คำนำ เอกสารสรุปผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอบ้านบึง โครงการดังกล่าว ดำเนินการเสร็จสิ้นไปด้วยดี ซึ่งรายละเอียดผลการดำเนินงานต่าง ๆ ตลอดจน ข้อเสนอแนะได้สรุปไว้แล้ว ต้องขอขอบคุณทางสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดชลบุรี ที่ให้การสนับสนุน งบประมาณ ตลอดจนคำปรึกษาแนะนำในกิจรรมดังกล่าว รวมทั้งบุคลากรของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ บ้านบึงทุกท่าน ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอบ้านบึง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ ต้องการศึกษาหาข้อมูลเพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการจัดโครงการฯ ในลักษณะนี้ และหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดตก บกพร่อง คณะผู้จัดทำพร้อมที่จะน้อมรับไว้เพื่อจะปรับปรุง ในโอกาสต่อไป ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอบ้านบึง ธันวาคม 2566
สารบัญ เรื่อง หน้า บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ 1 วัตถุประสงค์ 1 เป้าหมาย 1 เครื่องมือที่ใช้ในการสรุป 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หลักและแนวคิดเกี่ยวกับการประเมินโครงการ 3 แนวคิดเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 5 ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 32 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน 40 ขั้นตอนการร่วมกันวางแผน (Plan) 40 ขั้นตอนการร่วมกันปฏิบัติ ( Do) 40 ขั้นตอนการ่วมกันประเมิน ( Check ) 40 ขั้นตอนการร่วมปรับปรุง ( Act) 41 บทที่ 4 ผลการดำเนินการและวิเคราะห์ข้อมูล ผลการจัดกิจกรรมตามโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ 42 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ 45 เป้าหมาย 45 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 45 การเก็บรวบรวมข้อมูล 45 สรุปผลการดำเนินการ 45 ปัญหา/ข้อเสนอแนะ 46 ภาพกิจกรรม 46 ภาคผนวก
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการความร่วมมือการพัฒนาคน ตลอดช่วงชีวิต ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวง สาธารณสุข เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 โดยกำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการมีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิต เพื่อคงภาวะติดสังคมให้แก่ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคมในชุมชน ด้วยหลักสูตรและรูปแบบที่หลากหลาย และผลิตผู้ดูแลผู้สูงอายุร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อดูแลผู้สูงอายุภาวะ พึ่งพิงในครอบครัว ในชุมชน และเพื่อการมีงานทำของประชากรวัยแรงงาน การจัดการศึกษาตลอดชีวิตเป็นอีก วิธีการหนึ่งที่จะช่วยคงภาวะติดสังคมให้แก่ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ รูปแบบของการศึกษาตลอดชีวิตดังกล่าว ได้แก่ การ ออกแบบกิจกรรมที่ให้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม ได้ออกมาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งลักษณะของกิจกรรมกลุ่มนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม มีพัฒนาการไปเป็นผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง (ติดบ้านและติดเตียง) ตราบเท่าที่ผู้สูงอายุยังสามารถคงสมรรถนะ ทางกาย จิต และสมองไว้ได้ยืนยาวขึ้นหรือตลอดชีวิตย่อมสร้างประโยชน์ให้แก่ครอบครัวชุมชนและสังคมได้ อีกทั้ง ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาของภาครัฐได้จำนวนมาก ปัจจัยสำคัญของการที่จะคงภาวะติดสังคม ในผู้สูงอายุไว้ให้นานที่สุด ขึ้นอยู่กับการที่ผู้สูงอายุมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมที่เหมาะสมและอย่างสม่ำเสมอ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอบ้านบึง ได้เล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นที่ต้องส่งเสริม สนับสนุน จัดกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต 4 มิติ ได้แก่ มิติด้านสุขภาพ ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านสภาพแวดล้อม เพื่อส่งเสริมการเตรียมความพร้อมในทุกมิติให้ผู้สูงอายุมีโอกาส ในการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรม จึงได้จัดโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ ขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์ 4.1 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้และความพร้อมด้านการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี 4.2 เพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 1.3 เป้าหมาย เชิงปริมาณ ผู้สูงอายุและประชาชนทั่วไป จำนวน 23 คน 1. ตำบลคลองกิ่ว จำนวน 8 คน 2. ตำบลหนองชาก จำนวน 5 คน 3. ตำบลหนองไผ่แก้ว จำนวน 5 คน 4. ตำบลหนองอิรุณ จำนวน 5 คน เชิงคุณภาพ ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้และความพร้อมด้านการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีและสามารถนำ ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
2 1.4 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในครั้งนี้ ใช้แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ภายใต้โครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้และความพร้อมด้านการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีและสามารถ นำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขอยู่ในระดับดี อย่างน้อยร้อยละ 80
3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการจัดทำโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ ผู้จัดทำได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและบทความต่าง ๆ รวมทั้งได้ทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดกรอบแนวความคิดที่จะใช้ในการศึกษา ดังนี้ 1.แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการประเมินโครงการ 2.แนวคิดเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 3.ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการประเมินโครงการ 1. ความหมายของการประเมินโครงการ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2524, หน้า 1) ได้ให้ความหมายของการประเมินโครงการไว้ว่า เป็นกระบวนการเพื่อให้ ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศสำหรับการตัดสินคุณค่าของโครงการ ผลผลิตกระบวนการ จุดมุ่งหมายของโครงการ หรือ ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อนำไปปฏิบัติให้บรรลุจุดมุ่งหมาย จุดเน้นของการประเมินคือ การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อสนเทศ เพื่อตัดสินคุณค่าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ ไพศาล หวังพานิช (2533, หน้า 25 – 26) ได้ให้ความหมาของการประเมินโครงการไว้ว่า การประเมิน โครงการเป็นกระบวนการกำหนดคุณค่าของโครงการนั้นว่าดีมีประสิทธิภาพและได้ผลเพียงใด สุวิมล ติรกานันท์ (2543, หน้า 2) กล่าวว่า การประเมินโครงการเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของ กระบวนการดำเนินงานเพื่อให้ได้สารสนเทศที่สามารถใช้ในการพิจารณาการดำเนินการ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการ เป็นไปได้อย่างทันท่วงที ในทางตรงกันข้ามผลการประเมินจะไม่เกิดเท่าที่ควร หากผลนั้นไม่สามารถใช้ในเวลาที่ เหมาะสม จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ความหมายการประเมินโครงการสรุปได้ว่า เป็นกระบวนการดำเนินงานที่ให้ ได้มาซึ่งข้อมูล สารสนเทศสำหรับการตัดสินคุณภาพ คุณค่าของโครงการว่ามีระดับคุณภาพ และคุณค่าอย่างไร นำไปใช้พัฒนาสืบเนื่องต่อไปได้อย่างไร 2. ความมุ่งหมายของการประเมินโครงการ หลักการดำเนินงานใด ๆ จะต้องมีการติดตามผลงานหรือประเมินผลงานที่ได้รับมอบหมายไปดำเนินการ การ ติดตามผลงานเป็นการประเมินวิธีหนึ่ง เพื่อตรวจสอบว่างานใดดำเนินต่อไปอย่างไรเป็นการป้องกันไม่ให้งานแต่ละช่วง แต่ละตอน ดำเนินการผิดจุดประสงค์และเป้าหมายเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้การ ดำเนินงานนั้นมีโอกาสประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้มากยิ่งขึ้น บทบาทหน้าที่ของ การศึกษาในปัจจุบันโดยเฉพาะโรงเรียนที่มีขอบข่ายขยายกว้างและซับซ้อนมากขึ้น เพราะความเติบโตและเจริญงอก งามของสังคม ความต้องการของสังคมเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคม ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนไม่ได้มีหน้าที่สอนเพียง อย่างเดียวแต่ต้องเกี่ยวข้องประสานงานกับชุมชน สังคมและครอบครัวของนักเรียน โรงเรียนจำเป็นต้องบริหารงานให้ ดำเนินไปตามนโยบายของการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน ต้องดำเนินตามแผนโครงการที่กำหนดจากนโยบาย สูงสุด ดังนั้นจึงต้องมีการติดตามและประเมินโครงการ เพื่อให้งานดำเนินไปตามวัตถุประสงค์จึงทำให้การประเมิน โครงการมีความมุ่งหมายและความสำคัญตามความคิดเห็นของนักวิชาการในหลายแง่มุม ดังต่อไปนี้
4 ประชุม รอดประเสริฐ (2539, หน้า 74 – 75) ได้กล่าวถึงความหมายการประเมินโครงการของ มิตเชล (Mizel) และการประเมินโครงการที่มีความหมายเฉพาะของ คนอกซ์ (Knox) ว่าการประเมินโครงการมีความมุ่งหมาย 3 ประการ 1.เพื่อแสดงผลการพิจารณาถึงคุณค่าของโครงการ 2.เพื่อช่วยให้ผู้ที่ตัดสินใจมีการตัดสินใจที่ถูกต้อง 3.เพื่อการบริการข้อมูลแก่ฝ่ายการเมือง เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบาย การประเมินโครงการ ความมุ่งหมายเฉพาะ ดังต่อไปนี้ 1.เพื่อแสดงถึงเหตุผลที่ชัดเจนของโครงการอันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการตัดสินใจว่า ลักษณะใดของ โครงการมีความสำคัญมากที่สุดซึ่งจะต้องทำการประเมินเพื่อหาประสิทธิภาพและข้อมูลชนิดใดจะต้องเก็บรวบรวม เพื่อการวิเคราะห์ 2.เพื่อรวบรวมหลักฐานความเป็นจริง และข้อมูลที่จำเป็น เพื่อนำไปสู่การพิจารณาประสิทธิผลของโครงการ 3.เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อการนำไปสู่การสรุปผลของโครงการ 4.การตัดสินใจว่าข้อมูลหรือข้อเท็จจริงใดสามารถนำไปใช้ได้ สรุปได้ว่าการประเมินโครงการ มีความมุ่งหมายเพื่อแสดงผลการพิจารณาถึงคุณค่าของโครงการ เพื่อนำ ข้อมูลไปวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของโครงการ เพื่อช่วยให้ผู้มีอำนาจสามารถนำไปตัดสินใจและนำไปใช้ได้ โดย คำนึงถึงความสำคัญของโครงการว่ามีความเหมาะสมเพียงใด บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เพราะผลการประเมินจะ เป็นตัวกระตุ้นให้การดำเนินงานมีข้อบกพร่องน้อยลง ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้นในการ ดำเนินงานแต่ละโครงการ 3. ประโยชน์ของการประเมินโครงการ จากความมุ่งหมายและความสำคัญดังกล่าวแล้ว พอสรุปได้ว่าการประเมินโครงการมีประโยชน์ดังต่อไปนี้ 1.การประเมินโครงการช่วยให้กำหนดวัตถุประสงค์และมาตรฐานของการดำเนินงานมีความชัดเจน ดัง กล่าวคือ ก่อนที่จะนำโครงการไปใช้ย่อมจะได้รบการตรวจสอบอย่างละเอียดจากผู้บริหารและผู้ประเมิน ส่วนใดที่ไม่ ชัดเจน เช่น วัตถุประสงค์หรือมาตรฐานการดำเนินงาน หากขาดความแน่นอนที่แจ่มชัดจะต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข ให้มีความถูกต้องชัดเจนเสียก่อน 2.ประโยชน์เต็มที่ ทั้งนี้เพราะการประเมินโครงการจะต้องวิเคราะห์ทุกส่วนของโครงการข้อมูลใดหรือปัจจัย ใดที่เป็นปัญหา จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานหรือใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสมกับคุณค่า ทรัพยากรทุกชนิดจะได้รับการจัดสรรให้อยู่ในจำนวนหรือปริมาณที่เหมาะสมเพียงพอแก่การดำเนินงาน ทรัพยากรที่ ไม่จำเป็นหรือมีมากเกินไป จะได้รับการตัดทอน และทรัพยากรใดที่ขาดจะได้รับการจัดสรรเพิ่มเติม 3.การประเมินโครงการช่วยให้แผนงานบรรลุวัตถุประสงค์ เพราะโครงการเป็นส่วนหนึ่งของแผน ดังนี้เมื่อ โครงการได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ดำเนินไปด้วยดี 4.การประเมินโครงการมีส่วนช่วยให้การแก้ปัญหาอันเกิดจากผลกระทบ (impact) ของโครงการ และทำให้ โครงการมีข้อที่ทำให้ความเสียหายลดน้อยลง 5.การประเมินโครงการมีส่วนช่วยอย่างสำคัญในการควบคุมคุณภาพของงาน เพราะการประเมินโครงการมี การตรวจสอบ และควบคุมชนิดหนึ่ง
5 6.การประเมินโครงการมีช่วยในการสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานตามโครงการ เพราะการประเมิน โครงการไม่ใช่เป็นการควบคุมบังคับบัญชาหรือสั่งการ แต่เป็นการศึกษาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงแก้ไขและเสนอแนะ วิธีการใหม่ ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติโครงการย่อมจะนำมาซึ่งผลงานที่ดีเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้องทั้งปวง 7.ผลของการประเมินโครงการอาจเป็นข้อมูลอย่างสำคัญในการวางแผนหรือกำหนดนโยบายของผู้บริหารและ ฝ่ายการเมือง 8.การประเมินโครงการช่วยในการตัดสินใจในการบริหารโครงการ กล่าวคือ การประเมินโครงการจะช่วยให้ ผู้บริหารได้ทราบถึงอุปสรรคและปัญหา ข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้และแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขในการ ดำเนินการโครงการ โดยข้อมูลดังกล่าวแล้วจะช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจว่าจะดำเนินโครงการนั้นต่อไป หรือยุติโครงการนั้น แนวคิดเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 1.1 ความหมายของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุ หมายถึง บุคคลที่มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ทั้งนี้ผู้สูงอายุไม่ได้มีลักษณะ เหมือนกันหมด แต่จะมีความแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ โดยแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุไว้ 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. ผู้สูงอายุตอนต้น อายุ 60 - 69 ปี เป็นผู้สูงอายุที่ยังมีกำลังช่วยเหลือตนเองได้ 2. ผู้สูงอายุตอนกลาง อายุ 70 - 79 ปี เป็นผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการเจ็บป่วย ร่างกายเริ่มอ่อนแอ มีโรค ประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง 3. ผู้สูงอายุตอนปลาย อายุ 80 ปีขึ้นไป เป็นผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยบ่อยขึ้น อวัยวะเสื่อมสภาพ และอาจมี ภาวะทุพพลภาพ การจำแนกกลุ่มผู้สูงอายุตามศักยภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ประยุกต์เกณฑ์การประเมิน ความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ติดสังคม ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้ ช่วยเหลือผู้อื่นและสังคม ชุมชนได้ สามารถเดินขึ้นบันได เองโดยไม่ต้องช่วยเหลือ เดินออกนอนบ้านได้ เดินตามลำพังบนทางเรียบได้ รับประทานอาหารด้วยตนเองได้ดี ใช้สุขาด้วยตนเองได้อย่างเรียบร้อย กลุ่มที่ 2 ติดบ้าน ผู้สูงอายุกลุ่มที่ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง ไม่สามารถเดินตามลำพังบนทางเรียบได้ต้องใช้ อุปกรณ์ช่วยเหลือ ต้องการความช่วยเหลือขณะรับประทานอาหาร ต้องการความช่วยเหลือพาไปห้องน้ำ กลุ่มที่ 3 ติดเตียง ผู้สูงอายุที่ป่วยและช่วยเหลือตนเองไม่ได้ พิการ/ทุพพลภาพไม่สามารถย้ายตนเอง ขณะนั่งได้ ไม่สามารถขยับได้ในท่านอน การรับประทานอาหารกลืนลำบาก แม้ว่าผู้ดูแลจะป้อนอาหารให้ ต้องขับถ่ายในท่านอนหรืออยู่บนเตียง สวมใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลาต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมประจำ เจมส์และเรนเนอร์ (อ้างถึงใน เพ็ญผกา กาญจโนภาส, 2541 : 8-9) ได้ให้ความหมายของผู้สูงอายุ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาในสิ่งมีชีวิตและได้แบ่งระดับของความสูงอายุออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. การสูงอายุตามวัย (Chronological Aging) หมายถึง การสูงอายุตามปีปฏิทินโดยนับจากปีที่เกิดเป็นต้นไป 2. การสูงอายุตามสภาพร่างกาย (Biological Aging) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและ กระบวนการหน้าที่ที่ปรากฏขณะที่มีอายุเพิ่มขึ้น 3. การสูงอายุตามสภาพจิตใจ (Psychological Aging) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในหน้าที่ของการรับรู้ แนวความคิด ความจำ การเรียนรู้ เชาวน์ปัญญาและลักษณะที่ปรากฏในระยะต่างๆของแต่ละคนที่มีอายุเพิ่มขึ้น 4. การสูงอายุตามสภาพสังคม (Sociological Aging) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ สถานภาพของบุคคลในระบบสังคม เช่น ครอบครัว หน้าที่การงาน รวมถึงความสำคัญในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์
6 1.2 การเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ มนุษย์ทุกคนย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัยในวัยสูงอายุร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทางที่เสื่อม โทรมมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของแต่ละคนจะเกิดขึ้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย อย่างที่สำคัญ คือ กรรมพันธุ์ โรคหรือความเจ็บป่วย สิ่งแวดล้อมหรือสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ เช่น ดิน ฟ้า อากาศ อาหาร อาชีพ ความเครียด การออกกำลังกาย การพักผ่อน ฯลฯ ซึ่งปัจจัย 2 ประการหลังถ้าหากผู้สูงอายุดูแล รักษา สุขภาพร่างกาย และปฏิบัติตนอย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถลดปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เพื่อช่วยชะลอความ เสื่อมของ ร่างกายได้ 1.2.1 การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ที่เกิดขึ้นในทุกระบบหน้าที่ของร่างกาย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะ และระบบต่าง ๆ รวมทั้งปัญหาทางด้านร่างกายของผู้สูงอายุ มีดังนี้ 1. ระบบผิวหนังผิวหนังบางลง เซลล์ผิวหนังลดลงความยืดหยุ่นของผิวหนังไม่ดีผิวหนังเหี่ยว และมีรอย ย่น ไขมัน ใต้ผิวหนังลดลงทำให้ร่างกายทนต่อความหนาวเย็นได้น้อยลง ต่อมเหงื่อเสียหน้าที่ไม่สามารถขับเหงื่อได้ จึง เกิดอาการเป็นลมแดดได้ภายในเวลาที่อากาศร้อนจัด ต่อมไขมันทำงานน้อยลงผิวหนังแห้งและแตกง่าย สีของ ผิวหนังจางลงเพราะเซลล์สร้างสีทำงานลดลงแต่มีสารสีสะสมเป็นแหงๆ ทำให้เป็นจุดสีน้ำตาลทั่วไป ผม และขน ทั่วไปมีสีจางลง หรือเป็นสีขาวและจำนวนลดลงการรับความรูสึกต่ออุณหภูมิการสั่นสะเทือน และความเจ็บปวดที่ ผิวหนังลดลง เล็บแข็งและหนาขึ้น สีเล็บเข้มขึ้น 2. ระบบประสาทและประสาทสัมผัสขนาดของสมองลดลง น้ำหนักสมองลดลงจำนวนเซลล์สมองและ เซลล์ประสาทลดลง ประสิทธิภาพการทำงานของสมองน้อยลง ปฏิกิริยาการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ลดลงการ เคลื่อนไหวและความคิดเชื่องช้า ทำให้เกิดอุบัติเหตุไดความจำเสื่อมโดยเฉพาะเรื่องราวใหม่ๆ แต่สามารถจำ เรื่องราวเก่าได้ดีความกระตือรือร้นน้อยลง ความคิดอาจสับสนไดแบบแผนการนอนเปลี่ยนแปลง เวลานอนน้อยลง เวลาตื่นมากขึ้น การมองเห็นไมดีรูม่านตาเล็กลงปฏิกิริยาการตอบสนองของรูม่านตาต่อแสงลดลง หนังตาตกแก้วตาเริ่มขุ่น มัวเกิดต้อ กระจกรอบๆ กระจกตาจะมีไขมันมาสะสมเห็นเป็นวงสีขาวหรือเทาลานสายตาแคบ กล้ามเนื้อลูกตา เสื่อม ความไวในการมองภาพลดลง สายตายาวขึ้น มองภาพใกล้ไมชัด การมองเห็นใน ที่มืดหรือเวลากลางคืนไมดี ต้องอาศัยแสงช่วยจึงจะมองเห็นไดชัดขึ้น ความสามารถในการเทียบสีลดลงการ ผลิตน้ำตาลดลง ทำให้ตาเกิดภาวะ ระคายเคืองต่อเยื่อบุตาได้ง่ายการไดยินลดลง หูตึงมากขึ้น เนื่องจากมีการเสื่อมของอวัยวะในหูชนในมากขึ้น แก้วหู ตึงมากขึ้น ระดับเสียงสูงจะเสียการได้ยินมากกว่าระดับเสียงต่ำ เสียงพูดของผูสูงอายุเปลี่ยนไป เพราะมีการเสื่อม ของกล้ามเนื้อกลองเสียงและสายเสียงบางลง หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นในเกิดภาวะแข็งตัวมีผลทำให้เกิดอาการ เวียนศีรษะและการเคลื่อนไหวไมคลองตัว การดมกลิ่นไมดีเพราะมีการเสื่อมของเยื่อบุโพรงจมูกการรับรสของลิ้นเสียไป ตอมรับรสทำหน้าที่ลดลง โดยทั่วไปการรับรสหวานจะสูญเสียก่อนรสเปรี้ยวรสขมหรือรสเค็ม เป็นผลให้ผู้สูงอายุรับประทาน อาหารไมอร่อย เกิดภาวะเบื่ออาหาร 3. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก จำนวนและขนาดเส้นใยของกล้ามเนื้อลดลง มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเข้ามา แทนที่มากขึ้น มีผลทำให้ความแข็งแรงและความว่องไวในการเคลื่อนที่ของร่างกายลดลง ประสิทธิภาพการทำงาน ของเอนไซม์ในกล้ามเนื้อลดลง เซลล์กระดูกลดลง แคลเซียมสลายออกจากกระดูกมากขึ้นและไปเกาะบริเวณ กระดูกอ่อน เช่น ชายโครง ทำให้การเคลื่อนไหวของทรวงอกลดลง ทำให้กระดูกผู้สูงอายุเปราะและหักง่าย แม้ว่า
7 จะไม่ได้รับอุบัติเหตุ ความยาวของกระดูกสันหลังลดลงและผุมากขึ้น เพราะหมอนรองกระดูกบางลง ทำให้เกิดหลัง ค่อมและเอียงมากขึ้นความสูงลดลง 2 นิ้วจากอายุ 20 - 70 ปี (1.2 เซนติเมตร ทุก 20 ปี) ความยาวของกระดูก ยาวคงที่ แต่ภายในจะกลวงมากขึ้น การทรงตัวไม่ดี ไม่กระฉับกระเฉง ความสามารถในการดูแลตนเอง และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันจึงลดลง กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อต่าง ๆ เสื่อมากขึ้นตามอายุ น้ำไขข้อลดลง เป็นสาเหตุทำให้กระดูกเคลื่อนที่มาสัมผัสกัน เกิดข้ออักเสบและติดเชื้อได้ง่าย 4. ระบบหัวใจและไหลเวียน ในกล้ามเนื้อหัวใจฝ่อลีบ มีเนื้อเยื่อพังผืดไขมัน และสารไลโปฟุสซิน มาสะสมภายในเซลล์มากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ลิ้นหัวใจแข็งและหนาขึ้น มีแคลเซียมมาเกาะ มากขึ้น ทำให้การปิดเปิดของลิ้นหัวใจไม่ดี เกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่วและตีบได้ ผนังหลอดเลือดหนาและมีความยืดหยุ่น น้อยลงเพราะมีเส้นใยคอลลาเจนมากขึ้น เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ความแรงของชีพจรลดลง กล้ามเนื้อ หัวใจทำงานเพิ่มขึ้น และต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น 5. ระบบทางเดินหายใจ หลอดลมและหลอดลมมีขนาดใหญ่ขึ้น ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อปอดลดลง เพราะมีเส้นใยอีอาสตินลดลง ความแข็งแรงและการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจเข้าออกลดลง เนื้อหุ้ม ปอดแห้งทึบ ทำให้ปอดขยายและหดตัวได้น้อยลง การระบายอากาศหายใจลดลง ถุงลมมีจำนวนลดลง ถุงลม ที่เหลือจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ผนังถุงลมแตกง่าย เกิดโรคถุงลมโป่งพองง่าย หลอดลมแข็งขาดความยืดหยุ่น ทำให้ หายใจหอบเหนื่อยได้ง่าย 6. ระบบทางเดินอาหาร การผลิตเอมไซม์และลดลง 1 ใน 3 ทำให้การย่อยแป้งและน้ำตาลในปากลดลง ความรู้สึกหิวอาหารน้อยลงเนื่องจากการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารลดลง การผลิตน้ำย่อย กรดเกลือ และเอนไซม์ต่างๆ ในกระเพาะอาหารลดลง การดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก วิตามินบี 2 ลดลง ผู้สูงอายุเกิดโรค กระดูกผุและโลหิตจางได้ง่าย การเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ลดลง ประกอบกับการหดตัว ของกล้ามเนื้อหน้าท้องลดลง และผู้สูงอายุชอบรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่ายที่ไม่มีกาก จึงเป็นเหตุให้เกิดภาวะ ท้องผูก ทำให้เบื่ออาหาร ท้องอืดง่าย ตับมีความสามารถในการทำลายพิษลดลง จึงเกิดพิษของยาได้ง่ายในผู้สูงอายุ ปริมาณน้ำดีลดลง รวมทั้งมีความหนืดเพิ่มขึ้นตามอายุ มีผลทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย ตับอ่อนทำหน้าที่เสื่อมลง ผลิตอินซูลินได้น้อย และ ที่ผลิตมานั้น มีประสิทธิภาพในการนำน้ำตาลเข้าสู่เนื้อเยื่อต่ำ ทำให้น้ำตาลที่เหลือ ถูกสะสมเป็นไขมันส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจะคงอยู่ในกระแสเลือด และมีบางส่วนเท่านั้นที่ถูกขับออก ผู้สูงอายุจึงเป็น เบาหวานอย่างอ่อนได้ หรือมีแนวโน้ม ที่จะเป็นเบาหวานได้ง่ายกว่าวัยหนุ่ม – สาว 7. ระบบทางเดินปัสสาวะ อัตราการกรองของไตลดลง ทำให้การดูดกลับของสารต่างๆน้อยลง ทำให้ ปัสสาวะเจือจางมากขึ้น ความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะลดลงทำให้การถ่ายปัสสาวะไม่ดี กล้ามเนื้อกระเพาะ ปัสสาวะอ่อนกำลังลง จึงมีปัสสาวะตกค้างอยู่มากมายหลังถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งมีผลทำให้ผู้สูงอายุปัสสาวะบ่อย นอกจากนี้ผู้สูงอายุชายมีต่อมลูกหมากโต ทำให้ปัสสาวะได้ลำบาก ผู้หญิงกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะกล้ามเนื้อ อุ้งเชิงกรานหย่อน โดยเฉพาะในหญิงที่คลอดบุตรมาแล้วหลายคน 8. ระบบสืบพันธุ์ ผู้สูงอายุชายลูกอัณฑะเหี่ยวเล็กลงและผลิตเชื้ออสุจิได้น้อยลง ขนาดและรูปร่าง ของเชื้ออสุจิเปลี่ยนแปลง มีความสามารถในการผสมกับไข่น้อยลง ความหนืดของน้ำเชื้อลดลง ไขมันบริเวณ ใต้หัวเหน่าและขนลดลง ผู้สูงอายุหญิงรังไข่จะฝ่อเล็ก มดลูกมีขนาดเล็กลง เยื่อบุภายในมดลูกบางลง มีเนื้อพังผืด มากขึ้น ปากมดลูกเหี่ยวและมีขนาดเล็กลง รอยย่นและความยืดหยุ่นทางช่องคลอดเล็กลง ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บ ในระหว่างร่วมเพศและความรู้สึกทางเพศลดลง ช่องคลอดสีขาวซีด เพราะมีเลือดมาเลี้ยงน้อยลง ภายในช่องคลอด มีความเป็นด่างมากขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย
8 9. ระบบต่อมไร้ท่อ น้ำหนักของต่อมใต้สมองลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเข้ามาแทนที่ มากขึ้น การไหลเวียนเลือดที่ต่อมใต้สมองลดลง การผลิตฮอร์โมนรังไข่เพิ่มขึ้นในผู้หญิง แต่คงที่และเพิ่มขึ้น อย่างช้า ๆ ในผู้ชาย ส่วนการผลิตฮอร์โมนอื่นอาจคงที่หรือลดลง 1.2.2 การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์ สภาวะทางจิตใจเกี่ยวข้องผูกพันกับสภาวะทางร่างกายอย่าง ใกล้ชิด เมื่อร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น อารมณ์และจิตใจย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยประกอบ กับวัยสูงอายุที่เป็นวัยที่ต้องพบกับความสูญเสียในด้านต่างๆ ได้แก่การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เช่นคู่ครอง บุตร หลาน ญาติสนิท เพื่อน การสูญเสียสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ การสูญเสียสัมพันธภาพภายในครอบครัว เนื่องจากบุตรมีครอบครัวและแยกครอบครัวออกไปจึงมีผลต่อพัฒนาการทางจิตของผู้สูงอายุโดยทั่วไปที่อาจมีการ เปลี่ยนแปลงจนสังเกตได้ดังนี้ บุคลิกภาพในผู้สูงอายุเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและภาวะวิกฤตที่แต่ละบุคคลได้เผชิญแตกต่าง กันออกไป ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตมโนทัศน์ในนิสัยดั้งเดิมของตนจนเกิดการล้มเหลวในโครงสร้าง บุคลิกภาพบุคลิกภาพ จึงเสียไปจนอยู่ร่วมกับผู้อื่นไม่ได้ การเรียนรู้และความจำของผู้สูงอายุจะลดลงและมีความยากลำบากในเรื่องความจำระยะสั้นหรือตระหนัก ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้น้อยกว่าผู้ที่อายุน้อย แต่การเรียกกลับและการตระหนักถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วยังคง สูงอยู่ซึ่งความจำที่เสื่อมลงในวัยผู้สูงอายุมักมีผลกระทบจากการมีพยาธิสภาพในสมอง ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผู้สูงอายุมักมีความมั่นคง ทางความคิดจนดูเหมือนจะเป็นความคิดที่กล้าแข็ง ดื้อร้านและระมัดระวังรอบคอบต่อการตัดสินใจต่างๆ ผู้สูงอายุไม่ตัดสินใจรวดเร็ว เพราะต้องการหลีกเลี่ยง ความเสี่ยงหรือเพราะกลัวความล้มเหลวจากสิ่งที่เคยเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆในอดีต จึงทำให้ผู้สูงอายุถูกบอก ว่าไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์แต่โดยความจริงแล้วความสูงอายุไม่ได้เป็นขีดจำกัดในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ของผู้สูงอายุซึ่งมักมีความคิดริเริ่มใหม่โดยใช้ประสบการณ์ต่างๆมาเรียบเรียงและฟังขึ้นใหม่จริงตามความคิด ของตนเอง สติปัญญา จะประกอบด้วยความสามารถหลายด้าน เช่น ความสามารถในการพูด การคำนวณ การรับรู้ การนำเหตุผลมาใช้เป็นต้น ในวัยสูงอายุนั้นระดับสติปัญญาอาจเสื่อมถอยลงเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่มีการ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ถ้าบุคคลนั้นไม่มีอาการเจ็บป่วยด้านร่างกายและจิตใจรวมทั้งสามารถปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมได้แต่ในรายที่มีอาการผิดปกติทางด้านร่างกายและจิตใจ จะทำให้ระดับสติปัญญาลดลงจะทำให้ เกิดปัญหาในการดำเนินชีวิต การลดความสัมพันธ์กับชุมชน บทบาทของผู้สูงอายุในชุมชน จะเปลี่ยนไปหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับ มอบหมายจากชุมชนลดลง ทำให้ผู้สูงอายุขาดความเชื่อมั่นที่จะเข้ากลุ่ม ไม่กล้าแสดงออก ความสัมพันธ์กับชุมชนที่ คุ้นเคยลดลง ต้องเปลี่ยนไปสู่สภาพทางสังคมใหม่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดความเครียดได้(พรรณี สมเทศน์, 2550 : 9-13) 1.2.3 การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมในที่นี้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคมและบทบาททาง สังคมของผู้สูงอายุ เช่น การเกษียณอายุของผู้ที่ทำงานราชการเมื่ออายุ 60 ปีเป็นการสูญเสียตำแหน่งหน้าที่การ
9 งาน และรวมทั้งเกียรติและสิทธิต่างๆด้วย ปัญหาผู้สูงอายุที่เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมอาจจะสรุป ได้ดังนี้ 1. ปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับสมาชิกในครอบครัว สำหรับผู้ที่รับราชการตลอดเวลาก่อนเกษียณอายุ เวลาของผู้สูงอายุมักจะใช้ในการทำงานนอกบ้าน เวลาที่จะอยู่กับครอบครัวมีน้อยเกือบจะไม่มีเวลาพูดคุยกันแต่พอ หลังเกษียณอายุจะมีเวลาอยู่ที่บ้าน จึงเกิดปัญหาความขัดแย้งความไม่เข้าใจกันจนทำให้เกิดการเบื่อหน่าย ไม่ต้องการที่จะอยู่บ้าน ส่วนผู้สูงอายุที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวไม่ค่อยจะมีปัญหาเรื่องเวลาการพบปะตอบลูกหลาน มากนัก เพราะการประกอบธุรกิจส่วนตัวอาจจะกระทำที่บ้าน เมื่อถึงวัยสูงอายุก็มอบให้ลูกหลานดำเนินกิจการ ต่อไปลูกหลานก็ได้ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุเรื่อยมาจึงไม่เกิดปัญหา 2. ปัญหาการขาดความสัมพันธ์จากเพื่อนและผู้ร่วมงาน ปัญหานี้จะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่รับราชการ เมื่อเกษียณอายุแล้วจะทำให้ขาดความสัมพันธ์กับเพื่อนและผู้ร่วมงานเพราะผู้ที่ยังไม่เกษียณอายุมักจะยุ่งอยู่กับงาน และมีกระภาระส่วนตัวจนไม่มีเวลา จึงทำให้ผู้สูงอายุน้อยเนื้อต่ำใจ และคิดว่าเมื่อหมดอำนาจก็ไม่มีคนมาเคารพ นับถือ เกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ไม่มีค่ามีความรู้สึกว้าเหว่และซึมเศร้า เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้มีผลต่อ สุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนผู้สูงอายุที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวอาจจะพบปัญหาดังกล่าวได้จากนักธุรกิจที่ทำ กิจการใหญ่ๆ มีอำนาจในการสั่งการ การควบคุม เพราะมนุษย์เราถ้าไม่รู้จักปล่อยวางยังมีความยุติมั่นถือมั่นอยู่ เสมอโดยเฉพาะผู้สูงอายุจะมีผลต่อสุขภาพมากทั้งด้านร่างกายและจิตใจ 3. ปัญหาเศรษฐกิจ จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับผู้สูงอายุของไทย พบว่าปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหา หลักในกลุ่มผู้สูงอายุ ทั้งนี้จะดูได้จากผู้ที่ทำงานราชการเมื่อเกษียณอายุรายได้จะลดลงในขณะที่ค่าของชีพสูงขึ้น เรื่อยเรื่อย สำหรับผู้สูงอายุที่ยากจนไม่มีเงินสะสมไว้ในขณะที่ทำงานได้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้สูงอายุ ประสบความสัมพันธ์ในเรื่องที่อยู่อาศัยเรื่องอาหารการกิน และทำให้ส่งผลไปถึงปัญหาสุขภาพส่วนผู้สูงอายุ ที่ทำงานส่วนตัว เมื่อแก่แล้วลูกหลานจะให้หยุดการทำงานถ้าเป็นงานที่ลูกหลานดำเนินกิจการต่อไปรายได้ก็จะ แบ่งกันให้ใช้ผู้สูงอายุเหล่านี้จะไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ แต่ถ้าผู้สูงอายุทำงานส่วนตัวและไม่มีลูกหลานดำเนิน กิจการสืบต่อไปเมื่ออายุมากแล้วจะทำงานไม่ไหว เช่น ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ เป็นต้น อีกงานเหล่านี้จะต้องใช้ พลังงานมาก และผู้สูงอายุก็จะประสบปัญหาไม่มี ใครเลี้ยงดูลูกหลานก็จะจากไปอยู่ในเมืองเพื่อประกอบอาชีพอื่น ทิ้งผู้สูงอายุให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว 4. ปัญหาการใช้เวลาว่าง ปัญหานี้จะเกิดกับผู้สูงอายุที่เคยทำงานนอกบ้าน เช่น ข้าราชการหรือผู้ที่ ทำงานบริษัทเอกชน มักจะพบว่าหลังจากเกษียณอายุแล้วมีเวลามาก เพราะไม่ต้องออกจากบ้านจึงไม่ทราบว่าจะใช้ เวลาทำอะไร ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย และรู้สึกตนเองว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีประโยชน์จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ ปัญหาผู้สูงอายุไทย พบว่า ปัญหาการใช้เวลาว่างเป็นปัญหาสำคัญอันหนึ่งของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นสาเหตุของ ความเครียด และมีผลต่อสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ จากสภาพปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุ แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านต่างๆที่เกิด ขึ้นกับผู้สูงอายุอันได้แก่ ด้านร่างกายด้านอารมณ์และจิตใจ ด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจ ได้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุที่อยู่ในสังคม และด้านเศรษฐกิจได้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการดำเนินชีวิตของ ผู้สูงอายุที่อยู่ในสังคม เพราะว่าผู้สูงอายุต้องการการดูแลเอาใจใส่ที่แตกต่างไปจากคนในวัยอื่นๆผู้สูงอายุควรจะ ได้รับการตอบสนองตามสภาพปัญหา และความต้องการของแต่ละบุคคล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะมี
10 ลักษณะแตกต่างกันในแต่ละคน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะมีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนของผู้สูงอายุแต่ละคน และสภาพแวดล้อมในสังคมที่ผู้สูงอายุอาศัยอยู่ ดังนั้น ถ้าผู้ดูแล ผู้สูงอายุเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จะทำให้ผู้สูงอายุ สามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวและสังคมได้อย่างมีความสุข 1.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ทฤษฎีใหญ่ คือ ทฤษฎีทางชีววิทยา ทฤษฎีทางจิตวิทยา และทฤษฎีทางสังคม วิทยา มีรายละเอียดดังนี้ 1.ทฤษฎีทางชีววิทยา ประกอบด้วย 9 ทฤษฎี ดังนี้ 1.1 ทฤษฎีว่าด้วยคอลลาเจน (Collagen) เชื่อว่าเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ สารที่เป็นส่วนประกอบของ คอลลาเจนและไฟบรัสโปรตีนจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและเกิดการจับตัวกันมาก ทำให้เส้นใยหดสั้นเข้าปรากฏ รอยย่นมากขึ้น ถ้าอยู่ตรงข้อต่อจะมองเห็นปุ่มกระดูกชัดเจนซึ่งการจับตัวของเส้นใยจะมีมากในช่วงอายุ 30-35 ปี บริเวณที่มีการจับตัว ได้แก่ผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ หลอดเลือด และหัวใจ 1.2 ทฤษฎีว่าด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunological Theory) เชื่อว่าเมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายจะสร้าง ภูมิคุ้มกันตามปกติน้อยลงพร้อมๆ กับสร้างภูมิคุ้มกันชนิดทำลายตัวเองมากขึ้น ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่ดี เจ็บป่วยง่ายและภูมิคุ้มกันชนิดทำลายตัวเองจะไปทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะเข้าไปทำลายเซลล์ ที่เจริญเต็มที่แล้วไม่มีการแบ่งตัวใหม่ เช่น เซลล์สมอง เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจวายได้ง่าย 1.3 ทฤษฎีว่าด้วยยืน (Genetic Theory) เชื่อว่าการสูงอายุนั้น เป็นลักษณะที่เกิดตามกรรมพันธุ์ซึ่งมี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอวัยวะบางส่วนของร่างกาย คล้ายคลึงกับหลายช่วงคนเมื่อมีอายุมากขึ้น เช่น ลักษณะ ศีรษะล้าน ผมหงอกเร็ว 1.4 ทฤษฎีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงและความผิดพลาดของเซลล์ร่างกาย (Sonatic Mutation And Error Theories) ทฤษฎีแรกกล่าวถึง ภาวะการแบ่งตัวผิดปกติ (Mutation) ทำให้เกิดการสูงอายุเร็วขึ้น เช่น การ ได้รับรังสีเล็กน้อยเป็นประจำ หรือได้รับขนาดสูงทันทีจะมีผลทำให้เซลล์ชีวิตสั้นลง สำหรับทฤษฎีความผิดพลาด เชื่อว่าเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง DNA และถูกส่งต่อไปยัง RNA เป็นเอนไซม์ ที่เพิ่งสังเคราะห์ใหม่ เอนไซม์ที่ผิดปกติจะผลิตสารภายในเซลล์ จะมีผลต่อกระบวนการเผาผลาญอาจเสื่อม หรือสูญเสียสมรรถภาพถ้าจำนวน RNA ลดลงมากจะมีผลทำให้เสียชีวิต 1.5 ทฤษฎีว่าด้วยการเสื่อมและถดถอย (Wear And Tear Theory) ทฤษฎีนี้เปรียบสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เหมือนเครื่องจักรที่เชื่อว่าหลังใช้งานเสร็จแล้วมีการสึกหรอ แต่มีสิ่งมีชีวิต เช่น ผิวหนังเยื่อบุทางเดินอาหาร เม็ดเลือดแดง มีการสร้างเซลล์ใหม่มาทดแทนเซลล์เก่าที่หายไปอย่างต่อเนื่อง เป็นการชะลอความเสื่อมและถดถอย แต่ในระบบเซลล์อื่นๆ ส่วนเซลล์ประสาทและเซลล์กล้ามเนื้อจะไม่มีการเพิ่มเซลล์ใหม่ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ การเสริมสร้างจะต่างกับพวกแรกเสริมสร้างเซลล์ภายใน ทำให้ด้อยประสิทธิภาพ ชะลอความเสื่อมและถดถอยได้ น้อยกว่า จะเห็นได้ว่าหน้าที่ของร่างกายทั้งโครงสร้าง มีการใช้ตลอดเวลาทำให้เกิดการเสื่อมและหมดอายุถ้ามีการ ใช้มาก มีผลทำให้เกิดการเสื่อมเร็วขึ้น
11 1.6 ทฤษฎีว่าด้วยการดูดซึมบกพร่อง (Deprivation Theory) เมื่อคนมีอายุมากขึ้น จะมีการ เปลี่ยนแปลงขึ้น เนื่องจากความเสื่อมที่เกิดขึ้นที่ผนังเซลล์ของระบบต่างๆ ภายในร่างกายเป็นผลทำให้การดูดซึม หรือการส่งผ่านออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ในเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจน สารอาหารไม่เพียงพอ อวัยวะจึงเสื่อมลง 1.7 ทฤษฎีว่าด้วยการสะสม (Accumulation Theory) กล่าวว่า ในน้ำเหลืองของคนหรือสัตว์ที่สูงอายุ พบว่า มีการสะสมของสารบางอย่าง ซึ่งมีผลทำให้หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์และสารนี้จะไม่พบในน้ำเหลือง ของคนหรือสัตว์ที่มีอายุน้อย สารที่สะสมนี้มีผลแทรกแซงขบวนการเผาผลาญของเซลล์ ทำให้ประสิทธิภาพของการ ซึมผ่านของผนังเซลล์ลดลงในที่สุด จะทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ เริ่มเสื่อมลงและเสียไปในที่สุด 1.8 ทฤษฎีว่าด้วยสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผาผลาญ (Free Radical Theory) กล่าวถึง การให้ ออกซิเจนของเซลล์และการเผาผลาญพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและอื่นๆ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ อันทำลายผนัง เซลล์ให้เสื่อมสลายลงสารนี้ถูกเร่งให้เกิดมากขึ้นโดยการฉายรังสีแต่มีสารที่ป้องกันไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอีโดยไปลดการเผาผลาญ วิตามินเอ วิตามินซีและไนอาซิน แถมยังช่วยจับสารอนุมูลอิสระอีกด้วย 1.9 ทฤษฎีความเครียดและการปรับตัว (Stress Adaptation Theory) กล่าวว่า ความเครียดที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวันมีผลทำให้เซลล์ตายได้บุคคลต้องเผชิญความเครียดบ่อยๆ จะทำให้บุคคลนั้นย่างเข้าสู่ วัยสูงอายุเร็ว 2. ทฤษฎีทางจิตวิทยา (Psychoanalytic Theory) ประกอบด้วย 2 ทฤษฎีดังนี้ 2.1 ทฤษฎีบุคลิกภาพ (Personality Theory) กล่าวว่า ผู้สูงอายุจะมีความสุขหรือความทุกข์ขึ้นอยู่กับ ภูมิหลัง และการพัฒนาจิตของผู้นั้น ถ้าผู้สูงอายุเติบโตด้วยความมั่นคงอบอุ่น มีความรักแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เห็นความสำคัญของคนอื่น ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีมักจะเป็นผู้สูงอายุค่อนข้างจะมีความสุข สามารถอยู่ ร่วมกับลูกหลานและผู้อื่นได้โดยไม่เดือดร้อนในทางกลับกัน ถ้าผู้สูงอายุเกิดมาอยู่ร่วมกับใครไม่เป็น ไม่อยาก ช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจคับแคบผู้สูงอายุมักจะเป็นผู้ไม่ค่อยมีความสุข 2.2 ทฤษฎีความปราดเปรื่อง (Intelligence Theory) เชื่อว่าผู้สูงอายุที่ยังปราดเปรื่องและคงความ เป็นปราชญ์อยู่ได้เพราะเป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอมีการค้นคว้าและพยายามที่จะเรียนรู้ อยู่ตลอดเวลา ผู้ที่มีลักษณะเช่นนี้ต้องเป็นผู้มีสุขภาพดีมีฐานะเศรษฐกิจพอเป็นเครื่องเกื้อหนุน 3.ทฤษฎีสังคมวิทยา ประกอบด้วย 5 ทฤษฎีดังนี้ 3.1 ทฤษฎีบทบาท (Role Theory) มีแนวคิดว่าการปรับตัวการเป็นผู้สูงอายุน่าจะเกี่ยวกับทฤษฎี บทบาท คือ บุคคลนั้นจะรับบทบาททางสังคมที่ต่างกันไปตลอดชั่วชีวิต เช่น บทบาทการเป็นพ่อ แม่สามีภรรยา ความเป็นคนถูกกำหนดโดยบทบาทหน้าที่ที่ตนกำลังรับผิดชอบ บุคคลจะอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุขได้ขึ้นอยู่กับการ ปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าที่ตนกำลังเป็นอยู่ได้เหมาะสมเพียงใด โดยอายุจะเป็นองค์ประกอบในการกำหนด บทบาทของแต่ละคนในช่วงชีวิตที่ผ่านมา 3.2 ทฤษฎีกิจกรรม (Activity Theory) ผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมอยู่เสมอๆ จะมีบุคลิกภาพที่กระฉับกระเฉง มีภารกิจอย่างสม่ำเสมอ ทำให้มีความพึงพอใจในชีวิต ปรับตัวได้ดีกว่าผู้สูงอายุที่ปราศจากกิจกรรม มีภาพพจน์ ในด้านบวก ชอบเข้าร่วมกิจกรรมของผู้สูงอายุ เป็นการทดแทนบทบาทที่เสียไปจากการที่ต้องเป็นหม้าย
12 การเกษียณอายุจากการปฏิบัติงาน ซึ่งผู้สูงอายุจะมีความสุขได้ควรมีบทบาทหรือกิจกรรมทางสังคมตามสมควร เช่น มีงานอดิเรกการเป็นสมาชิกกลุ่มกิจกรรมสมาคมหรือชมรม 3.3 ทฤษฎีการแยกตนเอง (Ibisengagement Theory) เชื่อว่าการที่ผู้สูงอายุไม่เกี่ยวข้องกับบทบาท ทางสังคม เป็นเพราะการถอนสถานภาพบทบาทของตนเอง ตามปกติผู้สูงอายุจะลดกิจกรรมลงในขณะที่ปรับ ตนเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงตามปกติของกระบวนการผู้สูงอายุ 3.4 ทฤษฎีความต่อเนื่อง (Continuity Theory) ผู้สูงอายุจะแสวงหาบทบาททางสังคมให้มาทดแทน ทางสังคมเก่าที่สูญเสียไป ยังคงปรับตนเองให้เข้ากับภาพแวดล้อมใหม่อย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ 3.5 ทฤษฎีระดับชั้นอายุ (Age Stratification Theory) อายุเป็นหลักเกณฑ์สากลที่จะกำหนดบทบาท สิทธิหน้าที่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามขั้นอายุจากอายุหนึ่งไปสู่อีกอายุหนึ่ง จากแนวคิดทฤษฎีดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า ผู้สูงอายุเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านสุขภาพ มีลักษณะที่เสื่อมถอยตามสภาพ และต้องการความช่วยเหลือการยอมรับจากบุคคลในครอบครัว สังคม และชุมชน ดังนั้นสังคมควรให้ความช่วยเหลืออุปการะเพื่อให้ผู้สูงอายุมีชีวิตมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งทาง ด้านสุขภาพ ร่างกายและจิตใจ 2.แนวคิดเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ 2.1 ความหมายของการดูแล นงเยาว์ ชัยทอง (2542 : 8) กล่าวว่า การดูแล มีการนำมาใช้ในการให้การพยาบาลผู้ป่วย โดยให้ ความหมายว่า เป็นการช่วยเหลือชีวิตหรือการช่วยเหลือให้คงไว้ซึ่งร่างกาย และสิ่งแวดล้อม การให้การดูแลซึ่งอยู่ใน รูปแบบการรักษาความสะอาด มีอากาศสดชื่น มีอาหารดีมีการพักผ่อนนอนหลับ มีการออกกำลังกาย โดยมี เป้าหมายเพื่อสุขภาพดี การ์เรตต์(Garrett, 1991 อ้างถึงในนงเยาว์ ชัยทอง, 2542 : 8) ให้ความหมายของการดูแล ว่าเป็นการให้ ดูแลบุคคลที่ต้องพึ่งพาในรูปแบบของการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ต้องการการพึ่งพาในลักษณะของการอยู่ด้วยกัน หรืออยู่กันคนละบ้าน แต่ให้การช่วยเหลือดูแลในรูปของการช่วยเหลือส่วนบุคคล เช่น การแต่งตัว การพยุงเดิน การดูแลในด้านการรักษาพยาบาล เช่น การให้ยา การให้คำปรึกษา ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ ไลนิงเกอร์(Leininger, 1988 อ้างถึงในนงเยาว์ ชัยทอง, 2542 : 8-9) ให้ความหมายของการดูแล ว่าเป็น การให้ความช่วยเหลือสนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกให้กับบุคคลหรือกลุ่มคนตามต้องการ เพื่อพัฒนาและคงไว้ ซึ่งชีวิตคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การดูแลนั้นจะต้องประกอบด้วยความสนใจ ความเอาใจใส่ ความรักหรืออาจมี พฤติกรรมอื่นตามแต่ละวัฒนธรรม เป็นการกระทำที่มุ่งให้ผู้รับและผู้ให้เกิดความพึงพอใจ เดวิส (Davis, 1995 อ้างถึงใน นงเยาว์ ชัยทอง, 2542 : 9) ได้ให้แนวคิดการดูแลผู้สูงอายุไว้ว่า เป็นการ สนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุยังคงมีกิจกรรมต่างๆ มีการพัฒนา และทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในสังคม การ ดูแลผู้สูงอายุเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ผู้ให้การ ดูแลคาดว่าเป็นการดูแลตามความต้องการของผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมป้องกันเพื่อคงไว้ซึ่งการทำหน้าที่ และการเห็น คุณค่าในตนเองและป้องกันภาวะซึมเศร้า จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า การดูแล คือ การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนหรืออำนวยความสะดวก แก่ผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เป็นความต้องการของผู้สูงอายุที่ครอบคลุมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ
13 สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าผู้ดูแลมีความรัก มีความสนใจเอาใจใส่ในการกระทำ กิจกรรมการดูแลผู้สูงอายุเกิดความพึงพอใจ 2.2 ความหมายของผู้ดูแล โดยทั่วไปแล้ว ครอบครัวจะมีหน้าที่รับผิดชอบช่วยเหลือและดูแลซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกแต่ละคน เช่น บิดามารดามีหน้าที่ที่จะต้องดูแลบุตรหลาน สามีภรรยาจะรับผิดชอบดูแลความสุขสบายซึ่งกันและกัน ปรึกษาหารือ และช่วยเหลือในทุกๆ ด้าน เมื่อบิดามันดาแก่ชราลงลูกหลานก็จะมีหน้าที่คอยดูแลปรนนิบัติดังนั้น ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลโดยเฉพาะผู้ดูแลที่บ้าน ต้องรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งนับว่าเป็น ภารกิจที่ยาวนานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และยังเป็นสิ่งที่ต้องกระทำด้วยความเข้าใจ และตั้งใจ ต้องการทักษะ ความชำนาญในการให้การดูแล สามารถวางแผนให้การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบซึ่งได้มีผู้ที่ให้คำนิยามเกี่ยวกับ ผู้ดูแล ดังนี้ผู้ดูแล หมายถึง บุคคลที่ผู้สูงอายุให้ความเห็นว่าเป็นบุคคลสำคัญช่วยเหลือผู้สูงอายุทั้งทางด้านร่างกาย และสนับสนุนทางด้านจิตใจ รวมทั้งเผชิญกับสภาวะการเจ็บป่วยด้วยกัน โดยบุคคลนั้นกลับให้การดูแลโดยไม่หวัง ผลตอบแทนใดๆ และลักษณะการให้การดูแลดังกล่าวเรียกว่า Caretaker ในลักษณะที่ใกล้เคียงกันมีผู้ที่ให้ ความหมายของผู้ดูแลหรือ Caretaker ว่า หมายถึง บุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุรับผิดชอบในการ ดูแลผู้สูงอายุโดยจะเน้นที่สมาชิกในครอบครัว เบญจลักษณ์ อัครพสุชาติ(2550 : 38) กล่าวว่า ผู้ดูแล หมายถึง บุคคลที่เป็นสมาชิกในครอบครัวที่มี ความสัมพันธ์กันทางสายเลือดหรือทางเครือญาติที่อาศัยอยู่ร่วมกันในครัวเรือนเดียวกันกับผู้สูงอายุ และได้ให้การ ช่วยเหลือในกิจกรรมการดูแลต่างๆ แก่ผู้สูงอายุรวมทั้งให้การสนับสนุนทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจเป็นประจำ หรือมากที่สุด จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ผู้ดูแล คือ บุคคลที่เป็นสมาชิกภายในครอบครัวหรือบุคล ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ มีหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจและสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ ให้ผู้สูงอายุมีความสุขมากที่สุด 2.3 รูปแบบของการดูแล รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุในสังคมไทย เริ่มจากการดูแลอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Care) ที่ผู้สูงอายุ ไดรับการดูแลจากครอบครัว บุตรหลานหรือญาติพี่น้อง หลังจากที่ผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนมากขึ้นจึงมีการดูแลอย่าง เป็นทางการ (Formal Care) ในรูปของสถานสงเคราะห์คนชรา ที่ดำเนินการโดยภาครัฐ ที่เน้นการสงเคราะห์ ผู้สูงอายุเป็นหลักยังไมสามารถสนองต่อความต้องการของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งรูปแบบการดูแล ออกเป็น 8 รูปแบบ ดังนี้ (สุรพล ชยภพ, 2552 : 64-85) 2.3.1 การดูแลผู้สูงอายุด้วยครอบครัว การดูแลผู้สูงอายุด้วยครอบครัว เกิดจากความเชื่อที่ว่า ครอบครัวเป็นระบบเกื้อหนุนที่สำคัญของบุคคล เป็นสถาบันทางสังคมที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องสมาชิก รวมทั้งเป็นตัวแทนเรียกร้อง และจัดทรัพยากรทางสังคม ที่สำคัญในการตอบสนองความต้องการต่างๆ ของสมาชิกครอบครัว จึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ อย่างเป็นรูปธรรม 3 ประการ คือ
14 1. การดูแลทางด้านร่างกาย เช่น การดูแลเรื่องอาหาร เรื่องที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม เครื่องนุ่งห่ม และดูแลเวลาเจ็บป่วย 2. ดูแลด้านจิตใจ เช่น ให้ความเคารพนับถือ ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ ให้เกียรติกับผู้สูงอายุ 3.ดูแลด้านสังคม เช่น การให้โอกาสแก่ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในครอบครัว ให้โอกาสผู้สูงอายุ พบประเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน สรุปได้ว่า การได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากครอบครัวบุตรหลานในด้านต่างๆ ทั้งการดำเนิน ชีวิตประจำวัน การดูแลสุขภาพกาย สุขภาพจิต ด้านสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้ผู้สูงอายุได้รับความสุขอย่างแท้จริง ผู้วิจัยเห็นว่าการดูแลผู้สูงอายุที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความกตัญญูเพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณนั้นเป็นการแสดง ความรักความผูกพันยังคงขาดเนื่องจากได้ดูแลตอนที่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ และเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการดูแล ตัวเอง เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุได้ดีอีกด้วย 2.3.2 การดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชน การดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชน (Community Based Approach) มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแรงจูงใจ และพัฒนาการมาจากแนวคิดลดการพึ่งพิงจากบริการภายนอก (Deinstitutionalization) โดยแนวคิดนี้ ได้พยายามที่จะนำศักยภาพที่เดนของปักเจกบุคคล (Individual) ซึ่งไดแกความต้องการในการดูแลตนเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ การให้ความสำคัญในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ และศักยภาพ ในการแก้ปัญหาของ แต่ละบุคคล ชุมชน มาเป็นแนวทาง ในการดำเนินการ การดูแลผู้สูงอายุโดย ชุมชนเน้นการปฏิบัติงานที่มุ่งใช้ คุณลักษณะของชุมชนและทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างจิตสำนึกการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน โดยชุมชนและเพื่อชุมชนอื่น โดยที่หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนมีหน้าที่ เพื่อคอยกระตุ้นให้คำแนะนำ และสนับสนุนการดำเนินงาน จุดเดนของแนวคิดนี้ตั้งอยู่บนรากฐานประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม โดยประชาชน ในชุมชนมีส่วนร่วมในการคิดวิเคราะห์ปัญหา ร่วมลงมือปฏิบัติ ร่วมพิจารณาประเมินผล และตระหนัก ในกระบวนการแกปัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นภายในชุมชน ซึ่งสอดคลองกับแนวคิดของมาลินี วงษสิทธิ์(2545 : 45-48) ที่ชี้ให้เห็นว่า ชุมชนมีบทบาทสำคัญ คือ การสร้าง จิตสำนึก พัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนด้วยการดึงเอาทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชน เช่น ครอบครัว เพื่อนบ้าน ผู้นำชุมชน องค์กรชุมชน ชมรมผู้สูงอายุศูนย์ส่งเคราะห์ผู้สูงอายุ และกิจกรรมอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเป็นพลังในการพัฒนารูปแบบการ ดูแลผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการศึกษารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. 2549 โดยศึกษากรณีตัวอย่างจากชุมชน 4 รูปแบบใน 4 จังหวัดคือ ชุมชนตำบล บ้านถ้ำ อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา ชุมชนตำบลศรีฐาน อำเภอป่าติ้ว จังหวดยโสธร ชุมชนบุงคล้ำ อำเภอเดิม บางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรีและชุมชนตำบลปากพูน อำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการศึกษา พบว่า ทั้ง 4 ชุมชนไดให้การดูแลด้านสังคมเด่นชัดกว่า การดูแลด้านสุขภาพเฉพาะที่ ชุมชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น จัดการดูแลด้านสุขภาพด้านสูงอายุไดดีและเป็นการบริการค่อนข้างใหม่ นอกจากการดูแลในระดับปฐมภูมิ เช่น การออกกำลังกาย การรักษาพยาบาลเบื้องต้น และยังมีการดูแลที่บ้าน การดูแลฉุกเฉินและการส่งต่อ การให้ ความรูและตรวจสุขภาพเดือนละครั้ง กายภาพฟื้นฟูการออกกำลังกายเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยง และสายด่วน
15 ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ การที่ชุมชน ในจังหวดนครศรีธรรมราชสามารถจัดการดูแลไดดีกว่าที่อื่น เพราะเป็น ชุมชนขนาดใหญ่ มีงบประมาณมาก นักการเมืองท้องถิ่น มีบทบาทสูงและมีบุคลากรด้านอื่นๆ พรอมกว่าที่อื่นๆ สรุปไดว่า ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนมีหลายประการ เช่น มีผู้นำชุมชน ที่เข้มแข็ง ประชาชนให้ความเชื่อถือศรัทธา มีทุนทางวัฒนธรรมในชุมชนที่ช่วยยึดมั่นในขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณีอย่างเหนียวแน่น มีงบประมาณหรือแหล่งเงินทุนในการสนับสนุน เช่น กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารหมู่บ้าน กองทุนสวัสดิการหมู่บ้าน หรือการระดมทุนในรูปแบบต่างๆ มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ภายในและภายนอกชุมชน ดังนั้น จึงควรปลูกฝังเยาวชนคนรุ่นใหม่ในชุนให้มีจิตสำนึก ในการดูแลเอาใจใส่ ต่อผู้สูงอายุ 2.3.3 การดูแลผู้สูงอายุโดยองค์กรเอกชน การดูแลผู้สูงอายุโดยองค์กรเอกชน ในปัจจุบันองค์กรเอกชนมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มว่าครอบครัวไม่สามารถให้การดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะความจำเป็นต้อง ออกไปทำงานนอกบ้านในโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้ไม่มีเวลาดูแล ผู้สูงอายุจึงจำเป็นต้องแสวงหาผู้ดูแลช่วยเหลือ จากองค์กรหรือหน่วยงานเอกชนสำหรับประเทศไทย องค์กรเอกชนมีบทบาทในการสงเคราะห์และดูแลช่วยเหลือ ได้ซึ่งองค์กรที่ให้การดูแลในลักษณะการสงเคราะห์ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 3 แห่ง คือมูลนิธิทารานุเคราะห์ มูลนิธิหิมะทองคำ และมูลนิธิมิตรภาพสงเคราะห์อยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ 1 แห่ง คือมูลนิธิปากน้ำสุสาน และใน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1 แห่ง คือ มูลนิธิอบรมศีล สมาธิปัญญา ส่วนองค์กรเอกชนที่ให้การดูแลช่วยเหลือด้าน อื่นๆ มีประมาณสาม 10 แห่งทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคต่างๆ สรุปได้ว่า องค์กรเอกชนเริ่มมี บทบาทสำคัญในการเป็นทางเลือกสำหรับการดูแลผู้สูงอายุ รูปแบบการดูแลเป็นลักษณะการสงเคราะห์การจัด กิจกรรมโครงการ เพื่อส่งภาพ และการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุแต่การดำเนินงานยังขาดการ สนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร ไม่มีการติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้สูงอายุ 2.3.4 การดูแลผู้สูงอายุโดยศูนย์สุขภาพชุมชน (ศสช.) ศูนย์สุขภาพชุมชนหรือ Primary Care Uni : PCU คือ หน่วยบริการปฐมภูมิและบริการสุขภาพที่อยู่ ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ทำหน้าที่ให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขแบบผสมผสาน ทั้งทางด้าน การแพทย์จิตวิทยา และสังคม เน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค การรักษาโรค และการฟื้นฟูสภาพ รวมถึง ส่งเสริมสุขภาพของตนเอง เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี สถานีอนามัย คือ สถานบริการทางสาธารณสุขสังกัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และสำนักงาน สาธารณสุขอำเภอ ซึ่งให้บริการด้านการรักษาพยาบาล งานควบคุมป้องกันโรค งานส่งเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับ ประชาชนในเขตรับผิดชอบตั้งแต่เกิดจนตาย เดิมเรียกว่า สุขศาลา ปรับเปลี่ยนเป็นสถานีอนามัย และปัจจุบัน เปลี่ยนเป็นศูนย์สุขภาพชุมชนในบางตำบล หน้าที่และความรับผิดชอบของสถานีอนามัยที่มีประสิทธิภาพ สรุปได้ ดังนี้ 1. การสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ให้บริการ และผู้สูงอายุดุจญาติมิตร ก่อให้เกิดความอุ่นใจ และวางใจ 2. ควรหาหนทางในการแก้ปัญหา และความต้องการของผู้สูงอายุในการดูแลเชิงรุก และเชิงรับควบคู่ กันไป
16 3. การสร้างความพึงพอใจให้ผู้สูงอายุ ทำให้ผู้สูงอายุเชื่อใจสบายใจ และมีความพึงพอใจในการดูแลด้าน การบริการ 4. การดูแลสุขภาพร่างกายผู้สูงอายุ ทั้งในภาวะปกติและภาวะเจ็บป่วย นอกจากนี้ควรมีการส่งเสริม กิจกรรมให้ผู้สูงอายุ เช่น การจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น 5. การดูแลด้านจิตใจแก่ผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุแต่ละคนมีลักษณะของการแก้ปัญหาแตกต่างกัน 6. การดูแลด้านสังคมแก่ผู้สูงอายุด้วยการจัดกลุ่มกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุ ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองมี คุณค่าช่วยลดปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง 7. การดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน (Home Care) เป็นการดูแลผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างขวัญ และ กำลังใจให้แก่ผู้สูงอายุ 8. การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เป็นการดูแลสุขภาพใน 4 มิติคือ ร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ (สุภาภรณ์ เตโชวาณิชย์, 2550 : เว็บไซต์) 2.3.5 การดูแลผู้สูงอายุโดยอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านหรือ อผส. คือ ผู้ให้การดูแลผู้สูงอายุในชุมชนที่ขาดคนดูแล ถูกทอดทิ้ง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ถูกละเลย ได้รับการดูแลไม่ถูกต้อง โดยให้การดูแลช่วยเหลือ ตามความจำเป็น และความ ต้องการของผู้สูงอายุอย่างทั่วถึง เท่าเทียม เพียงพอ และสม่ำเสมอ ในความรู้เรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัว ประชาชนในชุมชน เพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกต้อง และ เหมาะสม เป็นสื่อกลางในการนำไปประสานต่อ บริการสวัสดิการสังคมให้แก่ผู้สูงอายุ อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน มีคุณลักษณะ คือ ต้องผ่านการคัดเลือกจากประชาคมในท้องถิ่นหรือ หมู่บ้านต้องผ่านหลักสูตรในการดูแลผู้สูงอายุ และผ่านการรับสมัครการเป็น อาสาสมัครในการดูแลผู้สูงอายุต้องมี เวลาไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 2 วัน อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน 1 คน ให้การดูแลผู้สูงอายุที่มีความทุกข์ยาก และ เดือดร้อนในความรับผิดชอบไม่น้อยกว่า 5 คน และควรให้การดูแลผู้สูงอายุอื่นๆ ในกลุ่มเสี่ยงไม่น้อยกว่า 15 คน การเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านในทุกเรื่อง ต้องได้รับการเห็นชอบจาก ประชาคมในท้องถิ่น และผู้สูงอายุหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับผู้นำชุมชนคณะกรรมการ อาสาสมัคร ดูแลผู้สูงอายุที่บ้านและผู้สูงอายุผู้เข้ามาเป็นอาสาสมัครใหม่ ต้องมีความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุการปฏิบัติหน้าที่ เช่น การเข้ารับการอบรมหลักสูตรพื้นฐานเพื่อเป็นอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน หรือการอบรมความรู้ในการดูแล ช่วยเหลือคุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุหรือรับการถ่ายทอดความรู้จากอาสาสมัครเดิม ประมาณ 40 ถึง 60 คน หรือกำหนดโดยคำนวณจากอัตราส่วนการดูแลผู้สูงอายุตามความเหมาะสม ผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่อาสาสมัครดูแล ผู้สูงอายุที่บ้าน จะต้องมีใจรัก มีความเข้าใจในธรรมชาติของผู้สูงอายุ และมีความรู้ในการดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุ มีเวลาเพื่อทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง มีวุฒิภาวะที่เหมาะสม มีความรู้สามารถสื่อสารได้ และต้องเป็นผู้สำเร็จการอบรม หลักสูตรพื้นฐาน อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน มีหน้าที่ในการดูแลผู้สูงอายุที่ขาดผู้ดูแล ถูกทอดทิ้ง ดูแลตนเองไม่ได้ และความต้องการของผู้สูงอายุอย่างทั่วถึง เท่าเทียม เพียงพอ และสม่ำเสมอกิจกรรมในการดูแลผู้สูงอายุคือ คุย และให้คำปรึกษา ดูแลเรื่องอาหารการกิน เรื่องการทำความสะอาดร่างกาย การแต่งตัว ดูแลที่พักอาศัย ช่วยจัด
17 สถานที่อยู่ในบ้านให้เหมาะสม ช่วยเรื่องการออกกำลังกาย พาไปพบแพทย์พาไปพักผ่อนนอกบ้าน พาไปลง กิจกรรมในชุมชน พาไปร่วมกรรมศาสนา รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ 2.3.6 การดูแลผู้สูงอายุโดยกลุ่มพึ่งพา แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการอายุโดยกลุ่มพึ่งพา (Group Home) เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2513 ในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสาเหตุมาจากการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ประกอบกับสังคมอเมริกาเป็นระบบ ครอบครัวเดี่ยว ไม่มีลูกหลานคอยดูแล และรูปแบบการบริการทางสังคมไม่สามารถตอบสนองความต้องการของ ผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึง จึงมีการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบที่มุ่งเน้นในการดูแลพัฒนาศักยภาพให้ ดำรงชีวิตความสุข และสมศักดิ์ศรีประกอบด้วยรูปแบบการจัดที่พักอาศัยเป็นกลุ่มขนาดเล็กประมาณ 5 ถึง 15 คน ผู้สูงอายุต้องมีสุขภาพดีและสามารถดูแลตนเองได้แต่ในกรณีที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ทั้งหมดจะมีการ บริการดูแลเฉพาะบุคคลอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรม แต่อย่างไรก็ตามเน้นให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือ ตนเอง และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตามความสามารถของแต่ละคน นอกจากนี้กิจกรรมนันทนาการ อาชีวะ บำบัด การฝึกอบรมให้ความรู้ต่างๆ ซึ่งรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบนี้สามารถกระจายการดูแลได้อย่างกว้างขวาง แม้แต่ในชุมชนขนาดเล็ก และห่างไกลเนื่องจากต้นทุนในการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูก สามารถ ดำเนินการได้ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรในชุมชน จะต้องมีหน่วยงาน ภาครัฐ ทำหน้าที่กำกับดูแลคุณภาพ และมาตรฐานการดำเนินงาน สำหรับประเทศไทยได้นำแนวคิดการดูแล ผู้สูงอายุแบบพึ่งพาไปดำเนินการนำร่อง โดยร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบลหลายแห่งในจังหวัด เชียงใหม่ ขอนแก่น ปทุมธานีตรัง สมุทรปราการ และจังหวัดสงขลา 2.3.7 การดูแลผู้สูงอายุโดยสถานสงเคราะห์ สถานสงเคราะห์คนชราแห่งแรกของรัฐ คือ สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2496 ในกรุงเทพมหานคร ต่อมาได้มีการทยอยจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขึ้นในทุกภาคของประเทศจนมาถึงปัจจุบันมี สถานสงเคราะห์คนชรารวม 20 แห่งใน 16 จังหวัด หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กองสวัสดิการสงเคราะห์กรม ประชาสงเคราะห์กระทรวงมหาดไทย รับอุปการะดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านต่างๆเช่น ผู้สูงอายุเร่ร่อน ไร้ที่พึ่ง ไม่มีที่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งในบ้านของตนเอง ผู้สูงอายุที่มีปัญหาไม่สามารถอยู่กับ ครอบครัวได้และผู้สูงอายุที่ไม่มีญาติพี่น้องดูแล 2.3.8 การดูแลผู้สูงอายุโดยศูนย์บริการผู้สูงอายุ การดูแลผู้สูงอายุโดยศูนย์บริการผู้สูงอายุภายในชุมชน เป็นบริการในระดับชุมชนที่จัดให้แก่ผู้สูงอายุ ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวได้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมต่างๆ หรือรับบริการจากศูนย์ประเภทเช้าไปเย็นกลับ เพื่อเป็นการ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข และอบอุ่นในบั้นปลายชีวิต ภายในศูนย์มีบริการที่เหมาะสมกับ สภาพความต้องการของผู้สูงอายุ และสภาพของชุมชนประกอบด้วยบริการด้านสุขภาพอนามัย กิจกรรมเสริม รายได้บริการด้านสังคมสงเคราะห์ศาสนา และนันทนาการ ตามความสนใจของผู้สูงอายุ ปัจจุบันมีศูนย์บริการ ผู้สูงอายุ 18 แห่งใน 14 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น จันทบุรีชลบุรีชุมพร เชียงใหม่ตรัง นครปฐม นครราชสีมา บุรีรัมย์พิษณุโลก ยะลา มหาสารคาม และลพบุรี นอกจากนี้กรมประชาสงเคราะห์ได้กล่าวถึงรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุในลักษณะของศูนย์บริการผู้สูงอายุ เพิ่มเติมว่า นอกจากเป็นบริการที่จัดให้แก่ผู้สูงอายุอาศัยอยู่กับครอบครัวได้เข้ามาใช้บริการแล้ว มีหน่วยเคลื่อนที่ ออกบริการเยี่ยมเยียนดูแลผู้สูงอายุตามชุมชนต่างๆ โดยมีแพทย์นักสังคมสงเคราะห์และพยาบาล ให้คำแนะนำ
18 ปรึกษาบริการด้านข้อมูลข่าวสารต่างๆ และมีบ้านพักฉุกเฉินสำหรับดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาความ เดือดร้อนด้านจิตใจกับครอบครัว ต้องการแยกมาอยู่ชั่วคราว และบริการดูแลผู้สูงอายุที่มีภารกิจในเมืองใหญ่ แต่ไม่ มีที่พักอาศัยโดยให้บริการด้านปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต และด้านสังคมสงเคราะห์ จะเห็นได้ว่ารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุโดยครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน ศูนย์สุขภาพชุมชนอาสาสมัคร ดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน แบบกลุ่มพึ่งพา การดูแลโดยสถานสงเคราะห์ และการดูแลโดยศูนย์บริการผู้สูงอายุ มีความ เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องมีความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เดือดร้อน ที่ดูแล และช่วยเหลือตนเองไม่ได้ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่กับครอบครัว และชุมชนได้อย่างปกติและมีความเชื่อมั่นว่าจะ ไม่ถูกทอดทิ้งในบั้นปลายชีวิต ที่สำคัญ คือ การเสริมสร้างจิตสำนึกให้ครอบครัวชุมชนตระหนัก และให้ความสำคัญ ในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนของตน รวมทั้งการสร้างอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านให้เป็นนักสังคมสงเคราะห์ พื้นบ้าน ทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุในชุมชนทางด้านสุขภาพอนามัย ด้านจิตใจ และสังคม 2.4 การจัดบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ นโยบายเกี่ยวกับการบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ การจัดบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทยนั้นได้เริ่มต้นเมื่อ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสพ รัตนากร ได้จัดให้มีโครงการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีพ.ศ. 2505 และต่อมาได้จัดตั้งคลินิกผู้สูงอายุที่โรงพยาบาลประสาทพญาไทเป็นครั้งแรก เพื่อให้บริการด้านการส่งเสริม สุขภาพแก่ผู้สูงอายุ ความตื่นตัวด้านผู้สูงอายุได้มีการขยายตัวออกไปเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลได้มีนโยบายให้ความสำคัญ กับผู้สูงอายุ ทำให้มีการศึกษาวิจัยปัญหาด้านต่างๆ ของผู้สูงอายุและหารูปแบบการให้บริการด้านการแพทย์และ สาธารณสุขแก่ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในประเด็นต่างๆ ของผู้สูงอายุไทย ในปีพ.ศ. 2533 รัฐบาลได้สนับสนุนการจัดตั้งสถาบันพัฒนาสุขภาพและเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเป็นหน่วยงานสนับสนุนด้านวิชาการ สังกัดกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุขึ้นที่วัดญาณสังวรราราม จังหวัด ชลบุรี จากการสำรวจความต้องการบริการและสวัสดิการต่างๆ ของประชากรผู้สูงอายุไทย พบว่า มีความต้องการ บริการสุขภาพเป็นอันดับแรก (ร้อยละ 42. 1) โดยต้องการบริการการรักษาพยาบาลโดยไม่คิดมูลค่าและหน่วย บริการเยี่ยมบ้าน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2538 อ้างถึงใน มุกประดับ ฟองสมุทร์, 2551 : 20-22) จากข้อมูล ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาด้านสุขภาพเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่สำคัญในระบบ บริการสุขภาพแก่ผู้สูงอายุไทยคือ ปรากฏการณ์“No Care Zone" ที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ ต้องการ การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับไม่มีระบบบริการชุมชนด้านสุขภาพอนามัยที่เข้มแข็งพอ จากข้อมูล ดังกล่าวรัฐบาลจึงจัดทำแผนระยะยาวแห่งชาติสำหรับผู้สูงอายุ (พ.ศ. 2535 - 2554) ขึ้นมาในปีพ.ศ. 2535 มีนโยบายและมาตรการหลักเกี่ยวกับการบริการทางสุขภาพ ดังนี้ 1. ออกกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพและสุขภาพผู้สูงอายุ 2. สร้างหลักประกันสำหรับการบริการสุขภาพ และให้การสงเคราะห์แก่ผู้สูงอายุ 3. ดูแลความเป็นอยู่ให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข 4. สนับสนุนการสร้างระบบประกันสุขภาพเพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข
19 5. สนับสนุนการสร้างระบบประกันสุขภาพกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อให้ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ โดยไม่ต้องเสียค่ารักษา 6. ส่งเสริมและให้บริการความรู้โดยเน้นที่การส่งเสริมสุขภาพและการดำรงชีวิตในบั้นปลายอย่างมี คุณค่าและมีความสุข 7. ขยายบริการพื้นฐานและสวัสดิการด้านสุขภาพอนามัย 8. จัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วม 9. สนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาบุคลากรสำหรับดูแล รักษา และการให้บริการแก่ผู้สูงอายุ นอกจากมีการจัดทำแผนระยะยาวแห่งชาติสำหรับผู้สูงอายุ (พ.ศ. 2535-2554) แล้วยังได้มีการจัดทำแผน ผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ซึ่งกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ด้านระบบคุ้มครองทางสังคมสำหรับ ผู้สูงอายุ มีมาตรการด้านหลักประกันสุขภาพสรุปได้ดังนี้ (คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานผู้สูงอายุแห่งชาติ, 2545 อ้างถึงใน มุกประดับ ฟองสมุทร์, 2551 : 20-22) 1. มีการพัฒนาและส่งเสริมระบบประกันสุขภาพที่มีคุณภาพเพื่อผู้สูงอายุทุกคน จัดตั้งและพัฒนาบริการ ทางสุขภาพและทางสังคมในชุมชนที่สามารถเข้าถึงผู้สูงอายุมากที่สุด เน้นการบริการถึงบ้าน และมีการสอด ประสานกันระหว่างบริการทางสุขภาพและบริการทางสังคม โดยครอบคลุมบริการดังต่อไปนี้ 1.1 ศูนย์เอนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุ (Multipurpose Senior Center) 1.2 ศูนย์ดูแลกลางวัน (Day Care Center) 1.3 บริการเยี่ยมบ้าน (Home Visit) 1.4 บริการดูแลที่บ้าน (Home Care) 1.5 บริการสุขภาพที่บ้าน (Home Health Care) 1.6 บริการชุมชนเคลื่อนที่ไปในพื้นที่ห่างไกล 1.7 ส่งเสริมการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังเกื้อกูลและดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชน 1.8 สนับสนุนและส่งเสริมความรู้ความสามารถให้กับผู้ดูแลผู้สูงอายุและอาสาสมัครผู้ดูแล 2. เกื้อหนุนให้เอกชนจัดบริการด้านสุขภาพและสังคมให้กับผู้สูงอายุที่สามารถซื้อบริการได้โดยมีการดูแล และกำกับมาตรฐานร่วมด้วย 2.1 มีการจัดบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่ให้ความสะดวกและรวดเร็วแก่ผู้สูงอายุเป็น กรณีพิเศษ 2.2 จัดบริการแพทย์ทางเลือก เช่น แพทย์แผนไทย เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลรักษาปัญหาสุขภาพ 2.3 จัดตั้งคลินิกผู้สูงอายุหอผู้ป่วยสูงอายุและสถานบริการสุขภาพเรื้อรังสำหรับผู้สูงอายุให้เพียงพอ กับความต้องการและสามารถรองรับปัญหาของผู้สูงอายุได้ 3. ส่งเสริมความรู้ด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน และการผู้ดูแลเบื้องต้นดังต่อไปนี้ 3.1 จัดบริการการอบรมในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะสมแก่ผู้สูงอายุ 3.2 จัดบริการให้คำปรึกษาทั่วไปในสถานบริการสุขภาพทั้งของรัฐและเอกชน 3.3 ดำเนินการให้มีการสื่อข้อมูลข่าวสารแก่ผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
20 3. แนวคิดเกี่ยวกับคุณภาพชีวิต 3.1 ความหมายของคุณภาพชีวิต ลัดดาวัลย์สิงห์คำฟู (2532 : 38) คุณภาพชีวิต หมายถึง ความรู้สึกพอใจและมีความสุขในชีวิตของแต่ละ บุคคลตามสภาพที่ตนดำรงอยู่ เป็นการรับรู้และตัดสินใจโดยบุคคลนั้น ประภา รัตนเมธานนท์ (2532 : 13) คุณภาพชีวิต คือ ความสุขเป็นปกติสุข (Sense Of Well-Being) ซึ่งมี คำที่มีความหมายเหมือนกันคือคำว่า ความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) และมีความหมายใกล้เคียงคำว่า ความสุข (Happiness) ซึ่งเป็นผลรวมของการตอบสนองความรู้สึกภายในตัวบุคคล องค์การอนามัยโลก (1994 : 78 อ้างถึงใน ศิรินุช ฉายแสง, 2553 : 13) ได้ให้ความหมายของคุณภาพชีวิต ไว้ว่า คุณภาพชีวิตเป็นมโนทัศน์หลายมิติที่ประสานการรับรู้ของบุคคลในด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านระดับความ เป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพา ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความเชื่อส่วนบุคคลใต้วัฒนธรรม ค่านิยม และเป้าหมายในชีวิตแต่ละบุคคล ฉัตรวลัย ใจอารีย์(2533 : 44) ได้สรุปว่า คุณภาพชีวิต เป็นคำที่มีความหมายกว้างมาก สามารถคลุมเรื่อง ต่างๆ ทั้งในทางรูปธรรม นามธรรม คุณภาพชีวิตที่ดีนั้นอาจเกิดขึ้นหรือเป็นของใครก็ได้ไม่เลือกฐานะ เพศ วัย ศาสนา แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ได้ให้ความหมายของคุณภาพชีวิตว่า เป็นความสุขปกติสุข (Sense Of Well-Being) คือจะครอบคลุมความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรทุกด้าน ซึ่งมีคำที่มีความหมายเหมือนกันคือ ความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) ซึ่งเป็นผลรวมของการตอบเสนองความรู้สึกภายในตัวบุคคล อัจฉรา นวจินดา และขจีรัส ภิรมย์ธรรมศิริ (2534 : 41-56) ได้ให้นิยามคุณภาพชีวิตว่า คุณภาพชีวิตของ บุคคล คือการรับรู้ของบุคคล เกี่ยวกับความพึงพอใจที่เกิดจากการได้รับสิ่งตอบสนองจากสิ่งที่ต้องการทั้งทาง ร่างกายและจิตใจ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างเพียงพอให้เกิดการ มีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ประภาพร จินันทุยา (2536 : 10) กล่าวว่า คุณภาพชีวิต หมายถึง ระดับการรับรู้ความรู้สึกพึงพอใจในชีวิต ของบุคคลต่อองค์ประกอบที่เป็นตัวบ่งชี้ของคุณภาพชีวิต ได้แก่ สถานภาพทางเศรษฐกิจ สุขภาพ สภาพแวดล้อม การพึ่งพาตนเอง และการทำกิจกรรม จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า คุณภาพชีวิต หมายถึง ระดับการมีชีวิตที่ดีมีความสุข และความพึงพอใจ ในชีวิต ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ สังคม อารมณ์และการดำเนินชีวิตของปัจเจกบุคคลในสังคม เป็นการประสาน การรับรู้ของบุคคลในด้านร่างกาย จิตใจ ความสัมพันธ์ทางสังคม สิ่งแวดล้อม ภายใต้วัฒนธรรม ค่านิยม และเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคน 3.2 องค์ประกอบของคุณภาพชีวิต จากความหมายของคุณภาพชีวิตที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่า คุณภาพชีวิต ก็คือ รูปแบบของการมีชีวิตที่มี ความสุข ซึ่งชีวิตที่ดีที่มีการดำรงอยู่อย่างมีความสุขและความพึงพอใจนั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ หลายด้าน ที่มารวมเข้ากันอย่างเหมาะสมกลมกลืนกับชีวิตของบุคคล ตลอดจนสังคมและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ของบุคคลนั้น ๆ จึงจะทำให้เกิดความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ
21 Ferrans and Power (1992 อ้างถึงใน กชกร ชำนาญกิตติชัย และคณะ, 2559 : 48-49) ได้วิเคราะห์ ปัจจัยขององค์ประกอบคุณภาพชีวิตของ George และ Berarson แล้วจึงได้สรุปองค์ประกอบของคุณภาพชีวิต เป็น 4 องค์ประกอบ คือ 1. ด้านสุขภาพและหน้าที่เกี่ยวกับสถานภาพของร่างกายและความสามารถในหน้าที่ที่จะดำเนินกิจกรรม ต่างๆ กิจวัตรประจำวันและการแสดงออกทางบทบาทสังคม ประกอบด้วย สุขภาพของตนเอง ความเครียด การดูแลสุขภาพ การพึ่งตนเองทางด้านร่างกาย เพศสัมพันธ์ความรับผิดชอบต่อครองครัว การบำเพ็ญประโยชน์ กิจกรรมในยามว่าง ความสามารถในการเดินทาง การสร้างความสุขในวัยสูงอายุและการมีอายุยืน 2. ด้านสังคมและเศรษฐกิจ เป็นสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของบุคคล เพราะบุคคลต้องอยู่ร่วมกัน ในสังคม ต้องการเพื่อนช่วยแนะแนวทางแก้ปัญหาซึ่งกันและกัน ต้องการกำลังใจ การได้รับการเชื่อถือไว้วางใจ ต้องการอยู่บ้านอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มีงานทำและมีเงินใช้ในการดำรงชีวิต การพึ่งพาตนเองด้านการเงินที่พัก อาศัย การทำงาน เพื่อนบ้าน สถานการณ์ของบ้านเมือง การได้รับการสนับสนุนทางจิตใจ และการศึกษา 3. ด้านจิตใจและวิญญาณ เป็นสถานภาพของการรับรู้การตอบสนองทางอารมณ์หรือทางวิญญาณต่อสิ่ง เร้าที่มากระทบในชีวิตประกอบด้วย ความพอใจในชีวิต ความสุขทั่วไป ความพอใจในตนเอง จุดมุ่งหมายในชีวิต ความสงบสุขของจิตใจ ความศรัทธาในศาสนา และรูปร่างหน้าตาของตน 4. ด้านครอบครัว เป็นสถานภาพของสัมพันธ์ภาพกายในครอบครัวของบุคคลประกอบด้วย ความสุขใน ครอบครัว ภาวะสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว บุตร และความสัมพันธ์กับผู้สมรส 3.3 แนวคิดที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 - 4 จะมุ่งเน้นการพัฒนา เศรษฐกิจมากกว่าการพัฒนาสังคม ขณะเดียวกันผลที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นก็จะมุ่งลงสู่ชุมชนเมือง มากกว่าชนบท เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาที่ตามมาคือ ความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้การบริหารทางสังคม ไม่ทัดเทียมกัน ในเมืองจะมีโอกาสรับบริการมากกว่า นอกจากนั้นยังเกิดช่องว่างระหว่างคนในเมืองกับชนบทมาก ขึ้น อีกประการหนึ่งการมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยไม่ได้พัฒนาคนควบคู่ไปด้วยแล้ว การพัฒนาประเทศก็ไม่มี ทางก้าวหน้าไปได้และปัญหาอื่นๆ ก็จะตามมามากขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2519 - 2528 ได้มีการเคลื่อนไหว ในเรื่องการนำแนวความคิด เรื่องกระบวนการตอบสนองต่อความจำเป็นพื้นฐานของประชาชน (Bac Minimum Nead Approach) โดยความคิดนี้ได้ถูกเสนอในที่ประชุมองค์การนานาชาติ (International Labor Organization World Employment Conference) ในปีพ.ศ. 2519 ต่อมาได้มีองค์การระหว่างประเทศนำแนวคิดมาใช้เป็น นโยบายในการสนับสนุนในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น Integrated Rural Development สำหรับประเทศไทยนั้น สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้เริ่มนำแนวความคิดนี้เข้ามาใช้ในการจัดทำแผน ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 และตั้งแต่ พ.ศ. 2525 เป็นต้นมาก็ได้มีการนำแนวความคิดเรื่องความจำเป็นพื้นฐานรวมทั้งเครื่องชี้วัดมาใช้ในเรื่องสุขภาพ อนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยในชนบท การพัฒนาคุณภาพชีวิตมี 4 ด้าน คือ (อนุชาติ พวงสำลี และอรทัย อาจอ่ำ, 2539 : 36) 1. การพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นเรื่องของระดับการมีชีวิตที่ดีมีความสุข ความพึงพอใจในชีวิตจะครอบคลุม ไปถึงเรื่องของสุขภาพ มาตรฐานการดำรงชีวิต คุณภาพของที่อยู่อาศัย ความพึงพอใจในหน้าที่การงาน ซึ่งมักรวม สิ่งเหล่านี้ไว้ในนิยามและเกณฑ์ของคุณภาพชีวิต
22 2. แนวคิดในเรื่องการพัฒนาสังคม มี 3 ประเด็นหลักที่ต้องดำเนินการ คือ 2.1 การขจัดความยากจน โดยใช้นิยามความยากจนที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ใช้คือ รายได้ของครัวเรือน หรือบุคคลที่ต่ำกว่าเส้นยากจน (Minimum Threshold) ตัวบ่งชี้อื่นๆ เช่น อายุขัย และการไม่รู้หนังสือ ซึ่งถ้าเป็น เช่นนี้ประชากรหนึ่งในสามของภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิค จะจัดอยู่ในกลุ่มผู้ยากจนที่แท้จริง 2.2 การกระจายความเป็นธรรมเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาสเช่นกัน คือ สตรี เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อย คนเหล่านี้ไม่ได้รับโอกาสและไม่สามารถเข้าถึงบริการต่างๆที่สามารถ นำมาปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้ 2.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนคนส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ ไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเอง ได้ เพราะถูกกีดกันจากกระบวนการการตัดสินใจ และการควบคุมสถานการณ์ทั้งด้านครอบครัวชุมชนและองค์กร ต่างๆ 3. แนวคิดเรื่องการพัฒนามนุษย์ เป็นทางเลือกหนึ่งของแนวคิดที่ท้าทายการพัฒนาที่ผิดพลาด (Maldevelopment) ซึ่งเน้นด้านเศรษฐกิจและการใช้เศรษฐกิจเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของการพัฒนาเพียงอย่าง เดียว แนวคิดในการพัฒนามนุษย์โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและการพัฒนามนุษย์แบบยั่งยืนล้วน เป็นประเด็นที่ท้าทาย และถูกกำหนดไว้เป็นเป้าหมายของการพัฒนาสังคมในการประชุมสุดยอดเพื่อการพัฒนา สังคม ค.ศ. 1995 ด้วย 4. แนวคิดความต้องการ 4.1 ความหมายของความต้องการ ความต้องการ หมายถึง สภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ความต้องการของคนเรา มักไม่ได้รับการตอบสนองอย่างสมบูรณ์เมื่อได้รับการตอบสนองหนึ่งก็จะเกิดความต้องการมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง ระดับความต้องการตามแนวคิดของมาสโลว์ประกอบด้วย (ไชยยะ เปรมอิสระกูล, 2549 : 10) 1. ความต้องการทางกายภาพ หมายถึง ความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่น ต้องการอาหารน้ำดื่ม การพักผ่อน ความต้องการทางเพศ ความต้องการความอบอุ่นตลอด ความต้องการที่จะกระตุ้นอวัยวะรับสัมผัส 2. ความต้องการความปลอดภัย หมายถึง ความต้องการความอบอุ่นมั่นคง ความต้องการการคุ้มครอง และหลีกนี้จากอันตราย 3. ความต้องการความรักและเป็นเจ้าของ หมายถึง ความต้องการเพื่อนต้องการผู้ร่วมงาน ต้องการคู่รัก หรือครอบครัว 4. ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ หมายถึง ความต้องการให้ผู้อื่นยอมรับ นับถือตน ต้องการให้ผู้อื่น ยอมรับว่าตนมีค่าหรือได้รับการยกย่องสรรเสริญ ต้องการเชื่อมั่นในความสามารถ 5. ความต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง หมายถึง ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างทองแท้ต้องการ ที่จะคิดและกระทำให้สอดคล้องกับสภาพจริงของตนเองอย่างสร้างสรรค์และต้องการพัฒนาสูงสุดตามศักยภาพ ของตน
23 Orlando (1969 อ้างถึงใน พจนา สมุทรัตน์, 2549 : 30) ให้ความหมายของความต้องการไว้ว่า เป็นความ ประสงค์ของบุคคลถ้าได้รับการตอบสนองจะช่วยลดความไม่สุขสบายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจทำให้เกิด ความสุขสบายของชีวิต Wingate & Leckey (1989 อ้างถึงใน พจนา สมุทรัตน์, 2549 : 30) ให้ความหมายความต้องการไว้ว่า คือแรงกระตุ้นที่ก่อให้เกิดการปรับการรับรู้สิ่งที่ขาดไปให้เข้าสู่สภาวะสมดุล จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ความต้องการเป็นประสงค์ที่บุคคลอยากได้รับ เพื่อการตอบสนองความ ต้องการต่อความจำเป็นพื้นฐาน เพื่อทำให้บุคคลสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ดีที่สุด การที่บุคคลอยู่ในสังคม ย่อมจะมีความต้องการที่จะคงไว้ซึ่งความสมดุลทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ในลักษณะที่เป็นองค์ รวม ร่างกายจึงมีการทำงานและเกิดแรงผลักดันในการที่จะได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน ในบางครั้ง ความต้องการไม่สามารถตอนสนองได้ด้วยตนเอง จึงต้องการความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น โดยเฉพาะช่วงที่บุคคล เข้าสู่วัยชราหรือต้องเผชิญกับภาวะความเจ็บป่วย ทำให้ความสามารถของร่างกายลดน้อยลง จึงต้องการความ ช่วยเหลือและการดูแลจากผู้อื่น 4.2 ความต้องการของผู้สูงอายุ ความต้องการ เป็นปัจจัยสำคัญมากเมื่อเทียบกับปัจจัยอื่นของความแตกต่างของบุคคล เพราะเป็น ความรู้สึกภายใน และได้รับอิทธิพลมาจากหลายประการ คือ ความต้องการเป็นผลรวมของปัจจัยต่างๆ จากจิตที่สั่ง ออกมา การสั่งออกมาในรูปของความต้องการนี้ ย่อมมีผลทำให้ร่างกายเกิดพฤติกรรมทั้งที่เป็นที่พึงปรารถนา และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของสังคม จากแนวคิดของนักจิตวิทยาหลายท่านได้รวบรวม และนำเสนอแนวคิด ของ Abraham H. Maslow ได้แปลแรงจูงใจโดยมีความเชื่อเป็นหลักการเบื้องต้น 3 ประการ ได้แก่ 1. มนุษย์ทุกคนมีความต้องการ และความต้องการนี้จะมีอยู่ในตัวมนุษย์ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อมนุษย์ สมใจในความต้องการอย่างหนึ่งแล้วก็ยังมีความต้องการต่อไปในสำคัญ 2. อิทธิพลใดๆ จะมีต่อมนุษย์ต่อเมื่อมนุษย์กำลังอยู่ในความต้องการลำดับนั้นๆ เท่านั้นหากความต้องการ ในลำดับนั้นได้รับการตอบสนองจนเป็นที่น่าพอใจ 3. ความต้องการของมนุษย์จะมีลำดับขั้นจากต่ำไปหาสูง เมื่อความต้องการขึ้นต่ำได้รับการตอบสนอง จนเป็นที่พอใจแล้ว ความต้องการลำดับสูงขึ้นไปก็ตามมา และได้แปลความต้องการของมนุษย์ออกเป็นลำดับขั้นตอนทั้งหมด 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการขั้นมูลฐานของมนุษย์และเป็น สิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับการดำรงชีวิต ร่างกายจะต้องได้รับการตอบสนองภายในระยะเวลาสม่ำเสมอ ถ้าร่างกายไม่ดี แล้วชีวิตก็ดำรงอยู่ไม่ได้ ได้แก่ อาหาร อากาศ น้ำดื่ม ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความต้องการการ พักผ่อน และความต้องการทางการเพศ องค์การจะต้องตอบสนองความต้องการด้วยการจ่ายค่าจ้างค่าแรง ฯลฯ 2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) เมื่อความต้องการทางร่างกายได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการความปลอดภัยก็จะเข้ามามีบทบาทในพฤติกรรมของมนุษย์มีความปรารถนาที่จะได้รับความคุ้มครอง จากภัยอันตรายต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุอาชญากรรม การปลดออก ไล่ออก 3. ความต้องการทางสังคม (Social Or Belonging Needs) เมื่อความต้องการ 2 ประการแรกได้รับการ ตอบสนองแล้วก็จะมีความต้องการในระดับสูง ความต้องการทางสังคม หมายถึง ความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่ง
24 ทางสังคม และได้รับการยอมรับความรักจากเพื่อนร่วมงาน องค์การ ตอบสนองความต้องของบุคลากรด้วยการให้ บุคลากรแสดงความคิดเห็น ความคิดที่ได้รับการยอมรับควรมีการยกย่องชมเชย 4. ความต้องการที่จะได้รับการยกย่องในสังคม (Esteem Or Egoistic Needs) ความต้องการอยากเด่น ในสังคมรวมถึงความเชื่อมั่นในตนเอง ความสำเร็จ ความรู้ความสามารถ และรวมถึงความต้องการที่จะมีฐานะเด่น เป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั้งหลาย 5. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จตามความนึกคิด (Self Realization Or Self Actualization) เป็นความต้องการขั้นสูงสุด เป็นความต้องการพิเศษซึ่งคนธรรมดาเป็นส่วนมากนักอยากจะเป็น นึกอยากจะได้แต่ ไม่สามารถเสาะหาได้การที่บุคคลใดบรรลุถึงความต้องการในขั้นนี้ก็ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลพิเศษไป โดยลำดับขั้นจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ได้สรุปและจำแนกความต้องการของผู้สูงอายุ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ (สมศักดิ์ ศรีสันติสุข, 2539 : 42) 1. ความต้องการพื้นฐาน คือ ความต้องการที่ผู้สูงอายุทุกคนแสวงหาไม่ว่าจะอยู่ในสังคมวัฒนธรรมใด ได้แก่ ผู้สูงอายุพยายามมีชีวิตอยู่นานเท่าที่จะเป็นไปได้ผู้สูงอายุพยายามรักษาพลังและศักยภาพทางร่างกาย และทางสมองให้คงอยู่มากที่สุด ผู้สูงอายุพยายามป้องกันและธำรงไว้ซึ่งสิทธิพิเศษที่เคยเป็นในชีวิตวัยต้น 2. ความต้องการขั้นสูง คือ ความต้องการซึ่งมีลักษณะเปลี่ยนแปลงง่าย อาจเป็นความต้องการเฉพาะหน้า หรือระยะยาวหรือเป็นจุดหมายปลายทางของผู้สูงอายุและเป็นความต้องการที่สอดคล้องกับลักษณะสังคมมาหา ทำของผู้สูงอายุ เช่น ในสังคมตะวันตกผู้สูงอายุ อาจจะมีความต้องการงานที่เหมาะสมกับวัย มีรายได้พอใช้จ่าย มีบริการสุขภาพที่รัฐจัดให้มีบ้านพักอาศัย ฯลฯ ขณะที่ในสังคมไทย ความต้องการเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญ เท่ากับการได้รับการดูแลเอาใจใส่จากบุตรหลานและครอบครัว เป็นต้น ความต้องการขั้นสูงนี้เทียบเท่ากับความต้องการระดับที่ 4 และ 5 ขนาดของความต้นการ 5 ขั้นของ มาสโลว์ซึ่งเป็นความต้องการการเคารพยกย่อง และความต้องการที่จะเป็นคนโดยสมบูรณ์ซึ่งสำหรับผู้สูงอายุ ความต้องการนี้ควรจะเป็นการได้มีโอกาสและสิทธิที่จะศึกษาและค้นพบคุณค่าของชีวิต ให้ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิต ที่เหลืออยู่อย่างมีความหมายจะทำให้เกิดความพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุ เมื่อความตายมาถึงก็จะเป็นความตาย ที่น่ายินดีแล้วเหมาะสมกับรูปแบบชีวิตของเขา ศรีทับทิม รัตนโกศล (2527: 4) แบ่งความต้องการของผู้สูงอายุออกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ 1. ความต้องการการสนับสนุนจากครอบครัว ผู้สูงอายุที่ถูกปล่อยให้อยู่โดดเดี่ยวจะขาดความมั่นคงทาง อารมณ์และจิตใจรวมทั้งเศรษฐกิจ จึงต้องหันไปพึ่งการช่วยเหลือจากบุคคลหรือ องค์กรสังคมสงเคราะห์ภายนอก ครอบครัว ผู้สูงอายุจึงมีความต้องการที่จะได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของตนเองควบคู่ไปกับการช่วยเหลือ จากภายนอกครอบครัว เช่น กลุ่มอาสาสมัครทั้งองค์การภาครัฐและองค์การภาคเอกชน 2. ความต้องการด้านการประกันรายได้ โดยเฉพาะการประกันสังคมประเภทประกันชราภาพ เมื่อเข้าสู่ วัยชราและเลิกประกอบอาชีพแล้ว จะได้รับบำนาญชราภาพเพื่อช่วยให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข และมั่นคงปลอดภัยตามควรแก่อัตภาพในบั้นปลายชีวิต ไม่เป็นภาระแก่บุตรหลานและสังคม 3. ความต้องการมีส่วนร่วมในชุมชน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในกิจกรรมบางประเภทในสังคม สังคม จึงควรให้โอกาสแก่ผู้สูงอายุได้มีส่วนร่วม ในการปรับปรุงชีวิตของชุมชนให้ดีขึ้น ให้มีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
25 ในการพัฒนาตนเอง ในการปรับตัวให้ทันสมัยกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในการปรับปรุงวัฒนธรรมและในการ รักษาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ 4. ความต้องการที่ลดการพึ่งพาตนเองให้น้อยลง หากครอบครัวและสังคมส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มีโอกาส ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในครอบครัวและสังคมแล้วจะเป็นการช่วยผู้สูงอายุให้รู้จักพึ่งพาตนเอง ไม่เป็นภาระแก่สังคม ในบั้นปลายชีวิต 5. ความต้องการทางสังคมของผู้สูงอายุ ได้แก่ 5.1 ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว กลุ่มสังคม 5.2 ความต้องการการยอมรับและเคารพยกย่องนับถือจากบุคคลในครอบครัว และสังคม 5.3 ความต้องการเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในสายตาของสมาชิกในครอบครัวของกลุ่ม ของชุมชน และ ของสังคม 5.4 ความต้องการมีสัมพันธ์อันดีกับบุคคลภายในครอบครัว ชุมชน และสังคมสามารถปรับตัวให้เข้ากับ บุตรหลานในครอบครัวและสังคมได้ 5.5 ความต้องการมีโอกาสทำในสิ่งที่ตนปรารถนา 6. ความต้องการทางกายและจิตใจ เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุดในชีวิตมนุษย์ ความต้องการทางด้าน ร่างกาย ได้แก่ ปัจจัย 4 ความต้องการทางด้านจิตใจ ได้แก่ ความมั่นคงปลอดภัยโดยเฉพาะความต้องการด้านที่อยู่ อาศัยที่ปลอดภัย คลายจากความวิตกกังวลและความหวาดกลัว ความต้องการได้รับการยอมรับนับถือ ความ ต้องการที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมและครอบครัว ความต้องการโอกาสก้าวหน้า โดยเฉพาะ ในเรื่องของความสำเร็จของการทำงานในบั้นปลายชีวิต 7. ความต้องการด้านเศรษฐกิจ ต้องการได้รับการช่วยเหลือ ด้านการเงินจากบุตรหลานเพื่อสะสมไว้ใช้จ่าย ในภาวะที่ตนเองเจ็บป่วย ต้องการให้รัฐช่วยจัดหาอาชีพ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนรายได้ ทั้งนี้ เพื่อตนจะได้มีบทบาท ทางเศรษฐกิจ ช่วยให้ตนพ้นจากภาวะบีบคั้นของเศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน จากแนวความคิดสรุปได้ว่า ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุ เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัย ผู้สูงอายุ ความต้องการของผู้สูงอายุก็จะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้สำหรับการ ปรับตัวของผู้สูงอายุนั้นจะต้องอาศัยการสนับสนุนจากบุคคลหลายฝ่าย เพื่อจะเป็นการลดปัญหาและสนองความ ต้องการของผู้สูงอายุได้อย่างครอบคลุม 4.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความต้องการ ทฤษฎีพื้นฐานที่เกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนมีความต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่ง คุณภาพชีวิตที่ดีนำมาซึ่งความสุข ทั้งกายและใจ ความสุขทางกาย คือ การมีหรือได้รับการตอบสนองความต้องการ ทั้งทางด้านอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย รักษาโรค เครื่องมือเครื่องใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ พอสมควร และ จิตใจ คือ การมีความรักความอบอุ่นและมั่นคงทางจิตใจ ได้รับการยอมรับ และยกย่องจากบุคคลอื่น ความสุขหรือ ความพึงพอใจในชีวิตของคนจะเกิดขึ้นได้เมื่อคนนั้นได้รับการตอบสนองความต้องการของตน Alderfer’s (อ้างถึงใน ประภาศรี อนาวัน, 2553 : 7) ได้คิดทฤษฎีความต้องการที่เรียกว่า ทฤษฎีอีอาร์จี (ERG : Existence – Relatedness – Growth Theory) โดยแบ่งความต้องการของบุคคลเป็น 3 ประการ คือ 1. ความต้องการมีชีวิตอยู่ (Existence Needs) เป็นความต้องการที่ตอบสนองเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ได้แก่ ความต้องการทางกาย และความต้องการความปลอดภัย
26 2. ความต้องการมีสัมพันธ์ภาพกับผู้อื่น (Relatedness Needs) เป็นความต้องการของบุคคลที่จะมีมิตร สัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างอย่างมีความหมาย 3. ความต้องการเจริญก้าวหน้า (Growth Needs) เป็นความต้องการสูงสุด รวมถึงความต้องการได้รับการ ยกย่องและความสำเร็จในชีวิต สุรางค์โค้วตระกูล (2537 อ้างถึงใน อุชุกร เหมือนเดช, 2552 : 10) ได้สรุปแนวคิดของมาสโลว์ซึ่งได้คิด ทฤษฎีที่ได้รวบรวมความคิดของนักจิตวิทยา และนักจิตวิเคราะห์ที่เรียกว่า Holistic Dynamic Theory อันเป็น ทฤษฎีที่ผสมผสานทฤษฎีเชิงพฤติกรรม ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์และทฤษฎีมานุษยนิยมเข้าด้วยกัน โดยเน้น ประเด็นความต้องการของมนุษย์ซึ่งอธิบายความต้องการไว้ดังนี้ ความต้องการ (Needs) มาจากการขาดสมดุลทั้งภายในร่างกายและสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกายแล้วทำ ให้เกิดแรงขับขึ้น ความต้องการของคนมีมากบ้างน้อยบ้างอยู่ตลอดเวลา ทุกคนมีความต้องการด้วยกันความ ต้องการอาหารนับเป็นความต้องการภายใน เมื่ออยู่ในสภาพขาดแคลนมาก ความต้องการจะมีกำลังบังคับสูงขึ้น เช่น ต้องการอาหารเมื่อเกิดความหิว ต้องการอยู่ในสังคมเมื่อเกิดความรู้สึกเดียวดายว้าเหว่ แรงขับ (Drive) เป็นสิ่งเร้าที่เกิดจากความต้องการ เมื่อเกิดความต้องการแล้วจะทำให้เกิดความกระวน กระวาย หาช่องทางที่จะบำบัดความต้องการให้หายไป เช่น ถ้าเกิดความต้องการอาหาร ก็จะถูกเร้าด้วยแรงขับ ความหิว เมื่อเกิดแรงขับความหิวจะมีอาการแสดงออกทางกายที่ต่างกันตามการอบรมทางสังคมและเท่าที่ สติปัญญาจะบงการ เป็นต้น บางคนปรุงอาหารรับประทานอาหารเองและบางคนอาจใช้วิธีขโมยอาหารคำว่า “แรง ขับ” และ “แรงกระตุ้น” มักจะใช้ควบคู่กันในความหมายอย่างเดียวกัน ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ ได้จัดลำดับความต้องการจากต่ำไปหาสูงดังนี้ (นิศารัตน์ ศิลปเดช, 2539 อ้างถึงใน อุชุกร เหมือนเดช, 2552 : 11) 1. ความต้องการทางสรีระ (Poysiolgical Needs) หมายถึง ความต้องการขั้นพื้นฐานของร่างกาย เช่น ความหิวความกระหาย ความต้องการทางเพศ และการพักผ่อน เป็นต้น ความต้องการนี้เป็นความต้องการที่จำเป็น สำหรับการมีชีวิตอยู่ ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีความต้องการทางสรีระอยู่เสมอ ถ้าอยู่ในสภาพที่ขาดการกระตุ้นให้ตนมี กิจกรรมขวนขวายที่จะตอบสนองความต้องการ 2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยและสวัสดิภาพ (Safety Needs) หมายถึง ความต้องการความ มั่นคงปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เป็นอิสระจากความกลัว ความขู่เข็ญบังคับผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม เป็น ความต้องการที่จะได้รับการปกป้องคุ้มกัน ความต้องการประเภทนี้เริ่มตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งวัยชรา 3. ความต้องการที่จะรู้สึกตนเองมีค่า (Esteem Incods) ความต้องการนี้ประกอบด้วยความต้องการที่จะ ประสบความสำเร็จ มีความสามารถ ต้องการที่จะให้ผู้อื่นเห็นว่าตนมีคุณค่ามีความสามารถ และมีเกียรติต้องการที่ จะได้รับการยกย่องจากผู้อื่น ผู้ที่มีความปรารถนาในความต้องการที่จะเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตนเอง เป็นคนมี ประโยชน์และมีค่าตรงข้ามกับผู้ที่ขาดความต้องการประเภทนี้จะรู้สึกว่าตนไม่มีความสามารรถและมีปมด้อยมอง โลกในแง่ร้าย 4. ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและพัฒนาตามศักยภาพของตน (Self Actualization Needs) มาสโลว์อธิบายความต้องการที่เรียกว่า“ Self Actualization” ว่าเป็นความต้องการที่จะรู้จักตนเองตาม สภาพที่แท้จริงของตน จะกล้าที่จะตัดสินใจเลือกทางเดินของชีวิตรู้จักค่านิยมของตนเอง มีความจริงใจต่อตนเอง
27 ยอมรับตนเองทั้งส่วนดีและส่วนเสียของตน ที่สำคัญที่สุดคือ การมีสติที่จะยอมรับว่าคนใช้กลไกในการป้องกัน ตนเองในการปรับตัวและพยายามที่จะเลิกใช้กระบวนการที่จะพัฒนาตนเองเต็มที่ตามศักยภาพของตน เป็น กระบวนการที่ไม่มีจุดจบตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ มนุษย์ทุกคนมีความต้องการที่จะพัฒนาตนเองเต็มที่ตามศักยภาพ ของตน มีน้อยคนที่จะได้ถึงขั้น “Self Actualization” อย่างสมบูรณ์ 5. มนุษย์ทุกคนมีความต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีนำมาซึ่งความสุข ทั้งกายและใจ ความสุขทางกาย คือ การมีหรือได้รับการตอบสนองความต้องการทั้งด้านอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องมือเครื่องใช้เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ พอสมควร และทางจิตใจ คือ การมีความรักความอบอุ่น และ ความมั่นคงทางจิตใจ ได้รับการยอมรับและยกย่องจากบุคคลอื่น 5.แนวคิดเกี่ยวกับสมาร์ตซิตี้ (Smart City) 5.1 ความเป็นมาของสมาร์ตซิตี้ (Smart City) Smart City คือ เมืองที่ได้รับการออกแบบโดยให้ความสำคัญในองค์ประกอบหลัก คือ การพัฒนารูปแบบ โครงสร้างของเมืองที่สอดรับกับแนวคิดของเมืองอัจฉริยะ การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ประกอบการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ และข้อมูลมาช่วยในการบริหารจัดการ ทรัพยากรของเมืองเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิเช่น ระบบบริหารจัดการเครือข่ายพลังงานอัจฉริยะ ที่เรียกว่า Smart Grid ระบบมิเตอร์อัตโนมัติ ระบบควบคุมการจราจรอัจฉริยะ ระบบควบคุมอาคารอัจฉริยะ และระบบ ตรวจวัดมลภาวะ เป็นต้น แนวคิด Smart City ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เกิดชุมชนเมืองที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัย และได้รับ คุณภาพในการใช้ชีวิตที่สูงขึ้น เป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัย และมีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดย ทำการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานของเมืองเข้าด้วยกันแบบบูรณาการผ่านระบบ IT เพื่อให้การบริหารจัด การเมืองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เหตุผลที่ต้องมีการเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานเข้าด้วยกัน เนื่องจากในอดีตนั้น ระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งประปา ไฟฟ้า ก๊าซ คมนาคมขนส่ง บริการสาธารณะของเมืองมักจะแยกกัน และ ดำเนินการแบบต่างคนต่างทำ ดังนั้น นอกจากจะต้องทำให้แต่ละระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแล้วนั้น ยังต้องทำให้แต่ละระบบทำงานร่วมกันแบบบูรณาการในบริบทของเมืองเพื่อสามารถจัดลำดับความสำคัญในแง่ของ การลงทุนและใช้ให้เกิดมูลค่าสูงที่สุด ในด้านรัฐศาสตร์ถือว่าแนวคิดด้าน Smart City จะเป็นการจุดประเด็นในการกระจายอำนาจ และ สร้าง ความสามารถในการบริหารจัดการเมืองของแต่ละท้องถิ่น อีกด้านคือ เป็นการสร้างอำนาจให้กับประชาชน และ ชุมชนในการร่วมกำหนดทิศทาง การแสดงความคิดเห็น และการเข้าถึงข้อมูลต่างๆในการบริหารจัดการเมือง ยกตัวอย่าง เช่น ระบบแจ้งความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานเมืองจากประชาชนผ่านระบบ Application ถ้าหาก ระบบดังกล่าวมีการใช้อย่างต่อเนื่อง มีการแสดงให้เห็นว่าข้อมูลมีผลลัพธ์ต่อการดำเนินงานจริงๆ ก็จะเกิดความ ชัดเจนในการวางแผนงานในแต่ละปีรวมถึงงบประมาณให้สอดคล้องกับความเสียหายที่แจ้งเข้ามา จะเป็นการพลิก โฉมการวางแผนงบประมาณของเมืองได้ ในภาคธุรกิจการผลักดันแนวคิด Smart City เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ เทคโนโลยี Internet Of Things (IOT) ซึ่งเป็นรากฐานในการเชื่อมโยงอุปกรณ์หรือสิ่งของรอบๆ ตัวเราเข้ากับ โครงข่ายการสื่อสารแบบอินเตอร์เน็ต ลองจินตนาการว่าในอนาคตอันใกล้ไม่ใช่เฉพาะโทรศัพท์มือถือเท่านั้นที่เรา สามารถใช้สื่อสารหรือส่งข้อมูลให้กันและกันได้ หลอดไฟตามท้องถนนสามารถแจ้งถึงสถานะความชำรุดให้กับเมือง
28 ได้ รถยนต์สามารถสื่อสารกับสัญญาณไฟจราจรได้เพื่อบอกเส้นทางที่ต้องการเดินทาง หรือแม้แต่กระทั่งสายรัด ข้อมือสามารถส่งข้อมูลสุขภาพของผู้ใส่ให้กับระบบวิเคราะห์ของโรงพยาบาลที่คอยติดตามผู้ป่วยได้ แนวคิดเมืองอัจฉริยะหรือ Smart City เป็นทิศทางในการพัฒนาเมือง ให้คนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี จาก การแก้ปัญหาต่างๆ ช่วยส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งก็ได้กำหนดหลักการสำคัญ เอาไว้ 4 ข้อ และเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ว่าการจะเป็นเมืองอัจฉริยะได้จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.มีการใช้ระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ถนน อาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่เมืองอย่าง เต็มประสิทธิภาพ มีการบริหารจัดการพลังงานทั้งภาคการผลิต การส่งจ่ายและการใช้พลังงาน รวมทั้งส่งเสริมการ ใช้พลังงานทดแทนเพื่อสนับสนุนสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในเมืองนั้นให้เข้มแข็ง 2.มีความยืดหยุ่นสูง ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ง่ายต่อการเรียนรู้ง่ายต่อการใช้งาน ง่ายต่อการประยุกต์ และปรับเปลี่ยน และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของเมืองได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 3.เทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล เปิดกว้างและสามารถเข้าถึงแก่ผู้ใช้ในทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานภาพ ทั้งยังสามารถแก้ไขให้เหมาะสมกับความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกันได้ด้วย 4.เป็นเมืองแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข ปลอดภัย เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ บ่มเพาะนักธุรกิจ นักพัฒนาเพื่อสร้างให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆ อยู่ตลอดเวลา Smart City เกี่ยวกับการออกแบบเมืองให้สอดคล้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการลดปัญหา มลภาวะต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาด สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพมีทั้งหมด 7 รูปแบบ ได้แก่ 1. พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ตัวชี้วัดพลังงานอัจฉริยะประกอบด้วย ค่าพลังงานการใช้ต่อ ประชากร การผลิตพลังงานทดแทน การผลิตพลังงาน ณ จุดใช้งานการสะสมพลังงาน ระบบทำความเย็นและความ ร้อนรวมศูนย์ ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การส่งเสริมการใช้ รถไฟฟ้า 2. การสัญจรอัจฉริยะ (Smart Mobility) ตัวชี้วัดประกอบด้วย การวางผังโครงสร้างพื้นฐานของระบบ พลังงาน ระบบการจ่ายน้ำ ระบบการขนส่ง ระบบโดยสารสาธารณะ การบริหารที่จอดรถ การส่งเสริมการเดิน การ ใช้จักรยาน การจัดเตรียมสถานพยาบาล ระบบฉุกเฉิน ระบบความปลอดภัย สถานศึกษา สถานที่ท่องเที่ยว การ บริหารจัดการขยะ น้ำเสีย 3. ชุมชนอัจฉริยะ (Smart Community) ตัวชี้วัดประกอบด้วย การส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้ง ในด้านความปลอดภัย สวัสดิภาพ สุขภาพ การศึกษา การป้องกันภัยพิบัติ การดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการ 4. สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) ตัวชี้วัดประกอบด้วย การรักษาสภาพแวดล้อม ป่าไม้ พืช พันธ์ ระบบนิเวศน์ การส่งเสริมการเกษตร แหล่งผลิตอาหารในเมือง สวนสาธารณะ พื้นที่สีเขียว การบริหารจัดการ น้ำ มลภาวะทางน้ำ มลภาวะทางอากาศ ปรากฏการณ์เกาะความร้อน 5. เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) ตัวชี้วัดประกอบด้วย โมเดลทางธุรกิจ นวัตกรรมรูปแบบการ ลงทุน ความสร้างความสามารถในการแข่งขัน การมีส่วนร่วม ความเป็นหุ้นส่วน การบริหารรายได้ ค่าใช้จ่ายในการ บริหารจัดการเมืองที่ยั่งยืน การส่งเสริมการเจริญเติบโตของเขต 6. อาคารอัจฉริยะ (Smart Building) ตัวชี้วัดประกอบด้วย การผ่านเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวของ สถาบันอาคารเขียวไทย การพัฒนาอาคารที่ใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ ระบบอาคาร/ บ้านอัจฉริยะ
29 7. การปกครองอัจฉริยะ (Smart Governance) ตัวชี้วัดประกอบด้วย หลักความเป็นเมืองอัจฉริยะ ภาวะ ความเป็นผู้นำ ยุทธศาสตร์ โครงสร้างองค์กร กระบวนการบริหารจัดการ ระบบการวัดผลสำเร็จ 8. การยกระดับคุณภาพชีวิต (Smart living) เติมเต็มช่องว่างของผู้สูงอายุที่ขาดการดูแลอย่างใกล้ชิด ประชาชนสุขภาพดี เมืองปลอดภัย อำนวยความสะดวกรอบตัว 5.2 Smart City กับผู้สูงอายุ จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็วและต่อเนื่อง โดนในปี พ.ศ.2537 มีจำนวนผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 6.8 ของประชากรทั้งประเทศ และ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 9.4 ร้อยละ 10.7 ร้อยละ 12.2 ในปี พ.ศ. 2545, 2550 และ 2554 ตามลำดับ และการสำรวจ ครั้งล่าสุด พบว่า จำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 14.9 ของประชากรทั้งหมด (ชายร้อยละ 13.8 และหญิงร้อย ละ 16.1) องค์การสหประชาชาติ ประเมินไว้ว่า ในปีค.ศ. 2050 อีก 32 ปีข้างหน้า ประชากรโลก 9,300 ล้านคน จะ มีประชากรสูงวัยราว 2,000 ล้านคน โดยประเทศไทยในปัจจุบันนี้มีประชากรสูงวัยกว่า 10 ล้านคน อีก 4 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 13 ล้านคน หรือ 20% ของประชากร โดยปลายปีค.ศ. 2016 ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศยุโรป ได้ ริเริ่มโครงการ City 4 Age เพื่อใช้ข้อมูลของสมาร์ทซิตี้หรือเมืองอัจฉริยะดูแลสุขภาพของผู้สูงวัย ทดลองวิจัยการใช้ ข้อมูลเมืองอัจฉริยะในการดูแลผู้สูงวัยใน 6 เมืองทั่วโลก เพื่อพัฒนาแผนงานในการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย ผ่านเครื่องมือเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ หุ่นยนต์ในบ้าน เป็นต้น เป้าหมายของภาครัฐในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 หรือประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่ ขับเคลื่อนบนฐานนวัตกรรมกับ 10 อุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืนของประเทศนั้นเป็นความท้าทายอย่างมากในการ ผลักดันนโยบายของประเทศที่ต้องอาศัยการขับเคลื่อนอย่างพร้อมเพรียงกันในทุกภาคส่วน ซึ่งส่วนหนึ่งในการขับ เคลื่อนที่สำคัญ คือการสร้างเมืองต้นแบบที่มีความพร้อม มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และมีขีดความสามารถใน การแข่งขันกับโลกได้ด้วยตัวเอง โดยปัจจุบันประเทศไทยมีเมืองต้นแบบอยู่ 3 เมืองที่ดำเนินตามแนวทางของ Smart City นั่นคือ เมืองภูเก็ต เมืองขอนแก่น และเมืองเชียงใหม่ ลักษณะการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ โดยสัดส่วนของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวตามลำพังในครัวเรือนมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น โดยปี พ.ศ. 2537 มีผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวร้อยละ 3.6 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.3 ร้อยละ 7.7 ร้อยละ 8.6 ในปี พ.ศ. 2545 2550 2554 ตามลำดับ จากผลการสำรวจปี พ.ศ. 2557 มีผู้สูงอายุอยู่คนเดียวตามลำพังเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 8.7 และไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพังร้อยละ 91.3 จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลพบว่า สาเหตุการเสียชีวิตของคนชราในปัจจุบันมักเกิดจากการหกล้มใน ขณะที่ญาติพี่น้องไม่ทราบหรือผู้ดูแลไม่ทราบ จึงทำให้เกิดความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นต่อผู้สูงอายุ นอกจากนั้นยังมีผู้สูงวัย หรือผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีลักษณะนอนติดเตียงเป็นจำนวนมากขึ้น รวมถึงคนไข้ที่เกิดอุบัติเหตุต่างๆ ที่ทำ ให้ไม่สามารถขยับช่วงล่างได้ หรือที่เกิดความผิดปกติของสมอง เช่น อัมพาต เป็นต้น การดูแลผู้สูงวัยหรือคนไข้ติด เตียงจึงมีความสำคัญมากขึ้น ถ้าหากดูแลไม่ดีจะส่งผลทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เช่น การเกิดแผลกดทับ การติด เชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ความเครียดของผู้ป่วยที่นอนเป็นเวลานานๆ เป็นต้น การดูแลหรือฟื้นฟูผู้ป่วยติดเตียงโดย คนในครอบครัว เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยจำเป็นต้องให้คงสภาพการใช้ชีวิตปกติให้มากที่สุด ให้สามารถ ช่วยเหลือตัวเองพื้นฐานได้ เช่น ผู้ป่วยลุกจากเตียงและเดินเองได้ เข้าห้องน้ำเองได้ ซึ่งหากไม่สามารถลุกจากเตียง
30 หรือเปลี่ยนอิริยาบถ จะทำให้เกิดแผลกดทับ หรือข้อติด รวมถึงความสะอาดในการขับถ่ายของผู้ป่วยบนเตียง หน้าที่ของการดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักเป็นหน้าที่สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยเอง ภาระการดูแลผู้สูอายุ หรือผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องพึ่งพาผู้ดูแลตลอดเวลานั้น เป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย ใช้เวลามาก และก่อให้เกิดความตึง เครียดสูง Smart City แต่ละเมืองมีโจทย์และความต้องการที่แตกต่างกัน บางเมืองให้ความสำคัญกับการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที อินเทอร์เน็ตต้องเร็ว มีการเชื่อมโยง IOT แต่เขาก็ยังเผชิญกับปัญหาพื้นฐาน เช่น รถติด การจราจรเป็นอัมพาต บางเมืองรองบประมาณจากภาครัฐมาพัฒนาด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น เทศบาลตำบลแสน สุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรีที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ Smart City ในการยกระดับคุณภาพชีวิต หรือ Smart Living & Safety 5.3 Smart Living & Safety แนวทางการพัฒนาระบบ Smart Living Platform ภายใต้โครงการนี้ จะมุ่งเน้นให้เกิดระบบ Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อสร้างให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งเสริมผู้ประกอบการที่รวมกันเป็นห่วงโซ่ คุณค่า (Value Chain) ให้สามารถตอบโจทย์ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ Thailand 4.0 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต การดูแลผู้สูงอายุ การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเข้ แข็งทางด้านบริการสุขภาพของประชากรได้อย่างยั่งยืน และเพื่อให้เกิด Elderly Healthcare Service สำหรับ กลุ่มผู้สูงอายุแต่ละประเภทที่อาศยอยู่ที่บ้าน ชุมชนภายใต้การดูแลของเทศบาล และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้ง บ้านพักผู้สูงอายุภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะทำให้เกิดระบบบริการและระบบบริหารจัดการสุขภาพ นอกจากนั้นจะ เป็นการสร้างสภาพแวดล้อม และนวัตกรรมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตในสังคมสูงวัย ในการสร้างโอกาสความเสอมภาค และเท่าเทียมกันทางสังคมในที่สุด โครงการ Smart Living & Safety จะมีอุปกรณ์เกี่ยวกับผู้สูงอายุ และระบบรักษาความปลอดภัยภายใน อาคาร ที่จะเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่สนใจได้เข้าร่วมนำร่องทดสอบการใช้ระบบแพลตฟอร์ม Smart Living & Safety สำหรับ Smart City โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.รายการระบบเกี่ยวกับ Smart Living ได้แก่ 1.1 ระบบติดตามและแจ้งเตือนผู้สูงอายุภายในบ้าน (ผ่านสายรัดข้อมือ) 1.2 ระบบตรวจจับสภาพแวดล้อมและขอความช่วยเหลือภายในบ้าน (ผ่านปุ่มกดไร้สาย 1.3 ชุดวัดสุขภาพพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ 2.รายการระบบเกี่ยวกับ Smart Safety ได้แก่ 2.1 ระบบบริหารจัดการกล้องวงจรปิดอัจฉริยะสำหรับภายในตึกอาคารและที่พักอาศัย 2.2 ระบบตรวจจับและวิเคราะห์สัญญาณวิดีโอเพื่อความปลอดภัย 2.3 ระบบเชื่อมต่อไร้สายความเร็วสูงระยะไกล สำหรับการส่งข้อมูลขนาดใหญ่
31 5.4 Smart Health care การตอบโจทย์Smart Health care เพื่อให้เกิด Smart Living สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุแต่ละประเภทที่อาศัย อยู่ที่บ้าน ชุมชนภายใต้การดูแลของเทศบาล และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้งบ้านพักผู้สูงอายุ ของภาครัฐและ ภาคเอกชน โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ ดังนี้ (คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 2561 : 15-18) 1. ชุดอุปกรณ์อัจฉริยะ (IOT Devices) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แจ้งเตือนเมื่อปุ่มที่ตัวอุปกรณ์ถูกกดขึ้นโดยผู้ใช้งาน ตัวอุปกรณ์จะส่งสัญญาณร้อง ขอความช่วยเหลือไปยังสถานีรับสัญญาณ หรืออาจจะเป็นสมาร์ทโฟนของผู้ใช้งานจากนั้นตัวรับสัญญาณจะทำ หน้าที่ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังเบอร์ที่ถูกกำหนดไว้ โดยอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แจ้งเตือนเมื่อผู้ใช้กดปุ่มที่ตัวอุปกรณ์ เป็นอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนที่สามารถแจ้งเตือนการขอความช่วยเหลือจากผู้ใช้ที่สวมใส่อุปกรณ์ชุด ตรวจจับการร้องขอความช่วยเหลือ ที่ต้องการขอความช่วยเหลือหลังจากการกดปุ่ม แล้วส่งสัญญาณมายัง โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน โดยมีอุปกรณ์ดังนี้ - อุปกรณ์สวมใส่สำหรับขอความช่วยเหลือ วิเคราะห์การเคลื่อนไหวและตรวจจับการล้ม (Smart Wearable Devices) - ชุดอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพพื้นฐานประจำบ้าน (Health Kit Set) - ชุดอุปกรณ์ตรวจจับและแจ้งเตือนความผิดปกติภายในอาคารบ้านเรือน (Home Kit Set) 2. IOT Gateway อุปกรณ์นี้เป็นสถานีรับข้อมูลที่ติดตั้งอยู่ภายในสถานที่ต่างๆ เช่น ในบ้านเรือน ในห้องภายในอาคาร เพื่อทำ หน้าที่รับข้อมูลจากตัวอุปกรณ์ส่งสัญญาณ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นและส่งข้อมูลกลับไปยัง Cloud Server และ สามารถเรียกดูข้อมูลออนไลน์ได้ โดยตัว Gateway จะทำหน้าที่ค้นหาอุปกรณ์ส่งสัญญาณอยู่ตลอดเวลา โดยใช้ เทคโนโลยี Bluetooth 4.0 3. IOT Cloud System โดยมีหน้าที่การทำงานเป็น 4 ส่วนสำคัญต่อไปนี้ - Data Processing & Data Analysis ทำหน้าที่ในการรับข้อมูลจากตัวอุปกรณ์ส่งสัญญาณโดยผ่านมาทาง Gateway ที่มีการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับในกระบวนการการรับส่งข้อมูลนั้นมีการโปรโตคอล MQTT (Message Queue Telemetry Transport) เป็นโปรโตคอลหลักในการรับส่งข้อมูล เมื่อเครื่องแม่ข่ายได้รับ ข้อมูลดังกล่าวแล้วจะเริ่มทำการประมวลผลข้อมูล และบันทึกข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับการประมวลผลแล้วลงยัง ฐานข้อมูลในส่วนชอง Data Storage ต่อไป - Data Storage ทำหน้าที่ในการเก็บบันทึกข้อมูลที่ได้รับมาจากส่วน Data Processing & Data Analysis เพื่อทำการบันทึกข้อมูลทั้งหมดเก็บไว้ยังฐานข้อมูล สำหรับในส่วนของฐานข้อมูลนั้น โดยใช้ฐานข้อมูลในรูปแบบ ของ NOSQL ที่มีความสามารถในการรองรับข้อมูลจำนวนมหาศาลที่จะเกิดขึ้นได้ อีกทั้งสามารถรองรับการขยาย ขนาดและรองรับการทำงานหนักๆ ได้เป็นอย่างดี และด้วยหลักการเก็บข้อมูลเป็นรูปแบบโครงสร้างของ NOSQL นี่เองจะส่งผลให้ระบบสามารถทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ในกรณีที่มีโหลดเข้ามาที่เครื่องแม่ข่ายเป็นจำนวนมาก
32 - Web-Services ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อและให้บริการข้อมูลระหว่างฐานข้อมูล ในส่วนของ Data Storage กับปลายทาง (End Devices) ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Cloud Desktop Application และ Mobile Application - Cloud Desktop Application ทำหน้าที่ในการแสดงผลข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายในโครงข่าย การทำงานของระบบ 4. โปรมแกรม Mobile Application สำหรับผู้ใช้ ผู้ดูแล และเจ้าหน้าที่ 6.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สิริกันยา ปานพวงศรี (2543 : 28-31) ศึกษาการจัดสวัสดิการของภาครัฐแก่ผู้สูงอายุในเขต กรุงเทพมหานคร พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความต้องการด้านต่างๆ ตามลำดับดังนี้ ความต้องการด้านสุขภาพ ลำดับที่ 1 ต้องการความรู้ด้านสุขภาพจากแพทย์พยาบาล ลำดับที่ 2 ต้องการตรวจสุขภาพประจำปีฟรีปีละ 1 ครั้งโดยต้องการคลินิกตรวจรักษาเฉพาะสำหรับ ผู้สูงอายุมากที่สุด ลำดับที่ 3 ต้องการให้รับจัดบริการส่งเสริมสุขภาพฟรี ความต้องการด้านสังคม ลำดับที่ 1 ต้องการสถานที่พักผ่อนและออกกำลังกาย ลำดับที่ 2 ต้องการให้ชุมชนมีหน่วยงานดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ลำดับที่ 3 ต้องการลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ความต้องการด้านจิตใจ ลำดับที่ 1 ต้องการความเคารพนับถือยกย่องจากครอบครัวและสังคม ลำดับที่ 2 ต้องการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา ลำดับที่ 3 ต้องการเข้าร่วมกิจกรรมทางขนบธรรมเนียมประเพณี ความต้องการด้านการเงินและการงาน ลำดับที่ 1 ต้องการให้รัฐจัดหางานให้ ลำดับที่ 2 ต้องการเงินช่วยเหลือสำหรับผู้สูงอายุยากจน ลำดับที่ 3 ต้องการการเกื้อหนุนทางการเงินจากลูกหลาน วิไลวรรณ วัฒนานนท์ (2544) ศึกษา ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุชุมชนบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณา (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา และความต้องการของผู้สูงอายุในชุมชนบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 จำนวนทั้งสิ้น 180 คน โดยกลุ่มตัวอย่างได้จากวิธีการสุ่มแบบชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสัมภาษณ์ซึ่งได้ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน และมีการทดลองใช้เครื่องมือ และ ตรวจสอบความเที่ยงตรงของแบบสัมภาษณ์ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค ได้ค่าสัมประสิทธิ์ ความเที่ยงของแบบสัมภาษณ์ความต้องการของผู้สูงอายุเท่ากับ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูล โดยการแจกแจงความถี่ ร้อย ละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
33 1. ปัญหาด้านสุขภาพและปัญหาด้านสังคมของผู้สูงอายุ ปัญหาด้านสุขภาพ พบว่าเรื่องสภาวะสุขภาพ อนามัยผู้สูงอายุมีอาการเจ็บป่วย และไม่สุขสบาย ร้อยละ 88.9 อาการที่พบมาก คือ ปวดหลังปวดเอว และวิงเวียน ศีรษะ ส่วนโรคประจำตัวและโรคเรื้อรังของผู้สูงอายุพบ ร้อยละ 35 โรคที่พบมากคือ โรคเบาหวานและความดัน โลหิตสูง ปัญหาด้านจิตใจของผู้สูงอายุ พบว่าผู้สูงอายุมีความรู้สึกเหงาและว้าเหว่เป็นบางครั้ง ร้อยละ 58.8 มีความ วิตกกังวลและไม่สบายใจ ร้อยละ 43.3 เรื่องความเสื่อมถอยสมรรถนะผู้สูงอายุมีปัญหาการเคี้ยวอาหาร ร้อยละ 45.6 การมองเห็น ร้อยละ 43.3 และการได้ยิน ร้อยละ 16.1 ส่วนปัญหาด้านสังคมของผู้สูงอายุ พบว่าเรื่อง การศึกษาการแสวงหาความรู้และข้อมูลข่าวสารผู้สูงอายุจบระดับประถมศึกษา ร้อยละ 81.1 ไม่ได้เรียนหนังสือ ร้อยละ 14.5 ไม่เคยเข้าประชุมและอบรมเรื่องใดๆ ร้อยละ 64.4 เรื่องความมั่นคงของรายได้ของผู้สูงอายุไม่มีอาชีพ ร้อยละ 68.3 เรื่องบทบาทและความสัมพันธ์ในชุมชนผู้สูงอายุไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มหรือชมรมใดๆ ร้อยละ 59.4 2. ความต้องการด้านสุขภาพและความต้องการด้านสังคมของผู้สูงอายุ พบว่าความต้องการโดยรวมอยู่ใน ระดับปานกลาง โดยพบว่าความต้องการด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง เรื่องที่พบว่ามีความต้องการมากที่สุด คือ ความต้องการเรื่องสภาวะสุขภาพอนามัย ส่วนความต้องการด้านสังคม พบว่าอยู่ในระดับมาก เรื่องที่พบว่ามี ความต้องการมากที่สุด คือ ความต้องการเรื่องบทบาท และความสัมพันธ์ในครอบครัว ข้อเสนอแนะ ด้านการพยาบาลควรมีการวางแผน และการดำเนินงานเกี่ยวกับผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้ชุมชนและครอบครัวให้ความสำคัญ พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สูงอายุเข้าร่วมกลุ่มและกิจกรรม ของชุมชนทุกด้าน ดำเนินการสนับสนุนช่วยเหลือให้ผู้สูงอายุได้รับบริการด้านสวัสดิการต่างๆ ตามสภาพของปัญหา และความต้องการของผู้สูงอายุควรจัดแผนการศึกษาโดยเน้นการพยาบาลผู้สูงอายุมากขึ้นควรศึกษาวิจัยรูปแบบ การจัดกิจกรรมผู้สูงอายุทำกลุ่มส่งเสริมสุขภาพและกิจกรรมทางสังคมแบบยั่งยืนในชุมชน ทวีศักดิ์ หล้าภูเขียว (2547) ศึกษา การได้รับการดูแลจากครอบครัวของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบล หนองหิน อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการได้รับการดูแลจากครอบครัวของผู้สูงอายุ ใน เขต เทศบาลตำบลหนองหิน อำเภอหนองหิน จังหวัดเลยในด้านต่างๆ 5 ด้าน คือ ด้านที่อยู่อาศัย ด้านเศรษฐกิจใน การดำรงชีวิต ด้านสุขภาพอนามัย ด้านการได้รับความรักและความเอาใจใส่ และด้านการยอมรับและให้ ความสำคัญ เป็นการศึกษาผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ที่มีชีวิต ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาลตำบลหนองหิน อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย จำนวน 235 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS For Windows สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดย การใช้การทดสอบแบบที(T-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุได้รับการดูแลจากครอบครัวในภาพรวม และรายด้าน อยู่ในระดับปานกลาง ผู้สูงอายุที่มีอายุ อาชีพ ระดับ การศึกษาและสถานภาพทางสังคมต่างกัน ได้รับการดูแลจากครอบครัวแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าในอนาคต แต่ละครอบครัวในเขตเทศบาลตำบลหนองหิน อำเภอหนอง หิน จังหวัดเลย ควรให้ความสนใจในการดูแลผู้สูงอายุให้มากขึ้นกว่าเดิม เบ็ญจลักษณ์ อัครพสุชาติ(2550) ศึกษา บทบาทในการดูแลผู้สูงอายุของผู้ดูแลในเขตเทศบาลเมือง อุตรดิตถ์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทในการดูแลผู้สูงอายุของผู้ดูแลในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ และปัญหา ในการดูแลผู้สูงอายุของผู้ดูแลในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มีจำนวน 359 คน ใช้ วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบประเมินค่า 5 ระดับ
34 ที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.86 สถิติที่ใช้ในการคิดวิเคราะห์ข้อมูลคือ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้ดูแลผู้สูงอายุมีบทบาทในการดูแลทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาแต่ละด้าน พบว่าบทบาทที่ กระทำมากเป็นอันดับแรก คือการดูแลด้านสังคม รองลงมา คือการดูแลด้านร่างกาย ด้านอารมณ์และจิตใจ และ การดูแลด้านเศรษฐกิจตามลำดับ 2. ปัญหาในการดูแลผู้สูงอายุของผู้ดูแล พบว่าปัญหา 3 อันดับแรก ในแต่ละด้านมีดังนี้ ด้านร่างกายของ ผู้ดูแล คือผู้ดูแลเกิดอาการเครียด วิตกกังวล รองลงมา คือความดันโลหิตสูง เหนื่อยง่ายและมีเวลาพักผ่อนน้อย ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ คือใจร้อน ฉุนเฉียวง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้รองลงมา คือหงุดหงิด รำคาญ เวลา พูดคุยกันไม่รู้เรื่องและขัดแย้งทางความคิด และเบื่อหน่ายต่อการดูแลผู้สูงอายุเป็นเวลานาน ตามลำดับ ปัญหาด้าน สังคม คือมีภาระงานภายนอกบ้านในการประกอบอาชีพการงานมาก รองลงมา คือมีเวลาอยู่กับผู้สูงอายน้อย และ ขาดการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการส่งเสริมสุขภาพ และเยี่ยมช่วยเหลือในการดูแล ผู้สูงอายุ ตามลำดับ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ คือต้องนำรายได้ไปใช้เพื่อการศึกษาของบุตร ค่าสาธารณูปโภค ค่าผ่อน บ้าน ผ่อนรถ รองลงมา คือบางเดือนรายได้ไม่พอกับการใช้จ่าย และต้องพึ่งบริการของสาธารณสุขและโรงพยาบาล เท่านั้น เมื่อตนเองหรือผู้สูงอายุเจ็บป่วย ไม่สามารถใช้บริการคลินิกแพทย์ ทำให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุ ทางด้าน เศรษฐกิจยังไม่มากเท่าที่ผู้ดูแลต้องการ สิงหา จันทริย์วงษ์ (2551) ศึกษา การพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมสำหรับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชนบทโดย ใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและวิเคราะห์องค์ประกอบเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของ ผู้สูงอายุในชนบท และสังเคราะห์องค์ประกอบคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชนบท เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนา คุณภาพชีวิตโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลางสำหรับเป็นข้อเสนอทางยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ผู้สูงอายุในชนบท โดยใช้กรณีศึกษาจากกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้สูงอายุ ที่มีอายุระหว่าง 60 - 79 ปี ผู้ดูแลใกล้ชิดผู้สูงอายุและผู้นำชุมชน การวิจัยเป็นรูปแบบของการวิจัย ประยุกต์ ใช้เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถามและ การสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชนบทของไทย เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ 2 ประการ คือ 1.1 องค์ประกอบภายใน เป็นผลจากความเสื่อมทางร่างกายที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต และพฤติกรรม ส่วนตัวของสังคม ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีผู้สูงอายุ 1.2 องค์ประกอบภายนอกเกี่ยวข้องกับการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจเพื่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐานในสังคม วัฒนธรรมยุคโลกาภิวัตน์ที่เปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดปัญหาต่อผู้สูงอายุอย่างหลากหลาย นอกจากนี้การศึกษาที่ไม่เท่า เทียม และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยมีความขัดแย้งกับภูมิปัญญาดั้งเดิม ทั้งนี้สิ่งแวดล้อมในอดีตถูกทำลาย โดยระบบทุนนิยมเป็นอุปสรรคสำหรับผู้สูงอายุในชนบทซึ่งพึ่งพาธรรมชาติเพื่อการดำรงชีพ อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุมี โอกาสได้รับพิษภัยจากสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและอ้อม แม้ว่าสวัสดิการจากภาครัฐและเอกชนมีบทบาทสำคัญใน การช่วยเหลือผู้สูงอายุในรูปแบบที่หลากหลายและสวัสดิการดังกล่าวมีจำนวนจำกัดและยังไม่ครอบคลุมผู้สูงอายุที่ อาศัยอยู่ในชนบท
35 2. การสร้างรูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชนบทโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง เป็นข้อเสนอ เชิงยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชนบท ซึ่งได้จากการสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับผู้สูงอายุใน ชนบททุกด้านเป็นฐานข้อมูล ได้รูปแบบซึ่งประกอบด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนา 5 ด้าน คือ การเตรียมความพร้อม การส่งเสริมโดยครอบครัว ระบบคุ้มครองสวัสดิการโดยครอบครัว การพัฒนาบุคลากรด้านครอบครัว การจัดการ ความรู้และการวิจัยโดยครอบครัว ซึ่งรูปแบบดังกล่าวได้รับการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญด้าน ผู้สูงอายุและครอบครัว รวมทั้งได้รับการยอมรับและความพึงพอใจจากกลุ่มผู้สูงอายุผู้ดูแลใกล้ชิดผู้สูงอายุและผู้นำ ชุมชน อยู่ในเกณฑ์ดี(ร้อยละ 93.78) สรุปโดยภาพรวม รูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชนบทโดยใช้ครอบครัว เป็นศูนย์กลาง เป็นการวิจัยที่มุ่งแสวงหาองค์ความรู้เกี่ยวกับผู้สูงอายุโดยเฉพาะในชนบท เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของผู้สูงอายุให้ดำรงคุณค่าแห่งปูชนียบุคคลของสังคมอย่างยั่งยืนสืบไป ธีรพัฒน์ ดีแก้ว (2551) ศึกษา ปัญหาและความต้องการด้านสุขภาพและสวัสดิการของผู้สูงอายุในเขต เทศบาลตำบลบุญเรือง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัญหาและความต้องการด้าน สุขภาพและสวัสดิการของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลบุญเรืองจำนวน 276 ราย และเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ (Ferquency) และค่าร้อย ละ (Percentage) ผลการศึกษาพบว่า 1. ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชายอายุ 60 ปีขึ้นไป สถานภาพสมรส นับถือศาสนาพุทธ ไม่มี อาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่ได้เรียนและอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ไม่มีข้อมูลรายได้ส่วนบุคคลต่อเดือน ไม่มีข้อมูล รายได้ครอบครัวต่อเดือน ไม่มีข้อมูลที่มาของรายได้บุตรหลานที่เป็นผู้เลี้ยงดูหลัก 2. ปัญหาด้านสุขภาพร่างกาย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นปัญหาการขาดการออกกำลังกาย มีโรคประจำตัว เพิ่มขึ้น ปัญหาด้านการมองเห็นหรือปัญหาทางสายตา ไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพจากบุตรหลานรับประทาน อาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่ได้รับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย ไม่มีสถานที่ออกกำลังกายเป็นประจำไม่มี การพบปะรวมกลุ่มทำกิจกรรมกับผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกันหรือใกล้เคียง 3. ความต้องการด้านสุขภาพและสวัสดิการ พบว่า ส่วนใหญ่ต้องการให้มีการจัดบริการหรือประสาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คำแนะนำปรึกษาหรือให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ และโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ผู้สูงอายุอย่าง น้อยปีละ 1 ครั้ง ต้องการให้มีการจัดหาบุคลากรให้ความรู้และประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพให้ผู้สูงอายุ ต้องการให้มี การจัดสถานที่ออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ ต้องการให้มีการจัดทำแผนพัฒนาผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ต้องการจัดให้มีการลดหย่อนภาษีเฉพาะผู้สูงอายุ และต้องการให้รัฐจัดให้มีการจัดหางานที่ผู้สูงอายุ สามารถทำได้ สุรพล ชยภพ (2552) ศึกษา การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จังหวัด นครราชสีมา ประวัติความเป็นมาของวัฒนธรรมการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนทั้งสามแห่ง พบว่ามีวัฒนธรรมการดูแล ผู้สูงอายุ มิติเวลา 4 ยุค คือยุคก่อตั้งชุมชน ยุคชุมชน ยุคสถานีอนามัยและยุคพัฒนา ซึ่งลักษณะการดูแลผู้สูงอายุ ทั้ง 4 ยุค มีลักษณะร่วมกัน คือยุคก่อตั้งชุมชนและยุคชุมชนผู้สูงอายุพึ่งตนเองและเครือญาติกับพึ่งพาธรรมชาติ ดูแลสุขภาพด้วยยาสมุนไพร ยุคสถานีอนามัยและยุคพัฒนาผู้สูงอายุพึ่งตนเองและรัฐ มีลักษณะวัฒนธรรมการดูแล
36 ผู้สูงอายุแตกต่างกัน คือยุคพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุแบบมีข้อขัดแย้ง บุตรหลานทอดทิ้งผู้สูงอายุและพึ่งพารัฐ สวัสดิการที่ให้การสงเคราะห์ไม่ทั่วถึง สภาพการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุในปัจจุบัน พบว่า ผู้สูงอายุมีการดำรงชีวิตแตกต่างกันหลายด้าน ในด้าน การศึกษาเป็นการศึกษาตามแบบอัธยาศัย คือผู้สูงอายุส่วนใหญ่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้านเศรษฐกิจ ผู้สูงอายุจำนวนมากพึ่งเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและรัฐสวัสดิการไม่ได้เตรียมตัวเพื่อการออมไว้ใช้ในอนาคตข้างหน้า แต่ผลการศึกษาสภาพการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุฐานะร่ำรวย เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตไม่มีปัญหาเศรษฐกิจ ผู้สูงอายุฐานะปานกลางมีความเป็นอยู่แบบพออยู่พอกิน และผู้สูงอายุฐานะยากจนมีความต้องการพึ่งพาสวัสดิการ จากเบี้ยยังชีพคนชราแต่ผู้สูงอายุบางคนไม่ได้รับสวัสดิการจากรัฐอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ผู้สูงอายุมีการจัดตั้งกลุ่ม เป็นชมรมผู้สูงอายุตามนโยบายรัฐ แต่การดำเนินงานไม่ชัดเจน และในสภาพด้านจิตใจปัจจุบันผู้สูงอายุจำนวนมาก ห่างเหินพุทธศาสนา เนื่องจากดิ้นรนเพื่อให้มีรายได้และเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด และในด้านการสื่อสาร พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ใช้สื่อโทรศัพท์พูดคุยกับบุตรหลานและญาติพี่น้อง นอกจากนี้พบว่า ผู้สูงอายุมีปัญหาไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต การเข้าไม่ ถึงการบริการสุขภาพ ด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับรายได้ไม่เพียงพอ มีหนี้สิน ด้านสังคมผู้สูงอายุทุกทอดทิ้ง และปัญหา สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย จากปัญหาที่เกิดขึ้นมีการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุ ที่ไม่ถูกทอดทิ้งมี รูปแบบการดูแลจากครอบครัวและญาติพี่น้อง แต่ผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งพบรูปแบบการดูแลแบบพึ่งตนเอง และพึ่ง รัฐสวัสดิการ ส่วนการดูแลในด้านสุขภาพเน้นการมีส่วนร่วมระหว่างบุคคลในครอบครัว คนในชุมชน เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรเอกชน นอกจากนี้การดูแลผู้สูงอายุด้านจิตใจต้องใช้หลักจิตวิทยามีรูปแบบให้การยอมรับนับถือจาก บุคคลในชุมชนและคนในครอบครัวตนเอง และการดูแลผู้สูงอายุในด้านเศรษฐกิจมีรูปแบบการสร้างหลักประกัน รายได้ส่งเสริมการออมเพื่อใช้จ่ายในยามชราภาพ จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอาชีพแก่ผู้สูงอายุและจัดเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุ ฐานะยากจน และพบว่าการดูแลผู้สูงอายุมีการรวมกลุ่มแบบนันทนาการจัดกิจกรรมวันครอบครัว วันสำคัญตาม ประเพณีวันพ่อและวันแม่ผลการศึกษารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบมีส่วนร่วมพบว่าการมีส่วนร่วมเกิดจากรัฐกับ ชุมชน ชุมชนกับคนในชุมชน ครอบครัวและเครือญาติ และการมีส่วนร่วมจากผู้สูงอายุด้วยกันเอง โดยสรุปรูปแบบที่เหมาะสมในการดูแลผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง คือรูปแบบการดูแล ผู้สูงอายุเกิดจากทุนทางสังคมแบบพหุภาคีโดยเกิดจากทุนทางสังคมปัจจัยภายในจากคนในครอบครัว คนในชุมชน มีปฏิสัมพันธ์กับทุนทางสังคมที่เกิดจากปัจจัยภายนอก คือรัฐองค์กรเอกชนประสานความร่วมมือซึ่งกันและกันเป็น เครือข่ายดูแลผู้สูงอายุแบบพหุภาคี ลัดดา บุญเกิด (2557) ศึกษา ความต้องการด้านสวัสดิการของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการด้านสวัสดิการของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลเกาะจันทร์ อำเภอเกาะจันทร์จังหวัดชลบุรีและเพื่อเปรียบเทียบความต้องการด้านสวัสดิการของผู้สูงอายุในเขตเทศบาล ตำบลเกาะจันทร์อำเภอเกาะจันทร์จังหวัดชลบุรีจำแนกตามครั้งนี้คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปในเขต เทศบาลตำบลเกาะจันทร์อำเภอเกาะจันทร์จังหวัดชลบุรีจำนวน 184 คน โดยผู้วิจัยใช้เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถาม (Questionnaire) สำรวจรายการ (Check List) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุสถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้และที่พักอาศัย แบบสอบถามเพศ อายุสถานภาพ ระดับ การศึกษา อาชีพ รายได้และลักษณะที่พักอาศัย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเกี่ยวกับความต้องการด้านสวัสดิการของ
37 ผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลเกาะจันทร์อำเภอเกาะจันทร์จังหวัดชลบุรีโดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ส่วนเบนเบนมาตรฐาน (SD) และทดสอบใช้ค่าสถิติ T-test และ One-Way ANOVA ผลการศึกษาพบว่า โดยภาพรวมผู้สูงอายุมีความต้องการด้านสวัสดิการอยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์ตาม รายด้าน พบว่า ด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุมีความต้องการอยู่ในระดับมาก โดยให้ความสำคัญเป็น อันดับที่ 1 ด้านการสร้างบริการและเครือข่ายการเกื้อหนุน ผู้สูงอายุมีความต้องการอยู่ในระดับมาก โดยให้ ความสำคัญเป็นอันดับที่ 2 ด้านความมั่นคงทางสังคม ครอบครัว ผู้ดูแล และการคุ้มครอง ผู้สูงอายุมีความต้องการ อยู่ในระดับมาก โดยให้ความสำคัญเป็นอันดับที่ 3 ด้านรายได้ผู้สูงอายุมีความต้องการอยู่ในระดับมาก โดยให้ ความสำคัญเป็นอันดับที่ 4 ด้านนันทนาการผู้สูงอายุมีความต้องการอยู่ในระดับมาก โดยให้ความสำคัญเป็น อันดับที่5 ด้านที่พักอาศัยผู้สูงอายุมีความต้องการอยู่ในระดับมาก โดยให้ความสำคัญเป็นอันดับที่ 6 และผลการ เปรียบเทียบความต้องการด้านสวัสดิการของผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุที่มีสถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ลักษณะ ที่อยู่อาพักอาศัยต่างกัน มีความต้องการด้านสวัสดิการของผู้สูงอายุไม่แตกต่างกัน แต่ผู้สูงอายุที่มีเพศ อายุอาชีพ รายได้ต่างกัน มีความต้องการด้านสวัสดิการของผู้สูงอายุแตกต่างกัน อย่างในสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ธวัลดา สุทัศน์ (2559) ศึกษา ศึกษาบทบาทองค์การบริหารส่วนตำบลในการดูแลผู้สูงอายุตามการรับรู้ของ ผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทองค์การ บริหารส่วนตำบลในการดูแลผู้สูงอายุตามการรับรู้ของผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัด อุทัยธานีผลการศึกษาพบว่า 1. บทบาทองค์การบริหารส่วนตำบลในการดูแลผู้สูงอายุตามการรับรู้ของผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานีโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านที่มี บทบาทสูงที่สุด ได้แก่ด้านสุขภาพอนามัย รองลงมาด้านสวัสดิการ ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม ตามลำดับ 2. ปัญหาของผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานีพบว่าส่วนใหญ่มี ปัญหาสุขภาพเสื่อมโทรม ปัญหารายได้ไม่เพียงพอสำหรับเลี้ยงชีพ ปัญหาไม่มีลูกหลานดูแลอุปการะเลี้ยงดูและ ความต้องการของผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานีพบว่าส่วนใหญ่มีความ ต้องการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ต้องการมีผู้ช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด และมีความต้องการได้รับความ สนใจจากผู้อื่น 3. ผลการทดสอบสมมุติฐาน พบว่าบทบาทองค์การบริหารส่วนตำบลในการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบล หนองไผ่ อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานีแตกต่างกันตามเพศ อายุอาชีพ และบทบาทองค์การบริหารส่วน ตำบลในการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลหนองไผ่อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานีไม่แตกต่างกันตามระดับ การศึกษา และลักษณะการอยู่ร่วมกัน กาญจนา พิบูลย์, พวงทอง อินใจ, มยุรี พิทักษ์ศิลป์และพิสิษฐ์ พิริยาพรรณ (2559) ศึกษา ความต้องการ ในการจัดบริการการดูแลผู้สูงอายุแบบไปกลับ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เพื่อศึกษาความต้องการพื้นฐานในการจัดบริการการดูแลผู้สูงอายุแบบไปกลับ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้ ที่มารับบริการ ณ แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพาจำนวน 384 คน โดยการสุ่มอย่างง่ายจาก
38 รายชื่อผู้เข้ารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ พรรณนา ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าสถานบริการแบบไปกลับควรมีห้องพักผ่อนหรือดูทีวี ส่วนกลาง มีห้องทำกิจกรรมทางศาสนา มีห้องหรือพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน มีบริเวณที่เป็นสนาม หญ้าหรือสวนหย่อมเพื่อใช้ในการพักผ่อน มีพื้นที่สำหรับการออกกำลังกายทั้งในร่มและการแจ้ง ร้อยละ 92.2, 88.8, 79.9, 75, 74.5 และ 73.4 ตามลำดับ สำหรับความต้องการด้านบริการพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่า สถานบริการดูแลผู้สูงอายุแบบไปกลับควรมีกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพหรือกิจกรรมการให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ ผู้สูงอายุ มีบริการรถรับส่งกรณีอุบัติเหตุฉุกเฉิน มีกิจกรรมตรวจสุขภาพฟันให้ผู้สูงอายุปีละ 2 ครั้ง มีการจัดเตรียม อาหารกลางวันและอาหารว่างให้ผู้สูงอายุ มีกิจกรรมตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้ผู้สูงอายุเดือนละ 1 ครั้ง มีกิจกรรม นันทนาการให้แก่ผู้สูงอายุ และมีบริการรถรับส่งที่บ้าน ร้อยละ 93.5, 93.0, 91,9, 91.7, 89.6, 84.1 และ 81.3 ตามลำดับ นอกจากนี้ร้อยละ 76.6 กลุ่มตัวอย่างมีความต้องการให้มีสถานบริการดูแลผู้สูงอายุแบบไปกลับในชุมชน ร้อยละ 74.2 มีความสนใจไปใช้บริการสถานบริการดูแลผู้สูงอายุแบบไปกลับ และคิดว่าถ้ามีสถานบริการดูแล ผู้สูงอายุแบบไปกลับในชุมชนมีประโยชน์มากต่อกลุ่มตัวอย่างถึง ร้อยละ 93.8 ดังนั้นการพัฒนารูปแบบบริการ สำหรับผู้สูงอายุแบบไปกลับนั้นควรพิจารณาถึงความต้องการของประชาชนในชุมชนผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะ ส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการพัฒนารูปแบบการดูแลที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุต่อไป 7.กรอบแนวคิดการวิจัย จากการทบทวนแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้วิจัยนำสาระสำคัญเพื่อ กำหนดเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย ดังนี้ ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย ปัจจัยบุคคล - เพศ - อายุ - ระดับการศึกษา - สภาพที่อยู่อาศัย - รายได้ - แหล่งที่มาของรายได้ - ความเพียงพอของรายได้ -สุขภาพ ความต้องการในโครงการสมาร์ซิตี้ ด้านการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ ในเขตเทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี 1.ความต้องการขั้นพื้นฐาน - การดูแลรักษาสุขภาพ - ความรู้ด้านสุขภาพ - การตรวจสุขภาพ 2.ความต้องการขั้นสูง - การจัดบริการส่งเสริมสุขภาพ
39 ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ตัวแปรอิสระ คือ ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา สภาพที่อยู่อาศัย รายได้ แหล่งที่มา ของรายได้ ความเพียงพอของรายได้ และสุขภาพ ตัวแปรตาม คือ ความต้องการด้านการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี จำนวน 2 ด้าน ประกอบด้วย ความต้องการขั้นพื้นฐาน และความต้องการขั้นสูง
40 บทที่ 3 วิธีดำเนินการ รายงานผลการจัดกิจกรรมตามโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ ได้นำวงจร คุณภาพของเดมิ่ง PDCA มาใช้ในการดำเนินการ 4 ขั้นตอนดังนี้ 1. ขั้นตอนการร่วมกันวางแผน (Plan) 2. ขั้นตอนการร่วมกันปฏิบัติ ( Do) 3. ขั้นตอนการ่วมกันประเมิน ( Check ) 4. ขั้นตอนการร่วมปรับปรุง ( Act) 1. ขั้นตอนการร่วมกันวางแผน (Plan) ขั้นตอนนี้เป็นการวางแผนการดำเนินการโดยมีขั้นตอน ดังนี้ - สำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงานการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย - เขียนแผนเพื่อขออนุมัติในการจัดโครงการ - ประสานวิทยากรจัดกิจกรรม - แต่งตั้งคณะทำงาน - ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดโครงการยุทธศาสตร์ และจุดเน้นการดำเนินงานการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย - จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ 2. ขั้นตอนการร่วมกันปฏิบัติ ( Do) การปฏิบัติงานตามแผนงานที่วางไว้โดยมีขั้นตอนในการดำเนินงาน ดังนี้ - ดำเนินการตามแผนการจัดกิจกรรมตามโครงการ - นำกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรม วันที่ 27 ธันวาคม 2566 เวลา 08.30 – 16.30 น. สถานที่จัดกิจกรรม ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหัวกุญแจ ม.1 ตำบลคลองกิ่ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรีมีผู้เรียน จำนวน 23คน โดยมีนายสิรวัชร์ เหลืองปัญญากุล เป็นวิทยากรให้ความรู้ 3. ขั้นตอนการร่วมกันประเมิน ( Check ) - การสังเกตพฤติกรรม การฝึกปฏิบัติของกลุ่มเป้าหมาย - ครูแจกแบบสอบถามแก่ประชาชนประเมินความพึงพอใจในการเข้าร่วมกิจกรรม - ข้อมูลที่เป็นมาตราส่วนประมาณค่า ( Rating Scale ) ใช้วิธีแจกแจงความถี่ หาค่าเฉลี่ย (X) และค่าร้อย ละ ทั้งในรายข้อและภาพรวมเทียบกับเกณฑ์ ดังนี้ 4.51-5.00 หมายถึง มีความเหมาะสม/การปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 3.51-4.50 หมายถึง มีความเหมาะสม/การปฏิบัติอยู่ในระดับมาก 2.51-3.50 หมายถึง มีความเหมาะสม/การปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง 1.51-2.50 หมายถึง มีความเหมาะสม/การปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย 1.00-1.50 หมายถึง มีความเหมาะสม/การปฏิบัติอยู่ในระดับน้อยที่สุด
41 -ข้อมูลที่เป็นความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากแบบบันทึกกิจกรรม ใช้วิธี วิเคราะห์เนื้อเรื่อง ( Content Analysis ) - สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ค่าเฉลี่ย (Arithmetic: X ) 2. ค่าร้อยละ - รายงานผลการดำเนินงานต่อผู้บริหารและบุคลากรศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอบ้านบึง 4. ขั้นตอนการร่วมปรับปรุง ( Act) - จัดให้มีระบบติดตามหลังจากการเข้าร่วมกิจกรรม - ทบทวนและกำหนดแนวทางในการจัดกิจกรรม
42 บทที่ 4 ผลการดำเนินการและวิเคราะห์ข้อมูล ผลการจัดกิจกรรมตาม โครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ สามารถสรุป ตามขั้นตอนในการดำเนินงาน ดังนี้ ขั้นตอนการร่วมกันวางแผน (Plan) ขั้นตอนนี้เป็นการวางแผนการดำเนินการโดยมีขั้นตอน พบว่า การประชุมปรึกษาร่วมกันระหว่างหัวหน้างาน/ หัวหน้ากลุ่มสาระฯ แล้วขยายผลสู่คณะครูทุกคนได้รับความร่วมมือและสนับสนุนการทำโครงการเป็นอย่างดี และนำเสนอผู้บริหารเพื่อพิจารณาเห็นชอบโครงการได้รับการอนุมัติโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการจึงได้ดำเนินการ แต่งตั้งคณะกรรมการผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมแต่ละงานแต่กิจกรรมตามความเหมาะสม แล้วสร้างความ เข้าใจกับผู้เข้าร่วมโครงการเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการ ติดต่อประสานงานเตรียมความพร้อม ทั้งด้าน สถานที่ และกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการ และวิธีประเมินผล ตามลำดับ ขั้นตอนการร่วมกันปฏิบัติ ( Do) การปฏิบัติงานตามแผนงานที่วางไว้โดยมีขั้นตอนในการดำเนินงาน คือ การบันทึกเสนอผู้บริหารเพื่อขอ อนุญาตดำเนินการ พบว่า ได้รับการอนุญาตและให้ดำเนินการ และผลการดำเนินการตาม โครงการส่งเสริมพัฒนา ทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนตำบลคลองกิ่ว จำนวน 8 คน ตำบล หนองชาก จำนวน 5 คน ตำบลหนองไผ่แก้ว จำนวน 5 คนและตำบลหนองอิรุณ จำนวน 5 คน พบว่า กิจกรรมการ เรียนรู้และการทำยาหม่องสมุนไพร ผู้เข้าร่วมโครงการให้ความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมด้วยดี ผู้เข้าร่วมโครงการ ให้ความสนใจในเรื่องการยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองและ“สุขภาพดี 4 มิติ”(Healthy Society) ขั้นตอนการ่วมกันประเมิน ( Check ) การประเมินผลการจัดกิจกรรมตามโครงการเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียง โดยใช้แบบสอบถามความคิดเห็น พบว่าวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (̅) และค่าร้อยละ จากแบบสอบถาม โดยแปลความหมายดังต่อไปนี้ 4.51 - 5.00 หมายความว่า ระดับความคิดเห็น ในระดับ มากที่สุด 3.51 – 4.50 หมายความว่า ระดับความคิดเห็น ในระดับ มาก 2.51 - 3.50 หมายความว่า ระดับความคิดเห็น ในระดับ ปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายความว่า ระดับความคิดเห็น ในระดับ พอใช้ 1.00 - 1.50 หมายความว่า ระดับความคิดเห็น ในระดับ ปรับปรุง
43 วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมิน ได้ผลการประเมิน ดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละเฉลี่ยความสำเร็จของตัวชี้วัดผลลัพธ์ ดังปรากฏตาม ตารางที่ 1 ดังต่อไปนี้ รายการประเมิน ระดับคุณภาพ การบรรลุ เป้าหมาย ค่าเฉลี่ย 2.7 ร้อยละ เฉลี่ย ปรับ ปรุง พอใช้ ดี ดีมาก ตอนที่ 1ความพึงพอใจด้านเนื้อหา 1.เนื้อหาตรงตามความต้องการ 97.39 3.90 2.เนื้อหาเพียงพอต่อความต้องการ 95.65 3.83 3.เนื้อหาปัจจุบันทันสมัย 93.91 3.76 4.เนื้อหามีประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต 99.13 3.97 ตอนที่ 2 ความพึงพอใจด้านกระบวนการจัดกิจกรรม/การอบรม 5.การเตรียมความพร้อมก่อนอบรม 80.00 3.20 6.การออกแบบกิจกรรมเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ 97.39 3.90 7.การจัดกิจกรรมเหมาะสมกับเวลา 95.65 3.83 8.การจัดกิจกรรมเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย 98.26 3.93 9.วิธีการวัดผล/ประเมินผลเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ 98.26 3.93 ตอนที่3 ความพึงพอใจต่อวิทยากร 10.วิทยากรมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่ถ่ายทอด 97.39 3.90 11.วิทยากรมีเทคนิคการถ่ายทอดใช้สื่อเหมาะสม 97.39 3.90 12.วิทยากรเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมและซักถาม 97.39 3.90 ตอนที่ 4 ความพึงพอใจด้านการอำนวยความสะดวก 13.สถานที่ วัสดุ อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก 97.39 3.90 14.การสื่อสาร การสร้างบรรยากาศเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ 98.26 3.93 15.การบริการ การช่วยเหลือและการแก้ปัญหา 95.65 3.83 เฉลี่ยรวม 95.94 3.84
44 จากตารางที่ 1 พบว่าผลสำเร็จของตัวชี้วัดกิจกรรมด้านตัวชี้วัดผลลัพธ์ มีระดับคุณภาพ “ดีมาก” โดยค่าเฉลี่ยร้อยละของภาพรวมการดำเนินโครงการถือว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับ “ดีมาก” โดยมีค่าเฉลี่ยร้อยละ เท่ากับ 95.94 ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในกิจกรรมตัวชี้วัดด้านผู้เข้าร่วมกิจกรรม มีความพึงพอใจ ในกิจกรรมอย่างน้อยร้อยละ 80 ในส่วนของผลการดำเนินโครงการ “บรรลุเป้าหมาย”โดยมีค่าเฉลี่ยการบรรลุ เป้าหมายเท่ากับ 3.84 ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยการบรรลุเป้าหมายขั้นต่ำที่กำหนดคือ 2.75 ขั้นตอนการร่วมปรับปรุง ( Act) เมื่อประเมินผลแล้วจึงได้จัดทำสรุปผลการดำเนินงาน ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะกลุ่มงาน ผู้รับผิดชอบและได้นำสารสนเทศที่ได้นำเสนอต่อผู้บริหารและเผยแพร่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับทราบและนำผล การดำเนินงานมาปรับปรุงพัฒนาการงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
45 บทที่ 5 สรุปผล และข้อเสนอแนะ ผลการจัดกิจกรรม ตามโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ ได้ผลสรุปดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ 2. เป้าหมาย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. สรุปผลการดำเนินการ 6. ข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์( ตามที่เขียนในโครงการ) 1. เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้และความพร้อมด้านการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี 2. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เป้าหมาย เชิงปริมาณ ผู้สูงอายุและประชาชนทั่วไป จำนวน 23 คน 1. ตำบลคลองกิ่ว จำนวน 8 คน 2. ตำบลหนองชาก จำนวน 5 คน 3. ตำบลหนองไผ่แก้ว จำนวน 5 คน 4. ตำบลหนองอิรุณ จำนวน 5 คน เชิงคุณภาพ ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้และความพร้อมด้านการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีและสามารถ นำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในครั้งนี้ - แบบสอบถามความผู้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ การเก็บรวบรวมข้อมูล มีขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ - ผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรมแจกแบบสอบถามโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติ สุขภาพ ได้ดำเนินการจัดโครงการต่าง ๆ ตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ 2567 ภายใต้โครงการส่งเสริม พัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ โดยดำเนินการแล้วเสร็จและสรุปรายงานต่อผู้บริหาร สรุปโดยภาพรวม พบว่า การจัดโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุ ในด้านมิติสุขภาพ กิจกรรมสำเร็จลุล่วงด้วยดีจากการ สอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการในแต่ละกิจกรรมโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก และผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถนำความรู้และแนวปฏิบัติ ไปเผยแพร่และพัฒนาชุมชนต่อไป
46 ปัญหา/ข้อเสนอแนะ 1.ผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจส่วนใหญ่อยากให้จัดกิจกรรมแบบนี้อีก 2.กิจกรรมในครั้งต่อไปต้องมีความหลากหลาย เพื่อผู้เข้าร่วมโครงการสามารถพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ได้ ภาพกิจกรรม
47