The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานผลโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประจำปีงบประมาณ 2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookchon, 2023-08-05 03:26:10

รายงานผลโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประจำปีงบประมาณ 2564

รายงานผลโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประจำปีงบประมาณ 2564

รายงานผลการด าเนินงาน โครงการเสริมสร้างอ ุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ วันที่ 16 มีนาคม 2564 ณ กศน.ต าบลนาจอมเทียน อ าเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กศน.ต าบลนาจอมเทียน ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอสัตหีบ ส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดชลบุรี


-กบทสรุปผู้บริหาร โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ณ กศน.ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีในวันที่ 16 มีนาคม 2564 โดยมีวัตถุเพื่อปลูกฝังความรักเทิดทูนต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และแสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ และสร้าง เจตคติความจงรักภักดี ความรักและภูมิใจในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้กับประชาชนตำบล นาจอมเทียน มีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 15 คน โดยมี นายจักรพันธ์ สุวรรณวงษ์ เป็นวิทยากร ท ททททททททผลการดำเนินงานและการวิเคราะห์ข้อมูลโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ผลปรากฏอยู่ในระดับ ดีมาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมของ ผู้รับบริการต่อการเข้าร่วมกิจกรรม เป็นอันดับที่ 1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรม ผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้และเทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของ วิทยากร วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถ คิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น,สื่อ/เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และระยะเวลาในการจัด กิจกรรมเหมาะสม เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับความต้องการของผู้รับบริการผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดง ความคิดเห็นต่อการจัดทำหลักสูตร และสถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม ตามลำดับ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการ ประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องของประวัติศาสตร์ ชาติ ไทย สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ส่งเสริมคุณธรรม และสร้างจิตสำนึกความเป็นไทยให้นักศึกษาได้มี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นชาติ เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นไทยจากประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งเป็นการ เปิดโอกาสในการเรียนรู้และสร้างจิตสำนึก รักชาติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในบุญคุณ พระมหากษัตริย์ไทยและนำผลที่ได้ขยายไปสู่ชุมชนและสังคมได้เพราะผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมดมีจิตใจรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และมีความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและต้องการจะตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินที่ ได้เกิดมาในผืนดินแผ่นไทย ททททททททซึ่งสอดคล้องและเกี่ยวข้องกับบทความเรื่อง สำนึกประวัติศาสตร์' หนึ่งในกลไกสร้าง 'ความ ปรองดอง' ของ คสช.ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ใน รอบกว่า 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ (คสช.) ให้ความสำคัญและส่งเสริมวิชาประวัติศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างมากมาย โดยมี เป้าหมายชัดเจนว่าต้องการให้ประชาชนเกิด "ความปรองดอง" อย่างไรก็ตาม เราลองมาทบทวนลำดับ เหตุการณ์ความพยายามของรัฐบาลและ คสช. ในการใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสร้างความ ปรองดอง เพื่อเผยให้เห็นถึงกลไกและความคิดทางประวัติศาสตร์ที่ทั้งเปิดเผยและแฝงอยู่ นักวิชาการด้านชาตินิยมหลายคนเห็นพ้องกันว่า ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่าง หนึ่งในการสร้างสำนึกของความเป็นชาติให้เกิดขึ้น ช่วยร้อยรัดให้คนที่ไม่รู้จักกันให้สามารถจินตนาการว่า ตนเองเป็นพวกเดียวกันได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไทยเริ่มต้นใช้อย่างจริงจังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อสร้างคนไทยที่ สามัคคีกัน รวมถึงจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ผ่านระบบการศึกษาและอื่นๆ "ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเร่งสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่คนในชาติ ในส่วนของการศึกษาคงเป็นเรื่องของการส่งเสริมการเรียนการสอนในวิชาดังกล่าวให้มากขึ้น เพื่อปลูกฝังให้ เยาวชนมีความรักความสามัคคีกัน"ม่ถึง 1 สัปดาห์ต่อมา กระทรวงศึกษาธิการได้มีความเห็นให้สำนักงาน


คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการปรับปรุงวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่งอยู่ใน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยการแยกวิชาการทั้งสองออกจากกัน และให้ พิจารณาเพิ่มเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อ "ส่งเสริมให้เยาวชนมีความรักชาติ เห็น ความสำคัญของเอกลักษณ์ไทย และประวัติความเป็นมาของประเทศชาติ"


-ขคำนำ จากการที่ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ได้จัดทำ โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ณ กศน.ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีในวันที่ 16 มีนาคม 2564 เพื่อปลูกฝังความรักเทิดทูนต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และแสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ และสร้างเจตคติความจงรักภักดี ความรักและภูมิใจในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทททกศน.ตำบลนาจอมเทียน จึงจัดโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของสำนักงาน กศน. เพื่อเป็นการพัฒนาประชาชนให้มีคุณลักษณะ ดังกล่าว และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้จริง โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการเสร็จ สิ้นไปได้ด้วยดี ซึ่งรายละเอียดผลการดำเนินงานต่างๆ ตลอดจนปัญหาและอุปสรรค ได้สรุปไว้แล้ว เพื่อ รวบรวมกระบวนการดำเนินงาน ผลที่ได้นำไปใช้ ตลอดจนการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพวิถีชีวิต และ การตอบสนองความต้องการของผู้เข้ารับการฝึกอบรม สุดท้ายคือ การนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริงและ สามารถแนะนำผู้อื่นได้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างต่อเนื่อง กศน.ตำบลนาจอมเทียน มีนาคม 2564


-คสารบัญ หน้า บทสรุปผู้บริหาร............................................................................................................................. .............ก คำนำ...........................................................................................................................................................ข สารบัญ....................................................................................................................... .................................ค สารบัญตาราง........................................................................................................................ ......................ง บทที่ 1 บทนำ..........................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญ ......................................................................................................1 วัตถุประสงค์...............................................................................................................................2 เป้าหมาย....................................................................................................................................2 ระยะเวลาดำเนินงาน..................................................................................................................2 ผลลัพธ์.......................................................................................................................................2 ดัชนีวัดผลสำเร็จของโครงการ.....................................................................................................2 นิยามศัพท์เฉพาะ........................................................................................................................2 บทที่2 เอกสารการศึกษาและรายงานที่เกี่ยวข้อง .................................................................................3 ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ............3 แนวทาง/กลยุทธ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของ กศน.ตำบลนาจอมเทียน..............................................................................................................14 หลักการพัฒนาสังคมและชุมชน ......................................................................................................................................26 ประวัตศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย........................................................28 เอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................................34 บทที่ 3 วิธีดำเนินงาน..............................................................................................................................35 ประชุมบุคลากรกรรมการสถานศึกษา.........................................................................................35 แต่งตั้งคณะทำงาน......................................................................................................................35 ดำเนินงานตามแผน.....................................................................................................................35 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการดำเนินงาน..............................................................................................35 เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน ...................................................................................................35


-คสารบัญ(ต่อ) หน้า การเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................................................35 การวิเคราะห์ข้อมูล.....................................................................................................................36 บทที่ 4 ผลการดำเนินงานและการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................................37 ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัวผู้แบบสอบถามของผู้เข้ารับการอบรมในโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์...........................................................................37 ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์....................................................................................................39 บทที่ 5 สรุปผลการประเมิน อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ...................................................................40 สรุปผลการดำเนินงาน.................................................................................................................40 อภิปรายผล.................................................................................................................................40 ข้อเสนอแนะ...............................................................................................................................41 บรรณานุกรม...........................................................................................................................................42 ภาคผนวก ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข


-งสารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจำแนกตามเพศ..................................................43 2 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจำแนกตามอายุ..................................................44 3 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจำแนกตามอาชีพ................................................44 4 ผลการประเมินโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์................45


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ ททททททททสถาบันหลักสำคัญของประเทศ ประกอบด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวม จิตใจที่นำพาประเทศชาติไปสู่ความมั่นคงปลอดภัย และความเจริญก้าวหน้า ชาติไทยเป็นชาติที่มีเอกลักษณ์ ของตนเอง ได้แก่ วัฒนธรรมที่ดีงาม มีศิลปกรรม สถาปัตยกรรมที่น่าภาคภูมิใจ มีศาสนาเป็นหลักใจ และมี สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักที่สร้างชาติบ้านเมือง และปกครองดูแลให้อาณาประชาราษฎร์มีความ ร่มเย็นผาสุกมาตั้งแต่เริ่มความเป็นชาติไทย ให้ดำรงคงอยู่จนถึงพวกเราคนไทยในทุกวันนี้ พระมหากษัตริย์ไทย ทุกพระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงประเทศชาติ โดยทรงพระวิริยะอุตสาหะ ทุ่มเทพระวรกาย และพระสติปัญญาใน การแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการถวายความ จงรักภักดี และพิทักษ์รักษาสถาบันหลักของชาติ จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันรักษาไว้ด้วยชีวิต ซึ่งได้ยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลจวบจนปัจจุบัน จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและความขัดแย้งทางการเมืองได้ก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นใน กลุ่มบุคคลบางกลุ่มของสังคมไทย ซึ่งยังหาแนวทางสร้างความสามัคคีกันได้ยาก ซึ่งเป็นการบั่นทอนความ เจริญก้าวหน้าของประเทศ และมีผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของคนไทยทั่วทั้งประเทศ กศน.ตำบลนาจอมเทียน จึงได้จัดโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ประชาชนในตำบลนาจอมเทียนมีความรู้ เห็นความสำคัญของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปลูกฝังนิสัย ความรักและภูมิใจในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์แสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อปลูกฝังความรักเทิดทูนต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. เพื่อแสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ และสร้าง เจตคติความจงรักภักดี ความรักและภูมิใจในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้กับประชาชนตำบล นาจอมเทียน เป้าหมาย ด้านปริมาณ ประชาชนตำบลนาจอมเทียน จำนวน 15 คน ด้านคุณภาพ ประชาชนตำบลนาจอมเทียน ที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ มีเจตคติที่ดีและสามารถแสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ ระยะเวลาดำเนินงาน ททททททททททวันที่ 16 มีนาคม 2564 ณ กศน.ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี


ผลลัพธ์ ททททประชาชนตำบลนาจอมเทียนที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์มีเจตคติที่ดีและสามารถแสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ ดัชนีวัดผลและความสำเร็จของโครงการ ทททททททท1. ตัวชี้วัดผลผลิต ทททททททททท1) ร้อยละ 80 ของประชาชนตำบลนาจอมเทียน ที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้ เกิดความ รักเทิดทูนต่อสถาบันชาติ และเห็นความสำคัญของ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2) ร้อยละ 80 ของประชาชนตำบลนาจอมเทียน ที่เข้าร่วมโครงการมีเจตคติที่ดีและสามารถ แสดงความรักชาติ และแสดงความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างต้องกับกาลเทศะ 2. ตัวชี้วัดผลลัพธ์ 1) ประชาชนตำบลนาจอมเทียน ที่เข้าร่วมเกิดความรักเทิดทูนต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีเจตคติที่ดีและสามารถแสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ 2) ร้อยละ 80 ของประชาชนตำบลนาจอมเทียน ที่เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก นิยามศัพท์เฉพาะ อุดมการณ์หมายถึง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ให้บทนิยามคำ อุดมการณ์ไว้ ว่า อุดมคติอันสูงส่งที่จูงใจมนุษย์ให้พยายามบรรลุถึง และให้บทนิยามคำ อุดมคติว่า จินตนาการที่ถือว่าเป็น มาตรฐานแห่งความดีความงาม และความจริงทางใดทางหนึ่งที่มนุษย์ถือว่าเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตตน จะเห็นได้ ว่าสองคำนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ชาติ หมายถึง แผ่นดินที่มีประชาชนยึดครอง มีอาณาเขตที่แน่นอน มีการปกครองเป็นสัดส่วน มีผู้นำ เป็นผู้ปกครองประเทศและประชาชนทั้งหมด ด้วยกฎหมายที่ประชาชนในชาตินั้นกำหนดขึ้น เช่น ประเทศไทย มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีศาสนาพุทธ เป็นศาสนา ประจำชาติ มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติของตนเอง สืบทอดกัน มาจากบรรพบุรุษเป็นเวลายาวนาน ผู้ที่มีความรักชาติ จะช่วยกันปกป้องรักษาชาติ ไม่ให้ศัตรูมารุกรานหรือทำ ร้ายทำลาย เพื่อให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไปให้อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขสืบไป ศาสนา หมายถึง คำสอนขององค์พระศาสดาแต่ละพระองค์ ศาสนาทุกศาสนามีไว้เพื่อสอนให้มนุษย์ละ ชั่ว ประพฤติดี ผู้ที่รักศาสนา จะเป็นผู้ที่นำคำสอนของแต่ละศาสนาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ละความ ชั่ว กระทำแต่ความดี และทำจิตใจให้สะอาดปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ส่วนผู้ที่ไม่รักศาสนา จึงเป็นผู้ที่ไม่นำคำสอนของศาสนานั้นไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ละความชั่ว ไม่ประพฤติดี ไม่ ชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส ปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงครอบงำจิตใจ พระมหากษัตริย์ หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน ผู้เป็นพระประมุขของประเทศ มีหน้าที่ปกครอง ประชาชนพลเมืองในประเทศนั้นให้อยู่ดีมีสุขตามกฎหมาย ตามครรลองคลองธรรมจารีตประเพณีวัฒนธรรม ของชาตินั้นๆ เช่น ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นพระประมุข ทรงปกครองแผ่นดินโดย ธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ทรงให้แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางในการ ดำเนินชีวิตของปวงชนชาวไทย นำความเจริญรุ่งเรืองความผาสุกมาสู่พสกนิกรถ้วนหน้า มีความเป็นอยู่อย่าง ร่มเย็นเป็นสุข มีความรู้รักสามัคคีกลมเกลียว เราควรประพฤติตนเป็นคนดีถวายเป็นพระราชกุศล และถวาย 2


ความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บทที่ 2 เอกสารการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ททททททททในการจัดทำรายงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ครั้งนี้ ผู้จัดทำโครงการได้ทำการศึกษาค้นคว้าเนื้อหาจากเอกสารการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ทททททททท1. ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ทททททททท2. แนวทาง/กลยุทธ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของ กศน. ตำบลนาจอมเทียน ทททททททท3. หลักการพัฒนาสังคม ชุมชน ทททททททท4 ประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย 5. เอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดําเนินงานสํานักงาน กศน. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วิสัยทัศน์ คนไทยทุกช่วงวัยได้รับโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีทักษะ ที่จำเป็น และสมรรถนะที่สอดรับกับทิศทางการพัฒนาประเทศ สามารถดํารงชีวิตได้อย่างเหมาะสมบนรากฐาน ของหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง พันธกิจ 1. จัดและส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่มีคุณภาพ สอดคล้อง กับ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับการศึกษา และพัฒนาสมรรถนะ ทักษะการเรียนรู้ของประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย ให้พร้อมรับ การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในการดํารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม ก้าวสู่การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอด ชีวิต อย่างยั่งยืน 2. พัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและนวัตกรรมเทคโนโลยีทาง การศึกษา การวัดและประเมินผลในทุกรูปแบบให้มีคุณภาพและมาตรฐานสอดคล้องกับรูปแบบการจัดการ เรียนรู้และบริบท ในปัจจุบัน 3. ส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีทางการศึกษา และนําเทคโนโลยีมาพัฒนาเพื่อเพิ่มช่องทาง และโอกาส การเรียนรู้ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดและให้บริการการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัย ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง 4. ส่งเสริมสนับสนุน แสวงหา และประสานความร่วมมือเชิงรุกกับภาคีเครือข่าย ให้เข้ามามี ส่วนร่วม ในการสนับสนุนและจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิตใน รูปแบบต่าง ๆ ให้กับประชาชน 5. พัฒนาระบบการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีเอกภาพ เพื่อการบริหารราชการที่ดี บน หลัก ของธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และคล่องตัวมากยิ่งขึ้น


6 .ยกระดับการบริหารและการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ สมรรถนะ คุณธรรม และจริยธรรมที่ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มากยิ่งขึ้น เป้าประสงค์ 1. ประชาชนผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษารวมทั้งประชาชนทั่วไปได้รับโอกาส ทางการศึกษาในรูปแบบการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษา ตามอัธยาศัยที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เป็นไปตามบริบท สภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละ กลุ่มเป้าหมาย 2. ประชาชนได้รับการยกระดับการศึกษา สร้างเสริมและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม หน้าที่ ความเป็น พลเมืองที่ดีภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ สอดคล้องกับหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง อันนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความ เข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อพัฒนา ไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 3. ประชาชนได้รับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ด้วยตนเองผ่านแหล่ง เรียนรู้ ช่องทางการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งมีเจตคติทางสังคม การเมือง วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถคิดวิเคราะห์ แยกแยะอย่างมีเหตุผล และนําไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจําวัน รวมถึงการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์ 4. หน่วยงานและสถานศึกษา กศน. มีหลักสูตร สื่อ นวัตกรรม ช่องทางการเรียนรู้ และ กระบวนการ เรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย ทันสมัย และรองรับกับสภาวะการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหา และพัฒนาคุณภาพชีวิตตามความต้องการของประชาชนและชุมชน รวมทั้งตอบสนองกับการ เปลี่ยนแปลงบริบท ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 5. หน่วยงานและสถานศึกษา กศน. สามารถนําเทคโนโลยีทางการศึกษา และเทคโนโลยี ดิจิทัล มาพัฒนาเพื่อเพิ่มช่องทางการเรียนรู้ และนํามาใช้ในการยกระดับคุณภาพในการจัดการเรียนรู้และ โอกาสการเรียนรู้ ให้กับประชาชน 6. ชุมชนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการจัด ส่งเสริม และสนับสนุน การศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รวมทั้งการขับเคลื่อนกิจกรรมการเรียนรู้ของชุมชน 7. หน่วยงานและสถานศึกษามีระบบการบริหารจัดการองค์กรที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และ เป็นไป ตามหลักธรรมาภิบาล 8. บุคลากร กศน. ทุกประเภททุกระดับได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มทักษะและสมรรถนะในการ ปฏิบัติงาน และการให้บริการทางการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รวมถึงการปฏิบัติงานตาม สายงานอย่างมี ประสิทธิภาพ 4


จุดเน้นการดําเนินงานประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1. น้อมนําพระบรมราโชบายด้านการศึกษาสู่การปฏิบัติ 5


1.1 สืบสานศาสตร์พระราชา โดยการสร้างและพัฒนาศูนย์สาธิตและเรียนรู้ “โคก หนอง นา โมเดล” เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการบริหารทรัพยากรรูปแบบต่าง ๆ ทั้งดิน น้ำ ลม แดด รวมถึงพืชพันธุ์ต่าง ๆ และ ส่งเสริม การใช้พลังงานทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพ 1.2 จัดให้มี “หนึ่งชุมชน หนึ่งนวัตกรรมการพัฒนาชุมชน” เพื่อความกินดี อยู่ดี มีงานทํา 1.3 การสร้างกลุ่มจิตอาสาพัฒนาชุมชน รวมทั้งปลูกฝังผู้เรียนให้มีหลักคิดที่ถูกต้องด้านคุณธรรม จริยธรรม มี ทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง และเป็นผู้มีความพอเพียง ระเบียบวินัย สุจริต จิตอาสา ผ่านกิจกรรมการพัฒนา ผู้เรียนโดยการใช้กระบวนการลูกเสือและยุวกาชาด 2. ส่งสริมการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับประชาชนที่เหมาะสมกับทุกช่วงวัย 2.1 ส่งเสริมการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทํา ในรูปแบบ Re-Skill& Up-Skill และการสร้าง นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความหลากหลาย ทันสมัย และตอบสนองความต้องการของประชาชน ผู้รับบริการ และสามารถออกใบรับรองความรู้ความสามารถเพื่อนําไปใช้ในการพัฒนาอาชีพได้ 2.2 ส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษให้กับประชาชน (English for ALL) 2.3 ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เหมาะสมสําหรับผู้ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย อาทิ การฝึกอบรมอาชีพ ที่ เหมาะสมรองรับสังคมสูงวัย หลักสูตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมสมรรถนะผู้สูงวัย และหลักสูตร การ ดูแลผู้สูงวัย โดยเน้นการมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย 3. พัฒนาหลักสูตร สื่อ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา แหล่งเรียนรู้ และรูปแบบ การจัดการศึกษา และการเรียนรู้ ในทุกระดับ ทุกประเภท เพื่อประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาที่เหมาะสม กับทุก กลุ่มเป้าหมาย มีความทันสมัย สอดคล้องและพร้อมรองรับกับบริบทสภาวะสังคมปัจจุบัน ความต้องการ ของผู้เรียน และสภาวะการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 3.1 พัฒนาระบบการเรียนรู้ ONIE Digital Leaming Platform ที่รองรับ DEEP ของ กระทรวงศึกษาธิการ และช่องทางเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ ทั้ง Online On-site และ On-air 3.2 พัฒนาแหล่งเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ อาทิ Digital Science Museum/ Digital Science Center/ Digital Library ศูนย์การเรียนรู้ทุกช่วงวัย และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ กศน. (Co-Learning Space) เพื่อให้ สามารถ “เรียนรู้ได้อย่างทั่วถึง ทุกที่ ทุกเวลา” 3.3 พัฒนาระบบรับสมัครนักศึกษาและสมัครฝึกอบรมแบบออนไลน์ มีระบบการเทียบโอนความรู้ ระบบสะสมหน่วยการเรียนรู้ (Credit Bank System) และพัฒนา/ขยายการให้บริการระบบทดสอบ อิเล็กทรอนิกส์ (E-exam) 4. บูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริม สนับสนุน และจัดการศึกษาและการเรียนรู้ให้กับ ประชาชนอย่าง มีคุณภาพ 4.1 ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้ง ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน อาทิ การส่งเสริมการฝึกอาชีพที่เป็นอัตลักษณ์และบริบทของ ชุมชน ส่งเสริมการตลาดและขยายช่องทางการจําหน่ายเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์/สินค้า กศน. 4.2 บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งในส่วนกลาง และ ภูมิภาค 5. พัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในการทํางานของบุคลากร กศน. 5.1 พัฒนาศักยภาพและทักษะความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy & Digital Skills) ให้กับบุคลากรทุกประเภททุกระดับ รองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพัฒนา 6


ครูให้มีทักษะ ความรู้ และความชํานาญในการใช้ภาษาอังกฤษ การผลิตสื่อการเรียนรู้และการจัดการเรียนการ สอนเพื่อฝึกทักษะ การคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีเหตุผล เป็นขั้นตอน 5.2 จัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ ของบุคลากร กศน.และกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพ ในการ ทํางานร่วมกันในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การแข่งขันกีฬา การอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาประสิทธิภาพ ในการ ทํางาน 6. ปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและระบบบริหารจัดการองค์กร ปัจจัยพื้นฐานในการจัดการศึกษา และ การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ต่อสาธารณะชน 6.1 เร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. ... ให้สําเร็จ และปรับโครงสร้าง การ บริหารและอัตรากําลังให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลง เร่งการสรรหา บรรจุ แต่งตั้งที่มีประสิทธิภาพ 6.2 นํานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ พัฒนาระบบการทํางานและข้อมูล สารสนเทศด้านการศึกษาที่ทันสมัย รวดเร็ว และสามารถใช้งานทันที โดยจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง กศน. เพื่อ จัดทํา ข้อมูล กศน. ทั้งระบบ (ONE ONIE) 6.3 พัฒนา ปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูอาคารสถานที่ และสภาพแวดล้อมโดยรอบของหน่วยงาน สถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ทุกแห่ง ให้สะอาด ปลอดภัย พร้อมให้บริการ 6.4 ประชาสัมพันธ์/สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการบริการทางวิชาการ/กิจกรรม ด้าน การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และสร้างช่องทางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านวิชาการ ของ หน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัด อาทิ ข่าวประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อรูปแบบต่าง ๆ การจัดนิทรรศการ/ มหกรรม วิชาการ กศน. การจัดการศึกษาและการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ของสํานักงาน กศน. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ส่งผลกระทบต่อระบบการจัดการเรียนการสอนของไทยในทุกระดับชั้น ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ได้ ออกประกาศและมีมาตรการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว อาทิ กําหนดให้มี การ เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ห้ามการใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ทุก ประเภท เพื่อจัดการเรียนการสอน การสอบ ฝึกอบรม หรือการทํากิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจํานวนมาก การปิดสถานศึกษาด้วยเหตุพิเศษ การกําหนดให้ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ อาทิ การจัดการ เรียนรู้ แบบออนไลน์ การจัดการเรียนรู้ผ่านระบบการออกอากาศทางโทรทัศน์ วิทยุ และโซเซียลมีเดีย ต่าง ๆ รวมถึง การสื่อสารแบบทางไกลหรือด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนของสํานักงาน กศน. ได้มีการพัฒนา ปรับรูปแบบ กระบวนการ และวิธีการดําเนินงานใน ภารกิจ ต่อเนื่องต่าง ๆ ในสถานการณ์การใช้ชีวิตประจําวัน และการจัดการเรียนรู้เพื่อรองรับการชีวิตแบบปกติ วิถีใหม่ (New Normal) ซึ่งกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินงานตามมาตรการการ ป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COMID - 19) อาทิ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกประเภท หากมีความจําเป็นต้องมาพบกลุ่ม หรืออบรมสัมมนา ทางสถานศึกษาต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด มีเจล แอลกอฮอลล้างมือ ผู้รับบริการต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ต้องมีการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล เน้นการใช้สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีออนไลน์ในการจัดการเรียนการสอน ภารกิจต่อเนื่อง 1. ด้านการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ 7


1.1 การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1) สนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบตั้งแต่ปฐมวัยจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานโดย ดําเนินการ ให้ผู้เรียนได้รับการสนับสนุนค่าจัดซื้อหนังสือเรียน ค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และค่า จัดการเรียน การสอนอย่างทั่วถึงและเพียงพอเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพโดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย 2) จัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับกลุ่มเป้าหมายผู้ด้อย พลาด และ ขาดโอกาสทางการศึกษา ผ่านการเรียนแบบเรียนรู้ด้วยตนเอง การพบกลุ่ม การเรียนแบบชั้นเรียน และการจัด การศึกษาทางไกล 3) พัฒนาประสิทธิภาพ คุณภาพ และมาตรฐานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ทั้งด้านหลักสูตรรูปแบบ/กระบวนการเรียนการสอน สื่อและนวัตกรรม ระบบการวัดและ ประเมินผล การเรียน และระบบการให้บริการนักศึกษาในรูปแบบอื่น ๆ 4) จัดให้มีการประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ ที่มีความโปร่งใส ยุติธรรม ตรวจสอบได้ มีมาตรฐานตามที่กําหนด และสามารถตอบสนองความต้องการ ของ กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5) จัดให้มีกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่มีคุณภาพที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้และเข้าร่วมปฏิบัติ กิจกรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจบหลักสูตร อาทิ กิจกรรมเสริมสร้างความสามัคคี กิจกรรมเกี่ยวกับการ ป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดการแข่งขันกีฬา การบําเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง การส่งเสริม การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี และยุว กาชาด กิจกรรม จิตอาสา และการจัดตั้งชมรม/ชุมนุม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนํากิจกรรมการบําเพ็ญ ประโยชน์อื่น ๆ นอกหลักสูตรมาใช้เพิ่มชั่วโมงกิจกรรมให้ผู้เรียนจบตามหลักสูตรได้ 1.2 การส่งเสริมการรู้หนังสือ 1) พัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ไม่รู้หนังสือ ให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัยและเป็นระบบ เดียวกัน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 2) พัฒนาและปรับปรุงหลักสูตร สื่อ แบบเรียนเครื่องมือวัดผลและเครื่องมือการดําเนินงาน การ ส่งเสริมการรู้หนังสือที่สอดคล้องกับสภาพและบริบทของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย 3) พัฒนาครู กศน. และภาคีเครือข่ายที่ร่วมจัดการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถ และ ทักษะการ จัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้ไม่รู้หนังสืออย่างมีประสิทธิภาพ และอาจจัดให้มีอาสาสมัครส่งเสริม การรู้หนังสือใน พื้นที่ที่มีความต้องการจําเป็นเป็นพิเศษ 4) ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้หนังสือ การคงสภาพการรู้ หนังสือ การพัฒนาทักษะการรู้หนังสือให้กับประชาชนเพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต ของประชาชน 1.3 การศึกษาต่อเนื่อง 1) จัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทําอย่างยั่งยืน โดยให้ความสําคัญกับการจัดการศึกษา อาชีพ เพื่อการมีงานทําในกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม คหกรรม และอาชีพเฉพาะทาง หรือการบริการ รวมถึงการเน้นอาชีพช่างพื้นฐาน ที่สอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียน ความต้องการและ ศักยภาพของแต่ละพื้นที่ มีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน และ การพัฒนาประเทศ ตลอดจน สร้างความเข้มแข็งให้กับศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน โดยจัดให้มีการส่งเสริมการ รวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน การพัฒนา หนึ่งตําบลหนึ่งอาชีพเด่น การประกวดสินค้าดีพรีเมี่ยม การสร้างแบรนด์ 8


ของ กศน. รวมถึงการส่งเสริมและจัดหาช่องทางการจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ และให้มีการกํากับ ติดตาม และรายงานผลการจัดการศึกษาอาชีพ เพื่อการมีงานทําอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตให้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคนพิการ ผู้สูงอายุ ที่ สอดคล้องกับความต้องการจําเป็นของแต่ละบุคคล และมุ่งเน้นให้ทุกกลุ่มเป้าหมายมีทักษะการดํารงชีวิต ตลอดจน สามารถประกอบอาชีพพึ่งพาตนเองได้มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการชีวิตของตนเองให้ อยู่ในสังคม ได้อย่างมีความสุขสามารถเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมสําหรับการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของข่าวสารข้อมูลและเทคโนโลยี สมัยใหม่ในอนาคต โดยจัดกิจกรรมที่มีเนื้อหาสําคัญต่าง ๆ เช่น การอบรมจิตอาสา การให้ความรู้เพื่อการป้อง การการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COMID - 19) การอบรมพัฒนาสุขภาพกายและสุขภาพจิต การอบรมคุณธรรม และจริยธรรม การป้องกันภัยยาเสพติด เพศศึกษา การปลูกฝังและการสร้างค่านิยมที่พึง ประสงค์ ความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน ผ่านการอบรมเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ ค่ายพัฒนาทักษะ ชีวิต การจัดตั้งชมรม/ชุมนุม การอบรมส่งเสริมความสามารถพิเศษต่าง ๆ เป็นต้น 3) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน โดยใช้หลักสูตรและการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบบูรณาการในรูปแบบของการฝึกอบรมการประชุม สัมมนา การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดกิจกรรม จิตอาสา การสร้างชุมชนนักปฏิบัติ และรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และบริบทของชุมชน แต่ละ พื้นที่ เคารพความคิดของผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างและหลากหลายทางความคิดและอุดมการณ์ รวมทั้งสังคม พหุวัฒนธรรม โดยจัดกระบวนการให้บุคคลรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันสร้างกระบวนการจิต สาธารณะ การสร้างจิตสํานึกความเป็นประชาธิปไตย การเคารพในสิทธิและเสรีภาพ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ ความเป็นพลเมือง ที่ดีภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การส่งเสริม คุณธรรม จริยธรรม การเป็นจิตอาสา การบําเพ็ญประโยชน์ในชุมชนการ บริหารจัดการน้ํา การรับมือกับสา ธารณภัย การอนุรักษ์พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการพัฒนา สังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน 4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกระบวนการเรียนรู้ ตลอดชีวิต ในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับประชาชน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง และมี การบริหารจัดการ ความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ตามทิศทางการพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืน 1.4 การศึกษาตามอัธยาศัย 1) พัฒนาแหล่งการเรียนรู้ที่มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่านและพัฒนา ศักยภาพ การเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เช่น การพัฒนา กศน. ตําบล ห้องสมุด ประชาชนทุกแห่งให้มีการบริการที่ทันสมัย ส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน การ สร้างเครือข่าย ส่งเสริมการอ่าน จัดหน่วยบริการห้องสมุดเคลื่อนที่ ห้องสมุดชาวตลาด พร้อมหนังสือและ อุปกรณ์เพื่อจัดกิจกรรม ส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ที่หลากหลายให้บริการกับประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง สม่ำเสมอ รวมทั้ง เสริมสร้างความพร้อมในด้านบุคลากร สื่ออุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการอ่าน และ การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอ่าน อย่างหลากหลายรูปแบบ 2) จัดสร้างและพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ให้เป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตลอด ชีวิต ของประชาชน เป็นแหล่งสร้างนวัตกรรมฐานวิทยาศาสตร์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะวิทยาการ 9


ประจําท้องถิ่น โดยจัดทําและพัฒนานิทรรศการสื่อและกิจกรรมการศึกษาที่เน้นการเสริมสร้างความรู้และสร้าง แรงบันดาลใจ ด้านวิทยาศาสตร์สอดแทรกวิธีการคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ และปลูกฝังเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ ผ่านการกระบวนการเรียนรู้ที่บูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับเทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ รวมทั้งสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บริบทของชุมชน และประเทศ รวมทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลกเพื่อให้ประชาชนมีความรู้และสามารถนําความรู้และทักษะไป ประยุกต์ใช้ในการดําเนินชีวิต การพัฒนา อาชีพ การรักษาสิ่งแวดล้อม การบรรเทาและป้องกันภัยพิบัติทาง ธรรมชาติ รวมทั้งมีความสามารถในการปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นไปอย่าง รวดเร็วและรุนแรง (Disruptive Changes) ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ 3) ประสานความร่วมมือหน่วยงาน องค์กร หรือภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ เพื่อ ส่งเสริม การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยให้มีรูปแบบที่หลากหลาย และตอบสนองความต้องการของ ประชาชน เช่น พิพิธภัณฑ์ ศูนย์เรียนรู้ แหล่งโบราณคดี วัด ศาสนาสถาน ห้องสมุด รวมถึงภูมิปัญญา ท้องถิ่น เป็นต้น 2. ด้านหลักสูตร สือรูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลงานบริการ ทางวิชาการ และการประกันคุณภาพการศึกษา 2.1 ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมเพื่อส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่หลากหลาย ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรฐาน สมรรถนะ และ หลักสูตรท้องถิ่นที่สอดคล้องกับสภาพบริบทของพื้นที่และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและ ชุมชน 2.2 ส่งเสริมการพัฒนาสื่อแบบเรียน สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่ออื่น ๆ ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน กลุ่มเป้าหมายทั่วไปและกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา 2.3 พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาทางไกลให้มีความทันสมัย หลากหลายช่องทางการเรียนรู้ ด้วย ระบบห้องเรียนและการควบคุมการสอบรูปแบบออนไลน์ 2.4 พัฒนาระบบการประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง มีการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนได้รับรู้และสามารถเข้าถึงระบบการประเมินได้ 2.5 พัฒนาระบบการวัดและประเมินผลการศึกษานอกระบบทุกหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตร ใน ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ได้มาตรฐานโดยการนําแบบทดสอบกลาง และระบบการสอบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Exam) มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.6 ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ การ วัดและประเมินผล และเผยแพร่รูปแบบการจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและ การศึกษา ตามอัธยาศัย รวมทั้งให้มีการนําไปสู่การปฏิบัติอย่างกว้างขวางและมีการพัฒนาให้เหมาะสมกับ บริบทอย่างต่อเนื่อง 2.7 พัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาให้ได้มาตรฐาน มีการพัฒนาระบบการประกัน คุณภาพภายในที่สอดคล้องกับบริบทและภารกิจของ กศน. มากขึ้น เพื่อพร้อมรับการประเมินคุณภาพภายนอก โดยพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักถึงความสําคัญของระบบการประกันคุณภาพ และ สามารถ ดําเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้การประเมินภายในด้วย ตนเอง และจัดให้มี ระบบสถานศึกษาพี่เลี้ยงเข้าไปสนับสนุนอย่างใกล้ชิด สําหรับสถานศึกษาที่ยังไม่ได้เข้ารับ การประเมินคุณภาพ ภายนอก ให้พัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กําหนด 10


3. ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 3.1 ผลิตและพัฒนารายการวิทยุและรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเพื่อให้เชื่อมโยงและตอบสนอง ต่อการจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของสถานศึกษาเพื่อกระจายโอกาสทาง การศึกษา สําหรับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ให้มีทางเลือกในการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีคุณภาพ สามารถพัฒนา ตนเองให้รู้เท่าทัน สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร เช่น รายการพัฒนาอาชีพเพื่อการมีงานทํา รายการติวเข้มเติมเต็มความรู้ รายการ รายการทํากินก็ได้ ทําขายก็ดี ฯลฯ เผยแพร่ทางสถานีวิทยุศึกษา สถานี วิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ETV) และทางอินเทอร์เน็ต 3.2 พัฒนาการเผยแพร่การจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยโดยผ่านระบบ เทคโนโลยีดิจิทัล และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Youtube Facebook หรือ Application อื่น ๆ เพื่อ ส่งเสริม ให้ครู กศน. นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Do It Yourself : DIY) 3.3 พัฒนาสถานีวิทยุศึกษาและสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการ ออกอากาศให้กลุ่มเป้าหมายสามารถใช้เป็นช่องทางการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยขยาย เครือข่ายการรับฟังให้สามารถรับฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศและเพิ่มช่องทาง ให้สามารถ รับชมรายการโทรทัศน์ได้ทั้งระบบ Ku - Band C - Band Digital TV และทางอินเทอร์เน็ต พร้อมที่จะ รองรับ การพัฒนาเป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษาสาธารณะ (Free ETV) 3.4 พัฒนาระบบการให้บริการสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเพื่อให้ได้หลายช่องทางทั้งทาง อินเทอร์เน็ต และรูปแบบอื่น ๆ อาทิ Application บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ Tablet รวมทั้งสื่อ Offline ในรูปแบบ ต่าง ๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกใช้บริการเพื่อเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ 3.5 สํารวจ วิจัย ติดตามประเมินผลด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อนําผล มา ใช้ในการพัฒนางานให้มีความถูกต้อง ทันสมัยและสามารถส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของ ประชาชนได้อย่างแท้จริง 4. ด้านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ หรือโครงการอันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์ 4.1 ส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริหรือโครงการ อัน เกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์ 4.2 จัดทําฐานข้อมูลโครงการและกิจกรรมของ กศน.ที่สนองงานโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดําริ หรือโครงการอันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์เพื่อนําไปใช้ในการวางแผน การติดตามประเมินผลและการ พัฒนางาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.3 ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายการดําเนินงานเพื่อสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 4.4 พัฒนาศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง”เพื่อให้มีความพร้อมในการจัดการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตามบทบาทหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.5 จัดและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนบนพื้นที่สูง ถิ่น ทุรกันดาร และพื้นที่ชายขอบ 5. ด้านการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและพื้นที่บริเวณ ชายแดน 5.1 พัฒนาการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 1) จัดและพัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ที่ตอบสนองปัญหา และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งอัตลักษณ์และความเป็นพหุวัฒนธรรมของพื้นที่ 11


2) พัฒนาคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อให้ ผู้เรียนสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ได้จริง 3) ให้หน่วยงานและสถานศึกษาจัดให้มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยแก่บุคลากรและ นักศึกษา กศน.ตลอดจนผู้มาใช้บริการอย่างทั่วถึง 5.2 พัฒนาการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 1) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทําแผนการศึกษาตามยุทธศาสตร์ และบริบทของแต่ละจังหวัดในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 2) จัดทําหลักสูตรการศึกษาตามบริบทของพื้นที่ โดยเน้นสาขาที่เป็นความต้องการของตลาด ให้เกิดการพัฒนาอาชีพได้ตรงตามความต้องการของพื้นที่ 5.3 จัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดน(ศฝช.) 1) พัฒนาศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดน เพื่อให้เป็นศูนย์ฝึกและสาธิต การประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบการจัดกิจกรรมตามแนวพระราชดําริปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง สําหรับประชาชนตามแนวชายแดนด้วยวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย 2) มุ่งจัดและพัฒนาการศึกษาอาชีพโดยใช้วิธีการหลากหลายใช้รูปแบบเชิงรุกเพื่อการเข้าถึง กลุ่มเป้าหมาย เช่น การจัดมหกรรมอาชีพ การประสานความร่วมมือกับเครือข่าย การจัดอบรมแกนนําด้าน อาชีพ ที่เน้นเรื่องเกษตรธรรมชาติที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนชายแดน ให้แก่ประชาชนตามแนวชายแดน 6. ด้านบุคลากรระบบการบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 6.1 การพัฒนาบุคลากร 1) พัฒนาบุคลากรทุกระดับทุกประเภทให้มีสมรรถนะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนและ ระหว่าง การดํารงตําแหน่งเพื่อให้มีเจตคติที่ดีในการปฏิบัติงานให้มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานตําแหน่ง ให้ ตรงกับสายงาน ความชํานาญ และความต้องการของบุคลากรสามารถปฏิบัติงานและบริหารจัดการการ ดําเนินงานของหน่วยงานและ สถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งส่งเสริมให้ข้าราชการในสังกัดพัฒนา ตนเองเพื่อเลื่อนตําแหน่ง หรือเลื่อนวิทยฐานะโดยเน้นการประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ 2) พัฒนาศึกษานิเทศก์ กศน. ให้มีสมรรถนะที่จําเป็นครบถ้วน มีความเป็นมืออาชีพ สามารถ ปฏิบัติการนิเทศได้อย่างมีศักยภาพ เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตาม อัธยาศัยในสถานศึกษา 3) พัฒนาหัวหน้า กศน.ตําบล/แขวงให้มีสมรรถนะสูงขึ้น เพื่อการบริหารจัดการ กศน.ตําบล/ แขวง และการปฏิบัติงานตามบทบาทภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการเป็นนักจัดการความรู้และผู้ อํานวย ความสะดวกในการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง 4) พัฒนาครู กศน. และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาให้สามารถจัดรูปแบบการ เรียนรู้ ได้อย่างมีคุณภาพโดยส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถในการจัดทําแผนการสอน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ การวัด และประเมินผล และการวิจัยเบื้องต้น 5) พัฒนาศักยภาพบุคลากร ที่รับผิดชอบการบริการการศึกษาและการเรียนรู้ ให้มีความรู้ ความสามารถและมีความเป็นมืออาชีพในการจัดบริการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน 6) ส่งเสริมให้คณะกรรมการ กศน. ทุกระดับ และคณะกรรมการสถานศึกษา มีส่วนร่วมใน การ บริหารการดําเนินงานตามบทบาทภารกิจของ กศน.อย่างมีประสิทธิภาพ 12


7) พัฒนาอาสาสมัคร กศน. ให้สามารถทําหน้าที่สนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 8) พัฒนาสมรรถนะและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรรวมทั้งภาคีเครือข่ายทั้งใน และต่างประเทศในทุกระดับ โดยจัดให้มีกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการ ทํางาน ร่วมกันในรูปแบบที่หลากหลายอย่างต่อเนื่องอาทิ การแข่งขันกีฬา การอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนา ประสิทธิภาพ ในการทํางาน 6.2 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอัตรากําลัง 1) จัดทําแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและดําเนินการปรับปรุงสถานที่และวัสดุอุปกรณ์ ให้มี ความพร้อมในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ 2) สรรหา บรรจุ แต่งตั้ง และบริหารอัตรากําลังที่มีอยู่ทั้งในส่วนที่เป็นข้าราชการ พนักงาน ราชการ และลูกจ้าง ให้เป็นไปตามโครงสร้างการบริหารและกรอบอัตรากําลัง รวมทั้งรองรับกับบทบาทภารกิจ ตามที่กําหนดไว้ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน 3) แสวงหาความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการระดมทรัพยากรเพื่อนํามาใช้ ใน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมสําหรับดําเนินกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตาม อัธยาศัย และการส่งเสริมการเรียนรู้สําหรับประชาชน 6.3 การพัฒนาระบบบริหารจัดการ 1) พัฒนาระบบฐานข้อมูลให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัย และเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ อย่างเป็นระบบเพื่อให้หน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดสามารถนําไปใช้เป็นเครื่องมือสําคัญในการบริหาร การวางแผน การปฏิบัติงาน การติดตามประเมินผล รวมทั้งจัดบริการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย อย่างมีประสิทธิภาพ 2) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงบประมาณ โดยพัฒนาระบบการกํากับ ควบคุม และ เร่งรัด การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ 3) พัฒนาระบบฐานข้อมูลรวมของนักศึกษา กศน. ให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัย และ เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ สามารถสืบค้นและสอบทานได้ทันความต้องการเพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษา ให้กับ ผู้เรียนและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 4) ส่งเสริมให้มีการจัดการความรู้ในหน่วยงานและสถานศึกษาทุกระดับ รวมทั้งการศึกษา วิจัย เพื่อสามารถนํามาใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพการดําเนินงานที่สอดคล้องกับความต้องการของ ประชาชน และชุมชนพร้อมทั้งพัฒนาขีดความสามารถเชิงการแข่งขันของหน่วยงานและสถานศึกษา 5) สร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมทั้งใน ประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจ และให้ เกิดความร่วมมือ ในการส่งเสริม สนับสนุน และจัดการศึกษาและการเรียนรู้ให้กับประชาชนอย่างมีคุณภาพ 6) ส่งเสริมการใช้ระบบสํานักงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-office) ในการบริหารจัดการ เช่น ระบบ การ ลา ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการขอใช้รถราชการ ระบบการขอใช้ห้องประชุม เป็นต้น 7) พัฒนาและปรับระบบวิธีการปฏิบัติราชการให้ทันสมัย มีความโปร่งใส ปลอดการทุจริต และประพฤติมิชอบ บริหารจัดการบนข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ มุ่งผลสัมฤทธิ์มีความโปร่งใส 6.4 การกํากับ นิเทศติดตามประเมิน และรายงานผล 1) สร้างกลไกการกํากับ นิเทศ ติดตาม ประเมิน และรายงานผลการดําเนินงานการศึกษา นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยให้เชื่อมโยงกับหน่วยงาน สถานศึกษา และภาคีเครือข่ายทั้งระบบ 13


2) ให้หน่วยงานและสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องทุกระดับ พัฒนาระบบกลไกการกํากับ ติดตาม และ รายงานผลการนํานโยบายสู่การปฏิบัติ ให้สามารถตอบสนองการดําเนินงานตามนโยบายในแต่ละเรื่องได้ อย่างมี ประสิทธิภาพ 3) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสื่ออื่น ๆ ที่เหมาะสม เพื่อการ กํากับ นิเทศ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลอย่างมีประสิทธิภาพ 4) พัฒนากลไกการติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคํารับรองการปฏิบัติราชการ ประจําปี ของหน่วยงาน สถานศึกษา เพื่อการรายงานผลตามตัวชี้วัดในคํารับรองการปฏิบัติราชการประจําปี ของสํานักงาน กศน.ให้ดําเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กําหนด 5) ให้มีการเชื่อมโยงระบบการนิเทศในทุกระดับ ทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกองค์กร ตั้งแต่ ส่วนกลาง ภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด อําเภอ/เขต และตําบล/แขวง เพื่อความเป็นเอกภาพในการใช้ ข้อมูล และการพัฒนางานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 2. แนวทาง/กลยุทธ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของ กศน. ตำบลนาจอมเทียน ปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ กศน.ตำบลนาจอมเทียน ปรัชญา “คิดเป็น ทำเป็น เน้น ICT” วิสัยทัศน์ กศน.ตำบลนาจอมเทียนจัดการศึกษาตลอดชีวิตและการศึกษาอาชีพที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เท่าเทียม กัน เพื่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ ICT และมีความสามารถเชิงแข่งขันในประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน พันธกิจ 1. กศน.ตำบลนาจอมเทียน จัดและส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่ มีคุณภาพ สอดคล้อง กับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับการศึกษา และพัฒนาสมรรถนะ ทักษะการเรียนรู้ของประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมในแต่ ละช่วงวัย ให้พร้อมรับ การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในการดํารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม ก้าวสู่การเป็นสังคม แห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างยั่งยืน 2. กศน.ตำบลนาจอมเทียน พัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและ นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา การวัดและประเมินผลในทุกรูปแบบให้มีคุณภาพและมาตรฐานสอดคล้อง กับรูปแบบการจัดการเรียนรู้และบริบท ในปัจจุบัน 3. กศน.ตำบลนาจอมเทียน ส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีทางการศึกษา และนําเทคโนโลยีมา พัฒนาเพื่อเพิ่มช่องทางและโอกาส การเรียนรู้ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดและให้บริการการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง 4. กศน.ตำบลนาจอมเทียน ส่งเสริมสนับสนุน แสวงหา และประสานความร่วมมือเชิงรุกกับ ภาคีเครือข่าย ให้เข้ามามีส่วนร่วม ในการสนับสนุนและจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับประชาชน 14


5. กศน.ตำบลนาจอมเทียน พัฒนาระบบการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีเอกภาพ เพื่อ การบริหารราชการที่ดีบนหลัก ของธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และคล่องตัวมากยิ่งขึ้น 6 .กศน.ตำบลนาจอมเทียน ยกระดับการบริหารและการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ สมรรถนะ คุณธรรม และจริยธรรมที่ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการทางการศึกษาและการ เรียนรู้ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เป้าประสงค์ 1. ประชาชนผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษารวมทั้งประชาชนทั่วไปในตำบล นาจอมเทียน ได้รับโอกาส ทางการศึกษาในรูปแบบการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษา ต่อเนื่อง และการศึกษา ตามอัธยาศัยที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เป็นไปตามบริบท สภาพปัญหาและ ความต้องการของแต่ละ กลุ่มเป้าหมาย 2. ประชาชนตำบลนาจอมเทียน ได้รับการยกระดับการศึกษา สร้างเสริมและปลูกฝัง คุณธรรม จริยธรรม หน้าที่ความเป็น พลเมืองที่ดีภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่สอดคล้องกับหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง อันนําไปสู่การยกระดับ คุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อพัฒนา ไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 3. ประชาชนในตำบลนาจอมเทียน ได้รับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ด้วย ตนเองผ่านแหล่งเรียนรู้ ช่องทางการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งมีเจตคติทางสังคม การเมือง วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถคิดวิเคราะห์ แยกแยะอย่างมีเหตุผล และนําไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน รวมถึงการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์ 4. กศน.ตำบลนาจอมเทียน มีหลักสูตร สื่อ นวัตกรรม ช่องทางการเรียนรู้ และกระบวนการ เรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย ทันสมัย และรองรับกับสภาวะการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหา และพัฒนาคุณภาพชีวิตตามความต้องการของประชาชนและชุมชน รวมทั้งตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลง บริบท ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 5. กศน. ตำบลนาจอมเทียน สามารถนําเทคโนโลยีทางการศึกษา และเทคโนโลยีดิจิทัล มาพัฒนาเพื่อเพิ่มช่องทางการเรียนรู้ และนํามาใช้ในการยกระดับคุณภาพในการจัดการเรียนรู้และโอกาสการ เรียนรู้ ให้กับประชาชน 6. ชุมชนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของตำบลนาจอมเทียน มีส่วนร่วมในการจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รวมทั้งการขับเคลื่อนกิจกรรมการเรียนรู้ของ ชุมชน 7. กศน.ตำบลนาจอมเทียน และสถานศึกษามีระบบการบริหารจัดการองค์กรที่ทันสมัย มี ประสิทธิภาพ และเป็นไป ตามหลักธรรมาภิบาล 8. บุคลากร กศน. ทุกประเภททุกระดับได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มทักษะและสมรรถนะในการ ปฏิบัติงาน และการให้บริการทางการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รวมถึงการปฏิบัติงานตาม สายงานอย่างมี ประสิทธิภาพ 15


จุดเน้นการดําเนินงานประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1. น้อมนําพระบรมราโชบายด้านการศึกษาสู่การปฏิบัติ 1.1 กศน.ตำบลนาจอมเทียน สืบสานศาสตร์พระราชา โดยการสร้างและพัฒนาศูนย์สาธิตและเรียนรู้ “โคก หนอง นา โมเดล” เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการบริหารทรัพยากรรูปแบบต่าง ๆ ทั้งดิน น้ำ ลม แดด รวมถึงพืชพันธุ์ต่าง ๆ และส่งเสริม การใช้พลังงานทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพ 16


1.2 กศน.ตำบลนาจอมเทียน จัดให้มี “หนึ่งชุมชน หนึ่งนวัตกรรมการพัฒนาชุมชน” เพื่อความกินดี อยู่ดี มีงานทํา 1.3 กศน.ตำบลนาจอมเทียน สร้างกลุ่มจิตอาสาพัฒนาชุมชน รวมทั้งปลูกฝังผู้เรียนให้มีหลักคิดที่ ถูกต้องด้านคุณธรรม จริยธรรม มีทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง และเป็นผู้มีความพอเพียง ระเบียบวินัย สุจริต จิต อาสา ผ่านกิจกรรมการพัฒนา ผู้เรียนโดยการใช้กระบวนการลูกเสือและยุวกาชาด 2. ส่งสริมการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับประชาชนที่เหมาะสมกับทุกช่วงวัย 2.1 กศน.ตำบลนาจอมเทียน ส่งเสริมการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทํา ในรูปแบบ Re-Skill& Up-Skill และการสร้าง นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความหลากหลาย ทันสมัย และตอบสนองความ ต้องการของประชาชน ผู้รับบริการ และสามารถออกใบรับรองความรู้ความสามารถเพื่อนําไปใช้ในการพัฒนา อาชีพได้ 2.2 กศน.ตำบลนาจอมเทียน ส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษให้กับประชาชน (English for ALL) 2.3 กศน.ตำบลนาจอมเทียน ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เหมาะสมสําหรับผู้ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย อาทิ การฝึกอบรมอาชีพ ที่เหมาะสมรองรับสังคมสูงวัย หลักสูตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมสมรรถนะผู้สูง วัย และหลักสูตร การดูแลผู้สูงวัย โดยเน้นการมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อม เข้าสู่สังคมสูงวัย 3. พัฒนาหลักสูตร สื่อ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา แหล่งเรียนรู้ และรูปแบบ การจัดการศึกษา และการเรียนรู้ ในทุกระดับ ทุกประเภท เพื่อประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาที่เหมาะสม กับทุก กลุ่มเป้าหมาย มีความทันสมัย สอดคล้องและพร้อมรองรับกับบริบทสภาวะสังคมปัจจุบัน ความต้องการ ของผู้เรียน และสภาวะการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 3.1 พัฒนาระบบการเรียนรู้ ONIE Digital Leaming Platform ที่รองรับ DEEP ของ กระทรวงศึกษาธิการ และช่องทางเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ ทั้ง Online On-site และ On-air 3.2 พัฒนาแหล่งเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ อาทิ Digital Science Museum/ Digital Science Center/ Digital Library ศูนย์การเรียนรู้ทุกช่วงวัย และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ กศน. (Co-Learning Space) เพื่อให้ สามารถ “เรียนรู้ได้อย่างทั่วถึง ทุกที่ ทุกเวลา” 3.3 พัฒนาระบบรับสมัครนักศึกษาและสมัครฝึกอบรมแบบออนไลน์ มีระบบการเทียบโอนความรู้ ระบบสะสมหน่วยการเรียนรู้ (Credit Bank System) และพัฒนา/ขยายการให้บริการระบบทดสอบ อิเล็กทรอนิกส์ (E-exam) 4. บูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริม สนับสนุน และจัดการศึกษาและการเรียนรู้ให้กับ ประชาชนอย่าง มีคุณภาพ 4.1 กศน.ตำบลนาจอมเทียน ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้ง ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน อาทิ การส่งเสริมการฝึกอาชีพที่ เป็นอัตลักษณ์และบริบทของชุมชน ส่งเสริมการตลาดและขยายช่องทางการจําหน่ายเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์/ สินค้า กศน. 17


4.2 กศน.ตำบลนาจอมเทียน บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัด กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งในส่วนกลาง และภูมิภาค 5. พัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในการทํางานของบุคลากร กศน. 5.1 กศน.ตำบลนาจอมเทียน มีการพัฒนาศักยภาพและทักษะความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy & Digital Skills) ให้กับบุคลากรทุกประเภททุกระดับ รองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างมี ประสิทธิภาพ รวมทั้งพัฒนาครูให้มีทักษะ ความรู้ และความชํานาญในการใช้ภาษาอังกฤษ การผลิตสื่อการ เรียนรู้และการจัดการเรียนการสอนเพื่อฝึกทักษะ การคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีเหตุผล เป็นขั้นตอน 5.2 จัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ ของบุคลากร กศน.และกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทํางาน ร่วมกันในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การแข่งขันกีฬา การอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาประสิทธิภาพ ในการทํางาน 6. ปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและระบบบริหารจัดการองค์กร ปัจจัยพื้นฐานในการจัดการศึกษา และ การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ต่อสาธารณะชน 6.1 เร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ ให้สําเร็จ และปรับโครงสร้าง การบริหารและ อัตรากําลังให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลง เร่งการสรรหา บรรจุ แต่งตั้งที่มีประสิทธิภาพ 6.2 กศน.ตำบลนาจอมเทียน นํานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ พัฒนา ระบบการทํางานและข้อมูล สารสนเทศด้านการศึกษาที่ทันสมัย รวดเร็ว และสามารถใช้งานทันที โดยจัดตั้ง ศูนย์ข้อมูลกลาง กศน. เพื่อจัดทํา ข้อมูล กศน. ทั้งระบบ (ONE ONIE) 6.3 กศน.ตำบลนาจอมเทียน มีการพัฒนา ปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูอาคารสถานที่ และ สภาพแวดล้อมโดยรอบของหน่วยงาน สถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ทุกแห่ง ให้สะอาด ปลอดภัย พร้อม ให้บริการ 6.4 กศน.ตำบลนาจอมเทียน มีการประชาสัมพันธ์/สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการ บริการทางวิชาการ/กิจกรรม ด้านการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และสร้างช่องทางการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านวิชาการ ของหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัด อาทิ ข่าวประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อ รูปแบบต่าง ๆ การจัดนิทรรศการ/มหกรรม วิชาการ กศน. กศน.ตำบลนาจอมเทียน มีการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID - 19) ของสํานักงาน กศน. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ส่งผลกระทบต่อระบบการจัดการเรียนการสอนของไทยในทุกระดับชั้น ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ได้ ออกประกาศและมีมาตรการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว อาทิ กําหนดให้มี การ เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ห้ามการใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ทุก ประเภท เพื่อจัดการเรียนการสอน การสอบ ฝึกอบรม หรือการทํากิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจํานวนมาก การปิดสถานศึกษาด้วยเหตุพิเศษ การกําหนดให้ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ อาทิ การจัดการ เรียนรู้ แบบออนไลน์ การจัดการเรียนรู้ผ่านระบบการออกอากาศทางโทรทัศน์ วิทยุ และโซเซียลมีเดีย ต่าง ๆ รวมถึง การสื่อสารแบบทางไกลหรือด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนของสํานักงาน กศน. ได้มีการพัฒนา ปรับรูปแบบ กระบวนการ และวิธีการดําเนินงานใน ภารกิจ ต่อเนื่องต่าง ๆ ในสถานการณ์การใช้ชีวิตประจําวัน และการจัดการเรียนรู้เพื่อรองรับการชีวิตแบบปกติ วิถีใหม่ (New Normal) ซึ่งกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินงานตามมาตรการการ ป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COMID - 19) อาทิ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกประเภท หากมีความจําเป็นต้องมาพบกลุ่ม หรืออบรมสัมมนา ทางสถานศึกษาต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด มีเจล 18


แอลกอฮอลล้างมือ ผู้รับบริการต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ต้องมีการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล เน้นการใช้สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีออนไลน์ในการจัดการเรียนการสอน ภารกิจต่อเนื่อง 1. ด้านการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ 1.1 การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1) กศน.ตำบลนาจอมเทียน สนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบตั้งแต่ปฐมวัยจนจบ การศึกษาขั้นพื้นฐานโดยดําเนินการ ให้ผู้เรียนได้รับการสนับสนุนค่าจัดซื้อหนังสือเรียน ค่าจัดกิจกรรมพัฒนา คุณภาพผู้เรียน และค่าจัดการเรียน การสอนอย่างทั่วถึงและเพียงพอเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทาง การศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 2) กศน.ตำบลนาจอมเทียน จัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับ กลุ่มเป้าหมายผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษา ผ่านการเรียนแบบเรียนรู้ด้วยตนเอง การพบกลุ่ม การเรียนแบบชั้นเรียน และการจัด การศึกษาทางไกล 3) กศน.ตำบลนาจอมเทียนมีการพัฒนาประสิทธิภาพ คุณภาพ และมาตรฐานการจัด การศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ทั้งด้านหลักสูตรรูปแบบ/กระบวนการเรียนการสอน สื่อและ นวัตกรรม ระบบการวัดและประเมินผล การเรียน และระบบการให้บริการนักศึกษาในรูปแบบอื่น ๆ 4) กศน.ตำบลนาจอมเทียน จัดให้มีการประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอน ความรู้และประสบการณ์ ที่มีความโปร่งใส ยุติธรรม ตรวจสอบได้ มีมาตรฐานตามที่กําหนด และสามารถ ตอบสนองความต้องการ ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5) กศน.ตำบลนาจอมเทียน จัดให้มีกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่มีคุณภาพที่ผู้เรียนต้อง เรียนรู้และเข้าร่วมปฏิบัติ กิจกรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจบหลักสูตร อาทิ กิจกรรมเสริมสร้างความ สามัคคี กิจกรรมเกี่ยวกับการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดการแข่งขันกีฬา การบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ อย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กิจกรรม ลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาด กิจกรรม จิตอาสา และการจัดตั้งชมรม/ชุมนุม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียน นํากิจกรรมการบําเพ็ญประโยชน์อื่น ๆ นอกหลักสูตรมาใช้เพิ่มชั่วโมงกิจกรรมให้ผู้เรียนจบตามหลักสูตรได้ 1.2 การส่งเสริมการรู้หนังสือ 1) พัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ไม่รู้หนังสือ ให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัยและเป็นระบบ เดียวกัน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 2) พัฒนาและปรับปรุงหลักสูตร สื่อ แบบเรียนเครื่องมือวัดผลและเครื่องมือการดําเนินงาน การ ส่งเสริมการรู้หนังสือที่สอดคล้องกับสภาพและบริบทของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย 3) พัฒนาครู กศน. และภาคีเครือข่ายที่ร่วมจัดการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถ และ ทักษะการ จัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้ไม่รู้หนังสืออย่างมีประสิทธิภาพ และอาจจัดให้มีอาสาสมัครส่งเสริม การรู้หนังสือใน พื้นที่ที่มีความต้องการจําเป็นเป็นพิเศษ 4) ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้หนังสือ การคงสภาพการรู้ หนังสือ การพัฒนาทักษะการรู้หนังสือให้กับประชาชนเพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต ของประชาชน 1.3 การศึกษาต่อเนื่อง 1) กศน.ตำบลนาจอมเทียนมีการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทําอย่างยั่งยืน โดยให้ ความสําคัญกับการจัดการศึกษาอาชีพ เพื่อการมีงานทําในกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม 19


คหกรรม และอาชีพเฉพาะทางหรือการบริการ รวมถึงการเน้นอาชีพช่างพื้นฐาน ที่สอดคล้องกับศักยภาพของ ผู้เรียน ความต้องการและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ มีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ สอดรับกับความ ต้องการของตลาดแรงงาน และการพัฒนาประเทศ ตลอดจน สร้างความเข้มแข็งให้กับศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน โดย จัดให้มีการส่งเสริมการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน การพัฒนา หนึ่งตําบลหนึ่งอาชีพเด่น การประกวดสินค้าดีพรี เมี่ยม การสร้างแบรนด์ของ กศน. รวมถึงการส่งเสริมและจัดหาช่องทางการจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ และ ให้มีการกํากับ ติดตาม และรายงานผลการจัดการศึกษาอาชีพ เพื่อการมีงานทําอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2) กศน.ตำบลนาจอมเทียนมีการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตให้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคนพิการ ผู้สูงอายุ ที่สอดคล้องกับความต้องการจําเป็นของแต่ละบุคคล และมุ่งเน้นให้ทุก กลุ่มเป้าหมายมีทักษะการดํารงชีวิตตลอดจน สามารถประกอบอาชีพพึ่งพาตนเองได้มีความรู้ความสามารถใน การบริหารจัดการชีวิตของตนเองให้อยู่ในสังคม ได้อย่างมีความสุขสามารถเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจําวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมสําหรับการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของ ข่าวสารข้อมูลและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในอนาคต โดยจัดกิจกรรมที่มีเนื้อหาสําคัญต่าง ๆ เช่น การอบรมจิต อาสา การให้ความรู้เพื่อการป้องการการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COMID - 19) การอบรม พัฒนาสุขภาพกายและสุขภาพจิต การอบรมคุณธรรม และจริยธรรม การป้องกันภัยยาเสพติด เพศศึกษา การ ปลูกฝังและการสร้างค่านิยมที่พึงประสงค์ ความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน ผ่านการอบรมเรียนรู้ใน รูปแบบต่าง ๆ อาทิ ค่ายพัฒนาทักษะชีวิต การจัดตั้งชมรม/ชุมนุม การอบรมส่งเสริมความสามารถพิเศษต่าง ๆ เป็นต้น 3) กศน.ตำบลนาจอมเทียนมีการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน โดยใช้หลักสูตร และการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบบูรณาการในรูปแบบของการฝึกอบรมการประชุม สัมมนา การจัดเวที แลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดกิจกรรม จิตอาสา การสร้างชุมชนนักปฏิบัติ และรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับ กลุ่มเป้าหมาย และบริบทของชุมชน แต่ละพื้นที่ เคารพความคิดของผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างและ หลากหลายทางความคิดและอุดมการณ์ รวมทั้งสังคม พหุวัฒนธรรม โดยจัดกระบวนการให้บุคคลรวมกลุ่มเพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันสร้างกระบวนการจิตสาธารณะ การสร้างจิตสํานึกความเป็นประชาธิปไตย การเคารพ ในสิทธิและเสรีภาพ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ความเป็นพลเมือง ที่ดีภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม การเป็นจิตอาสา การบําเพ็ญประโยชน์ใน ชุมชนการ บริหารจัดการน้ํา การรับมือกับสาธารณภัย การอนุรักษ์พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการพัฒนาสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน 4) กศน.ตำบลนาจอมเทียนมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับประชาชน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถยืนหยัด อยู่ได้อย่างมั่นคง และมีการบริหารจัดการ ความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ตามทิศทางการพัฒนาประเทศสู่ความ สมดุลและยั่งยืน 1.4 การศึกษาตามอัธยาศัย 1) กศน.ตำบลนาจอมเทียนมีการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ที่มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อการอ่านและพัฒนาศักยภาพ การเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เช่น การพัฒนา กศน. ตําบล ห้องสมุด ประชาชนทุกแห่งให้มีการบริการที่ทันสมัย ส่งเสริมและสนับสนุน อาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน การสร้างเครือข่าย ส่งเสริมการอ่าน จัดหน่วยบริการห้องสมุดเคลื่อนที่ ห้องสมุด ชาวตลาด พร้อมหนังสือและอุปกรณ์เพื่อจัดกิจกรรม ส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ที่หลากหลายให้บริการกับ 20


ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง สม่ำเสมอ รวมทั้ง เสริมสร้างความพร้อมในด้านบุคลากร สื่ออุปกรณ์เพื่อ สนับสนุนการอ่าน และการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอ่าน อย่างหลากหลายรูปแบบ 2) จัดสร้างและพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ให้เป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตลอด ชีวิต ของประชาชน เป็นแหล่งสร้างนวัตกรรมฐานวิทยาศาสตร์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะวิทยาการ ประจําท้องถิ่น โดยจัดทําและพัฒนานิทรรศการสื่อและกิจกรรมการศึกษาที่เน้นการเสริมสร้างความรู้และสร้าง แรงบันดาลใจ ด้านวิทยาศาสตร์สอดแทรกวิธีการคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ และปลูกฝังเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ ผ่านการกระบวนการเรียนรู้ที่บูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับเทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ รวมทั้งสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บริบทของชุมชน และประเทศ รวมทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลกเพื่อให้ประชาชนมีความรู้และสามารถนําความรู้และทักษะไป ประยุกต์ใช้ในการดําเนินชีวิต การพัฒนา อาชีพ การรักษาสิ่งแวดล้อม การบรรเทาและป้องกันภัยพิบัติทาง ธรรมชาติ รวมทั้งมีความสามารถในการปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นไปอย่าง รวดเร็วและรุนแรง (Disruptive Changes) ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ 3) กศน.ตำบลนาจอมเทียน ประสานความร่วมมือหน่วยงาน องค์กร หรือภาคส่วนต่าง ๆ ที่มี แหล่งเรียนรู้อื่น ๆ เพื่อส่งเสริม การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยให้มีรูปแบบที่หลากหลาย และตอบสนองความ ต้องการของประชาชน เช่น พิพิธภัณฑ์ ศูนย์เรียนรู้ แหล่งโบราณคดี วัด ศาสนาสถาน ห้องสมุด รวมถึงภูมิ ปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น 2. ด้านหลักสูตร สือรูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลงานบริการ ทางวิชาการ และการประกันคุณภาพการศึกษา 2.1 ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมเพื่อส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่หลากหลาย ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรฐาน สมรรถนะ และ หลักสูตรท้องถิ่นที่สอดคล้องกับสภาพบริบทของพื้นที่และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและ ชุมชน 2.2 ส่งเสริมการพัฒนาสื่อแบบเรียน สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่ออื่น ๆ ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน กลุ่มเป้าหมายทั่วไปและกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา 2.3 พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาทางไกลให้มีความทันสมัย หลากหลายช่องทางการเรียนรู้ ด้วย ระบบห้องเรียนและการควบคุมการสอบรูปแบบออนไลน์ 2.4 พัฒนาระบบการประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง มีการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนได้รับรู้และสามารถเข้าถึงระบบการประเมินได้ 2.5 พัฒนาระบบการวัดและประเมินผลการศึกษานอกระบบทุกหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตร ใน ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ได้มาตรฐานโดยการนําแบบทดสอบกลาง และระบบการสอบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Exam) มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.6 ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ การ วัดและประเมินผล และเผยแพร่รูปแบบการจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและ การศึกษา ตามอัธยาศัย รวมทั้งให้มีการนําไปสู่การปฏิบัติอย่างกว้างขวางและมีการพัฒนาให้เหมาะสมกับ บริบทอย่างต่อเนื่อง 2.7 พัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาให้ได้มาตรฐาน มีการพัฒนาระบบการประกัน คุณภาพภายในที่สอดคล้องกับบริบทและภารกิจของ กศน. มากขึ้น เพื่อพร้อมรับการประเมินคุณภาพภายนอก 21


โดยพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักถึงความสําคัญของระบบการประกันคุณภาพ และ สามารถ ดําเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้การประเมินภายในด้วย ตนเอง และจัดให้มี ระบบสถานศึกษาพี่เลี้ยงเข้าไปสนับสนุนอย่างใกล้ชิด สําหรับสถานศึกษาที่ยังไม่ได้เข้ารับ การประเมินคุณภาพ ภายนอก ให้พัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กําหนด 3. ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 3.1 ผลิตและพัฒนารายการวิทยุและรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเพื่อให้เชื่อมโยงและตอบสนอง ต่อการจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของสถานศึกษาเพื่อกระจายโอกาสทาง การศึกษา สําหรับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ให้มีทางเลือกในการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีคุณภาพ สามารถพัฒนา ตนเองให้รู้เท่าทัน สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร เช่น รายการพัฒนาอาชีพเพื่อการมีงานทํา รายการติวเข้มเติมเต็มความรู้ รายการ รายการทํากินก็ได้ ทําขายก็ดี ฯลฯ เผยแพร่ทางสถานีวิทยุศึกษา สถานี วิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ETV) และทางอินเทอร์เน็ต 3.2 พัฒนาการเผยแพร่การจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยโดยผ่านระบบ เทคโนโลยีดิจิทัล และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Youtube Facebook หรือ Application อื่น ๆ เพื่อ ส่งเสริม ให้ครู กศน. นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Do It Yourself : DIY) 3.3 พัฒนาสถานีวิทยุศึกษาและสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการ ออกอากาศให้กลุ่มเป้าหมายสามารถใช้เป็นช่องทางการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยขยาย เครือข่ายการรับฟังให้สามารถรับฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศและเพิ่มช่องทาง ให้สามารถ รับชมรายการโทรทัศน์ได้ทั้งระบบ Ku - Band C - Band Digital TV และทางอินเทอร์เน็ต พร้อมที่จะ รองรับ การพัฒนาเป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษาสาธารณะ (Free ETV) 3.4 พัฒนาระบบการให้บริการสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเพื่อให้ได้หลายช่องทางทั้งทาง อินเทอร์เน็ต และรูปแบบอื่น ๆ อาทิ Application บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ Tablet รวมทั้งสื่อ Offline ในรูปแบบ ต่าง ๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกใช้บริการเพื่อเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ 3.5 สํารวจ วิจัย ติดตามประเมินผลด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อนําผล มา ใช้ในการพัฒนางานให้มีความถูกต้อง ทันสมัยและสามารถส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของ ประชาชนได้อย่างแท้จริง 4. ด้านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ หรือโครงการอันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์ 4.1 กศน.ตำบลนาจอมเทียน ส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดําริหรือโครงการ อันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์ 4.2 กศน.ตำบลนาจอมเทียน จัดทําฐานข้อมูลโครงการและกิจกรรมของ กศน.ที่สนองงานโครงการอัน เนื่องมาจาก พระราชดําริหรือโครงการอันเกี่ยวเนื่องจากราชวงศ์เพื่อนําไปใช้ในการวางแผน การติดตาม ประเมินผลและการ พัฒนางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.3 กศน.ตำบลนาจอมเทียน ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายการดําเนินงานเพื่อสนับสนุนโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดําริ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 5. ด้านบุคลากรระบบการบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 5.1 การพัฒนาบุคลากร 22


1) พัฒนาบุคลากรทุกระดับทุกประเภทให้มีสมรรถนะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนและ ระหว่าง การดํารงตําแหน่งเพื่อให้มีเจตคติที่ดีในการปฏิบัติงานให้มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานตําแหน่ง ให้ ตรงกับสายงาน ความชํานาญ และความต้องการของบุคลากรสามารถปฏิบัติงานและบริหารจัดการการ ดําเนินงานของหน่วยงานและ สถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งส่งเสริมให้ข้าราชการในสังกัดพัฒนา ตนเองเพื่อเลื่อนตําแหน่ง หรือเลื่อนวิทยฐานะโดยเน้นการประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ 2) พัฒนาศึกษานิเทศก์ กศน. ให้มีสมรรถนะที่จําเป็นครบถ้วน มีความเป็นมืออาชีพ สามารถ ปฏิบัติการนิเทศได้อย่างมีศักยภาพ เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตาม อัธยาศัยในสถานศึกษา 3) พัฒนาหัวหน้า กศน.ตําบล/แขวงให้มีสมรรถนะสูงขึ้น เพื่อการบริหารจัดการ กศน.ตําบล/ แขวง และการปฏิบัติงานตามบทบาทภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการเป็นนักจัดการความรู้และผู้ อํานวย ความสะดวกในการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง 4) พัฒนาครู กศน. และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาให้สามารถจัดรูปแบบการ เรียนรู้ ได้อย่างมีคุณภาพโดยส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถในการจัดทําแผนการสอน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ การวัด และประเมินผล และการวิจัยเบื้องต้น 5) พัฒนาศักยภาพบุคลากร ที่รับผิดชอบการบริการการศึกษาและการเรียนรู้ ให้มีความรู้ ความสามารถและมีความเป็นมืออาชีพในการจัดบริการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน 6) ส่งเสริมให้คณะกรรมการ กศน. ทุกระดับ และคณะกรรมการสถานศึกษา มีส่วนร่วมใน การ บริหารการดําเนินงานตามบทบาทภารกิจของ กศน.อย่างมีประสิทธิภาพ 7) พัฒนาอาสาสมัคร กศน. ให้สามารถทําหน้าที่สนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 8) พัฒนาสมรรถนะและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรรวมทั้งภาคีเครือข่ายทั้งใน และต่างประเทศในทุกระดับ โดยจัดให้มีกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการ ทํางาน ร่วมกันในรูปแบบที่หลากหลายอย่างต่อเนื่องอาทิ การแข่งขันกีฬา การอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนา ประสิทธิภาพ ในการทํางาน 5.2 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอัตรากําลัง 1) จัดทําแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและดําเนินการปรับปรุงสถานที่และวัสดุอุปกรณ์ ให้มี ความพร้อมในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ 2) สรรหา บรรจุ แต่งตั้ง และบริหารอัตรากําลังที่มีอยู่ทั้งในส่วนที่เป็นข้าราชการ พนักงาน ราชการ และลูกจ้าง ให้เป็นไปตามโครงสร้างการบริหารและกรอบอัตรากําลัง รวมทั้งรองรับกับบทบาทภารกิจ ตามที่กําหนดไว้ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน 3) แสวงหาความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการระดมทรัพยากรเพื่อนํามาใช้ ใน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมสําหรับดําเนินกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตาม อัธยาศัย และการส่งเสริมการเรียนรู้สําหรับประชาชน 5.3 การพัฒนาระบบบริหารจัดการ 1) พัฒนาระบบฐานข้อมูลให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัย และเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ อย่างเป็นระบบเพื่อให้หน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดสามารถนําไปใช้เป็นเครื่องมือสําคัญในการบริหาร การวางแผน การปฏิบัติงาน การติดตามประเมินผล รวมทั้งจัดบริการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย อย่างมีประสิทธิภาพ 23


2) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงบประมาณ โดยพัฒนาระบบการกํากับ ควบคุม และ เร่งรัด การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ 3) พัฒนาระบบฐานข้อมูลรวมของนักศึกษา กศน. ให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัย และ เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ สามารถสืบค้นและสอบทานได้ทันความต้องการเพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษา ให้กับ ผู้เรียนและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 4) ส่งเสริมให้มีการจัดการความรู้ในหน่วยงานและสถานศึกษาทุกระดับ รวมทั้งการศึกษา วิจัย เพื่อสามารถนํามาใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพการดําเนินงานที่สอดคล้องกับความต้องการของ ประชาชน และชุมชนพร้อมทั้งพัฒนาขีดความสามารถเชิงการแข่งขันของหน่วยงานและสถานศึกษา 5) สร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมทั้งใน ประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจ และให้ เกิดความร่วมมือ ในการส่งเสริม สนับสนุน และจัดการศึกษาและการเรียนรู้ให้กับประชาชนอย่างมีคุณภาพ 6) ส่งเสริมการใช้ระบบสํานักงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-office) ในการบริหารจัดการ เช่น ระบบ การ ลา ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการขอใช้รถราชการ ระบบการขอใช้ห้องประชุม เป็นต้น 7) พัฒนาและปรับระบบวิธีการปฏิบัติราชการให้ทันสมัย มีความโปร่งใส ปลอดการทุจริต และประพฤติมิชอบ บริหารจัดการบนข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ มุ่งผลสัมฤทธิ์มีความโปร่งใส 5.4 การกํากับ นิเทศติดตามประเมิน และรายงานผล 1) สร้างกลไกการกํากับ นิเทศ ติดตาม ประเมิน และรายงานผลการดําเนินงานการศึกษา นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยให้เชื่อมโยงกับหน่วยงาน สถานศึกษา และภาคีเครือข่ายทั้งระบบ 2) ให้หน่วยงานและสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องทุกระดับ พัฒนาระบบกลไกการกํากับ ติดตาม และ รายงานผลการนํานโยบายสู่การปฏิบัติ ให้สามารถตอบสนองการดําเนินงานตามนโยบายในแต่ละเรื่องได้ อย่างมี ประสิทธิภาพ 3) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสื่ออื่น ๆ ที่เหมาะสม เพื่อการ กํากับ นิเทศ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลอย่างมีประสิทธิภาพ 4) พัฒนากลไกการติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคํารับรองการปฏิบัติราชการ ประจําปี ของหน่วยงาน สถานศึกษา เพื่อการรายงานผลตามตัวชี้วัดในคํารับรองการปฏิบัติราชการประจําปี ของสํานักงาน กศน.ให้ดําเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กําหนด 5) ให้มีการเชื่อมโยงระบบการนิเทศในทุกระดับ ทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกองค์กร ตั้งแต่ ส่วนกลาง ภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด อําเภอ/เขต และตําบล/แขวง เพื่อความเป็นเอกภาพในการใช้ ข้อมูล และการพัฒนางานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จุดเน้นการดำเนินงานตามแนวทาง/กลยุทธ์ กศน.ตำบลนาจอมเทียน 1. จุดเน้นด้านประชากรกลุ่มเป้าหมาย ทททททททท1.1 กศน.ตำบลนาจอมเทียน มุ่งเน้นสร้างโอกาสทางการศึกษาที่มีความเป็นธรรมให้กับประชากร ทุกกลุ่มตำนาจอมเทียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้ด้อย ผู้พลาด และผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา ทั้งนี้จำแนก ประชากรกลุ่มเป้าหมายไว้ ดังนี้ ทททททททท (1) จำแนกตามช่วงอายุมี3 กลุ่ม ได้แก่ ททททททททททททท (1.1) กลุ่มวัยเรียนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน (อายุ6-14ปี) ททททททททททททท(1.2) กลุ่มประชากรวัยแรงงาน (อายุ15-59 ปี) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย 24


1.2.1 กลุ่มวันแรงงานอายุ15-39 ปีเป็นกลุ่มวันแรงงานที่ให้ความสำคัญในการ จัดบริการการเรียนรู้ เป็นกลุ่มแรก 1.2.2 กลุ่มวัยแรงงานอายุ40-59ปีเป็นกลุ่มวัยแรงงานที่ให้ความสำคัญในการ จัดบริการการเรียนรู้ รองลงมา (1.3) กลุ่มผู้สูงอายุ แบ่งเป็น 4 กลุ่มย่อย โดยให้ความสำคัญในการจัดบริการการเรียนรู้ จากมากไปหาน้อยตามลำดับ ดังนี้ กลุ่มอายุ60-69 ปี กลุ่มอายุ70-79 ปี กลุ่มอายุ80-69 ปี กลุ่มอายุ90ปี ขึ้นไป (2) จำแนกตามคุณลักษณะเฉพาะทางสังคม-ประชากรที่เกี่ยวเนื่องกับการเข้าสู่โอกาสทาง การศึกษา แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ (2.1) กลุ่มที่มีเงื่อนไขข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา/การเรียนรู้จำแนก เป็น 3 กลุ่มใหญ่17 กลุ่มย่อย ดังนี้ 2.1.1 กลุ่มผู้ด้อยโอกาส เป็นกลุ่มที่มีโอกาสในการที่จะเข้ารับบริการทางการศึกษา/ ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ ด้อยกว่าคนปกติเนื่องมาจากข้อจำกัดทางร่างกาย/จิตใจ/สติปัญญาหรือความสามารถ ในการเรียนรู้ ข้อจำกัดทางด้านฐานะทางเศรษฐกิจหรือความยากจน ข้อจำกัดด้านการติดต่อสื่อสารอัน เนื่องมาจากความแตกต่างทางภาษา/วัฒนธรรม 3 กลุ่มย่อยมี 2.1.2 กลุ่มผู้พลาดโอกาส เป็นกลุ่มที่พลาดโอกาสในการที่จะเข้ารับบริการทาง การศึกษา/ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ อันเนื่องมาจาก ความไม่สามารถในการที่จะรับการศึกษา/การเรียนรู้ ได้ อย่างต่อเนื่องไม่มีความประสงค์ที่จะรับการศึกษา การเรียนรู้ จนจบหลักสูตรหรือระดับชั้นการศึกษาใดๆ การ ย้ายถิ่น/เร่ร่อน เงื่อนไขข้อจำกัดเกี่ยวกับอายุ7 กลุ่มย่อย 2.1.3 กลุ่มผู้ขาดโอกาส เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา/ร่วม กิจกรรมการเรียนรู้อันเนื่อง 1) การอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยจากการก่อการร้าย/การก่อความไม่สงบบริเวณชายแดน 2) การอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล หรือยากลำบากในการคมนาคมติดต่อสื่อสาร 3) การมีถิ่นอยู่ในต่างประเทศ 4) การถูกจำคุก คุมขังหรือจำกัดบริเวณตามคำพิพากษา 5) การไม่มีสิทธิภาพในฐานะพลเมืองไทยหรือ 7กลุ่มย่อยมี ได้แก่ ทท (1) กลุ่มประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยจากการก่อการร้ายการก่อความไม่สงบในบริเวณ ชายแดน (2) กลุ่มประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกลหรือยากลำบากในการคมนาคม ติดต่อสื่อสาร (3) กลุ่มคนไทยในต่างประเทศ (4) กลุ่มผู้ต้องขัง 25


(5) กลุ่มเด็ก/เยาวชนในสถานพินิจ (6) กลุ่มแรงงานต่างด้าว หรือแรงงานข้ามชาติ (7) กลุ่มบุคคลที่ไม่มีทะเบียนราษฎร์ (2.2) กลุ่มที่ไม่มีเงื่อนไขข้อจากัดในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา/การเรียนรู้ จำแนกเป็น 4 กลุ่มย่อย ได้แก่ ททททททททกลุ่มบุคคลผู้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น/ภูมิปัญญาพื้นบ้านหรือปราชญ์ชาวบ้าน กลุ่มผู้นำชุมชนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ททททททททกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาในระบบโรงเรียนที่สนใจเติมเต็มความรู้ กลุ่มประชาชนทั่วไป 2.จุดเน้นของ กศน.ตำบลนาจอมเทียน และภาคีเครือข่าย 2.1 ผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา คณะกรรมการ กศน.ตำบล และครู กศน.ตำบล ทุกคน ได้รับการพัฒนาให้มี ศักยภาพและความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจ ตามบทบาทหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ 2.2 มีการประสานเชื่อมโยงการทำงานตามโครงสร้างภายในกศน.ตำบลกับภาคีเครือข่ายทั้งใน ระดับนโยบายและระดับปฏิบัติอย่างเป็นระบบโดยมีเอกภาพในเชิงนโยบาย และเน้นผลสัมฤทธิ์เป็นเป้า หมายความสาเร็จในการทำงาน 2.3 กศน.ตำบลมีแผนจุลภาค (Micro Planning) เป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมหรือออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ ทางการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายใน พื้นที่ โดยมีข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ สภาพทางกายภาพของชุมชน ปัญหา/ความต้องการของประชาทาง การศึกษา กลุ่มเป้าหมาย แต่ละกลุ่ม แต่ละประเภท แหล่งวิทยากรชุมชน (ทุนมนุษย์ ทุนสังคมกายภาพ และ ทุกการเงิน) ซึ่งมีการปรับปรุงข้อมูลดังกล่าวให้เป็นปัจจุบันทุกรอปีงบประมาณ 3.จุดเน้นด้านผลสัมฤทธิ์กศน.ตำบลนาจอมเทียน 3.1 ประชากรกลุ่มเป้าหมาย กศน.ตำบลนาจอมเทียน ที่สำเร็จหลักสูตรหรือร่วมกิจกรรมการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย มีผลสัมฤทธิ์ที่มีคุณภาพ ตรง ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือกิจกรรม การศึกษา/การเรียนรู้ ที่กำหนดไว้ และสามารถนำความรู้ และประสบการณ์การเรียนรู้โยชน์ได้จริงที่ได้รับไปใช้ 3.2 นักศึกษา/ผู้เรียนที่สำเร็จหลักสูตรการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย มีคุณธรรม จริยธรรม ยึดค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ในการดำเนินชีวิตและมีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต 3. หลักการพัฒนาสังคมและชุมชน 1 สาระสำคัญ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน เป็นการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้และทักษะ จากการศึกษาที่ผู้เรียนมีอยู่หรือได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนโดยมีรูปแบบการเรียนรู้ที่ หลากหลายใช้ชุมชนเป็นฐานในการพัฒนาการเรียนรู้และทุนทางสังคมเป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ เพื่อ 26


พัฒนาสังคมและชุมชนให้มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และประชาชน อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มี การพัฒนาที่ยั่งยืน 2. นโยบาย เร่งรัดจัดการศึกษานอกโรงเรียนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม โดยใช้ชุมชนเป็น ฐานบูรณาการความรู้และทักษะการดำรงชีวิต เพื่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ นำไปสู่สังคมที่เข้มแข็ง มีความ เอื้ออาทรต่อกัน และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน 3. เป้าหมายสาธารณะ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชนเป็นการจัดการศึกษาที่มุ่งใช้กระบวนการศึกษาเป็น เครื่องมือในการพัฒนาสังคมและชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีความ เอื้ออาทร มีคุณธรรม จริยธรรม สืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกำหนดทิศทางการพัฒนาของสังคมและชุมชนตามแนวทางในระบอบ ประชาธิปไตยโดยมีเป้าหมาย ดังนี้ (1) ให้มีกิจกรรมการพัฒนาสังคมและชุมชน 1 โครงการ (2) ให้บริการนิทรรศการการศึกษา (3) จัดค่ายเยาวชนประชาธิปไตย /ค่ายประชาชนประชาธิปไตย (4) จัดกิจกรรมธรรมะเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน 4. แนวทางและมาตรการ (1) พัฒนาศักยภาพการทำงานของบุคลากร กศน. โดยปรับบทบาทการทำงานให้สอดคล้องกับ หน้าที่ สร้างความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนตามนโยบาย และกำหนดให้ครู กศน. รับผิดชอบการจัดกิจกรรมระดับตำบลในลักษณะ Project Approach (2) ดำเนินการในรูปโครงการที่ให้ความสำคัญกับประเด็นหลักของการพัฒนา 4 ด้าน กล่าวคือ เศรษฐกิจ (วิสาหกิจชุมชน) การเมืองการปกครอง(ประชาธิปไตย) สังคม(วัฒนธรรมและภูมิปัญญาชุมชน) และ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสั่งสอนอบรมเผยแผ่ธรรมะและคุณธรรม จริยธรรม ตามหลักของศาสนาในแต่ละ ท้องถิ่น โดยบูรณาการการเรียนรู้เข้ากับสภาพจริงของชุมชน (3) ส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน และกลไกทุกภาคส่วนของสังคม เป็นผู้รับผิดชอบหลัก(เจ้าภาพ) ในการจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ โดยเฉพาะการจัดอบรมความรู้ ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายในเรื่องการจัดการ การตลาด และบรรจุภัณฑ์ (4) ใช้ทุนทางสังคมสนับสนุนการจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนในชุมชน (5) ส่งเสริมให้มีการจัดทำเวทีชาวบ้านเพื่อให้ชุมชนเรียนรู้สภาพปัญหาและความต้องการของ ชุมชนและจัดทำแผนแม่บทชุมชน (6) ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมการพัฒนาสังคมและชุมชน 1 โครงการ 5. ตัวชี้วัด เชิงปริมาณ – จำนวนผู้เข้ารับการอบรมและพัฒนาวิชาชีพ – จำนวนผู้สำเร็จตามหลักสูตรที่กำหนด เชิงคุณภาพ 27


-ความพึงพอใจของผู้รับบริการ -ประโยชน์ที่ผู้รับบริการได้รับ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน โดยให้ประชาชน ชุมชนร่วมกัน รับผิดชอบและเห็นถึงความสำคัญในการฟื้นฟูพัฒนาสังคมและชุมชนของตนเอง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิด การเรียนรู้ บูรณาการความรู้ ประสบการณ์ และทักษะอาชีพ เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและ ชุมชนโดยรวม ทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ นำไปสู่สังคมที่เข้มแข็ง มีความเอื้ออาทรต่อกัน และพึ่งพาตนเอง ได้อย่างยั่งยืน กิจกรรมพัฒนาสังคมและชุมชนมี 5 ด้าน คือ 1. ด้านเศรษฐกิจ - กิจกรรมเศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเอง 2. ด้านการเมือง - กิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตย 3. ด้านสังคม - กิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ 4. ด้านสิ่งแวดล้อม - กิจกรรมรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 5. ด้านศิลปวัฒนธรรม - กิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน เป็นการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้ และ ทักษะจากการศึกษาที่ผู้เรียนมีอยู่ หรือได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียน โดยมีรูปแบบการ เรียนที่หลากหลาย ให้ชุมชนเป็นฐานในการพัฒนาการเรียนรู้ และทุนทางสังคมเป็นเครื่องมือในการจัดการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาสังคมและชุมชนให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่ดีมีการพัฒนาที่ยั่งยืน 4. ประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย พระมหากษัตริย์ไทย เป็นประมุขของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตามระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์และประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะลดลงหลังจากการ ปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่สถาบัน พระมหากษัตริย์ก็ยังคงได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร สยาม พุทธศักราช 2475 กับทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับว่า พระมหากษัตริย์ "ทรงดำรงอยู่ ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ยังทรงได้รับความคุ้มครอง ด้วยกฎหมายอาญา ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์พระองค์เป็นความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และ ศาล ทรงเป็นจอมทัพไทย พุทธมามกะ และอัครศาสนูปถัมภก มีพระราชอำนาจสถาปนาและพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์กับฐานันดรศักดิ์ พระราชทานอภัยโทษ ประกาศสงครามและสงบศึก รวมตลอดถึงพระ ราชอำนาจอื่น ๆ ซึ่งจะทรงใช้ได้ก็แต่โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ยกเว้นพระราช อำนาจบางประการที่ทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย คือ ตั้งและถอดองคมนตรีกับบรรดาข้าราชการในพระองค์ พระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรีและเป็นประมุขราชวงศ์จักรีมีที่ประทับอย่างเป็นทางการ คือพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร 28


พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวราง กูร โดยทรงรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 แต่ในทางนิตินัยถือว่าพระองค์เสด็จขึ้นทรงราชย์ตั้งแต่ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 รัชทายาทของพระมหากษัตริย์ไทยมีตำแหน่งเรียกว่าสยามมกุฎราชกุมาร การสืบมรดกของ พระมหากษัตริย์เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 โดยมีลักษณะ เป็นการโอนจากบิดาสู่บุตรตามหลักบุตรคนหัวปีเฉพาะที่เป็นชาย แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฉบับ ปัจจุบันเปิดให้เสนอพระนามพระราชธิดาขึ้นสืบราชบัลลังก์ได้ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งรัชทายาท ไว้ กำเนิดประวัติศาสตร์ชาติไทย รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การ ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็น ปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิป ไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (รับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) ที่ถือว่าวรรณะกษัตริย์มี อำนาจทางทหาร และหลักความเชื่อแบบเถรวาท ที่ถือพระมหากษัตริย์เป็น "ธรรมราชา" หลังจากที่ พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะ ปกครองประชาชนโดยธรรม สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อ ขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพระมหาธรรมราชา ที่ 1 พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิดธรรมราชาตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้น ของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียก พระมหากษัตริย์ว่าพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเรียกว่าพระเจ้า กรุงสยาม[6] สถานะของพระมหากษัตริย์ในยุคนี้ได้รับคติ "เทวราชา" จากศาสนาฮินดู กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพเจ้าอวตารมาเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ดังเห็นได้จากการใช้คำนำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้า" การเปลี่ยนแปลง ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 กลุ่มนักศึกษาซึ่งได้รับการศึกษาแบบตะวันตกและนายทหารเรียก "ผู้ก่อการ" ได้ปฏิวัติยึดอำนาจและเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญ แก่ชาวสยาม ในเดือนธันวาคมปีนั้นจึงพระราชทานรัฐธรรมนูญเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาสู่ราชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ บทบาทของพระมหากษัตริย์ก็เหลือเพียงประมุขแห่งรัฐเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น โดยทรงใช้ พระราชอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ผ่านรัฐสภา นายกรัฐมนตรี และศาล 29


ในปี พ.ศ. 2478 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสละราชสมบัติ หลังทรงไม่ลงรอยกับ รัฐบาลที่เป็นอำนาจนิยมมากขึ้น พระองค์ทรงประทับในสหราชอาณาจักรจนสวรรคต พระบาทสมเด็จพระ ปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรทรงสืบราชสันตติวงศ์ ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 10 พรรษาและเสด็จอยู่ต่างประเทศในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงมีการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแทน ในช่วงนั้น บทบาทและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ถูกยึดโดยรัฐบาลฟาสซิสต์จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้นำ สยามเข้ากับฝ่ายอักษะระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสงครามยุติ จอมพลแปลกถูกถอดออกและ พระมหากษัตริย์เสด็จนิวัติประเทศ ระหว่างสงคราม พระญาติหลายพระองค์ของพระมหากษัตริย์เป็นสมาชิก ขบวนการเสรีไทย ซึ่งต่อต้านการยึดครองของต่างชาติระหว่างสงครามและช่วยกู้ฐานะของประเทศไทยหลัง สงคราม หลังพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2489 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้นทรงพระชนมายุ 19 พรรษา กลายเป็น พระมหากษัตริย์รัชกาลถัดมา พระองค์มีปฐมบรมราชโองการดังนี้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์ สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" เริ่มเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2543 บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยถูกนักวิชาการ สื่อ ผู้ สังเกตการณ์และนักประเพณีนิยมคัดค้านเพิ่มขึ้น และเมื่อผู้สนใจนิยมประชาธิปไตยที่มีการศึกษาเริ่มแสดงออก ซึ่งสิทธิคำพูดของเขา หลายคนถือว่าชุดกฎหมายและมาตรการเกี่ยวข้องกับความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ใน ประเทศไทยซึ่งมุ่งคุ้มครองพระมหากษัตริย์และราชวงศ์เป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพการแสดงออก มีการจับกุม การสืบสวนอาญาและจำคุกหลายครั้งโดยอาศัยกฎหมายเหล่านี้ ในปี พ.ศ. 2548 พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสว่า สามารถวิจารณ์พระองค์ได้หากสร้างสรรค์และไม่มีแรงจูงใจทาง การเมือง กรมราชเลขานุการในพระองค์และสภาองคมนตรีไทยสนับสนุนภาระหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ โดยปรึกษากับนายกรัฐมนตรี พระราชวังและพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มีสำนักพระราชวังและ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้จัดการตามลำดับ หน่วยงานเหล่านี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล ไทย และพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งพนักงานทั้งหมด สถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทอย่างไรในการพัฒนาประเทศไทย สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของชาติไทยมาต่อเนื่อง สังคมไทยให้ ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์มายาวนานกว่า 700 ปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เป็น สถาบันทางสังคมที่เข้มแข็งยืนยง ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาความเป็นไทภายใต้พระบรมโพธิสมภารมา จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าการปกครองประเทศจะเปลี่ยนแปลงจากระบอบราชาธิปไตยที่เป็นการปกครองแบบ “พ่อ ปกครองลูก” โดยใช้อำนาจอธิปไตยปกครองประชาชนบนพื้นฐานความรัก เมตตา ดุจบิดาพึงมีต่อบุตร มาเป็น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เปรียบเสมือนสมมติเทพที่มีอำนาจเหนือปวงชนและมาสู่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข 1. ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย 1) การเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ตามประวัติศาสตร์ชาติไทยพระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่ ปกครองประเทศด้วยความเป็นธรรม ปกป้องคุ้มครองราชอาณาจักรจากการรุกรานของ อนารยชน ทำให้ ประชาชนดำรงชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีเสรีภาพในการทำมาหากิน ใช้ชีวิตตามวิถีเครือญาติ ผูกพันกับการ 30


ทำเกษตร และมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ประชาชนจึงมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่าง ลึกซึ้ง มั่นคง มีความสามัคคีกลมเกลียวกันเกิดความเป็นปึกแผ่นและ เป็นพลังสำคัญยิ่ง 2) สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของชาติไทยมาต่อเนื่อง สังคมไทยให้ ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์มายาวนานกว่า 700 ปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เป็น สถาบันทางสังคมที่เข้มแข็งยืนยง ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาความเป็นไทภายใต้พระบรมโพธิสมภารมา จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าการปกครองประเทศจะเปลี่ยนแปลงจากระบอบราชาธิปไตยที่เป็นการปกครองแบบ “พ่อ ปกครองลูก” โดยใช้อำนาจอธิปไตยปกครองประชาชนบนพื้นฐานความรัก เมตตา ดุจบิดาพึงมีต่อบุตร มาเป็น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เปรียบเสมือนสมมติเทพที่มีอำนาจเหนือปวงชนและมาสู่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย 3) พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นผู้นำการพัฒนาประเทศในทุกด้าน (1) การปกครองประเทศ ที่มีการแบ่งพื้นที่ วิธีการ และผู้รับผิดชอบตามความเหมาะสม ความจำเป็น และสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยยึดหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองอย่าง ต่อเนื่อง สร้างความร่มเย็นและผาสุกให้แก่ประชาชน (2) การพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มุ่งสร้างงานและรายได้ให้ทุกคนสามารถเลี้ยงดูตนเองและ ครอบครัวได้เป็นปกติสุขมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ทำให้เศรษฐกิจในสมัยนั้นมีความมั่นคง ก่อนเริ่มสร้าง ความสัมพันธ์ทางการค้ากับต่างประเทศ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามุ่งค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าจนเป็นศูนย์กลาง การค้าขายที่สำคัญในสุวรรณภูมิต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีดำเนินการไปตามยุค สมัย รวมทั้งสร้างฐานการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ทั้งการติดต่อสื่อสารโดยตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลข การนำ รถไฟมาใช้ในการคมนาคมขนส่ง ขุดคลองชลประทานเพื่อการเกษตรและการท่องเที่ยวในและนอกประเทศ ในช่วงรัชกาลที่ 5 ยุครัตนโกสินทร์จนพัฒนามาสู่ยุคปัจจุบันที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกสาขาภายใต้หลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (3) การพัฒนาสังคม ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขโดยเสริมสร้างความสัมพันธ์ ฉันท์เครือญาติเพื่อช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ใช้หลักอาวุโสในการดูแลสมาชิกในสังคม ที่เด็กต้องเคารพและเชื่อฟัง ผู้ใหญ่ ทำให้สภาพสังคมมีกฎเกณฑ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่ทุกคนยอมรับและปฏิบัติร่วมกันสืบต่อกันมา สามารถยึดโยงกันเป็นชาติไทยจนถึงปัจจุบัน ต่อมามุ่งพัฒนาคนให้มีความรู้ เริ่มจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ที่วัด โดยมีพระทำหน้าที่เป็นครู จนถึงการส่งผู้มีศักยภาพไปเล่าเรียนต่างประเทศในช่วงรัชกาลที่ 5 เพื่อนำความรู้มา ใช้พัฒนาประเทศ ในปัจจุบันการศึกษาได้ แผ่ขยายครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งชนกลุ่มน้อยที่ พระมหากษัตริย์ทรงเมตตาจัดการเรียนการสอนให้ในพื้นที่ห่างไกลและบนพื้นที่สูง ส่วนด้านวัฒนธรรมให้ริเริ่ม ให้มีวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแต่ละช่วงเวลา เช่น ประเพณีสิบสองเดือน วัฒนธรรมตาม เทศกาลและการแต่งกายแบบไทย เป็นต้น ในปัจจุบันวัฒนธรรมดั้งเดิมบางอย่างได้เลือนหายไปตามกาลเวลา จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องอนุรักษ์ ฟื้นฟู เพื่อรักษาความเป็นไทยให้คงอยู่สืบไป (4) ความมั่นคงของประเทศ พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ทรงมี พระอัจฉริยภาพในการ รักษาความมั่นคงของประเทศในรูปแบบต่างๆ ทั้งการใช้วัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศใกล้เคียง ใน อดีตผ่านการร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อมาผ่านการเรียนรู้วัฒนธรรมประเทศต่างๆ ด้วยการเสด็จเยี่ยม 31


เยือน และแลกเปลี่ยนความรู้ การสร้างสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจในแต่ละยุคสมัยเพื่อคงความเป็น อธิปไตยและความเป็นชาติและการสานสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในปัจจุบันโดยเฉพาะประเทศที่มี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข 4) การปกครองของไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่สมัย สุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยและสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และได้ปรับปรุงระบบการบริหาร ราชการแผ่นดินมาโดยลำดับ คือ สมัยสุโขทัยได้จำลองลักษณะครอบครัวมาใช้ในการปกครอง เป็นการใช้ อำนาจของพ่อปกครองลูก แบบให้ความเมตตา และให้เสรีภาพแก่ราษฎรตามสมควร ต่อมาในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจทั้งปวงในแผ่นดิน มีการปรับปรุงรูปแบบการปกครองใหม่ โดย แยกการบริหาราชการออกเป็นฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการทางด้านเวียง วัง คลัง นา ทหารและการป้องกันประเทศ มีสมุหนายกและสมุหกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นการปกครองที่เสริมสร้าง สมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ได้ปรับการจัดระเบียบการปกครองท้องที่ โดยแบ่งเมืองออกเป็น แขวง แขวงแบ่งออกเป็นตำบล และตำบลแบ่งออกเป็นบ้าน เป็นรูปแบบที่ใช้ต่อเนื่องตลอดเวลา เกือบ 500 ปี ของสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยมีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น กระแสวัฒนธรรมและอารยธรรมต่างๆหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย ประกอบกับอิทธิพลในการแสวงหาเมืองขึ้น ของชาติตะวันตก พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความจำเป็นต้องปรับปรุงการปกครอง บ้านเมืองใหม่ เนื่องจากระบบเดิมล้าสมัย ขาดประสิทธิภาพ การทำงานซ้ำซ้อน การควบคุมและการรวม อำนาจเข้าศูนย์กลางไม่สามารถทำให้ประเทศมั่นคงและเปิดโอกาสให้จักรวรรดินิยมตะวันตกเข้าแทรกแซงได้ ง่าย จึงทรงนำเอาสิ่งใหม่ๆ มาใช้ในการปกครองประเทศ อาทิ ทรงจัดตั้งคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ปรับปรุงการบริหารราชการในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การบริหารงานดำเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรมุ่งหวังที่จะสถาปนาระบอบการ ปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย ทำให้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลง อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎร ดังพระราชหัตถเลขาของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่ แต่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิของประชาชน” ทำให้ประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวหน้ามั่นคง พร้อมกับการพัฒนา การเมืองการปกครองมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 78 ปี ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นพลังสำคัญของชาติ ประเทศไทยมีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นสถาบัน หลักของสังคม ทำหน้าที่ยึดโยงความสัมพันธ์ของคนในชาติให้เกาะเกี่ยวกันอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะ พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีรูปธรรม ประชาชนทุกคนรู้และเข้าใจความเป็นสถาบันได้ชัดเจน เป็นพลังที่ ยั่งยืนของประเทศไทยมาช้านาน สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้คนในชาติรวมพลังกันนำพาประเทศให้ก้าวหน้า ต่อไป อย่างมีความมั่นคงแม้ในยามวิกฤต 3. การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่ในสังคมไทยสามารถรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ได้และลด ผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ กำหนดรูปแบบการปกครอง ประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเทิดพระเกียรติให้ดำรงอยู่ ในฐานะอันเป็นที่เคารพ สักการะและกำหนดให้อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ 32


ประกอบด้วย อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ที่ผู้ใช้อำนาจ ได้แก่ สถาบัน พระมหากษัตริย์ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร และสถาบันตุลาการ เพื่อก่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกัน และกันตามหลักการประชาธิปไตย ชี้ให้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจภายใต้กฎหมายสูงสุดของ ประเทศที่สามารถรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและก่อให้เกิดผลดีในการบริหารประเทศ ก่อให้เกิดสำนึก ความระมัดระวัง ความรอบคอบมิให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม รวมทั้งเป็นกลางทางการเมือง สามารถ ยับยั้ง ท้วงติงให้การปกครองประเทศเป็นไปโดยสุจริต ยุติธรรม นอกจากนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็น แบบอย่างในการดำเนินชีวิตของคนในสังคมมาช้านาน โดยเฉพาะรัชกาลปัจจุบันที่ทรงมีพระจริยาวัตรอัน งดงาม เป็นแบบอย่างของความเรียบง่าย ทรงดูแลห่วงใยทุกข์สุขของประชาชนอย่างจริงจัง และสร้าง ประโยชน์เพื่อสังคมไทยมาโดยตลอด ได้ทรงพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแก่พสกนิกรไทยมา นานกว่า 30 ปี เพื่อชี้ถึงแนวทางการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน และประเทศ ให้ดำเนินไปตามทางสายกลาง ด้วยความพอเพียง ที่หมายถึงความพอประมาณ ความมี เหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยใช้ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังมาประกอบในการ ปฏิบัติ และเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ดำเนินชีวิตและ ปฏิบัติงานด้วยความอดทนและมีความเพียรอย่างมีสติและปัญญา ทำให้คนในสังคมและประเทศชาติสามารถ จัดการความเสี่ยงที่ต้องเผชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้นแบบการปกครองที่มี ธรรมาภิบาล การปกครองแบบพ่อกับลูกนับจากสมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ยังมีความสำคัญและมี อิทธิพลต่อจิตใจของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชกาลปัจจุบัน ที่ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะ ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน ชาวสยาม” แสดงให้เห็นหลักธรรมมาภิบาลของการ ปกครองไทย เพราะมีวิธีการที่จะปกครองแผ่นดินโดยธรรม และมีเป้าหมายที่จะไปให้ถึง คือ ประโยชน์สุขแห่ง มหาชนชาวสยาม ซึ่งหลักทศพิธราชธรรม เป็นทั้งหลักศาสนาและศีลธรรมเป็นเครื่องควบคุมการใช้อำนาจของ พระมหากษัตริย์ที่ไม่ให้กระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ ทรัพย์สิน ชีวิต ร่างกายของพลเมือง จึงเป็นหลักปกครองที่ไม่ ล้าสมัยและสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยสมัยใหม่ ก่อเกิดหลักการบริหารจัดการที่ดี ทั้งยังเป็นการ ดำเนินการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากเป็นแนวทางที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนเข้า มาร่วมในการบริหารประเทศ มีกระบวนการร่วมรับรู้ รับฟัง ร่วมคิด และร่วมรับผิดชอบ ทำให้การกำหนด นโยบาย มาตราการต่างๆ ดำเนินไปด้วยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง มีการใช้เหตุใช้ผลในการ ดำเนินงาน หากผู้บริหารประเทศ ผู้มีหน้าที่ทั้งราชการ นักการเมือง และประชาชนทั่วไป น้อมนำ ทศพิธราชธรรมไปปฏิบัติเจริญรอยตามเบื้องยุคลบาท ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าและคนไทย สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและยั่งยืน 5. สังคมไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะมีความพร้อมเผชิญการ เปลี่ยนแปลงในอนาคต การยึดมั่นในสถาบันกษัตริย์ภายใต้การปฏิบัติตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน จะก่อให้เกิดพลังในสังคมไทยที่พร้อมจะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่าง มั่นคง มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและการเมืองให้ลุล่วง โดย ดำเนินการตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงจัง เสริมสร้างฐานเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะในระดับฐานราก คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างรู้เท่าทันแข่งขันในเวที โลกได้อย่างมั่นคงและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ถึงคนรุ่นต่อไป ความสำเร็จของสถาบัน พระมหากษัตริย์การกับพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การทุ่มเทพระอุตสาหะทั้งมวลในการทรงงาน ของพระประมุขและพระบรมวงศานุวงศ์ในสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและ 33


ประชาชน นำมาสู่ความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ ดังตัวอย่างเช่นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงนำพาประเทศให้รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของ ต่างชาติ ทรงปฏิรูปประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูประบบ การบริหารราชการแผ่น การจัดตั้งกระทรวง กรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม การสื่อสาร การศึกษา กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ จนเป็นแบบแผนในการวางรากฐานการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศในเวลาต่อมา และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ก็เป็นที่ ประจักษ์ชัดว่าหลักการทรงงานและพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านนั้น เป็นที่ยอมรับในระดับสากลอย่าง แท้จริง จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ช่วยให้ชาวไทยได้รอดพ้นจากความทุกข์เข็ญได้อย่างยั่งยืน และยังส่งผลถึงการบรรเทาทุกข์โศก และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย รางวัลและคำสดุดีเฉลิมพระเกียรติทั้งหลายที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นประจักษ์ พยานได้อย่างดีถึงพระปรีชาสามารถในพระองค์ แต่เหนือสิ่งอื่นใด พระปรีชาสามารถอันเป็นที่ยอมรับด้วยใจ ของประชาคมโลกเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง ดังที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (Human Development Lifetime Achievement Award) ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ดังความตอนหนึ่งของนายโคฟี อานัน เลขาธิการสหประชาชาติ (ในขณะนั้น) ซึ่งได้ กล่าวสดุดีพระองค์ไว้ในโอกาสดังกล่าวว่า “...พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์เอื้อไปยังบรรดาผู้ที่ยากจนที่สุด และ เปราะบางที่สุดในสังคมไทย ทรงรับฟังปัญหาของพวกเขาเหล่านั้น และให้ความช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นให้ สามารถยืนหยัดดำรงชีวิตของตนเองต่อไป ได้ด้วยกำลังของตัวเอง...โครงการเพื่อการพัฒนาชนบทต่างๆ ของ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังประโยชน์ให้กับประชาชนนับล้านๆ ทั่วทั้งสังคมไทย...” สถาบัน พระมหากษัตริย์เป็นเสาหลักที่สำคัญของสังคมไทย ในทุกๆ ด้าน เป็นสมบัติ ล้ำค่าที่ชาวไทยทุกคนจะต้อง ร่วมกันปกป้องให้สถาบันพระมหากษัตริย์คงอยู่ตลอดไป 5. เอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สำนึกประวัติศาสตร์' หนึ่งในกลไกสร้าง 'ความปรองดอง' บทความของ คสช.ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ในรอบกว่า 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสำคัญ และส่งเสริมวิชาประวัติศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างมากมาย โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการให้ ประชาชนเกิด "ความปรองดอง" อย่างไรก็ตาม เราลองมาทบทวนลำดับเหตุการณ์ความพยายามของรัฐบาล และ คสช. ในการใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสร้างความปรองดอง เพื่อเผยให้เห็นถึงกลไกและ ความคิดทางประวัติศาสตร์ที่ทั้งเปิดเผยและแฝงอยู่ นักวิชาการด้านชาตินิยมหลายคนเห็นพ้องกันว่า ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่าง หนึ่งในการสร้างสำนึกของความเป็นชาติให้เกิดขึ้น ช่วยร้อยรัดให้คนที่ไม่รู้จักกันให้สามารถจินตนาการว่า ตนเองเป็นพวกเดียวกันได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไทยเริ่มต้นใช้อย่างจริงจังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อสร้างคนไทยที่ สามัคคีกัน รวมถึงจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ผ่านระบบการศึกษาและอื่นๆ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมวิชาประวัติศาสตร์จึงถูกเลือกนำมาเป็นเครื่องมือในการสร้าง ความปรองดองผ่านระบบการศึกษาภาคบังคับ 9 มิ.ย. 2557 หลัง คสช. เข้าครองยึดอำนาจได้ไม่ถึง 1 เดือน ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แถลงว่า 34


"ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเร่งสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่คนในชาติ ในส่วนของการศึกษาคงเป็นเรื่องของการส่งเสริมการเรียนการสอนในวิชาดังกล่าวให้มากขึ้น เพื่อปลูกฝังให้ เยาวชนมีความรักความสามัคคีกันไม่ถึง 1 สัปดาห์ต่อมา กระทรวงศึกษาธิการได้มีความเห็นให้สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการปรับปรุงวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่งอยู่ใน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยการแยกวิชาการทั้งสองออกจากกัน และให้ พิจารณาเพิ่มเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อ "ส่งเสริมให้เยาวชนมีความรักชาติ เห็น ความสำคัญของเอกลักษณ์ไทย และประวัติความเป็นมาของประเทศชาติ" บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน ททททททททศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ได้เห็นความสำคัญของ โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์โดยมีวัตถุเพื่อปลูกฝังความรักเทิดทูนต่อ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และแสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ และสร้างเจตคติความจงรักภักดี ความรักและภูมิใจในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้กับประชาชน ตำบลนาจอมเทียน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1. ประชุมบุคลากรกรรมการ กศน.ตำบลนาจอมเทียน 2. แต่งตั้งคณะทำงาน 3. ดำเนินงานตามแผน 4. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการดำเนินงาน 5. เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ประชุมบุคลากรกรรมการ กศน.ตำบลนาจอมเทียน ททททททททกศน.ตำบลนาจอมเทียน ได้วางแผนประชุมบุคลากรกรรมการ กศน.ตำบลนาจอมเทียน เพื่อหา แนวทางในการดำเนินงานและกำหนดวัตถุประสงค์ร่วมกัน 2. จัดตั้งคณะทำงาน ททททททททจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานโครงการ เพื่อมอบหมอบหมายหน้าที่ในการทำงานให้ชัดเจน เช่น ทททททททททททท2.1 คณะกรรมการที่ปรึกษา/อำนวยการ มีหน้าที่อำนวยความสะดวก และให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทททททททททททท2.2 คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์รับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ ทททททททททททท2.3 คณะกรรมการฝ่ายรับลงทะเบียนและประเมินผลหน้าที่จัดทำหลักฐานการลงทะเบียน ผู้เข้าร่วมโครงการ และรวบรวมการประเมินผล และรายงานผลการดำเนินการ 3. ดำเนินการตามแผนงานโครงการ


ททททททททวันที่ 16 มีนาคม 2564 ณ กศน.ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 4. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการดำเนินงาน ททท ประชาชนในพื้นที่ตำบลนาจอมเทียน จำนวน 15 คน 5. เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน ทททททททท1. แบบสำรวจความคิดเห็นโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2. แบบสอบถามความพึงพอใจโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล ททททททททจากการดำเนินงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ณ กศน.ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 คน โดยมีการแจก สอบถามทั้งหมด 15 ชุด และเก็บรวบรวมแบบสอบถามได้ 15 ชุด คิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ 7. การวิเคราะห์ข้อมูล ททททททททจากการดำเนินงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ณ กศน.ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 คน โดยมีเครื่องมือที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1. ค่าแจกแจงความถี่ 2. ค่าร้อยละ 3. ค่าเฉลี่ย 4. ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ททททททททเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้เข้าอบรมได้รับประโยชน์นำไปใช้ได้จริงตามศักยภาพของแต่ ละคน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป และได้ดำเนินการตามขั้นตอนและได้รวบรวมข้อมูลจากแบบสำรวจสถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ กศน.ตำบลนาจอมเทียน จะได้นำแนวทางไปใช้ข้อมูลพิจารณาหลักสูตร เนื้อหาตลอดจน เทคนิควิธีการจัดการกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้เข้าอบรมได้รับประโยชน์ นำไปใช้ได้จริงตามศักยภาพของแต่ละคน ให้มีความเข้าใจและมีคุณภาพต่อไป ศูนย์การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนและได้รวบรวมข้อมูล โดยใช้สภาพการใช้สื่อการ สอนของครูในสถานศึกษาเป็นแบบมาตรวัดประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีรายละเอียดดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด และบุญส่ง นิลแก้ว ,2545) 5 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับมาก 3 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับน้อย 1 หมายถึง มีการดำเนินงานในระดับน้อยที่สุด โดยมีเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย (บุญชม ศรีสะอาด,2556) ดังนี้ 4.50 – 5.00 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับมากที่สุด 3.50 – 4.49 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง 36


1.50 – 2.49 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง มีความคิดเห็น/การดำเนินงานอยู่ในระดับน้อยที่สุด ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องกรอกข้อมูลตามแบบสอบถาม เพื่อนำไปใช้ในการประเมินผลของการจัด กิจกรรมดังกล่าว และจะได้นำไปเป็นข้อมูล ปรับปรุง และพัฒนา ตลอดจนใช้ในการจัดทำแผนการดำเนินการ ในปีต่อไป บทที่ 4 ผลการดำเนินการ จากผลการดำเนินงานการจัด โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ณ กศน.ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี วันที่ 16 มีนาคม 2564 มีผู้เข้า อบรมในโครงการ จำนวน 15 คน โดยมี โดยมี นายจักรพันธ์ สุวรรณวงษ์ เป็นวิทยากร นั้น สรุปได้ดังนี้ จากแบบสอบถามที่ได้ สามารถนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดจำนวน 15 ชุด 1. ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามของผู้เข้ารับการอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2. ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เข้ารับอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามของผู้เข้ารับการอบรม โครงการเสริมสร้าง อุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ที่ตอบแบบสอบถามได้นำมาจำแนกตามเพศ อายุ และอาชีพ ผู้จัดทำได้เสนอ จำแนกตามข้อมูลดังกล่าว ดังปรากฏตาม ตารางที่ 1 ดังต่อไปนี้ ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจำแนกตามเพศ เพศ ความคิดเห็น ชาย หญิง จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ผู้เข้าอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 13 86.67 2 13.33


รรรรรรรรจากตารางที่ 1 แสดงผู้ตอบแบบสอบถามของผู้เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นชาย 13 คน คิดเป็นร้อยละ 86.67 เป็นหญิง 2 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 ตารางที่ 2 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแทนแบบสอบถาม โดยจำแนกตามอายุ อายุ ความคิดเห็น ต่ำกว่า15 ปี 16-39 ปี 40-59 ปี 60 ปีขึ้นไป จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ผู้เข้าอบรมโครงการ เสริมสร้างอุดมการณ์ รัก ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ - - 4 16.67 11 73.33 - - รรรรรรรร จากตารางที่ 2 แสดงว่า จากตารางที่ 2 แสดงว่า ผู้ตอบแบบสอบถามผู้เข้ารับโครงการเสริมสร้าง อุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ในช่วงอายุ16-39 ปีมีจำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 16.67 และ ในช่วงอายุ 40-59 ปีมีจำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 73.33 ตารางที่ 3 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามโดยจำแนกตามอาชีพ ประเภท ความคิดเห็น รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ เกษตรกรรม อื่น ๆ จำนว น ร้อย ละ จำนวน ร้อย ละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ผู้เข้าอบรม โครงการ เสริมสร้าง อุดมการณ์ รัก ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ 4 16.67 - - 2 13.33 2 13.33 7 46.67 รรรรรรรรจากตารางที่ 3 แสดงผู้ตอบแบบสอบถามของผู้เข้าอบรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์มีอาชีพอื่น ๆ มากที่สุด จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 46.67 อาชีพรับจ้าง จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 16.67 และอาชีพรับราชการและเกษตรกรรม จำนวนเท่ากัน 2 คน คิดเป็นร้อย ละ 13.33 38


ตอนที่2 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เข้ารับอบรมโครงการประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของ พระมหากษัตริย์ ความคิดเห็นของผู้เข้ารับร่วมกิจกรรม จำนวน 15 คน จากแบบสอบถามทั้งหมดที่มีต่อโครงการ เสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตารางที่ 4 ผลการประเมินโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รายการที่ประเมิน N = 15 µ σ อันดับ ที่ ระดับผล การประเมิน ด้านหลักสูตร 1. กิจกรรมที่จัดสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ของ หลักสูตร 4.54 0.51 5 ดีมาก 2. เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับความต้องการของ ผู้รับบริการ 4.46 0.51 11 ดีมาก 3. การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถ คิด เป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น 4.50 0.51 8 ดี 4. ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิด เห็น ต่อการจัดทำหลักสูตร 4.42 0.50 12 ดี 5. ผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ 4.58 0.50 3 ดีมาก 6. สื่อ/เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมมีความ เหมาะสม 4.50 0.51 8 ดี ด้านวิทยากร 7. วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัด กิจกรรม 4.62 0.50 2 ดีมาก 8. เทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร 4.58 0.50 3 ดี 9. วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับ กิจกรรม 4.54 0.51 7 ดีมาก 10. บุคลิกภาพของวิทยากร 4.54 0.51 5 ดีมาก ด้านสถานที่ ระยะเวลา และความพึงพอใจ 11. สถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม 4.42 0.50 12 ดี 12. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม 4.50 0.51 8 ดี 13. ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการต่อการ เข้าร่วมกิจกรรม 4.65 0.49 1 ดีมาก ค่าเฉลี่ย 4.53 0.50 ดีมาก 39


ททททททททจากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วม โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์อยู่ในระดับ ดีมาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการ ต่อการเข้าร่วมกิจกรรม (µ = 4.65) เป็นอันดับที่ 1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรม (µ =4.62) ผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้และเทคนิค/กระบวนในการจัด กิจกรรมของวิทยากร (µ =4.54) วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม (µ =4.54) การ จัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถคิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น,สื่อ/เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมมีความ เหมาะสม และระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม (µ =4.50) เนื้อหาของหลักสูตรตรงกับความต้องการ ของผู้รับบริการ(µ =4.46) ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำหลักสูตร และสถานที่ ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม (µ =4.42) ตามลำดับ บทที่ 5 สรุปอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ททททททททจากโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ณ กศน. ตำบล นาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีวันที่ 16 มีนาคม 2564 โดยมีวัตถุเพื่อปลูกฝังความรักเทิดทูนต่อ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และแสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ และสร้างเจตคติความจงรักภักดี ความรักและภูมิใจในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้กับประชาชน ตำบลนาจอมเทียน มีผู้เข้าร่วมการอบรมจำนวน 15 คน ทั้งนี้ขอสรุปและอภิปรายผลและข้อเสนอแนะดังนี้ สรุปผลการดำเนินงาน ททททททททจากการดำเนินงานโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มี ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 15 คนเกิน โดยมีการแจกสอบถามทั้งหมด 15 ชุด ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ทททททททท1. ผู้ตอบแบบสอบถามของโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จากจำนวนทั้งหมด 15 คน เป็นชาย 13 คน คิดเป็นร้อยละ 86.67 เป็นหญิง 2 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 ในช่วงอายุ 16-39 ปี มีจำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 16.67 และ ในช่วงอายุ 40-59 ปี มีจำนวน 11 คน คิด เป็นร้อยละ 73.33 ทททททททท2. ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์อยู่ในระดับ ดีมาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการ ต่อการเข้าร่วมกิจกรรม เป็นอันดับที่ 1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมผู้รับบริการสามารถ


นำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้และเทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร วิทยากรมีการใช้ สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถคิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหา เป็น,สื่อ/เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม เนื้อหา ของหลักสูตรตรงกับความต้องการของผู้รับบริการผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำ หลักสูตร และสถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม ตามลำดับ อภิปรายผล ททททททททจากโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์พบว่า อยู่ในระดับ ดี มาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการต่อการเข้าร่วมกิจกรรม เป็น อันดับที่ 1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมผู้รับบริการสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันได้และเทคนิค/กระบวนในการจัดกิจกรรมของวิทยากร วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและ เหมาะสมกับกิจกรรม การจัดกิจกรรมทำให้ผู้รับบริการสามารถคิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาเป็น,สื่อ/เอกสาร ประกอบการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม เนื้อหาของหลักสูตรตรง กับความต้องการของผู้รับบริการผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำหลักสูตร และ สถานที่ในการจัดกิจกรรมเหมาะสม ตามลำดับ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของ พระมหากษัตริย์ มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องของประวัติศาสตร์ ชาติไทย สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ส่งเสริมคุณธรรม และสร้างจิตสำนึกความเป็นไทยให้นักศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นชาติ เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นไทยจากประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสในการเรียนรู้และสร้างจิตสำนึก รักชาติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในบุญคุณพระมหากษัตริย์ไทยและนำผลที่ได้ขยายไปสู่ชุมชนและ สังคมได้เพราะผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมดมีจิตใจรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และมีความจงรักภักดีต่อ แผ่นดินและต้องการจะตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินที่ได้เกิดมาในผืนดินแผ่นไทย ททททททททซึ่งสอดคล้องและเกี่ยวข้องกับบทความเรื่อง สำนึกประวัติศาสตร์' หนึ่งในกลไกสร้าง 'ความ ปรองดอง' ของ คสช.ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ใน รอบกว่า 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ (คสช.) ให้ความสำคัญและส่งเสริมวิชาประวัติศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างมากมาย โดยมี เป้าหมายชัดเจนว่าต้องการให้ประชาชนเกิด "ความปรองดอง" อย่างไรก็ตาม เราลองมาทบทวนลำดับ เหตุการณ์ความพยายามของรัฐบาลและ คสช. ในการใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสร้างความ ปรองดอง เพื่อเผยให้เห็นถึงกลไกและความคิดทางประวัติศาสตร์ที่ทั้งเปิดเผยและแฝงอยู่ นักวิชาการด้านชาตินิยมหลายคนเห็นพ้องกันว่า ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่าง หนึ่งในการสร้างสำนึกของความเป็นชาติให้เกิดขึ้น ช่วยร้อยรัดให้คนที่ไม่รู้จักกันให้สามารถจินตนาการว่า ตนเองเป็นพวกเดียวกันได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไทยเริ่มต้นใช้อย่างจริงจังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อสร้างคนไทยที่ สามัคคีกัน รวมถึงจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ผ่านระบบการศึกษาและอื่นๆ "ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเร่งสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่คนในชาติ ในส่วนของการศึกษาคงเป็นเรื่องของการส่งเสริมการเรียนการสอนในวิชาดังกล่าวให้มากขึ้น เพื่อปลูกฝังให้ เยาวชนมีความรักความสามัคคีกัน"ม่ถึง 1 สัปดาห์ต่อมา กระทรวงศึกษาธิการได้มีความเห็นให้สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการปรับปรุงวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่งอยู่ใน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยการแยกวิชาการทั้งสองออกจากกัน และให้ 41


พิจารณาเพิ่มเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อ "ส่งเสริมให้เยาวชนมีความรักชาติ เห็น ความสำคัญของเอกลักษณ์ไทย และประวัติความเป็นมาของประเทศชาติ" สรุปผลด้านหลักสูตร มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ผู้เรียนมีความพึงพอใจ เนื้อหาของหลักสูตร ตรงกับความต้องการของผู้เข้าอบรม ผู้เข้าอบรมนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ด้านวิทยากร วิทยากรมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างดีเทคนิค/กระบวนการใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของวิทยากรเหมาะสม วิทยากรมีการใช้สื่อที่สอดคล้องและเหมาะสมกับกิจกรรม และบุคลิกภาพของวิทยากร ดีเหมาะสม ด้านสถานที่ ระยะเวลา และความพึงพอใจ สถานที่ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะ ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ ผู้เข้า รับการอบรมมีความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมกิจกรรมในระดับดีมาก ข้อเสนอแนะ ด้านแบบสำรวจและวัดความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรม - ควรจะมีการจัดโครงการศึกษาดูงานประวัติศาสตร์ชาติไทยในสถานที่จริง เช่นที่ นครศรีอยุธยา เป็น ต้น บรรณานุกรม กรมการศึกษานอกโรงเรียน. (ม.ป.ป. : 9), (2546:76). บุญชื้น ศรีสะอาด และ บุญส่ง นิวแก้ว.(2535 หน้า 22-25). สำนักงานบริหารการศึกษานอกโรงเรียน.(2549:2), (2549:5). หนึ่งในกลไกสร้าง 'ความปรองดอง' บทความของ คสช.ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ http://www.bangkoknoi.go.th/การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน http://www.kpi.ac.th/สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย http://www.lukhamhan.ac.th/course/blog/7222


ภาคผนวก


Click to View FlipBook Version