-กบทสรุปผู้บริหาร ททททททททจากโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่านเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.เพื่อเฉลิมพระเกียรติ 66 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี2.เพื่อให้นักศึกษา.กศน. อำเภอสัตหีบ จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์3.เพื่อปลูกฝังให้ นักศึกษา.กศน.อำเภอสัตหีบ มีนิสัยรักการอ่านและ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ซึ่งโครงการได้จัดขึ้น วันที่ 2 เมษายน 2564 ณ ห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราชกุมารี”อำเภอ สัตหีบ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 150 คน ทั้งนี้ข้อสรุปดังนี้ ททททททททผลการดำเนินงานโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่านเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้เข้ารับการ อบรมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่านเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราช เจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า อันดับที่ 1 พบว่า ความพึง พอใจในภาพรวมของผู้รับบริการต่อการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นอันดับที่ 1 และรองลงมาคือ เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับ ความต้องการของผู้รับบริการ , การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถ คิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น, ผู้รับบริการ สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ , วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัด กิจกรรม, สื่อ/เอกสาร ประกอบการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม , วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม,บุคลิกภาพของ วิทยากร กิจกรรมที่จัดสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ,ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิด เห็นต่อการ จัดทำหลักสูตร , สถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม, เทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร , ระยะเวลาใน การจัดกิจกรรมเหมาะสม ตามลำดับ เนื่องจากการอ่านมีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพราะการอ่านเป็น ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาบุคคล ช่วยให้เกิความงอกงามทางสติปัญญา และมีส่วนผลักดันให้สังคมเจริญก้าวหน้าไปได้เร็ว ขึ้น การอ่านทำให้คนฉลาด รู้จักคิด และมีโลกทัศน์กว้าง ยิ่งในปัจจุบันความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นยุคข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดน มีความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายที่จะช่วยให้การดำรงชีวิตของมนุษย์สะดวกสบาย มี ความปลอดภัยและมีความสุการอ่านเป็นสิ่งสำคัญมากและเป็นกิจกรรมที่จำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะการอ่าน ได้ดีหรือไม่ดี อ่านช้าหรือเร็ว ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ต่อการเป็นนักอ่านที่มี คุณภาพ ฉะนั้นการอ่านจึงเป็นความจำเป็นต่อชีวิต ของทุกคนในปัจจุบัน ททททททททซึ่งสอดคล้องและเกี่ยวข้องกับงานวิจัยของ นางจินตนา ประทุมวรรณ ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนา ผู้เรียนเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความ ต้องการในการจัดกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 เพื่อพัฒนาและหา คุณภาพของการจัดกิจกรรพัฒนาผู้เรียนเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน โดยการทดลองทำกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อ ส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน และเพื่อประเมินและปรับปรุงการจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ในด้านนิสัยรักการอ่านก่อนและหลังใช้กิจกรรม และความคิดเห็นต่อกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
-ขคำนำ โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราช เจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อ เฉลิมพระเกียรติ 66 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้ที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีทรงมีต่อห้องสมุด ประชาชน”เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัตหีบ ทรงมีพระคุณูปการ ในการพัฒนาส่งเสริมให้ห้องสมุดฯ เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ เป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารนำไปสู่การพัฒนาชุมชนด้านต่าง ๆ และเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่ ประชาชนในพื้นที่ กิจกรรมที่ห้องสมุดฯจัดขึ้นมุ่งหวังให้นักศึกษา กศน.อำเภอสัตหีบได้เข้าร่วมกิจกรรมที่สอดคล้องกับการเป็น แหล่งเรียนรู้ทำให้เกิดนิสัยรักการอ่าน เพื่อกระตุ้น รณรงค์ ส่งเสริมและสร้างความตระหนักให้เห็นคุณค่าของการอ่าน และมีความศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะผู้จัดทำ
-คสารบัญ หน้า บทสรุปผู้บริหาร..........................................................................................................................................ก คำนำ...........................................................................................................................................................ข สารบัญ...............................................................................................................................................…......ค สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………………….……….……….จ บทที่ 1 บทนำ...........................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญ.......................................................................................................1 วัตถุประสงค์................................................................................................................................1 เป้าหมาย.....................................................................................................................................1 ระยะเวลาดำเนินงาน...................................................................................................................1 ผลลัพธ์.........................................................................................................................................2 ดัชนีวัดผลสำเร็จของโครงการ......................................................................................................2 นิยามศัพท์เฉพาะ.........................................................................................................................2 บทที่ 2 เอกสารการศึกษาและรายงานที่เกี่ยวข้อง..................................................................................3 ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ...........3 แนวทาง/กลยุทธ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัตหีบ.....................................................................18 หลักการจัดการศึกษาต่อเนื่อง.......................................................................................................22 หลักเศรษฐกิจพอเพียง.................................................................................................................24 เอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.........................................................................................................26 บทที่ 3 วิธีดำเนินงาน...............................................................................................................................27 ประชุมบุคลากรกรรมการสถานศึกษา..........................................................................................27 แต่งตั้งคณะทำงาน.......................................................................................................................27 ดำเนินงานตามแผน .....................................................................................................................27 ประชากรที่ใช้ในการดำเนินงาน ...................................................................................................27 เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน....................................................................................................28 การเก็บรวบรวมข้อมูล.................................................................................................................28 การวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................................28
-ง- สารบัญ(ต่อ) หน้า บทที่ 4 ผลการดำเนินงานและการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................................29 ตอนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อโครงการ...................................................................32 ตอนที่ 2 ข้อมูลแบบสังเกตและติดตาม..........................................................................................33 ตอนที่ 3 ข้อมูลความพึงพอใจที่มีต่อโครงการ................................................................................34 บทที่ 5 สรุปผลการประเมิน อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ...................................................................33 สรุปผลการดำเนินงาน..................................................................................................................33 อภิปรายผล..................................................................................................................................34 ข้อเสนอแนะ................................................................................................................................34 ภาคผนวก.................. ...............................................................................................................................35 ภาคผนวก ก.................................................................................................................................37 แบบประเมินสังเกตติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารี....... 38 ภาคผนวก ข................................................................................................................................. 39 แบบสอบถามความคิดเห็นโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารี.. 40 ภาคผนวก ค................................................................................................................................. 41 แบบสอบความรู้ความพึงพอใจโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารี.. 42 ภาคผนวก ง ภาพประกอบโครงการ...........................................................................................................43 คณะผู้จัดทำ
-จสารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 จำนวนและร้อยละของนักศึกษาเข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี จำแนกตามเพศ อายุ อาชีพ.......................................................................................................... ........29 2 จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมโครงการที่ได้รับการประเมินสังเกตและติดตาม โครงการ 2 เมษายน วันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีภายหลังเสร็จ สิ้นโครงการ เชิงปริมาณ................................................................30 3 ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของกลุ่มตัวอย่างการประเมินสังเกตและติดตาม และระดับคุณภาพต่อ โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระ ราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ เชิงคุณภาพ................................................................................................31 4 จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมโครงการที่มีความคิดเห็นต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ เชิงปริมาณ...................................................................................................31 5 ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของกลุ่มตัวอย่างการประเมินความคิดเห็น ต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ เชิงคุณภาพ.................32 6 จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมโครงการที่มีความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระ กกกเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ เชิงปริมาณ.................................................................33 7 ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของกลุ่มตัวอย่างการประเมินความพึงพอใจ ต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ เชิงคุณภาพ..................................................................................................33
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 หลักการและเหตุผล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีทรงมีคุณูปการหาที่สุดมิได้ ในการพัฒนาส่งเสริมให้ ห้องสมุดฯ เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ เป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารนำไปสู่การพัฒนาชุมชนด้านต่างๆและเสริมสร้าง นิสัยรักการอ่านให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นการสร้างความสุขและรอยยิ้มให้แก่ อาณาประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่าทั่วทุกพื้นที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีโดยส่วนพระองค์ทรง โปรดปรานการอ่านหนังสือและทรงปรารถนาเห็นพสก นิกรของพระองค์รักการอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก เพราะ พระองค์ทรงเห็นว่า หนังสือเป็นที่มาแหล่งความรู้ วิทยาการทุกด้าน และทุกคน สามารถแสวงหาได้ง่าย และประหยัด อีกด้วย ดังพระราชดำรัสที่ทรงตรัสและทรงพระนิพนธ์ไว้ดังนี้“ หนังสือเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ต่าง ๆ นักปราชญ์ในสมัย โบราณได้ใช้หนังสือบันทึกความรู้และความคิดเห็นต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ไว้เป็นสมบัติตกทอดมาถึงสมัยปัจจุบันเป็นอัน มากเช่น กฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นต้น เพราะความรู้ของคนในสมัย โบราณนั้นเกิดจากการสังเกต เขาเหล่านั้นได้สังเกต ความเป็นไปของโลก และจดจ้าข้อความต่าง ๆ ในแง่ความคิดเห็นของเขาไว้ คนสมัย ต่อมาได้อ่าน ข้อความเหล่านั้นจะติดตามค้นคว้าเพิ่มเติมท้าให้ความรู้ ของมนุษย์กว้างขวางยิ่งขึ้น ”และทรงมีพระราชปรารภว่า "… ข้าพเจ้าอยากให้เรามีห้องสมุดที่ดี มีหนังสือครบทุกประเภทสำหรับประชาชนหนังสือที่ข้าพเจ้า คิดว่าสำคัญที่สุดอย่าง หนึ่งคือ หนังสือสำหรับเด็ก วัยเด็กเป็นวัยเรียนรู้ เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะสนใจเรื่องราวต่าง ๆ แปลก ๆ ใหม่ ๆ อยู่แล้ว ถ้า เรามีหนังสือที่มีคุณค่าทั้งเนื้อหา และรูปภาพให้เขาอ่าน ให้ความรู้และความบันเทิงเด็กๆ จะได้เติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่ สมบูรณ์ ที่รอบรู้ มีธรรมะประจำใจมีความรักบ้านเมืองมีความ ต้องการปรารถนาจะท้าแต่ประโยชน์ที่สมควร…“ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีทรงเป็นแบบอย่างที่ ปรีชายิ่งของความเป็นครูและนักการศึกษาทรงมีปรัชญาและอุดมการณ์แน่วแน่ว่า “การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของ มนุษย์ทุกคน”ทุกวันนี้มีสถานศึกษาในโครงการเป็นจำนวนมาก แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร แต่ก็ยังมีโครงการใน เมืองและในประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยมีโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการส่งเสริมคุณภาพการศึกษา ตลอดจนถึงการ พัฒนา เด็กและเยาวชนอีกเป็น จำนวนมาก ดังนั้น ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการห้องสมุด จึงได้จัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารีเนื่องในโอกาสทรงเจริญ พระชนมพรรษาครบ 66 พรรษา ณ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราช กุมารี”อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 1.2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเฉลิมพระเกียรติ 66 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารี 2. เพื่อให้นักศึกษา.กศน.อำเภอสัตหีบ จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 3. เพื่อปลูกฝังให้ นักศึกษา.กศน.อำเภอสัตหีบ มีนิสัยรักการอ่านและนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้
2 1.3 เป้าหมาย กกกก 5.1 เชิงปริมาณ นักศึกษา กศน.อำเภอสัตหีบ เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 150 คน กกก 5.2 เชิงคุณภาพ นักศึกษา กศน.อำเภอสัตหีบ เห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรม มีความศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีนิสัยรักการอ่าน 1.4 วิธีการดำเนินงาน 1) เสนอโครงการ 2) ทำคำสั่งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่าย 3) ประชุมวางแผนรูปแบบการจัดกิจกรรม 5) ดำเนินการจัดกิจกรรม 6) ประเมินผล 7) สรุป และรายงานผล ระยะเวลา วันที่ 2 เมษายน 2564 สถานที่ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี งบประมาณ งบประมาณปี 2564 จากแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาการศึกษาเพื่อความยั่งยืน โครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายใน การจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน งบอุดหนุน ค่าจัดการเรียนการสอน
3 การประเมินโครงการ ประเมินโดย : แบบสอบถาม ประเมินตนเอง ผู้ประเมินอิสระ แนวทางการประเมิน (เลือกได้มากกว่า 1 ข้อ) ประเมินผลกระบวนการ (Process Evaluation) ประเมินผลเมื่อสิ้นสุดโครงการ (Post Evaluation) ประเมินผลกระทบของการดำเนินงาน (Impact Evaluation) ผลที่คาดว่าจะได้รับกก ผู้เข้าร่วมโครงการมีนิสัยรักการอ่านและการค้นคว้า และเข้าใช้บริการห้องสมุดประชาชนเพิ่มขึ้นในระดับ ดีมากร้อยละ 80 ขึ้นไป
4 บทที่ 2 เอกสารการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ในการนำเสนอเอกสารการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่านเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวัน คล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีผู้จัดทำได้ ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและเสนอการศึกษาค้นคว้าดังรายละเอียดต่อไปนี้ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 1.ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 2.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน 2.1 ความหมายของการอ่าน 2.2 ความสำคัญของการอ่าน 2.3 วัตถุประสงค์ของการอ่าน 2.4 จุดมุ่งหมายของการอ่าน 2.5 ประโยชน์ของการอ่าน 3.การส่งเสริมการอ่านสำหรับประชาชนทั่วไป 4.การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ วิสัยทัศน์ คนไทยได้รับโอกาสการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ สามารถดำรงชีวิตที่เหมาะสมกับช่วงวัย สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีทักษะที่จำเป็นในโลกศตวรรษที่ ๒๑ พันธกิจ 1.จัดและส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่มีคุณภาพ เพื่อยกระดับการศึกษาพัฒนา ทักษะการเรียนรู้ของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมทุกช่วงวัย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง บริบททางสังคม และ สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2.ส่งเสริม สนับสนุน และประสานภาคีเครือข่าย ในการมีส่วนร่วมจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งการดาเนินกิจกรรมของศูนย์การเรียนและแหล่งการเรียนรู้อื่นในรูปแบบต่างๆ 3. ส่งเสริมและพัฒนาการนาเทคโนโลยีทางการศึกษา และเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการจัด การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง 4. พัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและนวัตกรรม การวัดและประเมินผลในทุกรูปแบบให้ สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน 5. พัฒนาบุคลากรและระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล
5 เป้าประสงค์ 1.ประชาชนผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษา รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้รับโอกาสทางการศึกษาใน รูปแบบการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย ที่มีคุณภาพอย่าง เท่าเทียมและทั่วถึง เป็นไปตามสภาพ ปัญหา และความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย 2.ประชาชนได้รับการยกระดับการศึกษา สร้างเสริมและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นพลเมืองอัน นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อพัฒนาไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 3.ประชาชนได้รับโอกาสในการเรียนรู้ และมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมสามารถคิด วิเคราะห์ และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์ 4.ประชาชนได้รับการสร้างและส่งเสริมให้มีนิสัยรักการอ่านเพื่อการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 5.ชุมชนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินงานการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย รวมทั้งการขับเคลื่อนกิจกรรมการเรียนรู้ของชุมชน 6.หน่วยงานและสถานศึกษาพัฒนา เทคโนโลยีทางการศึกษา เทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการยกระดับคุณภาพใน การจัดการเรียนรู้และเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้กับประชาชน 7.หน่วยงานและสถานศึกษาพัฒนาสื่อและการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ ตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงบริบทด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง ตามความต้องการของประชาชนและชุมชนในรูปแบบที่หลากหลาย 8.หน่วยงานและสถานศึกษามีระบบการบริหารจัดการที่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล 9. บุคลากรของหน่วยงานและสถานศึกษาได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการปฏิบัติงานการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ 1.จำนวนผู้เรียนการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายตามสิทธิที่กำหนด ไว้ 2.จำนวนของคนไทยกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้/ได้รับบริการกิจกรรมการศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย ที่สอดคล้องกับสภาพ ปัญหา และความต้องการ 3. ร้อยละของกำลังแรงงานที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป 4. จำนวนภาคีเครือข่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมในการจัด/พัฒนา/ส่งเสริมการศึกษา (ภาคีเครือข่าย : สถาน ประกอบการองค์กร หน่วยงานที่มาร่วมจัด/พัฒนา/ส่งเสริมการศึกษา) 5.จำนวนประชาชน เด็ก และเยาวชนในพื้นที่สูง และชาวไทยมอแกน ในพื้นที่ ๕ จังหวัด ๑๑ อำเภอ ได้รับ บริการการศึกษาตลอดชีวิตจาก ศศช.สังกัดสำนักงาน กศน . 6. จำนวนผู้รับบริการในพื้นที่เป้าหมายได้รับการส่งเสริมด้านการรู้หนังสือและการพัฒนาทักษะชีวิต 7. จำนวนนักเรียน/นักศึกษาที่ได้รับบริการติวเข้มเต็มความรู้ 8 .จำนวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการฝึกอาชีพ เห็นช่องทางในการประกอบอาชีพ 9 .จำนวนครู กศนต้นแบบการสอนภาษาอังกฤษเพื่อก .ารสื่อสารสามารถเป็นวิทยากรแกนนำได้ 10 .จำนวนประชาชนที่ได้รับการฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพ 11. จำนวนผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงในระบบ Long Term Care มีผู้ดูแลที่มีคุณภาพและมาตรฐาน
6 12 . จำนวนกลุ่มเป้าหมายได้รับการพัฒนาศักยภาพเป็นวิทยากรแกนนำ กศนในเรื่องเศรษฐกิจ . ดิจิทัล และ สามารถขยายผลเชิงพื้นที่ “ศูนย์ดิจิทัลชุมชน” ได้จนเกิดเป็นรูปธรรม 13 .จำนวนประชาชนในพื้นที่ที่สามารถนำความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการใช้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 14 .จำนวนเกษตรกรที่ผ่านการอบรมเป็น Master Trainer ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ 1. ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ การศึกษานอกระบบ (N-NET)ทุกรายวิชาทุก ระดับ 2. ร้อยละของผู้เรียนที่ได้รับการสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเทียบกับค่าเป้าหมาย 3. ร้อยละของประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ลงทะเบียนเรียนในทุกหลักสูตร/กิจกรรมการศึกษาต่อเนื่องเทียบกับ เป้าหมาย 4. ร้อยละของผู้ผ่านการฝึกอบรม/พัฒนาทักษะอาชีพระยะสั้นสามารถน าความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพหรือ พัฒนางานได้ 5. ร้อยละของผู้เรียนในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพ หรือทักษะด้านอาชีพ สามารถมีงานทำหรือนำไปประกอบอาชีพได้ 6. ร้อยละของผู้จบหลักสูตร/กิจกรรมที่สามารถนำความรู้ความเข้าใจไปใช้ได้ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร/ กิจกรรม การศึกษาต่อเนื่อง 7. ร้อยละของประชาชนที่ได้รับบริการมีความพึงพอใจต่อการบริการ/เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้การศึกษาตาม อัธยาศัย 8. ร้อยละของประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับบริการ/เข้าร่วมกิจกรรมที่มีความรู้ความเข้าใจ/เจตคติ/ทักษะ ตาม จุดมุ่งหมายของกิจกรรมที่กำหนด ของการศึกษาตามอัธยาศัย 9. ร้อยละของผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่สามารถอ่านออกเขียนได้และคิดเลขเป็นตามจุดมุ่งหมายของกิจกรรม 10. ร้อยละของนักเรียน/นักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาที่ได้รับบริการติวเข้มเต็มความรู้เพิ่มสูงขึ้น นโยบายเร่งด่วนเพื่อร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 1.1 ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของ รัชกาลที่ ๑๐ 1) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข มีความเป็นพลเมืองดี เคารพความคิดของผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างและหลากหลายทางความคิดและอุดมการณ์ รวมทั้งสังคมพหุวัฒนธรรม 2) ส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ปลูกฝังคุณธรรม สร้างวินัย จิตสาธารณะ และอุดมการณ์ความยึดมั่นใน สถาบันหลักของชาติ รวมทั้งการมีจิตอาสา ผ่านกิจกรรมลูกเสือ กศน. และกิจกรรมอื่นๆ ตลอดจนสนับสนุนให้มีการจัด กิจกรรมเพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้กับบุคลากรในองค์กร
7 1.2 พัฒนาการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในเขตพื้นที่พิเศษ 1) เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และพื้นที่ชายแดน 1.1) พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้มีความสอดคล้อง กับบริบทของสังคม วัฒนธรรม และพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ 1.2) เร่งจัดทำแผนและมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนสาหรับหน่วยงานและสถานศึกษา รวมทั้งบุคลากรที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยบูรณาการแผนและปฏิบัติงาน ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ 1.3) ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกระบวนการเรียนรู้ในสถาบันศึกษาปอเนาะ ในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายตรงกับความต้องการของผู้เรียน อาทิ การเพิ่มพูนประสบการณ์ การเปิดโลกทัศน์ การยึดมั่น ในหลักคุณธรรมและสถาบันหลักของชาติ 1.4) สนับสนุนให้มีการพัฒนาบุคลากรทุกระดับทุกประเภทให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้น เพื่อให้ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยส่งเสริม การจัดการศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาและพัฒนาศักยภาพประชาชน สร้างงานและพัฒนาอาชีพที่เป็นไปตามบริบท และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ 2. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนากาลังคน การวิจัย และนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 2.1 ขับเคลื่อน กศน. สู่ “Smart ONIE” ในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่เสริมสร้างศักยภาพ ของประชาชนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ 1) พัฒนาความรู้ความสามารถ และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของครูและบุคลากร กศน. เช่น Boot Camp หลักสูตรภาษาอังกฤษ การจัดหลักสูตรภาษาเพื่ออาชีพ 2) พัฒนาความรู้และทักษะเทคโนโลยีดิจิทัล การใช้ Social Media และ Application ต่างๆ เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน ของครูและบุคลากรทางการศึกษา 2.2 พัฒนากาลังคนให้เป็น“Smart Digital Persons (SDPs)”ที่มีทักษะด้านภาษาและทักษะดิจิทัล เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ 1) ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ด้าน Digital เพื่อให้ประชาชน มีความรู้พื้นฐานด้าน Digital และความรู้ เรื่องกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สำหรับการใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รวมทั้ง การพัฒนาและการเข้าสู่อาชีพ 2) สร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะพื้นฐานให้กับประชาชน เกี่ยวกับการทำธุรกิจและการค้า ออนไลน์ (พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 3) พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของประชาชนในรูปแบบต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นทักษะภาษาเพื่ออาชีพ ทั้งในภาคธุรกิจ การบริการ และการท่องเที่ยว
8 3. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนให้มีคุณภาพ 3.1 เตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ (Smart Aging Society) 1) ส่งเสริมการจัดกิจกรรมให้กับประชาชนเพื่อสร้างตระหนักถึงการเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) มีความเข้าใจในพัฒนาการของช่วงวัย รวมทั้งเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการดูแลรับผิดชอบผู้สูงอายุใน ครอบครัวและชุมชน 2) พัฒนาการจัดบริการการศึกษาและการเรียนรู้สำหรับประชาชนในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุที่ เหมาะสม และมีคุณภาพ 3) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสาหรับผู้สูงอายุภายใต้แนวคิด“Active Aging”การศึกษาเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตและพัฒนาทักษะชีวิต ให้สามารถดูแลตนเองทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต และรู้จักใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยี 4) สร้างความตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ เปิดโอกาสให้มีการเผยแพร่ภูมิปัญญาของผู้สูงอายุ และให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านต่างๆ ในชุมชน เช่น ด้านอาชีพ กีฬา ศาสนาและวัฒนธรรม 3.2 ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ด้านเกษตรกรรม (Smart Farmer : เกษตรกรปราดเปรื่อง) โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมที่เหมาะกับบริบทของพื้นที่ และความต้องการของชุมชน รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร และสร้างช่องทางการจาหน่ายสินค้า ผ่านช่องทางต่างๆ โดยตระหนักถึงคุณภาพของผลผลิตความปลอดภัยต่อระบบนิเวศน์ ชุมชน และผู้บริโภค 3.3 ส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนการสอนแบบ “สะเต็มศึกษา” (STEM Education) สาหรับผู้เรียนและประชาชน โดยบูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับเทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ เพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน พัฒนาทักษะชีวิตสู่การประกอบอาชีพ 3.4 เพิ่มอัตราการอ่านของประชาชน โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในรูปแบบต่างๆเช่น อาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน ห้องสมุดประชาชน บ้านหนังสือ ชุมชน ห้องสมุดเคลื่อนที่ เพื่อพัฒนาให้ประชาชนมีความสามารถในระดับอ่านคล่อง เข้าใจความ คิดวิเคราะห์พื้นฐาน และ สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและทันเหตุการณ์ รวมทั้งนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ปฏิบัติจริงในชีวิตประจาวัน 3.5 ศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน สู่ “วิสาหกิจชุมชน : ชุมชนพึ่งตนเอง ทาได้ ขายเป็น” 1) ส่งเสริมการจัดการศึกษาอาชีพที่สอดคล้องกับศักยภาพของชุมชน และความต้องการของตลาดรวมทั้งสร้าง เครือข่ายการรวมกลุ่มในลักษณะวิสาหกิจชุมชน สร้างรายได้ให้กับชุมชน ให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ 2) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า การทำช่องทางเผยแพร่และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ของวิสาหกิจชุมชนให้เป็นระบบครบวงจร 3.6 จัดกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางเกษตรธรรมชาติสู่การพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน 1) พัฒนาบุคลากรและแกนนำเกษตรกรในการเผยแพร่และจัดกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทาง เกษตรธรรมชาติสู่การพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม 2) จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบระดับตำบลด้านเกษตรธรรมชาติสู่การพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม 3) ส่งเสริมให้มีการบูรณาการระหว่าง ศฝช. และ กศน.อำเภอ ในการจัดกระบวนการเรียนรู้
9 ตามแนวทางเกษตรธรรมชาติสู่การพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมให้กับประชาชน 3.7 ยกระดับคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คุณภาพของสื่อและนวัตกรรม รวมการมาตรฐานของการวัดและประเมินผล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมเกี่ยวกับคุณภาพการจัดการศึกษาของ สำนักงาน กศน. 4. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา 4.1 ส่งเสริมการนำระบบคูปองการศึกษามาใช้เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนผู้รับบริการ 4.2 สร้างกระบวนการเรียนรู้ในรูปแบบ E-learning ที่ใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการเรียนรู้เพื่อเป็น การสร้างและขยายโอกาสในการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายได้สะดวก รวดเร็ว ตรงตามความต้องการของประชาชน ผู้รับบริการ 4.3 เพิ่มอัตราการรู้หนังสือและยกระดับการรู้หนังสือของประชาชน 1) เร่งจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มอัตราการรู้หนังสือ และคงสภาพการรู้หนังสือ ให้ประชาชนสามารถอ่านออก เขียน ได้ และคิดเลขเป็น โดยเฉพาะประชาชนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ห่างไกล โดยมีการ วัดระดับการรู้หนังสือ การใช้สื่อ กระบวนการ และกิจกรรมพัฒนาทักษะในรูปแบบต่างๆที่เหมาะสม และสอดคล้องกับ สภาพพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย ให้ประชาชนสามารถฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาไทย เพื่อประโยชน์ในการใช้ ชีวิตประจำวันได้ 2) ยกระดับการรู้หนังสือของประชาชน โดยจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการรู้หนังสือในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน 4.4 ยกระดับการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายทหารกองประจำการ รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายพิเศษอื่นๆ เช่น คนพิการ เด็กออกกลางคัน ให้จบการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถนาความรู้ที่ได้รับไปพัฒนา ตนเองได้อย่างต่อเนื่อง 4.5 พลิกโฉม กศน. ตาบล สู่ “กศน.ตาบล 4G” 1) พัฒนาครู กศน. และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการศึกษาและการเรียนรู้ : Good Teacher ให้เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงความรู้กับผู้รับบริการ มีความเป็น “ครูมืออาชีพ” มีจิตบริการ มีความรอบรู้และทันต่อการ เปลี่ยนแปลงของสังคม เป็นผู้จัดกิจกรรมการเรียนรู้และบริหารจัดการความรู้ที่ดี รวมทั้งเป็นผู้ปฏิบัติงานอย่างมีความสุข 2) พัฒนา กศน.ตำบล ให้มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง : Good Place Best Check-In มีความพร้อมในการให้บริการกิจกรรมการศึกษาและการเรียนรู้ เป็นแหล่งข้อมูลสาธารณะที่ง่ายต่อการเข้าถึง และสะดวกต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างสร้างสรรค์ มีสิ่งอานวยความสะดวก ดึงดูดความสนใจและมีความปลอดภัย สำหรับผู้รับบริการ 3) ส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใน กศน.ตำบล : Good Activities ให้มีความหลากหลายน่าสนใจ ตอบสนองความต้องการของชุมชน เพื่อพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของประชาชน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามาจัด กิจกรรมเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนในชุมชน
10 4) เสริมสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย : Good Partnership ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และให้เกิดความร่วมมือในการ ส่งเสริม สนับสนุน และจัดการศึกษาและการเรียนรู้ให้กับประชาชนอย่างมีคุณภาพ 4.6 ประสานความร่วมมือหน่วยงาน องค์กร หรือภาคส่วนต่างๆที่มีแหล่งเรียนรู้อื่นๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ศูนย์เรียนรู้ แหล่งโบราณคดี ห้องสมุด เพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยให้มีรูปแบบที่ หลากหลายและตอบสนองความต้องการของประชาชน 5. ยุทธศาสตร์ด้านส่งเสริมและจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5.1 ส่งเสริมให้มีการให้ความรู้กับประชาชน เกี่ยวกับการป้องกันผลกระทบและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติธรรมชาติ 5.2 สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างสังคมสีเขียว ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับการ คัดแยก การแปรรูป และการกาจัดขยะ รวมทั้งการจัดการมลพิษในชุมชน 5.3 ส่งเสริมให้หน่วยงานและสถานศึกษาใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งลดการใช้ทรัพยากรที่ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 6. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการ 6.1 พัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาเพื่อการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและเชื่อมโยงกับ ระบบฐานข้อมูลกลางของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อการบริหารจัดการและบูรณาการข้อมูลของประชาชนอย่างเป็นระบบ 6.2 ส่งเสริมการใช้ระบบสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-office) ในการบริหารจัดการ เช่น ระบบการลา ระบบ สารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการขอใช้รถราชการ ระบบการขอใช้ห้องประชุม เป็นต้น 6.3 พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อช่วยในการบริหารจัดการอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งระบบการจัดทำ แผนปฏิบัติการ และระบบการรายงานผลการดำเนินงานประจำปี รวมทั้งระบบการประกันคุณภาพของสถานศึกษา 6.4 ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรทุกระดับ ให้มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานตำแหน่ง ให้ตรงกับสายงานหรือ ความชำนาญ ภารกิจต่อเนื่อง 1. ด้านการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ 1.1 การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1) สนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบตั้งแต่ปฐมวัยจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยดำเนินการให้ผู้เรียนได้รับ การสนับสนุนค่าจัดซื้อหนังสือเรียน ค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และค่าจัดการเรียนการสอนอย่างทั่วถึงและ เพียงพอ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 2) จัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับกลุ่มเป้าหมายผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทาง การศึกษาทั้งระบบการให้บริการ ระบบการเรียนการสอน ระบบการวัดและประเมินผลการเรียน ผ่านการเรียนแบบเรียนรู้ ด้วยตนเอง การพบกลุ่ม การเรียนแบบชั้นเรียน และการจัดการศึกษาทางไกล
11 3) จัดให้มีการประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ที่มีความโปร่งใส ยุติธรรม ตรวจสอบได้ มีมาตรฐานตามที่กำหนด และสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 4) จัดให้มีกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่มีคุณภาพที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้และเข้าร่วมปฏิบัติกิจกรรม เพื่อเป็น ส่วนหนึ่งของการจบหลักสูตร อาทิ กิจกรรมเสริมสร้างความสามัคคี กิจกรรมเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพติด การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาด กิจกรรมจิตอาสา และการจัดตั้งชมรม/ชุมนุม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนากิจกรรมการบาเพ็ญประโยชน์อื่นๆนอกหลักสูตร มาใช้เพิ่มชั่วโมงกิจกรรมให้ผู้เรียนจบ ตามหลักสูตรได้ 1.2 การส่งเสริมการรู้หนังสือ 1) พัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ไม่รู้หนังสือ ให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัยและเป็นระบบเดียวกัน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 2) พัฒนาหลักสูตร สื่อ แบบเรียน เครื่องมือวัดผลและเครื่องมือการดาเนินงานการส่งเสริมการรู้หนังสือ ที่สอดคล้องกับสภาพแต่ละกลุ่มเป้าหมาย 3) พัฒนาครู กศน. และภาคีเครือข่ายที่ร่วมจัดการศึกษา ให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะการจัด กระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้ไม่รู้หนังสืออย่างมีประสิทธิภาพ และอาจจัดให้มีอาสาสมัครส่งเสริมการรู้หนังสือในพื้นที่ ที่มีความต้องการจำเป็นเป็นพิเศษ 4) ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้หนังสือ การคงสภาพการรู้หนังสือการพัฒนา ทักษะการรู้หนังสือให้กับประชาชนเพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตของประชาชน 1.3 การศึกษาต่อเนื่อง 1) จัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทาอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงาน ทำในกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม คหกรรม และอาชีพเฉพาะทางหรือการบริการ ที่สอดคล้องกับ ศักยภาพของผู้เรียน ความต้องการและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน โดยจัดให้มีหนึ่งอาชีพเด่นต่อหนึ่งศูนย์ฝึกอาชีพ รวมทั้งให้มีการกำกับ ติดตาม และรายงานผลการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อ การมีงานทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตให้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคนพิการ ผู้สูงอายุที่สอดคล้องกับความ ต้องการจำเป็นของแต่ละบุคคล และมุ่งเน้นให้ทุกกลุ่มเป้าหมายมีทักษะการดำรงชีวิตตลอดจนสามารถประกอบอาชีพ พึ่งพาตนเองได้ มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการชีวิตของตนเอง ให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข สามารถ เผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจาวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมสาหรับการปรับตัวให้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงของข่าวสารข้อมูลและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในอนาคต โดยจัดกิจกรรมที่มีเนื้อหาสำคัญต่างๆ เช่น สุขภาพ กายและจิต การป้องกันภัยยาเสพติดเพศศึกษา คุณธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ ความปลอดภัยในชีวิตและท รัพย์สิน ผ่านการศึกษารูปแบบต่างๆ อาทิ ค่ายพัฒนาทักษะชีวิต การจัดตั้งชมรม/ชุมนุม การส่งเสริมความสามารถพิเศษต่างๆ 3) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน โดยใช้หลักสูตรและการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการใน รูปแบบของการฝึกอบรม การประชุม สัมมนา การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การจัดกิจกรรมจิตอาสา การสร้างชุมชนนัก
12 ปฏิบัติ และรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และบริบทของชุมชนแต่ละพื้นที่ โดยจัดกระบวนการให้บุคคล รวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน สร้างกระบวนการจิตสาธารณะการสร้างจิตสานึกความเป็นประชาธิปไตย ความ เป็นพลเมืองดี การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม การบาเพ็ญประโยชน์ในชุมชน การบริหารจัดการน้า การรับมือกับสาธารณ ภัย การอนุรักษ์พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการพัฒนาสังคมและชุมชนอย่าง ยั่งยืน 4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบ ต่างๆ ให้กับประชาชน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง และมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่าง เหมาะสม ตามทิศทางการพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืน 1.4 การศึกษาตามอัธยาศัย 1) ส่งเสริมให้มีการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ในระดับตำบล เพื่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ และจัดกิจกรรม เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในชุมชนได้อย่างทั่วถึง 2) จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และพัฒนาความสามารถในการอ่าน และศักยภาพการเรียนรู้ของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย 3) ส่งเสริมให้มีการสร้างบรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่านให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยสนับสนุนการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เช่น พัฒนาห้องสมุดประชาชนทุกแห่งให้ เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน ส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน การสร้างเครือข่ายส่งเสริมการ อ่าน จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่พร้อมอุปกรณ์เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ที่หลากหลายให้บริการกับ ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ อย่างทั่วถึง สม่ำเสมอ รวมทั้งเสริมสร้างความพร้อมในด้านสื่ออุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการอ่าน และ การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอ่านอย่างหลากหลาย 4) จัดสร้างและพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ให้เป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตลอดชีวิตของประชาชน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจาท้องถิ่น โดยจัดทาและพัฒนานิทรรศการ สื่อและกิจกรรมการศึกษาที่เน้นการเสริมสร้าง ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ สอดแทรกวิธีการคิดและปลูกฝังเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ผ่านการฝึกทักษะกระบวนการที่ บูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับเทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ รวมทั้งสอดคล้องกับหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บริบทของของชุมชนและประเทศ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อให้ประชาชนมีความรู้และความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ มีทักษะที่จาเป็นในโลกศตวรรษที่ 21 มีความสามารถ ในการปรับตัวรองรับการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนาความรู้และ ทักษะไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต การพัฒนาอาชีพ การรักษาสิ่งแวดล้อม การบรรเทาและป้องกันภัยพิบัติทาง ธรรมชาติ 2. ด้านหลักสูตร สื่อ รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล งานบริการทางวิชาการและ การประกันคุณภาพการศึกษา 2.1 ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่หลากหลาย ทันสมัย รวมทั้งหลักสูตรท้องถิ่นที่สอดคล้องกับสภาพบริบทของพื้นที่ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและชุมชน
13 2.2 ส่งเสริมการพัฒนาสื่อแบบเรียน สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่ออื่นๆ ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน กลุ่มเป้าหมายทั่วไปและกลุ่มเป้าหมายพิเศษ 2.3 พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาทางไกลให้มีความทันสมัยด้วยระบบห้องเรียนและการควบคุมการสอบ ออนไลน์ 2.4 พัฒนาระบบการประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ ให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.5 พัฒนาระบบการวัดและประเมินผลการศึกษานอกระบบทุกหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตรในระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานให้ได้มาตรฐาน โดยการนาแบบทดสอบกลาง และระบบการสอบอิเล็กทรอนิกส์(e-Exam) มาใช้อย่าง มีประสิทธิภาพ 2.6 ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัย พัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล และเผยแพร่รูปแบบการจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้มีการนาไปสู่การปฏิบัติอย่างกว้างขวางและมีการพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทอย่างต่อเนื่อง 2.7 พัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาให้ได้มาตรฐาน เพื่อพร้อมรับการประเมินคุณภาพ ภายนอก โดยพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญของระบบการประกันคุณภาพ และสามารถ ดาเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้การประเมินภายในด้วยตนเอง และจัดให้มีระบบ สถานศึกษาพี่เลี้ยงเข้าไปสนับสนุนอย่างใกล้ชิด สำหรับสถานศึกษาที่ยังไม่ได้เข้ารับการประเมินคุณภาพภายนอก ให้ พัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด 3. ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 3.1 ผลิตและพัฒนารายการวิทยุและรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ให้เชื่อมโยงและตอบสนองต่อการจัด กิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของสถานศึกษา เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาสำหรับ กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ให้มีทางเลือกในการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีคุณภาพ สามารถพัฒนาตนเองให้รู้เท่าทันสื่อและ เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร เช่น รายการพัฒนาอาชีพเพื่อการมีงานทำรายการติวเข้มเติมเต็มความรู้ ฯลฯ เผยแพร่ทางสถานีวิทยุศึกษา สถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ (ETV) และทางอินเทอร์เน็ต 3.2 พัฒนาการเผยแพร่การจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัล และช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Youtube Facebook หรือ Application อื่นๆ เพื่อส่งเสริมให้ครู กศน. นำเทคโนโลยี ดิจิทัลมาใช้ในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Do It Yourself : DIY) 3.3 พัฒนาสถานีวิทยุศึกษาและสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการ ออกอากาศให้กลุ่มเป้าหมายสามารถใช้เป็นช่องทางการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตโดยขยายเครือข่าย การรับฟังให้สามารถรับฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ และเพิ่มช่องทางให้สามารถรับชมรายการ โทรทัศน์ได้ทั้งระบบ Ku - Band , C - Band และทางอินเทอร์เน็ต พร้อมที่จะรองรับการพัฒนาเป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์ เพื่อการศึกษาสาธารณะ (Free ETV) 3.4 พัฒนาระบบการให้บริการสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ให้ได้หลายช่องทางทั้งทางอินเทอร์เน็ตและรูปแบบ อื่น ๆ เช่น Application บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ Tablet, DVD, CD, VCD และ MP3 เป็นต้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย สามารถเลือกใช้บริการเพื่อเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ
14 3.5 สำรวจ วิจัย ติดตามประเมินผลด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และนำผลมาใช้ใน การพัฒนางานให้มีความถูกต้อง ทันสมัยและสามารถส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนได้อย่าง แท้จริง 4. ด้านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหรือโครงการอันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์ 4.1 ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหรือโครงการอันเกี่ยวเนื่องจาก ราชวงศ์ 4.2 จัดทำฐานข้อมูลโครงการและกิจกรรมของ กศน. ที่สนองงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ โครงการอันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์ ที่สามารถนาไปใช้ในการวางแผน การติดตามประเมินผลและการพัฒนางานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 4.3 ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อให้เกิด ความเข้มแข็งในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 4.4 พัฒนาศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” ให้มีความพร้อมในการจัดการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยตามบทบาทหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.5 จัดและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ของประชาชนบนพื้นที่สูง ถิ่นทุรกันดาร และพื้นที่ชายขอบ 5. ด้านการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่บริเวณชายแดน 5.1 พัฒนาการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 1) จัดและพัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ที่ตอบสนองปัญหาและความต้องการ ของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งอัตลักษณ์และความเป็นพหุวัฒนธรรมของพื้นที่ 2) พัฒนาคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องเพื่อให้ผู้เรียน สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ได้จริง 3) ให้หน่วยงานและสถานศึกษาจัดให้มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยแก่บุคลากรและนักศึกษา กศน. ตลอดจนผู้มาใช้บริการอย่างทั่วถึง 5.2 พัฒนาการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 1) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนการศึกษาตามยุทธศาสตร์และบริบทของ แต่ละจังหวัดในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 2) จัดทำหลักสูตรการศึกษาตามบริบทของพื้นที่ โดยเน้นสาขาที่เป็นความต้องการของตลาดให้เกิดการพัฒนา อาชีพได้ตรงตามความต้องการของพื้นที่ 5.3 จัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดน (ศฝช.) 1) พัฒนาศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนให้เป็นศูนย์ฝึกและสาธิตการประกอบอาชีพด้าน เกษตรกรรม และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบการจัดกิจกรรมตามแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สาหรับ ประชาชนตามแนวชายแดน ด้วยวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย
15 2) มุ่งจัดและพัฒนาการศึกษาอาชีพโดยใช้วิธีการหลากหลาย ใช้รูปแบบเชิงรุกเพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น การจัดมหกรรมอาชีพ การประสานความร่วมมือกับเครือข่าย การจัดอบรมแกนนำด้านอาชีพที่เน้นเรื่องเกษตร ธรรมชาติที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนชายแดน ให้แก่ประชาชนตามแนวชายแดน 6. ด้านบุคลากร ระบบการบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 6.1 การพัฒนาบุคลากร 1) พัฒนาบุคลากรทุกระดับ ทุกประเภทให้มีสมรรถนะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนและระหว่างการดำรง ตำแหน่งเพื่อให้มีเจตคติที่ดีในการปฏิบัติงาน สามารถปฏิบัติงานและบริหารจัดการการดำเนินงานของหน่วยงานและ สถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ข้าราชการในสังกัดพัฒนาตนเองเพื่อเลื่อนตำแหน่งหรือเลื่อน วิทยฐานะ โดยเน้นการประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ 2) พัฒนาศึกษานิเทศก์ กศน. ให้มีสมรรถนะที่จาเป็นครบถ้วน มีความเป็นมืออาชีพ สามารถปฏิบัติการนิเทศได้ อย่างมีศักยภาพ เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในสถานศึกษา 3) พัฒนาหัวหน้า กศน. ตำบล/แขวง ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น เพื่อการบริหารจัดการ กศน. ตำบล/แขวงและการ ปฏิบัติงานตามบทบาทภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการเป็นนักจัดการความรู้และผู้อำนวยความสะดวกในการ เรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง 4) พัฒนาครู กศน. และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาให้สามารถจัดรูปแบบการเรียนรู้ได้อย่างมี คุณภาพ โดยส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถในการจัดทำแผนการสอน การจัดกระบวนการเรียนรู้การวัดและประเมินผล และการวิจัยเบื้องต้น 5) พัฒนาศักยภาพบุคลากร ที่รับผิดชอบการบริการการศึกษาและการเรียนรู้ ให้มีความรู้ความสามารถและมี ความเป็นมืออาชีพในการจัดบริการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน 6) ส่งเสริมให้คณะกรรมการ กศน. ทุกระดับ และคณะกรรมการสถานศึกษา มีส่วนร่วมในการบริหารการ ดำเนินงานตามบทบาทภารกิจของ กศน. อย่างมีประสิทธิภาพ 7) พัฒนาอาสาสมัคร กศน. ให้สามารถทาหน้าที่สนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 8) พัฒนาสมรรถนะและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากร รวมทั้งภาคีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศใน ทุกระดับ โดยจัดให้มีกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันในรูปแบบที่ หลากหลายอย่างต่อเนื่อง 6.2 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอัตรากำลัง 1) จัดทำแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและดาเนินการปรับปรุงสถานที่ และวัสดุอุปกรณ์ให้มีความพร้อมใน การจัดการศึกษาและการเรียนรู้ 2) บริหารอัตรากำลังที่มีอยู่ ทั้งในส่วนที่เป็นข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการปฏิบัติงาน 3) แสวงหาความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการระดมทรัพยากรเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมสาหรับดำเนินกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยและการส่งเสริม การเรียนรู้สำหรับประชาชน
16 6.3 การพัฒนาระบบบริหารจัดการ 1) พัฒนาระบบฐานข้อมูลให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัย และเชื่อมโยงกันทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อให้หน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารการวางแผน การปฏิบัติงาน การติดตามประเมินผล รวมทั้งจัดบริการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างมีประสิทธิภาพ 2) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงบประมาณ โดยพัฒนาระบบการกำกับ ควบคุม และเร่งรัดการเบิกจ่าย งบประมาณให้เป็นตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 3) พัฒนาระบบฐานข้อมูลรวมของนักศึกษา กศน. ให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัยและเชื่อมโยงกันทั่ว ประเทศ สามารถสืบค้นและสอบทานได้ทันความต้องการเพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียนและการบริหาร จัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 4) ส่งเสริมให้มีการจัดการความรู้ในหน่วยงานและสถานศึกษาทุกระดับ รวมทั้งการศึกษาวิจัยเพื่อสามารถ นำมาใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและชุมชนพร้อมทั้งพัฒนา ขีดความสามารถเชิงการแข่งขันของหน่วยงานและสถานศึกษา 5) สร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างป ระเทศ ในการพัฒนาและส่งเสริม การจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต 6.4 การกำกับ นิเทศ ติดตาม ประเมิน และรายงานผล 1) สร้างกลไกการกำกับ นิเทศ ติดตาม ประเมิน และรายงานผลการดำเนินงานการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยให้เชื่อมโยงกับหน่วยงาน สถานศึกษา และภาคีเครือข่ายทั้งระบบ 2) ให้หน่วยงานและสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องทุกระดับ พัฒนาระบบกลไกการกำกับ ติดตามและรายงานผลการ นำนโยบายสู่การปฏิบัติ ให้สามารถตอบสนองการดำเนินงานตามนโยบายในแต่ละเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสื่ออื่น ๆ ที่เหมาะสม เพื่อการกากับ นิเทศ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลอย่างมีประสิทธิภาพ 4) พัฒนากลไกการติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคารับรองการปฏิบัติราชการประจำปีของ หน่วยงาน สถานศึกษา เพื่อการรายงานผลตามตัวชี้วัด ในคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีของสำนักงาน กศน. ให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กำหนด 5) ให้มีการเชื่อมโยงระบบการนิเทศในทุกระดับ ทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกองค์กร ตั้งแต่ส่วนกลาง ภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด อำเภอ/เขต และตำบล/แขวง เพื่อความเป็นเอกภาพในการใช้ข้อมูลและการพัฒนางาน การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 2.การอ่าน 2.1 ความหมายของการอ่าน การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญในการสอนภาษาไทย เป็นความสามารถของมนุษย์ที่เข้าใจการสื่อความหมายของ สัญลักษณ์ต่างๆ เข้าใจในเนื้อเรื่อง และแนวความคิดจากสิ่งที่อ่าน ดังนั้นจึงได้มีนักการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญทางด้าน การอ่าน ทั้งชาวไปและต่างประเทศได้ให้ความหมายของการอ่านดังนี้ การอ่าน หมายถึง การเสาะแสวงหาความรู้ การอ่านทำให้เป็นบุคคลมีวิสัยทัศน์กว้างไกลทำให้เกิดกระบวนการ และทักษะในการดำเนินชีวิต ความหมายของการอ่านนั้นได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายอย่างดังนี้
17 การอ่าน คือ ว่าตามตัวหนังสือ ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ สังเกตหรือพิจารณาดูเพื่อให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านในใจ ตีความ เช่น อ่านรหัส อ่านลายแทง คิด นับ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 : 1364) สุนันทา มั่นเศรษฐ์วิทย์ (2540, : 2) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่าการอ่านหมายถึง การเสาะแสวงหาความรู้ นอกเหนือจากการสอนในห้องเรียนที่ครูให้และตัวของผู้อ่านนั้นได้มีการจดจำในเรื่องราวที่อ่านและนำมาคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ออกมาตามความเข้าใจของผู้อ่าน ถ้าพิจารณาในลักษณะของกระบวนการ การอ่านคือลำดับขั้นที่เกี่ยวข้องกับ การทำความเข้าใจความหมายของกลุ่มคำ ประโยค ข้อความและเรื่องราวของสารที่ผู้อ่านสามารถบอกความหมายได้ แต่ ถ้าพิจารณาในลักษณะของกระบวนการที่ซับซ้อนแล้วก็จะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลายอย่างได้แก่ จิตวิทยาพัฒนาการ ภาษาศาสตร์ จิตวิทยาการศึกษา และวิชาการศึกษาส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการนั้น หมายความว่า ครูสอนอ่าน จะต้องเข้าใจหลักจิตวิทยา ประภัสสร ปันสวน (2547 : 6 ) ได้มีความเห็นถึงความหมายของการอ่าน ว่าการอ่านเป็นความสามารถที่จะ เข้าใจความหมายที่เขียนมาแต่ละบรรทัดซึ่งผู้อ่านไม่ต้องไปสนใจกับรายละเอียดแต่จะต้องจับใจความสำคัญจากกลุ่มซึ่งสื่อ ความหมาย จิราพร คำด้วง (2546 : 7) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาที่ยั่งยืนที่สุด การอ่านทำให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ทำให้ปรับตัวเข้ากับสังคมเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว วาสนา บุญสม (2541 : 12) และกัลยา ยวนมาลัย (2539 : 8) ได้ให้ความหมายของการอ่านในแนวใกล้เคียงว่า คือ การพยายามทำความเข้าใจความหมายของตัวอักษร ถ้อยคำเครื่องหมายต่าง ๆ ออกมาเป็นความคิดความเข้าใจแล้ว นำความคิดความเข้าใจมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นหัวใจของการอ่านอยู่ที่การทำความเข้าใจความหมายของคำ นิตยา ประพฤติกิจ (2532 : 1) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการศึกษาทุก สาขาวิชาและการอ่านจะทำให้ประสบความสำเร็จในการเรียน บันลือ พฤษะวัน (2532 : 2) ได้ให้ความหมายการอ่านไว้ดังนี้ 1. การอ่าน เป็นการแปลสัญลักษณ์ออกมาเป็นคำพูด โดยการผสมเสียงเพื่อใช้ในการออกเสียงให้ตรงกับคำพูด การอ่านแบบนี้มุ่งให้สะกดตัวผสมคำอ่านเป็นคำ ๆ ไม่สามารถใช้สื่อความโดยการฟังได้ทันที เป็นการอ่านเพื่อการอ่านออก มุ่งให้อ่านหนังสือได้แตกฉานเท่านั้น 2. การอ่าน เป็นการใช้ความสามารถในการผสมผสานของตัวอักษร ออกเสียงเป็นคำหรือเป็นประโยค ทำให้ เข้าใจความหมายในการสื่อความโดยการอ่าน หรือฟังผู้อื่นอ่านแล้วรู้เรื่องเรียกว่า อ่านได้ ซึ่งมุ่งให้อ่านแล้วรู้เรื่องสิ่งที่อ่าน 3. การอ่าน เป็นการสื่อความหมายที่จะถ่ายโยงความคิดความรู้จากผู้เขียน ถึงผู้อ่าน การอ่านลักษณะนี้เรียกว่า อ่านเป็น ผู้อ่านย่อมเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียน โดยอ่านแล้วสามารถประเมินผลของสิ่งที่อ่านได้ มอร์ติเมอร์เจ แอดเล่อร์ (Mortimer J.Adler) กล่าวว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการตีความหมายหรือสร้าง ความเข้าใจจากตัวอักษรหรือสัญลักษณ์อื่น ๆ รูธ ทูซ (Ruth Tooze) ได้กำหนดความหมายของการอ่านไว้โดยสรุปว่า การอ่าน หมายถึง สิ่งต่อไปนี้ 1. การเข้าสู่แหล่งสำหรับการมีชีวิตอยู่และการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ 2. การก่อให้เกิดความจรรโลงใจและจิตใจที่ดี 3. การอ่านเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในด้านศิลปะเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ ซึ่งมี 4 ประการ คือ
18 การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน 4. การอ่านเป็นการช่วยส่งเสริมตัวเอง เป็นการปรับปรุงตัวเอง ช่วยให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ 5. การอ่านเป็นการส่งเสริมอารมณ์ของแต่ละคนให้สัมพันธ์กับผู้อื่นในโลก เป็นการปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับ ผู้อื่นได้ เบอร์นาร์ด ไอ ชมิดท์( Bernard I.Schmidt ) ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ยังมีความหมายที่แน่นอน อาจเรียกได้ว่า เป็นทุกสิ่งทุกอย่างจากคำที่จำได้ไปสู่ความนึกคิดต่างๆ การอ่านของแต่ 2.2 ความสำคัญของการอ่าน การอ่านมีความสำคัญอย่างยิ่ง ยิ่งเทคโนโลยีเจริญรุดหน้าไปเท่าไหร่ การอ่านยิ่งมีความสำคัญและจำเป็นมากเท่านั้น แต่การอ่านจะต้องได้รับการปลูกฝังมาแต่เยาว์วัยจากครอบครัว โรงเรียน และสังคม การส่งเสริมให้เยาวชนมีนิสัยรักการ อ่านรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเองนั้น จะว่ายากก็ยาก แต่ถ้าว่าไม่ยากก็ไม่ถึงกับเหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำได้ ทั้งนี้ ต้อง ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ครอบครัว โรงเรียน และสภาพสังคม แนวทางของกรมวิชาการในการพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ความสามารถโดยส่งเสริมให้เยาวชนมีนิสัยรักการอ่าน รู้จัก ศึกษาหาความรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยริเริ่มโครงการรณรงค์เพื่อการส่งเสริมการอ่าน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 เป็น ต้นมาและมีการเผยแพร่เทคนิคการจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านอย่างกว้างขวาง เช่น ส่งเสริมการอ่านในโรงเรียน ทั่วประเทศ โดยมีนโยบายมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด มีการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถคิดเป็นทำเป็น มีนิสัยรักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (กรมวิชาการ.2544 : 1) ยิ่งในโลกยุคปัจจุบันจะต้องสร้างความตระหนัก และฝึกฝนให้เป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนยิ่งขึ้น จะต้องอ่านเก่ง คิดเป็น และสื่อสารเป็นจึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข และประสบ ความสำเร็จในการดำเนินชีวิต การอ่าน สำหรับประเทศไทยหรือคนไทยแล้วถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับพลเมืองประเทศอื่นๆ การ ส่งเสริมการอ่านควรได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย อาทิ - รัฐควรส่งเสริมเรื่องห้องสมุดประจำหมู่บ้านและชุมชน - หนังสือที่ผลิตจำหน่ายในท้องตลาดไม่ควรมีราคาแพงเกินไป รัฐควรเข้ามาชดเชยส่วนต่างแก่ผู้ผลิต เรียกว่าการ ประกันรายได้ของผู้ประกอบการ - หนังสือควรมีเนื้อหาน่าสนใจ หลากหลาย หาอ่านได้ง่าย - ส่งเสริมให้พ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านหนังสือ - มีการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้คนไทยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น - หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือ โรงเรียนควรมีห้องสมุดเปิดกว้างสำหรับเด็ก ไม่ควรจัดห้องสมุดเพื่อประกวด ความสวยงาม แต่ควรเน้นที่กิจกรรมการอ่านมากกว่าการพัฒนาคนให้มีคุณภาพสูงจะต้องใช้กระบวนการทางการศึกษา เป็นหลัก คนที่ได้รับการศึกษา (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) เท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่าง ชาญฉลาด (ถวัลย์ มาศจรัส. 2538 : 10) การอ่านหนังสือนั้นมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตคนเราอย่างยิ่ง จินตนาใบกาซูยี (2543 : 23) ได้สรุปบท บรรยายของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีถึงความสำคัญของการอ่าน หนังสือว่า 1. การอ่านหนังสือทำให้ได้เนื้อหาสาระความรู้มากกว่าการศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฟัง
19 2. ผู้อ่านสามารถอ่านหนังสือได้โดยไม่มีการจำกัดเวลาและสถานที่ สามารถนำไปไหนมาไหนได้ 3. หนังสือเก็บได้นานกว่าสื่ออย่างอื่นซึ่งมักมีอายุการใช้งานจำกัด 4. ผู้อ่านสามารถฝึกการคิดและสร้างจินตนาการได้เองในขณะอ่าน 5. การอ่านส่งเสริมให้มีสมองดี มีสมาธินานกว่าและมากกว่าสื่ออย่างอื่น ทั้งนี้ เพราะขณะอ่าน จิตใจจะต้องมุ่งมั่น อยู่กับข้อความ พินิจพิเคราะห์ข้อความนั้นๆ 6. ผู้อ่านเป็นผู้กำหนดการอ่านได้ด้วยตนเอง จะอ่านคร่าวๆ อ่านละเอียด อ่านข้ามหรืออ่านทุกตัวอักษรเป็นไป ตามใจของผู้อ่านหรือจะเลือกอ่านเล่มไหนก็ได้ เพราะหนังสือมีมากสามารถเลือกอ่านเองได้ 7. หนังสือมีหลากหลายรูปแบบและราคาถูกกว่าสื่ออย่างอื่น จึงทำให้สมองของผู้อ่านเปิดกว้าง สร้างแนวคิดและ ทัศนคติได้มากกว่า ทำให้ผู้อ่านไม่ติดยึดอยู่กับแนวคิดใดๆโดยเฉพาะ 8. ผู้อ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเองวินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ด้วยตนเอง รวมทั้งหนังสือบางเล่มสามารถนำไป ปฏิบัติแล้วเกิดผลดี 2.3 วัตถุประสงค์ของการอ่าน อ่านเอาเรื่อง การอ่านเอาเรื่อง คือ อ่านเพื่อให้ได้ความรู้และความเข้าใจในเนื้อหา อาจจะอ่านเอาเรื่องโดยละเอียด เพื่อเก็บ ความที่เป็นสาระประเด็นต่าง ๆ อย่างละเอียดลออตลอดเรื่อง หรืออาจจะอ่านเอาเรื่องโดยสรุป เก็บความเฉพาะที่เป็น ประเด็นสำคัญของเรื่องก็ได้ ซึ่งกรณีหลังนี้จะใช้เมื่อต้องการประหยัดเวลาในการอ่านอนึ่ง การอ่านเอาเรื่องอาจกินความ ครอบคลุมถือการอ่านเอาเรื่องเชิงวิเคราะห์วิจารณ์และวิพากษ์ ที่เป็นการเข้าถึงมิตินัยต่าง ๆ ของเรื่องอีกด้วย นั่นก็คือ การอ่านที่เข้าถึงสารแท้จริงทั้งหมดทั้งมวลจนสามารถเข้าใจความหมายของเรื่องโดยตลอด ทั้งความหมายตรงและ ความหมายแฝง อ่านเอารส การอ่านเอารส คือ อ่านแล้วได้รับความรู้สึกกระทบอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่จิตใจ แก่สภาวะอารมณ์ หรือแก่ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เป็นการที่ผู้อ่านหรือผู้ศึกษาอาจไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะเอารสอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อาจจะได้รส ได้ความรู้สึกขึ้นเอง ขณะอ่านโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวก็ได้ รสของการอ่านจำแนกได้ 3 ลักษณะ คือ 1. รสบันเทิงใจ ได้แก่ ความรู้สึกสนุก ตื่นเต้น รัก เศร้า ต่าง ๆ ที่ผล ทำให้อารมณ์ของมนุษย์ ปุถุชนทั่วไปเคลื่อนหรือคล้อยไปตามเรื่องราวเนื้อหา ทั้งนี้ โดยความพึงใจและเป็นสุขใจ 2. รสจรรโลงใจ ได้แก่ ความรู้สึกที่ดีที่งามหลังการอ่าน อาทิ ความสบายใจ ความเบิกบานใน ความอิ่มใจ ความมี กำลังใจ ความศรัทธามั่นใจ ฯลฯ โดยสรุปก็คือ ทำให้จิตใจไม่ตกต่ำหรือเสื่อมทราม ไม่ท้อแท้ และไม่สิ้นหวัง 3.รสปลุก มโนคติ ได้แก่ พลังความรู้สึกนึกคิดที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางสร้างสรรค์ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะอ่านหรือหลังการอ่าน พลังดังกล่าวเกิดจากมโนสำนึกถูกกระตุ้นให้เกิดเวทนา สงสาร เกิดความตระหนัก รู้ผิดรู้ชอบชั่วดี และรับผิดชอบต่อ ภารกิจต่าง ๆ งานเขียนที่ก่อให้เกิดรสปลุกมโนคตินี้ ถือได้ว่า เป็นงานเขียนที่มี "คุณค่า" เป็นอย่างยิ่ง อ่านแปลความ การอ่านแปลความหรือการแปล คือ การอ่านเรื่องจากภาษาใดภาษาหนึ่งแล้ว แปลถ่ายทอดความเป็นอีกภาษาหนึ่ง การอ่านในลักษณะนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ความรู้และความเชี่ยวชาญของผู้อ่านเป็นพิเศษจึงจะสามารถอ่านและแปล ความได้ถูกต้องสมบูรณ์
20 การแปลความจำแนกได้ 3 ลักษณะ คือ 1. แปลโดยอรรถ ได้แก่ การแปลเอาความเนื้อหาสาระของเรื่องตลอด เรื่องโดยถ่ายทอดเนื้อหาด้วยสำนวนภาษาของผู้แปลเอง 2. แปลโดยศัพท์ หรือบางทีเรียกว่า แปลโดยพยัญชนะ ได้แก่ การแปลความแบบคำต่อคำหรือประโยคต่อประโยค การแปลความในลักษณะนี้ บางครั้งอาจมีความยุ่งยากต่อการทำ ความเข้าใจความหมายและการลำดับความในภาษาที่จะถ่ายทอดสื่อความ 3. แปลโดยบริบท ได้แก่ การแปลความ แบบจับประเด็นเนื้อหาตลอดเรื่องไปพร้อม ๆ กับการศึกษาทำความเข้าใจความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น อ่านถอดความ การอ่านถอดความ คือ การอ่านร้อยกรองหรือกวีนิพนธ์ ซึ่งมีลักษณะความเป็นภาษาวรรณศิลป์และแฝงนัยต่างๆ ไว้ โดยอ่านทำความเข้าใจความหมายให้กระจ่างแล้วเรียบเรียงถ่ายทอด อธิบายด้วยสำนวนภาษาร้อยแก้ว ให้ผู้อ่านทั่วไป รับรู้ความหมายได้ตรงกันอย่างถ่องแท้ อ่านสรุปความ การอ่านสรุปความ คือ การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญของเรื่อง ให้ได้ความสำคัญที่สั้นกระชับ และต้องไม่ เบี่ยงเบนสาระสำคัญของเนื้อหาให้ผิดไปจากความหมายที่แท้จริงของเรื่องนั้น ๆ เรื่องนี้ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้ว ยากมาก ๆ สำหรับผู้ที่ไม่มีทักษะในการสรุปความดีพอแล้วล่ะก็มักจะสรุปไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ดี ไม่ถูกใจความสำคัญ อ่านตีความ การอ่านตีความ คือ การอ่านที่ต้องใช้ความขบคิดวินิจฉัย เพื่อค้นหาความหมายที่แท้จริง จากสารที่แท้จริงที่ ผู้เขียนต้องการบอก ดังนั้น เรื่องที่จะต้องใช้วิธีการอ่านแบบตีความ คือ เรื่องที่มีลักษณะซ่อนหรือแฝงความหมายที่ แท้จริงไว้ในสารที่ปรากฏ หรืออาจกล่าวได้ว่า ความอันปรากฏตามความหมายของคำที่เขียนไว้นั้นไม่ตรงกับความหมายที่ แท้จริงนั่นเอง โดยทั่วไปเนื้อหาความอันเป็นสารที่แท้จริงมักซ่อนอยู่ในรูปของสัญลักษณ์ หรือบุคลาธิษฐาน หรือบางครั้ง อาจซ่อนอยู่ในสำนวนโวหารและกลวิธีแต่งที่แยบยลอื่นๆ อ่านขยายความ การอ่านขยายความ คือ การอ่านทำความเข้าใจความโดยกระจ่างตลอดแล้ว สามารถศึกษาทำความเข้าใจถึงสิ่งที่ เกี่ยวข้องกับเนื้อหาได้อย่างกว้างขวาง สามารถอธิบายขยายความที่เกี่ยวข้องกันนั้นได้ทุกแง่ทุกมุม หรือขยายความได้ ครอบคลุมเนื้อหามากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ การอ่านในขั้นนี้ ผู้อ่านจะต้องมีความรู้ มีทักษะและประสบการณ์กา อ่านที่สูงมากจึงจะสามารถอ่านขยายความได้ดีและมีประสิทธิภาพ 2.4 จุดมุ่งหมายของการอ่าน จากการศึกษาเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอ่านพบว่า ในการอ่านหนังสือ ผู้อ่านจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านที่ แตกต่างกันออกไป กานต์มณี ศักดิ์เจริญ (2546) ได้แบ่งจุดมุ่งหมายของการอ่านออกเป็น 4 ประการ คือ 1) การอ่านเพื่อความรู้ คนเราต้องการให้ความรู้ของตนเองขยายขอบเขตออกไปจากที่มีอยู่เดิม ต้องการรู้ในสิ่งที่ เป็นปัจจัย หรือเป็นปัญหาความไม่เข้าใจต่างๆ การอ่านทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับวิทยาการแขนงต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้อง เป็นนักปราชญ์หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา เพื่อเข้าใจผู้อื่น เข้าใจตนเองดีขึ้น เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ ของตน และเพื่อทราบข่าวความเคลื่อนไหวของสังคมที่ตนอยู่ 2)การอ่านเพื่อให้เกิดความคิด การอ่านวัสดุสิ่งพิมพ์ที่แสดงทัศนะ บทความ บทวิจารณ์ วิจัยต่างๆ จะช่วยให้ทัศนะ ของการอ่านกว้างขวางขึ้น การอ่านในลักษณะนี้เป็นการอ่านเพื่อความเข้าใจแนวคิดที่สำคัญ การจัดลำดับขั้นแนวความคิด ของผู้เขียนเป็นการปลูกฝังนิสัยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอีกด้วย
21 3) การอ่านเพื่อความบันเทิง สภาวะแวดล้อมมีอิทธิพลต่อจิตใจ อารมณ์ และร่างกายของมนุษย์เป็นอันมาก บางครั้ง ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย การอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาสาระไม่เป็นวิชาการนักเช่น นวนิยาย เรื่องสั้น นิตยสารบันเทิงอื่นๆ จะช่วยให้เกิดความบันเทิงควบคู่กับความรู้ความคิดได้อย่างมีความสุข ได้หัวเราะ ได้สนุก เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ตึง เครียด นับได้ว่าการอ่านเพื่อความบันเทิงเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง 4) การอ่านเพื่อสนองความต้องการอื่น ๆ มนุษย์เรามีความต้องการตามธรรมชาติ คือ ต้องการความมั่นคงในชีวิต ต้องการการยอมรับ การเข้ากับกลุ่มเพื่อนฝูง การมีหน้ามีตา การได้รับความนับถือในสังคม ต้องการความสำเร็จในชีวิต ซึ่ง ในชีวิตจริงทุกคนจะไม่สมปรารถนาทุกประการ การอ่านจะช่วยชดเชยให้ได้ การอาศัยหนังสือเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว เป็นประโยชน์ดีกว่าไปหาวิธีการชดเชยวิธีอื่น ผู้อ่านมักใช้หนังสือเพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาของตนเพื่อสร้าง บุคลิกภาพ ขยายขอบเขตของความสนใจในสิ่งใหม่หางานอดิเรกใหม่ เตรียมตัวหาเหตุผลสนับสนุนแนวคิดหรือ ข้อเสนอแนะของตนหรือหาข้อโต้แย้งที่มีเหตุผลมีน้ำหนัก เพื่อแสดงความคิดเห็น คัดค้านอย่างมีเหตุผล บางครั้งก็อยากรู้ เรื่องใหม่แนวทางใหม่ เพื่อเข้าใจตนเอง และปรับตัวให้เข้ากับวิธีการดำรงชีวิต ไขสิริ ปราโมช ณ อยุธยา และคณะ (2542) ได้แบ่งจุดมุ่งหมายของการอ่านออกเป็น 3 ประการ คือ 1) การอ่านเพื่อความรู้ ความรู้ที่ได้มักปรากฏในหนังสือหลายลักษณะ เช่น ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์แขนงใดแขนง หนึ่งโดยตรง เช่น วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ เป็นต้น ความรู้ลักษณะนี้มีมากในหนังสือประเภทตำรา การอ่านหนังสือเหล่านี้ผู้อ่านจะเลือกอ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม เพื่อทดสอบความถูกต้องและแม่นยำ การอ่านหนังสือ ประเภทนี้นับเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้รักความก้าวหน้า นอกจากนี้ยังมีหนังสือบางเรื่องที่ให้ความรู้ประเภทเสริม ให้คนรอบรู้ ช่วยให้การประกอบอาชีพสัมฤทธิผลยิ่งขึ้น ช่วยให้เข้าใจผู้อื่นและงานของผู้อื่นดีขึ้น ช่วยให้สะดวกในการ วางตัวและรู้จักตนเองดีขึ้น การอ่านหนังสือประเภทนี้จึงเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้ผู้อ่านมีความรอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่ตน สนใจ 2) การอ่านเพื่อความคิด ความคิดของคนจะเจริญงอกงามได้โดยอาศัยการกระตุ้นเตือนให้ใฝ่คิด การที่ได้มองเห็น อะไรรอบด้าน จะช่วยให้ทัศนะของเรากว้างขวางขึ้น ช่วยให้การแสดงความคิดเห็นและการตัดสินใจมีความบกพร่อง น้อยลง ดังนั้นการที่ได้อ่านความคิดเห็นของคนหลาย ๆ คน ที่พูดในเรื่องเดียวกัน แต่มีประสบการณ์ต่างกัน จะสร้าง แนวความคิดให้แก่ผู้อ่านได้กว้างขวางและถูกต้อง หนังสือประเภทที่แสดงความคิด ได้แก่ บทความ บทวิจารณ์ บทสรุป งานวิจัย หรือบางครั้งแสดงออกในเชิงศิลปะ เช่น แสดงออกมาเป็นโครงเรื่องในรูปนิยาย เรื่องสั้น บทละคร เป็นต้น การอ่านความคิดเห็นที่ปรากฏในรูปแอบแฝงเช่นนี้ต้องอาศัยวิธีทายใจผู้แต่ง ซึ่งอาจผิดพลาดได้ง่าย จำเป็นต้องศึกษาให้ ละเอียดและรอบคอบ ดังนั้นจะต้องจำไว้ว่า ความคิดที่ดีต้องมีเหตุผลและมีความรู้เป็นพื้นฐาน 3) การอ่านเพื่อความบันเทิง การอ่านด้วยจุดมุ่งหมายนี้ ค่อนข้างได้รับความนิยมจากผู้อ่าน เพราะเป็นการอ่านเพื่อ ความสนุกเพลิดเพลิน หนังสือบางประเภท เช่น หนังสือประเภทร้อยกรอง นวนิยาย เรื่องสั้น เป็นต้น มีคุณค่าต่อการ พัฒนาความรู้ พัฒนาอารมณ์ตลอดจนความสะเทือนใจในระดับต่างๆ หนังสือประเภทนี้นอกจากทำให้เกิดรสความบันเทิง แล้ว บางครั้งยังให้สาระประโยชน์แก่ผู้อ่าน ดังนั้นผู้อ่านจึงไม่ควรอ่านเพียงแต่เอาความสนุกเท่านั้น ควรอ่านอย่าง ใคร่ครวญพิจารณาหาแก่นสารสาระที่ปรากฏอยู่ในเรื่องบ้าง ซึ่งถ้าผู้อ่านสามารถอ่านแล้วได้รับความรู้ความคิด ความ บันเทิงควบคู่กันไป จึงถือได้ว่า อ่านเป็น สำหรับ Grellet (1994) ได้แบ่งจุดมุ่งหมายของการอ่านออกเป็น 2 ประการเท่านั้น คือ 1) การอ่านเพื่อความรอบรู้ ได้แก่ การอ่านตำราวิชาการ สารคดี บทความหรือแม้แต่เรื่องบันเทิงคดีก็อาจมี ความรู้ต่างๆ สอดแทรกอยู่ การอ่านแบบนี้ ผู้อ่านจะอ่านละเอียดลออ พินิจพิจารณาเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการ และจุดประสงค์ในการอ่านของตน ถ้าเป็นการอ่านตำรา วิชาการเพื่อการศึกษาค้นคว้า ก็ต้องอ่านอย่างละเอียดและอาจ ต้องอ่านซ้ำหลายครั้ง นอกจากนี้เมื่ออ่านจับใจความของแต่ละบทแต่ละตอนได้แล้ว ก็ควรจะได้ทำโน้ตย่อไว้ เพื่อจะได้
22 จดจำเนื้อหาได้ดีขึ้น และเป็นการทดสอบความเข้าใจเรื่องราวไปด้วยในตัว การอ่านเพื่อความรอบรู้โดยทั่ว ๆ ไปที่มิใช่เพื่อ การศึกษาค้นคว้า อาจอ่านผ่าน ๆ พอเข้าใจก็ได้ อนึ่ง การอ่านเพื่อการวิจารณ์ ก็นับได้ว่าเป็นการอ่านเพื่อความรอบรู้ เพราะต้องรู้เรื่องดีและต้องอ่านอย่างพินิจพิจารณาจึงจะวิจารณ์ได้ 2) การอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ได้แก่ การอ่านทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี เป็นต้น เป็นการอ่านเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ อย่างไรก็ดี การอ่านแบบนี้ แม้ว่าจะเป็นการอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน แต่ผู้อ่านก็มักจะได้ความรู้ไปด้วยเสมอ การอ่านเพื่อความ เพลิดเพลินนี้ทำได้ง่ายไม่ต้องวิตกกังวลในด้านการจดจำเนื้อหามากนัก เพียงแต่อ่านจับใจความให้ได้ เข้าใจเรื่องราวและ อ่านได้เร็ว ก็น่าจะเพียงพอแล้ว 2.5 ประโยชน์ของการอ่าน 1.การอ่านเป็นกระบวนการทางจิตใจที่ทรงพลัง การอ่านต่างจากการนั่งอยู่หน้ากล่องสี่เหลี่ยมเบาปัญญา (ทีวี) เพราะ การอ่านทำให้คุณได้ใช้สมองระหว่างที่อ่านหนังสือคุณจะถูกผลักดันให้ค้นหาเหตุผลให้กับสรรพสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคย ภายใต้กระบวนการนี้คุณจะต้องใช้กลุ่มเซลล์สีเทาในสมองในการใช้ความคิดซึ่งจะช่วยให้คุณเพิ่มพูนสติปัญญา 2.การอ่านช่วยให้ได้ประโยชน์เช่นเดียวกันจากการอ่านหนังสือ ระหว่างอ่านหนังสือ โดยเฉพาะเล่มที่มีความท้าทาย คุณจะพบว่าคุณมีโอกาสได้เรียนรู้กับศัพท์ใหม่ๆจำนวนมากซึ่งไม่อาจพบได้จากวิธีอื่น 3.การอ่านช่วยให้การอ่านช่วยให้เกิดความเข้าใจในความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ต่างๆ 4.การอ่านช่วยพัฒนาการสร้างสมาธิและรวมศูนย์ความคิด ในการอ่านอย่างต่อเนื่องนานๆเราจำเป็นต้องพุ่งความ สนใจไปที่สิ่งที่เราอ่าน การอ่านหนังสือต่างจากการอ่านข้อความในนิตยสารหรือข้อความสั้นๆหรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ในอินเทอร์เน็ตซึ่งมักจะมีข้อมูลที่มีขนาดเล็ก แต่หนังสือจะบอกเรื่องราวแก่คุณ 5.การอ่านเป็นการสร้างคุณค่าให้ตนเอง ยิ่งอ่านมากคุณก็ยิ่งมีความรู้ เมื่อมีความรู้มากขึ้น คุณก็มีความมั่นใจในตัวเอง มากขึ้น ความมั่นใจในตัวเองที่เพิ่มพูนขึ้น ก็สร้างคุณค่าของตนเองให้แก่คุณ นี่คือปฏิกิริยาลูกโซ่ เนื่องจากคุณอ่านหนังสือ ได้ดี ผู้คนก็จะคอยถามหาคำตอบจากคุณ ความรู้สึกที่คุณมีต่อตนเองก็ย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน 6.การอ่านช่วยให้ความจำดีขึ้น มีการศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าคุณไม่ใช้ความจำที่มีอยู่ การอ่านทำให้เราต้อง จดจำรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งข้อเท็จจริง และค่าตัวเลขต่างๆ และในการอ่านวรรณกรรม เราก็ต้องจดจำเค้าโครงเรื่อง เนื้อหาสาระหลักตลอดจนตัวละครต่างๆ 7.การอ่านช่วยให้คุณมีระเบียบวินัยมากขึ้น การจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่เราทุกคนรู้ว่าเราควรทำ แต่ใครล่ะจะจัดตารางเวลาเพื่อการอ่านไว้ทุกวัน น้อยมาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการเพิ่มการอ่านหนังสือเข้ามาในตาราง กิจกรรมประจำวัน และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจึงสามารถเสริมสร้างระเบียบวินัยได้ 8.การอ่านช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การอ่านเรื่องราวของความหลากหลายแห่งชีวิต และการเข้าไปสัมผัสกับ แนวคิดใหม่ๆและข้อมูลที่เพิ่มพูนขึ้นจะช่วยให้คุณได้พัฒนาสมองซีกที่ดูแลเรื่องความคิดสร้างสรรค์ซึ่งจะไปช่วยจุด ประกายแห่งการสร้างนวัตกรรมขึ้นในกระบวนการใช้ความคิดของคุณ 9.การอ่านช่วยให้คุณจะมีอะไรบางอย่างไว้พูดถึงเสมอ เคยบ้างไหมที่รู้สึกว่าตัวเองมีความรู้สึกอึดอัดที่ไม่รู้จะพูดคุย เรื่องอะไร เคยรู้สึกเกลียดตัวเองไหมที่ทำให้ตัวเองเสียหน้า คุณต้องการแก้ไขปัญหาแบบนี้ไหม ไม่ยากเลย เพียงคุณเริ่ม อ่านหนังสือเท่านั้น การอ่านจะช่วยขยายอาณาบริเวณแห่งข้อมูลของคุณ คุณจะมีอะไรให้พูดถึงเสมอ เช่น คุณสามารถจะ พูดคุยถึงโครงเรื่องในนวนิยายหลายเล่มที่คุณอ่าน คุณสามารถอภิปรายถึงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้จากหนังสือด้านธุรกิจต่างๆ ที่คุณกำลังอ่านอยู่ ความเป็นไปได้ในการแบ่งปันเรื่องราวกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีขีดจำกัดอีกต่อไป
23 10.การอ่านช่วยบรรเทาความเบื่อหน่าย กฎข้อหนึ่งในหลายข้อที่ผมถือก็คือ ถ้าเริ่มรู้สึกเบื่อ ผมจะหยิบหนังสือขึ้นมา อ่าน สิ่งที่ผมค้นพบจากการจริงจังกับกฎข้อนี้ก็คือ ผมจะเกิดความสนใจในเรื่องราวของหนังสือแล้วหลุดจากความรู้สึกเบื่อ หน่ายไปเลย ผมหมายถึงว่า ถ้าคุณเกิดรู้สึกเบื่อขึ้นมาบ้าง 3.การส่งเสริมการอ่านสำหรับประชาชนทั่วไป ในส่วนของการศึกษานอกระบบโรงเรียน กรมการศึกษานอกโรงเรียน (ต่อมาพัฒนาเป็นสำนักงานส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) ได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการรู้ หนังสือและการศึกษาตลอดชีวิต ตลอดจนมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการอ่านและการรู้หนังสือแก่ประชากรในชนบท ได้แก่ การจัดนิทรรศการ “วันการศึกษาผู้ใหญ่แห่งชาติ” ใน พ.ศ.2520 และนิทรรศการ “วันการศึกษาผู้ใหญ่” ใน พ.ศ. 2522 การจัดการศึกษานอกระบบโรงเรียนมีหลายรูปแบบ คือ 1) การสอนให้อ่านออกเขียนได้ เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานในการดำรงชีวิต ได้แก่ โครงการรณรงค์เพื่อการเรียนรู้ หนังสือแห่งชาติ โครงการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐาน และโครงการศึกษาต่อเนื่อง 2) การจัดที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน ห้องสมุดประชาชนจังหวัด (ปัจจุบันมี 71 แห่ง),ห้องสมุดประชาชน อำเภอ (ปัจจุบันมี744 แห่ง ),ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จัดสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2534 เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 36 พรรษาเรื่อยมาจนปัจจุบันมีจำนวน 108 แห่ง ห้องสมุดเคลื่อนที่วิทยุและโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ทันต่อเหตุการณ์ 3) การสอนวิชาชีพหลักสูตรระยะสั้น โครงการฝึกอบรมต่างๆเพื่อให้ความรู้ด้านวิชาชีพและให้รู้จักใช้เวลาให้ เป็นประโยชน์นอกจากบทบาทหน้าที่ดังกล่าวแล้วในด้านการส่งเสริมการอ่าน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย ยังได้เพิ่มปริมาณวัสดุการอ่านโดย 1) ขอรับบริจาคหนังสือจากประชาชนโดยตั้งตู้รับบริจาคหนังสือตามแหล่งชุมชนต่างๆการเคาะประตูตามบ้าน ด้วยการนัดหมายล่วงหน้า การรณรงค์ตามสื่อสารมวลชนต่างๆ 2) ชักชวนให้วัดพุทธศาสนาจัดตั้งที่อ่านหนังสือในวัดเพื่อบริการแก่ชุมชนรอบๆ 3) จัดตั้ง “มูลนิธิหนังสือดีสู่ชุมชน”เพื่อกระตุ้นให้บริษัทผลิตหนังสือหันมาสนับสนุนผู้อ่านในชนบท และยังได้ จัดพิมพ์หนังสือที่ได้รับการเลือกสรรเพื่อเสนอให้มีการจัดพิมพ์หรือบริจาคหนังสือดังกล่าวแก่ผู้อ่านในชนบท 4) จัดสร้างห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็นช่องทางการอ่านอีกทางหนึ่ง ทศวรรษแห่งการอ่าน จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป อ่านหนังสือน้อยลง จากปี 2548 ที่เคยอ่านร้อยละ 69.1 ปี2551 อ่านลดลงเหลือร้อยละ 66.3 โดยเด็กหันไปดูโทรทัศน์มากขึ้น และคนไทยอ่าน หนังสือในปี 2548 เพียง 51 นาทีต่อวัน ปี 2551 ลดเหลือ 39 นาทีต่อวัน ทำให้เกิดความตระหนักและตื่นตัวในการเร่ง กระตุ้นให้ประชาชนหันมาอ่านหนังสือมากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีการผลักดันจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้ง 32 องค์กร ในปี 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552 นายอภิสิทธิ์เวช ชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านรายการ“เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” กล่าวถึงนโยบายเกี่ยวกับเด็กและ เยาวชนว่าได้ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็ก และเยาวชนเพราะเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยจะใช้สวนสาธารณะใน กรุงเทพมหานครและในหัวเมืองใหญ่ๆ ของประเทศไทย มีการปิดถนนให้เด็กเดินและทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์เพิ่มขึ้น และ เปิดพื้นที่สื่อรณรงค์เรื่องการส่งเสริมการอ่าน การประกาศวาระแห่งชาติในเรื่องการอ่านการสนับสนุนโครงการหนังสือเล่ม
24 แรกเพื่อให้ประชาชนทุกครอบครัวปลูกฝังนิสัยรักการอ่านของเด็กตั้งแต่แรกเกิด โครงการคลื่นวิทยุสีขาวที่เป็นรายการ สำหรับเด็กและเยาวชน คณะรัฐมนตรีมีมติ วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2552 เห็นชอบให้ 1) การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ 2) กำหนดให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปีซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นวันรักการอ่าน 3) กำหนดให้ปี 2552 – 2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน 4) กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นกลไกขับเคลื่อน การส่งเสริมการอ่านให้เกิดเป็นรูปธรรม งานมหกรรมการอ่าน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการอ่านจัดงาน มหกรรมการอ่าน มาตั้งแต่ พ.ศ.2550 เพื่อรณรงค์และสร้างความตระหนักด้านการอ่าน แก่เด็ก เยาวชน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป โดยในพ.ศ. 2552 สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง กับการส่งเสริมการอ่าน จัดงานมหกรรมรักการอ่าน เทิดมหาราชินี ระหว่างวันที่ 14-16 สิงหาคม พ.ศ.2552 ทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (วันคล้ายวันพระราช สมภพตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม) เป็นกิจกรรมแรกเพื่อส่งเสริมการอ่านสืบเนื่องจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน ในการนี้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาพระราชทานรายชื่อหนังสือดีสำหรับเด็กและ เยาวชนไทย 6 เรื่อง มายังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเชิญไปเผยแพร่และส่งเสริมให้มีการอ่านและการศึกษาอย่างแพร่หลาย ได้แก่ 1) พระอภัยมณี 2) รามเกียรติ์ 3) นิทานชาดก 4) อิเหนา 5) พระราชพิธีสิบสองเดือน 6) กาพย์เห่เรือ โดย เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เผยแพร่สิบกลวิธี สร้างนิสัยรักการอ่านในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยสังเคราะห์จากพระราชนิพนธ์ เรื่อง แม่ในสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี การดำเนินงานตามนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองสำนักงาน ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยได้ดำเนินการตามนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ได้แก่ การจัดทำคู่มือ แนวทางการดำเนินงานห้องสมุด 3 ดี ระดับประเทศเพื่อให้ห้องสมุดประชาชนทุกแห่งตระหนักและ เห็นคุณค่าในการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานห้องสมุดประชาชนสู่การเป็นศูนย์กลางเรียนรู้ตลอดชีวิต 3.การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ รัฐบาลให้ความสำคัญในการรณรงค์ให้เด็กไทยรักการอ่าน โดยถือเป็นวาระแห่งชาติรายงานจากสำนักสถิติ แห่งชาติพบว่า การอ่านหนังสือของเด็กไทยจากเดิม 52 นาทีต่อวัน เหลือเพียง 39 นาที เนื่องจากเด็กและเยาวชนส่าวน ใหญ่ใช้เวลาไปกับการเล่นคอมพิวเตอร์และดูโทรทัศน์มากขึ้น โดยจะต้องสร้างแรงจูงใจให้เด็กไทยรักการอ่านมากขึ้น เช่น การให้ความสำคัญกับการอ่านและการเขียนภาษาไทย ซึ่งนำไปสู่การให้คะแนนในการเรียนการสอน ในหลักสูตรใหม่ก็ได้ กำหนดให้มีชั่วโมงส่งเสริมการอ่านและการเขียนไทย นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังได้จัดทำโครงการห้องสมุด 3 D ขึ้น ประกอบด้วย หนังสือดี บรรยากาศดี และบรรณารักษ์ดี โดยจะเริ่มในโรงเรียนทุกระดับ และสถาบันอาชีวศึกษา อีกทั้งคณะรัฐมนตรีมีมติให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน และรู้หนังสือ ภายในปี 2555 โดยได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินการให้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 95 รวมถึงให้ค่าเฉลี่ยการอ่านหนังสือของคนไทยเพิ่มขึ้นจากปีละ 5 เล่ม เป็น 10 ขณะเดียวกันให้เพิ่มแหล่งการ อ่านครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างทั่วถึงและสร้างภาคีเครือข่ายเพื่อปลูกฝังการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืนทุก รูปแบบ
25 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน ททททททททศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ได้ดำเนินการโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีและเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับนักศึกษา อีกทั้งเพื่อสร้าง โอกาสให้นักศึกษา ได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบของกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการส่งเสริม การอ่านทุกประเภทจึงได้ให้ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัตหีบ จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เทิดพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยาม บรมราชกุมารีให้กับนักศึกษาและประชาชนทั่วไปในอำเภอสัตหีบ มีขั้นตอนดังนี้ 1.ประชุมบุคลากรกรรมการ กศน.อำเภอสัตหีบ 2.แต่งตั้งคณะทำงาน 3.ดำเนินงานตามแผน 4. ประชากรที่ใช้ในการดำเนินงาน 5.เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน 6.การเก็บรวบรวมข้อมูล 7.การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ประชุมบุคลากรกรรมการ กศน.อำเภอสัตหีบ ททททททกศน.อำเภอสัตหีบ ได้วางแผนประชุมบุคลากรกรรมการ ททกศน.อำเภอสัตหีบเพื่อหาแนวทาง ในการดำเนินงานและกำหนดวัตถุประสงค์ร่วมกัน 2. จัดตั้งคณะทำงาน ททททททจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานโครงการ เพื่อมอบหมอบหมายหน้าที่ในการทำงานให้ชัดเจน เช่น ทททททททท ททท ท2.1 คณะกรรมการที่ปรึกษา/อำนวยการ มีหน้าที่อำนวยความสะดวก และให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทททททท2.2 คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์รับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ ทททททท2.3 คณะกรรมการฝ่ายรับลงทะเบียนและประเมินผลหน้าที่จัดทำหลักฐานการลงทะเบียนผู้เข้าร่วมโครงการ และรวบรวมการประเมินผล และรายงานผลการดำเนินการ 3. ดำเนินการตามแผนงานโครงการ ททททททททโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิ ราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีณ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอสัตหีบ 471หมู่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีในวันที่ 2 เมษายน 2564 โดยมีกิจกรรมดังนี้ 1. ลงนามถวายพระพร 2. แนะนำ และให้ความรู้เกี่ยวกับห้องสมุดฯ 3. ฐานการเรียนรู้ ส่งเสริมการอ่าน จำนวน7 ฐาน“สตตหีบ ขุมทรัพย์แห่งความรู้” -ฐานหีบใบที่ 1 เอก ข้าวต้มมัดใจ -ฐานหีบใบที่ 2 ทวิ น้ำสมุนไพรใส่ใจสุขภาพ -ฐานหีบใบที่ 3 ไตร ถุงผ้าช่วยโลก ช่วยเรา
26 -ฐานหีบใบที่4 จตุ คัดลายมือเฉลิมพระเกียรติ -ฐานหีบใบที่ 5 เบญจ ส้มตำลีลา -ฐานหีบใบที่ 6 ฉ สุภาษิต คำพังเพย -ฐานหีบใบที่ 7 สตต 2 เมษา เทิดพระเกียรติ 4. ประชากรที่ใช้ในการดำเนินงาน ททททททททประชากรประชาชนทั่วไปและนักศึกษา กศน. อำเภอสัตหีบ กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่ม อย่างง่าย (Simple Random Sampling) และกำหนดขนาดของกลุ่มโดยการใช้ตารางเครซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan) จำนวน 150 คน กลุ่มตัวอย่างซึ่งได้สรุปผลจากแบบสอบถามและนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง 108 คน 5. เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน 1. แบบสังเกตุและติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ททททททท 2. แบบสำรวจความคิดเห็นโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี 3. แบบสอบถามความพึงพอใจโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระ ราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล จากการดำเนินงานโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีณ ห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราช กุมารี”อำเภอสัตหีบ 471หมู่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 2 เมษายน 2564 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 150 คน โดยมีการแจกสอบถามทั้งหมด 108 ชุด และเก็บรวบรวมแบบสอบถามได้ 108 ชุด คิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ 7. การวิเคราะห์ข้อมูล จากการดำเนินงานโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีณ ห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราช กุมารี”อำเภอสัตหีบ ในวันที่ 2 เมษายน 2564 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 150 คน ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทท7.1 ด้านความรู้ ได้ใช้แนวทางการประเมินของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย (สำนักงานสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย : 2555 : 44) มาเป็นแนวทาง ในการวิเคราะห์ ขอบเขตคะแนน 8.00 – 10.00 หมายถึง ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้ ความเข้าใจ นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวันรักการอ่านฯ ระหว่าง 80.00 – 100.00% อยู่ในระดับ ดีมาก ขอบเขตคะแนน 7.50 – 7.90 หมายถึง ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้ ความเข้าใจ นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องวันรักการอ่านฯ
27 ระหว่าง 75.00 – 79.00% อยู่ในระดับ ดี ขอบเขตคะแนน 7 – 7.49 หมายถึง ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้ ความเข้าใจ นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องวันรักการอ่านฯ ระหว่าง 70.00 – 74.00% อยู่ในระดับ พอใช้ ขอบเขตคะแนน 6 – 6.9 หมายถึง ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้ ความเข้าใจ นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องวันรักการอ่านฯ ระหว่าง 66.00 – 69.00% อยู่ในระดับ น้อย 6. เกณฑ์การประเมินความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวัน คล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ได้ใช้แนวทาง ทางการประเมินของเบสท์ ดับบลิว จอห์น (Best, W. John 1981 : 185) มาประเมินค่าคะแนนเฉลี่ยที่ได้ คือ 6.1 ความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระ ราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ขอบเขตค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับ มากที่สุด ขอบเขตค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง ความพึงพอใจ อยู่ในระดับ อยู่ในระดับ มาก ขอบเขตค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง ความพึงพอใจ อยู่ในระดับ อยู่ในระดับ ปานกลาง
28 บทที่ 4 ผลการดำเนินการ รรรรรรร โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิ ราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีณ ห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัตหีบ ใน วันที่ 2 เมษายน 2564 มีผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มเป้าหมาย ตอนที่ 2 ข้อมูลสังเกตและติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระ ราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ตอนที่ 3 ข้อมูลความคิดเห็นต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ตอนที่ 4 ข้อมูลความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กกกกกกกกn หมายถึง จำนวนกลุ่มเป้าหมายบางส่วน หรือ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง กกกกก กก̅ หมายถึง ค่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง กกกกกก กS.D. หมายถึง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง กกกกกกก % หมายถึง ค่าร้อยละ
29 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มเป้าหมาย ตารางที่ 1 เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารีจำนวนและร้อยละของนักศึกษาเข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวัน พระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีจำแนกตามเพศ อายุ อาชีพ ข้อมูลทั่วไป จำนวน (n=108) ร้อยละ (%) 1. เพศ 1.1 ชาย 1.2 หญิง 2. อายุ 2.1 12-29 ปี 2.2 30 – 39 ปี 2.3 40 – 49 ปี 2.4 50 – 59 ปี 2.5 60 ปีขึ้นไป 3. อาชีพ 4.1 นักเรียน/นักศึกษา 4.2 รับจ้าง 4.3 ค้าขาย 4.4 รับราชการ 4.5 อื่นๆ 48 60 78 30 - - 55 15 8 - 30 44.44 55.56 72.22 27.78 - - - 50.10 13.80 7.40 - 27.70 กกกกก ก กจากตารางที่ 1 แสดงว่า ผู้ตอบแบบสอบถามของโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องใน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีคิดชายเป็น 48 คน คิดเป็นร้อยละ 44.44 และเป็นหญิง 60 คน คิดเป็น ร้อยละ 55.56 ส่วนใหญ่มีในช่วงอายุ12-29 ปี มีจำนวน 78 คน คิดเป็นร้อยละ72.22 และมีอายุ 30–39 ปี มีจำนวนคน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 27.78 และผู้เข้าร่วมมีอาชีพ นักเรียนนักศึกษามากที่สุด จำนวน 55 คน คิดเป็นร้อยละ 50.10 รองลงมาคืออาชีพอื่นๆ มีจำนวน 30 คน คิดเป็นร้อย ละ 27.70 อาชีพรับราชการจำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 7.40 และอันดับสุดท้าย อาชีพค้าขาย มีจำนวน 8 คน คิดเป็น ร้อยละ 7.40
30 ตอนที่ 2 ข้อมูลสังเกตและติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่านเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ตารางที่ 2 จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมโครงการที่ได้รับการประเมินสังเกตและติดตาม โครงการ 2 เมษายน วันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การประเมิน n (108) (%) ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการเชิง ปริมาณ ผลการ ดำเนิน การประเมินสังเกตติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราช เจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 95 13 - - 87.96 12.04 - - การประเมินสังเกตติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยาม บรมราชกุมารีในระดับมาก ร้อยละ 80 บรรลุ จากตาราง 2 ผู้เข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ มีระดับการ ประเมินและติดตามจากการเข้าร่วมกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 87.96 และระดับมาก 12.04 เมื่อเทียบกับ ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีผลการประเมินสังเกตติดตามอยู่ ในระดับมากถึงที่ มากสุด (รวมร้อยละ มาก ถึง มากที่สุด เท่ากับ100) บรรลุตาม วัตุประสงค์
31 ตาราง 3 ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง และระดับคุณภาพ การประเมินสังเกตติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี การประเมิน n S.D. ระดับการ ประเมิน ตัวชี้วัดความสำเร็จ ของโครงการ เชิงคุณภาพ ผลการ ดำเนินงาน การประเมินสังเกตติดตาม โครงการ 2 เมษายนวันรักการ อ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวัน คล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยาม บรมราชกุมารี 108 4.43 0.26 มาก ระดับการประเมินสังเกต ติดตามของผู้ร่วมโครงการ อยู่ในระดับ มาก บรรลุ จากตาราง 3 แสดงว่าผู้เข้าร่วมโครงการ ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ มีความความรู้ความเข้าใจในกิจกรรม, สนใจเข้าร่วม, และมีความกระตือรือร้น อยู่ในระดับ มากเมื่อเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ เชิงคุณภาพ นักศึกษาและประชาชนมีความสนใจต่อการเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี บรรลุ ตามวัตุประสงค์
32 ตอนที่ 3 ข้อมูลความคิดเห็นต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ตาราง 4 จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมโครงการที่มีความคิดเห็นต่อโครงการ 2เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การประเมิน n (108) (%) ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการเชิง ปริมาณ ผลการ ดำเนิน ข้อมูลแบบสอบถามความคิดเห็น ต่อ โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวัน พระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิ ร า ช เ จ ้ า ก ร ม ส ม เ ด ็ จ พ ร ะ เ ท พ รัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 80 28 - - - 74.08 25.92 - - - ความคิดเห็นต่อโครงการ 2 เมษายน วันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารีในระดับมาก ร้อยละ 80 บรรลุ จากตาราง 4 ผู้เข้าร่วมโครงการ มีความคิดเห็นต่อการเข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารีในระดับมากที่สุด ร้อยละ 74.08 ระดับมากร้อยละ 25.92 (รวมร้อยละมาก ถึง มากที่สุด เท่ากับ100) บรรลุตามวัตุ ประสงค์
33 ตาราง 5 ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง และระดับคุณภาพความคิดเห็นต่อการเข้าร่วม ต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี การประเมิน n S.D. ระดับความ ความคิดเห็น ตัวชี้วัดความสำเร็จ ของโครงการ เชิงคุณภาพ ผลการ ดำเนินงาน ความคิดเห็นต่อการเข้าร่วม โครงการ 2 เมษายนวันรักการ อ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวัน คล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยาม บรมราชกุมารี 108 4.44 0.42 มาก ความคิดเห็นของ ผู้ร่วมโครงการ อยู่ในระดับ มาก บรรลุ จากตาราง 5 แสดงว่าผู้เข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ มี ความคิดเห็นต่อการเข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีอยู่ในระดับ มากเมื่อเปรียบเทียบกับตัวชี้วัด ความสำเร็จของโครงการ เชิงคุณภาพ ความคิดเห็นต่อการเข้าร่วมของผู้เข้าร่วมโครงการ อยู่ในระดับ มาก พบว่า ผลการ ประเมินความคิดเห็น โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี บรรลุตามวัตุประสงค์
34 ตอนที่ 4 ข้อมูลความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ตารางที่ 6 จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมโครงการที่มีความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายน วันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี การประเมิน n (108) (%) ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการเชิง ปริมาณ ผลการ ดำเนิน ความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายน วันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารี มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 98 10 - 90.75 9.25 - ความพึงพอใจโครงการ 2 เมษายนวัน รักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องใน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ในระดับมาก ร้อยละ 80 บรรลุ จากตาราง 6 ผู้เข้าร่วมโครงการ มีความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารีในระดับมากที่สุดร้อยละ 90.75 ระดับมาก ร้อยละ 9.25 (รวมร้อยละมาก ถึง มากที่สุด เท่ากับ 100) บรรลุตามวัตุ ประสงค์
35 ตาราง 7 ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง และระดับคุณภาพความพึงพอใจ ต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี การประเมิน n S.D. ระดับความ พึงพอใจ ตัวชี้วัดความสำเร็จ ของโครงการ เชิงคุณภาพ ผลการ ดำเนินงาน ความพึงพอใจโครงการ 2 เมษายน วันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 108 4.50 0.46 มาก ความพึงพอใจของผู้ ร่วมโครงการ อยู่ในระดับ มาก บรรลุ จากตาราง 7 แสดงว่าผู้เข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระ ราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ มี ความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีอยู่ในระดับ มากเมื่อเปรียบเทียบกับตัวชี้วัด ความสำเร็จของโครงการ เชิงคุณภาพ ความรู้สึกพึงพอใจของนักศึกษาต่อโครงการ อยู่ในระดับ มาก พบว่า ผลการประเมิน ความพึงพอใจต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีบรรลุตามวัตุประสงค์
36 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ททททททททจากที่โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีในโอกาสที่พระชนมายุครบ 66 ปี ในปี พ.ศ. 2564 และเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชน อีกทั้งเพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เช้าถึงแหล่ง เรียนรู้ในรูปแบบบ้านหนังสือชุมชน หรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชน ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการ อ่านทุกประเภทจึงได้ให้ กศน.อำเภอสัตหีบและห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัตหีบ จัดทำส่งเสริมการอ่าน เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ให้กับนักศึกษาและประชาชนทั่วไปในตำบลบางเสร่ ซ ึ ่ ง โ ค ร ง ก า ร จ ั ด ข ึ ้ น ว ั น ท ี ่ 2 เ ม ษ า ย น 2564 ณ ห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 150 คน ทั้งนี้ขอสรุปและ อภิปรายผลและข้อเสนอแนะดังนี้ สรุปผลการดำเนินงาน ททททททททจากการดำเนินงานโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ณ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราช กุมารี” อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 150 คน โดยมีการแจกสอบถามทั้งหมด 108 ชุด ซึ่งผล การวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1. วัตถุประสงค์โครงการ 1) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ 66 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี2) เพื่อให้นักศึกษา.กศน.อำเภอสัตหีบ จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์3) เพื่อปลูกฝังให้ นักศึกษา.กศน. อำเภอสัตหีบ มีนิสัยรักการอ่านและนำ 2. กลุ่มเป้าหมายในการประเมิน โดยใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 150 คน และแจกแบบสอบถามจำนวน 108 ชุด ได้แก่ นักศึกษาและประชาชน 3. เครื่องมือการเก็บข้อมูล ได้แก่1) แบบสังเกตุและติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารี2) แบบสอบถามความคิดเห็นของติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวัน พระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี 3) แบบสอบถามความ พึงพอใจติดตามโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ของผู้ประเมินเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสังเกตติดตามโดยผู้ดำเนินโครงการ แบบประเมินความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมโครงการ และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างและค่าเบี่ยงเบน มาตราฐานของกลุ่มเป้าหมายบางส่วน 6. ผลการดำเนินโครงการสรุปได้ ดังนี้ ทททททททท1. ผู้ตอบแบบสอบถามของโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราช สมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเป็นชาย 48 คน คิดเป็นร้อยละ 44.44 และเป็นหญิง 60 คน คิดเป็น ร้อยละ 55.56 ส่วนใหญ่มีในช่วงอายุ12-29 ปี มีจำนวน 78 คน คิดเป็นร้อยละ
37 72.22 และมีอายุ 30 – 39 ปี มีจำนวนคน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 27.78 และผู้เข้าร่วมมีอาชีพนักเรียนนักศึกษามาก ที่สุด จำนวน 55 คน คิดเป็นร้อยละ 50.10 รองลงมาคืออาชีพอื่นๆ มีจำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 27.70 อาชีพรับ ราชการจำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 7.40 และอันดับสุดท้าย อาชีพค้าขาย มีจำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 7.40 2. ผู้เข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ มีระดับการประเมิน และติดตามจากการเข้าร่วมกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 87.96 และในระดับมาก 12.04 เมื่อเทียบกับตัวชี้วัด ความสำเร็จของโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีผลการประเมินสังเกตติดตามอยู่ ในระดับมากถึงที่ มากสุด (รวมร้อยละ เท่ากับ100) บรรลุตามวัตุประสงค์ 3. ข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการ มีความคิดเห็นต่อการเข้าโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่อง ในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีในระดับ มากที่สุด ร้อยละ 74.08 ระดับมากร้อยละ 25.92 (รวมร้อยละ เท่ากับ100) บรรลุตามวัตุประสงค์ ทททท4 4. ข้อมูลแสดงผู้เข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ มีความพึง พอใจต่อโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราช เจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีอยู่ในระดับ มากเมื่อเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดความสำเร็จของ โครงการ เชิงคุณภาพ ความรู้สึกพึงพอใจของนักศึกษาต่อโครงการ อยู่ในระดับ มากที่สุด ร้อยละ 90.75 และในระดับมาก ร้อยละ 9.25 (รวมร้อยละ เท่ากับ100) บรรลุตามวัตุประสงค์ อภิปรายผล โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิ ราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีได้นำสรุปผลการดำเนินโครงการที่ได้สำคัญๆ มาอภิปลาย ไว้ดังนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการได้ มีส่วนร่วม ในการเข้าร่วมกิจกรรม เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้าย วันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด จากการ สังเกตพบว่าโครงการบรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ ผู้เข้าร่วมโครงการได้เข้าร่วมกิจกรรมที่มีการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จากการเก็บ แบบสังเกตพบว่า มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามเป้าหมายส่งผลให้โครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ ผู้เข้าร่วมโครงการได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ปลูกฝังให้นักศึกษาและประชาชนมีนิสัยรักการอ่านจากการเก็บ แบบทดสอบความคิดเห็นพบว่าผู้เข้าร่วมโครงการได้เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่านจากกิจกรรมภายในแหล่งเรียนรู้ตาม อัธยาศัยและสามารถนำความรู้ไป ใช้ได้ ส่งผลให้โครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ ข้อเสนอแนะ 1.ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น 2.ควรจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
38 ภาคผนวก ก
39 แบบประเมินสังเกตติดตาม / โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องใน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ส่วนที่ 1 คำชี้แจง ใส่เครื่องหมาย/ลงในช่องที่ตรงกับข้อมูลของท่านเพียงช่องเดียว เพศ ชาย หญิง อายุ 12-29 ปี 30-39ปี 40-49ปี 60ปีขึ้นไป อาชีพ นักเรียน รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ อื่นๆ ส่วนที่ 2 ข้อมูลสังเกตติดตามผู้เข้าร่วมโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องใน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี (ใส่เครื่องหมาย/ลงในช่องที่ตรงกับความคิดเห็นของท่านเพียงช่องเดียว) ข้อที่ รายการ ระดับการประเมิน 5 4 3 2 1 1. มีความสนใจในกิจกรรม 2. มีความกระตือรือร้น 3. สามารถตอบคำถามได้ 4. มีการแสดงความคิดเห็น 5. มีสนใจในการจดบันทึกข้อมูล
40 ภาคผนวก ข แบบสอบถามความคิดเห็น
41 โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องใน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ส่วนที่ 1 คำชี้แจง ใส่เครื่องหมาย/ลงในช่องที่ตรงกับข้อมูลของท่านเพียงช่องเดียว เพศ ชาย หญิง อายุ 12-29 ปี 30-39ปี 40-49ปี 60ปีขึ้นไป อาชีพ นักเรียน รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ อื่นๆ ส่วนที่ 2 คำชี้แจ้ง แบบสอบถามการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ของผู้รับบริการ (ใส่เครื่องหมาย/ลงในช่องที่ตรงกับความคิดเห็น ของท่านเพียงช่องเดียว) รายการ ระดับความคิดเห็น 5 4 3 2 1 1.ความเหมาะสมเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ 2.ความเหมาะสมของช่วงเวลาในการจัด โครงการ 3.ความเหมาะสมของระยะเวลาที่จัดโครงการ 4.ความเหมาะสมของวิธีการในการพัฒนา 5.เนื้อหาสอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการพัฒนา 6. สื่อ/อุปกรณ์ที่ใช้เหมาะสมกับการพัฒนา 7.นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 8. เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้/ปฏิบัติงาน
42 ภาคผนวก ค แบบสอบถามความพึงพอใจ โครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องใน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
43 ส่วนที่ 1 คำชี้แจง ใส่เครื่องหมาย/ลงในช่องที่ตรงกับข้อมูลของท่านเพียงช่องเดียว เพศ ชาย หญิง อายุ 12-29ปี 30-39ปี 40–49 ปี 50 – 49 ปี 60ปีขึ้นไป อาชีพ นักเรียน/นักศึกษา รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ อื่นๆ ส่วนที่ 2 ข้อมูลความพึงพอใจผู้เข้าร่วมของโครงการ 2 เมษายนวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติเนื่องใน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี รายการ ระดับความคิดเห็น 5 4 3 2 1 ประเด็นด้านกระบวนการขั้นตอนการจัดกิจกรรม 1. มีขั้นตอนการจัดกิจกรรม 2. กระบวนการจัดกิจกรรมตรงกับวัตถุประสงค์การจัดงาน 3. มีการอำนวยความสะดวกในการเข้าร่วมกิจกรรม 4. ขั้นตอนการจัดกิจกรรมหรือการให้บริการมีความยืดหยุ่น สามารถ ปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ 5. ได้รับความรู้หรือประโยชน์จากกระบวนการจัดกิจกรรมทุก ขั้นตอน ประเด็นด้านเจ้าหน้าที่ / วิทยากร 6. ความเหมาะสมในการแต่งกาย/บุคลิก/ท่าทางการใหบริการ 7. บริการด้วยความสุภาพ และด้วยไมตรีจิต 8. บริการด้วยความกระตือรือร้น รวดเร็ว ฉับไว 9. ความรู้ความสามารถในการบริการเช่น การตอบคำถาม ชี้แจงข้อสงสัยคำแนะนำ 10. บริการด้วยความเสมอภาคเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ประเด็นด้านสิ่งอำนวยความสะดวก 11. สถานที่สำหรับการให้บริการมีความเหมาะสม 12. ครุภัณฑ์วัสดุอุปกรณ์เช่นโต๊ะ เก้าอี้ ระบบภาพและเสียง อื่นๆ ที่ใช้ในการจัดโครงการมีความเหมาะสมเพียงพอ
44 13. สื่อที่ใช้ในการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม 14. มีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าและอย่างทั่วถึง 15. มีป้าย/สัญลักษ์ที่แสดงจุดจัดกิจกรรมหรือให้บริการ อย่างชัดเจน ประเด็นด้านคุณภาพ 16. ได้เข้าร่วมโครงการหรือได้บริการอย่างประทับใจ 17. ได้เข้าร่วมโครงการหรือได้รับบริการตรงตามความต้องการ 18. ได้เข้าร่วมโครงการหรือได้รับบริการที่เป็นประโยชน์ 19. การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการ สามารถอ่านและเขียนได้ ดีขึ้น 20. สามารถนำความรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวันได้