รายงานผลการดำเนินงาน โครงการสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วันที่ 28 มกราคม 2565 ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดชลบุรี
-กบทสรุปผู้บริหาร โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบล สัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 28 มกราคม 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นการเพิ่มศักยภาพของประชาชน ในชุมชน ให้เกิดความรู้ ความชำนาญ เกิดความตระหนักถึงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้กับประชาชนในอำเภอสัตหีบ ทั้ง 5 ตำบล ได้แก่ตำบลสัตหีบ ตำบลนาจอมเทียน ตำบล พลูตาหลวง ตำบล บางเสร่ และตำบลแสมสาร โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 16 คน โดยมี เรือโทเจริญพงษ์ ผิวทน เป็นวิทยากร ทททททผลการดำเนินงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผลปรากฏอยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการต่อการเข้าร่วมกิจกรรม เป็น อันดับที่ 1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ และเทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและ เหมาะสมกับกิจกรรม การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถคิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น,สื่อ/เอกสาร ประกอบการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับ ความต้องการของผู้รับบริการผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำหลักสูตร และสถานที่ใน การจัดกิจกรรมเหมาะสม ตามลำดับ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องของประวัติศาสตร์ ชาติไทย สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ส่งเสริมคุณธรรม และสร้างจิตสำนึกความเป็นไทยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นชาติ เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นไทยจาก ประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสในการเรียนรู้และสร้างจิตสำนึก รักชาติ และสำนึกในพระมหา กรุณาธิคุณ ในบุญคุณพระมหากษัตริย์ไทยและนำผลที่ได้ขยายไปสู่ชุมชนและสังคมได้เพราะผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งหมดมีจิตใจรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และมีความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและต้องการจะตอบแทน บุญคุณของแผ่นดินที่ได้เกิดมาในผืนดินแผ่นไทย ทั้งนี้เป็นเพราะได้วิทยากรที่มีความรู้ มีกระบวนการในการจัด กิจกรรมที่ดีทำให้โครงการประสบความสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ทท
-ขคำนำ จากการที่ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ได้จัดทำ โครงการ เสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 28 มกราคม 2565 เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นการเพิ่มศักยภาพของประชาชนในชุมชน ให้เกิดความรู้ ความชำนาญ เกิด ความตระหนักถึงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทททกศน.อำเภอสัตหีบ ทั้ง 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลสัตหีบ ตำบลนาจอมเทียน ตำบลพลูตาหลวง ตำบลบาง เสร่ และตำบลแสมสาร จึงจัดโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อตอบสนองต่อ นโยบายของสำนักงาน กศน. เพื่อเป็นการพัฒนาประชาชนให้มีคุณลักษณะดังกล่าว และสามารถนำความรู้ที่ได้รับ ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้จริง โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี ซึ่งรายละเอียดผลการ ดำเนินงานต่างๆ ตลอดจนปัญหาและอุปสรรค ได้สรุปไว้แล้ว เพื่อรวบรวมกระบวนการดำเนินงาน ผลที่ได้นำไปใช้ ตลอดจนการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพวิถีชีวิต และการตอบสนองความต้องการของผู้เข้ารับการฝึกอบรม สุดท้ายคือ การนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริงและสามารถแนะนำผู้อื่นได้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่าง ต่อเนื่อง กศน.อำเภอสัตหีบ มกราคม 2565
-คสารบัญ หน้า บทสรุปผู้บริหาร.............................................................................................................. ............................ก คำนำ................................................................................................. ..........................................................ข สารบัญ....................................................................................................................... .................................ค สารบัญตาราง..............................................................................................................................................ง บทที่ 1 บทนำ.........................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญ......................................................................................................1 วัตถุประสงค์...............................................................................................................................1 เป้าหมาย....................................................................................................................................1 ระยะเวลาดำเนินงาน..................................................................................................................1 ผลลัพธ์.......................................................................................................................................1 ดัชนีวัดผลสำเร็จของโครงการ.....................................................................................................2 นิยามศัพท์เฉพาะ.......................................................................................................................2 บทที่ 2 เอกสารการศึกษาและรายงานที่เกี่ยวข้อง.................................................................................3 ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ............3 แนวทาง/กลยุทธ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของ กศน.อำเภอสัตหีบ.......................................................................................................................6 หลักการพัฒนาสังคมและชุมชน......................................................................................................................................10 ประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย........................................................11 เอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง .......................................................................................................17 บทที่ 3 วิธีดำเนินงาน .............................................................................................................................18 ประชุมบุคลากรกรรมการสถานศึกษา.........................................................................................18 แต่งตั้งคณะทำงาน......................................................................................................................18 ดำเนินงานตามแผน ....................................................................................................................18 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการดำเนินงาน..............................................................................................18 เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน...................................................................................................18
-คสารบัญ(ต่อ) หน้า การเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................................................18 การวิเคราะห์ข้อมูล.....................................................................................................................19 บทที่ 4 ผลการดำเนินงานและการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................20 ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัวผู้แบบสอบถามของผู้เข้ารับการอบรมในโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์...........................................................................20 ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์...................................................................................................22 บทที่ 5 สรุปผลการประเมิน อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ..................................................................24 สรุปผลการดำเนินงาน ................................................................................................................24 อภิปรายผล.................................................................................................................................24 ข้อเสนอแนะ...............................................................................................................................25 บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก
-งสารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจำแนกตามเพศ..................................................20 2 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจำแนกตามอายุ..................................................20 3 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจำแนกตามอาชีพ ...............................................21 4 ผลการประเมินโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์......................22
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ ททททททททโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นโครงการส่งเสริมจิตสำนึกใน ความรักชาติ การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมกับน้อมระลึกถึงพระมหา กรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรมตามหลักศาสนา การส่งเสริมความ รัก ความสามัคคี การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ นำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติต่อไป ดังนั้น กศน.อำเภอสัตหีบ จึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อให้เข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย และบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทยและมีจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่ดี ในระบอบประชาธิปไตย ตระหนักถึงความ รักชาติไทย และบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทยเป็นพลเมืองที่ดีใน ระบอบประชาธิปไตย ต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. เพื่อเพิ่มศักยภาพของประชาชนในชุมชน ให้เกิดความรู้ ความชำนาญ เกิดความตระหนักถึงความ รักชาติไทย และความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป้าหมาย ด้านปริมาณ ประชาชน กศน.อำเภอสัตหีบ จำนวน 16 คน ด้านคุณภาพ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นการเพิ่มศักยภาพของประชาชนในชุมชน ให้เกิดความรู้ ความชำนาญ เกิดความตระหนัก ถึงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ระยะเวลาดำเนินงาน ททททททททททวันที่ 28 มกราคม 2565 ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ผลลัพธ์ ททททผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของประชาชนในชุมชน ให้เกิดความรู้ ความชำนาญ เกิดความตระหนักถึงความรักชาติไทย และความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ดัชนีวัดผลและความสำเร็จของโครงการ 1. ตัวชี้วัดผลผลิต ทททททททท - มีผู้เข้าร่วมโครงการ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของกลุ่มเป้าหมาย - ผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในระดับดีขึ้นไปไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2. ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ผู้เข้าร่วมโครงการร้อยละ 80 สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นิยามศัพท์เฉพาะ อุดมการณ์ หมายถึง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ให้บทนิยามคำ อุดมการณ์ไว้ว่า อุดมคติอันสูงส่งที่จูงใจมนุษย์ให้พยายามบรรลุถึง และให้บทนิยามคำ อุดมคติว่า จินตนาการที่ถือว่าเป็น มาตรฐานแห่งความดีความงาม และความจริงทางใดทางหนึ่งที่มนุษย์ถือว่าเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตตน จะเห็นได้ว่า สองคำนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ชาติ หมายถึง แผ่นดินที่มีประชาชนยึดครอง มีอาณาเขตที่แน่นอน มีการปกครองเป็นสัดส่วน มีผู้นำเป็น ผู้ปกครองประเทศและประชาชนทั้งหมด ด้วยกฎหมายที่ประชาชนในชาตินั้นกำหนดขึ้น เช่น ประเทศไทย มีการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติของตนเอง สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ เป็นเวลายาวนาน ผู้ที่มีความรักชาติ จะช่วยกันปกป้องรักษาชาติ ไม่ให้ศัตรูมารุกรานหรือทำร้ายทำลาย เพื่อให้ ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไปให้อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขสืบไป ศาสนา หมายถึง คำสอนขององค์พระศาสดาแต่ละพระองค์ ศาสนาทุกศาสนามีไว้เพื่อสอนให้มนุษย์ละชั่ว ประพฤติดี ผู้ที่รักศาสนา จะเป็นผู้ที่นำคำสอนของแต่ละศาสนาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ละความชั่ว กระทำแต่ความดี และทำจิตใจให้สะอาดปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ส่วนผู้ที่ ไม่รักศาสนา จึงเป็นผู้ที่ไม่นำคำสอนของศาสนานั้นไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ละความชั่ว ไม่ประพฤติดี ไม่ชำระจิตใจให้ สะอาดปราศจากกิเลส ปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงครอบงำจิตใจ พระมหากษัตริย์ หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน ผู้เป็นพระประมุขของประเทศ มีหน้าที่ปกครองประชาชน พลเมืองในประเทศนั้นให้อยู่ดีมีสุขตามกฎหมาย ตามครรลองคลองธรรมจารีตประเพณีวัฒนธรรมของชาตินั้นๆ เช่น ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นพระประมุข ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อ ประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ทรงให้แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของ ปวงชนชาวไทย นำความเจริญรุ่งเรืองความผาสุกมาสู่พสกนิกรถ้วนหน้า มีความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีความรู้รักสามัคคีกลมเกลียว เราควรประพฤติตนเป็นคนดีถวายเป็นพระราชกุศล และถวายความจงรักภักดีแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2
บทที่ 2 เอกสารการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ททททททททในการจัดทำรายงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ครั้งนี้ ผู้จัดทำ โครงการได้ทำการศึกษาค้นคว้าเนื้อหาจากเอกสารการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ทททททททท1. ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ทททททททท2. แนวทาง/กลยุทธ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของอำเภอสัตหีบ ทททททททท3. หลักการพัฒนาสังคม ชุมชน ทททททททท4 ประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย 5. เอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.นโยบายและจุดเน้นการดําเนินงาน สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 -2580) ได้กําหนดแผนแม่บทประเด็นการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วง ชีวิต โดยมีแผนย่อยที่เกี่ยวข้องกับการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนได้แก่ แผนย่อยประเด็นการ พัฒนาการเรียนรู้ และแผนย่อยประเด็นการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ที่มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ การพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงการตั้งครรภ์จนถึงปฐมวัย การพัฒนาช่วง วัยเรียน/วัยรุ่น การพัฒนาและยกระดับศักยภาพวัยแรงาน รวมถึงการส่งเสริมศักยภาพวัยผู้สูงอายุ ประเด็นการ พัฒนาการเรียนรู้ ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และพหุปัญญาของมนุษย์ที่หลากหลาย ประกอบกับแผนการปฏิรูป ประเทศด้านการศึกษา นโยบายรัฐบาลทั้งในส่วนนโยบายหลักด้านการปฏิรูป กระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพ คนตลอดช่วงชีวิต และนโยบายเร่งด่วนเรื่องการเตรียมคนไทยสู่ ศตวรรษที่ 21 ตลอดจนแผนพัฒนาประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2568) นโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2562 2568) โดยคาดหวัง ว่าการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ประชาชนจะได้รับ การพัฒนาการเรียนรู้ให้เป็นคนดี คนเก่งมีคุณภาพ และ มีความพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และกระทรวงศึกษาธิการ ได้กําหนด นโยบายและจุดเน้น ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ขึ้น เพื่อเป็น เข็มมุ่งของหน่วยงานภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ ขับเคลื่อนการดําเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของแผนต่าง ๆ ดังกล่าว สํานักงาน กศน. เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ตระหนัก ถึงความสําคัญของการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ได้มุ่งมั่นขับเคลื่อนภารกิจหลักตามแผนพัฒนาประเทศ และนโยบาย และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ที่คํานึงถึงหลักการบริหารจัดการทั้งในเรื่องหลักธรรมาภิบาล หลักการกระจาย อํานาจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และ ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร การสร้างบรรยากาศในการทํางานและการเรียนรู้ ตลอดจนการใช้ทรัพยากรด้านการ จัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยเน้น การพัฒนาคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย ใน 4 ประเด็นใหญ่ ประกอบด้วย การจัดการเรียนรู้คุณภาพ การ สร้างสมรรถนะและทักษะคุณภาพ องค์กร สถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้คุณภาพ และการบริหารจัดการคุณภาพ อันจะนําไปสู่การสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ํา ทางการศึกษา การยกระดับคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการ
ให้บริการสําหรับทุกกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความพึงพอใจ ให้กับผู้รับริการ โดยได้กําหนดนโยบายและจุดเน้นการ ดําเนินงาน สํานักงาน กศน. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ดังนี้ หลักการ กศน. เพื่อประชาชน “ก้าวใหม่ : ก้าวแห่งคุณภาพ” นโยบายและจุดเน้นการดําเนินงาน สํานักงาน กศน. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 1. ด้านการจัดการเรียนรู้คุณภาพ 1.1 น้อมนําพระบรมราโชบายสู่การปฏิบัติ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงาน โครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดําริทุกโครงการ และโครงการอันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์ 1.2 ขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ที่สนองตอบยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 1.3 ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ในการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย การเรียนรู้ที่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม สร้างวินัย จิตสาธารณะ และอุดมการณ์ ความยึดมั่น ในสถาบันหลักของชาติ รวมถึงการมีจิตอาสา ผ่านกิจกรรมต่างๆ 1.4 ปรับปรุงหลักสูตรทุกระดับทุกประเภทให้สอดรับกับการพัฒนาคน ทิศทางการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง ความต้องการและความหลากหลายของผู้เรียน/ผู้รับบริการ รวมถึงปรับลด ความหลากหลายและความซ้ําซ้อนของหลักสูตร เช่น หลักสูตรการศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายบนพื้นที่สูง พื้นที่ พิเศษ และพื้นที่ชายแดน รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ 1.5 ปรับระบบทดสอบ วัดผล และประเมินผล โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือให้ผู้เรียน สามารถ เข้าถึงการประเมินผลการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ เพื่อการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ ให้ความสําคัญกับ การ เทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ พัฒนาระบบการประเมินสมรรถนะผู้เรียน ให้ ตอบโจทย์การประเมินในระดับประเทศและระดับสากล เช่น การประเมินสมรรถภาพผู้ใหญ่ ตลอดจนกระจาย อํานาจ ไปยังพื้นที่ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1.6 ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดหลักสูตรการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ด้วยตนเองครบวงจร ตั้งแต่ การลงทะเบียนจนการประเมินผลเมื่อจบหลักสูตร ทั้งการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษา ต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเป็นการสร้างและขยายโอกาสในการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่สามารถ เรียนรู้ ได้สะดวก และตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน 1.7 พัฒนา Digital Learning Platform แพลตฟอร์มการเรียนรู้ของสํานักงาน กศน. ตลอดจน พัฒนาสื่อ การเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ และให้มีคลังสื่อการเรียนรู้ที่เป็นสื่อที่ถูกต้องตามกฎหมาย ง่ายต่อ การสืบค้นและนําไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ 1.8 เร่งดําเนินการเรื่อง Academic Credit-bank System ในการสะสมและเทียบโอนหน่วยกิต เพื่อการ สร้างโอกาสในการศึกษา 1.9 พัฒนาระบบนิเทศการศึกษา การกํากับ ติดตาม ทั้งในระบบ On-Site และ Online รวมทั้ง ส่งเสริม การวิจัยเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาการดําเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 2. ด้านการสร้างสมรรถนะและทักษะคุณภาพ 2.1 ส่งเสริมการจัดการศึกษาตลอดชีวิตที่เน้นการพัฒนาทักษะที่จําเป็นสําหรับแต่ละช่วงวัย และ การจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายและบริบทพื้นที่ 4
2.2 พัฒนาหลักสูตรอาชีพระยะสั้นที่เน้น New skill Up skill และ Re skเที่สอดคล้องกับบริบท พื้นที่ ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ความต้องการของตลาดแรงงาน และกลุ่มอาชีพใหม่ที่รองรับ Disruptive Technology 2.3 ยกระดับผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการจากโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ที่เน้น “ส่งเสริมความรู้ สร้าง อาชีพ เพิ่มรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ให้มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของตลาด ต่อยอดภูมิปัญญา ท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาสู่วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนเพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์และช่องทางการจําหน่าย 2.4 ส่งเสริมการจัดการศึกษาของผู้สูงอายุเพื่อให้เป็น Active Ageing Workforce และมี Life Skill ใน การดํารงชีวิตที่เหมาะกับช่วงวัย 2.5 ส่งเสริมการจัดการศึกษาที่พัฒนาทักษะที่จําเป็นสําหรับกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เช่น ผู้พิการ ออทิสติก เด็กเร่ร่อน และผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ 2.6 ส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลและทักษะด้านภาษาให้กับบุคลากร กศน. และผู้เรียนเพื่อรองรับ การ พัฒนาประเทศ 2.7 ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมของผู้เรียน กศน. 2.8 สร้าง อาสาสมัคร กศน. เพื่อเป็นเครือข่ายในการส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศึกษาตลอดชีวิต ใน ชุมชน 2.9 ส่งเสริมการสร้างและพัฒนานวัตกรรมของบุคลากร กศน. รวมทั้งรวบรวมและเผยแพร่เพื่อให้ หน่วยงาน / สถานศึกษา นําไปใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน 3. ด้านองค์กร สถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้คุณภาพ 3.1 ทบทวนบทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน สถานศึกษา เช่น สถาบัน กศน.ภาค สถาบันการศึกษา และ พัฒนาต่อเนื่องสิรินธร สถานศึกษาขึ้นตรงสังกัดส่วนกลาง กลุ่มสํานักงาน กศน.จังหวัด ศูนย์ฝึกและพัฒนาราษฎร ไทย บริเวณชายแดน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาตลอดชีวิตในพื้นที่ 3.2 ยกระดับมาตรฐาน กศน.ตําบล และศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” (ศศช.) ให้เป็น พื้นที่การเรียนรู้ตลอดชีวิตที่สําคัญของชุมชน 3.3 ปรับรูปแบบกิจกรรมในห้องสมุดประชาชน ที่เน้น Library Delivery เพื่อเพิ่มอัตราการอ่าน และการรู้ หนังสือของประชาชน 3.4 ให้บริการวิทยาศาสตร์เชิงรุก Science@home โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือนําวิทยาศาสตร์ สู่ ชีวิตประจําวันในทุกครอบครัว 3.5 ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ ในรูปแบบ Public Learning Space/ Co- (eaming Space เพื่อการสร้างนิเวศการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นสังคม 3.6 ยกระดับและพัฒนาศูนย์ฝึกอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดน ให้เป็นสถาบันพัฒนาอาชีพระดับภาค 3.7 ส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานของกลุ่ม กศน. จังหวัดให้มีประสิทธิภาพ 4. ด้านการบริหารจัดการคุณภาพ 4.1 ขับเคลื่อนกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตลอดจนทบทวนภารกิจบทบาท โครงสร้างของหน่วยงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงตามกฎหมาย 4.2 ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ คําสั่ง และข้อบังคับต่าง ๆ ให้มีความทันสมัย เอื้อต่อการบริหาร จัดการ และการจัดการเรียนรู้ เช่น การปรับหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการจัดหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง 5
4.3 ปรับปรุงแผนอัตรากําลัง รวมทั้งกําหนดแนวทางที่ชัดเจนในการนําคนเข้าสู่ตําแหน่ง การย้าย โอน และ การเลื่อนระดับ 4.4 ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรทุกระดับให้มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานตําแหน่งให้ตรงกับ สายงาน และทักษะที่จําเป็นในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ 4.5 ปรับปรุงระบบการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาให้มีความครอบคลุม เหมาะสม เช่น การปรับ ค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาของผู้พิการ เด็กปฐมวัย 4.6 ปรับปรุงระบบฐานข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาเพื่อการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เช่น ข้อมูล การรายงานผลการดําเนินงาน ข้อมูลเด็กตกหล่นจากการศึกษาในระบบ เด็กเร่ร่อน ผู้พิการ 4.7 ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการอย่างเต็มรูปแบบ 4.8 ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 และการประเมินคุณภาพ และ ความโปร่งใสการดําเนินงานของภาครัฐ (ITA) 4.9 เสริมสร้างขวัญและกําลังใจให้กับข้าราชการและบุคลากรทุกประเภทในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ประกาศ เกียรติคุณ การมอบโล่ / วุฒิบัตร 4.10 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความพร้อมในการจัดการศึกษา นอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับประชาชน 2. แนวทาง/กลยุทธ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของ กศน. อำเภอสัตหีบ ปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ กศน.อำเภอสัตหีบ ปรัชญา “คิดเป็น ทำเป็น เน้นคุณธรรม” วิสัยทัศน์ ภายในปี 2565 ผู้เรียน/ผู้รับบริการของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอ สัตหีบ มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ใช้แหล่งเรียนรู้โดยเครือข่ายมีส่วนร่วม พันธกิจ 1. ออกแบบการจัดการกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตร 2. จัดระบบสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้และการบริหารการศึกษา 3. พัฒนาบุคลากรด้านการออกแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้/สื่อ/การประเมินผล 4. ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายและชุมชนในการจัดกิจกรรมการศึกษา ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 -2580) ได้กําหนดแผนแม่บทประเด็นการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วง ชีวิต โดยมีแผนย่อยที่เกี่ยวข้องกับการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนได้แก่ แผนย่อยประเด็นการ พัฒนาการเรียนรู้ และแผนย่อยประเด็นการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ที่มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ การพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงการตั้งครรภ์จนถึงปฐมวัย การพัฒนาช่วง วัยเรียน/วัยรุ่น การพัฒนาและยกระดับศักยภาพวัยแรงาน รวมถึงการส่งเสริมศักยภาพวัยผู้สูงอายุ ประเด็นการ พัฒนาการเรียนรู้ ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และพหุปัญญาของมนุษย์ที่หลากหลาย ประกอบกับแผนการปฏิรูป ประเทศด้านการศึกษา นโยบายรัฐบาลทั้งในส่วนนโยบายหลักด้านการปฏิรูป 6
กระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพ คนตลอดช่วงชีวิต และนโยบายเร่งด่วนเรื่องการเตรียมคนไทยสู่ ศตวรรษที่ 21 ตลอดจนแผนพัฒนาประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2568) นโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2562 2568) โดยคาดหวัง ว่าการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ประชาชนจะได้รับ การพัฒนาการเรียนรู้ให้เป็นคนดี คนเก่งมีคุณภาพ และ มีความพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และกระทรวงศึกษาธิการ ได้กําหนด นโยบายและจุดเน้นประจําปีงบประมาณพ.ศ.2565ขึ้น เพื่อเป็น เข็มมุ่งของหน่วยงานภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ ขับเคลื่อนการดําเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของแผนต่าง ๆ ดังกล่าว กศน.อำเภอสัตหีบ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ตระหนัก ถึงความสําคัญของการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ได้มุ่งมั่นขับเคลื่อนภารกิจหลักตามแผนพัฒนาประเทศ และนโยบาย และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ที่คํานึงถึงหลักการบริหารจัดการทั้งในเรื่องหลักธรรมาภิบาล หลักการกระจาย อํานาจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และ ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร การสร้างบรรยากาศในการทํางานและการเรียนรู้ ตลอดจนการใช้ทรัพยากรด้านการ จัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยเน้น การพัฒนาคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย ใน 4 ประเด็นใหญ่ ประกอบด้วย การจัดการเรียนรู้คุณภาพ การ สร้างสมรรถนะและทักษะคุณภาพ องค์กร สถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้คุณภาพ และการบริหารจัดการคุณภาพ อันจะนําไปสู่การสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ํา ทางการศึกษา การยกระดับคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการสําหรับทุกกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความพึงพอใจ ให้กับผู้รับริการ โดยได้กําหนดนโยบายและจุดเน้น การดําเนินงาน สํานักงาน กศน. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ดังนี้ หลักการ กศน. เพื่อประชาชน “ก้าวใหม่ : ก้าวแห่งคุณภาพ” นโยบายและจุดเน้นการดําเนินงาน สํานักงาน กศน. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 1. ด้านการจัดการเรียนรู้คุณภาพ 1.1 กศน.อำเภอสัตหีบ น้อมนําพระบรมราโชบายสู่การปฏิบัติ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงาน โครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดําริทุกโครงการ และโครงการอันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์ 1.2 กศน.อำเภอสัตหีบ ขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ที่สนองตอบยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 1.3 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย การเรียนรู้ที่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม สร้างวินัย จิตสาธารณะ และ อุดมการณ์ ความยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ รวมถึงการมีจิตอาสา ผ่านกิจกรรมต่างๆ 1.4 กศน.อำเภอสัตหีบ ปรับปรุงหลักสูตรทุกระดับทุกประเภทให้สอดรับกับการพัฒนาคน ทิศทางการ พัฒนาประเทศ สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง ความต้องการและความหลากหลายของผู้เรียน/ผู้รับบริการ รวมถึงปรับลด ความหลากหลายและความซ้ําซ้อนของหลักสูตร เช่น หลักสูตรการศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายบน พื้นที่สูง พื้นที่พิเศษ และพื้นที่ชายแดน รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ 1.5 กศน.อำเภอสัตหีบ ปรับระบบทดสอบ วัดผล และประเมินผล โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ให้ผู้เรียน สามารถเข้าถึงการประเมินผลการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ เพื่อการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ ให้ ความสําคัญกับ การเทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ พัฒนาระบบการประเมิน สมรรถนะผู้เรียน ให้ตอบโจทย์การประเมินในระดับประเทศและระดับสากล เช่น การประเมินสมรรถภาพผู้ใหญ่ ตลอดจนกระจายอํานาจ ไปยังพื้นที่ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 7
1.6 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดหลักสูตรการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ด้วยตนเอง ครบวงจร ตั้งแต่การลงทะเบียนจนการประเมินผลเมื่อจบหลักสูตร ทั้งการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน การศึกษา ต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเป็นการสร้างและขยายโอกาสในการเรียนรู้ให้กับ กลุ่มเป้าหมายที่สามารถเรียนรู้ ได้สะดวก และตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน 1.7 กศน.อำเภอสัตหีบ พัฒนา Digital Learning Platform แพลตฟอร์มการเรียนรู้ของสํานักงาน กศน. ตลอดจน พัฒนาสื่อการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ และให้มีคลังสื่อการเรียนรู้ที่เป็นสื่อที่ถูกต้องตาม กฎหมาย ง่ายต่อการสืบค้นและนําไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ 1.8 กศน.อำเภอสัตหีบ เร่งดําเนินการเรื่อง Academic Credit-bank System ในการสะสมและเทียบโอน หน่วยกิต เพื่อการสร้างโอกาสในการศึกษา 1.9 กศน.อำเภอสัตหีบ พัฒนาระบบนิเทศการศึกษา การกํากับ ติดตาม ทั้งในระบบ On-Site และ Online รวมทั้ง ส่งเสริมการวิจัยเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาการดําเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย 2. ด้านการสร้างสมรรถนะและทักษะคุณภาพ 2.1 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการจัดการศึกษาตลอดชีวิตที่เน้นการพัฒนาทักษะที่จําเป็นสําหรับ แต่ละช่วงวัย และการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายและบริบทพื้นที่ 2.2 กศน.อำเภอสัตหีบ พัฒนาหลักสูตรอาชีพระยะสั้นที่เน้น New skill Up skill และ Reskill ที่สอดคล้อง กับบริบท พื้นที่ ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ความต้องการของตลาดแรงงาน และกลุ่มอาชีพใหม่ที่รองรับ Disruptive Technology 2.3 กศน.อำเภอสัตหีบ ยกระดับผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการจากโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ที่เน้น “ส่งเสริม ความรู้ สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ให้มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของตลาด ต่อยอดภูมิ ปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาสู่วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนเพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์และช่องทางการ จําหน่าย 2.4 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการจัดการศึกษาของผู้สูงอายุเพื่อให้เป็น Active Ageing Workforce และ มี Life Skill ในการดํารงชีวิตที่เหมาะกับช่วงวัย 2.5 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการจัดการศึกษาที่พัฒนาทักษะที่จําเป็นสําหรับกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เช่น ผู้ พิการ ออทิสติก เด็กเร่ร่อน และผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ 2.6 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลและทักษะด้านภาษาให้กับบุคลากร กศน. และ ผู้เรียนเพื่อรองรับ การพัฒนาประเทศ 2.7 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมของผู้เรียน กศน. 2.8 กศน.อำเภอสัตหีบ สร้าง อาสาสมัคร กศน. เพื่อเป็นเครือข่ายในการส่งเสริม สนับสนุนการจัด การศึกษาตลอดชีวิต ในชุมชน 2.9 กศน.อำเภอสัตหีบส่งเสริมการสร้างและพัฒนานวัตกรรมของบุคลากร กศน. รวมทั้งรวบรวมและ เผยแพร่เพื่อให้ หน่วยงาน / สถานศึกษา นําไปใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน 8
3. ด้านองค์กร สถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้คุณภาพ 3.1 กศน.อำเภอสัตหีบ ทบทวนบทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน สถานศึกษา เช่น สถาบัน กศน.ภาค สถาบันการศึกษา และพัฒนาผในห้องสมุดประชาชน ที่เน้น Library Delivery เพื่อเพิ่มอัตราการอ่าน และการรู้ หนังสือของประชาชน 3.4 กศน.อำเภอสัตหีบ ให้บริการวิทยาศาสตร์เชิงรุก Science@home โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือนํา วิทยาศาสตร์ สู่ชีวิตประจําวันในทุกครอบครัว 3.5 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ ในรูปแบบ Public Learning Space/ Co- (eaming Space เพื่อการสร้างนิเวศการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นสังคม 3.6 กศน.อำเภอสัตหีบ ยกระดับและพัฒนาศูนย์ฝึกอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดน ให้เป็นสถาบันพัฒนา อาชีพระดับภาค 3.7 กศน.อำเภอสัตหีบส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานของกลุ่ม กศน. จังหวัดให้มีประสิทธิภาพ 4. ด้านการบริหารจัดการคุณภาพ 4.1 กศน.อำเภอสัตหีบ ขับเคลื่อนกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตลอดจนทบทวน ภารกิจบทบาท โครงสร้างของหน่วยงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงตามกฎหมาย 4.2 กศน.อำเภอสัตหีบ ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ คําสั่ง และข้อบังคับต่าง ๆ ให้มีความทันสมัย เอื้อต่อ การบริหาร จัดการ และการจัดการเรียนรู้ เช่น การปรับหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการจัดหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง 4.3 กศน.อำเภอสัตหีบ ปรับปรุงแผนอัตรากําลัง รวมทั้งกําหนดแนวทางที่ชัดเจนในการนําคนเข้าสู่ ตําแหน่ง การย้าย โอน และการเลื่อนระดับ 4.4 กศน.อำเภอสัตหีบิส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรทุกระดับให้มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานตําแหน่ง ให้ตรงกับ สายงาน และทักษะที่จําเป็นในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ 4.5 กศน.อำเภอสัตหีบ ปรับปรุงระบบการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาให้มีความครอบคลุม เหมาะสม เช่น การปรับ ค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาของผู้พิการ เด็กปฐมวัย 4.6 กศน.อำเภอสัตหีบ ปรับปรุงระบบฐานข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาเพื่อการบริหารจัดการอย่างเป็น ระบบ เช่น ข้อมูล การรายงานผลการดําเนินงาน ข้อมูลเด็กตกหล่นจากการศึกษาในระบบ เด็กเร่ร่อน ผู้พิการ 4.7 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการอย่างเต็ม รูปแบบ 4.8 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 และการ ประเมินคุณภาพ และความโปร่งใสการดําเนินงานของภาครัฐ (ITA) 4.9 กศน.อำเภอสัตหีบ เสริมสร้างขวัญและกําลังใจให้กับข้าราชการและบุคลากรทุกประเภทในรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น ประกาศ เกียรติคุณ การมอบโล่ / วุฒิบัตร 4.10 กศน.อำเภอสัตหีบ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความพร้อมในการ จัดการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับประชาชน 3. หลักการพัฒนาสังคมและชุมชน 1 สาระสำคัญ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน เป็นการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้และทักษะจาก การศึกษาที่ผู้เรียนมีอยู่หรือได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนโดยมีรูปแบบการเรียนรู้ที่ หลากหลายใช้ชุมชนเป็นฐานในการพัฒนาการเรียนรู้และทุนทางสังคมเป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ เพื่อ 9
พัฒนาสังคมและชุมชนให้มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และประชาชนอยู่ ร่วมกันอย่างมีความสุขตามวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีการ พัฒนาที่ยั่งยืน 2. นโยบาย เร่งรัดจัดการศึกษานอกโรงเรียนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน บูรณาการความรู้และทักษะการดำรงชีวิต เพื่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ นำไปสู่สังคมที่เข้มแข็ง มีความเอื้ออาทร ต่อกัน และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน 3. เป้าหมายสาธารณะ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชนเป็นการจัดการศึกษาที่มุ่งใช้กระบวนการศึกษาเป็น เครื่องมือในการพัฒนาสังคมและชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีความเอื้อ อาทร มีคุณธรรม จริยธรรม สืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกำหนดทิศทางการพัฒนาของสังคมและชุมชนตามแนวทางในระบอบ ประชาธิปไตยโดยมีเป้าหมาย ดังนี้ (1) ให้มีกิจกรรมการพัฒนาสังคมและชุมชน 1 โครงการ (2) ให้บริการนิทรรศการการศึกษา (3) จัดค่ายเยาวชนประชาธิปไตย /ค่ายประชาชนประชาธิปไตย (4) จัดกิจกรรมธรรมะเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน 4. แนวทางและมาตรการ (1) พัฒนาศักยภาพการทำงานของบุคลากร กศน. โดยปรับบทบาทการทำงานให้สอดคล้องกับหน้าที่ สร้างความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนตามนโยบาย และกำหนดให้ครู กศน. รับผิดชอบ การจัดกิจกรรมระดับตำบลในลักษณะ Project Approach (2) ดำเนินการในรูปโครงการที่ให้ความสำคัญกับประเด็นหลักของการพัฒนา 4 ด้าน กล่าวคือ เศรษฐกิจ (วิสาหกิจชุมชน) การเมืองการปกครอง(ประชาธิปไตย) สังคม(วัฒนธรรมและภูมิปัญญาชุมชน) และ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสั่งสอนอบรมเผยแผ่ธรรมะและคุณธรรม จริยธรรม ตามหลักของศาสนาในแต่ละท้องถิ่น โดยบูรณาการการเรียนรู้เข้ากับสภาพจริงของชุมชน (3) ส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน และกลไกทุกภาคส่วนของสังคม เป็นผู้รับผิดชอบหลัก(เจ้าภาพ) ใน การจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ โดยเฉพาะการจัดอบรมความรู้ให้กับ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายในเรื่องการจัดการ การตลาด และบรรจุภัณฑ์ (4) ใช้ทุนทางสังคมสนับสนุนการจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนในชุมชน (5) ส่งเสริมให้มีการจัดทำเวทีชาวบ้านเพื่อให้ชุมชนเรียนรู้สภาพปัญหาและความต้องการของชุมชน และจัดทำแผนแม่บทชุมชน (6) ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมการพัฒนาสังคมและชุมชน 1 โครงการ 10
5. ตัวชี้วัด เชิงปริมาณ – จำนวนผู้เข้ารับการอบรมและพัฒนาวิชาชีพ – จำนวนผู้สำเร็จตามหลักสูตรที่กำหนด เชิงคุณภาพ -ความพึงพอใจของผู้รับบริการ -ประโยชน์ที่ผู้รับบริการได้รับ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน โดยให้ประชาชน ชุมชนร่วมกัน รับผิดชอบและเห็นถึงความสำคัญในการฟื้นฟูพัฒนาสังคมและชุมชนของตนเอง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิดการ เรียนรู้ บูรณาการความรู้ ประสบการณ์ และทักษะอาชีพ เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและชุมชน โดยรวม ทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ นำไปสู่สังคมที่เข้มแข็ง มีความเอื้ออาทรต่อกัน และพึ่งพาตนเองได้อย่าง ยั่งยืน กิจกรรมพัฒนาสังคมและชุมชนมี 5 ด้าน คือ 1. ด้านเศรษฐกิจ - กิจกรรมเศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเอง 2. ด้านการเมือง - กิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตย 3. ด้านสังคม - กิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ 4. ด้านสิ่งแวดล้อม - กิจกรรมรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 5. ด้านศิลปวัฒนธรรม - กิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน เป็นการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้ และทักษะ จากการศึกษาที่ผู้เรียนมีอยู่ หรือได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียน โดยมีรูปแบบการเรียนที่ หลากหลาย ให้ชุมชนเป็นฐานในการพัฒนาการเรียนรู้ และทุนทางสังคมเป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาสังคมและชุมชนให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และประชาชน อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีมีการ พัฒนาที่ยั่งยืน 4. ประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย พระมหากษัตริย์ไทย เป็นประมุขของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตามระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์และประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะลดลงหลังจากการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ยังคงได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 กับทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับว่า พระมหากษัตริย์ "ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ยังทรงได้รับความคุ้มครองด้วยกฎหมายอาญา ทำให้การ วิพากษ์วิจารณ์พระองค์เป็นความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ทรงเป็นจอมทัพไทย พุทธมามกะ และอัครศาสนูปถัมภก มีพระราชอำนาจสถาปนาและพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์กับฐานันดรศักดิ์ พระราชทานอภัยโทษ ประกาศสงครามและสงบศึก รวมตลอดถึงพระราช 11
อำนาจอื่น ๆ ซึ่งจะทรงใช้ได้ก็แต่โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ยกเว้นพระราชอำนาจบาง ประการที่ทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย คือ ตั้งและถอดองคมนตรีกับบรรดาข้าราชการในพระองค์ พระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรีและเป็นประมุขราชวงศ์จักรีมีที่ประทับอย่างเป็นทางการคือ พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดย ทรงรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 แต่ในทางนิตินัยถือว่าพระองค์เสด็จขึ้นทรงราชย์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 รัชทายาทของพระมหากษัตริย์ไทยมีตำแหน่งเรียกว่าสยามมกุฎราชกุมาร การสืบมรดกของ พระมหากษัตริย์เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 โดยมีลักษณะเป็น การโอนจากบิดาสู่บุตรตามหลักบุตรคนหัวปีเฉพาะที่เป็นชาย แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฉบับปัจจุบันเปิดให้ เสนอพระนามพระราชธิดาขึ้นสืบราชบัลลังก์ได้ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งรัชทายาทไว้ กำเนิดประวัติศาสตร์ชาติไทย รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การ ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็น ปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตย สมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (รับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) ที่ถือว่าวรรณะกษัตริย์มีอำนาจทาง ทหาร และหลักความเชื่อแบบเถรวาท ที่ถือพระมหากษัตริย์เป็น "ธรรมราชา" หลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาใน ประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มี ความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์ สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 1 พระพุทธศาสนา ลัทธิลังกาวงศ์เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิดธรรมราชาตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกพระมหากษัตริย์ว่า พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเรียกว่าพระเจ้ากรุงสยาม[6] สถานะของ พระมหากษัตริย์ในยุคนี้ได้รับคติ "เทวราชา" จากศาสนาฮินดู กล่าวคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพเจ้าอวตารมา เพื่อปกครองมวลมนุษย์ ดังเห็นได้จากการใช้คำนำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้า" การเปลี่ยนแปลง ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 กลุ่มนักศึกษาซึ่งได้รับการศึกษาแบบตะวันตกและนายทหารเรียก "ผู้ก่อการ" ได้ปฏิวัติยึดอำนาจและเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ ชาวสยาม ในเดือนธันวาคมปีนั้นจึงพระราชทานรัฐธรรมนูญเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาสู่ราชาธิปไตยภายใต้ รัฐธรรมนูญ บทบาทของพระมหากษัตริย์ก็เหลือเพียงประมุขแห่งรัฐเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น โดยทรงใช้พระราช อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ผ่านรัฐสภา นายกรัฐมนตรี และศาล ในปี พ.ศ. 2478 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสละราชสมบัติ หลังทรงไม่ลงรอยกับรัฐบาลที่ เป็นอำนาจนิยมมากขึ้น พระองค์ทรงประทับในสหราชอาณาจักรจนสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา 12
อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรทรงสืบราชสันตติวงศ์ ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 10 พรรษาและเสด็จอยู่ ต่างประเทศในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงมีการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแทน ในช่วงนั้น บทบาทและพระราช อำนาจของพระมหากษัตริย์ถูกยึดโดยรัฐบาลฟาสซิสต์จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้นำสยามเข้ากับฝ่ายอักษะ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสงครามยุติ จอมพลแปลกถูกถอดออกและพระมหากษัตริย์เสด็จนิวัติประเทศ ระหว่างสงคราม พระญาติหลายพระองค์ของพระมหากษัตริย์เป็นสมาชิกขบวนการเสรีไทย ซึ่งต่อต้านการยึดครอง ของต่างชาติระหว่างสงครามและช่วยกู้ฐานะของประเทศไทยหลังสงคราม หลังพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2489 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลย เดช ซึ่งขณะนั้นทรงพระชนมายุ 19 พรรษา กลายเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลถัดมา พระองค์มีปฐมบรมราชโองการ ดังนี้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" เริ่มเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2543 บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยถูกนักวิชาการ สื่อ ผู้สังเกตการณ์และ นักประเพณีนิยมคัดค้านเพิ่มขึ้น และเมื่อผู้สนใจนิยมประชาธิปไตยที่มีการศึกษาเริ่มแสดงออกซึ่งสิทธิคำพูดของเขา หลายคนถือว่าชุดกฎหมายและมาตรการเกี่ยวข้องกับความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ในประเทศไทยซึ่งมุ่งคุ้มครอง พระมหากษัตริย์และราชวงศ์เป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพการแสดงออก มีการจับกุม การสืบสวนอาญาและจำคุกหลาย ครั้งโดยอาศัยกฎหมายเหล่านี้ ในปี พ.ศ. 2548 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราช ดำรัสว่า สามารถวิจารณ์พระองค์ได้หากสร้างสรรค์และไม่มีแรงจูงใจทางการเมือง กรมราชเลขานุการในพระองค์และสภาองคมนตรีไทยสนับสนุนภาระหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ โดย ปรึกษากับนายกรัฐมนตรี พระราชวังและพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มีสำนักพระราชวังและสำนักงาน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้จัดการตามลำดับ หน่วยงานเหล่านี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลไทย และ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งพนักงานทั้งหมด สถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทอย่างไรในการพัฒนาประเทศไทย สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของชาติไทยมาต่อเนื่อง สังคมไทยให้ ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์มายาวนานกว่า 700 ปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เป็น สถาบันทางสังคมที่เข้มแข็งยืนยง ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาความเป็นไทภายใต้พระบรมโพธิสมภารมาจนถึง ปัจจุบัน ไม่ว่าการปกครองประเทศจะเปลี่ยนแปลงจากระบอบราชาธิปไตยที่เป็นการปกครองแบบ “พ่อปกครอง ลูก” โดยใช้อำนาจอธิปไตยปกครองประชาชนบนพื้นฐานความรัก เมตตา ดุจบิดาพึงมีต่อบุตร มาเป็นระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เปรียบเสมือนสมมติเทพที่มีอำนาจเหนือปวงชนและมาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 1. ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย 1) การเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ตามประวัติศาสตร์ชาติไทยพระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่ ปกครองประเทศด้วยความเป็นธรรม ปกป้องคุ้มครองราชอาณาจักรจากการรุกรานของ อนารยชน ทำให้ประชาชน ดำรงชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีเสรีภาพในการทำมาหากิน ใช้ชีวิตตามวิถีเครือญาติ ผูกพันกับการทำเกษตร และ มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ประชาชนจึงมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้ง มั่นคง มีความ สามัคคีกลมเกลียวกันเกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังสำคัญยิ่ง 2) สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของชาติไทยมาต่อเนื่อง สังคมไทยให้ ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์มายาวนานกว่า 700 ปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เป็น 13
สถาบันทางสังคมที่เข้มแข็งยืนยง ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาความเป็นไทภายใต้พระบรมโพธิสมภารมาจนถึง ปัจจุบัน ไม่ว่าการปกครองประเทศจะเปลี่ยนแปลงจากระบอบราชาธิปไตยที่เป็นการปกครองแบบ “พ่อปกครอง ลูก” โดยใช้อำนาจอธิปไตยปกครองประชาชนบนพื้นฐานความรัก เมตตา ดุจบิดาพึงมีต่อบุตร มาเป็นระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เปรียบเสมือนสมมติเทพที่มีอำนาจเหนือปวงชนและมาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย 3) พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นผู้นำการพัฒนาประเทศในทุกด้าน (1) การปกครองประเทศ ที่มีการแบ่งพื้นที่ วิธีการ และผู้รับผิดชอบตามความเหมาะสม ความจำเป็น และสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยยึดหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองอย่าง ต่อเนื่อง สร้างความร่มเย็นและผาสุกให้แก่ประชาชน (2) การพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มุ่งสร้างงานและรายได้ให้ทุกคนสามารถเลี้ยงดูตนเองและ ครอบครัวได้เป็นปกติสุขมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ทำให้เศรษฐกิจในสมัยนั้นมีความมั่นคง ก่อนเริ่มสร้างความสัมพันธ์ ทางการค้ากับต่างประเทศ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามุ่งค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าจนเป็นศูนย์กลางการค้าขายที่ สำคัญในสุวรรณภูมิต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีดำเนินการไปตามยุคสมัย รวมทั้งสร้าง ฐานการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ทั้งการติดต่อสื่อสารโดยตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลข การนำรถไฟมาใช้ในการ คมนาคมขนส่ง ขุดคลองชลประทานเพื่อการเกษตรและการท่องเที่ยวในและนอกประเทศในช่วงรัชกาลที่ 5 ยุค รัตนโกสินทร์จนพัฒนามาสู่ยุคปัจจุบันที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกสาขาภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (3) การพัฒนาสังคม ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขโดยเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติเพื่อช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ใช้หลักอาวุโสในการดูแลสมาชิกในสังคม ที่เด็กต้องเคารพ และเชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำให้สภาพสังคมมีกฎเกณฑ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่ทุกคนยอมรับและปฏิบัติร่วมกันสืบต่อกัน มา สามารถยึดโยงกันเป็นชาติไทยจนถึงปัจจุบัน ต่อมามุ่งพัฒนาคนให้มีความรู้ เริ่มจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ที่วัด โดยมีพระทำหน้าที่เป็นครู จนถึงการส่งผู้มีศักยภาพไปเล่าเรียนต่างประเทศในช่วงรัชกาลที่ 5 เพื่อนำความรู้มาใช้ พัฒนาประเทศ ในปัจจุบันการศึกษาได้ แผ่ขยายครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งชนกลุ่มน้อยที่พระมหากษัตริย์ทรง เมตตาจัดการเรียนการสอนให้ในพื้นที่ห่างไกลและบนพื้นที่สูง ส่วนด้านวัฒนธรรมให้ริเริ่มให้มีวัฒนธรรมประเพณี ต่างๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแต่ละช่วงเวลา เช่น ประเพณีสิบสองเดือน วัฒนธรรมตามเทศกาลและการแต่งกาย แบบไทย เป็นต้น ในปัจจุบันวัฒนธรรมดั้งเดิมบางอย่างได้เลือนหายไปตามกาลเวลา จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องอนุรักษ์ ฟื้นฟู เพื่อรักษาความเป็นไทยให้คงอยู่สืบไป (4) ความมั่นคงของประเทศ พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ทรงมี พระอัจฉริยภาพใน การรักษาความมั่นคงของประเทศในรูปแบบต่างๆ ทั้งการใช้วัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศใกล้เคียง ใน อดีตผ่านการร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อมาผ่านการเรียนรู้วัฒนธรรมประเทศต่างๆ ด้วยการเสด็จเยี่ยมเยือน และแลกเปลี่ยนความรู้ การสร้างสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจในแต่ละยุคสมัยเพื่อคงความเป็นอธิปไตยและ ความเป็นชาติและการสานสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในปัจจุบันโดยเฉพาะประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุข 4) การปกครองของไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่สมัย สุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475ประเทศ ไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยและสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และได้ปรับปรุงระบบการบริหารราชการ แผ่นดินมาโดยลำดับ คือ สมัยสุโขทัยได้จำลองลักษณะครอบครัวมาใช้ในการปกครอง เป็นการใช้อำนาจของพ่อ 14
ปกครองลูก แบบให้ความเมตตา และให้เสรีภาพแก่ราษฎรตามสมควร ต่อมาในสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์ทรง เป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจทั้งปวงในแผ่นดิน มีการปรับปรุงรูปแบบการปกครองใหม่ โดยแยกการบริหาราชการ ออกเป็นฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการทางด้านเวียง วัง คลัง นา ทหารและการป้องกัน ประเทศ มีสมุหนายกและสมุหกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นการปกครองที่เสริมสร้างสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่าง เต็มที่ นอกจากนี้ ได้ปรับการจัดระเบียบการปกครองท้องที่ โดยแบ่งเมืองออกเป็นแขวง แขวงแบ่งออกเป็นตำบล และตำบลแบ่งออกเป็นบ้าน เป็นรูปแบบที่ใช้ต่อเนื่องตลอดเวลา เกือบ 500 ปี ของสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยมีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น กระแส วัฒนธรรมและอารยธรรมต่างๆหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย ประกอบกับอิทธิพลในการแสวงหาเมืองขึ้นของชาติ ตะวันตก พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความจำเป็นต้องปรับปรุงการปกครองบ้านเมืองใหม่ เนื่องจากระบบเดิมล้าสมัย ขาดประสิทธิภาพ การทำงานซ้ำซ้อน การควบคุมและการรวมอำนาจเข้าศูนย์กลางไม่ สามารถทำให้ประเทศมั่นคงและเปิดโอกาสให้จักรวรรดินิยมตะวันตกเข้าแทรกแซงได้ง่าย จึงทรงนำเอาสิ่งใหม่ๆ มาใช้ในการปกครองประเทศ อาทิ ทรงจัดตั้งคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ปรับปรุงการบริหารราชการใน ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การบริหารงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพจนถึงการ เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรมุ่งหวังที่จะสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ขึ้นในประเทศไทย ทำให้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลง อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎร ดังพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยก อำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิของประชาชน” ทำให้ประเทศ ไทยพัฒนาอย่างก้าวหน้ามั่นคง พร้อมกับการพัฒนาการเมืองการปกครองมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 78 ปี ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นพลังสำคัญของชาติ ประเทศไทยมีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นสถาบัน หลักของสังคม ทำหน้าที่ยึดโยงความสัมพันธ์ของคนในชาติให้เกาะเกี่ยวกันอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะ พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีรูปธรรม ประชาชนทุกคนรู้และเข้าใจความเป็นสถาบันได้ชัดเจน เป็นพลังที่ยั่งยืน ของประเทศไทยมาช้านาน สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้คนในชาติรวมพลังกันนำพาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป อย่างมีความมั่นคงแม้ในยามวิกฤต 3. การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่ในสังคมไทยสามารถรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ได้และลด ผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ กำหนดรูปแบบการปกครองประเทศ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเทิดพระเกียรติให้ดำรงอยู่ในฐานะอัน เป็นที่เคารพ สักการะและกำหนดให้อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ประกอบด้วย อำนาจ นิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ที่ผู้ใช้อำนาจ ได้แก่ สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร และสถาบันตุลาการ เพื่อก่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันตามหลักการประชาธิปไตย ชี้ให้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจภายใต้กฎหมายสูงสุดของประเทศที่สามารถรักษาผลประโยชน์ของ ประชาชนและก่อให้เกิดผลดีในการบริหารประเทศ ก่อให้เกิดสำนึก ความระมัดระวัง ความรอบคอบมิให้เกิดความ เสียหายต่อส่วนรวม รวมทั้งเป็นกลางทางการเมือง สามารถยับยั้ง ท้วงติงให้การปกครองประเทศเป็นไปโดยสุจริต ยุติธรรม นอกจากนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของคนในสังคมมาช้านาน โดยเฉพาะ รัชกาลปัจจุบันที่ทรงมีพระจริยาวัตรอันงดงาม เป็นแบบอย่างของความเรียบง่าย ทรงดูแลห่วงใยทุกข์สุขของ ประชาชนอย่างจริงจัง และสร้างประโยชน์เพื่อสังคมไทยมาโดยตลอด ได้ทรงพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจ 15
พอเพียงแก่พสกนิกรไทยมานานกว่า 30 ปี เพื่อชี้ถึงแนวทางการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของประชาชนทุก ระดับ ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน และประเทศ ให้ดำเนินไปตามทางสายกลาง ด้วยความพอเพียง ที่หมายถึงความ พอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยใช้ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังมา ประกอบในการปฏิบัติ และเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ดำเนิน ชีวิตและปฏิบัติงานด้วยความอดทนและมีความเพียรอย่างมีสติและปัญญา ทำให้คนในสังคมและประเทศชาติ สามารถจัดการความเสี่ยงที่ต้องเผชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้นแบบการปกครองที่มี ธรรมาภิบาล การปกครองแบบพ่อกับลูกนับจากสมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ยังมีความสำคัญและมีอิทธิพล ต่อจิตใจของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชกาลปัจจุบัน ที่ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดิน โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน ชาวสยาม” แสดงให้เห็นหลักธรรมมาภิบาลของการปกครองไทย เพราะมี วิธีการที่จะปกครองแผ่นดินโดยธรรม และมีเป้าหมายที่จะไปให้ถึง คือ ประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ซึ่งหลัก ทศพิธราชธรรม เป็นทั้งหลักศาสนาและศีลธรรมเป็นเครื่องควบคุมการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ไม่ให้กระทบ ต่อสิทธิ เสรีภาพ ทรัพย์สิน ชีวิต ร่างกายของพลเมือง จึงเป็นหลักปกครองที่ไม่ล้าสมัยและสอดคล้องกับหลัก ประชาธิปไตยสมัยใหม่ ก่อเกิดหลักการบริหารจัดการที่ดี ทั้งยังเป็นการดำเนินการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง เนื่องจากเป็นแนวทางที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนเข้ามาร่วมในการบริหารประเทศ มีกระบวนการ ร่วมรับรู้ รับฟัง ร่วมคิด และร่วมรับผิดชอบ ทำให้การกำหนดนโยบาย มาตราการต่างๆ ดำเนินไปด้วยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง มีการใช้เหตุใช้ผลในการดำเนินงาน หากผู้บริหารประเทศ ผู้มีหน้าที่ทั้งราชการ นักการเมือง และประชาชนทั่วไป น้อมนำทศพิธราชธรรมไปปฏิบัติเจริญรอยตามเบื้องยุคลบาท ประเทศไทยจะ สามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าและคนไทยสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและยั่งยืน 5. สังคมไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะมีความพร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลง ในอนาคต การยึดมั่นในสถาบันกษัตริย์ภายใต้การปฏิบัติตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน จะก่อให้เกิดพลังในสังคมไทยที่พร้อมจะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง มีขวัญและ กำลังใจในการปฏิบัติภารกิจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและการเมืองให้ลุล่วง โดยดำเนินการตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงจัง เสริมสร้างฐานเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะในระดับฐาน ราก คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างรู้เท่าทันแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมั่นคงและ รักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ถึงคนรุ่นต่อไป ความสำเร็จของสถาบันพระมหากษัตริย์การกับพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ การทุ่มเทพระอุตสาหะทั้งมวลในการทรงงานของพระประมุขและพระบรมวงศานุวงศ์ใน สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน นำมาสู่ความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของชาติ ดังตัวอย่างเช่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงนำพาประเทศให้รอด พ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของต่างชาติ ทรงปฏิรูปประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่น การจัดตั้งกระทรวง กรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม การสื่อสาร การศึกษา กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ จนเป็นแบบแผนในการวางรากฐานการพัฒนา ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในเวลาต่อมา และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาล ปัจจุบัน ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าหลักการทรงงานและพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านนั้น เป็นที่ยอมรับในระดับ สากลอย่างแท้จริง จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ช่วยให้ชาวไทยได้รอดพ้นจากความทุกข์เข็ญได้อย่าง ยั่งยืน และยังส่งผลถึงการบรรเทาทุกข์โศก และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย รางวัลและคำสดุดีเฉลิมพระเกียรติทั้งหลายที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นประจักษ์ 16 16
พยานได้อย่างดีถึงพระปรีชาสามารถในพระองค์ แต่เหนือสิ่งอื่นใด พระปรีชาสามารถอันเป็นที่ยอมรับด้วยใจของ ประชาคมโลกเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง ดังที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (Human Development Lifetime Achievement Award) ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ดังความตอนหนึ่งของนายโคฟี อานัน เลขาธิการสหประชาชาติ (ในขณะนั้น) ซึ่งได้กล่าว สดุดีพระองค์ไว้ในโอกาสดังกล่าวว่า “...พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์เอื้อไปยังบรรดาผู้ที่ยากจนที่สุด และเปราะบาง ที่สุดในสังคมไทย ทรงรับฟังปัญหาของพวกเขาเหล่านั้น และให้ความช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นให้สามารถยืนหยัด ดำรงชีวิตของตนเองต่อไป ได้ด้วยกำลังของตัวเอง...โครงการเพื่อการพัฒนาชนบทต่างๆ ขององค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวยังประโยชน์ให้กับประชาชนนับล้านๆ ทั่วทั้งสังคมไทย...” สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเสาหลักที่ สำคัญของสังคมไทย ในทุกๆ ด้าน เป็นสมบัติ ล้ำค่าที่ชาวไทยทุกคนจะต้องร่วมกันปกป้องให้สถาบัน พระมหากษัตริย์คงอยู่ตลอดไป 5. เอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สำนึกประวัติศาสตร์' หนึ่งในกลไกสร้าง 'ความปรองดอง' บทความของ คสช.ผศ.พิพัฒน์ กระแจะ จันทร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในรอบกว่า 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำ ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสำคัญและส่งเสริมวิชา ประวัติศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างมากมาย โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการให้ประชาชนเกิด "ความ ปรองดอง" อย่างไรก็ตาม เราลองมาทบทวนลำดับเหตุการณ์ความพยายามของรัฐบาลและ คสช. ในการใช้ ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสร้างความปรองดอง เพื่อเผยให้เห็นถึงกลไกและความคิดทางประวัติศาสตร์ที่ทั้ง เปิดเผยและแฝงอยู่ นักวิชาการด้านชาตินิยมหลายคนเห็นพ้องกันว่า ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่ง ในการสร้างสำนึกของความเป็นชาติให้เกิดขึ้น ช่วยร้อยรัดให้คนที่ไม่รู้จักกันให้สามารถจินตนาการว่าตนเองเป็น พวกเดียวกันได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไทยเริ่มต้นใช้อย่างจริงจังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อสร้างคนไทยที่สามัคคีกัน รวมถึงจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ผ่านระบบการศึกษาและอื่นๆ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมวิชาประวัติศาสตร์จึงถูกเลือกนำมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความ ปรองดองผ่านระบบการศึกษาภาคบังคับ 9 มิ.ย. 2557 หลัง คสช. เข้าครองยึดอำนาจได้ไม่ถึง 1 เดือน ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ แถลงว่า "ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเร่งสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่คนในชาติ ใน ส่วนของการศึกษาคงเป็นเรื่องของการส่งเสริมการเรียนการสอนในวิชาดังกล่าวให้มากขึ้น เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนมี ความรักความสามัคคีกันไม่ถึง 1 สัปดาห์ต่อมา กระทรวงศึกษาธิการได้มีความเห็นให้สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการปรับปรุงวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่งอยู่ในกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยการแยกวิชาการทั้งสองออกจากกัน และให้พิจารณาเพิ่มเวลาเรียน วิชาประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อ "ส่งเสริมให้เยาวชนมีความรักชาติ เห็นความสำคัญของเอกลักษณ์ไทย และประวัติความเป็นมาของประเทศชาติ" 17
บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน ททททททททศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ได้เห็นความสำคัญของโครงการ เสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความ เข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของประชาชนในชุมชน ให้เกิด ความรู้ ความชำนาญ เกิดความตระหนักถึงความรักชาติไทย และความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1. ประชุมบุคลากรกรรมการ กศน.อำเภอสัตหีบ 2. แต่งตั้งคณะทำงาน 3. ดำเนินงานตามแผน 4. ประชากรที่ใช้ในการดำเนินงาน 5. เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ประชุมบุคลากรกรรมการ กศน.อำเภอสัตหีบ ททททททททกศน.อำเภอสัตหีบ ได้วางแผนประชุมบุคลากรกรรมการ เพื่อหาแนวทางในการดำเนินงานและ กำหนดวัตถุประสงค์ร่วมกัน 2. จัดตั้งคณะทำงาน ททททททททจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานโครงการ เพื่อมอบหมอบหมายหน้าที่ในการทำงานให้ชัดเจน เช่น ทท ทททททททททท2.1 คณะกรรมการที่ปรึกษา/อำนวยการ มีหน้าที่อำนวยความสะดวก และให้คำปรึกษาแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้น ทททททททททททท2.2 คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์รับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ ทททททททททททท2.3 คณะกรรมการฝ่ายรับลงทะเบียนและประเมินผลหน้าที่จัดทำหลักฐานการลงทะเบียน ผู้เข้าร่วมโครงการ และรวบรวมการประเมินผล และรายงานผลการดำเนินการ 3. ดำเนินการตามแผนงานโครงการ ททททททททวันที่ 28 มกราคม 2565 ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 4. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการดำเนินงาน ททท ประชาชนในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จำนวน 16 คน 5. เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน ทททททททท1. แบบสำรวจความคิดเห็นโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. แบบสอบถามความพึงพอใจโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล ททททททททจากการดำเนินงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 16 คน โดยมี การแจกสอบถามทั้งหมด 16 ชุด และเก็บรวบรวมแบบสอบถามได้ 16 ชุด คิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์
7. การวิเคราะห์ข้อมูล ททททททททจากการดำเนินงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 16 คน โดยมี เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1. ค่าแจกแจงความถี่ 2. ค่าร้อยละ 3. ค่าเฉลี่ย 4. ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ททททททททเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้เข้าอบรมได้รับประโยชน์นำไปใช้ได้จริงตามศักยภาพของแต่ละ คน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป และได้ดำเนินการตามขั้นตอนและได้รวบรวมข้อมูลจากแบบสำรวจสถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ กศน.ตำบลนาจอมเทียน จะได้นำแนวทางไปใช้ข้อมูลพิจารณาหลักสูตร เนื้อหาตลอดจนเทคนิควิธีการ จัดการกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้เข้าอบรมได้รับประโยชน์นำไปใช้ได้จริงตาม ศักยภาพของแต่ละคน ให้มีความเข้าใจและมีคุณภาพต่อไป ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอสัตหีบ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนและได้รวบรวมข้อมูล โดยใช้สภาพการใช้สื่อการสอนของครูในสถานศึกษา เป็นแบบมาตรวัดประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีรายละเอียดดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด และบุญส่ง นิล แก้ว ,2545) 5 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับมาก 3 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับน้อย 1 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับน้อยที่สุด โดยมีเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย (บุญชม ศรีสะอาด,2556) ดังนี้ 4.50 – 5.00 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับมากที่สุด 3.50 – 4.49 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับน้อยที่สุด ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องกรอกข้อมูลตามแบบสอบถาม เพื่อนำไปใช้ในการประเมินผลของการจัด กิจกรรมดังกล่าว และจะได้นำไปเป็นข้อมูล ปรับปรุง และพัฒนา ตลอดจนใช้ในการจัดทำแผนการดำเนินการในปี ต่อไป 19
บทที่ 4 ผลการดำเนินการ จากผลการดำเนินงานการจัด โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี วันที่ 28 มกราคม 2565 มีผู้เข้าอบรมใน โครงการ จำนวน 16 คน โดยมี โดยมี เรือโทเจริญพงษ์ ผิวทน เป็นวิทยากร นั้น สรุปได้ดังนี้ จากแบบสอบถามที่ได้ สามารถนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดจำนวน 16 ชุด 1. ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามของผู้เข้ารับการอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เข้ารับอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามของผู้เข้ารับการอบรม โครงการเสริมสร้าง อุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ที่ตอบแบบสอบถามได้นำมาจำแนกตามเพศ อายุ และอาชีพ ผู้จัดทำได้เสนอ จำแนกตามข้อมูลดังกล่าว ดังปรากฏตาม ตารางที่ 1 ดังต่อไปนี้ ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจำแนกตามเพศ เพศ ความคิดเห็น ชาย หญิง จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ผู้เข้าอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 7 43.75 9 56.25 รรรรรรรรจากตารางที่ 1 แสดงผู้ตอบแบบสอบถามของผู้เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นชาย 7 คน คิดเป็นร้อยละ 43.75 เป็นหญิง 9 คน คิดเป็นร้อยละ 56.25 ตารางที่ 2 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแทนแบบสอบถาม โดยจำแนกตามอายุ อายุ ความคิดเห็น ต่ำกว่า15 ปี 16-39 ปี 40-59 ปี 60 ปีขึ้นไป จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ผู้เข้าอบรมโครงการ เสริมสร้างอุดมการณ์ รัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ - - 13 81.25 1 6.25 2 12.5
รรรรรรรรจากตารางที่ 2 แสดงว่า จากตารางที่ 2 แสดงว่า ผู้ตอบแบบสอบถามผู้เข้ารับโครงการเสริมสร้าง อุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ในช่วงอายุ 16-39 ปี มีจำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 81.25 ช่วงอายุ 40-59 ปี มีจำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 6.25 และในช่วงอายุ 60 ปี ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 12.5 ตารางที่ 3 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามโดยจำแนกตามอาชีพ ประเภท ความคิดเห็น รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ เกษตรกรรม อื่น ๆ จำนวน ร้อย ละ จำนวน ร้อย ละ จำนวน ร้อย ละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ผู้เข้าอบรม โครงการ เสริมสร้าง อุดมการณ์ รัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 8 50 5 31.25 - - - - 3 18.75 รรรรรรรรจากตารางที่ 3 แสดงผู้ตอบแบบสอบถามของผู้เข้าอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มีอาชีพรับจ้าง มากที่สุด จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 50 อาชีพค้าขาย จำนวน 5 คน คิดเป็น ร้อยละ 31.25 และอื่นๆ จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 18.75 21
ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เข้ารับอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ความคิดเห็นของผู้เข้ารับร่วมกิจกรรม จำนวน 16 คน จากแบบสอบถามทั้งหมดที่มีต่อโครงการเสริมสร้าง อุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตารางที่ 4 ผลการประเมินโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รายการที่ประเมิน N = 16 µ σ อันดับ ที่ ระดับผล การประเมิน ด้านหลักสูตร 1. กิจกรรมที่จัดสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ของ หลักสูตร 4.54 0.51 5 มากที่สุด 2. เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับความต้องการของ ผู้รับบริการ 4.46 0.51 11 มาก 3. การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถ คิด เป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น 4.50 0.51 8 มากที่สุด 4. ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิด เห็น ต่อการจัดทำหลักสูตร 4.42 0.50 12 มาก 5. ผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ 4.58 0.50 3 มากที่สุด 6. สื่อ/เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมมีความ เหมาะสม 4.50 0.51 8 มากที่สุด ด้านวิทยากร 7. วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัด กิจกรรม 4.62 0.50 2 มากที่สุด 8. เทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร 4.58 0.50 3 มากที่สุด 9. วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับ กิจกรรม 4.54 0.51 7 มากที่สุด 10. บุคลิกภาพของวิทยากร 4.54 0.51 5 มากที่สุด ด้านสถานที่ ระยะเวลา และความพึงพอใจ 11. สถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม 4.42 0.50 12 มาก 12. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม 4.50 0.51 8 มากที่สุด 13. ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการต่อการ เข้าร่วมกิจกรรม 4.65 0.49 1 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.53 0.50 มากที่สุด 22
ททททททททจากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วม โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการต่อ การเข้าร่วมกิจกรรม (µ = 4.65) เป็นอันดับที่ 1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรม (µ =4.62) ผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และเทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร (µ =4.54) วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม (µ =4.54) การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการ สามารถคิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น,สื่อ/เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และระยะเวลาในการ จัดกิจกรรมเหมาะสม (µ =4.50) เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ(µ =4.46) ผู้รับบริการมี ส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำหลักสูตร และสถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม (µ =4.42) ตามลำดับ 23
บทที่ 5 สรุปอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ททททททททจากโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี วันที่ 28 มกราคม 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของประชาชนในชุมชน ให้เกิด ความรู้ ความชำนาญ เกิดความตระหนักถึงความรักชาติไทย และความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้กับประชาชนอำเภอสัตหีบ ทั้ง 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลสัตหีบ ตำบลนาจอมเทียน ตำบล พลูตาหลวง ตำบลบางเสร่ ตำบลแสมสาร โดยมีผู้เข้าร่วมการอบรมจำนวน 16 คน ทั้งนี้ขอสรุปและอภิปรายผล และข้อเสนอแนะดังนี้ สรุปผลการดำเนินงาน ททททททททจากการดำเนินงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มีผู้เข้าร่วม กิจกรรม 16 คน โดยมีการแจกสอบถามทั้งหมด 16 ชุด ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ทททททททท1. ผู้ตอบแบบสอบถามของโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จาก จำนวนทั้งหมด 16 คน เป็นชาย 7 คน คิดเป็นร้อยละ 43.75 เป็นหญิง 9 คน คิดเป็นร้อยละ 56.25 ในช่วงอายุ 16-39 ปี มีจำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 81.25 ช่วงอายุ 40-59 ปี มีจำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 6.25 และ ในช่วงอายุ 60 ปี ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 12.5 ทททททททท2. ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการ ต่อการเข้าร่วมกิจกรรม เป็นอันดับที่ 1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมผู้รับบริการสามารถนำ ความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และเทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร วิทยากรมีการใช้สื่อที่ สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถคิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น,สื่อ/ เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม เนื้อหาของหลักสูตร ตรงกับความต้องการของผู้รับบริการผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำหลักสูตร และ สถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม ตามลำดับ อภิปรายผล ททททททททจากโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พบว่า อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการต่อการเข้าร่วมกิจกรรม เป็นอันดับที่ 1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และ เทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม การ จัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถคิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น,สื่อ/เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมมีความ เหมาะสม และระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำหลักสูตร และสถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม ตามลำดับ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องของประวัติศาสตร์ ชาติไทย สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ส่งเสริมคุณธรรม และสร้างจิตสำนึกความ
เป็นไทยให้นักศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นชาติ เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นไทยจากประวัติศาสตร์ ชาติไทย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสในการเรียนรู้และสร้างจิตสำนึก รักชาติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในบุญคุณ พระมหากษัตริย์ไทยและนำผลที่ได้ขยายไปสู่ชุมชนและสังคมได้เพราะผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมดมีจิตใจรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และมีความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและต้องการจะตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินที่ได้เกิด มาในผืนดินแผ่นไทย ททททททททซึ่งสอดคล้องและเกี่ยวข้องกับบทความเรื่อง สำนึกประวัติศาสตร์' หนึ่งในกลไกสร้าง 'ความปรองดอง' ของ คสช.ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในรอบกว่า 3 ปีที่ ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ ความสำคัญและส่งเสริมวิชาประวัติศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างมากมาย โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการ ให้ประชาชนเกิด "ความปรองดอง" อย่างไรก็ตาม เราลองมาทบทวนลำดับเหตุการณ์ความพยายามของรัฐบาลและ คสช. ในการใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสร้างความปรองดอง เพื่อเผยให้เห็นถึงกลไกและความคิดทาง ประวัติศาสตร์ที่ทั้งเปิดเผยและแฝงอยู่ นักวิชาการด้านชาตินิยมหลายคนเห็น พ้องกันว่า ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่งในการสร้างสำนึกของความเป็นชาติให้เกิดขึ้น ช่วย ร้อยรัดให้คนที่ไม่รู้จักกันให้สามารถจินตนาการว่าตนเองเป็นพวกเดียวกันได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไทยเริ่มต้นใช้อย่าง จริงจังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อสร้างคนไทยที่สามัคคีกัน รวมถึงจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ผ่านระบบ การศึกษาและอื่นๆ "ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเร่งสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่คนในชาติ ใน ส่วนของการศึกษาคงเป็นเรื่องของการส่งเสริมการเรียนการสอนในวิชาดังกล่าวให้มากขึ้น เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนมี ความรักความสามัคคีกัน"ม่ถึง 1 สัปดาห์ต่อมา กระทรวงศึกษาธิการได้มีความเห็นให้สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการปรับปรุงวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่งอยู่ในกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยการแยกวิชาการทั้งสองออกจากกัน และให้พิจารณาเพิ่มเวลาเรียน วิชาประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อ "ส่งเสริมให้เยาวชนมีความรักชาติ เห็นความสำคัญของเอกลักษณ์ไทย และประวัติความเป็นมาของประเทศชาติ" สรุปผลด้านหลักสูตร มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ผู้เรียนมีความพึงพอใจ เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับ ความต้องการของผู้เข้าอบรม ผู้เข้าอบรมนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ด้านวิทยากร วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างดี เทคนิค/กระบวนการในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ของวิทยากรเหมาะสม วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม และ บุคลิกภาพของวิทยากร ดีเหมาะสม ด้านสถานที่ ระยะเวลา และความพึงพอใจ สถานที่ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะ ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ ผู้ เข้ารับการอบรมมีความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมกิจกรรมในระดับมากที่สุด ข้อเสนอแนะ ด้านแบบสำรวจและวัดความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรม 25
- ควรจะมีการจัดโครงการศึกษาดูงานประวัติศาสตร์ชาติไทยในสถานที่จริง เช่นที่ นครศรีอยุธยา เป็นต้น บรรณานุกรม บุญชื้น ศรีสะอาด และ บุญส่ง นิวแก้ว.(2545 หน้า 22-25). สำนักงานบริหารการศึกษานอกโรงเรียน.(2549:2), (2549:5). สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย นโยบายและจุดเน้นกศน.ปี 2565.,(2565) หนึ่งในกลไกสร้าง 'ความปรองดอง' บทความของ คสช.ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะ ศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ http://www.bangkoknoi.go.th/การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน http://www.kpi.ac.th/สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย http://www.lukhamhan.ac.th/course/blog/7222
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก. แบบประเมินความพึงพอใจโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่วนที่ 1 คำชี้แจง ใส่เครื่องหมาย/ลงในช่องที่ตรงกับข้อมูลของท่านเพียงช่องเดียว เพศ ชาย หญิง อายุ 15-39 ปี 40-59ปี 60ปีขึ้นไป อาชีพ รับจ้าง ค้าขาย เกษตรกรรม รับราชการ อื่นๆ ส่วนที่ 2 ด้านความพึงพอใจของผู้เรียน/ผู้รับบริการ (ใส่เครื่องหมาย/ลงในช่องที่ตรงกับความคิดเห็นของท่านเพียงช่อง เดียว ข้อที่ รายการ ระดับการประเมิน มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 1 กิจกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ของหลักสูตร 2 เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับความ ต้องการ 3 การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการ สามารถคิดเป็นทำเป็น แก้ปัญหาได้ 4 ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดง ความคิดเห็นต่อการจัดทำหลักสูตร 5 ผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปใช้ ในชีวิตประจำวันได้ 6 สื่อ/เอกสารประกอบการจัดกิจกรรม มีความเหมาะสม 7 วิทยากรมีความรู้ความสามารถใน การจัดกิจกรรม 8 เทคนิค/กระบวนการในการจัด กิจกรรมของวิทยากร 9 วิทยากรมีการใช้สื่อสอดคล้องและ เหมาะสมกับกิจกรรม 10 บุคลิกภาพของวิทยากร 11 สถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม 12 ระยะเวลาในการจัดเหมาะสม 13 ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับ การอบรม ข้อเสนอแนะ
โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วันที่ 28 มกราคม 2565 ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี *************************** 1. หลักการและเหตุผล โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นโครงการส่งเสริมจิตสำนึกใน ความรักชาติ การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมกับน้อมระลึกถึงพระมหา กรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรมตามหลักศาสนา การส่งเสริมความ รัก ความสามัคคี การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ นำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติต่อไป ดังนั้น กศน.อำเภอสัตหีบ จึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อให้เข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย และบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทยและมีจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่ดี ในระบอบประชาธิปไตย ตระหนักถึงความ รักชาติไทย และบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทยเป็นพลเมืองที่ดีใน ระบอบประชาธิปไตย ต่อไป 2. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. เพื่อเพิ่มศักยภาพของประชาชนในชุมชน ให้เกิดความรู้ ความชำนาญ เกิดความตระหนักถึงความ รักชาติไทย และความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 3. เป้าหมาย 1. เชิงปริมาณ ประชาชนอำเภอสัตหีบ จำนวน 16 คน 2. เชิงคุณภาพ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นการเพิ่มศักยภาพของประชาชนในชุมชน ให้เกิดความรู้ ความชำนาญ เกิดความตระหนักถึงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 4. ตัวชี้วัดความสำเร็จ 1. เชิงปริมาณ - มีผู้เข้าร่วมโครงการ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของกลุ่มเป้าหมาย - ผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในระดับดีขึ้นไปไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2. เชิงคุณภาพ ผู้เข้าร่วมโครงการร้อยละ 80 สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีความรู้ ความเข้าใจเรื่อง ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
5. ขั้นตอนการดำเนินการโครงการ/กิจกรรม (จากโครงการ) รายการ การดำเนินงาน การวางแผน (Plan) 1. วางแผนการจัดโครงการ 1.1 ประชุม 1.2 เขียนโครงการ/อนุมัติ รายการ การดำเนินงาน การปฏิบัติ(Do) 1. สำรวจความต้องการในการเข้าร่วมกิจกรรม 2. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. ขออนุมัติโครงการต่อ ผอ.กศน.อำเภอสัตหีบ 4. แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน 5. ดำเนินงานตามแผนงาน 6. ประเมินผลการจัดกิจกรรม/โครงการ 7. สรุปและรายงานผลการดำเนินงาน การตรวจสอบ/ประเมินผล (Check) แบบประเมินโครงการของผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 แนวทางการนำผลการประเมินไปปรับปรุง (Act) แบบประเมินโครงการของผู้เข้าร่วมน้อยกว่าร้อยละ 80 ต้องนำไปแก้ไข ปรับปรุงในจุดที่บกพร่อง เพื่อนำไปใช้กับ การจัดกิจกรรม/โครงการในครั้งต่อไป 6. ระยะเวลาดำเนินงาน วันที่ 28 มกราคม 2565 7. สถานที่ในการจัดกิจกรรมโครงการ ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 8. ผลการดำเนินโครงการ 8.1 ผลการประเมินข้อมูลพื้นฐานของผู้เข้าร่วมโครงการ 1) ผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 16 คน และร้อยละ 80 ของผู้เข้าร่วมอบรม สามารถนำความรู้ไปใช้ ในชีวิตประจำวัน มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2) อายุระหว่าง 16- 39 ปีมีจำนวนมากที่สุด 3) อาชีพ เรียงจากมากไปหาน้อย ได้แก่ รับจ้าง ค้าขาย และอื่น ๆตามลำดับ 8.2 ความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมโครงการ ต่อภาพรวมของโครง ค่าเฉลี่ยรวมของความพึงพอใจของ ผู้เข้าร่วมโครงการ เท่ากับ 4.53 (ระดับมากที่สุด) 8.3 บรรลุตามวัตถุประสงค์อย่างไร ร้อยละ 80 ของผู้เข้าร่วมอบรม สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีความรู้ ความเข้าใจเรื่อง ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
8.4 สรุปงบประมาณในการดำเนินงาน แผนงานพื้นฐานด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ผลผลิตที่ 4 ผู้รับบริการ การศึกษานอกระบบ งบดำเนินงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมการศึกษาต่อเนื่อง รหัสงบประมาณ 2000236004000000 แหล่งของเงิน 6511200 จำนวนเงิน 6,400.-บาท (-หกพันสี่ร้อยบาทถ้วน-) 9.จำนวนผู้เรียนและผู้ผ่านการเรียน/อบรม จำแนกตามอายุและเพศ เพศ อายุ ตำกว่า 15 ปี 15-39 ปี 40-59 ปี 60 ปี ขึ้นไป รวม รวมทั้งสิ้น ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ จำนวนผู้เรียน - - 7 6 - 1 - 2 7 9 16 จำนวนผู้ผ่านกาฝึกอบรม - - 7 6 - 1 - 2 7 9 16 10.จำนวนผู้เรียนและผู้ผ่านการฝึกอบรม จำแนกตามกลุ่มอาชีพและเพศ เพศ อายุ รับ ราชการ พนักงาน รัฐวิสาหกิจ ค้าขาย เกษตร กรรม รับจ้าง อื่นๆ ไม่ระบุ รวม รวมทั้งสิ้น ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ จำนวนผู้เรียน - - - - 2 3 - - 5 3 - 3 - - 7 9 16 จำนวนผู้ผ่านการ ฝึกอบรม - - - - 2 3 - - 5 3 - 3 - - 7 9 16 11.จำนวนผู้เรียนและผู้ผ่านการฝึกอบรม จำแนกตามกลุ่มเป้าหมายและเพศ เพศ อายุ ผู้นำ ท้องถิ่น อบต. ผู้ต้องขัง ทหารกอง ประจำ การ แรง งาน ไทย แรงงาน ต่างด้าว เกษตร กร อสม. กลุ่มสตรี อื่นๆ รวม ทั้งสิ้น ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ จำนวนผู้เรียน - - - - - - - - 7 9 - - - - - - - - 7 9 16 จำนวนผู้ผ่านการ ฝึกอบรม - - - - - - - - 7 9 - - - - - - - - 7 9 16 12. ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงาน -ไม่มี-.. 13. ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมโครงการในครั้งต่อไป - 14. ภาพกิจกรรม -ตามเอกสารดังแนบ-
โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วันที่ 28 มกราคม 2565 ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 16 คน ลงชื่อ......................................ผู้รายงาน (นางสุภาภรณ์ นวมมา)
คณะผู้จัดทำ ที่ปรึกษา 1.นางสุรัสวดี เลี้ยงสุพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยอำเภอสัตหีบ 2.นางสุพัด นำเจริญลาภ ครูชำนาญการ 3.นายทัพพเทพ อรเนตร ครูผู้ช่วย คณะทำงาน นายวีรากร มณีทรัพย์สุคนธ์ หัวหน้า กศน.ตำบลนาจอมเทียน นางสาวสุรภา เชาวันดี ครู กศน.ตำบลนาจอมเทียน นางสาวสุภาวดี บางโสก หัวหน้า กศน.ตำบลสัตหีบ นางสาวปารย์พิชชา เจริญศรี ครู กศน.ตำบลสัตหีบ นางสุภาภรณ์ นวมมา หัวหน้า กศน.ตำบลพลูตาหลวง นางสาวเกษนีย์ เดชรักษา ครู กศน.ตำบลพลูตาหลวง นางสุจินดา บุพนิมิตร หัวหน้า กศน.ตำบลบางเสร่ นางสาวประวีณา ดาวมณี หัวหน้า กศน.ตำบลแสมสาร ผู้จัดพิมพ์ นางสาวสุรภา เชาวันดี ครู กศน.ตำบลนาจอมเทียน