200 เรื่องที่ 2 กรด – เบส 2.1 ความหมายและสมบัติของกรด – เบส และเกลือ กรด (Acid) คือ สารประกอบที่มีธาตุไฮโดรเจน(H) เป็ นองค์ประกอบ และอะตอมของ H อะตอมให้โลหะ หรือ หมู่ธาตุที่เทียบเท่าโลหะที่ได้และเมื่อกรดละลายน้า จะแตกตวัให้ไฮโดรเจนอิ ออน คุณสมบัติของกรด 1. มีธาตุไฮโดรเจนเป็ นองค์ประกอบ 2. มีรสเปร้ียว 3. ทา ปฏิกิริยากบั โลหะ เช่น สังกะสีแมกนีเซียม ทองแดง ดีบุกและอะลูมิเนียม จะไดแ้ก๊ส ไฮโดรเจน 4. ทา ปฏิกิริยากบัหินปูนซ่ึงเป็นสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต หินปูนสึกกร่อน ไดแ้ก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ทา ใหน้ ้า ปูนใสข่นุ 5. เปลี่ยนสีกระดาษลิตมสัจากสีน้า เงินเป็นสีแดง 6. ทา ปฏิกิริยากับเบสได้เกลือและน้ า เช่น กรดเกลือท าปฏิกิริยากับโซดาแผดเผาหรือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ซึ่งเป็ นเบส ได้เกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกง 7. สารละลายกรดทุกชนิดน าไฟฟ้ าได้ดี เพราะกรดสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน 8. กรดมีฤทธ์ิในการกดักร่อนสารต่างๆไดโ้ดยเฉพาะเน้ือเยื่อของสิ่งมีชีวิต ถา้กรดถูกผิวหนงั จะทา ใหผ้วิหนงัไหม้ปวดแสบปวดร้อน ถา้กรดถูกเส้นใยของเส้ือผา้เส้นใยจะถูกกดักร่อน ใหไ้หมไ้ด้นอกจากน้ีกรดยงัทา ลายเน้ือไม้กระดาษ และพลาสติกบางชนิดได้ด้วย เบส (Base)คือ สารละลายน้ าแล้วแตกตวัให้ไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) ออกมา เมื่อท า ปฏิกิริยากบักรดจะไดเ้กลือกบัน้า หรือไดเ้กลืออยา่งเดียว คุณสมบัติของเบส 1. เปลี่ยนสีกระดาษลิตมสัจากสีแดงเป็นสีน้า เงิน 2. ทา ปฏิกิริยากบัแอมโมเนียมไนเตรต จะใหแ้ก๊สแอมโมเนีย มีกลิ่นฉุน 3. ทา ปฏิกิริยากบัน้า มนัหรือไขมนัไดส้บู่ 4. ทา ปฏิกิริยากบัโลหะบางชนิด 5. ลื่นคลา้ยสบู่ 6. ทา ปฏิกิริยากบักรดไดเ้กลือและน้า เช่น สารละลายโซดาไฟ (โซเดียมไฮดรอกไซด์) ท า ปฏิกิริยากบักรดเกลือ(กรดไฮโดรคลอริก) ได้เกลือโซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือแกงที่ใช้ ปรุงอาหาร นอกจากน้ีโซดาไฟยงัสามารถทา ปฏิกิริยากบักรดไขมนั ไดเ้กลือโซเดียมของ กรดไขมนัหรือที่เรียกวา่สบู่
201 เกลือ (salt) คุณสมบตัิทวั่ ไปของเกลือ 1. ส่วนมากมีลกัษณะเป็นผลึกสีขาวเช่น NaCl แต่มีหลายชนิดที่มีสีเช่น สีม่วง ไดแ้ก่ ด่างทบัทิม(โปแตสเซียมเปอร์แมงกาเนต) KMnO4 สีน้า เงิน ไดแ้ก่ จุนสี(คอปเปอร์ซัลเฟต) CuSO4 .5H2O สีส้ม ไดแ้ก่ โปแตสเซียมโครเมต KCr2O7 สีเขียว ไดแ้ก่ ไอออน(II)ซัลเฟต FeSO4 .7H2O 2. มีหลายรส เช่น รสเค็ม ไดแ้ก่ เกลือแกง(โซเดียมคลอไรด์) NaCl รสฝาด ไดแ้ก่ สารส้ม K2 SO4 .Al2 (SO4)3 .24H2O รสขม ไดแ้ก่ โปแตสเซียมคลอไรด์ , แมกนีเซียมซัลเฟต KCl, Mg SO4 .7H2O 3. น าไฟฟ้ าได้ (อิเล็กโตรไลท์ : electrolyte) 4. เมื่อละลายน้า อาจแสดงสมบตัิเป็นกรด เบส หรือกลางก็ได้ 5. ไม่กดักร่อนแกว้และเซอรามิก 2.2 ความเป็ นกรด – เบสของสาร ความเป็ นกรด-เบส ของสารเมื่อทดสอบกบักระดาษลิตมสัจะพบการเปลี่ยนแปลงดงัน้ี 1. เปลี่ยนสีกระดาษลิตมสัจากสีน้า เงินเป็นสีแดงแต่สีแดงไม่เปลี่ยน สารมีคุณสมบตัิเป็นกรด 2. เปลี่ยนสีกระดาษลิตมสัจากแดงเป็นสีน้า เงิน แต่สีน้า เงินไม่เปลี่ยน สารมีคุณสมบตัิเป็นเบส 3. กระดาษลิตมสัท้งัสองสีไม่เปลี่ยนแปลง สารมีคุณสมบตัิเป็นกลาง ความเป็ นกรด-เบส ของสารเมื่อทดสอบกบัสารละลายฟีนอล์ฟทาลีน จะพบการเปลี่ยนแปลง ดงัน้ี 1. สารละลายฟีนอลฟ์ทาลีนเปลี่ยนสีเป็นสีชมพมู่วง สารน้นัมีสมบตัิเป็นเบส 2. สารละลายฟีนอลฟ์ทาลีนใสไม่มีสีสารน้นัอาจเป็นกรดหรือเป็นกลางก็ได้ ความเป็ นกรด-เบส ของสารเมื่อทดสอบกบัยนูิเวอร์ซลัอินดิเคเตอร์จะพบการเปลี่ยนแปลงดงัน้ี 1. ค่า pH มีค่านอ้ยกวา่ 7 สารละลายเป็ นกรด 2. ค่า pH มีค่ามากกวา่ 7 สารละลายเป็ นเบส 3. ค่า pH มีค่าเท่ากบั 7 สารละลายเป็ นกลาง
202 2.3 กรด – เบส ของสารในชีวิตประจ าวัน สารละลายกรด – เบสในชีวติประจา วนัมีอยมู่ากมาย ซ่ึงสามารถจา แนกไดด้งัน้ี 1. สารประเภทท าความสะอาด - บางชนิดก็มีสมบตัิเป็นเบส เช่น สบู่ผงซกั ฟอก น้า ยาลา้งจาน - บางชนิดมีสมบัติเป็ นกรด เช่น น้า ยาลา้ง หอ้งน้า และเครื่องสุขภณัฑ์ 2. สารที่ใช้ทางการเกษตร ไดแ้ก่ปุ๋ย - บางชนิดก็มีสมบตัิเป็นเบส เช่น ยเูรีย - บางชนิดมีสมบตัิเป็นกรด เช่น แอมโมเนียมคลอไรค์ - บางชนิดมีสมบตัิเป็นกลาง เช่น โพแทสเซียมไนเตรต 3. สารปรุงแต่งอาหาร - บางชนิดก็มีสมบตัิเป็นเบส เช่น น้า ปูนใส น้า ข้ีเถา้ - บางชนิดมีสมบัติเป็นกรด เช่น น้า ส้มสายชูน้า มะนาว น้า มะขาม - บางชนิดมีสมบตัิเป็นกลาง เช่น ผงชูรส เกลือแกง น้า ตาลทราย ฯลฯ 4. ยารักษาโรค - บางชนิดก็มีสมบตัิเป็นเบส เช่น ยาแอสไพริน วติามินซี - บางชนิดมีสมบตัิเป็นกรด เช่น ยาลดกรด ยาธาตุ 5. เครื่องส าอาง - บางชนิดมีสมบัติเป็นกลาง เช่น น้า หอม สเปรยฉ์ีดผม ยารักษาสิวฝ้า
203 2.4 กรณีศึกษากรด – เบส ที่มีผลต่อคุณสมบตัิของดิน ความเป็ นกรด-เบสของดิน ความเป็ นกรด-เบสของดิน หมายถึง ปริมาณของไฮโดรเจนที่มีอยู่ในดิน ความเป็น กรด-เบส กา หนดค่าเป็นตวัเลขต้งัแต่1-14 เรียกค่าตวัเลขน้ีวา่ค่า pH โดยจดัวา่ สารละลายใดที่มีค่า pH นอ้ยกวา่ 7 สารละลายน้นัมีสมบตัิเป็นกรด สารละลายใดที่มีค่า pH มากกวา่ 7 สารละลายน้นัมีสมบตัิเป็นเบส สารละลายใดที่มีค่า pH เท่ากบั 7 สารละลายน้นัมีสมบตัิเป็นกลาง วิธีทดสอบความเป็ นกรด-เบสมีวธิีทดสอบไดด้งัน้ี 1. ใช้กระดาษลิตมสัสีน้า เงินหรือสีแดง โดยนา กระดาษลิตมสัทดสอบกบัสารที่สงสัย ถา้เป็นกรดจะเปลี่ยนกระดาษลิตมสัสีน้า เงินเป็นสีแดงและถา้เป็นเบสจะเปลี่ยนกระดาษลิตมสั สีแดงเป็นสีน้า เงิน 2. ใช้กระดาษยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์ โดยน ากระดาษยูนิเวแซลอินดิเคเตอร์ทดสอบ กบัสารแลว้นา ไปเทียบกบัแผน่สีที่ขา้งกล่อง 3. ใชน้ ้า ยาตรวจสอบความเป็นกรด-เบส เช่น สารละลายบรอมไทมอลบลูจะให้สีฟ้า อ่อนในสารละลายที่มีpH มากกวา่ 7 และให้สีเหลืองในสารละลายที่มี pH นอ้ยกวา่ 7 รูปแสดงกระดาษลิตมัสและยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์
204 รูปแสดงการเปลี่ยนสีของกระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ ปัจจัยหรือสาเหตุที่ท าให้ดินเป็ นกรด ไดแ้ก่การเน่าเปื่อยของสารอินทรียใ์นดิน การใส่ ปุ๋ยเคมีบางชนิด สารที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท ปัจจัยที่ท าให้ดินเป็ นเบส ไดแ้ก่การใส่ปูนขาว(แคลเซียมไฮดรอกไซด์) ความเป็ นกรด-เบสของดินน้นัมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช พืชแต่ละชนิดเจริญเติบโตไดด้ี ในดินที่มีค่า pH ที่เหมาะแก่พืชน้นัๆ ถา้สภาพ pH ไม่เหมาะสมทา ให้พืชบางชนิดไม่สามารถ ดูดซึมแร่ธาตุที่ตอ้งการที่มีใน ดินไปใชป้ระโยชน์ได้ การแกไ้ขปรับปรุงดิน ดินเป็นกรด แกไ้ขไดโ้ดยการเติมปูนขาว หรือดินมาร์ล ดินเป็นเบสแกไ้ขไดโ้ดยการเติมแอมโมเนียมซลัเฟต หรือผงกา มะถนั
205 ความรู้เพมิ่เติม อินดิเคเตอร์จากธรรมชาติคือ สารธรรมชาติที่สกดัไดจ้ากส่วนต่างๆ ของพืช สามารถใช้เพื่อ ตรวจสอบความเป็ นกรด-เบสของสารละลายได้ ตารางแสดงช่วงการเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์จากธรรมชาติบางชนิด ชนิดของพืช ช่วง pH ที่เปลี่ยนสี สีที่มีการเปลี่ยนแปลง อัญชัน กุหลาบ กระเจี๊ยบ ชงโค บานไม่รู้โรย ดาวเรือง ผกากรอง 1-3 3-4 6-7 6-7 8-9 9-10 10-11 แดง-ม่วง ชมพู-ไม่มีสี แดง- เขียว ชมพู-เขียว แดง-ม่วง ไม่มีสี-เหลือง ไม่มีสี-เหลือง การใชอ้ินดิเคเตอร์ในการทดสอบหาค่า pH ของสารละลายน้นัจะทราบค่า pH โดยประมาณ เท่าน้นัถา้ตอ้งการทราบค่า pH ที่แท้จริงจะต้องใช้เครื่องมือวัด pH ที่เรียกวา่ "พีเอชมิเตอร์ (pH meter)" ซ่ึงเป็นเครื่องมือที่สามารถตรวจวดัค่า pH ของสารละลายได้เป็ นเวลานานติดต่อกนัทา ให้ตรวจสอบการ เปลี่ยนแปลงความเป็ นกรด-เบสของสารละลายได้และค่า pH ที่อ่านไดจ้ะมีความละเอียดมากกวา่การใช้ อินดิเคเตอร์
206 แบบฝึ กหัดท้ายบทที่ 9 ค าชี้แจง : ขอ้สอบมีท้งัหมด 10 ข้อให้เลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงค าตอบเดียว 1.ขอ้ใดกล่าวถึงสารละลายได้ถูกต้อง ก.สารที่มีเน้ือสารเหมือนกนัตลอดทุกส่วน ข.สารที่มีเน้ือสารมองดูใสไม่มีสีกลิ่นและรส ค.สารที่ไม่บริสุทธ์ิเกิดจากสารบริสุทธ์ิต้งัแต่2 ชนิดผสมกนั ง.สารที่มีจุดหลอดเหลวต่า กวา่ 100 องศาเซลเซียส 2.ขอ้ใดผดิเกี่ยวกบัตวัทา ละลาย ก.สารที่มีปริมาณมากกวา่ ข.สารที่มีสถานะเดียวกบัสาระละลาย ค.สารที่มีสถานะเป็นของเหลวเท่าน้นั ง.สารที่มีสถานะเป็นของแขง็ของเหลวและก๊าซ 3.ตัวถูกละลายคืออะไร ก.สารที่มีปริมาณนอ้ยกวา่ ข.สารที่มีสถานะเดียวกบัสารละลาย ค.สารที่มีสถานะเป็นของเหลวเท่าน้นั ง.สารที่มีความหนาแน่นนอ้ยกวา่สารละลาย 4.สาร A สามารถละลายในน้า ได้15 กรัม แต่เมื่อนา ไปตม้ สาร A ละลายไดเ้พิ่มข้ึนเป็น 25 กรัม และก็ไม่สามารถละลายไดอ้ีกเราเรียกสารอะไร ก.สารละลายอิ่มตวั ข.สารละลายเข้มข้น ค.สารละลายเจือจาง ง.สารละลายไม่อิ่มตวั 5.กระบวนการใดเรียกวา่การตกผลึก ก.การแยกตวัของตวัถูกละลายออกจากสารละลายอิ่มตวั ข.การแยกตัวของตัวถูกละลายออกจากสารละลายเข้มข้น ค.การแยกตวัของตวัทา ละลายออกจากสารละลายอิ่มตวั ง.การแยกตัวของตัวท าละลายออกจากสารละลายเข้มข้น
207 6. ความแตกต่างของสารกบัสารบริสุทธ์ิคือขอ้ใด ก.สารละลายมีปริมาตรมากกวา่สารบริสุทธ์ิ ข.สารละลายมีจุดเดือดไม่คงที่สารบริสุทธ์ิมีจุดเดือดคงที่ ค.สารละลายมีจุดเดือดคงที่สารบริสุทธ์ิมีจุดเดือดไม่คงที่ ง.สารละลายมีจุดเยอืกแขง็คงที่สารบริสุทธ์ิมีจุดเยอืกแขง็ไม่คงที่ 7. ขอ้ใดตอ้งใชต้วัทา ละลายต่างจากพวก ก.น้า ตาล ข.เชลแล็ก ค.เกลือแกง ง.สีผสมอาหาร 8. ขอ้ใดไม่ส่งผลต่อความสามารถในการละลายของสาร ก.ความดัน ข.อุณหภูมิ ค.ความหนาแน่น ง.ชนิดของตัวท าละลายและตัวถูกละลาย 9. แอลกอฮอล์ 80% โดยปริมาตร มีความหมายตรงกบัขอ้ใด ก.สารละลายน้นั 100 cm3 มีเอทิลแอลกอฮอลอ์ยู่80 cm3 ข.สารละลายน้นั 100 กรัม มีเอทิลแอลกอฮอลอ์ยู่80 กรัม ค.สารละลายน้นั 100 cm3 มีเอทิลแอลกอฮอลอ์ยู่80 กรัม ง.สารละลายน้นั 100 กรัมมีเอทิลแอลกอฮอลอ์ยู่80 cm3 10. ขอ้ใดจดัเป็นการพิสูจน์วา่สารx กบัสารy มีความสามารถในการละลายในของเหลว z ไดด้ีกวา่กนั ก.ใช้ของเหลว Z ปริมาณเท่ากนัที่อุณหภูมิเดียวกนั ข. ใช้ของเหลว Z ปริมาณเท่ากนัที่อุณหภูมิต่างกนั ค.ใช้สาร x และ y ปริมาณเท่ากนัที่อุณหภูมิต่างกนั ง.ใช้สาร x และ y ปริมาณเท่ากนัที่อุณหภูมิเดียวกนั
208 เฉลยแบบทดสอบบทที่ 9 เรื่องสารละลาย 1. ก 2. ค 3. ก 4. ก 5. ค 6. ข 7. ข 8. ก 9. ก 10. ง
209 บทที่ 10 สารและผลิตภัณฑ์ในชีวิต สาระส าคัญ ความหมายของ สารผลิตภณัฑ์คุณสมบตัิของสารประเภทต่าง ๆ ไดแ้ก่สารอาหาร สารปรุง แต่ง สารปนเป้ือน สารเจือปน สารพิษ สารสังเคราะห์ ประโยชน์ของสารและผลิตภัณฑ์ใน ชีวิตประจา วนัการเลือกใช้สารและผลิตภณัฑ์อย่างปลอดภยัผลกระทบและโทษที่เกิดจากการใช้สาร และผลิตภณัฑต์ ่อชีวติและสิ่งแวดลอ้ม ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั 1. อธิบายสารและสารสังเคราะห์ได้ 2. อธิบายการใช้สารและผลิตภัณฑ์ของสารบางชนิดในชีวิตประจ าวันและเลือกใช้ได้ 3. อธิบายผลกระทบที่เกิดจากการใชส้ารและผลิตภณัฑท์ ี่มีต่อชีวติและสิ่งแวดลอ้ม ขอบข่ายเนื้อหา 1. สารและคุณสมบัติของสาร 2. สารสังเคราะห์ 3. สารและผลิตภัณฑ์ในชีวิต 4. การเลือกใช้สารและผลิตภัณฑ์ในชีวิต 5. ผลกระทบที่เกิดจากการใชส้ารและผลิตภณัฑต์ ่อชีวติและสิ่งแวดลอ้ม
210 เรื่องที่ 1 สารและคุณสมบัติของสาร สาระส าคัญ ความหมายของสาร คุณสมบตัิของสารประเภทต่าง ๆ ได้แก่สารอาหาร สารปรุงแต่ง สาร ปนเป้ือน สารเจือปน สารพิษ สารสังเคราะห์คุณสมบัติและประโยชน์ของสาร ผลิตภัณฑ์ใน ชีวิตประจา วนัการเลือกใชส้ารอย่างปลอดภยัในชีวิต และผลกระทบที่เกิดจากการใช้สารต่อชีวิตและ สิ่งแวดลอ้ม ความหมายของสารและผลิตภัณฑ์ สาร หมายถึง สิ่งที่มีตวัตน มีมวลหรือน้า หนกัตอ้งการที่อยแู่ละสามารถสัมผสัได้เช่น ดิน หิน อากาศ พืช และสัตว์ทุกสิ่งทุกอยา่งมที่อยรู่อบๆ ตวัเรา จดัเป็นสารท้งัสิ้น สารแต่ละชนิดมีสมบตัิ แตกต่างกนัแต่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะได้ การที่สารมีสมบัติแตกต่างกัน และมีสมบัติแตกต่างกัน และมีความสามารถในการ เปลี่ยนแปลงสถานะไดแ้ตกต่างกนัน้ีถือว่าเป็นลกัษณะเฉพาะของสารแต่ละชนิด ดงัน้นัจึงมีการใช้ เกณฑ์การพิจารณาและอธิบายสมบัติของสารมาจัดจ าแนกสาร และมีการทดสอบสมบัติของสารเพื่อ พิสูจน์วา่สารน้นัเป็นสารชนิดใด เพราะหากอาศยัแต่การสังเกตหรือมองเห็นเพียงอยา่งเดียวในบางคร้ัง ก็ไม่สามารถจะตดัสินไดแ้น่นอน ผลิตภัณฑ์ (Product) หมายถึง สิ่งที่เสนอขายให้กบัตลาด สามารถตอบสนองความตอ้งการ ของลูกคา้กลุ่มเป้าหมายได้ผลิตภณัฑท์ ี่เสนอขายอาจจะสัมผสัไดห้รือสัมผสัไม่ได้ท้งัน้ีรวมถึง สินคา้ บริการ สถานที่ องค์กร บุคคล หรือความคิด รูปภาพ ผลติภัณฑ์ทใี่ช้ในชีวิตประจ าวนั 1.1 สารอาหาร (nutrients) หรือโภชนาสาร มีผูใ้ห้ความหมายไวด้ ังน้ีวีนัส และ ถนอมขวญั (2541) อธิบายว่า สารอาหาร หมายถึง สารประกอบเคมีหรือแร่ธาตุที่มีอยใู่นอาหารชนิดต่างๆ ที่ร่างกายตอ้งการ สิริพันธุ์ (2542) อธิบายว่า สารอาหาร หมายถึง ส่วนประกอบที่เป็นสารเคมีที่มีอยใู่นอาหารเมื่อบริโภคเขา้ไปแลว้ร่างกายสามารถ นา ไปใชป้ระโยชน์ได้โดยคาร์โบไฮเดรต ไขมนั โปรตีน เป็นสารอาหารที่ร่างกายตอ้งการปริมาณมาก
211 และเป็นสารอาหารที่ให้พลงังานแก่ร่างกาย เรียก “macronutrients ” ส่วนวิตามิน และเกลือแร่เป็น สารอาหารที่ร่างกายตอ้งการนอ้ยและไม่ให้พลงังาน เรียก“micronutrients” เสาวนีย์ (2544) อธิบายวา่ สารอาหาร หมายถึง สารเคมีที่มีอยใู่นอาหาร มี6 ชนิด คือ 1. คาร์โบไฮเดรต 2.โปรตีน 3. ไขมัน 4.วิตามิน 5. เกลือแร่6. น้า สารอาหารแต่ละพวกทา หน้าที่อย่างใดอย่างหน่ึง หรือหลายอย่าง วินัย และคณะ (2545) อธิบายวา่สารอาหาร หมายถึง สารเคมีที่พบในอาหารเป็นสารที่มีความสา คญัต่อกระบวนการของชีวติ สรุป สารอาหาร หรือโภชนสาร หมายถึง สารเคมีที่มีอยใู่นอาหาร มี6 ชนิด เป็นสารที่มีความส าคญัต่อ กระบวนการทา งานของร่างกาย โดยแบ่งสารอาหารที่ร่างกายตอ้งการเป็น สารอาหารที่ตอ้งการใน ปริมาณมาก หรือสารอาหารที่ให้พลังงาน หรือศัพท์สมัยใหม่เรียก สารอาหารมหภาคได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซ่ึงท าหน้าที่ให้พลังงาน และเสริมสร้างเน้ือเยื่อในร่างกาย สารอาหารที่ตอ้งการในปริมาณน้อย หรือ สารอาหารที่ไม่ให้พลงังาน หรือสารอาหารจุลภาค ได้แก่ วติามิน และเกลือแร่ส่วนน้า เป็นสารอาหารที่ไม่ใหพ้ลงังานแต่ช่วยสนบัสนุนการทา งานของร่างกายซ่ึง จะขาดไม่ได้ที่ผูเ้ขียนสรุปว่าน้า คือ สารอาหารตวัหน่ึงท้งัน้ีเพราะน้า เป็นสารเคมีชนิดหน่ึงที่อยู่ใน อาหารทุกชนิดมากนอ้ยข้ึนอยกู่บัชนิดของอาหาร การแบ่งประเภทของสารอาหาร แบ่งได้(วนีสัและถนอมขวญั , 2541) ดงัน้ี 1.สารอาหารที่ร่างกายตอ้งการในปริมาณมาก ได้แก่สารอาหาร คาร์โบไฮเดรต ไขมนัและ โปรตีน ซึ่งท าหน้าที่ให้พลังงาน และเสริมสร้างเน้ือเยอื่ 2.สารอาหารที่ร่างกายตอ้งการในปริมาณนอ้ยไดแ้ก่วิตามิน และเกลือแร่ร่างกายตอ้งการสาร เหล่าน้ีเพื่อกา หนด และควบคุมกระบวนการทา งานของร่างกายเพื่อดา รงไวซ้่ึงสุขภาพที่ดี 3.น้ าเป็นส่วนประกอบที่ส าคัญในการสนับสนุนการท างานของสารอาหารท้ังหมดใน กระบวนการทา งานของสิ่งมีชีวติ 1.2 สารปรุงแต่ง สารปรุงแต่งอาหาร หมายถึง สารปรุงรสอาหารใชใ้ส่ในอาหารเพื่อทา ให้อาหารมีรสดีข้ึน เช่น น้า ตาล น้า ปลา น้า ส้มสายชูน้า มะนาว ซอสมะเขือเทศและใหร้สชาติต่างๆ ดงัรูป รูปภาพ สารปรุงแต่งรสอาหาร
212 วิธีการการตรวจสอบ ผงชูรส เนื่องจากผงชูรสเป็นวตัถุที่สังเคราะห์ข้ึนมา การตรวจสอบผงชูรสอาจท าได้โดยการสังเกต ลักษณะภายนอกแต่ในบางคร้ังก็เป็นการยากในการสังเกต วิธีที่ดีที่สุดต้องตรวจสอบโดยวิธีทางเคมีซึ่ง มีวธิีการดงัน้ี 1.การเผา โดยการน าผงชูรส ประมาณ 1 ช้อนชา ใส่ลงชอ้นโลหะเผาบนเปลวไฟให้ไหมแ้ลว้ สังเกต ถ้าเป็ นผงชูรสแท้จะไหม้เป็ นสีด า แต่ถา้เป็นผงชูรสที่มีสารอื่นเจือปนจะเป็นสีขาว 2. ตรวจสอบดว้ยกระดาษขมิ้น ซ่ึงเตรียมโดยการเอาผงขมิ้นประมาณ 1 ช้อนชา ละลายใน แอลกอฮอล์หรือน้า 10 ช้อนชา จะได้สารสีเหลือง จากน้นัจุ่มกระดาษสีขาวหรือผา้ขาวลงในสารสาร สีเหลือง นา ไปผ่งึใหแ้หง้จะไดก้ระดาษขมิ้นหรือผา้ขมิ้น การตรวจสอบท าได้โดยการละลายผงชูรสใน น้า สะอาด จากน้นัจุ่มกระดาษขมิ้นหรือผา้ขมิ้นลงไปพอเปียก สังเกตการณ์เปลี่ยนสีถ้าเป็ นผงชูรสที่มี สารอื่นเจือปนจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็ นสีแดง แต่ถา้ไม่เปลี่ยนสีเป็นผงชูรสแท้ 3. ตรวจดว้ยน้า ยาปูนขาวผสมน้า ส้มสายชูการเตรียมน้า ยาปูนขาว ท าได้โดยเอาปูนขาวครึ่ ง ช้อนชา ละลาย ในน้า ส้มสายชู 1 ช้อนชา คนให้ละลายต้งัทิ้งไวใ้ห้ตกตะกอน จะไดส้ ่วนที่เป็นน้า ใส คือน้า ยาปูนขาว การตรวจสอบท าได้โดยการเอาผงชูรสมาประมาณ 1 ช้อนชา ละลายในน้า เท น้า ยาปูนขาวลงไป 1 ช้อนชา สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลง ถา้เป็นผงชูรสแทจ้ะไม่มีตะกอนสีขาว แต่ถา้ เป็ นผงชูรสที่มีสารอื่นเจือปนจะมีตะกอนสีขาว การตรวจสอบน ้าปลา มีวิธีการทดสอบดังนี้ 1.หยดน้า ปลาลงไปบนถ่านที่กา ลงติดไฟ ั ไดก้ลิ่นปลาไหมจ้ะเป็นน้า ปลาแท้ถา้ไม่มีกลิ่นเป็น น้า ปลาปลอม 2.นา มาต้งัทิ้งไวแ้ลว้ดูการตกตะกอน ถา้เป็นน้า ปลาแทจ้ะไม่ตกตะกอน แตถ้า้เป็นน้า ปลาปลอม จะตกตะกอน 3.การกรองโดยการนา น้า ปลามากรองดว้ยกระดาษกรองถา้กระดาษกรองไม่เปลี่ยนสีเป็นน้า ปลา แท้แต่ถา้กระดาษกรองเปลี่ยนสีเป็นน้า ปลาปลอม กจิกรรมการเรียนรู้ที่ 1 กจิกรรมการเรียนรู้ที่ 2
213 การตรวจสอบน า้ส้มสายชูมีวิธีดังนี้ 1.การดมกลิ่นถา้เป็นน้า ส้มสายชูแทจ้ะมีกลิ่นหอมที่เกิดจากการหมกัธญัพืชหรือผลไม้ถ้าเป็ น น้า ส้มสายชูปลอม จะมีกลิ่นฉุนแสบจมูก 2. ทดสอบกบัผกัใบบาง เช่น ใบผกัชีนา ลงไปแช่ลงในน้า ส้มสายชูประมาณ 30-45 นาทีถ้า พบวา่ ใบผกัชีไม่เหี่ยวเป็นน้า ส้มสายชูแท้แต่ถา้ใบผกัชีเหี่ยวเป็นน้า ส้มสายชูปลอม 3.ทดสอบใช้เจ็นเทียนไวโอเลต ( Gentian Violet ) หรือที่เรารู้จกักนัชื่อ ยามะม่วง น าไป ผสมกบัน้า ใหเ้จือจางจากน้นันา ไปหยดลงในน้า ส้มสายชูแท้แต่ถา้เปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือสีน้า เงินอ่อน ๆเป็นน้า ส้มสายชูปลอม 1.3 สารปนเปื้ อน สารปนเปื้ อน (Contaminants) หมายถึง สารที่ปนเป้ือนกบัอาหารโดยไม่ต้งัใจแต่เป็นผลซ่ึง เกิดจากกระบวนการผลิต กรรมวิธีการผลิต โรงงานหรือสถานที่ผลิต การดูแลรักษา สิ่งปนเป้ือนอาหาร ไม่ว่าจะมีอยตู่ามธรรมชาติหรือมนุษยส์ร้างข้ึนน้ี หากจ าแนกตามคุณสมบัติของสาร จะแบ่งได้๓ ประเภท คือ - สิ่งมีชีวติ (บคัเตรีเช้ือรา เป็ นต้น) - สารเคมี(สารกา จดัแมลง โลหะ สารพิษที่จุลินทรียส์ร้างข้ึน เป็นตน้ ) - สารกมัมนัตรังสี 1.4 สารเจือปน สารเจือปน หมายถึง สารที่เติมลงไปเพื่อเพิ่มคุณลกัษณะดา้น สีกลิ่น รส ของอาหาร ให้มี ลกัษณะใกลเ้คียงธรรมชาติอาจมีคุณค่าทางโภชนาการ หรือไม่ก็ได้เป็นสารที่ต้งัใจเติมลงในอาหาร ไดแ้ก่สารปรุงแต่งสีสารปรุงแต่งกลิ่น เช่น สีย้อมผ้า รูปภาพสารเจือปนในอาหาร สาเหตุที่ตอ้งใส่วตัถุเจือปนอาหารลงไปก็เพื่อวตัถุประสงค์ทางดา้นเทคโนโลยีการผลิต การเตรียม วตัถุดิบ และการแปรรูป การบรรจุการขนส่งการเก็บรักษาอาหารและ มีผลหรืออาจมีผลทางตรงหรือ กจิกรรมการเรียนรู้ที่ 3
214 ทางอ้อม ทา ให้สารน้นัหรือผลิตผลพลอยไดข้องสารน้นักลายเป็นส่วนประกอบของอาหารน้นัหรือ มีผลต่อคุณลกัษณะของอาหารน้นัแต่ไม่รวมถึง สารปนเป้ือน หรือ สารที่เติมลงไปเพื่อปรับปรุงคุณค่า ทางอาหารของอาหาร โดยที่การใช้วัตถุเจือปนอาหารต้องมิได้มีเจตนาหลอกลวงผู้บริโภค หรือปิ ดบัง การใชว้ตัถุดิบที่มีคุณภาพไม่ดีหรือการผลิตที่มีการสุขาภิบาลไม่ถูกตอ้งและตอ้งไม่ทา ให้คุณค่าทาง อาหารลดลงด้วย 1.5 สารพิษ สารพิษ หมายถึง สารที่เป็นอนัตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทรัพยส์ ินสารพิษซ่ึงมีหรือเกิดข้ึนใน สิ่งแวดล้อมรอบตวัเราที่เข้ามาปะปนหรือปนเป้ือนอาหาร แล้วก่อให้เกิดอาการพิษแก่ผูบ้ริโภค น้นัจา แนกตามแหล่งที่มาไดเ้ป็น 3 ประเภทคือ 1. สารพิษที่มีอยู่ตามธรรมชาติในส่วนประกอบของอาหารซ่ึงจะพบอยู่ในพืชและ สัตว์สิ่งเหล่าน้ีจะมีโทษต่อมนุษยก์ ็ดว้ยความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปเก็บเอาอาหารที่เป็นพิษมา บริโภค เช่น พิษจากเห็ดบางชนิด ลูกเนียง แมงดาทะเลเป็ นพิษ สารพิษในหัวมันส าปะหลังดิบ เป็ น ต้น รูปภาพ แสดงตัวอย่างสารพิษทมี่ีอยู่ในธรรมชาติ 2. สารพิษที่เกิดจากการปนเป้ือนในอาหารตามธรรมชาติ สารพิษที่มาจากจุลินทรีย์ซึ่ง มี 2 ประเภทใหญ่ คืออนัตรายที่เกิดจากตวัจุลินทรียแ์ละอนัตรายที่เกิดจากสารพิษที่จุลินทรียส์ร้างข้ึน จุลินทรียท์ ี่ทา ใหเ้กิดพิษเนื่องจากตวัของมนัเอง มีอยู่ 5 พวก ไดแ้ก่ 1. แบคทีเรีย เช่น Salmonella Shigella Vibrio 2. รา เช่น Aspergillus Penicillin fusarum Rhizopus 3. โปรโตซัว เช่น Entamoeba histolytica 4. พาราสิต เช่น Trichinosis Tapeworms 5. ไวรัส เช่น Poliovirus Hepatitis Virus รูปภาพ แสดงตัวอย่างจุลนิทรีย์
215 จุลินทรียท์ ี่ทา ใหเ้กิดพิษภยัอนัเนื่องมาจากสารพิษที่สร้างข้ึนในขณะที่จุลินทรียน์ ้นัเจริญเติบโต แลว้ปล่อยทิ้งไวใ้นอาหาร มีท้งัสารพิษของแบคทีเรีย และของเช้ือรา สารพิษที่ส าคัญที่พบ ไดแ้ก่ สารพิษที่เกิดจาก Clostridium botulinum เป็นจุลินทรียท์ ี่เป็นสาเหตุให้เกิดพิษในอาหารกระป๋องและ สารพิษจากเช้ือรา ที่เรียกวา่ Alflatoxin มกัจะพบในพืชตะกูลถวั่ โดยเฉพาะถวั่ลิสงและผลิตภณัฑ์จาก ถวั่ลิสง ไดแ้ก่ถวั่กระจก ขนมตุบ๊ตบั๊น้า มนัถวั่ลิสง เป็ นต้น 3. พิษที่เกิดจากสารเคมีซ่ึงปะปนมากบัอาหาร ได้แก่สารหนู และโซเดียม ฟลูออไรด์ที่มีอยใู่นยาฆ่าแมลง หรือยาฆ่าวชัพืชต่างๆ ส าหรับยาฆ่าแมลงซ่ึงใช้มากเกินไปหรือเก็บ พืชผลเร็วกวา่กา หนดเมื่อกินผกัผลไมเ้ขา้ไปจะทา ให้ร่างกายสะสมพิษ และเป็นสาเหตุทา ให้เกิดมะเร็ง ได้สา หรับพิษจากสารปลอมปนและสารปรุงแต่งอาหารไดก้ล่าวแลว้ รูปภาพ ตัวอย่างอาหารทกี่่อให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกาย ตารางแสดงตัวอย่างสารพษิทปี่นมากบัอาหารและอาการของผู้ทไี่ด้รับสารพษิ ชนิดของโลหะ อาการ ตะกวั่( Lead) - ระยะแรกร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ โลหิตจาง - ระยะที่สอง เป็ นอัมพาตตามแขนขา สมองไม่ปกติ ชักกระตุก เพ้อคลงั่หมดสติ แคดเมียม ( Cadmium ) - ท้องเดิน ไอหอบ เหนื่อยง่าย โลหิตจาง กระดูกผุ ตับพิการ ไตพิการ ปรอท ( Mercury ) - ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ มือสั่น นอนไม่หลบั มีอาการทางประสาท ระบบทางเดินอาหารและการท างานของไตผิดปกติ โครเมียม ( Chromium ) - เวียนศีรษะ เกิดแผลที่จมูก ปอด ทางเดินอาหาร เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน หมดสติมีอนัตรายต่อตบั และไต อาจเสียชีวิตได้ เนื่องจากปัสสาวะเป็ นพิษ สารหนู ( Arsenic ) - มีอาการทางผิวหนัง ตาอักเสบ เส้นประสาทอักเสบ ปวดศีรษะ วิงเวียน มีอาการทางสมอง ตับและไตพิการ พลวง ( Antimony ) - อาเจียนบ่อย ๆ ถ่ายอุจจาระเป็นน้า มีพิษต่อตบัอยา่งรุนแรง เซเรเนียม ( Selemium) - มีอาการปวดศีรษะบริเวณหน้าผาก ตกใจง่าย ลิ้นเป็นฝ้า ผิวหนังอักเสบ อ่อนเพลีย ตับถูกท าลาย
216 เรื่องที่ 2 สารสังเคราะห์ สารสังเคราะห์ (synthetic substance) สารที่ไดจ้ากปฏิกิริยาเคมีนา มาใชป้ระโยชน์เพื่อทดแทนสารจากธรรมชาติซ่ึงอาจมีปริมาณไม่ เพียงพอ หรือคุณภาพไม่เหมาะสม รูปภาพ สารสังเคราะห์ทไี่ด้จากธรรมชาติ สารสังเคราะห์ คือ สารที่มนุษยศ์ึกษาคน้ควา้วิจยัจากธรรมชาติจนคิดวา่รู้และเขา้ใจในสิ่งน้นั อย่างถ่องแทส้ามารถสังเคราะห์สร้างสารน้นัข้ึนมาทดแทน การสร้างของธรรมชาติ ตลอดจนมีการ ดดัแปลงต่อเติมโครงสร้างบางประการใหเ้ป็นตามที่ตนตอ้งการ โดยอาจไม่คา นึงถึงผลกระทบต่อสมดุล ของธรรมชาติภายใตก้ฎเกณฑ์การเกิดข้ึน ต้งัอยแู่ละดบัไปโดยสัมพนัธ์กบมิติของชีวิตจิตวิญญาณของ ั มิติของกาลเวลาใน ธรรมชาติ ซ่ึงก่อให้เกิดการรบกวนกฎเกณฑ์การควบคุมสมดุลของธรรมชาติโดย ปกติเช่น การสังเคราะห์โพลิเมอร์หลายชนิดที่ทนทานต่อการยอ่ยสลายในสภาวะแวดลอ้มปกติของ ธรรมชาติในปัจจุบนัการตดัต่อพนัธุกรรมพืช และสัตวใ์ห้ผิดเพ้ียนจากวิวฒันาการปัจจุบนั โดยไม่ ค านึงถึงความเหมาะสม สมดุลในกาลปัจจุบัน โดยมุ่งสนองต่อตณัหากิเลสความเก่งกลา้ของตนเองเป็น สาเหตุให้เกิดการสูญพนัธุ์ของพืช และสัตวห์ลายชนิดจากการแทรกแซงวิถีปกติของธรรมชาติเช่น การตดัต่อเอาสารพนัธุ์กรรมของแบคทีเรียไปใส่ไวใ้นพืชตระกูลฝ้ายแล้วจดสิทธิบัตรเป็ นพันธุ์พืชของ ตนเองเรียกวา่ ฝ้าย BTในขณะเดียวกนัเพื่อเป็นการปกป้องการละเมิดสิทธิบตัรของตน หรืออาจเจตนา ท าลายฝ้ ายธรรมชาติให้สูญพันธุ์หวังการผูกขาด การปลูกฝ้ายจึงตดัต่อยีนส์ให้ฝ่าย BT เป็ นหมันโดย ไม่ไดม้ีการป้องกนัการปนเป้ือนยนีส์BT จากการผสมเกสรของแมลงใหเ้ป็นหมนั ในรุ่นต่อมา หรือยีนส์ BTของแบคทีเรียอาจกระตุ้นให้ฝ้ าย BT สร้างสารพิษท าลายแมลงในธรรมชาติจนกระทบห่วงโซ่ความ สมดุลของแมลงในธรรมชาติจนเกิดการสูญพนัธุ์ของพืชตระกลูฝ้ ายและแมลงในธรรมชาติได้ จะเห็นไดว้่าการเกิดข้ึนของสารสังเคราะห์หรือการสังเคราะห์สร้างสรรพสิ่งที่ผิดเพ้ียนจาก ธรรมชาติโดยยังขาดความตระหนัก ในความละเอียดอ่อน ซบัซ้อน ลึกซ้ึงในสมดุลของธรรมชาติอาจ ก่อให้เกิดหายนะภยัแก่ธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้มเกินกว่าจะแกไ้ขเยียวยาไดใ้นปัจจุบนัมนุษยพ์บว่า อัตราการสูญ เผา่พนัธุ์ของสิ่งมีชีวติในธรรมชาติเพิ่มข้ึน ในอตัราที่น่าตกใจความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เสื่อมทรุดหดหายไป ยอ่มหลีกไม่พน้ที่จะกระทบต่อการดา รงอยขู่องเผา่พนัธุ์มนุษยเ์ช่นเดียวกบัการเกิด
217 โรคอุบตัิใหม่ท้งัหลายเช่น ไขห้วดัซาร์เอดส์ ไข้หวัดนก และอื่นๆ และโรคความเสื่อมจากการเสียสมดุล ของร่างกายจากผลกระทบของสารเคมีสังเคราะห์ ซ่ึงกระทบต่อสิ่งแวดลอ้มกระทบต่อสมดุลของธาตุ ในร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือด โรคไต และ ตับวายจากการท างานหนัก ในการขจัดสาร แปลกปลอมต่างๆที่รบกวนสมดุลของร่างกายโดยเฉพาะโรคภูมิแพ้เหล่าน้ีลว้นเกิดจากผลกรรมที่มนุษย์ แทรกแทรงสมดุลของธรรมชาติใหเ้สียไปท้งัสิ้น สารสังเคราะห์ที่มีสมบัติคล้ายฮอร์โมน สารสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติเหมือนออกซิน สังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตร ส าหรับ ใชเ้ร่งรากของกิ่งตอนหรือกิ่งปักชา ช่วยในการเปลี่ยนเพศดอกบางชนิด ช่วยให้ผลติดมากข้ึน ป้องกนั การร่วงของผล สารสังเคราะห์เหล่าน้ีไดแ้ก่ - IBA (indolebutylic acid ) - NAA (naphtaleneacetic acid ) -2, 4 - D (2-4 dichlorophenoxyacetic acid) สารสังเคราะห์ 2, 4-D นา ไปใช้ในวงการทหารในสงครามเวียดนาม ใช้โปรยใส่ตน้ ไมใ้นป่า เพื่อให้ใบร่วง จะได้เห็นภูมิประเทศ ในป่าไดช้ดัข้ึน สารสังเคราะห์ที่มีคุณสมบตัิเหมือนไซโทไคนิน นิยมนา มาใชก้ระตุน้การเจริญของตาพืช ช่วยรักษาความสด ของไมต้ดัดอกใหอ้ยไู่ดน้าน ไดแ้ก่ - BA (6-benzylamino purine) -PBA (tetrahydropyranyl benzyladenine) สารสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติเหมือนเอทิลีน ได้แก่ - สารเอทิฟอน (ethephon, 2-chloroethyl phosphonic acid ) น ามาใช้เพิ่มผลผลิตของน้า ยางพารา - สาร Tria ใชเ้ร่งการเจริญเติบโตของพืช ประเภทขา้ว ส้ม ยา
218 ปฏิกริิยาสะปอนนิฟิเคชัน (การเตรียมสบู่) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ทา การทดลองเตรียมสบู่ได้ 2.อธิบายและเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาน้า มนัพืชกบัสารละลาย NaOH ได้ อุปกรณ์ 1.ถว้ยกระเบ้ืองขนาดเส้นผา่ศูนยก์ลาง 8 cm 1 ใบ 2.ขวดรูปกรวยขนาด 100 cm3 1 ใบ 3. บิกเกอร์ขนาด 250 cm3 1 ใบ 4.กระบอกตวงขนาด 10 cm3 1 ใบ 5.แท่งแกว้คน 1อัน 6.จุกยางปิ ดขวดรูปกรวยขนาด 100 cm3 1 อัน 7. ตะเกียงแอลกอฮอลพ์ร้อมที่ก้นัลม 1 ชุด สารเคมี 1. น้า มนัพืช 3 cm3 (น้า มนัมะกอกหรือน้า มนัมะพร้าว) 2. สารละลาย NaOH 2.5 mod/dm 3 จ านวน 5 cm3 3. น้า 20 cm3 ล าดับขั้นตอนการปฏิบัติ 1.ผสมน้า มนัมะกอก3 cm3 กบัสารละลาย NaOH 2.5 mod/dm3 จ านวน 5 cm3 ในถ้วย กระเบ้ืองให้ความร้อนและคนตลอดเวลาจนสารในถว้ยกระเบ้ืองเกือบแห้งต้งัทิ้งไวใ้ห้เยน็สังเกตการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนและบนัทึกผล 2.แบ่งสารจากข้อ 1จา นวนเล็กนอ้ยใส่ลงในขวดรูปกรวยแลว้เติมน้า ลงไป 5 cm3 ปิ ดจุกแล้ว เขยา่ บันทึกผลการทดลอง สารที่ไดจ้ะมีสีเหลืองอ่อนปนน้า ตาล มีกลิ่นคลา้ยสบู่เมื่อเติมน้า ลงไปแลว้เขยา่พบวา่เกิดฟอง สรุปและอภิปรายผล สารที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างน้า มนัมะกอกกบัสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)คือ สบู่ กจิกรรมการเรียนรู้ที่1
219 เรื่องที่ 3 สารและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิต สารเคมีในชีวิตประจ าวัน ในชีวิตประจา วนัเราจะตอ้งเกี่ยวขอ้งกบัสารหลายชนิด ซ่ึงมีลกัษณะแตกต่างกนัสารที่ใชใ้น ชีวิตประจ าวันจะมีสารเคมีเป็ นองค์ประกอบ ซึ่งสามารถจ าแนกเป็ นสารสังเคราะห์และสารธรรมชาติ เช่น สารปรุงรสอาหาร สารแต่งสีอาหาร สารทา ความสะอาด สารกา จดัแมลงและสารกา จดัศตัรูพืช เป็น ต้น ในการจา แนกสารเคมีเป็นพวกๆ น้ันเราใช้วตัถุประสงค์ในการใช้เป็นเกณฑ์การจา แนก ดัง รายละเอียดต่อไปน้ี ผลิตภัณฑ์ท าความสะอาดคอมพิวเตอร์ (Computer Cleaners) ที่มีจ าหน่ายเป็นส่วนผสมของอะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอนหลาย ๆ ชนิด (aliphatic hydrocarbon)35 % อะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอนน้ีเป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภณัฑ์ที่ใช้ใน ชีวิตประจ าวันหลายชนิด เช่น น้ ามนัสน แก๊สโซลีน สีน้ ามนัเป็นต้น คุณสมบัติของอะลิฟาติก ไฮโดรคาร์บอนคือไวไฟได้อะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอนส่วนใหญ่หากสัมผสัซ้า ๆ ทา ให้ผิวหนงัแห้ง เนื่องจากมันสามารถละลายไขมันที่ผิวหนังได้ดีซ่ึงอาจทา ให้ผิวหนงัเกิดอาการแพเ้ช่นเป็นผื่นแดงคนั เป็นตุ่มพอง เป็นแผลระบม ฟกช้า ตกสะเก็ด และอะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอนบางชนิด เช่น n-hexane ยัง เป็ นสารพิษที่ยบัย้งัหรือทา ลายเน้ือเยื่อของระบบประสาท หากสูดไอระเหยเขา้ไปเป็นเวลานานอย่าง ต่อเนื่อง การไดร้ับสารท้งัแบบระยะส้ันในปริมาณมากหรือต่อเนื่องในระยะยาวทา ให้มีปัญหาดา้น สุขภาพ เช่น การกดระบบประสาทส่วนกลาง หวัใจลม้เหลว หมดสติโคม่าและอาจถึงตายได้ดงัน้นั ใน การใช้สารพิษชนิดน้ีเป็นประจา ควรมีเครื่องป้องกันการหายใจ และใช้ในที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หลีกเลี่ยงการใชใ้นที่ปิด เช่น หอ้งปรับอากาศ หรือในมุมอับอากาศ และควรสวมถุงมือด้วย ผลติภัณฑ์เพมิ่ความชุ่มชื้นของผวิหนัง (Moisturizer) ปกติผิวหนงัจะมีการปกป้องการสูญเสียน้า ตามธรรมชาติอยู่แลว้ โดยมีผิวหนงัข้ีไคล ซ่ึงเป็น แผน่ ใสคลุมผวิอยู่นอกจากน้นัยงัมีน้า มนัหล่อเล้ียงผิวหนงัซ่ึงช่วยเก็บความชุ่มช้ืนของผิวไวอ้ีกช้นัหน่ึง แต่บางคนหรือบางสถานการณ์เช่น โรคหนงัแห้งจากพนัธุกรรม การชา ระลา้งเกินความจา เป็น หรือใน ภาวะอากาศแห้งในฤดูหนาว หรือการท างานในห้องปรับอากาศ น้า จะระเหยจากผิวหนงัเพิ่มมากข้ึน ผลิตภณัฑเ์พิ่มเพื่อความชุ่มช้ืนจึงเป็นที่นิยม จนกลายเป็นความจา เป็นข้ึนมาลกัษณะของผลิตภณัฑ์มีท้งั ชนิดครีม โลชันขุ่น โลชั่นใส เจล สเปรย์หลกัการทา งานของมนัก็คือเพื่อให้ผิวหนงัมีความชุ่มช้ืน เพิ่มข้ึน องค์ประกอบมีท้งัสารช่วยเพิ่มน้า ในช้ันผิวหนัง เช่น กรดอะมิโน โซเดียมพีซีเอ (Sodium Pyrrolidone Carboxylic Acid) โพลิเพปไทด์ ยูเรีย แลคเตต เป็ นต้น ส่วนสารป้องกนัการระเหยของน้า จากช้ันผิวก็เป็นพวกน้ ามนัและข้ีผ้ึง ไขสัตว์ ซิลิโคน บางผลิตภัณฑ์จะเติมสารดูดความช้ืนจาก บรรยากาศเพื่อป้องกนัการระเหยของน้า จากเน้ือครีม เช่น กลีเซอรีน น้า ผ้งึกรดแลคติก
220 เอ เอช เอ (AHA) กับความงามบนใบหน้า AHA ยอ่มาจาก Alpha Hydroxyl Acids มีสรรพคุณที่กล่าวขวญัวา่เป็นสารช่วยลดริ้วรอยจุดด่าง ด าบนผิวหนังได้จึงใชผ้ สมกบัครีมและโลชนั่เครื่องส าอางที่มี AHA เป็นส่วนประกอบถูกจดัในกลุ่ม เดียวกบัสารเคมีสา หรับลอกผวิซ่ึงใชง้านกนั ในหมู่แพทยผ์ิวหนงัและศลัยกรรมพลาสติก AHA ที่ใชก้นั มากคือกรดไกลโคลิกและกรดแลกติกแต่ยงัมีหลายชนิดที่ใชเ้ป็นส่วนประกอบ โดยปกติที่วางตลาดมี ความเข้มข้นร้อยละ 10 หรือนอ้ยกวา่น้นัแต่ในกรณีของผเู้ชี่ยวชาญดา้นผิวหนงัสามารถใชไ้ดถ้ึงระดบั ความเข้มข้นร้อยละ 20 -30 หรือสูงกวา่น้นั AHA จดัอยใู่นผลิตภณัฑ์ที่ไม่ใช่เครื่องส าอางทวั่ ไป แต่อยู่ ในหมวดของเวชส าอาง (Cosmeceutical) ตามองคก์ารอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ซึ่งให้ ความสนใจเป็ นพิเศษ เนื่องจาก AHA ไม่เหมือนเครื่องส าอางทวั่ ไป แต่มนัซึมผา่นเขา้ไปในช้นัผิวหนงั ได้และหากเขม้ขน้พอก็จะลอกผวิซ่ึงเกิดผลในทางลบคือทา ใหเ้ซลผวิเสื่อมเร็วข้ึน และยงัทา ให้ผิวหนงั ช้นันอกบางลงดว้ยผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA จา นวนหน่ึง ใชแ้ลว้พบวา่ผิวของตนไวต่อแสงอาทิตย์มาก ข้ึน หรือแพแ้ดดนนั่เองการทดลองใชก้รดไกลโคลิกเขม้ขน้และต่อเนื่องจะพบอาการผิวแดงและทนต่อ แสงยูวีได้น้อยลง องค์การที่ดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภค ได้สรุปผลในการใช้ AHA อยา่งปลอดภยั ให้มีความเขม้ขน้ ไม่เกินร้อยละ 10 และเมื่อผสมพร้อมใชจ้ะตอ้งมีค่าความเป็นกรด-ด่างไม่ต่า กว่า 3.5 นอกจากน้นัผลิตภณัฑน์ ้นัยงัตอ้งมีส่วนผสมที่ช่วยลดระดบัความไวต่อแสงแดด หรือมีสารกนัแดด หรือ มีขอ้ความแนะนา ให้ใชค้วบคู่กบัผลิตภณัฑ์ส าหรับกนัแดด ถา้อยากทราบว่าผลิตภณัฑ์ที่ใชอ้ยมู่ ีAHA หรือไม่ลองอ่านฉลากดูและมองหาชื่อสารเคมีต่อไปน้ี -กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) -กรดแลคติก (Lactic acid) -กรดไกลโคลิกและแอมโมเนียมไกลโคเลต (Glycolic acid and Ammonium glycolate) -กรดอัลฟาไฮดรอกซีคาโพรลิก (Alphahydroxy caprylic acid) -กรดผลไม้รวม (Mixed fruit acid) -กรดผลไมส้ามอยา่ง (Triple fruit acid) -กรดผลไม้ชนิดไตรอัลฟาไฮดรอกซี (Tri-alpha hydroxyl fruit acid) - สารสกดัจากน้า ตาลออ้ย (Sugar cane extract)
221 ผลติภัณฑ์กา จัดสิ่งอุดตัน การเกิดสิ่งอุดตนั ในท่อโดยเฉพาะท่อน้า ทิ้งจากอ่างลา้งชาม ส่วนหน่ึงเกิดจากไขมนัจากเศษ อาหารแข็งตวัเกาะอยู่ในท่อ สารเคมีที่ใชเ้ป็นผลิตภณัฑ์กา จดัสิ่งอุดตนัส่วนใหญ่คือโซเดียมไฮดรอก ไซด์ หรือ โซดาไฟ (sodium hydroxide) ซ่ึงมีท้งัชนิดผงหรือเม็ด และชนิดน้า ความเขม้ขน้ของท้งั 2 ชนิดจะแตกต่างกนัชนิดผงจะมีความเขม้ขน้ของโซเดียมไฮดรอกไซด์ประมาณ 50% โดยน้า หนัก ในขณะที่ชนิดน้า จะมีความเข้มข้นประมาณ 25% โดยน้า หนกัโซเดียมไฮดรอกไซด์จะทา ปฏิกิริยากบั สิ่งอุดตนั ประเภทไขมนักลายเป็นสารที่ละลายน้า ได้ โซเดียมไฮดรอกไซด์มีความเป็นพิษมากเพราะฤทธ์ิกดักร่อน การสัมผสัทางผิวหนงัทา ให้เกิด แผลไหม้การสัมผสัถูกตามีฤทธ์ิกดักร่อน ทา ให้เกิดการระคายเคืองอยา่งรุนแรง เป็นแผลแสบไหม้อาจ ทา ให้มองไม่เห็นและถึงข้นัตาบอดได้การหายใจเอาฝุ่นหรือละอองของสารอาจทา ให้เกิดการระคาย เคืองเล็กน้อยของทางเดินหายใจส่วนบนไปจนถึงระคายเคืองอย่างรุนแรง ท้งัน้ีข้ึนอยู่กบั ปริมาณของ การไดร้ับสารอาการอาจมีการจาม เจ็บคอ มีน้า มูกเกิดการหดเกร็งของกลา้มเน้ืออกัเสบ การบวมน้า ที่ ถุงลม และเกิดอาการบวมน้า ที่ปอด การกลืนหรือกินทา ให้เกิดการไหมอ้ย่างรุนแรงของปากคอและ ช่องทอ้ง ทา ให้เน้ือเยื่อเป็นแผลรุนแรงและอาจตายได้อาการยงัรวมถึงเลือดออกในช่องทอ้ง อาเจียน ท้องเสีย ความดันเลือดต ่า การปฐมพยาบาลควรล้างบริเวณที่ได้รับสารด้วยน้า อย่างน้อย 15 นาที โซเดียมไฮดรอกไซดเ์มื่อละลายในน้า จะใหค้วามร้อนสูงจนอาจเดือดกระเด็นเป็นอนัตรายได้และยังท า ให้เกิดละอองที่มีกลิ่นฉุนและระคายเคืองมาก ห้ามผสมหรือใช้ร่วมกบัผลิตภณัฑ์ที่มีสมบตัิเป็นกรด ดังน้ันห้ามผสมน้ ายาล้างห้องน้ าซ่ึงมีฤทธ์ิเป็นกรด เพราะโซเดียมไฮดรอกไซด์มีฤทธ์ิเป็นเบสซ่ึง เกิดปฏิกิริยารุนแรงและทา ใหส้ารหมดประสิทธิภาพ ความเป็นด่างของโซเดียมไฮดรอกไซด์มีผล ต่อพี เอชหรือความเป็นกรดด่างของสิ่งแวดลอ้มจน ทา ให้สิ่งมีชีวิตน้า ตายได้ห้ามทิ้งลงสู่แหล่งน้า น้า เสีย หรือดิน ทางที่ดีจึงควรหลีกเลี่ยงใชผ้ลิตภณัฑ์กา จดัสิ่งอุดตนั ประเภทน้ีหากจ าเป็ นควรใช้โซเดียมไฮดร อกไซด์อยา่งระมดัระวงั ไม่สัมผสัสารโดยตรงควรใส่ถุงมือ และใช้สารให้หมดภายในคร้ังเดียวการ เก็บรักษาควรเก็บให้มิดชิด และปิดฝาให้สนิทเนื่องจากโซเดียมไฮดรอกไซด์ดูดความช้ืนและ คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศได้ดีมาก ท าให้ประสิทธิภาพลดลง
222 ผลติภัณฑ์ไล่ยุง (Insect Repellents) ผลิตภณัฑ์ไล่ยุง(Insect Repellents) ที่ใชก้นัมีสารเคมีที่เป็นสารออกฤทธ์ิคือ DEET, ไดเมทิล พทา เลต (dimethyl phthalate) และ เอทิลบิวทิลอเซติลามิโน โพรพิโนเอต (ethyl butylacetylamino propionate) ผลิตภณัฑไ์ล่ยงุมีหลายรูปแบบ ท้งัแบบสเปรย์ลูกกลิ้ง(roll on) โลชนั่ทากนัยุงและแป้งทาตวั DEET หรือ diethyltoluamide เป็นสารออกฤทธ์ิที่นิยมใช้มาก เป็นพิษแบบเฉียบพลนั ไม่มากนัก ถ้าสัมผัสทาง ผวิหนงัก่อใหเ้กิดการระคายเคืองต่อผวิหนงัและตา หากสูดดมข้าไป ทา ให้เกิดการระคายเคืองที่แผน่เยื่อ เมือกและทางเดินหายใจส่วนบน และการไดร้ับสารเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดอาการแพไ้ด้ ในการ ทดลองกบัหนูการไดร้ับสารแบบเร้ือรังจะก่อให้เกิดการกลายพนัธุ์และมีผลต่อทารกในครรภ์ความ เข้มข้นของ DEET ในผลิตภณัฑ์ไล่ยุงอยู่ระหว่าง 5-25% โดยน้า หนกั ปริมาณ % ที่มากข้ึนไม่ได้ หมายถึงประสิทธิภาพในการไล่ยงุจะมากข้ึน แต่หมายถึงระยะเวลาในการป้องกนัยุงนานข้ึน เช่นที่6% จะป้องกนัยุงได้2 ชวั่ โมง ในขณะที่ 20% จะป้องกนัยุงได้4 ชวั่ โมง dimethyl phthalate มีความเป็ นพิษ ปานกลางอาจทา ใหเ้กิดการระคายเคืองเช่นเดียวกบั DEET แลว้ยงักดระบบประสาทส่วนกลาง รบกวน ระบบทางเดินอาหาร ทา อนัตรายต่อไต มีความเสี่ยงทา ให้เกิดการพิการแต่กา เนิดของทารกในครรภ์มี ความเป็นพิษเล็กนอ้ยต่อสิ่งมีชีวิตในน้า โดยเฉพาะกบั ปลา Ethyl butylacetylamino propionate มีความ เป็ นพิษปานกลาง ก่อให้เกิดการระคายเคืองตา นอกจากใช้ไล่ยุงแล้ว Ethyl butylacetylamino propionate มีประสิทธิภาพในการไล่มด แมลงวนัแมงมุม เห็บ หมัดอีกด้วยผลิตภณัฑ์ไล่ยุงส่วนใหญ่มี ผลก่อการกลายพนัธุ์หากใชอ้ยา่งต่อเนื่อง ดงัน้นัควรใชเ้มื่อจา เป็นเท่าน้นัและควรใชอ้ยา่งระมดัระวัง... ค าแนะน าในการใช้ -ไม่ควรใชท้าผวิหนงัที่มีเส้ือผา้ปกปิดอยู่ -อยา่ทาบริเวณที่มีบาดแผลหรือรอยผนื่คนั - อย่าทาบริเวณดวงตา ปาก ถา้ใชแ้บบสเปรยใ์ห้ฉีดสเปรยล์งบนมือก่อนแลว้จึงทาที่ใบหน้า อยา่ฉีดสเปรยเ์ขา้ที่ใบหนา้โดยตรง - ห้ามเด็กใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง ควรทาบนมือก่อนแลว้จึงทาให้เด็กอยา่ฉีดหรือเทลงบนมือ ของเด็ก - ใช้ในปริมาณที่เพียงพอส าหรับปกป้ องผิว ไม่จา เป็นตอ้งทาให้หนาเพราะไม่ช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการไล่ยงุ - ถา้ใชแ้ลว้เกิดผื่นหรือเกิดผลขา้งเคียง ควรลา้งออกดว้ยน้า สบู่แลว้ไปพบแพทยพ์ร้อมกบันา ผลิตภัณฑ์ไปด้วย - งดใช้ในสตรีมีครรภ์
223 ลูกเหม็น (Mothball) ลูกเหมน็ที่เราคุน้เคยมีลกัษณะเป็นกอ้นกลมสีขาวขนาดเส้นผา่ศูนยก์ลางประมาณ 1 เซนติเมตร เอาไวใ้ส่ในตูเ้ส้ือผา้หรือตูเ้ก็บรองเทา้เพื่อระงบักลิ่นและป้องกนัแมลงกดัแทะ เพราะลูกเหม็นให้ไอที่มี กลิ่นออกมาจากสารเคมีที่เป็นของแขง็เรียกวา่ระเหิดออกมา (ถา้ไอออกมาจากของเหลวเรียกวา่ระเหย) สารเคมีที่มีกลิ่นและระเหิดไดน้า มาใชท้า ลูกเหม็น ไดแ้ก่แนพธาลีน (Naphthalene) เป็ นผลึกสีขาว แข็ง และสามารถระเหิดเป็นไอไดง้่าย หากกินหรือกลืนเขา้ไปทา ให้มีอาการปวดศีรษะคลื่นไส้อาเจียน มึน งง ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลา ไส้การได้รับเข้าไปในปริมาณที่มากอาจท าลายเซลเม็ดเลือด แดง การหายใจเข้าไปจะท าให้เจ็บคอ ไอ ปวดศีรษะ และคลื่นไส้การสัมผสัทางผิวหนงัทา ให้เกิดการ ระคายเคืองปวดแสบปวดร้อน สารน้ีสามารถดูดซึมผา่นผวิหนงัและทา ให้เป็นอนัตรายได้การสัมผัสถูก ตาท าให้ปวดตา และสายตาพร่ามวัยงัมีอีกสารหน่ึงที่นา มาใช้แทนแนพธาลีน คือp-Dichlorobenzene (1,4- Dichlorobenzene หรือ p-DCB) มีสมบัติสามารถระเหิดกลายเป็ นไออยา่งชา้ๆ และไอของมันจะท า หน้าที่ดับกลิ่น หรือฆ่าแมลงพิษของ p-Dichlorobenzene คล้ายๆแนพธาลีน มีความเป็ นพิษมาก (www.wikipedia.org) สารเคมีที่ใช้ท าลูกเหม็นอีกชนิดหนึ่งคือ แคมเพอร์ หรือ การบรู (Camphor; 1,7,7-trimethylnorcamphor) มีความเป็ นพิษมาก ถา้หายใจเขา้ไปก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดิน หายใจ ไอ หายใจถี่ มีผลต่อระบบประสาทเป็นไดต้้งัแต่มึนงงจนถึงชกัข้ึนอยกู่บั ปริมาณและระยะเวลา ที่ได้รับสาร การกลืนหรือกินเขา้ไปก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อาจท าให้ปวดศีรษะ เป็ นลม การสัมผสัทางผิวหนงัก่อให้เกิดอาการเป็นผื่นแดงคัน และ เจ็บ สามารถดูดซึมผา่นผิวหนงัไดอ้ยา่งรวดเร็วถา้ไดร้ับสารเป็นเวลานานอาจท าลายตับและไต คนที่มี อาการผดิปกติทางระบบประสาทหรือเป็นโรคเกี่ยวกบัตบัอยแู่ลว้จะไดร้ับผลกระทบต่อสารน้ีไดง้่าย อยา่งไรก็ตาม การใชลู้กเหม็นตามปกติไม่ไดใ้ห้อนัตรายเช่นวา่น้ีเพราะมนัค่อยๆระเหิดให้ไอ ออกมา เราไม่ไดไ้ปสูดดมแรงๆ หรือสัมผสันานๆ สิ่งที่ควรระมดัระวงัคือเก็บให้พน้มือเด็ก ที่อาจเล่น หรือหยบิไปใส่ปากได.้.. น ้ายาขัดพื้นและเฟอร์นิเจอร์ น้า ยาขดัพ้ืนและเฟอร์นิเจอร์มกัมีส่วนผสมของสารเคมีหลกัๆ อยู่2-3 ชนิดคือ ไดเอธิลีน ไกลคอล (Diethylene Glycol) น้า มนั ปิโตรเลียม และไนโตรเบนซีน ท้งัหมดเป็นสารไวไฟและให ้ ไอระเหย แต่ส่วนใหญ่คือ 2 ชนิดแรก ส่วนไนโตรเบนซีนมีน้อย ไดเอธิลีนไกลคอลและน้า มนั ปิโตรเลียมทา หน้าที่เป็นตวัทา ละลายความเป็นพิษของท้งัสองตวัน้ีไม่รุนแรงและไม่มีพิษเฉียบพลัน นอกจากกลืนกินเขา้ไป อนัตรายจึงอยทู่ ี่ความไวไฟและไอระเหยที่อาจสูดดมเขา้ไประยะยาวแต่เมื่อมนั มาอยใู่นบา้นเราก็ตอ้งระวงัเด็กกินเขา้ไปเท่าน้นัถา้กลืนกินเขา้ไปจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ทอ้งร่วง ตอ้งใหผ้ ปู้่วยดื่มน้า มาก ๆ ลว้งคอใหอ้าเจียนแลว้ส่งแพทย์ส าหรับไนโตรเบนซีนที่อาจเป็นส่วนผสมอยู่ น้นัดว้ยตวัของมนัเองจะมีพิษมากกวา่ เพราะเมื่อสูดดมหรือซึมซับเข้าผิวหนังเป็ นเวลานาน จะเป็ นพิษ
224 ต่อเม็ดเลือด อาการรุนแรงอาจถึงข้นั ปวดศีรษะ ชีพจรเตน้ ไม่เป็นจงัหวะความดนัเลือดลดลง หายใจ ล าบาก เกิดอาการตวัเขียวและระบบส่วนกลางผิดปกติเมื่อเกิดไฟไหมให้ใช้โฟมส าหรับดับไฟ ้ หรือผง เคมีหรือคาร์บอนไดออกไซด์ดับไฟได้แต่ถ้าน้ ายาปริมาณไม่มากก็ใช้น้า ได้การถูกผิวหนังไม่มี อนัตรายมากนกัเพียงแต่ลา้งออกทนัทีดว้ยน้า มากๆ ที่สา คญั ไม่ควรปล่อยไนโตรเบนซีน สู่สิ่งแวดลอ้ม การที่เราตอ้งพ่ึงพาน้ ายาต่างๆ ต้งัแต่น้ ายาขดัพ้ืนห้องน้า ท้งักรดและด่าง แล้วยงัน้ ายาขดั เฟอร์นิเจอร์อีก น่าจะหยุดคิดวา่มีความจา เป็นสักเพียงใด ลดลงไดห้รือไม่อาจหาสิ่งอื่นทดแทนก็ได้ เช่นอาจใชน้ ้า มนัผสมน้า มะนาว (2:1) ขดัเฟอร์นิเจอร์แทน หรือถา้ท่อตนัลองใชว้ิธีทะลวงท่อหรือลา้ง ดว้ยน้า ร้อน ก่อนหันไปใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์หรือแทนที่จะใชน้ ้า ยาลา้งห้องน้า ที่เป็นกรดไฮโดรคลอ ลิกอาจใชแ้ค่น้า ผสมผงซกั ฟอกแลว้ขดัดว้ยแปรงก็ได้หรือถา้อยา่งอ่อน ๆ ก็หนั ไปใชผ้งฟู(โซเดียมไบ คาร์บอเนต)แทน ดงัน้นัก่อนจะซ้ือน้า ยาทา ความสะอาดใด ๆ มาใช้หยุดคิดถึงสิ่งแวดลอ้มสักนิด ภยั ใกลต้วัก็อาจลดลงดว้ย โฟมพลาสติก โฟมพลาสติกที่เราใช้กนัแพร่หลายทุกวนัน้ีเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า โพลิสไตรีนโฟม หรือสไต โรโฟม มีลกัษณะเป็นเน้ือพอง เป็นเม็ดกลมเบียดอดักนัแน่นอยใู่นแผน่ โฟม แข็งแรง ยืดหยุน่ ได้ใชม้ีด ตดัแต่งได้เบา และราคาไม่แพง จึงนิยมใช้เป็นหีบห่อกนักระเทือน กนัความร้อน ใช้เป็นภาชนะใส่ อาหาร ส่วนชนิดเบามีความหนาแน่นน้อย นิยมใช้เป็นวสัดุตกแต่งเวทีและพวงหรีด โฟมท าให้ ชีวติประจา วนัของเราสะดวกสบายข้ึนก็จริงแต่มนัก็เป็นตวัสร้างปัญหามลภาวะอยา่งมากเพราะมนัไม่ เน่าเปื่อยหรือยอ่ยสลายตามธรรมชาติโฟมใชแ้ลว้จะถูกทิ้งลงถงัขยะ ความที่มนัมีขนาดใหญ่เบาและ กินที่การเก็บรวบรวมขยะจึงสร้างปัญหาให้กบัเทศบาล เพราะมนัเขา้ไปอุดตนัตามท่อระบายน้า และ ทา ลายทศันียภาพอีกท้งัยงัตอ้งใชเ้ตาเผาพิเศษ จึงจะกา จดัได้จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้นอกจากน้นัเมื่อเผา ทา ลายมนัยงัปล่อยก๊าซซีเอฟซีซ่ึงเติมลงไปในกระบวนการผลิตทา ให้เกิดการพองตวัก๊าซน้ีเป็นตวั ทา ลายช้นั โอโซนของบรรยากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์โลกร้อนอนัเนื่องมาจากก๊าซเรือนกระจก ดงัน้นัเราควรช่วยกนัลดการใชโ้ฟมเพื่อสิ่งแวดลอ้มที่เราอาศยัอย ู่ (ที่มา : http://www.chemtrack.org)
225 สบู่ผงซักฟอกและแชมพูทา ความสะอาดได้อย่างไร จุดประสงค์ 1.ทดลองเปรียบเทียบและสรุปเกี่ยวกบัการละลายของน้า มนัพืชในน้า ก่อนและหลงัเติมสารทา ความสะอาดบางชนิดได้ 2.อธิบายสาเหตุที่สบู่ผงซกั ฟอกและแชมพูสามารถใชท้า ความสะอาดได้ อุปกรณ์ 1.น้า มนัพืช 5 cm 3 2.น้า สบู่3 cm 3 3.สารละลายผงซักฟอก 3 cm 3 4.สารละลายแชมพู 3 cm 3 5.น้า กลนั่50 cm 3 6.หลอดทดลองขนาดกลาง 4 หลอด 7.ที่ต้งัหลอดทดลอง 1 อัน 8.กระบอกฉีดยาขนาด 5 cm 3 1 อัน 9.หลอดหยด 1 อัน 10.บีกเกอร์ขนาด 50 cm 3 4 ใบ วิธีการทดลอง 1.ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้า กลนั่ที่เตนียมไวใ้ส่ลงไปในหลอดทดลองท้งั4 หลอด หลอดละ3 cm 3 2.ใช้หลอดหยดดูดน้า มนัพืช แล้วนา ไปหยดใส่หลอดทดลองท้งั4 หลอด หลอดละ 3 หยด สังเกตการเปลี่ยนแปลงและบันทึกผล 3.นา หลอดทดลองที่1 มาเขยา่นานประมาณ 20วินาทีแลว้นา ไปต้งัทิ้งไวใ้นที่ต้งัหลอดทดลอง สังเกตการเปลี่ยนแปลงและบันทึกผล 4.ใชก้ระบอกฉีดยาดูดน้า สบู่ที่เตรียมไว้เติมลงไปในหลอดทดลองที่2 ปริมาณ 1 cm 3 จากน้ันนา หลอดทดลองมาเขย่าประมาณ 20 วินาทีแลว้นา ไปต้งัทิ้งไวใ้นที่ต้งัหลอดทดลอง สังเกตการเปลี่ยนแปลงและบันทึกผล 5.ดา เนินการเช่นเดียวกบัขอ้4แต่จะใชส้ารละลายผงซกั ฟอกและแชมพูแทนน้า สบู่ตามลา ดบั กจิกรรมการเรียนรู้ที่1
226 ตารางบันทึกผลการทดลอง การทดลอง ผลการทดลอง 1.เติมน้า มนัพืชลงในน้า มีหยดน้า มนัหยดเล็ก ๆ แทรกไปในน้า และเมื่อทิ้ง ไปนาน ๆ น้า มนัจะแยกออกจากน้า เป็นช้นัเห็นได้ ชัดเจน 2.เติมน้า สบู่ลงในน้า ที่มีน้า มนัพืชอยู่ ได้สารละลายข่นุขาวไม่มีน้า มนัเหลืออยู่ 3.เติมสารละลายผงซักฟอกลงในน้า ที่มีน้า มนัพืช อยู่ ไดส้ารละลายข่นุขาวไม่มีน้า มนัเหลืออยู่ 4.เติมสารละลายแชมพลูงในน้า ที่มีน้า มนัพืชอยู่ ไดส้ารละลายข่นุขาวไม่มีน้า มนัเหลืออยู่ สรุปผลการทดลอง เมื่อเติมน้า มนัพืชลงในน้า หลงัจากเขย่าและต้งัทิ้งไว้มีหยดน้า มนัหยดเล็ก ๆ แทรกไปในน้า และเมื่อทิ้งไปนาน ๆ น้ ามนัจะแยกออกจากน้า เป็นช้ันเห็นได้ชัดเจน แต่เมื่อเติมน้า สบู่สารละลาย ผงซกั ฟอก สารละลายแชมพูลงในน้า ที่มีน้า มนัพืชอยู่หลงัจากเขยา่และต้งัทิ้งไว้พบวา่ ไดส้ารละลาย ข่นุขาว ไม่มีน้า มนัเหลืออยู่จากการทดลองน้ีแสดงให้เห็นวา่น้า สบู่สารละลายผงซกั ฟอก สารละลาย แชมพูช่วยทา ใหน้ ้า มนัละลายน้า ได้
227 เรื่องที่ 4 การเลือกใช้สารในชีวิต สารเคมีในชีวิตประจ าวัน ทุกครัวเรือนจา เป็นตอ้งใชผ้ลิตภณัฑต์ ่างๆที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ ซ่ึงไดแ้ก่ผลิตภัณฑ์ท า ความสะอาดห้องน้า ผลิตภณัฑ์ที่ใชใ้นห้องครัว ผลิตภณัฑ์ที่ใช้ส่วนบุคคล หรือแมแ้ต่ยาฆ่าแมลง เป็น ต้น คุณเคยหยุดคิดสักนิดบา้งไหมว่าผลิตภณัฑ์ต่างๆที่ใชภ้ายในบา้นเหล่าน้ีประกอบดว้ยสารเคมีบาง ชนิดที่เป็นอนัตรายต่อสมาชิกในครอบครัวและสัตวเ์ล้ียงที่คุณรัก โดยถา้นา ไปใช้เก็บ หรือทา ลายทิ้ง อยา่งไม่ถูกวิธีอาจเป็นอนัตรายต่อสุขภาพ และสิ่งแวดลอ้ม หรืออาจติดไฟทา ลายทรัพยส์ินของคุณได้ อยา่งไรก็ตาม ถา้เรารู้จกัใช้เก็บ และทิ้งผลิตภณัฑ์เหล่าน้ีอยา่งถูกวิธีเราก็จะสามารถป้องกนัอนัตรายที่ อาจเกิดข้ึนไดแ้ละใชผ้ลิตภณัฑเ์หล่าน้ีไดอ้ยา่งปลอดภยั ท าไมสารเคมีที่ใช้ภายในบ้านจึงเป็ นอันตราย ผลิตภัณฑ์สารเคมีที่ใช้ภายในบ้านมีอันตราย โดยอยา่งนอ้ยมีคุณสมบตัิขอ้ใดขอ้หน่ึงดงัน้ีเป็น พิษ กัดกร่อน ติดไฟได้หรือทา ปฏิกิริยาที่รุนแรงได้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายเป็น ส่วนประกอบ ไดแ้ก่น้า ยาทา ความสะอาดทวั่ ไป ยาฆ่าแมลง สเปรยช์นิดต่างๆ น้า ยาขจดัคราบไขมนัน้า มนัเช้ือเพลิง สีและผลิตภณัฑ์ที่ถูกทาสีมาแลว้แบตเตอรีและหมึก ผลิตภณัฑ์และสารเคมีต่างๆเหล่าน้ี ส่วนมากถา้ไดร้ับหรือสัมผสัในปริมาณที่นอ้ยคงไม่ก่อใหเ้กิดอนัตรายมากนกัแต่ถา้ไดร้ับหรือสัมผัสใน ปริมาณที่มาก หรือในกรณีอุบตัิเหตุเช่น สารเคมีหกรดร่างกาย หรือรั่วออกจากภาชนะบรรจุก็อาจทา ใหเ้กิดอนัตรายถึงชีวติได้ สิ่งทคี่วรปฏิบัติเพอื่ให้บ้านของคุณปลอดภัย 1. จดัเก็บผลิตภณัฑ์ต่างๆไวใ้นที่ที่แห้งและเยน็ห่างจากความร้อน จดัวางบนพ้ืนหรือช้นัที่ มนั่คงและเก็บให้เป็นระบบ ควรแยกเก็บผลิตภณัฑ์ที่มีฤทธ์ิกดักร่อน ติดไฟได้ทา ปฏิกิริยาที่รุนแรงได้ หรือเป็นพิษ ไวบ้นช้นัต่างหากและทา ความคุน้เคยกบัผลิตภณัฑ์แต่ละชนิด ควรจดจา ให้ไดว้า่เก็บไวท้ี่ ไหน และแต่ละผลิตภณัฑ์มีวตัถุประสงคใ์นการใชอ้ยา่งไร เมื่อใช้เสร็จแล้วควรนา มาเก็บไวท้ี่เดิมทนัที และตรวจใหแ้น่ใจวา่ภาชนะทุกชิ้นมีฝาปิดที่แน่นหนาผลิตภณัฑ์บางชนิดอาจเป็นอนัตรายไดม้ากกวา่ที่ คุณคิด ผลิตภณัฑเ์หล่าน้ีไดแ้ก่ -ผลิตภณัฑ์ทา ความสะอาดภายในบา้น เช่น น้า ยาเช็ดกระจกแอมโมเนีย น้า ยาฆ่าเช้ือ น้า ยาทา ความสะอาดพรม น้า ยาขดัเฟอร์นิเจอร์รวมท้งัสเปรยป์รับอากาศเป็นตน้ -ผลิตภัณฑ์ซักผ้า เช่น ผงซกั ฟอก น้า ยาปรับผา้นุ่ม น้า ยาฟอกสีผา้เป็นตน้ - ผลิตภณัฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม เช่น สเปรยใ์ส่ผม น้า ยาทาเล็บ น้า ยาลา้งเล็บ น้า ยากา จดั ขน น้า ยายอ้มผม เครื่องสา อางอื่นๆ เป็นตน้ -ผลิตภณัฑท์ ี่ใชใ้นสวน เช่น ปุ๋ยยากา จดัวชัพืช ยาฆ่าแมลง เป็นตน้ -ผลิตภณัฑเ์พื่อการบา รุงรักษาบา้น เช่น สีทาบา้น กาว น้า ยากนัซึม น้า มนัลา้งสีเป็ นต้น
228 -ผลิตภณัฑส์า หรับรถยนต์เช่นน้า มนัเช้ือเพลิงน้า มนัเบรคน้า มนัเครื่องน้า ยาลา้งรถน้า ยาขดัเงา เป็ นต้น 2. ผลิตภณัฑส์ารเคมีทุกชนิดตอ้งมีฉลากและตอ้งอ่านฉลากก่อนใชง้านทุกคร้ังผลิตภัณฑ์ที่เป็ น อันตรายควรต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง อ่านฉลากและทา ตามวิธีใชอ้ยา่งถูกตอ้งรอบคอบ โดยเฉพาะ อยา่งยิ่งถา้ฉลากมีคา วา่ “อันตราย (DANGER)”, “สารพิษ (POISON)”, “ค าเตือน (WARNING)”, หรือ “ข้อควรระวัง (CAUTION)” โดยมีรายละเอียดอธิบายไดด้งัน้ี - อันตราย (DANGER) แสดงให้เห็นวา่ควรใชผ้ลิตภณัฑ์ดว้ยความระมดัระวงัเพิ่มมากข้ึนเป็น พิเศษ สารเคมีที่ไม่ไดถู้กทา ใหเ้จือจาง เมื่อสัมผสัถูกกบัตาหรือผิวหนงัโดยไม่ไดต้้งัใจอาจทา ให้เน้ือเยื่อ บริเวณน้นัถูกกดัทา ลาย หรือสารบางอยา่งอาจติดไฟไดถ้า้สัมผสักบัเปลวไฟ - สารพิษ (POISON) คือ สารที่ทา ใหเ้ป็นอนัตราย หรือ ทา ให้เสียชีวิต ถา้ถูกดูดซึมเขา้สู่ร่างกาย ทางผิวหนัง รับประทาน หรือ สูดดม คา น้ีเป็นเป็นขอ้เตือนถึงอนัตรายที่รุนแรงที่สุด - เป็ นพิษ (TOXIC) หมายถึง เป็ นอันตราย ทา ให้อวยัวะต่างๆทา หนา้ที่ผิดปกติไป หรือ ท าให้ เสียชีวติได้ถา้ถูกดูดซึมเขา้สู่ร่างกายทางผวิหนงัรับประทาน หรือ สูดดม - สารก่อความระคายเคือง (IRRITANT) หมายถึง สารที่ทา ให้เกิดความระคายเคือง หรืออาการ บวมต่อผวิหนงัตา เยอื่บุและระบบทางเดินหายใจ - ติดไฟได้ (FLAMMABLE หรือ COMBUSTIBLE) หมายถึง สามารถติดไฟไดง้่าย และมี แนวโนม้ที่จะเผาไหมไ้ดอ้ยา่งรวดเร็ว - สารกดักร่อน (CORROSIVE) หมายถึง สารเคมีหรือไอระเหยของสารเคมีน้นัสามารถทา ให้ วสัดุถูกกดักร่อน ผุหรือสิ่งมีชีวติถูกทา ลายได้ 3. เลือกซ้ือผลิตภณัฑ์เท่าที่ตอ้งการใชเ้ท่าน้นัอยา่ซ้ือสิ่งที่ไม่ตอ้งการใช้เพราะเสมือนกบัเป็น การเก็บสารพิษไวใ้กลต้วัโดยไม่จา เป็น พยายามใชผ้ลิตภณัฑ์ที่มีอยเู่ดิมให้หมดก่อนซ้ือมาเพิ่ม ถ้ามีของ ที่ไมจา เป็นตอ้งใชแ้ลว้เหลืออยู่ควรบริจาคใหก้บัผทู้ี่ตอ้งการใชต้ ่อไป หรือไม่ก็ควรเก็บและทา ฉลากให้ ดีโดยเฉพาะอยา่งยงิ่เมื่อฉลากใกลห้ลุดหรือฉีกขาด และควรทิ้งผลิตภณัฑท์ ี่เก่ามากๆ ซ่ึงไม่ควรนา มาใช้ อีกต่อไป 4. เก็บใหไ้กลจากเด็ก สารทา ความสะอาด หรือ สารเคมีที่ใช้ภายในบ้านอาจท าให้เป็ นอันตราย ถึงแก่ชีวติควรเก็บในตูท้ี่เด็กเอ้ือมไม่ถึงอาจล็อคตูด้ว้ยถา้จา เป็น สอนเด็กๆในบ้านให้ทราบถึงอันตราย จากสารเคมีนอกจากน้ีควรจดเบอร์โทรศพัท์ฉุกเฉินไวใ้กลก้บัโทรศพัท์เบอร์โทรศพัทเ์หล่าน้ีไดแ้ก่ เบอร์รถพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ใกล้บ้าน สถานีดับเพลิง สถานีต ารวจ หน่วยงานที่ทา หนา้ที่เกี่ยวกบั การควบคุมสารพิษ และแพทย์ประจ าตัว 5. ไม่ควรเก็บสารเคมีปะปนกบัอาหาร ท้งัน้ีเนื่องจากสารเคมีอาจหกหรือมีไอระเหยทา ให้ ปนเป้ือนกบัอาหารได้และเมื่อใชผ้ลิตภณัฑส์ารเคมีเสร็จแลว้ควรลา้งมือใหส้ะอาดทุกคร้ัง
229 6. ไม่ควรเก็บของเหลวหรือก๊าซที่ติดไฟไดไ้วใ้นบา้น น้า มนัเช้ือเพลิงส าหรับรถยนตห์รือถงั บรรจุก๊าซถา้สามารถทา ไดไ้ม่ควรนา มาเก็บไวภ้ายในบา้น ถงับรรจุก๊าซควรเก็บไวน้อกบา้นในบริเวณ ใตร้่มเงาที่มีอากาศถ่ายเทไดส้ะดวก ตอ้งไม่เก็บของเหลวหรือก๊าซที่ติดไฟไดไ้วใ้กลก้บัแหล่งของความ ร้อนหรือเปลวไฟ และเก็บไวใ้นภาชนะบรรจุด้งัเดิมหรือภาชนะที่ไดร้ับการรับรองแลว้เท่าน้นั 7. เก็บสารเคมีไวใ้นภาชนะบรรจุด้งัเดิมเท่าน้นั ไม่ควรเปลี่ยนถ่ายสารเคมีที่ใชภ้ายในบา้นลงใน ภาชนะชนิดอื่นๆ ยกเวน้ภาชนะที่ติดฉลากไวอ้ยา่งเหมาะสมและเขา้กนั ไดก้บัสารเคมีน้นัๆโดยไม่ทา ให้ เกิดการรั่วซึม นอกจากน้ีไม่ควรเปลี่ยนถ่ายสารเคมีลงในภาชนะที่ใชส้ าหรับบรรจุอาหาร เช่น ขวดน้า อัดลม กระป๋ องนม ขวดนม เป็ นต้น เพื่อป้องกนัผทู้ี่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นา ไปรับประทาน 8. ผลิตภณัฑห์ลายชนิดสามารถนา ไปแปรรูปเพื่อนา กลบัมาใชใ้หม่ได้เพื่อลดปริมาณสารเคมีที่ เป็นพิษในสิ่งแวดลอ้ม 9. ใชผ้ลิตภณัฑอ์ื่นๆที่มีอนัตรายนอ้ยกวา่ทดแทนสา หรับงานบา้นทวั่ๆไป ตวัอยา่งเช่น สามารถ ใชผ้งฟูและน้า ส้มสายชูเทลงในท่อระบายน้า เพื่อป้องกนัการอุดตนัได้ 10. ทิ้งผลิตภณัฑแ์ละภาชนะบรรจุใหถู้กตอ้งเหมาะสม ไม่เทผลิตภณัฑ์ลงในดินหรือในท่อระบาย น้า ทิ้ง ผลิตภณัฑ์หลายชนิดไม่ควรทิ้งลงในถงัขยะหรือเทลงในโถส้วม ควรอ่านฉลากเพื่อทราบวิธีการ ทิ้งที่เหมาะสมตามคา แนะนา ของผผู้ลิต ท าอย่างไรให้ปลอดภัยขณะใช้สารเคมี 1. เลือกใชผ้ลิตภณัฑท์ ี่ไม่เป็นพิษแทน 2. อ่านฉลากและปฏิบตัิตามวธิีการใชทุ้กคร้ัง 3. สวมถุงมือและเส้ือคลุมทุกคร้ัง ถ้าผลิตภณัฑ์สามารถทา ให้เกิดอนัตรายไดโ้ดยการสัมผสัต่อ ผิวหนัง 4. สวมแวน่ตาป้องกนัสารเคมีถา้ผลิตภณัฑส์ามารถทา ให้เกิดอนัตรายต่อตา 5. หา้มสวมคอนแทคเลนส์เมื่อใชต้วัทา ละลายอินทรีย์เช่น ทินเนอร์เป็นตน้ 6. หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันทีถ้ารู้สึกวิงเวียน ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดศีรษะ 7. ควรใชผ้ลิตภณัฑส์ารเคมีในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกถา้เป็นไปไดค้วรใชผ้ลิตภณัฑใ์นที่โล่งแจง้ 8. ห้ามสูบบุหรี่เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถติดไฟได้ 9. ห้ามผสมผลิตภณัฑ์สารเคมีเอง เนื่องจากสารเคมีบางชนิดอาจทา ปฏิกิริยาต่อกนัเกิดเป็นไอ ควันพิษหรืออาจระเบิดได้ 10. พบแพทยท์นัทีถา้สงสัยวา่ ไดร้ับสารพิษหรือไดร้ับอนัตรายเมื่อสัมผสักบัสารเคมีที่ใชภ้ายในบา้น (ที่มา: http://oldweb.pharm.su.ac.th/Chemistry-in-Life/index2.html)
230 ทดสอบความเป็ นกรด-เบส ของสารที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน จุดประสงค์ 1.จ าแนกสารที่ใช้ในบ้านโดยใช้และสมบัติความเป็ นกรด-เบส เป็ นเกณฑ์ได้ 2.ทดสอบและสรุปสมบตัิของสารเมื่อทา ปฏิกิริยากบักระดาษลิตมสัได้ อุปกรณ์ 1.น้า อดัลม 5 cm 3 2.น้า ส้มสายชู5 cm 3 3.น้า สบู่5 cm 3 4.สารละลายยาสีฟัน 5 cm 3 5.เกลือแกง 5 cm 3 6.หลอดทดลอง 5 หลอด 7.แท่งแกว้คน 1 หลอด 8.ที่ต้งัหลอดทดลอง 1 อัน 9.กระดาษลิตมสัสีแดงและสีน้า เงิน 10 แผน่ วิธีการทดลอง 1.ตดักระดาษลิตมสัสีน้า เงินและสีแดงขนาด 1 เซนติเมตร x 0.5 เซนติเมตร วางไว้บนกระดาษ ขาวเป็นคู่ๆ มีระยะห่างกนัพอสมควร 2.ใช้แท่งแกว้คนจุ่มลงในน้า อดัลม แลว้นา มาแตะกระดาษลิตมสัสีน้า เงินและสีแดงที่วางบน กระดาษขาว สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน แลว้บนัทึกผล 3.ดา เนินการเช่นเดียวกับขอ้2 แต่ใช้น้า ส้มสายชูน้า สบู่สารละลายยาสีฟัน และเกลือแกง พร้อมท้งับนัทึกผลการทดลอง หมายเหตุ 1.ตอ้งลา้งแท่งแกว้ใหส้ะอาดและเช็ดใหแ้หง้ก่อนนา มาทดสอบสารแต่ละชนิด 2.สารละลายทุกชนิดตอ้งทิ้งให้ตกตะกอนและรินเอาเฉพาะสารละลายใส ๆ ใส่หลอดทดลอง ไว้ กจิกรรมการเรียนรู้ที่1
231 ตารางบันทึกผลการทดลอง สาร ผลการทดสอบกับกระดาษลิตมัส สีน ้าเงิน สีแดง น้า อดัลม เปลี่ยนเป็ นสีแดง - น้า ส้มสายชูเปลี่ยนเป็ นสีแดง - น้า สบู่ - เปลี่ยนเป็นสีน้า เงิน สารละลายยาสีฟัน - เปลี่ยนเป็นสีน้า เงิน เกลือแกง - - สรุปผลการทดลอง สามารถจ าแนกสารละลายโดยใช้สมบัติของสารที่ท าให้กระดาษลิตมัสเปลี่ยนสีมาเป็ นเกณฑ์ โดย 1.สารที่เปลี่ยนสีกระดาษลิตมสัจากสีน้า เงินเป็นสีแดง จดัวา่มีสมบตัิเป็นกรด ไดแ้ก่น้า อดัลม น้า ส้มสายชู 2.สารที่เปลี่ยนสีกระดาษลิตมสัจากสีแดงเป็นสีน้า เงิน จดัว่ามีสมบตัิเป็นเบส ได้แก่น้า สบู่ สารละลายยาสีฟัน 3.สารที่ไม่เปลี่ยนสีกระดาษลิตมสัจดัวา่มีสมบตัิเป็นกลาง
232 เรื่องที่ 5 ผลกระทบที่เกิดจาการใช้สารต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษทางสิ่งแวดลอ้ม ตลอดจนแนวทางการป้องกนัแกไ้ขที่ดี ปัญหาสิ่งแวดลอ้มที่ มนุษยก์า ลงัประสบอยู่ในปัจจุบนัที่ส าคญั ได้แก่ ปัญหาการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหา สารพิษ และปัญหาของระบบนิเวศ ซ่ึงปัญหาที่สา คญัเหล่าน้ีมาจากปัญหายอ่ยๆหลายปัญหา เช่น มลพิษ ทางน้า มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง ขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล เป็นตน้ ปัญหาเหล่าน้ีถา้ไม่รีบ ป้องกนัแกไ้ขอาจส่งผลกระทบต่อวิวฒันาการของสิ่งมีชีวิตได้ซ่ึงการป้องกนัแกไ้ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ม เป็นหนา้ที่ของทุกคนที่จะตอ้งช่วยกนั มลพิษทางสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดลอ้มต่างๆ เช่น น้า อากาศ ดิน เป็นตน้มีความจา เป็นต่อการดา รงชีวิตของมนุษย์มนุษย์ จา เป็นตอ้งใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเหล่าน้ีมากมาย แต่การใช้ประโยชน์โดยไม่คา นึงถึง ผลกระทบที่จะเกิดข้ึนทา ใหเ้กิดมลพิษข้ึนในสิ่งแวดลอ้มน้นัๆ มลพิษทางสิ่งแวดลอ้ม หมายถึง สภาวะที่สิ่งแวดลอ้มตามธรรมชาติถูกปะปนหรือปนเป้ือนดว้ย สิ่งสกปรก สิ่งแปลกปลอม หรือสารมลพิษ ทา ให้มีลกัษณะหรือสมบตัิแตกต่างไปจากเดิมหรือจาก ธรรมชาติโดยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง ยงัผลให้ใชป้ระโยชน์ไดน้อ้ยหรือใชป้ระโยชน์ไม่ไดเ้ลย และมีผลเสียต่อสุขภาพ มลพิษทางสิ่งแวดลอ้มที่ส าคญั ไดแ้ก่มลพิษทางน้า มลพิษทางอากาศ มลพิษ ทางเสียงและมลพิษที่เกิดจากขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกลู มลพิษทางน ้า มลพิษทางน้า (Water pollution) เป็นปัญหาสิ่งแวดลอ้มที่ส าคญัที่สุดปัญหาหน่ึงของประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกบั ปัญหามลพิษอื่นๆปัญหามลพิษทางน้า มกัเกิดกบัเมืองใหญ่ๆแหล่งน้า ที่ส าคญัของ ประเทศถูกปนเป้ือนดว้ยสิ่งสกปรกและสารมลพิษต่างๆทา ให้ไม่สามารถใชป้ระโยชน์จากแหล่งน้า ได้ เต็มที่ ซ่ึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวติและการพฒันาทางเศรษฐกิจและสังคม สาเหตุของการเกิดมลพิษทางน้า ส่วนใหญ่เกิดจากน้า ทิ้งจากที่อยอู่าศยั ซึ่งมักจะมีสารอินทรีย์ ปนเป้ือนมาดว้ย น้า ทิ้งดงักล่าวมกัเป็นสาเหตุของการที่น้า มีสีดา และมีกลิ่นเน่าเหม็น น้า ที่มีสารพิษ ตกคา้งอยู่เช่น น้า จากแหล่งเกษตรกรรมที่มีปุ๋ยและยากา จดัศตัรูพืช น้า ทิ้งที่มีโลหะหนกั ปนเป้ือนจาก โรงงานอุตสาหกรรม เป็ นต้น สารเหล่าน้ีจะถูสะสมในวงโคจรโซ่อาหารของสัตวน์ ้า และมีผลต่อมนุษย์ ภายหลัง ผลกระทบจากมลพิษทางน ้า น้า ที่อยใู่นระดบัรุนแรง ซ่ึงประชาชนทวั่ ไป เรียกวา่น้า เสีย มีลกัษณะที่เห็นไดช้ดัเจน คือตะกอนขุ่นขน้ สี ดา คล้า ส่งกลิ่นเน่าเหมน็ก่อใหเ้กิดความร าคาญต่อชุมชน และอาจมีฟองลอยอยเู่หนือน้า เป็นจา นวนมาก
233 อยา่งไรก็ตาม ลกัษณะของน้า เสียบางคร้ังเราอาจมองไม่เห็นก็ได้ถา้น้า น้นั ปนเป้ือนดว้ยสารพิษ เช่น ยา ปราบศตัรูหรือยาฆ่าแมลงแร่ธาตุเป็นตน้ น้า ที่เป็นมลพิษจะมีผลกระทบต่อการดา รงชีวิตของสิ่งมีชีวิตอย่างเห็นได้ชัดกว่า ปัญหา สิ่งแวดลอ้มอื่นๆเพราะก่อใหเ้กิดผลเสียหายหลายประการ ซ่ึงสามารถสรุปไดด้งัน้ี 1. ผลกระทบทางด้านสาธารณสุข 2. ผลกระทบทางดา้นเศรษฐกิจ 3. ผลกระทบทางด้านสังคม แนวทางการป้ องกันแก้ไขปัญหามลพิษทางน ้า 1. การบา บดัน้า เสีย 2. การกา จดัขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกลู 3. การให้การศึกษาและความเขา้ใจเกี่ยวกบั ปัญหามลพิษทางน้า แก่ประชาชน 4. การใช้กฎหมาย มาตรการ และข้อบังคับ 5. การศึกษาวจิยัคุณภาพน้า และสา รวจแหล่งที่ระบายน้า เสียลงสู่แม่น้า
234 ค าสั่งจงตอบคา ถามหรือเติมช่องวา่งดว้ยคา หรือขอ้ความส้ันๆ 1. มลพิษทางน้า หมายถึงอะไร ตอบ 2. มลพิษทางน้า ที่เมืองใหญ่เช่น กรุงเทพ เชียงใหม่เป็นตน้กา ลงัเผชิญอยใู่นปัจจุบนัส่วนใหญ่ เกิดจากสาเหตุใด ตอบ 3. สาเหตุสา คญัที่ทา ใหเ้กิดปัญหามลพิษทางน้า ไดแ้ก่อะไรบ้าง ตอบ 4. ของเสียจากแหล่งชุมชนส่วนมากจะอยใู่นรูปของ สารประเภทใด ตอบ 5. ของเสียที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมจะมีลกัษณะแตกต่างกนัไปข้ึนอยกู่บัอะไร ตอบ 6. น้า ที่เป็นมลพิษมีลกัษณะที่เห็นไดช้ดัเจน คืออะไร ตอบ 7. น้า เสียส่งผลกระทบต่อการบริโภคอาหาร ทา ใหเ้กิดปัญหาสุขภาพโดยตรงต่อมนุษยจ์ดัเป็น ผลกระทบทางด้านใดบ้าง ตอบ 8. การแกไ้ขปัญหามลพิษทางน้า ที่ไดผ้ลและเป็นการแกไ้ขปัญหาที่ตน้เหตุคืออะไร ตอบ แนวค าตอบกจิกรรมการเรียนรู้ที่1 ข้อที่ 1. แหล่งน้ าที่ถูกปนเป้ือนด้วยสิ่งสกปรกและสารมลพิษต่างๆทา ให้ไม่สามารถใช้ ประโยชน์จากแหล่งน้า ไดเ้ตมที่ ็ ข้อที่ 2. ส่วนใหญ่เกิดจากน้า ทิ้งจากที่อยอู่าศยั ข้อที่ 3. 1. ของเสียจากแหล่งชุมชน 2. ของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม 3. ของเสียจากกิจกรรมทางการเกษตร กจิกรรมการเรียนรู้ที่1
235 4. สารมลพิษอื่นๆที่ไม่มีแหล่งกา เนิดแน่นอน ข้อที่ 4. สารอินทรีย์เช่น เศษอาหาร สบู่ผงซกั ฟอกอุจจาระ ปัสสาวะเป็นตน้ ข้อที่ 5. ประเภทและชนิดของโรงงานอุตสาหกรรม ข้อที่ 6. คือตะกอนข่นุขน้ สีดา คล้า ส่งกลิ่นเน่าเหมน็ ข้อที่ 7. ผลกระทบทางด้านสาธารณสุข ข้อที่ 8. การใหก้ารศึกษาและความเขา้ใจเกี่ยวกบั ปัญหามลพิษทางน้า แก่ประชาชน มลพิษทางอากาศ ส่วนใหญ่เกิดจากควนัของยานพาหนะและจากโรงงานอุตสาหกรรม ควนัดงักล่าวมีผลต่อ สุขภาพของมนุษยโ์ดยตรงควนัจากโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งที่มีก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์หรือ ไนโตรเจนออกไซด์ เป็ นองค์ประกอบ เมื่อรวมกบัละอองน้า ในอากาศ จะกลายเป็นสารละลายกรด ซัลฟิ วริกหรือกรดไนตริก กลายเป็ นฝนกรด ตกลงมาอนัเป็นอนัตรายต่อสิ่งมีชีวิตและยงัทา ให้ สิ่งก่อสร้างเกิดการสึกกร่อนได้สถานที่กา ลงัประสบปัญหากบัมลพิษทางอากาศเหล่าน้ีจะมีผลกระทบ ต่อสุขภาพของมนุษยเ์ป็นอยา่งมากโดยจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ อาจทา ให้เกิดโรคภูมิแพ้โรค ทรวงอก เยื่อบุตาอักเสบ และเป็นอนัตรายต่อเด็กในครรภต์ลอดจนเสียชีวติได้ ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Green house effect) เป็นปรากฏการณ์ที่ทา ใหโ้ลกมีอุณหภูมิสูงข้ึน ซ่ึงจะมีผลกระทบต่อภูมิอากาศทวั่ โลกอยา่งที่ไม่ เคยปรากฏมาก่อน โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ประมาณการไวว้่าที่บริเวณเหนือเส้นศูนยส์ูตรข้ึนไป ฤดู หนาวจะส้ันข้ึนและมีความช้ืนมาก ส่วนฤดูร้อนจะยาวนานข้ึนอาจทา ให้พ้ืนดินบางแห่งบนโลก กลายเป็ นทะเลทราย และในเขตร้อนอาจจะมีพายุบ่อยคร้ังและรุนแรง บริเวณข้วัโลกความร้อนส่งผล โดยตรงต่อการละลายของหิมะเป็นเหตุให้ปริมาณน้ าในทะเลเพิ่มข้ึน มีผลต่อการเกิดอุทกภัย นอกจากน้ียงัส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์เกิดการเปลี่ยนแปลงทา ให้ปากใบพืชปิดไม่สามารถรับก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ าได้การสังเคราะห์ด้วยแสงลดลง สัตว์บางชนิดอาจได้รับความ กระทบกระเทือนต่อเน้ือเยอื่ตา ผวิหนงั และเป็ นเหตุให้สูญพันธุ์ได้ในที่สุด สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน(CFC) มีชื่อทางการคา้ว่า ฟรีออน(Freon) ฟรีออนใช้ในการ อุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น ใช้เป็ นสารท าความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ใชเ้ป็นก๊าซขบัดนั ในผลิตภณัฑส์เปรย์เป็นส่วนผสมในการผลิตโฟม ใชก้บัเครื่องสา อาง ใชก้บัผลิตภณัฑ์ที่มีแอลกอฮออล์ ใช้เป็ นตัวท าละลายและท าความสะอาดใช้เป็ นฉนวนไฟฟ้ าและใช้เป็ นสารดับเพลิงเป็ นต้น
236 ค าสั่งจงตอบคา ถามหรือเติมช่องวา่งดว้ยคา หรือขอ้ความส้ันๆ 1. มลพิษทางอากาศ หมายถึง 2. สิ่งที่เป็นมลพิษที่ปล่อยออกจากท่อไอเสียรถยนต์ไดแ้ก่ 3. ผลกระทบของมลพิษทางอากาศชนิดเฉียบพลนัที่มีต่อมนุษย์คือ 4. ตวัอยา่งผลกระทบต่อพืชจากมลพิษทางอากาศเช่น 5. ก๊าซสา คญัที่ทา ใหเ้กิดปรากฏการณ์ฝนกรด คือ 6. เมื่อก๊าซจากขอ้ 5 ถูกแสงแดดจะรวมตวักบัออกซิเจนในอากาศเกิดปฏิกิริยาเคมีกลายเป็น สาร 7. ค าถาม ผลกระทบของฝนกรดที่มีต่อสิ่งมีชีวติคือ 8. ค าถาม ก๊าซที่ส าคญัที่ทา หน้าที่ห่อหุ้มโลก ซ่ึงเปรียบเหมือนกบักระจกของเรือนกระจก ไดแ้ก่ ถ้าก๊าซเหล่าน้ีมีปริมาณเพิ่มมากข้ึนในบรรยากาศผลที่จะ เกิดข้ึนตามมาคือ แนวค าตอบกิจกรรมตอนที่ 2 ข้อที่ 1. สภาวะที่อากาศตามธรรมชาติถูกปนเป้ือนหรือเจือปนดว้ยสิ่งแปลกปลอม ท าให้องค์ประกอบ ส่วนใดส่วนหน่ึงเปลี่ยนแปลงไปและเสื่อมโทรมลงก่อใหเ้กิดผลกระทบต่อมนุษย์สัตว์พืช และสิ่งแวดลอ้มอื่นๆ ข้อที่ 2. ฝุ่ นละออง เขม่าควนัก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์สารตะกว ไนโตรเจนออกไซด์ ซัลเฟอร์ ั่ ไดออกไซด์ไฮโดรคาร์บอน และคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อที่ 3. เกิดจากการสูดหายใจเอาสารพิษในอากาศที่มีความเขม้ขน้ สูงเขา้ไป ทา ให้เกิดผลเสียต่อ ระบบทางเดินหายใจ หัวใจ ปอด และท าให้ตามในที่สุด ข้อที่ 4. ทา ให้พืชไม่เจริญเติบโต ผลผลิตลดลง สีของต้นไม้และใบเปลี่ยนแปลงไป ท าให้การ สังเคราะห์ด้วยแสงและการหายใจของพืชเสื่อมลง ข้อที่ 5. ก๊าซซลัเฟอร์ไดออกไซดแ์ละก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ข้อที่ 6. กรดซลั ฟูริก(กรดกา มะถนั )และกรดไนตริก ข้อที่ 7. จะไปทา ลายโซ่อาหารตามธรรมชาติที่สา คญัของมนุษย์คือตน้ ไมแ้ละป่าไม้ ข้อที่ 8. คลอโรฟลูออโรคาร์บอน(CFC) ไนตรัสออกไซด์มีเทน คาร์บอนไดออกไซด์โอโซน และไอน้า กจิกรรมการเรียนรู้ที่2
237 มลพิษทางเสียง สิ่งที่เป็นตน้เหตุที่ทา ใหเ้กิดเสียงดงัจนเป็นอนัตรายต่อมนุษยน์ ้นัมีหลายประการ เช่น เสียงอึกทึกที่ เกิดจากเครื่องยนต์ตามท้องถนน โดยเฉพาะถนนที่มีปัญหาเรื่องการจารจรติดขัด เสียงเครื่องบิน เสียงดนตรีในดิสโกเ้ทคเสียงเพลงจากซาวดอ์ะเบา้ท์เสียงเครื่องจกัรของโรงงาน เสียงเครื่องขยายเสียง จากงานชุมชนต่างๆ นอกจากน้ียงัมีเสียงจากอื่นๆอีกที่อยู่ในสิ่งแวดลอ้มอนัเป็นเสียงที่ไม่พึงประสงค์ และมีเสียงดงัเกินเหตุ ระดับเสียงปกติที่ไม่เป็นอนัตรายต่อการไดย้ินของคนจะอยใู่นระดบัไม่เกิน 80 – 85 เดซิเบลและระดบัเสียงในระดบั ปกติธรรมดาควรไม่เกิน 50 – 70 เดซิเบลแต่ระดบัเสียงในดิสโก้ เทค เฉลี่ยประมาณ 90 – 100 เดซิเบล นบัวา่เป็นอนัตรายอย่างมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะซาวด์อะ เบาท์ เป็ นการนา เอาเครื่องฟังแนบประกบไวก้บัหูตลอดเวลา และถา้มีเสียงรบกวนก็จะเปิดเสียงดงั เพิ่มข้ึน เป็นการเพิ่มระดบัคลื่นเสียงใหม้ีผลต่อระบบประสาทหูโดยตรงก่อให้เกิดการสูญเสียการไดย้ิน เป็นอนัตรายต่อเยื่อแกว้หูอาจมีผลทา ให้เกิดอาการหูหนวกเมื่อมีอายุมากข้ึนและเกิดปัญหาหูตึงได้ใน ที่สุด ขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ส่วนใหญ่เป็นการกระทา ของมนุษย์เช่น การทิ้งขยะมูลฝอยลงบนถนน แม่น้ า ล าคลอง ชายหาด หรือตามสถานที่สาธารณะต่างๆ การปลูกสร้างการติดป้ายโฆษณาการเดินสายไฟฟ้าที่ไม่เป็น ระเบียบ การปล่อยน้า เสียหรือควนัของโรงงานอุตสาหกรรม สิ่งเหล่าน้ีถือวา่เป็นการกระทา ที่ก่อให้เกิด มลพิษทางทศันาการเพราะทา ใหค้วามสวยงามของสถานที่ต่างๆตอ้งสูญเสียไป
238 ค าสั่งจงตอบคา ถามหรือเติมช่องวา่งดว้ยคา หรือขอ้ความส้ันๆ 1. สภาวะที่เสียงดงัเกินไป ซ่ึงคนเราไม่ประสงคท์ ี่จะไดย้นิและก่อใหเ้กิดความร าคาญ หรือเป็ น อนัตรายต่อมนุษย์เรียกวา่ 2. ระดบัเสียงที่เป็นอนัตรายต่อการไดย้นิของมนุษยจ์ะอยใู่นระดบั 3. เสียงรบกวนในชุมชนส่วนมากเกิดจาก 4. สาเหตุตามธรรมชาติที่ทา ใหเ้กิดมลพิษทางเสียง ไดแ้ก่ 5. ผลกระทบของมลพิษทางเสียงที่มีต่อสุขภาพอนามยัเช่น 6. แนวทางป้องกนัแกไ้ขมลพิษทางเสียงที่สา คญั ไดแ้ก่ 7. ขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกลูเป็นปัญหาสิ่งแวดลอ้มที่มกัเกิดข้ึนในเขต 8. ปัญหาต่างๆที่เกิดจากปัญหาขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกลูไดแ้ก่ แนวค าตอบกิจกรรมตอนที่ 3 ข้อที่ 1. มลพิษทางเสียง ข้อที่ 2. 85 เดซิเบล ข้อที่ 3. กิจกรรมหรือการกระทา ของมนุษย์เช่น เสียงจากเครื่องขยายเสียงตามสถานที่ต่างๆ เสียงจากอู่ซ่อมรถยนต์เสียงจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ที่น ามาติดต้งัในโอกาสต่างๆ เสียงจาก ยานพาหนะ ข้อที่ 4. ฟ้าแลบ ฟ้าผา่ ฟ้ าร้อง ข้อที่ 5. ท าใหเ้กิดโรคความดนัโลหิตสูง โรคกระเพาะโรคหวัใจบางชนิด ข้อที่ 6. 1. การให้การศึกษาและประชาสัมพันธ์ 2. การใชม้าตรการทางกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ บงัคบั 3. การกา หนดเขตการใชท้ ี่ดินหรือกา หนดผงัเมือง 4. การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์ที่ทันสมัย 5. การใชอุ้ปกรณ์ป้องกนัเสียง ข้อที่ 7. ในชุมชนใหญ่ๆหรือเมืองใหญ่เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่นครราชสีมา เป็นตน้ ข้อที่ 8. 1. ทา ใหเ้กิดกลิ่นเหมน็ 2. เป็นแหล่งอาหารและแหล่งเพาะพนัธุ์ของสัตว์น าโรคชนิดต่าง ๆ เช่นยุง แมลงวนั แมลงสาบ กจิกรรมการเรียนรู้ที่3
239 3. ทา ใหพ้ ้ืนที่บริเวณน้นัสกปรกขาดความสวยงามและความเป็นระเบียบ 4. ทา ใหแ้หล่งน้า สกปรกและเกิดการเน่าเสีย 5. ทา ใหเ้กิดความสกปรกแก่บรรยากาศ
240 บทที่ 11 แรงและการใช้ประโยชน์ สาระส าคัญ แรงเป็นปริมาณที่มีขนาดและทิศทาง มีผลกระทบต่อวตัถุและสามารถนา มาประยกุตใ์ชใ้น ชีวิตประจ าวันได้ ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั 1. ระบุประเภทและความหมายของแรงประเภทต่างๆ ได้ 2. อธิบายการกระท าของแรงและโมเมนต์ของแรงได้ 3. ระบุประโยชน์ของแรงในชีวิตประจ าวันได้ 4. การหาค่าและผลกระทบของแรงและโมเมนตไ์ด้ 5. ใช้ความรู้เรื่องโมเมนต์ในชีวิตประจ าวันได้ ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 แรง เรื่องที่ 2 โมเมนต์
241 เรื่องที่ 1 แรง แรง (Force)คืออา นาจอยา่งหน่ึงที่กระทา หรือพยายามกระทา ต่อวตัถุให้เปลี่ยนสภาวะแรง เป็นปริมาณเวกเตอร์และมีหน่วยเป็นนิวตนั ผลของแรงทา ให้วตัถุเปลี่ยนแปลง ดังนี้ 1. เปลี่ยนรูปทรง 2. เปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ เช่น การเคลื่อนที่เร็วข้ึน การเคลื่อนที่ชา้ลงการหยดุนิ่ง หรือ เปลี่ยนทิศทาง ปริมาณในทางวิทยาศาสตร์มี 2 ปริมาณด้วยกัน ดังนี้ 1. ปริมาณเวกเตอร์ (Vector quantity) เป็นปริมาณที่มีท้งัขนาดและทิศทาง เช่น น้า หนกัแรง ความเร็ว เป็ นต้น 2. ปริมาณสเกลลาร์ (Scalar quantity) เป็นปริมาณที่มีแต่ขนาดอยา่งเดียวเช่น อุณหภูมิเวลา อัตราเร็ว มวล เป็ นต้น การเขียนปริมาณเวกเตอร์เขียนแทนดว้ยเส้นตรงที่มีหวัลูกศรกา กบัความยาวของเส้นตรงแทน ขนาดของเวกเตอร์ และหัวลูกศรแทนทิศทางของเวกเตอร์ การเขียนสัญลักษณ์ของแรง เขียนได้หลาย รูปแบบ เช่น เวกเตอร์ A เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ A ตวัอยา่งเช่น ก) เวกเตอร์ A ไปทางทิศตะวันออก เขียนแทนด้วย ข) เวกเตอร์ A ไปทางทิศตะวันตก เขียนแทนด้วย แรงลัพธ์ของแรง (Resultant force) คือ ผลรวมของแรงหลายแรงที่กระท าต่อวัตถุ การหาแรงลัพธ์ท าได้ 2 วิธี คือ 1. เมื่อแรงย่อยที่กระท าต่อวัตถุมีทิศทางเดียวกัน ขนาดของแรงลัพธ์จะได้จากการน าขนาดของแรงย่อยต่างๆ มารวมกัน จากรูปแรงลพัธ์(F) = F1+ F2=30 + 20 = 50 นิวตัน 30 N 20 N A A F 1 F 2
242 2.เมื่อแรงที่กระท าต่อวัตถุ มีทิศทางตรงกันข้าม แรงลัพธ์มีขนาดเท่ากับผลต่างของขนาดของแรงย่อยที่ กระท าต่อวัตถุ และมีทิศทางไปทางเดียวกับทิศทางของแรงที่มีขนาดมากกว่า จากรูป ขนาดแรงลพัธ์เท่ากบั 30 – 20 = 10 นิวตัน ตัวอย่างที่ 1 แรง 5 นิวตนัและแรง 7 นิวตนักระทา ในทิศทางเดียวกนัแรงลพัธ์มีขนาดเท่าใด (5) + (7) = +12 นิวตัน ตอบ แรงลัพธ์มีขนาด 12 นิวตัน มีทิศทางไปทางขวา ตัวอย่างที่ 2แรงขนาด 4 นิวตนัและแรง 6 นิวตนักระทา ในทิศทางตรงกนัขา้ม แรงลพัธ์มีขนาดเท่ากบั เท่าใด (+6) +(-4) = 6 – 4 = 2 นิวตัน แรงลัพธ์มีขนาด 2 นิวตัน มีทิศทางไปทางขวา แบบฝึ กหัด ใหต้อบคา ถามต่อไปน้ี 1. แรงมีความหมายวา่อยา่งไร 2. ปริมาณเวกเตอร์คืออะไร 3. กา หนดใหแ้รง 6 นิวตนัและแรง 10 นิวตนักระทา ในทิศทางเดียวกนัแรงลพัธ์มีค่าเท่าใด 7 N 5 N 20 N 30 N 4 นิวตัน 6 นิวตัน A
243 4. แรง 2แรงมีค่า 2และ4 นิวตนักระทา ในทิศทางตรงขา้มกนัแรงลพัธ์มีค่าเท่าใด 5. จากรูป แรงลพัธ์มีค่าเท่าใด ทิศทางไปทางใด ผลของแรงลพัธ์ต่อการเคลอื่นทขี่องวตัถุ 1. เมื่อมีแรง 2แรง มีขนาดเท่ากนัมากระทา ต่อวตัถุในทิศทางเดียวกนัรถจะเคลื่อนที่ไปตาม ทิศทางของแรงท้งัสอง 2. ถา้มีแรง 2แรงมีขนาดเท่ากนัมากระทา ต่อวตัถุในทิศทางตรงกนัขา้ม ทา ใหแ้รงลพัธ์มีค่า เท่ากบัศูนย์(0)วตัถุจะหยดุนิ่ง เพราะแรงท้งัสองสมดุลกนั 3. ถา้มีแรง 2แรง มีขนาดต่างกนักระทา ในทิศทางตรงกนัขา้ม ผลที่เกิดทา ใหว้ตัถุเคลื่อนที่ไป ตามทิศทางของแรงมาก ชนิดของแรง แรงในธรรมชาติมีหลายชนิด เช่น แรงกลแรงผลกัแรงโนม้ถ่วงแต่ในทางฟิสิกส์แบ่งประเภท ของแรงออกเป็น 4 ชนิด ดงัน้ี 1. แรงดึงดูดระหวา่งมวล หมายถึงแรงดึงดูดที่เกิดจากมวลสารที่อยใู่กลก้นัเช่น แรงดึงดูด ของโลกที่ดึงดูดวตัถุเขา้สู่ศูนยก์ลางของโลก หรือแรงดึงดูดระหวา่งมวลวตัถุที่อยใู่กลก้นั เป็ นต้น 2. แรงแม่เหล็กเป็นแรงที่เกิดข้ึนระหวา่งข้วัแม่เหล็กที่อยหู่ ่างกนั ในระยะไม่ไกลมากโดยจะ เป็นแรงกระทา ซ่ึงกนัและกนั 3. แรงไฟฟ้า หมายถึงแรงดึงดูด หรือผลกักนัที่เกิดจากประจุไฟฟ้า 2 ชนิด คือ ประจุบวก(+) และประจุลบ (-) ประจุไฟฟ้าจะออกแรงกระทา ซ่ึงกนัและกนัถา้เป็นประจุไฟฟ้าชนิด เดียวกนัจะผลกักนัถา้เป็นประจุไฟฟ้าต่างชนิดกนัจะดูดกนั 4. แรงนิวเคลียร์ หมายถึงแรงที่เกิดจากแรงที่ยดึเหนี่ยวอนุภาคในนิวเคลียสของอะตอมให้อยู่ ร่วมกนัซ่ึงเป็นแรงที่มีค่ามหาศาลมาก 4 N 6 N
244 5. แรงเสียดทาน หมายถึงแรงที่เกิดข้ึนระหวา่งผวิท้งัสองของวตัถุมี2 ประเภท คือ แรงเสียดทานสถิต คือแรงเสียดทานที่เกิดข้ึนระหวา่งผวิสัมผสัของวตัถุเมื่อมีแรงกระทา ต่อ วัตถุแล้ววัตถุเคลื่อนที่ แรงเสียดทานจลน์คือแรงเสียดทานที่เกิดข้ึนระหวา่งผวิสัมผสัของวตัถุเมื่อมีแรงมากระทา ต่อ วัตถุแล้ววัตถุเคลื่อนที่ แรงเสียดทาน ความหมายของแรงเสียดทาน (Friction force) หมายถึง แรงที่พยายามต้านการเคลื่อนที่ของ วตัถุเกิดที่ผวิสัมผสัของวตัถุมีทิศทางตรงกนัขา้มกบัทิศของแรงที่กระทา กบัวตัถุหรือเป็นแรงที่เกิดข้ึน เมื่อวตัถุหน่ึงพยายามเคลื่อนที่หรือกา ลงัเคลื่อนที่ไปบนผิวของอีกวตัถุหน่ึง เนื่องจากมีแรงมากระทา มีลกัษณะสา คญัดงัน้ี 1. เกิดข้ึนระหวา่งผวิสัมผสัของวตัถุ 2. มีทิศทางตรงกนัขา้มกบัทิศทางที่วตัถุเคลื่อนที่หรือตรงขา้มทิศทางของแรงที่พยายามทา ใหว้ตัถุ เคลื่อนที่ดังรูป รูปแสดงลกัษณะของแรงเสียดทาน ถ้าวาง A อยบู่นวตัถุB ออกแรง ลากวัตถุ วัตถุ A จะเคลื่อนที่หรือไม่ก็ตาม จะมีแรงเสียดทาน เกิดข้ึนระหวา่งผวิของ A และ B แรงเสียดทานมีทิศทางตรงกนัขา้มกบัแรง ที่พยายามต่อตา้นการ เคลื่อนที่ ของ A ประเภทของแรงเสียดทาน แรงเสียดทานมี 2 ประเภท คือ 1. แรงเสียดทานสถิต (static friction)คือแรงเสียดทานที่เกิดข้ึนระหวา่งผิวสัมผสัของวัตถุใน สภาวะที่วัตถุได้รับแรงกระทา แลว้อยนู่ ิ่ง 2. แรงเสียดทานจลน์ (kinetic friction)คือแรงเสียดทานที่เกิดข้ึนระหวา่งผวิสัมผสัของวตัถุ ในสภาวะที่วตัถุไดร้ับแรงกระทา แลว้เกิดการเคลื่อนที่ดว้ยความเร็วคงที่
245 ปัจจัยที่มีผลต่อแรงเสียดทาน แรงเสียดทานระหวา่งผวิสัมผสัจะมีค่ามากหรือนอ้ยข้ึนอยกู่บัสิ่งต่อไปน้ี 1. แรงกดตั้งฉากกับผิวสัมผัส ถา้แรงกดตวัฉากกบัผวิสัมผสัมากจะเกิดแรงเสียดทานมากถ้า แรงกดต้งัฉากกบัผวิสัมผสันอ้ยจะเกิดแรงเสียดทานนอ้ย ดงัรูป รูป กแรงเสียดทานน้อยรูป ข แรงเสียดทานมาก 2. ลักษณะของผิวสัมผัส ถ้าผิวสัมผัสหยาบ ขรุขระจะเกิดแรงเสียดทานมาก ดงัรูป ก ส่วน ผวิสัมผสัเรียบลื่นจะเกิดแรงเสียดทานนอ้ยดงัรูป ข รูป กแรงเสียดทานมากรูป ข แรงเสียดทานน้อย 3. ชนิดของผิวสัมผัส เช่น คอนกรีตกบัเหล็กเหล็กกบัไม้จะเห็นวา่ผวิสัมผสัแต่ละคู่มีความ หยาบ ขรุขระ หรือเรียบลื่น เป็นมนัแตกต่างกนัทา ใหเ้กิดแรงเสียดทานไม่เท่ากนั การลดแรงเสียดทาน การลดแรงเสียดทานสามารถทา ไดห้ลายวธิีดงัน้ี 1. การใชน้ ้า มนัหล่อลื่นหรือจาระบี 2. การใช้ระบบลูกปื น 3. การใชอุ้ปกรณ์ต่างๆ เช่น ตลบัลูกปืน 4. การออกแบบรูปร่างของยานพาหนะใหเ้พรียวลมทา ใหล้ดแรงเสียดทาน
246 การเพิ่มแรงเสียดทาน การเพิ่มแรงเสียดทานในดา้นความปลอดภยัของมนุษย์เช่น 1.ยางรถยนต์มีดอกยางเป็ นลวดลาย มีวตัถุประสงคเ์พื่อเพิ่มแรงเสียดทานระหวา่งลอ้กบัถนน 2. การหยดุรถตอ้งเพิ่มแรงเสียดทานที่เบรกเพื่อหยดุหรือทา ใหร้ถแล่นชา้ลง 3. รองเทา้บริเวณพ้ืนตอ้งมีลวดลายเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานทา ใหเ้วลาเดินไม่ลื่นหกลม้ไดง้่าย 4. การปูพ้ืนหอ้งน้า ควรใชก้ระเบ้ืองที่มีผวิขรุขระเพื่อช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน เวลาเปียกน้า จะได้ ไม่ลื่นลม้ สมบัติของแรงเสียดทาน 1. แรงเสียดทานมีค่าเป็นศูนย์เมื่อวตัถุไม่มีแรงภายนอกมากระทา 2. ขณะที่มีแรงภายนอกมากระทา ต่อวตัถุและวตัถุยงัไม่เคลื่อนที่แรงเสียดทานที่เกิดข้ึนมี ขนาดต่างๆ กนัตามขนาดของแรงที่มากระทา และแรงเสียดทานที่มีค่ามากที่สุดคือแรงเสียด ทานสถิต เป็นแรงเสียดทานที่เกิดข้ึนเมื่อวตัถุเริ่มเคลื่อนที่ 3. แรงเสียดทานมีทิศทางตรงกนัขา้มกบัการเคลื่อนที่ของวตัถุ 4. แรงเสียดทานสถิตมีค่าสูงกวา่แรงเสียดทานจลน์เล็กนอ้ย 5. แรงเสียดทานจะมีค่ามากหรือนอ้ยข้ึนอยกู่บัลกัษณะของผวิสัมผสั ผิวสัมผัสหยาบหรือ ขรุขระจะมีแรงเสียดทานมากกวา่ผวิเรียบและลื่น 6. แรงเสียดทานข้ึนอยกู่บัน้า หนกัหรือแรงกดของวตัถุที่กดลงบนพ้ืน ถา้น้า หนกัหรือแรงกด มากแรงเสียดทานก็จะมากข้ึนด้วย 7. แรงเสียดทานไม่ข้ึนอยกู่บัขนาดหรือพ้ืนที่ของผวิสัมผสั ประโยชน์จากแรงเสียดทาน 1. ประโยชน์จากการเพิ่มแรงเสียดทาน การผลิตน็อตและตะปูใหม้ีเกลียวเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานทา ใหม้ีแรงยดึเหนี่ยวมากข้ึน ยางรถยนต์ทา เป็นลวดลายที่เรียกวา่ดอกยาง เพื่อช่วยใหย้างเกาะถนนไดด้ีข้ึน ขณะที่รถ แล่นไปบนถนน ป้องกนัการลื่นไถลออกนอกถนน การทา ใหพ้ ้ืนมีความขรุขระเพราะจะช่วยใหเ้ดินไดอ้ยา่งปลอดภยัไม่ลื่น พ้ืนรองเทา้ผลิตโดยใชว้สัดุที่เพิ่มแรงเสียดทานระหวา่งพ้ืนกบัรองเทา้เพื่อการทรงตวัและเคลื่อนไหว ไดส้ะดวกข้ึน 2. ประโยชน์จากการลดแรงเสียดทาน ช่วยลดการเสียดสีของขอ้ต่อของมนุษย์ขณะที่มีการเคลื่อนไหวไดแ้ก่มีสารหล่อลื่นใน สมอง และไขสันหลัง
247 ลูกสูบและกระบอกสูบของเครื่องจกัรกล ซ่ึงจะเสียดสีกนัตลอดเวลาก็จะใช้ น้า มนัเครื่อง หรือน้า มนัหล่อลื่น ช่วยลดแรงเสียดทาน การใช้สาร พีทีเอฟอี (PTFE : Poly Tetra Fluoro Ethylene) ซ่ึงมีชื่อทางการคา้วา่ เทฟลอน ฉายบนภาชนะเพื่อใหเ้กิดความลื่น โดยไม่ตอ้งทา การอดัฉีดดว้ยสารหล่อลื่น
248 เรื่องที่ 2 โมเมนต์ โมเมนต์ (Moment) หมายถึงผลของแรงที่กระทา ต่อวตัถุหมุนไปรอบจุดคงที่ซ่ึงเรียกวา่จุด ฟัลคัม (Fulcrum) ค่าของโมเมนต์หาไดจ้ากผลคูณของแรงที่มากระทา กบัระยะที่วดัจากจุดฟัลครัมมาต้งัฉากกบั แนวแรง ดังสูตร M = F x S หรือ ทิศทางของโมเมนต์ มี 2 ทิศทาง คือ 1. โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา คาน A B มีจุดหมุนที่ F มีแรงมากระท าที่ปลายคาน A จะเกิดโมเมนตต์ามเขม็นาฬิกา 2. โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา คาน A B มีจุดหมุนที่ F มีแรงมากระท าที่ปลายคาน B จะเกิดโมเมนตท์วนเขม็นาฬิกา รูปแสดงทศิทางของโมเมนต์ จากภาพ F เป็ นจุดหมุน เอาวัตถุ W วางไว้ที่ปลายคานข้างหนึ่ง ออกแรงกดที่ปลายคานอีกข้าง หน่ึง เพื่อใหไ้มอ้ยใู่นแนวระดบัพอดี F F
249 โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา = WxL2 (นิวตัน-เมตร) โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา = ExL1 (นิวตัน-เมตร) กฎของโมเมนต์ เมื่อวัตถุหนึ่งถูกกระท าด้วยแรงหลายแรงแลว้ทา ใหว้ตัถุน้นัอยใู่นสภาวะสมดุล(ไม่ เคลื่อนที่และไม่หมุน)จะไดว้า่ ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา =ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา คาน หลักการของโมเมนต์เรานา มาใชก้บัอุปกรณ์ที่เรียกวา่คาน (lever) หรือคานดีดคานงัด คานเป็ น เครื่องกลชนิดหนึ่งที่ใช้ดีดงัดวัตถุให้เคลื่อนที่รอบจุดหมด (fulcrum) มีลกัษณะเป็นแท่งยาว หลกัการ ท างานของคานใช้หลักของโมเมนต์ รูปแสดงลกัษณะของคาน ถา้โจทยไ์ม่กา หนดน้า หนกัคานมาใหแ้ สดงวา่คานไม่มีน้า หนกัจากรูป กา หนดให้ W = แรงความตา้นทาน หรือน้า หนกัของวตัถุ E = แรงความพยายาม หรือแรงที่กระทา ต่อคาน a = ระยะต้งัฉากจากจุดหมุนถึงแรงตา้นทาน b = ระยะทางต้งัฉากจากจุดหมุนถึงแรงพยายาม โดยมี F(Fulcrum) เป็ นจุดหมุนหรือจุดฟัลกรัม เมื่อคานอยใู่นภาวะสมดุล โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา = โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา W x a = E x b