ของมนษุ ยใ์ นระยะยาววา่ เปน็ การเปลย่ี นแปลงของสงั คมมนษุ ย์
จากสังคมบุพกาล สู่สังคมทาส ศักดินา ทุนนิยมและสังคมจะต้องไปสู่สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ในอนาคต
ผ่านการต่อสู้ทางชนช้ันระหว่างชนช้ันปกครองท่ีเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตกับชนช้ันท่ีถูกกดขี่ขูดรีด ซึ่ง

มสธ มสธฝา่ ยหลงั จะเปน็ ผนู้ ำ� การปฏวิ ตั เิ พอื่ สรา้ งสงั คมใหมใ่ นทส่ี ดุ อยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ แนวคดิ แบบนเี้ ปน็ ประวตั ศิ าสตร์

กระแสหลกั ของประเทศในคา่ ยสงั คมนยิ มและเปน็ มหานพิ นธข์ องการเขยี นทางประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งแพรห่ ลาย
ในศตวรรษท่ี 20 ที่ผ่านมา

ปรัชญาประวัติศาสตร์สัมพันธ์กับการเขียนประวัติศาสตร์ท่ีกินช่วงระยะเวลายาวอย่างการเขียน
ประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าและอิสรภาพของมนุษย์ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากความไม่รู้ การกดข่ี ขาดแคลนและ
ไร้อารยธรรม สู่ความรู้แจ้ง เสรีเจริญก้าวหน้า ซ่ึงสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนในสกุลงานเขียนทางประวัติศาสตร์

มสธแบบวิก (Whig history) เช่น ประวัติศาสตร์อังกฤษของ Thomas Babington Macaulay (1839-1841)

ทเี่ ลา่ ประวตั ศิ าสตรอ์ งั กฤษทก่ี นิ ระยะเวลายาวนานถงึ สองพนั ปี หรอื การเขยี นประวตั ศิ าสตรส์ ากลของ Arnold
Tyonbee (1889-1975) ทพ่ี ยายามศกึ ษาเปรยี บเทยี บประวตั ศิ าสตรอ์ ารยธรรมตา่ ง ๆ ของโลกวา่ มพี ฒั นาการ
เป็นล�ำดับข้ันจากเจริญเติบโตสู่การดับสูญ อย่างไรก็ดีปรัชญาประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์สากลก็

มสธ มสธค่อย ๆ มีความส�ำคัญน้อยลงเม่ือสาขาวิชาประวัติศาสตร์ท่ีเน้นการใช้ระเบียบวิธีการวิจัยอย่างเคร่งครัด

มีความเจริญเติบโตมากข้ึน นักประวัติศาสตร์อาชีพมักมีแนวโน้มท่ีจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมอง
การเขียนประวัติศาสตร์สากลและปรัชญาประวัติศาสตร์นั้นใช้หลักฐานอย่างไม่ถูกต้อง

การเขียนประวัติศาสตร์ระยะยาวในสาขาวิชาประวัติศาสตร์สมัยใหม่นั้น เร่ิมจากการตระหนักถึง
ระยะห่างของช่วงเวลาเป็นหัวใจส�ำคัญของประวัติศาสตร์ส�ำนัก Annales school ระยะห่างน้ันไม่เพียงแต่
หมายถึงการมีระบบการเมือง เศรษฐกิจและสภาพสังคมท่ีแตกต่างกับเราในปัจจุบัน แต่ยังรวมถึงความรู้สึก

มสธนึกคิดที่ในแต่ละยุคสมัยมีความรู้สึกนึกคิดท่ีแตกต่างกัน การตระหนักต่อระยะห่างของเวลาและความรู้สึก

นึกคิดนี้น�ำไปสู่การพัฒนาแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ที่ส�ำคัญอีกประการหนึ่งของส�ำนัก Annales school
ทห่ี นั ออกจากแนวพนิ จิ ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งทเี่ ปน็ กระแสหลกั ไปสกู่ ารตง้ั คำ� ถามเกยี่ วกบั ความเปลย่ี นแปลง
ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในประวัติศาสตร์ในวงกว้าง ในช่วงระยะเวลาท่ียาวนานและพยายามหา
กระแสทหี่ ยง่ั รากลกึ ในอดตี ทเ่ี ปน็ สาเหตขุ องความเปลยี่ นแปลง ดว้ ยเหตนุ ก้ี ารศกึ ษาประวตั ศิ าสตรแ์ บบสำ� นกั

มสธ มสธAnnales school จึงต้องสังเคราะห์ข้อมูลจ�ำนวนมากและมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองของสภาพภูมิ

อากาศ ที่ต้ังทางภูมิศาสตร์ สภาพและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในมิติที่ยาวไกลมากกว่าแค่ช่วงเวลา
สั้น ๆ แบบประวัติศาสตร์การเมือง เพ่ือให้ได้ภาพท่ีใกล้เคียงประวัติศาสตร์ทั้งหมดของยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็น
วิถีชีวิต วิถีความคิด ชีวิตทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคม

นักประวัติศาสตร์ส�ำนัก Annales school ท่ีมีชื่อเสียงมากท่ีสุดคือ Fernand Braudel ในผลงาน
เรื่อง The Mediterranean and the Mediterranean World in the Age of Philip II (1949) เขาไม่ได้

มสธเขียนเล่าประวัติศาสตร์เหตุการณ์ในแบบประวัติศาสตร์การเมืองและการทหารของพระเจ้าฟิลิปป์ที่ 2 เท่าน้ัน

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-35

แต่พยายามค้นคว้าหาบริบทของเหตุการณ์ ซ่ึงเขาถือว่าเหตุการณ์เป็นเพียงฟองคล่ืนของกระแสธารแห่ง

มสธประวัติศาสตร์ การจะเข้าใจอดีตได้น้ันจ�ำเป็นต้องด�ำดิ่งลึกลงไปใต้คลื่นน้ัน ในการท�ำความเข้าใจดังกล่าว

Braudel ศึกษาโครงสร้างและกระแสทั่วไปเก่ียวกับเศรษฐกิจ สังคม อารยธรรมและรูปแบบของสงคราม ซ่ึง
มีความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างท่ีช้ากว่าเหตุการณ์ แต่เป็นเงื่อนไขที่ก�ำหนดการกระท�ำของมนุษย์ใน
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์

มสธ มสธเง่ือนไขท่ีระดับลึกสุดท่ีเป็นตัวก�ำหนดความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเหล่านั้นอีกทีหน่ึงคือความ

สัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม หรือที่ Braudel เรียกว่า ภูมิ-ประวัติศาสตร์ (geo-history) ในงาน
The Mediterranean ของเขาใช้เนื้อท่ีจ�ำนวนมากให้กับการพิจารณาภูเขา ท่ีราบ ชายฝั่งและหมู่เกาะ สภาพ
อากาศ เส้นทางทั้งทางบกและทะเล เพ่ือที่จะท�ำให้เห็นว่าคุณลักษณะทางภูมิศาสตร์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ
ประวัติศาสตร์ได้อย่างไร เช่น เขาได้อภิปรายเกี่ยวกับลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมของเขตเทือกเขาว่าเป็น
อนุรักษ์นิยม ซึ่งต่างจากพื้นราบที่คนหนุ่มจากบนภูเขามักต้องการลงมาสมัครเป็นทหารรับจ้าง

มสธในงานช้ินนี้ของ Braudel ทะเลกลายเป็นศูนย์กลางของการศึกษา ที่หน่วยทางการเมืองหรือกษัตริย์

เป็นเพียงส่วนหนึ่ง โดยท่ีทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็ยังเช่ือมโยงกับส่วนอื่น ๆ อย่างมหาสมุทรแอตแลนติก หรือ
ทะเลทรายซาฮารา ท�ำให้อาจกล่าวได้ว่า Braudel พยายามท�ำในส่ิงท่ีในเวลาต่อมาเรียกว่า “ประวัติศาสตร์
โลก” นอกเหนือจากพื้นที่ของการศึกษาที่ขยายใหญ่ครอบคลุมพื้นท่ีทางภูมิศาสตร์อย่างกว้างขวางแล้ว

มสธ มสธงานช้ินนี้ยังมีความส�ำคัญต่อแนวคิดในเชิงเวลาในการศึกษาประวัติศาสตร์ ท่ีเขาแบ่งเวลาเป็น 3 ระดับ

ด้วยกัน คือ เวลาทางภูมิศาสตร์ สังคมและปัจเจกบุคคล ซ่ึงเวลาทางภูมิศาสตร์ท่ีมีความเปล่ียนแปลงอย่าง
เชื่องช้าท่ีสุดน้ันเป็นสิ่งท่ีนักประวัติศาสตร์ไม่เคยให้ความส�ำคัญมาก่อน ซึ่งสิ่งท่ี Braudel ท�ำคือการศึกษา
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมและเหตุการณ์ในช่วงระยะเวลาท่ี
ยาวนาน ซึ่งเรียกกันในนามว่า la Longue durée ท่ีประวัติศาสตร์ในช่วงระยะเวลายาวน้ีจะเน้นการศึกษา
อย่างเป็นองค์รวม26

มสธการศึกษาประวัติศาสตร์แบบระยะยาวในแง่หน่ึงก็เป็นเรื่องยากและใช้เวลา อีกท้ังยังดูเหมือนว่าจะ

เป็นเร่ืองของนักประวัติศาสตร์อาชีพมากกว่าท่ีจะกล่าวในท่ีน้ี กระนั้นการมีมุมมองในระยะเวลาที่ยาวไกล
และค�ำนึงถึงบริบทที่มีความหลากหลายก็มีความส�ำคัญต่อการวิเคราะห์การเมืองเป็นอย่างยิ่ง ใน The
History Manifesto (2014) ของ Jo Guldi และ David Armitage ช้ีให้เห็นความส�ำคัญของการศึกษา
ประวัติศาสตร์ระยะยาวว่ามีความส�ำคัญต่อการท�ำความเข้าใจปรากฏการณ์ปัจจุบันอย่างมาก รวมไปถึง

มสธ มสธการก�ำหนดนโยบายและการกระท�ำของเราที่มีต่ออนาคต โดยได้ยกตัวอย่างท่ีแสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญ

ของการศึกษาประวัติศาสตร์ระยะยาว ได้แก่ เรื่องปัญหาภาวะโลกร้อน ท่ีเคยเป็นข้อถกเถียง ซึ่งการหา
ค�ำตอบนั้นต้องมองย้อนกลับไปเป็นระยะเวลายาวนานเป็นระดับพันปี แนวคิดเรื่องแอนโทรโปซีน (Anthro-
pocene) เปน็ ชอ่ื เรยี กยคุ สมยั ทางธรณวี ทิ ยาหมายถงึ ชว่ งเวลาทมี่ นษุ ยชาตไิ ดส้ รา้ งผลกระทบอยา่ งมนี ยั สำ� คญั

26 Peter Burke. (1990). The French Historical Revolution: The Annales School, 1929-89. Stanford

มสธUniversity Press. p. 32-42.

3-36 การวิเคราะห์การเมือง

ต่อโลกและระบบนิเวศท่ีเร่ิมเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน27 สะท้อนให้เห็นถึงความส�ำคัญของการท�ำความเข้าใจ

มสธอดีตท่ียาวนานเพ่ือที่จะก�ำหนดนิยามและหามาตรการแก้ไขปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต การท�ำความเข้าใจ

เก่ียวกับการเมืองการปกครองในระดับสากลและความอยุติธรรมในระดับโลกก็มีงานเขียนอย่าง Debt: The
First 5,000 Years (2011) ของ David Graeber ซ่ึงเป็นนักมานุษยวิทยาท่ีศึกษาเกี่ยวกับหน้ีในฐานะความ
สัมพันธ์ทางสังคมท่ีมีความเปล่ียนแปลงจากสังคมยุคโบราณถึงยุคปัจจุบัน และ ทุนนิยมในศตวรรษท่ี 21

มสธ มสธ(Capital in the Twenty-First Century, 2014) ของโทมัส พิเก็ตตี นักเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาโดยใช้ข้อมูล

ทางเศรษฐกิจในช่วงระยะยาวเกี่ยวกับความเหลื่อมล�้ำทางเศรษฐกิจว่าเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจแบบ
ทุนนิยมดังนั้นจึงจ�ำเป็นท่ีจะต้องมีการปฏิรูประบบทุนนิยมเพื่อให้เกิดความเสมอภาค

หลงั จากศึกษาเน้ือหาสาระเรอ่ื งท่ี 3.3.4 แล้ว โปรดปฏบิ ตั กิ จิ กรรม 3.3.4
ในแนวการศึกษาหนว่ ยท่ี 3 ตอนท่ี 3.3 เรื่องท่ี 3.3.4

มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธ27JohnP.Rafferty.(2016).“AnthropoceneEpoch”EncyclopådiaBritannica.Retrievedfromhttps://www.
มสธbritannica.com/science/Anthropocene-Epoch >

การวิเคราะห์ตามแนวคิดประวัติศาสตร์ 3-37

บรรณานุกรม มสธจอห์น เอช อาร์โนลด์. (2549). ประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.
มสธ มสธเดวดิ เค วยั อาจ. การเขยี นประวตั ศิ าสตรไ์ ทยแบบตำ� นานและพงศาวดาร. ใน ชาญวทิ ย์ เกษตรศริ ,ิ และสชุ าติ สวสั ดศิ ร.ี

(บ.ก.). (2527). ปรัชญาประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการต�ำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2512). สมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพกับอาร์โนล์ด ทอยน์บี. สังคมศาสตร์ปริทัศน์ 7,1

(มิถุนายน-สิงหาคม 2512).
. (2525). ประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการต�ำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
นิธิ เอียวศรีวงศ์, และอาคม พัฒิยะ. (2525). หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ.

มสธเบเนดิก แอนเดอร์สัน. (2546). ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา, ฟ้าเดียวกัน 1,3 (กรกฎาคม-กันยายน, 2546).

วิศรุต พ่ึงสุนทร. (2558). นักประวัติศาสตร์กับกอสซิปในขนบประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก. รัฐศาสตร์สาร 34,2
(2556).

สิงห์ สุวรรณกิจ. (2558). งานศึกษาผู้อยู่ในสถานะรอง: ทบทวนประวัติศาสตร์นิพนธ์ และมวลชนผู้เคลื่อนไหว.
วารสารสังคมศาสตร์: วารสารทางวิชาการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 27,1 (มกราคม–

มสธ มสธมิถุนายน,2558).

อี.เอช. คาร์, (2531). ประวัติศาสตร์คืออะไร. กรุงเทพ: อักษรเจริญทัศน์.
Brett, Annabel. “What is Intellectual History Now?,” in David Cannadine. (ed.). (2002). What is

History Now? Palgrave Macmillan.
Burke, Peter. (1990). The French Historical Revolution: The Annales School, 1929-89 (Stanford

University Press.

มสธCannadine, David. (1985). “What is Social history,” History Today 35:3 (March, 1985). Retrieved
from http://www.historytoday.com/raphael-samuel/what-social-history
Gutting, Gary. Michel Foucault, The Stanford Encyclopedia of Philosophy (Winter 2014 Edition),

Edward N. Zalta. (ed.). Retrieved from https://plato.stanford.edu/archives/win2014/entries/
foucault/>.
Hughes-Warrington, Marnie. (2008). Fifty Key Thinkers on History. London and New York:

มสธ มสธRoutledge.

Pederson, Susan. “What is Political History Now?” in David Cannadine. (ed.). (2002). What is
History Now?. Palgrave Macmillan.

Rafferty, John P. (2016). “Anthropocene Epoch” Encyclopædia Britannica. Retrieved from https://
www.britannica.com/science/Anthropocene-Epoch >

มสธTosh, John. (2013). The Pursuit of History. London: Roultledge.



4 มสธหนว่ ยที่
มสธ มสธทฤษฎีรัฐและอำ�นาจ
อาจารย์ ดร.สตธิ ร ธนานิธิโชติ
มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธชือ่
วฒุ ิ อาจารย์ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ
ร.บ. (การปกครอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ร.ม. (การปกครอง) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Ph.D. in Political Science (Comparative Politics and
ต�ำแหน่ง American Government) University of Utah
นักวิชาการผู้ช�ำนาญการ
มสธหนว่ ยทีเ่ขยี น ส�ำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า
หน่วยท่ี 4

4-2 การวิเคราะห์การเมือง

ทฤษฎรี ฐั และอ�ำ นาจมสธหนว่ ยที่4
มสธ มสธเคา้ โครงเนอื้ หา
ตอนที่ 4.1 ความหมาย พัฒนาการ และวิธีการศึกษา
4.1.1 นิยามรัฐและอ�ำนาจ
4.1.2 พัฒนาการของการศึกษาว่าด้วยรัฐและอ�ำนาจ
4.1.3 วิธีการศึกษารัฐและอ�ำนาจ
มสธตอนท่ี 4.2 การวิเคราะห์การเมืองตามแนวทฤษฎีรัฐและอ�ำนาจ
4.2.1 รัฐและอ�ำนาจในฐานะสถาบันสูงสุด
4.2.2 รัฐและอ�ำนาจในฐานะเครื่องมือของสังคม
4.2.3 รัฐและอ�ำนาจในฐานะความสัมพันธ์ทางสังคม
มสธ มสธตอนท่ี 4.3 การวิเคราะห์การเมืองตามแนวทฤษฎีรัฐและอ�ำนาจในงานรัฐศาสตร์ร่วมสมัย
4.3.1 รัฐและอ�ำนาจในกระแสประชาธิปไตยโลก
4.3.2 รัฐและอ�ำนาจภายใต้ระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์
4.3.3 รัฐและอ�ำนาจกับความเป็นธรรมทางสังคม
มสธ มมสสธธ มสธแนวคิด
1. ก ารวเิ คราะหก์ ารเมอื งตามแนวทฤษฎรี ฐั และอำ� นาจเปน็ การศกึ ษาเรอ่ื งการตอ่ สหู้ รอื แขง่ ขนั
ทางการเมืองเพ่ือการได้มาซ่ึงอ�ำนาจรัฐ และการศึกษาความสามารถของรัฐในการบังคับ
หรือมีอิทธิพลเหนือเจตจ�ำนงของผู้คนและองค์กรต่าง ๆ

2. การวิเคราะหก์ ารเมืองตามแนวทางรฐั และอำ� นาจในฐานะสถาบันสงู สดุ ใหค้ วามสำ� คัญเป็น
พิเศษกับอ�ำนาจอิสระของรัฐในการก�ำหนดนโยบาย และโครงสร้างเชิงสถาบันที่รองรับ
อ�ำนาจของรัฐและจ�ำกัดกิจกรรมของคนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ในขณะที่การวิเคราะห์
การเมืองตามแนวทางรัฐและอ�ำนาจในฐานะเครื่องมือของสังคมสามารถจ�ำแนกแนวการ
อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชนช้ันนายทุนในสังคมได้เป็น 2 แนวทาง คือ
1) แนวทางที่เช่ือว่ารัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นนายทุนโดยสิ้นเชิง และ 2) แนวทางที่เชื่อ
ว่ารัฐเป็นเคร่ืองมือของชนชั้นนายทุนแต่มีอิสระในการใช้อ�ำนาจในบางเรื่อง


Click to View FlipBook Version