The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเรียนรายวิชาพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย <br>ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookchon, 2023-08-06 05:32:21

หนังสือเรียนรายวิชาพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

หนังสือเรียนรายวิชาพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย <br>ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

144 สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะคำกล่าวใส่ร้ายท่ามกลางชุมชน ของนางจิญจ มาณวิกา ผู้ผูกท่อนไม้ซ่อนไว้ที่ท้องแสร้งทำเป็นหญิงมีครรภ์ ด้วยความจริง ด้วยความสงบเยือกเย็น ด้วยวิธีสมาธิอันงาม และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ ข้าพเจ้า สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะสัจจกนิครนถ์ ผู้เชิดชูลัทธิของตนว่าจริงแท้ อย่างเลิศลอย ราวกับชูธงขึ้นฟ้า ผู้มุ่งโต้วาทะกับพระองค์ ด้วยพระปัญญาอันเป็นเลิศดุจประทีปอัน โชติช่วง ด้วยเทศนาญาณวิถี และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจง มีแก่ข้าพเจ้า สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญานาคชื่อนันโทปนันทะ ผู้หลงผิดและมีฤทธิ์ มาก ด้วยทรงแนะนำวิธี และ อิทธิฤทธิ์แก่พระโมคคัลลานะ พระเถระภุชงค์ พุทธบุตร ให้ไปปราบ จนเชื่อง และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพรหม ชื่อ ท้าวพูกะ ผู้รัดรึงทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดไว้แนบแน่น โดยสำคัญผิดว่าตนบริสุทธิ์มีฤทธิ์รุ่งโรจน์ด้วยวิธีวางยาอันวิเศษ คือ เทศนาญาณ และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า แม้นรชนใดไม่เกียจคร้าน สวดก็ดี ระลึกก็ดี ซึ่งพุทธชัยมงคลคาถา 8 บทนี้ ทุกวัน ย่อมเป็นเหตุให้ พ้นอุปัทวอันตรายทั้งปวง นรชนผู้มีปัญญาย่อมถึงซึ่งความสุขสูงสุดแล สิวโมกข์นฤพานอันเป็นเอ กันตบรมสุข สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหา กรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ อันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า กิจกรรมท้ายบท ใบงาน คำชี้แจง กกกกกกก1. ใบงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษามีความรู้และประสบการณ์ในหัวเรื่องที่4 ศาสนพิธี ภายในวัดสัตหีบ กกกกกกก2. ให้นักศึกษาปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ กกกกกกกกกก2.1 ให้นักศึกษาค้นคว้าประเด็น เรื่องศาสนพิธีในวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่ออี๋วัด สัตหีบ ภายในวัดสัตหีบ และศาสนพิธีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา บทสวดต่างๆ จากสื่อการ เรียนรู้ที่หลากหลาย ได้แก่ สื่อหนังสือที่เกี่ยวข้อง (2 เล่ม) สืบค้นจากอินเตอร์เน็ต (2 เว็บไซด์) สัมภาษณ์ภูมิปัญญาหรือผู้รู้ จำนวน 1 คน และศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน (ห้องสมุดประชาชน เฉลิราชกุมารีอำเภอสัตหีบ) รวมถึงศึกษาจากใบความรู้เรื่อง ศาสนพิธีภายในวัดสัตหีบ


145 กกกกกกกกกก2.2 ให้นักศึกษารวมรวบข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าในข้อ 2. 1 ลงในเอกสาร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ส่งครูผู้สอนเมื่อวันที่มาพบกลุ่มเสร็จสิ้นในวันที่........ เดือน .............. พ.ศ. ....................... กกกกกกกกกก2.3 นักศึกษามาพบกลุ่มในวันที่ที่ได้กำหนดไว้ในข้อ 2.2 อภิปรายข้อมูลที่ศึกษา ค้นคว้าได้ แลกเปลี่ยนกับเพื่อนนักศึกษาและครูผู้สอน อภิปราย วิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษาแลกเปลี่ยน กับครู กกกกกกกกกก2.4 สรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการอภิปรายและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ร่วมกัน บันทึกลงใน เอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกกกกก2.5 นักศึกษานำผลสรุปการเรียนรู้ที่ได้ไปทดลอง ปฏิบัติตอบคำถามในใบงานฉบับนี้ แล้วบันทึกคำตอบที่ได้ลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ส่งครูผู้สอนหลังเสร็จสิ้นการพบ กลุ่มในวันที่....... เดือน ................. พ.ศ. ........... ใบงานที่ 2 คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้สมบูรณ์กกก 1. ความเชื่อเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋หรือพระครูวรเวทมุนี วัดสัตหีบ มีอะไรบ้าง......................... คำตอบ ............................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... 2. ศาสนพิธีวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ มีการปฏิบัติอย่างไร คำตอบ ................................................................................................................................ ......................................................................................................................................................... ..........


146 ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... 3. ศาสนพิธีในวันสำคัญทางศาสนา มีการปฏิบัติอย่างไร 1. วันวิสาขบูชา 2. วันอาสาฬหบูชา 3. วันมาฆบูชา 4. วันเข้าพรรษา 5. วันออกพรรษา คำตอบ ..................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... 4. บทสวดต่างๆ คำตอบ ..................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................................................... ..........


147 5. คำชี้แจง ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมาย / ลงในช่องว่างหน้าข้อความที่ถูกต้อง และ เครื่องหมาย x ลงในช่องว่างหน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง 1. หลักอริยจสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ มี 4 ประการ คือ ทุกข์สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับวันวิสาขบูชา 2. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม (ปฐมเทศนา) ชื่อ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” แก่ปัญจ วัคคีย์ในวันวิสาขบูชา 3. พระพุทธเจ้าประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งอยู่ ระหว่าง กรุง กบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ 4. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระอรหันต์สาวก จำนวน 1,250 รูป มาประชุม กันโดย มิได้นัดหมาย 5. วันวิสาขบูชา คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งถือว่าเป็นวันคล้ายวัน ประสูติ วันตรัส รู้ และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า 6. พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานที่ กรุงกุสินารา แคว้นมัลละ 7. ในวันวิสาขบูชาควรสวดมนต์และสดับรับฟังพระธรรมเทศนา เรื่อง โอวาท ปาฏิ โมกข์ 8. หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาต คือ อริยสัจ 4 9. นิโรธ ได้แก่ การดับทุกข์ หรือภาวะที่ปลอดปัญหา หมดปัญหา พระพุทธศาสนา สอนวิธีการดับทุกข์หรือแก้ปัญหาไว้ 5 ประการ 10. มรรค ได้แก่ หนทางแนวทางหรือวิธีการดำเนินการสู่การดับทุกข์แก้ทุกข์ดับปัญหา หรือ แก้ปัญหา พระพุทธศาสนาสอนวิธีดำเนินการสู่การดับทุกข์ไว้8 ประการ


148 บทที่ 5 การสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ สาระสำคัญ กกกกกกก1. การบอกกล่าวเล่าขานเกี่ยวกับการสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ซึ่งเป็นความรู้ต่างๆ ที่อยู่กับตัวบุคคล ที่มีความรู้ หรือประสบการณ์ในเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ กกกกกกก2. การเป็นมัคคุเทศก์อาสา มัคคุเทศก์หมายถึง ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้ ข้อมูล ความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ร่วมสมัยต่าง ๆ แก่บุคคลที่อยู่ในกลุ่ม นักท่องเที่ยว ในกรณีทัศนศึกษาที่สถานที่ทางศาสนาหรือประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจอื่น ๆ มัคคุเทศก์ส่วนใหญ่จะได้รับการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้องก่อน ปฏิบัติหน้าที่มัคคุเทศก์ มัคคุเทศก์อาสา หมายถึง ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้ ข้อมูล ความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ร่วมสมัยต่างๆ ในสถานที่ท่องเที่ยวแก่ บุคคลที่อยู่ในกลุ่มท่องเที่ยว โดยสมัครใจทำงานเพื่อประโยชน์แห่งประชาชนและสังคม โดยไม่หวัง ผลตอบแทนเป็นเงิน หรือสิ่งอื่นใด คุณลักษณะที่ดีของมัคคุเทศก์จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่าง สามารถ ปรับตัว ให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างเหมาะสม จำเป็นต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการ ดังนี้(1) มนุษยสัมพันธ์ดี (2) บุคลิกภาพ (3) มีความรู้ดี (4) รักงานรักหน้าที่ และ (5) มี ศิลปะใน การพูด กกกกกกก3. การประชาสัมพันธ์ด้วยสื่อที่หลากหลาย ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์หมายถึง สื่อดิจิทัลที่เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการ ทางสังคม (Social Tool) เพื่อใช้สื่อสารระหว่างกันในเครือข่ายทางสังคม (Social Network) ผ่าน ทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บนสื่อใดๆ ที่มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเน้นให้ผู้ใช้ทั้งที่ เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสารมีส่วนร่วม (Collaborative) อย่างสร้างสรรค์ ในการผลิตเนื้อหาขึ้น เอง (User-GenerateContent: UGC) ในรูปของข้อมูล ภาพ และเสียง รวมถึงการประชาสัมพันธ์ ด้วยสื่อแผ่นพับ


149 แผ่นพับ หมายถึง สื่อโฆษณาที่เป็นสิ่งพิมพ์ที่ผู้ผลิตส่งตรงถึงผู้บริโภค มีทั้งวิธีการส่ง ทาง ไปรษณีย์ และแจกตามสถานที่ต่าง ๆ ลักษณะเด่นของแผ่นพับ คือ มีขนาดเล็ก หยิบง่าย ให้ข้อมูล รายละเอียดได้มากพอสมควร ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านเวลาใดก็ได้ ผู้ออกแบบมีเทคนิคการออกแบบ ตามอิสระ หลากหลาย ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ำกว่าสิ่งพิมพ์ชนิดอื่น นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่เข้าถึง เป้าหมายได้อย่างแท้จริง การทำแผ่นพับที่ดี ต้องประกอบไปด้วย (1) หลักการทั่วไป การออกแบบแผ่นพับ มี 2 เรื่องที่สำคัญ คือ หลักการที่ 1 สิ่งที่ต้องกำหนดและวางแผนก่อนการออกแบบแผ่นพับ หลักการที่ 2 องค์ประกอบ และการจัดวางองค์ประกอบในการออกแบบแผ่นพับ (2) สิ่งที่ต้องกำหนด และ วางแผนก่อนการออกแบบแผ่นพับ มี 4 ข้อ ดังนี้ การกำหนดขนาดและรูปแบบของแผ่นพับ การ กำหนดลักษณะการส่ง การกำหนดกระดาษ และการกำหนดลำดับของการอ่านตามลักษณะของ แผ่นพับ และ (3) องค์ประกอบ และการจัดวางองค์ประกอบในการออกแบบแผ่นพับที่ต้องกำหนด และวางแผนเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ มี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ พาดหัว ภาพประกอบข้อความ ภาพสถานที่หลัก และตราสัญลักษณ์ เป็นต้น กกก4. การฝึกปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง โดยเฉพาะหนทางการดับกิเลส ดังนั้น ในเรื่องของ ศีล สมาธิ และปัญญา คือศีล มีหลายอย่าง หลายระดับ ทั้ง ศีล ที่เรามักเข้าใจกันทั่วไป คือ การงด เว้นจากการทำบาป ทางกาย วาจา เป็นต้น แต่มีศีลที่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้น ที่เป็นศีล ที่เรียกว่า อธิศีล อันเป็นศีลที่เกิดพร้อมกับ สมาธิและปัญญาสมาธิโดยทั่วไป ก็เข้าใจกันว่า คือ การนั่งสมาธิ ให้สงบ แต่ในทางพระพุทธศาสนาจะใช้คำว่า อธิจิตสิกขา หรือ บางครั้งใช้คำว่า สัมมาสมาธิ ที่มุ่ง หมายถึง การเจริญสมถภาวนา และ สมาธิที่เกิดพร้อมกับปัญญาในปัญญาขั้นวิปัสสนาปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนา ก็มีหลายระดับ แต่คือ ความเห็นถูกเช่น เชื่อกรรมและผลของกรรม ปัญญาขั้นการฟังการศึกษา ปัญญาขั้นสมถภาวนา และปัญญาขั้นวิปัสสนาภาวนา ผลการเรียนที่คาดหวัง กกกกกกก1. สามารถบอกกล่าวเล่าขาน หรือเป็นมัคคุเทศก์อาสา แนะนำสืบสานและอนุรักษ์พุทธ วิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ กกกกกกก2. สามารถการประชาสัมพันธ์ แนะนำสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบด้วย สื่อที่หลากหลายได้ 3. สามารถฝึกปฏิบัติตน ในฐานะเป็นพลเมืองดี ตามหลักศาสนาได้ ขอบข่ายเนื้อหา


150 กกกกกกก1. การบอกกล่าวเล่าขาน กกกกกกก2. การเป็นมัคคุเทศก์อาสา กกกกกกก3. การประชาสัมพันธ์ด้วยสื่อที่หลากหลาย กกกกกกก4. การฝึกปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา สื่อและแหล่งเรียนรู้ กกกกกกก1. สื่อเอกสาร ได้แก่ 1.1 ใบความรู้ 1.2 ใบงาน 1.3 หนังสือเปิดตำนานหลวงพ่ออี๋พระครูวรเวทมุนี เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำทะเล ตะวันออก วัดสัตหีบ ฉบับสมบูรณ์ กกกกกกก2. Website ได้แก่ 2.1 บทความ เรื่อง หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ สืบค้น เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 จาก http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=4337 2.2 บทความ เรื่อง เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก ปี 2473 หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี สืบค้น เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 จาก https://siamrath.co.th/n/166869 2.3 บทความ ชื่อ วัดสัตหีบ (หลวงพ่ออี๋) สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 จาก http://www.sattahipmunicipality.go.th/travels/travel.php?salb_id=1 2.4 บทความ เรื่อง ชวนไปไหว้ “หลวงพ่ออี๋” เดินเล่นถนนเลียบชายทะเลสัตหีบ สืบค้น เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 จาก https://siamrath.co.th/n/137203 2.5 เพจเฟซบุ๊ก ชื่อ หลวงปู่อี๋ พระเครื่อง ยอดนิยม (วัดสัตหีบ) สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 https://www.facebook.com/groups/1698385303769172 2.6 วิทยานิพนธ์ เรื่อง ศึกษาการบูชาวัตถุมงคลเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมดีในทาง พระพุทธศาสนาของประชาชนอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ สืบค้น เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 จาก http://br.mcu.ac.th/site/thesiscontent_desc.php?ct=1&t_id=3528 2.7 บทความ เรื่อง หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ พระเกจิดังยุคสงครามอินโดจีน สืบค้น เมื่อ วันที่ 24 ธันวาคม 2563 จาก http://www.arjanram.com/relic_detail.php?g=3&id=718 กกกกกกก4. สื่อแหล่งเรียนรู้ในชุมชน 4.1 ห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อำเภอสัตหีบ (ห้องสมุด กศน.อำเภอสัตหีบ) ที่อยู่ เลขที่ 471 หมู่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 038-437807


151 เรื่องที่1 การบอกกล่าวเล่าขานเกี่ยวกับพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ กกกกกกก1. การบอกกล่าวเล่าขานเกี่ยวกับพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ การบอกกล่าวเล่าขานเกี่ยวกับพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ เป็นการเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ การเล่าเรื่องราวความรู้ต่าง ๆ ที่อยู่กับตัวบุคคล ที่ผู้พูดจะต้องมีความรู้ หรือประสบการณ์ในเรื่องเกี่ยวกับพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ การเล่าเรื่องจะทำให้ผู้ฟังได้รับความรู้ หรือคติสอนใจ และได้รับความ สนุกสนานเพลิดเพลิน มีหลักในการปฏิบัติ ดังนี้ 1.1 เตรียมเรื่องที่จะเล่า โดยมีเค้าโครงเรื่อง และลำดับเรื่องอย่างชัดเจน 1.2 เล่าเรื่องตามลำดับที่เตรียมไว้ ในขณะเล่าเรื่อง ไม่ควรเล่าเรื่องอื่น ๆ เเท รกเพราะอาจทำให้ผู้ฟังสับสนได้ กกกกกกกกกกกล่าวโดยสรุป การบอกกล่าวเล่าขานเกี่ยวกับพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ เป็นการ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ซึ่งเป็นความรู้ต่าง ๆ ที่อยู่กับตัวบุคคล ที่มีความรู้ หรือ ประสบการณ์ในเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ กกกกกกก2. การเป็นมัคคุเทศก์อาสา มีผู้ให้ความหมายของมัคคุเทศก์ที่สำคัญดังนี้ มัคคุเทศก์ แปลตามศัพท์ หมายถึง ผู้นำ หรือ ผู้ชี้ทาง ตรงกับคำในภาษาอังกฤษ “Guide” หรือ “ Courier” ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความหมายต่างกัน Guide หมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่นำชม สถานที่ต่างๆ ส่วน Courier หมายถึง ผู้ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในด้านการนำเที่ยวการ เดินทางและการพักแรมตามสถานที่ต่างๆ คำทั้งสองคำนี้สามารถใช้แทนกันได้แต่สำหรับประเทศ นิยมใช้คำว่า Guide หรือ Tourist Guide มากกว่าใช้คำว่า Courier มัคคุเทศก์(Guide) หมายถึง ผู้ให้บริการเป็นปกติธุระในการนำนักท่องเที่ยวไป ยังสถานที่ต่างๆ โดยให้บริการเกี่ยวกับคำแนะนำ และความรู้ด้านต่างๆ แก่นักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ หมายถึง เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ ข้อมูล ความเข้าใจทางด้าน วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ร่วมสมัยต่างๆ แก่บุคคลที่อยู่ในกลุ่มท่องเที่ยว นักท่องเที่ยว เอกเทศ หรือนักท่องเที่ยวในกรณีทัศนศึกษาที่สถานที่ทางศาสนาหรือประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ และ สถานที่ท่องเที่ยวที่รับความสนใจอื่นๆ มัคคุเทศก์ส่วนใหญ่จะได้รับการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง ก่อนปฏิบัติหน้าที่มัคคุเทศก์ กล่าวโดยสรุป มัคคุเทศก์ หมายถึง ผู้ให้ความช่วยเหลือ ทำหน้าที่อำนวยความ สะดวก ข้อมูล ความเข้าใจ ทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ร่วมสมัยต่างๆ แก่ บุคคลที่อยู่ในกลุ่มท่องเที่ยว นักท่องเที่ยว เอกเทศ หรือนักท่องเที่ยวในกรณีทัศนศึกษาที่สถานที่ทาง ศาสนาหรือประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ท่องเที่ยวที่รับความสนใจอื่นๆ มัคคุเทศก์ส่วน ใหญ่จะได้รับการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้องก่อนปฏิบัติหน้าที่มัคคุเทศก์


152 1.1 ความหมายมัคคุเทศก์อาสา มัคคุเทศก์อาสา หมายถึง ผู้ให้ความช่วยเหลือ ข้อมูลความเข้าใจทางด้าน วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ร่วมสมัยต่างๆแก่บุคคลที่อยู่ในกลุ่มท่องเที่ยว โดยสมัครใจทำงานเพื่อ ประโยชน์แห่งประชาชนและสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงิน หรือสิ่งอื่นใดกล่าวโดยสรุป มัคคุเทศก์อาสา หมายถึง ผู้ให้ความช่วยเหลือ ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ข้อมูล ความ เข้าใจทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ร่วมสมัยต่างๆแก่บุคคลที่อยู่ในกลุ่ม ท่องเที่ยว โดยสมัครใจทำงานเพื่อประโยชน์แห่งประชาชนและสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็น เงิน หรือสิ่งอื่นใด 1.2 คุณสมบัติสำคัญของมัคคุเทศก์อาสา คุณสมบัติสำคัญของมัคคุเทศก์อาสา มี 3 ประการ ดังนี้ ประการที่ 1 ทำงานด้วยความสมัครใจไม่ใช่ด้วยการถูกบังคับหรือเป็น เพราะหน้าที่ ประการที่ 2 ทำงานเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนและสังคม หรือ สาธารณประโยชน์ ประการที่ 3 ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นเงินหรือสิ่งของมีมูลค่าแทน เงิน กล่าวโดยสรุป คุณสมบัติสำคัญของมัคคุเทศก์อาสามี 3 ประการ ดังนี้ (1) ทำงาน ด้วยความสมัครใจไม่ใช่ด้วยการถูกบังคับหรือเป็นเพราะหน้าที่ (2) ทำงานเพื่อประโยชน์แก่ ประชาชนและสังคม หรือสาธารณประโยชน์ (3) ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นเงิน หรือสิ่งของมี มูลค่าแทนเงิน 1.3 บทบาทสำคัญของมัคคุเทศก์ 1.4.1 บทบาทความเป็นครู 1) มีความรู้เฉพาะเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งประวัติศาสตร์ และ ปัจจุบัน 2) มีทักษะวิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนกับครูสอน วิชาการต่างๆให้กับนักเรียน 3) สามารถใช้อธิบายสอดแทรกเพิ่มเติมความรู้ให้กว้าง 4) ต้องแสวงหาความรู้ ข้อมูลใหม่ๆเพิ่มเติมอยู่เสมอพร้อมทั้งหมั่นสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวตลอดเวลา 1.4.2 บทบาทการเป็นนักแสดง 1) นอกเหนือความรู้ทางวิชาการแล้ว ควรจะมีกิจกรรมอื่นมาช่วยผ่อนคลายความ เบื่อหน่าย เช่น เล่าเรื่องสนุกขำขัน นิทาน ร้องเพลง หรือเกมส์การละเล่นต่างๆ


153 2) กรณีเกิดปัญหาเฉพาะหน้า ต้องแก้ไขปัญหาโดยฉุกเฉิน การแสดงออกในท่าที่ ปกติ จะทำให้นักท่องเที่ยวคลายความระส่ำระส่ายในเหตุการณ์นั้นหรือแทบจะไม่รู้ว่ามีปัญหา เกิดขึ้น 1.4.3 บทบาทการเป็นนักจิตวิทยา 1) สังเกตการณ์แสดงออกของอารมณ์ และความพร้อมที่จะรับฟังเรื่องความรู้และ ความช่วยเหลือ 2) ใช้จิตวิทยาด้วยการแทรกตัวเข้าถึงนักท่องเที่ยวทุกคน สัมผัสความรู้สึก และ ความต้องการของนักท่องเที่ยว 1.4.4 บทบาทการเป็นนักการทูต 1) ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กองตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจ ศุลกากร พนักงานโรงแรม แม้กระทั่งคนใกล้ตัว คือคนขับรถ และในหมู่นักท่องเที่ยวด้วยกันให้มีความสัมพันธ์ ที่ดีต่อกัน 2) ปฏิบัติตนให้เหมาะสม เกิดภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะเป็นตัวแทนของคนในท้องถิ่น กล่าวโดยสรุป มัคคุเทศก์ มีบทบาทที่สำคัญคือ มีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ที่ต้องแนะนำแก่ นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายทอดความรู้นั้นๆได้เป็นอย่างดี โดยแสวงหาขอมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ สามารถ จัดกิจกรรมสร้างความสนุกสนานผ่อนคลาย และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี รู้จักสังเกตบรรยากาศและอารมณ์ของนักท่องเที่ยวเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของนักท่องเที่ยว ได้ถูกต้อง และสามารถประสานงานอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวรวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ของการเป็นคนท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี หน้าที่ของมัคคุเทศก์ หน้าที่ของมัคคุเทศก์หลักๆเลยก็คือมัคคุเทศก์จะเป็นคนที่คอยดูแลและให้บริการต่างๆแก่ นักท่องเที่ยว ซึ่งเราก็จะต้องคอยอำนวยความสะดวกต่างๆให้แก่นักท่องเที่ยวตลอดในการเดินทาง ซึ่งเราก็ต้องเป็นคนคอยรับและคอยส่งนักเที่ยวที่สนามบินอีกด้วย จากนั้นเราก็จะพานักท่องเที่ยว ของเราไปส่งที่โรงแรม และเราก็จะเป็นคนที่พาพวกเขาเที่ยวชมในสถานที่ต่างๆ และก็จะบรรยายให้ ความรู้เกี่ยวกับสถานที่นั้นๆด้วย และก็ต้องดูแลในเรื่องของอาหารการกินและความปลอดภัยของ ทุกๆคน และเราก็ต้องเป็นที่สร้างความบันเทิงให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้บรรยากาศมีความ สนุกสนาน หน้าที่ของมัคคุเทศก์ก็คือมีหน้าที่พานักเที่ยวเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และก็จะต้องมีความรู้ เพื่อจะสามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆของสถานที่นั้นๆ อย่างเช่นเรื่องของ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต ศาสนา การเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมัคคุเทศก์ก็จะต้องเป็นผู้ที่มี ความรอบรู้และข้อมูลก็จะต้องมีความถูกต้อง ซึ่งมัคคุเทศก์จะสามารถนำเที่ยวได้ทั้งชาวไทยและ


154 ต่างชาติ และยังเป็นผู้เผยแพร่ภาพพจน์ที่ดีให้กับถานที่ที่พานักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม ซึ่งก็มีส่วนช่วย ในการสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นอีกด้วย เพราะถ้าเราพานักเที่ยวไปเที่ยวในที่ใดที่หนึ่ง ก็จะทำ ให้ที่นั้นๆได้มีรายได้เพิ่มขึ้น คุณสมบัติของมัคคุเทศก์ มัคคุเทศก์จะต้องมีความอดทน และก่อนเดินทางก็จะต้องมีความเตรียมตัวก่อนทุกครั้ง และ ต้องคนที่มีใจรักงานบริการ มีบุคลิคภาพที่ดี และต้องใช้ภาษาในการสื่อสารได้ถูกต้อง มีทัศนคติที่ดี ต่ออาชีพ มีความรู้รอบตัว มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีความซื่อสัตย์ ต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชังสำหรับตอน ทำงานต้องดูแลทุกคนให้เป็นอย่างดีเท่าเทียมกัน และต้องมีไหวพริบที่ดีในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ สามารถที่จะเป็นคนที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะได้ดี และนอกจากนั้นต้องเป็นคนที่ยอมรับใน ข้อผิดพลาดต่างๆและต้องนำกลับมาปรับปรุงให้ดียิ่งๆขึ้นไป อย่างสุดท้ายต้องจรรยาบรรณที่ดีใน การทำอาชีพมัคคุเทศก์ด้วย จรรยาบรรณของมัคคุเทศก์ มัคคุเทศก์มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นผู้ที่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว อย่างใกล้ชิด เป็นตัวแทนของประเทศในการให้ข้อมูลต่างๆ เพื่อภาพพจน์ที่ดีของประเทศเรา มัคคุเทศก์ก็จะต้องมีผู้ที่มีจรรยาบรรณ เพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดีต่อประเทศและต่ออาชีพด้วย ซึ่ง จรรยาบรรณของมัคคุเทศก์ก็คือ จะต้องเทิดทูนศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ต้องมี ความเลื่อมใสในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ยึดหมั่นในคำสอนของศาสนาที่เรานับถือ และต้องไม่ดูหมิ่นในศาสนาอื่นๆ และต้องมีความรับผิดต่อหน้าที่ของตัวเอง ต้องทำงานที่ได้รับ มอบหมายให้เป็นอย่างดี โดยต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ต้องรักษาชื่อเสียงของตัวเอง โดยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยไม่แสวงหา ผลประโยชน์ในทางที่ไม่ดี หรือฝ่าฝืนศีลธรรมอันดีงาม ทำให้ตัวเราต้องเสียชื่อเสียง และเราจะต้องมี ทัศนะคติที่ดี มีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอๆ และทักษะในการปฏิบัติงาน ในงานวิชาชีพมัคคุเทศก์ และต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างโดยการ ต้องเป็นผู้อนุรักษ์ทรัพยากรท่องเที่ยว ทั้งทางธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ต้องปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม และต้องประพฤติ ตนด้วยความสุภาพ มีความสามัคคีต่อผู้ร่วมอาชีพ และบุคคลทั่วไป คุณลักษณะที่ดีของมัคคุเทศก์ บุคคลที่ต้องการเป็นมัคคุเทศก์ จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่างประกอบกัน เช่น ความมีใจรักในอาชีพ มีความอดกลั้น มีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน ตอบสนองความต้องการของ นักท่องเที่ยว ซื่อสัตย์ สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์จะช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้อย่างเหมาะสม มัคคุเทศก์เป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิดเกือบตลอดเวลาของการนำเที่ยว ในแต่ละครั้ง ดังนั้นในการปฏิบัติงานของมัคคุเทศก์จะเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่มีการฝืนปฏิบัติ หรือทำหน้าที่ หวังเพียงเฉพาะค่าตอบแทน มัคคุเทศก์ที่ดีต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการ คือ


155 1. มนุษยสัมพันธ์ดี 2. บุคลิกภาพดี 3. ความรู้ดี 4. มีความรักงาน 5. มีศิลปะในการพูด 1. มนุษยสัมพันธ์ดี มีลักษณะ ดังนี้ 1. รู้เขารู้เราต้องรู้ว่านักท่องเที่ยวของเราเป็นใคร เป็นชาติใด มีลักษณะนิสัยโดยทั่วไปเป็น อย่างไร มีวัตถุประสงค์ในการเดินทางท่องเที่ยวเพื่ออะไร เพื่อที่จะได้ปรับตัวให้เข้ากับ นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นได้ และให้การบริการที่เหมาะสมเป็นที่ถูกใจแก่นักท่องเที่ยว เช่น นักท่องเที่ยว ชาวไทยชอบซื้อของมากกว่าชาติอื่น ๆ จะต้องจัดเวลาในการซื้อของมากขึ้นกว่ากลุ่มอื่น ๆ ส่วน นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษชอบให้ตรงเวลาและเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. มีน้ำใจ พร้อมที่จะบริการเสมอ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเห็นอกเห็นใจ ในขณะเดียวกัน ก็จะต้องอดทดอดกลั้น ไม่แสดงอารมณ์และกริยามารยาทที่ไม่ดีออกมาให้นักท่องเที่ยวเห็น ต้อง ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ 3. มีความรับผิดชอบมัคคุเทศก์ต้องคอยดูแลเอาใจใส่สุขภาพและทรัพย์สินแก่นักท่องเที่ยว เมื่อ มีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวในด้านอื่นๆ เช่น ติดต่อส่งข่าวสารกลับประเทศ การติดต่อ สื่อสารกับคนในท้องถิ่น มัคคุเทศก์จะต้องช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 4. สร้างความเข้าใจระหว่างคนในชาติและระหว่างชาติ อธิบายให้เห็นถึงความแตกต่าง ของความเชื่อ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม พื้นฐานการศึกษา และลักษณะร่วม ของคนแต่ละชาติ และไม่ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจหรือความเข้าใจผิดระหว่างชาติ โดยไม่แสดง ความ ดูถูกหรือยกย่องวัฒนธรรม หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำให้เกิดความเป็นกันเองระหว่าง กลุ่มนักท่องเที่ยว ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวมีความสุข หลักมนุษยสัมพันธ์ของมัคคุเทศก์ หลักมนุษยสัมพันธ์ประกอบด้วย NURSE&CARE ประกอบด้วย 1. Need คือ การรู้เขารู้เรา มัคคุเทศก์จะต้องรู้ว่านักท่องเที่ยวเป็นใคร ชาติใด มีลักษณะ นิสัยโดยทั่วไปเป็นอย่างไร เพื่อปฏิบัติให้เป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยว เช่น นักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทย ชอบซื้อของมากกว่าสิ่งอื่น นักท่องเที่ยวที่เป็นชาวเกาหลีชอบรับประทานอาหารประเภทผัก เป็นต้น 2. Unity คือ สมานฉันท์ มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักอดทน อดกลั้น ยิ้มแย้ม ไม่นำสิ่งที่ไม่ดีของ นักท่องเที่ยวมากล่าว เช่นไม่พูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 กับนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวญี่ปุ่น


156 3. Responsibility คือ ความรับผิดชอบ มัคคุเทศก์จะต้องมีความรับผิดชอบ มัคคุเทศก์ จะต้องมีความรู้อย่างดีในเรื่องที่เล่า ตอบคำถามได้ แก้ปัญหาได้ เช่น กรณีนักท่องเที่ยวทำของหาย หรือเกิดอุบัติเหตุ 4. Security คือ ความปลอดภัย มัคคุเทศก์ต้องทำให้นักท่องเที่ยวมีความรู้สึกปลอดภัย มั่นคง ในการนำเที่ยวของมัคคุเทศก์ 5. Environment คือ ภาวะแวดล้อม มัคคุเทศก์ต้องเข้าใจว่า นักท่องเที่ยวนั้นต่างก็มี ความเชื่อ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ตลอดจนพื้นฐานทางการศึกษาแตกต่าง กัน ฉะนั้นจะต้องไม่แสดงอาการดูถูกหรือตำหนิ ใช้คำพูดที่สุภาพ เช่น “กรุณา” หรือ “Please” แทนคำว่า “อย่า” หรือ “Don’t” CARE ประกอบด้วย 1. Collection มัคคุเทศก์จะต้องเป็นนักสะสม รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ทั้งความรู้เชิง วิชาการและเทคนิคการปฏิบัติงาน 2. Content มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักเก็บรวมรวมเนื้อหาสาระต่าง ๆ ให้ได้มากและถูกต้อง 3. Context มัคคุเทศก์จะต้องมีลีลาที่งดงาม สุภาพและเหมาะสม เช่นรู้จักใช้ถ้อยคำและ การแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ 4. Channel มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักใช้วิธีการสื่อสารที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ นักท่องเที่ยว เช่น การนำเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ มัคคุเทศก์อาจให้นักท่องเที่ยวชมภาพยนตร์ สไลด์ หรืออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่นั้น ๆ เสียก่อน 5. Communication มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักการใช้สื่อภาษาที่ดี ซึ่งอาจใช้ได้หลายวิธี เช่น การเขียน การพูด การใช้สัญญาณ เสียง แสง สี การเคลื่อนไหว กิริยาท่าทาง รวมตลอดถึง เครื่องหมายภาพ ที่แสดงออกอย่างมีระเบียบและหลักเกณฑ์ ที่มนุษย์ในแต่ละหมู่รับรู้และเข้าใจ นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก 6. Approach มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักวิธีนำเข้าสู่เรื่อง เริ่มตั้งแต่การแนะนำตัวอย่างสุภาพ และเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยว 7. Atmosphere มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักสร้างบรรยากาศความเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความอบอุ่นใจ ท่องเที่ยวด้วยความสุข และสนุกสนาน รู้จักใช้อารมณ์ขันให้ เหมาะสม การพูดหรือเล่าเรื่องตลกควรระมัดระวัง เพราะเรื่องตลกของคนกลุ่มหนึ่งหรือชาติหนึ่งคน อีกกลุ่มหนึ่งหรือชาติหนึ่งอาจไม่ตลกก็ได้ ฉะนั้น มัคคุเทศก์จะต้องแน่ใจว่าเรื่องที่จะเล่านั้นเป็นเรื่อง ตลกของคนกลุ่มนั้น เนื่องจากคุ้นเคยหรือเคยอยู่กับคนกลุ่มนั้นหรือชาตินั้น จึงควรจะเล่า แต่ถ้าไม่ แน่ใจ ก็ไม่ควรเล่า 8. Attension มัคคุเทศก์จะต้องสนใจ ใส่ใจ และให้เกียรติแก่นักท่องเที่ยวโดยใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง กิริยาท่าทาง การให้เกียรติแก่ผู้อื่นย่อมจะมีผลตอบรับในทางให้เกียรติเช่นเดียวกัน


157 9. Attitude มัคคุเทศก์จะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อนักท่องเที่ยว โดยอาจถามถึงเรื่องราวที่ เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นำชมให้ต่อเนื่องกับเรื่องราวของนักท่องเที่ยวบ้าง 10. Action มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักแสดงท่าทางให้เหมาะสม เช่น กระฉับกระเฉง แจ่มใส ไม่แสดงอาการกิริยาฮึดฮัด เกรี้ยวกราด มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักแสดงท่าทางที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อเป็นตัวอย่างแก่นักท่องเที่ยว เช่น เมื่อพานักท่องเที่ยวเข้าชมในบริเวณวัด เดินผ่านหรือพบ พระสงฆ์ มัคคุเทศก์ควรแสดงความเคารพโดยการไหว้หรือก้มตัวให้ถูกต้องตามประเพณีไทย 11. Appreciation มัคคุเทศก์ต้องรู้จักปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวด้วยความชื่นชม และถ้อยที ถ้อยอาศัยกัน 12. Research มัคคุเทศก์จะต้องมีความจำแม่นยำ ทั้งที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยวและเรื่องราว ต่าง ๆ โดยไม่ต้องอ่านจากเอกสาร 13. Evaluation มัคคุเทศก์จะต้องรู้จักประเมินผลการปฏิบัติงานในหน้าที่และความ รับผิดชอบว่ามีข้อดี ข้อเสีย ประการใด เพื่อที่จะปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในโอกาสต่อ ๆ ไป 14. Effectiveness มัคคุเทศก์จะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่และความรับผิดชอบให้มี ประสิทธิภาพและปฏิบัติให้ดีที่สุด เพื่อความเจริญก้าวหน้าในอาชีพต่อไป การสร้างมนุษยสัมพันธ์ของมัคคุเทศก์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง มัคคุเทศก์จะปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการได้นั้นผู้ร่วมงานหรือผู้ที่ เกี่ยวข้องเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง และบุคคลที่มัคคุเทศก์ควรสร้างมนุษยสัมพันธ์ ได้แก่ (1) เพื่อนร่วมงานในบริษัทนำเที่ยว 1. กล่าวคำทักทายยิ้มแย้มแจ่มใส ตั้งแต่ผู้จัดการจนถึงพนักงานทำความสะอาด 2. สร้างความเป็นกันเองกับเพื่อนร่วมงาน 3. หลีกเลี่ยงการกล่าวคำนินทาเพื่อนร่วมงาน 4. หากมีปัญหาที่เกี่ยวกับงานควรตกลงด้วยเหตุผล 5. ควรมีของฝากเล็ก ๆน้อย ๆ เช่น พวกของที่ระลึก ขนมต่าง ๆ มาฝากเพื่อนร่วมงาน เพื่อแสดงความมีน้ำใจ ให้เหมาะกับกาลเทศะ มิฉะนั้นคนอื่นจะมองว่าทำเพื่อผลประโยชน์ (2) เพื่อนมัคคุเทศก์ 1. ทักทาย ปราศรัย กรณีที่เป็นมัคคุเทศก์ใหม่ ควรแนะนำตนเองให้เพื่อนมัคคุเทศก์ และคนที่ เกี่ยวข้องในอาชีพคนอื่น ๆ รู้จัก 2. หากเป็นเพื่อนมัคคุเทศก์ที่เคยรู้จักกันมาก่อนควรที่เข้าไปทักทาย ถามไถ่เรื่องการ งานที่ผ่านมา 3. ให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับเพื่อนมัคคุเทศก์ที่ทำงานในบริษัทนำเที่ยวที่เดียวกัน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเรื่องงาน หากเพื่อนมัคคุเทศก์ติดภารกิจงานอื่น ควรให้ความช่วยเหลือเท่าที่สามารถทำได้


158 4. ไม่ควรกล่าวคำนินทาเพื่อนมัคคุเทศก์ให้คนอื่นฟังทั้งคนในบริษัทเดียวกันและต่าง บริษัท 5. แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับมัคคุเทศก์คนอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ในวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้บริการในสถานประกอบการ ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ เพื่อจะได้ปฏิบัติได้ถูกต้องเหมือน ๆ กันและเลือกใช้บริการในราคาที่เท่ากัน (3) นักท่องเที่ยว 1. กล่าวคำทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส แนะนำตนเองให้กับนักท่องเที่ยวรู้จัก 2. เอาใจใส่นักท่องเที่ยวทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนมีความสำคัญเท่ากันหมด 3. หลีกเลี่ยงการพูด เกี่ยวกับภาวะแวดล้อมอื่น ที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง เช่น พื้นฐาน ความเป็นอยู่ ศาสนา วัฒนธรรม ที่รู้สึกเป็นปมด้อย และเกิดความแตกแยก 4. มัคคุเทศก์ควรแสดงตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีโดยการให้บริการที่เกิดความพึงพอใจกับ นักท่องเที่ยวให้เกิดความประทับใจมากที่สุด 5. ควรคำนึงถึงประโยชน์ของนักท่องเที่ยวมากว่าผลประโยชน์ของตนเองที่จะได้รับ 6. เมื่อนักท่องเที่ยวบ่น หรือไม่พอใจในขณะที่มัคคุเทศก์กำลังนำเที่ยว หรือไม่ทับใจใน แหล่งท่องเที่ยว มัคคุเทศก์อย่าแสดงอาการโกรธ รำคาญ ควรที่จะเข้าไปทักทาย พูดคุยทำความ เข้าใจ แสดงท่าทีให้รู้ว่ามัคคุเทศก์ยินดีที่จะช่วยเหลือ แก้ไขอย่างจริงใจ สนใจและใส่ใจในสิ่งที่เขา ต้องการ จะช่วยให้นักท่องเที่ยวใช้เหตุผลพูดคุยและเข้าใจมัคคุเทศก์มากกว่าใช้อารมณ์ (4) สถานประกอบการ 1. สร้างความคุ้นเคยกับบุคลากรในสถานประกอบการ ม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ 2. เข้าไปทักทาย แนะนำตัวเองกับผู้ที่เกี่ยวข้องในสถานประกอบการ นอกจากจะพูด ทางโทรศัพท์หรือการส่งแฟกซ์อย่างเดียว หากรู้จักกันแล้วช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วเจอกันก็ควรที่จะ มีการทักทาย ถามถึงการทำงาน หรือธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้างในช่วงขณะนี้ พร้อม ทั้ง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการมาใช้บริการในสถานประกอบการ โดยเฉพาะเรื่อง ข้อดี ข้อเสีย ของการให้บริการ เช่น ความสะดวกสบายและความสะอาดของห้องพัก รสชาติของ อาหาร คุณภาพของสินค้า และบริการอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาที่ดีขึ้น แต่หาก ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ควรยุติการสนทนา (5) พนักงานขับรถ 1. ให้ความสำคัญกับคนขับรถในกรณีที่ออกปฏิบัตินำเที่ยว นอกจากจะแนะนำตัวเอง แล้วควรแนะนำคนขับรถให้นักท่องเที่ยวรู้จักด้วย 2. หากมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นทาง ควรปรึกษากับคนขับรถ เพราะจะทำให้เขารู้สึกเป็น ส่วนหนึ่งของการนำเที่ยว


159 3. ควรให้คนขับรถมีโอกาสรับประทานอาหารร่วมด้วย และมีส่วนร่วมในการทำ กิจกรรมอื่น ๆ 4. ควรแบ่งค่าคอมมิสชั่นบางส่วนให้กับคนขับรถ ในกรณีที่มัคคุเทศก์ได้ค่าคอมมิสชั่น จากร้านค้าต่าง ๆ เช่นร้านค้าขายของฝาก ร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ ฯลฯ อาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพที่ต้องเป็นผู้นำเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาว ต่างประเทศ การปฏิบัติงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีในการจัดนำเที่ยว มัคคุเทศก์ต้องสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจะเสนอแนะในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ดังนี้ 1. ควรระวังในเรื่องสุขภาพ การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ต้องเริ่มต้นที่สุขภาพดี ถ้าบุคคลมี สุขภาพดี หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้คนอื่นอยากเข้าใกล้ 2. ควรระงับอารมณ์ไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอารมณ์โกรธ ควรทิ้งอารมณ์ต่าง ๆ พยายามทำอารมณ์ให้แจ่มใสก่อนจะพูดคุยกับผู้อื่น 3. การปรับปรุง บุคลิกภาพภายนอกให้เหมาะสม เช่น ปรับปรุงการแต่งกายให้สะอาด เรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะ 4. ควรรักษาสัญญา มีความรับผิดชอบต่อคำพูด และการกระทำของตนเอง 5. ควรรู้จักให้และรับอย่างเหมาะสม 6. ควรมีความเกรงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนใกล้ชิด เพราะคนเรามักจะลืมรักษา น้ำใจ คนที่ใกล้ชิดเสมอ ข้อควรระวังในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เนื่องจากการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เป็นการแสดงพฤติกรรมเพื่อให้ได้รับความรักใคร่ น่าเชื่อถือ ไว้ใจ และร่วมมือร่วมใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการทำ พฤติกรรมดังต่อไปนี้ 1. การแสดงสีหน้า กิริยาท่าทาง และบุคลิกภาพที่ไม่สุภาพในกรณีที่ไม่พอใจ 2. การนินทาว่าร้ายผู้อื่น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง 3. การพูดประชดประชัน และแสดงความไม่พอใจ เมื่อผู้อื่นถามคำถาม 4. การไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คิดว่าตนเองเป็นผู้รู้แต่ฝ่ายเดียว 5. การโต้แย้ง ถกเถียง ก่อการทะเลาะวิวาท 6. การแสดงความอิจฉาตาร้อน และไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่น 7. การพูดโอ้อวด พูดแต่เรื่องของตนเอง พูดข่มผู้อื่น 8. การแสดงความอิจฉาตาร้อน และไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่น 9. การเลือกที่รักมักที่ชัง ลำเอียงและการตัดสินใจอย่างไม่เป็นธรรม 10. การไม่รักษาคำพูด จิตใจรวนเร เชื่อถือไม่ได้


160 11. การแสดงความโมโห ฉุนเฉียว ใจร้อน ไม่มีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน 12. การแสดงความจู้จี้จุกจิก เจ้าระเบียบ จนทำให้ผู้อื่นรำคาญ 13. การมีอคติที่ไม่ดีต่อผู้อื่น 2. บุคลิกภาพดี บุคลิกภาพของมัคคุเทศก์ที่ดีบุคลิกภาพทั่วไปประกอบด้วยบุคลิกภาพภายนอกและ บุคลิกภาพภายใน บุคลิกภาพภายนอกสำหรับมัคคุเทศก์หมายถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ในตัว มัคคุเทศก์ ได้แก่ 1. ร่างกาย มัคคุเทศก์ควรให้ความสนใจและเอาใจใส่ต่อร่างกายเป็นอันดับแรก โดย พิจารณาที่จะทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความสบายตา จมูก และอารมณ์ มีจุดสำคัญ ๆ ในร่างกายที่ต้อง คำนึงถึง คือ 1.1 ผม ไม่ปล่อยให้ยุ่งเหยิง แต่ควรดูแลให้สะอาด และมองดูเรียบร้อย ทั้งนี้ มิได้ หมายถึงการตกแต่งที่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย 1.2 หน้าตา แจ่มใส ไม่ยู่ยี่ หรือง่วงเหงาหาวนอน 1.3 หู จมูก ฟัน ควรดูแลทำความสะอาดให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนจะออกจากบ้าน การแคะหูจมูก ฟันในที่สาธารณะหรือต่อหน้าบุคคลอื่นเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพ ไม่ควรปฏิบัติ 1.4 เล็บ ตัดให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมทั้งเล็บมือและเล็บเท้า ถ้าจะไว้ยาวก็ควร คำนึงถึงความสะอาด การแคะเล็บในที่สาธารณะก็เป็นมารยาทไม่ควรทำอีกเช่นเดียวกัน 2. การแต่งกาย ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ โดยคำนึงถึงความสะอาดเรียบร้อย และ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ 2.1 เสื้อ กระโปรง หรือกางเกง ควรให้อยู่ในสภาพที่ควรจะเป็น ทั้งรูปร่าง ลักษณะ และสีสันนอกจากความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ควรคำนึงถึงกาลเทศะในการใช้เสื้อผ้าชุด นั้นๆ ด้วย สำหรับเสื้อผ้าที่มีกระดุม จะต้องตรวจดูให้ครบตามจำนวน ถ้าเสื้อผ้ามีสิ่งผิดปกติ เช่นมี คราบเหงื่อไคล รอยขาด รูโหว่ ซิปแตก ฯลฯ ควรปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่ดีก่อนที่จะนำมาใช้ 2.2 รองเท้า ถุงเท้าต้องสะอาด ไม่ขาด หรือชำรุด และเหมาะสมกับโอกาส หรือ สถานที่ที่จะใช้ด้วย การแต่งกายที่สะอาดเรียบร้อยและเหมาะสมกับกาลเทศะ นอกจากจะช่วยสร้าง บุคลิกภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยให้ผู้แต่งกายนั้นมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น และช่วยสร้างบรรยากาศที่ ดีได้อีกด้วยตรงข้ามหากแต่งกายไม่สะอาดเรียบร้อย และไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดความผันแปรแห่ง อารมณ์ทั้งแก่ผู้ที่แต่งกายและผู้ที่พบเห็น 3. การพูดจา ควรระมัดระวังเกี่ยวกับคำพูด น้ำเสียง ปฏิกิริยาของผู้ฟัง ดังนี้ 3.1 คำพูด ควรระมัดระวังการใช้ถ้อยคำให้สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้คำหยาบหรือคำ ที่มีความหมายสองแง่สองมุม 3.2 น้ำเสียง ไม่พูดห้วน ๆ ตวาด กระโชกโฮกฮาก ให้เน้นน้ำหนักเสียงหนักเบาให้ เหมาะสม พูดให้ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป


161 3.3 ปฏิกิริยาของผู้ฟัง ขณะพูดควรสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟังว่าสนใจหรือต้องการ ฟังมากน้อยเพียงใด มีผู้ใดต้องการซักถาม ไม่พูดสวนหรือแย่งพูด ควรมีจังหวะจะโคนในการพูดให้ เหมาะสม 4. กิริยามารยาท หมายถึง การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และความประพฤติ จะต้องอยู่ ในอาการสำรวม เช่น ไม่ล้วง แคะ แกะ เกา ควัก จิ้มร่างกายในที่ชุมชน และไม่กระทำการที่ควร กระทำในที่ลับไปกระทำในที่แจ้ง หากจำเป็นจริง ๆ ก็ควรกระทำให้แนบเนียน เช่น การจาม การไอ หรือเมื่อเกิดอาการคัน ก็ควรหันความสนใจของผู้ที่อยู่รอบข้างไปที่อื่นเสียก่อน แล้วจึงแอบ ๆ ทำ บุคลิกภาพภายในสำหรับมัคคุเทศก์หมายถึง สิ่งที่มัคคุเทศก์แสดงออกจากความรู้สึกภายใน หรือที่เรียกกันว่า “จรรยาบรรณของมัคคุเทศก์” ที่สำคัญมีดังนี้ 1. มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพและหน้าที่ของมัคคุเทศก์ ต่อธุรกิจการท่องเที่ยว และต่อชื่อเสียง ของประเทศชาติ 2. มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อนักท่องเที่ยว และทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 3. มีสติในการปฏิบัติหน้าที่การงาน 4. มีน้ำใจต่อนักท่องเที่ยว 5. มองโลกในแง่ดี และมีมนุษยสัมพันธ์ 6. มีความรับผิดชอบในหน้าที่ จรรยาบรรณของมัคคุเทศก์ที่สำคัญดังกล่าวข้างต้นนี้ จะช่วยให้การปฏิบัติงานของ มัคคุเทศก์สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่มัคคุเทศก์มักจะ ประสบคือ ปัญหาเฉพาะหน้าที่จะต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน ซึ่งมักจะเป็นปัญหาที่ไม่คาดคิดมาก่อน บ่อยครั้งปัญหาเกิดขึ้นก่อนที่มัคคุเทศก์จะพบกับนักท่องเที่ยว เช่น นักท่องเที่ยวปวดฟันขณะ เดินทาง นักท่องเที่ยวทำฟันปลอมหาย นักท่องเที่ยวทำแว่นสายตาตกแตก ฯลฯ หากมัคคุเทศก์มี จรรยาบรรณก็ย่อมจะช่วยแก้ปัญหาให้สำเร็จได้โดยง่าย และเป็นผลดีแก่เจ้าของปัญหาอย่าง แน่นอน 3. มีความรู้ดี มัคคุเทศก์ต้องมีความรู้เรื่องสำคัญ 6 ประการ ดังนี้ 1. ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปที่สำคัญของบริษัท เช่น การบริการ เส้นทางนำเที่ยว เบอร์ โทรศัพท์ หรือแฟกซ์ สถานที่ติดต่อ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานและให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว 2. ความรู้โดยรวมของประเทศไทย เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคม การเมือง การปกครอง ศาสนา เทศกาลงานประเพณีที่สำคัญ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละภาค 3. สถานที่ท่องเที่ยว ประเพณี วัฒนธรรม และผลิตภัณฑ์พื้นเมืองในท้องถิ่น สถานที่เที่ยว เบอร์โทรศัพท์ หรือ แฟกซ์ สถานที่ติดต่อ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานและให้ข้อมูลแก่ นักท่องเที่ยวท่องเที่ยวในท้องถิ่นทั้งที่เป็นธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น เช่น อาคารบ้านเรือน วัด


162 โบราณสถาน และผลิตภัณฑ์พื้นเมือง เช่น เครื่องจักสาน ผ้าทอ งานแกะสลัก การแสดงของท้องถิ่น เช่น มโนราห์ ฟ้อนเล็บ ระบำชาวเขา เทศกาลและประเพณีต่าง ๆ เช่น ลอยกระทง สงกรานต์ บุญ บั้งไฟ งานแห่เทียนพรรษา ฯลฯ 4. ขั้นตอนและวิธีการเข้าออกเมือง การเก็บภาษี การติดต่อกับหน่วยงานราชการที่ เกี่ยวข้อง มัคคุเทศก์ต้องให้คำแนะนำนักท่องเที่ยว และดูแลให้การติดต่อกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปอย่างราบรื่น 5. ต้องมีความรู้ในการใช้ภาษาต่างประเทศ มีทักษะในการพูด อ่าน และเขียน เป็นอย่างดี สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ สามารถพูดบรรยายให้นักท่องเที่ยวเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ 6. ต้องมีการประสานงานและความสัมพันธ์ที่ดีกับธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่น และก่อให้เกิดความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวมาก ที่สุด เช่น การคมนาคมขนส่ง ที่พัก ร้านอาหาร ธุรกิจบันเทิง และร้านขายของที่ระลึก 4. มีความรักงาน มัคคุเทศก์ต้องมีความภาคภูมิใจในอาชีพของตน มีใจรักในงานบริการ มีความรับผิดชอบ ในหน้าที่ ตั้งใจปฏิบัติงานให้มีคุณภาพมากที่สุด อดทนต่อปัญหา พยายามปรับปรุงแก้ไขในส่วน บกพร่องของตนเองและรักษามาตรฐานการทำงานที่ดีให้ได้ตลอดไป 5. มีศิลปะในการพูด การพูดเป็นศาสตร์และศิลป์ หมายถึง การพูดมีกฎเกณฑ์สำหรับเรียนรู้และการปฏิบัติ ขณะเดียวกันก็อาศัยความสามารถเฉพาะตัวของผู้พูดด้วย มัคคุเทศก์ต้องมีการเตรียมตัวที่ดีสำหรับ การอธิบาย การลำดับเนื้อหา ถ่ายทอดด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย รู้จักกาลเทศะ ควรพูดเรื่องใด เวลา ใด ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับเพศ วัย และสถานการณ์ มัคคุเทศก์เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะฉะนั้นผู้เรียนจึงควรจะได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบ คุณลักษณะอันจำเป็นที่จะทำให้ชื่อเสียงของ ประเทศชาติเป็นที่รู้จักทั่วโลกและช่วยเพิ่มพูนจำนวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยได้ มากขึ้น จิตอาสา ความหมาย จิตอาสา แยกคําศัพท์คือ จิต+อาสา ที่แปลได้ว่า จิต หมายถึง ใจ สิ่งที่มีหน้าที่รู้คิดและนึก ธรรมชาติที่รู้อารมณ์สภาพที่นึกคิด ความคิด อาสา หมายถึง ความหวัง ความต้องการ การรับทําโดยเต็มใจ สมัคร ใจ แสดงตัว ขอรับทําการนั้น จิตอาสา จิตอาสาจะมีลักษณะเดียวกันกับจิตสํานึก (ความรู้สึกดีหรืออยากตอบแทน สิ่งที่เป็น ประโยชน์ต่อตนเอง สังคม โลกมวลมนุษย์) หรือภาวะที่จิตตื่นและรู้ตัวสามารถตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าจากประสาท สัมผัสทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่ง รส และสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย จิตสาธารณะ


163 จิตสํานึกสาธารณะ จิตบริการ จิตอาสา จิตสํานึกทางสังคม คําศัพท์เหล่านี้มีลักษณะมีความหมาย คล้ายคลึงกันหรือปฏิบัติในแง่เดียวกัน โดยความหมาย ของศัพท์เหล่านี้ท่านกล่าวความหมายเอา สรุปได้ 5 ประการ คือ ประการที่ 1 จิตสาธารณะ คือ จิตสํานึกเพื่อส่วนรวมจิตสํานึก (ความรู้สึกดีหรืออยากตอบ แทน สิ่งที่ประโยชน์ต่อตนเอง สังคม โลกมวลมนุษย์) หรือภาวะที่จิตตื่นและรู้ตัวสามารถตอบสนอง ต่อ สิ่งเร้าจาก ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่ง รส และสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย การตระหนักรู้ และคํานึงถึงส่วนรวมร่วมกัน, การคํานึงถึงผู้อื่นร่วมสัมพันธ์เป็นกลุ่มเดียวกัน ประการที่ 2 จิตสาธารณะ คือ จิตอาสา ที่แสดงออกมาในรูปของพฤติกรรม ที่เกิดขึ้นด้วย ความ สมัครใจเพื่อส่วนรวม โดยการแสดออกด้วยการอาสาไม่มีใครบังคับ 4 ประการที่ 3 จิตสาธารณะ คือ การสํานึกสาธารณะ ซึ่งหมายถึงการที่บุคคลตระหนักรู้และ คํานึงถึงประโยชน์สุขของส่วนรวมและสังคม มองเห็นคุณค่าของการเอาใจใส่ดูแลรักษาสิ่งต่างๆ ที่ เป็นของส่วนรวม ประการที่ 4 จิตสาธารณะ คือ จิตบริการที่เกี่ยวกับการคิด และการปฏิบัติในการให้ความ ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นการประพฤติปฏิบัติที่มุ่งความสุขของผู้อื่นที่ตั้งอยู่บนพ้นฐานของความตั้งใจดีและ เจตนาดี ประการที่ 5 จิตสาธารณะ คือ จิตสํานึกทางสังคมที่สํานักงานและคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติได้อธิบายว่าเป็นการรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระ และเข้าร่วมในเรื่องของส่วนร่วมที่เป็นประโยชน์ ต่อ ประเทศชาติมีความสํานึกและยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อสิ่งผิด เน้นความเรียบร้อย ประหยัด และมีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ คําศัพท์เกี่ยวข้อง คําว่า”จิตอาสาสาธารณะ” หรือ “จิตสํานึกสาธารณะ” (Public Consciousness) เป็น คําศัพท์ใหม่ในทางสังคมศาสตร์ซึ่งกําลังได้รับความสนใจจากแวดวงนักวิชาการพัฒนาอย่าง กว้างขวางในทางปฏิบัติเมื่อกล่าวถึงคําว่า “จิตอาสาสาธารณะ” หรืออาจจะเป็นคําอื่นๆ เช่น “จิต อาสา” “จิตสํานึกเพื่อสังคม” “จิตสํานึก เพื่อส่วนรวม” “จิตสํานึกเพื่อมวลชน” คําเหล่านี้ล้วนมี ความหมายที่ใกล้เคียงกันมากขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าเป็นคน กลุ่มไหน ซึ่งอาจแยกย่อยออกไปตามความ สนใจเฉพาะกลุ่ม เช่น จิตสํานึกทางการเมืองในการสร้างประชาธิปไตย ให้เกิดขึ้นในสังคม จิตสํานึก ด้านสิ่งแวดล้อมของเยาวชนในชุมชนท้องถิ่นหรือจิตสํานึกทางสังคมเช่นการพัฒนา ชุมชนหรือ ช่วยเหลือคนยากไร้ (อริสา สุขสม: 2553) โดยสรุปจิตสาธารณะ/จิตอาสาสาธารณะ หมายถึง พฤติกรรมหรือการกระทําของบุคคลที่ เกิดขึ้นโดย ความสมัครใจ ปรารถนาที่จะช่วยเหลือ ช่วยแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นในสังคม และตระหนัก ถึงความ รับผิดชอบต่อสังคม มีสํานึกในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงามด้วยการเอาใจใส่ดูแล เป็นธุระ ปรารถนาที่จะ ช่วยเหลือสังคม ต้องการแก้ไขปัญหาของสังคมด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมใน เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม


164 จิตสำนึกต่อสังคม (Social Consciousness) บุญสม หรรษาคิริพจน์ (2542: 71-73) ใช้คําว่า จิตสํานึกที่ดีในสังคมในที่นี้หมายถึง สังคม ในชุมชนของตน การปฏิบัติตนให้มีจิตสํานึกที่ดีต่อชุมชนของตน ลือ การปฏิบัติและการมีส่วนร่วมที่ ดีในกิจกรรม ของชุมชน การช่วยกันดูชุมชนของตน การให้ความร่วมมือการ เสียสละกําลังกาย กําลังทรัพย์เพื่อการรักษาความ ปลอดภัยในชุมชน เพื่อสาธารณูปโภคในชุมชน การให้ความเป็น มิตรและมีน้ำใจต่อกัน สุพจน์ทรายแก้ว (2546: 50) นิยามจิตสํานึกต่อสังคมว่า หมายถึง คุณลักษณะทางจิตใจ ของบุคคลเกี่ยวกับ การมองเห็นคุณค่า หรือการให้คุณค่าแก่การมีปฏิสัมพันธ์ ทางสังคมและสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน สังคม ที่ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นเจ้าของ หรือเป็นสิ่งที่คนในสังคมเป็น เจ้าของร่วมกัน เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จาก ความรู้สึกนึกคิดหรือพฤติกรรมที่แสดงออกมา สุภัทรา ภูษิตรัตนาวลี (2547) นิยาม จิตสํานึกต่อสังคม หมายถึง ภาวะที่รู้ตัวของบุคคลที่ มีความ โน้มเอียงทางความคิด ความรู้สึกก่อนที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีส่วนช่วยให้ผู้คนในสังคม เกิดการ เปลี่ยนแปลง หรือได้รับการส่งเสริมด้านต่าง ๆ ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยสรุปจิตสํานึกต่อสังคม หมายถึง ลักษณะทาง 10 จิตใจหรือภาวะที่รู้ตัวของบุคคลที่มีความโน้มเอียงทางความคิดและ ความรู้สึกเกี่ยวกับการมองเห็นคุณค่าหรือให้คุณค่าแก่การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล หรือสิ่งของที่มีอยู่ ในสังคมที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ หรือเป็นสิ่งที่เป็นเจ้าของ ร่วมกัน มีจิตสํานึกที่ดีต่อชุมชนของตน โดยช่วยกันดูแลสังคมชุมชน เลียสละกําลังกาย กําลังทรัพย์ เข้าร่วม กิจกรรมที่มีส่วนช่วยให้สังคม เกิดความเปลี่ยนแปลง หรือส่งเสริมด้านต่างๆ ในทิศทางที่ดีขึ้น จิตสานึกเพื่อส่วนรวม การมีความรับผิดชอบต่อสังคมหรือการให้ความสําคัญกับส่วนรวม หรือสิ่งอันเป็น สาธารณะสมบัติเช่น ป่าไม้แม่น้ำลําธาร ทางสาธารณะ สวนสาธารณะ ไฟฟ้าสาธารณะ ทางหลวง ตลอดจนของ หลวงและประเทศชาติบ้านเมือง เป็นต้น ไม่เห็นแก่ตัวทําลายล้างให้จนเสียหายเสื่อม โทรม สูญสิ้น ในทัศนะของพระพุทธศาสนานั้น จิตสํานึกเพื่อส่วนรวมหมายถึง จิตที่ประกอบด้วย ความ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล หรือความคิดที่มุ่งที่จะทําแต่ประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่ตนและผู้อื่น ตลอดจน สาธารณะทั่วไป โดยมีเมตตาจิต (ปรารถนาดี) และกรุณาจิต (ความคิดร่วมด้วยช่วยแก้ปัญหา) เป็นพื้นฐาน ผู้ที่ปลูกจิตสํานึกเพื่อส่วนรวม ให้เจริญงอกงามในจิตใจได้มากเพียงใด ย่อมสามารถแก้ วิกฤตปัญหาความเห็นแก่ตัว ทําให้เป็นคนเสียสละ อุทิศตน ทุ่มเททํางานเพื่อผลประโยชน์ต่อ ส่วนรวม ได้มากเพียงนั้น การปลูกจิตสํานึกเพื่อส่วนรวม ตามวิถีแห่งพุทธธรรม คือ การประพฤติ ปฏิบัติตาม “หลักสังคหวัตถุธรรม/หลักแห่งการสงเคราะห์” 4 ประการ” กล่าวคือ 1) ทาน คือ การ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสียสละ แบ่งปันสิ่งของ ตลอดถึงให้ความรู้และแนะนําสั่งสอน ซึ่งจะช่วยแก้ไข ปัญหาการแย่ง อาหาร ที่อยู่อาศัย คู่สังวาส อํานาจในสังคมส่วนรวมได้ 2) ปิยวาจา กล่าวคําสุภาพ ไพเราะอ่อนหวาน สมานไมตรีทําให้เกิดความรักความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน สามารถช่วยแก้ไข ปัญหาความขัดแย้ง 3) อัตถจริยา การ ขวนขวายช่วยเหลือกิจการหมู่คณะ ดูแลรักษาสมบัติ


165 ส่วนรวม และบําเพ็ญสาธารณะประโยชน์และ 4) สมานัตตตา ประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะและ ภาวะที่ดํารงอยู่ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกของสังคมให้ถูกต้อง มีการกล่าว ว่า “วัตถุยิ่งเจริญ คน ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น” วิกฤตปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการปลูกจิตสํานึกที่ดีเพื่อส่วนรวม โดยยึด คติว่า “อยู่เพื่อตัว อยู่แค่สิ้นลม แต่ถ้าอยู่เพื่อสังคม จะอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย” นั่นเอง จิตสำนึกพลเมือง จิตสํานึกพลเมืองมาพร้อมกับการสร้างสํานึกพลเมืองประชาธิปไตยใน 3 ด้าน คือ เคารพ กติกา เคารพความแตกต่าง เพราะทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเช่นเดียวกัน และร่วมรับผิดชอบต่อ สังคม โดยใช้วิธีการลงมือทําจากเริ่มที่ตนเองก่อน แล้วขยายวงกว้างออกไปในสังคมที่ตนเองอยู่ อาศัย พร้อมสร้างเงื่อนไขการ เรียนรู้และเรียนรู้ช่วยเหลือกันลักษณะเครือข่าย โดยทุกองค์กรต่าง สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในบทบาทหน้าที่การ พัฒนาเพื่อให้เกิดสํานึกพลเมือง เพราะฉะนั้นบุคคล จะเป็นพลเมืองดีมีจิตอาสาของสังคมนั้น ต้องตระหนักถึง บทบาทหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติมุ่งมั่นให้บรรลุ เป้าหมายด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ สอดคล้องกับหลักธรรม วัฒนธรรม ประเพณีและ รัฐธรรมนูญที่กําหนดไว้รวมทั้งบทบาททางสังคมที่ตนดํารงอยู่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุด ได้ ประสิทธิผลทั้งในส่วนตนและสังคม เมื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ย่อมเกิดความ ภาคภูมิใจและเกิดผลดีทั้งต่อตนเองและสังคมด้วยการเป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่น มีความกระตือรือร้นที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของชุมชนและสังคม มี คุณธรรมและจริยธรรมเป็นหลัก ในการดําเนินชีวิตอย่างมีความสุขสงบ ประโยชน์ของการมีจิตอาสา 1. คู่มือจิตอาสา Give & Volunteer Guide (ม.ป.ป.) ของโครงการอาสาเพื่อในหลวงพบ จิตอาสามีความสําคัญและมีประโยชน์คือ บุคคลที่มีจิตอาสาจะได้รับความสุขจากการให้ด้วยใจและ หวังไม่หวังผลตอบแทน 40 เมื่อมีความสุขฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน (Endrophin) จะหลั่งโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้ผู้ให้มีจิตใจที่เป็นสุขและมีสุขภาพ แข็งแรง และการมีจิตอาสายังมีประโยชน์ต่อสังคมและ ประเทศชาติในแง่ของการมีชีวิตที่ปลอดภัย เนื่องจากทุกคน ร่วมใจกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดย ไม่หวังผลตอบแทน ส่งผลให้สังคมเข้มแข็ง ปัญหาสังคมลดลง ชีวิตมีความ มั่นคงปลอดภัยมากขึ้น 2. ได้เรียนรู้สิ่งที่แตกต่างและได้ศึกษาจากการปฏิบัติจริง การทํางานอย่างจริงจังและการ ทํางานที่ไม่ คํานึงถึงผลลัพธ์ที่จะได้รับแต่ทํางานอย่างเต็มที่แต่ทําให้ประชาชนมีความรู้สึก รับผิดชอบ เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ ประเทศจนเกิดความรัก และหวงแหนยิ่งขึ้น 3. กิจกรรมจิตอาสาที่เป็นการให้และการอาสานั้น มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์เฉพาะแต่กับ สังคมส่วนรวม หรือผู้รับบริการเท่านั้น ผู้ให้หรือผู้อาสาเองก็มีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งส่งผลต่อ การพัฒนาความรู้ความสามารถ และศักยภาพของตัวผู้ให้เองด้วย นอกจากนี้กระบวนการพัฒนาคน ด้วยจิตอาสาก็เป็นที่ยอมรับว่ามีผลต่อการ พัฒนาความคิดเชิงบวกอันจะเป็นแนวทางอย่างยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหาในทางสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว การงาน ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง อันจะนํามาซึ่งการอยู่ร่วมกันของสังคมได้อย่างเข้าใจกัน และมีความสงบ สุขสันติทั้งช่วย


166 ลดความเหลื่อมล้ำแตกต่างในเรื่องชนชั้นในสังคมให้น้อยลงกระทั่งมีความเสมอภาคเป็นธรรมแก่ สังคม (ไพศาล สรรสรวิสุทธิ์, 2550: 11-14) 4. ทําให้ปัญหาของสังคมลดน้อยและหมดไปในที่สุด หรือป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นหรือปัญหา ในลักษณะ เดียวกันเกิดขึ้นแก่สังคมอีก กระทั่งเกิดความเจริญก้าวหน้าในสังคมขึ้นมาแทนที่ ทําให้ ประชาชนมีความสมัคร สมานสามัคคีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามฐานะของแต่ละบุคคล และ ประเทศเกิดความเป็นปึกแผ่นที่มั่นคง ตลอดไป ข้อดีของการเป็นจิตอาสา 1. ได้สร้างเกียรติประวัติให้ตัวเอง ถ้าคุณเป็นคนที่กำลังหาตำแหน่งงานว่าง คุณลองเสียสละ เวลาสักนิดก่อนร่อนใบสมัครงานไปเข้าโครงการจิตอาสาต่าง ๆ สักพักหนึ่งดูสิ คุณจะรู้ว่าแค่กรอก ประวัติการทำงานจิตอาสาเข้าไป มันก็มีชัยมากกว่าการถือทรานสคริปต์งาม ๆ ให้นายจ้างดู นั่นก็ เพราะนายจ้างเขาต้องการจ้างคนที่มีทัศนคติที่ดี ไม่เห็นแก่ตัว เพื่องานที่ดีสำหรับองค์กรเขาไงล่ะ 2. ได้สุขภาพที่ดี สุขภาพทางด้านจิตใจและอารมณ์จะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดมาก อย่างน้อยคุณ จะรู้สึกดีที่ได้ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีพื้นฐานจิตใจที่ดีจากการเมตตาคนอื่น มีสุขภาพกายที่ดีจากการ ทุ่มเทพลังกาย รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองที่เป็นส่วนหนึ่งได้ขับเคลื่อนให้ภารกิจประสบความสำเร็จ(ซึ่ง การได้ให้และได้รับกำลังใจนี้ มันมีผลโดยตรงกับการหลั่งสารที่เกี่ยวกับความสุขในร่างกาย นั่นก็ แปลว่ามันเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพด้วย) ถ้าคุณกำลังท้อแท้ สิ้นหวัง ลองใช้โอกาสสักครั้งแบกเป้ไปลุย ป่าลุยงานอาสาสมัครสักครั้ง นอกจากธรรมชาติแล้ว กำลังใจและกำลังกายก็ได้มาจากการทำงาน จิตอาสา 3. ได้ส่งต่อความรักให้กับคนอื่น เห็นการเติบโตจากรุ่นสู่รุ่น ถ้าคุณเป็นวัยรุ่นตอนต้น หรือ รู้สึกว่าไลฟ์สไตล์ที่คุณเป็นอยู่นี้มันเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต งานจิตอาสาจะช่วยให้คุณรู้จักคำว่า “ผู้ใหญ่” มากขึ้น การเป็นผู้ใหญ่หมายความว่าอะไร? มันก็หมายความว่าถ้าตอนนี้คุณได้เป็นจิต อาสา และคุณก็มีลูกเป็นจิตอาสา ก็เท่ากับว่าคุณกำลังสร้างคุณลักษณะให้ลูกมีความเห็นแก่ตัว น้อยลงต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งคุณลักษณะนี้จะติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต เมื่อพวกเขามีลูกมีหลาน เขา ก็จะส่งต่อคุณลักษณะนี้ไปอีก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีมากที่โลกอยู่ได้ก็เพราะยังมีการส่งต่อเรื่องดี ๆ ต่อ กัน มีน้ำใจระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่จบสิ้น 4. เคารพคนอื่นมากขึ้น การเป็นอาสาสมัคร นอกเหนือจากการอุทิศตัวเองแล้ว ยังหมายถึง การเคารพเพื่อนอาสาสมัครคนอื่น ๆ ที่คุณต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ทำงานร่วมกันตลอดเวลาด้วย ซึ่งมัน เป็นพื้นฐานที่ดีให้คุณได้เรียนรู้ไว้ก่อนที่จะไปทำงานกับองค์กรอื่น หรือสมัครงานเข้าบริษัทอื่น เพราะฉะนั้น จงจำไว้เสมอว่ามิตรภาพที่ดีมันหายากยิ่งกว่าสำเนารับสมัครงานเสียอีก 5. ได้เจอเพื่อนใหม่ เอาเข้าจริงแล้วงานจิตอาสาก็คืองานที่จะได้ออกไปพบปะสังคมที่กว้าง ขึ้น พบปะผู้คนที่มีความคิดเหมือนกัน เหมือนกับการเข้าปาร์ตี้งานหนึ่งที่เรียนรู้ตัวเองไปด้วย เรียนรู้ คนอื่นไปด้วย แถมยังได้คอนเนคชันมากขึ้นจากคนที่คุยถูกคอกันเอง ถ้าคุณกำลังหาเพื่อนใหม่ อยากได้เพื่อนดี ๆ เพิ่มขึ้น งานจิตอาสาคือโอกาสของคุณที่จะได้พบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตาใน


167 แบบเห็นตัวตน เห็นทุกข์สุขด้วยกันเมื่อได้มาทำงานร่วมกัน ซึ่งโอกาสดี ๆ แบบนี้ ถ้าคุณไม่ได้ลอง เข้าค่าย เข้าโครงการจิตอาสาสักครั้ง คุณกับพวกเขาก็อาจจะเดินสวนทางกัน ไม่กล้ารู้จักกัน พลาด โอกาสดี ๆ ต่อกันเพียงเพราะเห็นกันแต่ผิวเผินนั่นเอง 6. ได้เพิ่มพูนทักษะความรู้ งานอาสาสมัครเป็นงานที่มีแค่ตัวเปล่า ๆ ก็ทำได้แม้จะไม่มีเงิน หรือความรู้ติดตัวมาเลย ดังนั้น โอกาสนี้ถือเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้พัฒนาตัวเองไปด้วยจากการลง มือทำงานในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานธุรการ งานด้านประสานงาน ถ้าคุณไม่เคยมีพื้นฐาน อะไรเลย คุณก็จะได้ทักษะการใช้โปรแกรม การทำฟอร์มเอกสาร การใช้เครื่องมือสื่อสาร ติดตัวไป ด้วยหลังจากจบโครงการให้คุณมั่นใจได้เลยเมื่อต้องกรอกใบสมัครงานในช่องทักษะความสามารถ หรือถ้าคุณได้อยู่ในสายงานที่เกี่ยวกับการประสานงาน การให้บริการแบบสายด่วน เมื่อคุณได้ไป ทำงานทางด้านนี้โดยเฉพาะจริง ๆ คุณก็จะไม่รู้สึกประหม่าเกินไป เรื่องที่ 3 การประชาสัมพันธ์ด้วยสื่อที่หลากหลาย สื่อสังคมออนไลน์ ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์ หมายถึง สื่อดิจิทัลที่เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการ ทางสังคม (Social Tool) เพื่อใช้สื่อสารระหว่างกันในเครือข่ายทางสังคม (Social Network) ผ่าน ทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บนสื่อใดๆ ที่มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเน้นให้ผู้ใช้ทั้งที่ เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสารมีส่วนร่วม (Collaborative) อย่างสร้างสรรค์ ในการผลิตเนื้อหาขึ้น เอง (User-GenerateContent: UGC) ในรูปของข้อมูล ภาพ และเสียง ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์ ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์ มีด้วยกันหลายชนิด ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของการนำมาใช้โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม หลักดังนี้ 1. Weblogs หรือเรียกสั้นๆ ว่า Blogs คือ สื่อส่วนบุคคลบนอินเทอร์เน็ต ที่ใช้เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ข้อคิดเห็น บันทึกส่วนตัว โดยสามารถแบ่งปันให้บุคคลอื่นๆ โดยผู้รับสารสามารถเข้าไปอ่าน หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ ซึ่งการแสดงเนื้อหาของบล็อกนั้น จะเรียงลำดับจากเนื้อหาใหม่ไปสู่เนื้อหาเก่า ผู้เขียนและผู้อ่านสามารถค้นหาเนื้อหาย้อนหลังเพื่อ อ่านและแก้ไขเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เช่น Exteen, Bloggang, Wordpress,Blogger, Okanation 2. Social Networking หรือเครือข่ายทางสังคมในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายทางสังคมที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล เพื่อให้เกิดเป็นกลุ่ม สังคม (Social Community) เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนและแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันทั้งด้านธุรกิจ การเมือง การศึกษา เช่น Facebook, Hi5, Ning, Linked in,MySpace, Youmeo, Friendste 3. Micro Blogging และ Micro Sharing หรือที่เรียกกัน ว่า “บล็อกจิ๋ว” ซึ่งเป็นเว็บเซอร์วิสหรือเว็บไซต์ที่ให้บริการแก่บุคคลทั่วไป สำหรับให้ผู้ใช้บริการ


168 เขียนข้อความสั้นๆ ประมาณ 140 ตัวอักษร ที่เรียกว่า “Status” หรือ “Notice” เพื่อแสดงสถานะ ของตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือแจ้งข่าวสารต่างๆ แก่กลุ่มเพื่อนในสังคมออนไลน์(Online Social Network) (Wikipedia,2010) ทั้งนี้การกำหนดให้ใช้ข้อมูลในรูปข้อความสั้นๆ ก็เพื่อให้ ผู้ใช้ที่เป็นทั้งผู้เขียนและผู้อ่านเข้าใจง่าย ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ Twitter 4. Online Video เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการวิดีโอออนไลน์โดยไม่ เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก เนื้อหาที่นำเสนอในวิดีโอออนไลน์ไม่ถูกจำกัดโดยผังรายการที่แน่นอนและตายตัว ทำให้ผู้ใช้บริการ สามารถติดตามชมได้อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีโฆษณาคั่น รวมทั้งผู้ใช้สามารถเลือกชมเนื้อหาได้ตาม ความต้องการและยังสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บวิดีโออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้จำนวนมากอีกด้วย เช่น Youtube, MSN, Yahoo 5. Poto Sharing เป็นเว็บไซต์ที่เน้นให้บริการฝากรูปภาพโดย ผู้ใช้บริการสามารถอัพโหลดและดาวน์โหลดรูปภาพเพื่อนำมาใช้งานได้ ที่สำคัญนอกเหนือจาก ผู้ใช้บริการจะมีโอกาสแบ่งปันรูปภาพแล้ว ยังสามารถใช้เป็นพื้นที่เพื่อเสนอขายภาพที่ตนเองนำเข้า ไปฝากได้อีกด้วย เช่น Flickr, Photobucket, Photoshop,Express, Zooom 6. Wikis เป็นเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็นแหล่งข้อมูลหรือ ความรู้(Data/Knowledge) ซึ่งผู้เขียนส่วนใหญ่อาจจะเป็นนักวิชาการ นักวิชาชีพหรือผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะทางด้านต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งผู้ใช้สามารถเขียนหรือแก้ไขข้อมูล ได้อย่างอิสระ เช่น Wikipedia, Google Earth,diggZy Favorites Online 7. Virtual Worlds คือการสร้างโลกจินตนาการโดยจำลองส่วน หนึ่งของชีวิตลงไป จัดเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่บรรดาผู้ท่องโลกไซเบอร์ใช้เพื่อสื่อสารระหว่างกันบน อินเทอร์เน็ตในลักษณะโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ซึ่งผู้ที่จะเข้าไปใช้บริการอาจจะบริษัท หรือองค์การด้านธุรกิจ ด้านการศึกษา รวมถึงองค์การด้านสื่อ เช่น สำนักข่าวรอยเตอร์ สำนักข่าวซี เอ็นเอ็น ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อพื้นที่เพื่อให้บุคคลในบริษัทหรือองค์กรได้มีช่องทางในการ นำเสนอเรื่องราวต่างๆ ไปยังกลุ่มเครือข่ายผู้ใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่ม ลูกค้าทั้งหลัก และ รองหรือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ของบริษัท หรือองค์การก็ได้ ปัจจุบันเว็บไซต์ที่ใช้หลัก Virtual Worlds ที่ประสบผลสำเร็จและมีชื่อเสียง คือ Second life 8. Crowd Sourcing มาจากการรวมของคำสองคำ Crowd และ Outsourcing เป็นหลักการขอความร่วมมือจากบุคคลในเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยสามารถจัดทำในรูปของเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อค้นหาคำตอบและวิธีการแก้ปัญหา ต่างๆทั้งทางธุรกิจ การศึกษา รวมทั้งการสื่อสาร โดยอาจจะเป็นการดึงความร่วมมือจากเครือข่าย ทางสังคมมาช่วยตรวจสอบข้อมูลเสนอความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะ กลุ่มคนที่เข้ามาให้ข้อมูล อาจจะเป็นประชาชนทั่วไปหรือผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่อยู่ในภาคธุรกิจหรือแม้แต่ในสังคม นักข่าว ข้อดีของการใช้หลัก Crowd souring คือ ทำให้เกิดความหลากหลายทางความคิดเพื่อ


169 นำ ไปสู่การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนช่วยตรวจสอบหรือคัดกรองข้อมูลซึ่งเป็นปัญหา สาธารณะร่วมกันได้ เช่น Idea storm, Mystarbucks Idea 9. Podcasting หรือ Podcast มาจากการรวมตัวของสองคำ คือ “Pod” กับ “Broadcasting” ซึ่ง “POD” หรือ PersonalOn - Demand คือ อุปสงค์หรือ ความต้องการส่วนบุคคล ส่วน“Broadcasting” เป็นการนำสื่อต่างๆ มารวมกันในรูปของภาพและ เสียง หรืออาจกล่าวง่ายๆ Podcast คือ การบันทึกภาพและเสียงแล้วนำมาไว้ในเว็บเพจ (Web Page) เพื่อเผยแพร่ให้บุคคลภายนอก (The public in general) ที่สนใจดาวน์โหลดเพื่อนำไปใช้ งาน เช่น Dual Geek Podcast, Wiggly Podcast 10. Discuss / Review/ Opinion เ ป็น เ ว็บบอร ์ด ที่ผู้ ใ ช้ อินเทอร์เน็ตสามารถแสดงความคิดเห็น โดยอาจจะเกี่ยวกับ สินค้าหรือบริการ ประเด็นสาธารณะ ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เช่น Epinions, Moutshut, Yahoo!Answer, Pantip,Yelp อุปกรณ์เครื่องมือทางสื่อสังคมออนไลน์ คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคำนวณ อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและ เปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่อง อิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและ ซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ หรืออาจกล่าวได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยใน การคำนวณและการประมวลผลข้อมูล สมาร์ทโฟน (SmartPhone) คือ โทรศัพท์มือถือที่นอกเหนือจากใช้โทรออก-รับสายแล้ว ยังมีแอพพลิเคชั่นให้ใช้งานมากมาย สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน 3G, Wi-Fi และ สามารถใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คและแอพพลิเคชั่นสนทนาชั้นนำ เช่น LINE, Youtube, Facebook, Twitter ฯลฯ โดยที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งลูกเล่นการใช้งานสมาร์ทโฟนให้ตรงกับความต้องการได้ มากกว่ามือถือธรรมดา ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ นิยมผลิตสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอระบบสัมผัส, ใส่ กล้องถ่ายรูปที่มีความละเอียดสูง, ออกแบบดีไซน์ให้สวยงามทันสมัย, มีแอพพลิเคชั่นและลูกเล่นที่ น ่ า ส น ใ จ แท็บเล็ต (Tablet) คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ มีขนาด หน้าจอตั้งแต่7 นิ้วขึ้นไป พกพาได้สะดวก สามารถใช้งานหน้าจอผ่านการสัมผัสผ่านปลายนิ้วได้ โดยตรง มีแอพพลิเคชั่นมากมายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะรับ-ส่งอีเมล์, เล่นอินเทอร์เน็ต, ดูหนัง, ฟังเพลง , เล่นเกม หรือแม้กระทั่งใช้ทำงานเอกสารออฟฟิต ข้อดีของแท็บเล็ตคือมีหน้าจอที่กว้าง ทำให้มี พื้นที่การใช้งานเยอะ มีน้ำหนักเบา พกพาได้สะดวกกว่าโน๊ตบุ๊คหรือ คอมพิวเตอร์ สามารถจดบันทึก หรือใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษาได้เป็นอย่างดี


170 อุปกรณ์เครือข่าย เซิร์ฟเวอร์(Server) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องแม่ข่าย เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หลัก ในเครือข่าย ที่ทำหน้าที่จัดเก็บและให้บริการไฟล์ข้อมูลและทรัพยากรอื่นๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่อง อื่น ๆ ใน เครือข่าย โดยปกติคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์มักจะเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง และมีฮาร์ดดิสก์ความจำสูงกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย ไคลเอนต์(Client) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องลูกข่าย เป็นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายที่ ร้องขอ บริการและเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่จัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไคลเอนต์ เป็น คอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้แต่ละคนในระบบเครือข่าย ฮับ (HUB) หรือ เรียก รีพีตเตอร์(Repeater) คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกลุ่มคอมพิวเตอร์ ฮับ มีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง ไปยังพอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือข่าย เพราะฉะนั้นถ้ามี คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากจะทำให้อัตราการส่งข้อมูลลดลง เนทเวิร์ค สวิตช์(Switch) คืออุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 2 และทำหน้าที่ส่ง ข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังพอร์ตเฉพาะที่เป็นปลายทางเท่านั้น และทำให้คอมพิวเตอร์ที่ เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือส่งข้อมูลถึงกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้น อัตราการรับส่งข้อมูลหรือแบนด์วิธ จึงไม่ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนิยมเชื่อมต่อแบบนี้มากกว่าฮับเพราะลดปัญหาการชนกันของ ข้อมูล เราต์เตอร์(Router) เป็นอุปรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 3 เราท์เตอร์จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ข้อแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อที่จะกำหนดและส่ง แพ็กเก็ตต่อไป เราท์เตอร์จะมีตัวจัดเส้นทางในแพ็กเก็ต เรียกว่า เราติ้งเทเบิ้ล (Routing Table) หรือตารางจัดเส้นทางนอกจากนี้ยังส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายที่ให้โพรโทคอลต่างกันได้ เช่น IP (Internet Protocol) IPX (Internet Package Exchange) และ AppleTalk นอกจากนี้ ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต บริดจ์(Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments) เข้า ด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบ ไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่าน ไปรบกวน การจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layer จึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น บริดจ์ มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครือข่าย ย่อยๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่ เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยๆ เหล่านั้น สามารถติดต่อกับเครือข่ายย่อยอื่นๆได้


171 เกตเวย์(Gateway) เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น ประโยชน์และข้อจำกัดของสังคมออนไลน์ แม้ลักษณะของเครือข่ายสังคมออนไลน์ จะเป็นสื่อให้ข้อมูลข่าวสารสามารถกระจายออกไป อย่างรวดเร็วและกว้างขวางมีคุณประโยชน์มากมายในด้านการติดต่อสื่อสาร แต่ก็เปรียบเสมือนดาบ สองคมหากผู้ใช้ขาดคุณธรรมจริยธรรม สามัญสำนึก การรู้จักเคารพสิทธิ ของผู้อื่น และความ ระมัดระวังในการใช้แล้ว สังคมออนไลน์เหล่านี้ก็จะเป็น"สังคมอันตราย"ที่จะเป็นด้านมืดของ ส ั ง ค ม ไ ท ย ประโยชน์ของ Social networks เครือข่ายสังคมออนไลน์ 1. สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้ 2. เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคาถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคาตอบได้ช่วยกันตอบ 3. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว 4.เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่น ได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น 5. ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสาหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า 6. ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น 7.คลายเครียดได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ 8. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้ ข้อจำกัดของSocial networks เครือข่ายสังคมออนไลน์ 1. เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ได้ 2. Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาด วิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็น ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ 3. เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดง ความคิดเห็น 4. ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุ


172 การสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้ 5. ผู้ใช้ที่เล่น socialnetwork และอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสีย ได้หรือบางคนอาจตาบอดได้ 6. ถ้าผู้ใช้หมกหมุ่นอยู่กับ socialnetwork มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการ เรียนตกต่ำลงได้ 7. จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างประโยชน์และข้อจำกัดการใช้เฟซบุ๊ก เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ใน สถานศึกษา ในกรณีที่ยกเลิกการเรียนการสอนในห้องเรียนเพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ครูผู้สอน สามารถใช้ เฟชบุ๊กเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียนโดยการกำหนดหัวข้อเกี่ยวกับวิชาที่สอน เพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น ไม่ควรใช้ข้อความที่รุนแรงในการแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับผู้เรียนและสถานศึกษาหลีกเลี่ยงการแสดงข้อความที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งที่รุนแรง ควรตั้งค่า การแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่ผู้เรียนทุกคนสามารถเข้าไปอ่านได้ควรแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ผู้เรียนในเชิงบวกเท่านั้น จะเห็นได้ว่า เฟซบุ๊กเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้และเป็นห่วงโซ่การศึกษาขนาดใหญ่ที่ทรง ประสิทธิภาพในการเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งครูผู้สอนและผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ ทุก เวลา ตลอดวันละ24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7 วัน ฉะนั้น ผู้บริหารการศึกษาจึงควรกำหนดแนวปฏิบัติ ในการใช้ เฟซบุ๊กอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านการใช้เฟซบุ๊กไปในทางที่ผิดหรือด้าน การก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่สถานศึกษา ยิ่งกว่านั้น ผู้บริหารการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนา นโยบายการใช้ เฟซบุ๊กที่มีอยู่เป็นระยะๆ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์และยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วย ประโยชน์ของการใช้เฟซบุ๊กเพื่อการเรียนการสอน 1. สื่อสารถึงนักศึกษาได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้อีเมลล์หรืออีเลิร์นนิ่ง 2. ส่งเสริมการกระตุ้นให้นักศึกษาได้แบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดได้อย่างทั่วถึงและ รวดเร็ว 3. นักศึกษามีความสะดวกในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ข้อจำกัดของการใช้เฟซบุ๊กเพื่อการเรียนการสอน 1. อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ 2. อาจารย์หรือนักศึกษาไม่เป็นส่วนตัวในการข้อความหรือรูปภาพต่างๆ ประโยชน์และข้อจำกัด การประยุกต์ใช้งาน Youtubeเพื่อการเรียนการสอน Youtube เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการแลกเปลี่ยนภาพวิดีโอระหว่างผู้ใช้ได้ฟรี โดยนำ เทคโนโลยีของAdobe Flashมาใช้ในการแสดงภาพวิดีโอ ซึ่งยูทูบมีนโนบายไม่ให้อัปโหลดคลิปที่มี ภาพโป๊เปลือยและคลิปที่มีลิขสิทธิ์ นอกเสียจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้อัปโหลดเองเมื่อสมัครสมาชิกแล้ว


173 ผู้ ใช้จะสามารถใส่ภาพวิดีโอเข้าไป แบ่งปันภาพวิดีโอให้คนอื่นดูด้วยแต่หากไม่ได้สมัครสมาชิกก็ สามารถเข้าไปเปิดดูภาพวิดีโอที่ผู้ใช้คนอื่น ๆ ใส่ไว้ในYoutube ได้แม้จะก่อตั้งได้เพียงไม่นาน (youtube ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2005) Youtubeเติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็นที่รู้จัก กันแพร่หลายและได้รับความนิยมทั่วโลก ต่อมาปี ค.ศ.2006 กูเกิ้ลซื้อยูทูบ ตอนนี้ยูทูบจึงกลายเป็น ส่วนหนึ่งของกูเกิ้ลแล้ว แต่ด้วยตัวยูทูบเองที่มีเนื้อหามากมายเป็นแสนชิ้น ทั้งสื่อและเครื่องมือการ เรียนรู้ดีๆที่สามารถใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีสื่อประเภทที่ สุ่มเสี่ยง และทำให้เด็กและเยาวชนไขว้เขวไปได้ ทั้งจากมิวสิควีดีโอ การ์ตูน และไม่ได้ใช้เป็น ช่องทางเพื่อการเรียนรู้สักทีเดียว จึงเป็นที่มาของการเปิดหน้าการศึกษาล่าสุดเของยูทูบขึ้นที่เรียกว่า “ยูทูบสำหรับโรงเรียน”หรือ (Youtube for Schools) เป็นช่องทางการเรียนรู้ที่จัดตั้งขึ้น โดยจะมี เนื้อแต่เรื่องการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว โดยได้ร่วมมือกับภาคีด้านการศึกษากว่า600แห่ง เช่น TED,Smithsonian เว็บไซด์ชื่อดังเรื่องที่ได้รวบรวมแหล่งเรียนรู้และนิทรรศการต่างๆ เอาไว้,Steve Spangler แหล่งผลิตเกมและของเล่นเพื่อการพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ หรือ Numberphile ที่สอนคณิตศาสตร์ออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา ยูทูบได้ ทำงานร่วมกับครูในการจัดแบ่งเนื้อหากว่า300ชิ้น ออกเป็นรายวิชา และระดับชั้น โดยสื่อเหล่านี้ยู ทูบเชื่อว่าจะช่วยเสริมการเรียนรู้ในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี ทำให้ห้องเรียนสนุกสนานขึ้น และเด็กๆ ก็จะตั้งใจเรียนมากยิ่งขึ้น ประโยชน์ของYouTubeสำหรับโรงเรียน 1. กว้างขวางครอบคลุมYouTubeสำหรับโรงเรียนเปิดโอกาสให้โรงเรียนต่างๆ เข้าถึงวิดีโอ เพื่อการศึกษาฟรีนับแสนรายการจาก YouTube EDU วิดีโอเหล่านี้มาจากองค์กรที่มีชื่อเสียงต่างๆ เช่น Stanford,PBS และ TED รวมทั้งจากพันธมิตรที่กำลังได้รับความนิยมของ YouTube ซึ่งมี ยอดผู้ชมนับล้านๆ คน เช่น Khan Academy,Steve Spangler Science และ Numberphile 2. ปรับแก้ได้สามารถกำหนดค่าเนื้อหาที่ดูได้ในโรงเรียนของคุณ โรงเรียนทั้งหมดจะได้รับ สิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาYouTube EDUทั้งหมด แต่ครูและผู้ดูแลระบบอาจสร้างเพลย์ลิสต์วิดีโอที่ดูได้ เฉพาะในเครือข่ายของโรงเรียนเท่านั้นได้เช่นกัน 3. เหมาะสมสำหรับโรงเรียนผู้บริหารโรงเรียนและครูสามารถลงชื่อเข้าใช้และดูวิดีโอใด ๆ ก็ได้ แต่นักเรียนจะไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้และจะดูได้เฉพาะวิดีโอYouTube EDU และวิดีโอที่ โรงเรียนได้เพิ่มเข้าไปเท่านั้น ความคิดเห็นและวิดีโอที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะถูกปิดใช้งานและการ ค้นหาจะจำกัดเฉพาะวิดีโอ YouTube EDU เท่านั้น 4. เป็นมิตรกับครูYouTube.com/Teachers มีเพลย์ลิสต์วิดีโอนับร้อยรายการที่ได้ มาตรฐานการศึกษาทั่วไป และจัดระเบียบตามหัวเรื่องและระดับชั้น เพลย์ลิสต์เหล่านี้สร้างขึ้นโดย ครูเพื่อเพื่อนครูด้วยกัน ดังนั้นคุณจึงมีเวลาในการสอนมากขึ้นและใช้เวลาค้นหาน้อยลง


174 ข้อจำกัด 1.อาจมีการละเมิดลิขสิทธิ์ 2.อาจมีการกระทำที่ไม่ดี การประชาสัมพันธ์ประเภทชุมชนออนไลน์ (community) เป็นเว็บที่เน้นการค้นหาเพื่อ ใหม่ๆ หรือ ตามหาเพื่อนเก่า ๆ เน้นการสร้าง Profileของตนเอง โดย การใส่รูป ใส่ข้อมูล ที่แสดง ถึงความเป็นตัวตนของเรา อีกทั้งยังมีลักษณะในการแลกเปลี่ยนเรื่องราว ถ่ายทอด ประสบการณ์ ร่วมกัน เช่น Facebook Google+ Tumblr หรือ MySpace เป็นต้น สําหรับในยุคปัจจุบันที่นิยม ใช้กันอย่างแพร่หลายได้แก่ Facebook โดยการประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook เป็นการ ประชาสัมพันธ์รูปแบบที่มักจะใช้หน้า Page หรือ Fan Page ซึ่งเปรียบเสมือนหน้าตาของเราเอง Facebook มีการแสดงรูปภาพ สัญลักษณ์ หรือข้อความที่บ่งบอกความเป็นตัวตนได้อยางชัดเจน อีกทั้งภายในตัว Facebookยังสามารถที่จะบอกเล่าเรื่องราวดีๆ กิจกรรมร่วมถึงโปรโมชั่นสินค้าและ บริการ การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การประชาสัมพันธ์เพื่อแกไขความเข้าใจผิดทั้ง ยังมีฟังกชั่นการโต้ตอบ การแชร์หรือการส่งต่อไปให้เพื่อน ส่งผลให้ข้อความ ประชาสัมพันธ์ถูกส่ง ต่อไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง จนเป็นเหตุให้ Facebook ได้รับความนิยมจนกลายเป็น เครื่องมือการประชาสัมพันธ์ที่น่าสนใจอีกช่องทางหนึ่ง Facebook มาใช้เป็นเครื่องมือในการ ประชาสัมพันธ์จนประสบความสําเร็จเป็นอยางมาก อีบุ๊ค (eBook) คืออะไร E-Book ย่อมาจากคำว่า Electronic Book หมายถึงหนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่าน เอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ผู้อ่านสามารถอ่านผ่านทาง อินเทอร์เน็ต หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่นๆ ได้ สำหรับหนังสือ หรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ นี้ จะมีความหมายรวมถึงเนื้อหาที่ถูกดัดแปลงอยู่ในรูปแบบที่สามารถแสดงผลออกมาได้โดย เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ให้มีลักษณะการนำเสนอที่สอดคล้องและคล้ายคลึงกับการอ่านหนังสือ ทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน แต่จะมีลักษณะพิเศษ คือ สะดวกและรวดเร็วในการค้นหา และผู้อ่าน สามารถอ่านพร้อมๆ กันได้โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายส่งคืนห้องสมุด เช่นเดียวกับหนังสือในห้องสมุด ทั่ว ๆ ไป คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่าง ๆ ของ หนังสือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุง ให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป


175 ความเป็นมาของ eBook การใช้งาน eBook ในยุคแรกๆ มีจุดประสงค์เพื่อใช้ในกระบวนการฟรีเพรส หรือการเตรียม เอกสารก่อนการพิมพ์สิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ เช่น หนังสือ วารสาร ฯลฯ ก่อนจะทำเพลท เพื่อพิมพ์ หนังสือ เพราะการนำ ไฟล์เอกสารที่จัดรูปเล่มแล้วไปยิงฟิล์ม จะมีปัญหาเรื่องแบบของตัวหนังสือ อาจไม่เข้ากัน การจัดรูปเล่มที่ทำไว้ ก็จะผิดพลาดไป ข้อความขยับไปอีกหน้า ภาพเลื่อนไปตำแหน่ง อื่นๆ ฯลฯ ทำให้เสียเวลาแก้ไข จึงได้มีการ คิดค้นการสร้างไฟล์แบบ PDF ซึ่งเป็นอีบุ๊คในยุคแรกๆ แต่ก็ยังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เมื่อแปลงไฟล์เอกสารที่จะนำไปพิมพ์เป็นหนังสือแล้ว ก็จะได้ไฟล์แบบ PDFด้วยความที่ไฟล์แบบ PDF ที่ได้ มีลักษณะเหมือน หนังสือจริงๆ จึงเป็นที่มาของ eBooks นั่นเอง ไฟล์เอกสารที่ได้พิมพ์ไว้ด้วยโปรแกรมต่างๆ เช่น Word อาจเป็นรายงาน หนังสือ วิทยานิพนธ์สามารถนำมาแปลงเป็นอีบุ๊คแบบ PDF ได้เลย หรือหนังสือจริงๆ ถ้าต้องการแปลงเป็น อีบุ๊ค ก็ต้องใช้เครื่องแสกนเนอร์ แสกนทีละหน้าเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ eBook แบบเดิมๆ ในรูปแบบไฟล์ PDF ยังนิยมใช้กันอยู่มาก โดยเฉพาะในกระบวนการ พิมพ์หนังสือ การใช้เป็นคู่มือของอุปกรณ์ต่างๆ หรือการใช้งานโปรแกรมต่างๆ โดยก็อปปี้ลงในแผ่น ซีดี ไดรเวอร์ ช่วยลดค่าใช้ จ่ายในการผลิตเป็นหนังสือจริงๆ ส่วนการอ่าน ถ้าไม่สะดวกกับการอ่านจาก หน้าจอ ก็สามารถพิมพ์ลงกระดาษได้ ตัวอย่าง แผ่นซีดีไดรเวอร์ Wireless USB ยี่ห้อ D-Link จะมีอีบุ๊คแบบไฟล์เช่น DWA125_A2_Manual_v1.10(WW).pdf เป็นคู่มืออธิบายวิธีใช้งานอุปกรณ์นั้นๆ การอ่านก็ดับเบิ้ลคลิก เปิดอ่านไฟล์ได้เลย แผ่นพับ (Folder) กกกกกกกความหมายของแผ่นพับ กกกกกกกแผ่นพับ มีความหมายตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า (Folder) แต่นิยมเรียกว่า โบว์ ชัวร์ (Brochure) ซึ่งหมายถึงเอกสารที่เย็บเป็นเล่มบาง ๆ และมีลักษณะคล้ายคลึงกัน กกกกกกกแผ่นพับ คือ สื่อโฆษณามีหลายประเภทโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ ปัจจุบันใน วงการธุรกิจนิยมใช้สื่อประเภทนี้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยส่งเสริมการ ขาย ซึ่งวิธีในการ สร้างสรรค์สิ่งพิมพ์หลายวิธี มีการพัฒนาตัวเองให้ทันสมัยเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ สื่อสิ่งพิมพ์ที่นิยม ใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ แผ่นพับ และแผ่นปลิว กกกกกกกแผ่นพับ สามารถพับได้ตั้งแต่ 4 - 80 หน้า (หน้า - หลัง) แต่นิยมใช้กระดาษ A4 พับเป็น 3 ตอน 6 หน้า มากที่สุด เนื่องจากสะดวก และประหยัด เมื่อพับเสร็จแล้ว แผ่นพับจะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก รวมทั้ง แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ ได้ โดยไม่ต้องมีเลขหน้ากำกับ แผ่นพับเป็นสื่อ สิ่งพิมพ์ที่จัดเป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงชนิดหนึ่ง


176 กกกกกกกกล่าวโดยสรุปว่า แผ่นพับ หมายถึง สื่อโฆษณาที่เป็นสิ่งพิมพ์ที่ผู้ผลิตส่งตรงถึงผู้บริโภค มี ทั้งวิธีการส่งทางไปรษณีย์และแจกตามสถานที่ต่าง ๆ ลักษณะเด่นของแผ่นพับ คือ มีขนาดเล็ก หยับ ง่าย ให้ข้อมูลรายละเอียดได้มากพอสมควร ผู้อ่านสามารถเลือกเวลาใดอ่านก็ได้ ผู้ออกแบบมีเทคนิค การออกแบบตามอิสระ หลากหลาย ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ำกว่าสิ่งพิมพ์ชนิดอื่น นอกจากนี้ยังเป็น สื่อที่ถึงเป้าหมายได้อย่างแท้จริง กกกกกกกหลักการทั่วไป การออกแบบแผ่นพับ มี 2 เรื่องที่สำคัญ คือ กกกกกกก หลักการที่ 1 สิ่งที่ต้องกำหนด และวางแผนก่อนการออกแบบแผ่นพับ กกกกกก กหลักการที่ 2 องค์ประกอบ และการจัดวางองค์ประกอบในการออกแบบแผ่นพับ กกกกกกกสิ่งที่ต้องกำหนด และวางแผนก่อนการออกแบบแผ่นพับ มี 4 ข้อ ดังนี้ กกกกกกก ข้อที่ 1 การกำหนดขนาดและรูปแบบของแผ่นพับ กกกกกกก ข้อที่2 การกำหนดลักษณะการส่ง กกกกกกก ข้อที่ 3 การกำหนดกระดาษ กกกกกกก ข้อที่ 4 การกำหนดลำดับของการอ่านตามลักษณะของแผ่นพับ กกกกกกก ข้อที่ 1 การกำหนดขนาดและรูปแบบของแผ่นพับ แผ่นพับ มีลักษณะคล้ายใบปลิว แต่มีขนาดใหญ่กว่า (เมื่อคลี่ออกมา) เนื่องจาก ถูก ออกแบบให้บรรจุรายละเอียด ได้มากกว่า มีได้ตั้งแต่ 2 - 5 ทบ หรือมากกว่านั้น เป็นต้น วิธีการพับมีหลายแบบ เช่น พับทบกันไปมาเท่ากันทุกด้าน พับไม่เท่ากันทุกด้าน และในปัจจุบันมีการออกแบบให้มีลูกเล่นมากมายจะเป็น ไดคัด popup ดึง ฯลฯ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ผู้ออกแบบ และเจ้าของสินค้า วิธีการจัดแจกเป็น เช่นเดียวกับใบปลิว การผลิต รูปแบบของแผ่นพับจะเป็นกระดาษแผ่นเดียวพิมพ์ทั้งสองหน้าแล้วพับ อย่างน้อย 1 พับ เป็นต้น เนื่องจากแผ่นพับมีวิธีการพับหลายแบบและไม่มีเลขหน้ากาทับเหมือนกับหนังสือ ที่จะบังคับให้ผู้อ่าน อ่านไปทีละหน้า ดังนั้นผู้ทำแผ่นพับจึงต้องออกแบบจัดเรียงลำดับการเสนอ ข้อความและรูปภาพในการโฆษณาให้เหมาะสมกับลักษณะของการพับนั้น ๆ เพราะถ้าออกแบบไม่ดี แล้วจะทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสนในการอ่านได้ง่าย กกกกกกกข้อที่ 2 การกำหนดลักษณะการส่ง การนำแผ่นพับไปใช้งานนั้นทำได้หลายวิธี เช่น ส่งทาง ไปรษณีย์ให้, นำไปใส่ไว้ ใน กล่องที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษไปตั้งตามสถานที่สาธารณะ (Take - Onebox) การใช้คนไปยืนแจกตาม สถานที่ที่คาดว่ากลุ่มคนที่สนใจจะไป


177 กำหนดลักษณะการแจกจ่ายแผ่นพับที่แน่นอน จะทำให้ทราบถึงข้อที่ควร คำนึงถึง ในขั้นตอนการออกแบบล่วงหน้า เป็นต้น กกกกกกกข้อที่ 3 การกำหนดกระดาษ การกำหนดกระดาษสำหรับทำแผ่นพับ มักจะคำนึงถึงต้นทุนในการผลิตเป็นหลัก เพราะแผ่นพับ 1 ใบที่แจกออกไปนั้น จะมีผู้พบเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น กระดาษที่ใช้ในการทำแผ่นพับนั้นก็ต้อง มีความเหมาะสมกับสินค้าหรือบริการที่ ต้องการสื่อสาร ลักษณะของกระดาษที่แตกต่างกันสามารถทำให้แผ่นพับมีลักษณะไม่เหมือนกัน อย่างสิ้นเชิง ในด้านเทคนิคกระดาษบางชนิดมีข้อจำกัดในเรื่องการพับโดยเฉพาะกระดาษที่มีความ หนามากกว่าปกติ คือจะต้องพับไปในแนวเดียวกับทิศทางการเรียงตัวของเส้นใยกระดาษ (Grain) เท่านั้น กกกกกกกข้อที่ 4 การกำหนดลำดับของการอ่านตามลักษณะของแผ่นพับ เมื่อผู้อ่านได้รับแผ่นพับนั้น จะเป็นลักษณะที่ยังพับอยู่ทำให้ผู้อ่านได้เห็น ด้านหน้า ก่อน จากนั้นเมื่อผู้อ่านคลี่แผ่นพับออกก็จะค่อย ๆ เห็นหน้าอื่น ดังนั้น จึงต้องกำหนดลำดับของเนื้อหาให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สอดคล้องกับ ลำดับ ของการคลี่แผ่นพับนั้นออกอ่าน โดยต้องกำหนดว่าเนื้อหาส่วนใดควรมาก่อนมาทีหลัง แล้วจัดวาง ไปตามส่วนต่างๆให้ถูกต้องตามลำดับของการคลี่ออกอ่าน กกกกกกกองค์ประกอบและการจัดวางองค์ประกอบในการออกแบบแผ่นพับที่ต้องกำหนดและ วางแผนเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ มี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ กกกกกกกองค์ประกอบที่ 1 พาดหัว 1.1 มักเป็นตัวอักษรที่ใหญ่หรืออยู่ในตำแหน่งที่เด่น 1.2 อยู่ด้านหน้าของแผ่นพับและนิยมวางไว้ในส่วนบนของหน้า 1.3 เป็นข้อความสั้น ๆ เข้าใจง่าย กกกกกกกองค์ประกอบที่ 2 ภาพประกอบ 1.1 มักวางอยู่หน้าเดียวกับพาดหัว (แต่ไม่จำเป็นต้องมีคู่กันเสมอ) 1.2 เป็นภาพที่จะช่วยดึงความสนใจของผู้อ่าน 1.3 ตามข้อความอาจมีภาพประกอบเล็ก ๆ เพื่อใช้ประกอบเนื้อ กกกกกกกองค์ประกอบที่ 3 ข้อความ 1.1 เนื่องจากพื้นที่มีจำกัดข้อความเนื้อหาจึงมักมีขนาดเล็ก แต่ไม่ ควร เล็กกว่า 12 พอยด์


178 1.2 ควรใช้ตัวอักษรสีเข้มบนพื้นสีอ่อน ดีกว่าตัวอักษรสีอ่อนบนพื้นเข้ม 1.3 ควรใช้แบบอักษรเพียง 1-2 แบบ 1.4 การวางข้อมูลต้องคำนึงถึงลำดับการอ่านให้ถูกต้อง 1.5 ควรเว้นพื้นที่ว่างไว้ เพื่อไม่ให้มีข้อความมากเกินไปเพราะจะทำให้ น่าเบื่อ กกกกกกกองค์ประกอบที่ 4 ภาพสถานที่หลัก และตราสัญลักษณ์ 1.1 ภาพสถานที่หลัก อาจนำมาเป็นภาพประกอบในหน้าแรกของแผ่นพับได้ 1.2 ตราสัญลักษณ์ควรอยู่ด้านหน้าแผ่นพับรวมกับพาดหัวหรือภาพ ประกอบหลัก 1.3 ควรมีตราสัญลักษณ์ในตอนท้ายของแผ่นพับด้วยเพื่อเป็นการย้ำ เตือนถึงสัญลักษณ์ของเรื่องนั้น กกกกกกกข้อดีของแผ่นพับ กกกกกกก ข้อ 1 ผลิตและปรับปรุงได้ง่าย กกกกกกก ข้อ 2 เพิ่มโอกาสให้กับการขาย กกกกกกก ข้อ 3 สร้างความน่าเชื่อถือ กกกกกกก ข้อ 4 ลดต้นทุน ลดเวลา ในการตอบคำถาม กกกกกกก ข้อ 5 ประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิต กกกกกกก ข้อ 6 ขนาดเล็ก พกพาสะดวก ผู้อ่านสามารถอ่านซ้ำได้เมื่อต้องการ กกกกกกก ข้อ 7 นำไปใช้ได้ในหลายวัตถุประสงค์ กกกกกกกข้อควรคำนึงในการออกแบบแผ่นพับ กกกกกกก ข้อ 1 หน้าแรกของแผ่นพับต้องออกแบบให้สวยงาม สะดุดตา และน่าหยิบอ่าน กกกกกกก ข้อ 2 จัดเรียงลำดับเนื้อหาให้เหมาะสม เพราะแผ่นพับไม่มีเลขหน้ากำกับ ผู้อ่านอาจ สับสนได้ ควรจัดทำโครงร่าง (Layout) การนำเสนอเนื้อหา ภาพกราฟิกประกอบ กกกกกกก ข้อ 3 ควรพับง่าย ไม่ซับซ้อน หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นพับที่มีหลายหน้า เพราะจะทำให้อ่าน ยาก กกกกกกก ข้อ 4 นำเสนอข้อมูลให้จบในแต่ละส่วนที่พับ หากจำเป็นต้องข้ามส่วน ควรออกแบบ ให้ สะดวกหรือต่อเนื่อง เข้าใจง่าย กกกกกกก ข้อ 5 ภาพหรือกราฟิกที่ใช้ประกอบ ควรส่งเสริมหรือสอดคล้องกับเนื้อหา กกกกกกก ข้อ 6 ใช้หลักองค์ประกอบศิลป์ช่วยออกแบบ กกกกกกกกล่าวโดยสรุปว่า หลักการทั่วไปการออกแบบแผ่นพับ มี 2 เรื่องที่สำคัญ คือ (1) สิ่งที่ ต้องกำหนด และวางแผนก่อนการออกแบบแผ่นพับ และ (2) องค์ประกอบ และการจัดวาง องค์ประกอบในการออกแบบแผ่นพับ และสิ่งที่ต้องกำหนดและวางแผนก่อนการออกแบบแผ่นพับ มี


179 4 ข้อ ดังนี้ (1) การกำหนดขนาด และรูปแบบของแผ่นพับ (2) การกำหนดลักษณะการส่ง (3) การ กำหนดกระดาษ และ (4) การกำหนดลำดับของการอ่านตามลักษณะของแผ่นพับ เรื่องที่ 4 การฝึกปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล (บาลี: สีล) คือข้อปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานในทางพระพุทธศาสนา เพื่อควบคุมความ ประพฤติทางกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความดีงามมีความปกติสุข เพื่อให้เป็นกติกาข้อห้ามที่ใช้ แก้ปัญหาขั้นพื้นฐาน 5 ปัญหาหลัก ซึ่งทำให้เกิดความสงบสุข และ ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ในสังคม ประโยชน์ของศีลในขั้นพื้นฐานคือทำให้กาย วาจา ใจ สงบไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำให้สามารถที่จะทำให้จิตสงบได้ง่ายในการทำสมาธิ ในระดับของบรรพชิต ศีลจะมีจำนวนมาก เพื่อกำกับให้พระภิกษุสงฆ์สามเณรสามารถครองตนในสมณภาวะได้อย่างสมบูรณ์ และเอื้อต่อการ ประพฤติพรหมจรรย์ในขั้นสูงต่อไปได้ ความหมายของศีลนั้นแปลได้หลายความหมาย โดยศัพท์แปลว่า ความปกติของกายและ วาจา กล่าวคือความปกติตามระเบียบวินัย, ปกติมารยาทที่สะอาดปราศจากโทษ, ข้อปฏิบัติในการ เว้นจากความชั่ว, ข้อปฏิบัติในการฝึกหัดกายวาจาให้ดียิ่งขึ้น, ความสุจริตทางกายวาจาและอาชีพ และยังมักใช้เป็นคำเรียกอย่างง่ายสำหรับคำว่า "อธิศีลสิกขา" อันได้แก่ข้อปฏิบัติขั้นต้นเพื่อการฝึก ตนในทางพระพุทธศาสนาด้วย. ระดับของศีลในทางพระพุทธศาสนา ศีล แบ่งเป็น 3 ระดับ คือจุลศีล (ศีลอย่างน้อย) ได้แก่ คหัฏฐศีลทั้ง 2 คือ ศีล5 และอาชีวัฏฐ มกศีล มัชฌิมศีล (ศีลอย่างกลาง) ได้แก่ บรรพชาศีลทั้ง 2 คือได้แก่อัฏฐศีล และทสศีล มหาศีล (ศีล อย่างสูง) ได้แก่ อุปสมบททั้ง 2 คือ ภิกษุณีวินัย และภิกษุวินัย ปัญจศีล (ศีล 5) หรือเรียกว่านิจจศีล (คือถือเนื่องนิจจ์) 1. อาชีวัฏฐมกศีล (ศีลกุศลกรรมบท 10) หรือเรียกว่าอาทิพรหมจริยาศีล (หรือเรียกอีกอย่างว่า นวศีล) 2. อัฏฐศีล (ศีล 8) หรือเรียกว่าอุโบสถศีล (ศีลอุโบสถ) 3. ทสศีล (ศีล 10) 4. ภิกษุณีวินัย (ศีล 311) 5. ภิกษุวินัย (ศีล 227) • ระดับแห่งศีลที่ต่างกัน เพราะระดับของสัมมาอาชีวะต่างกัน กล่าวคือระดับของศีลคือระดับขั้นของการใช้ปัจจัยบริโภค เท่าที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต 1. ศีล 5 คือเสพโดยไม่เบียดเบียน 2. อาชีวัฏฐมกศีล แสวงหาทรัพย์อย่างไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อนจากการแสวงหาทรัพย์นั้น


180 3. อุโบสถศีล คือ การไม่เสพกามคุณ เพราะมนุษย์ไม่เสพกามคุณ ก็ไม่เสียชีวิตเพราะอดตาย 4. ทสศีล คือ การดำรงชีวิต อย่างนักบวชแท้จริง คือไม่สะสมลาภมีเงินและทอง ดุจฆราวาส แต่ ดำรงชีวิตได้ด้วยการขอ อันเป็นเหตุให้ระวังการปฏิพฤติให้ดี ให้สมกับที่ชาวบ้านให้ 5. ภิกษุณีวินัย และ ภิกษุวินัย คือการดำรงค์ชีวิตที่ประหยัด เหมาะสม คุ้มค่า ไม่เดือดร้อนทายก ผู้ให้ รักษาปัจจัยที่ทายกให้แล้ว พอเพียงเท่าที่มี มีระเบียบที่ไม่หนักใจผู้ให้ 6. ธุดงค์แม้จะไม่จัดเป็นศีลหรือวินัย เพราะไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบังคับให้ทำ แต่ก็ไม่ทรง ห้าม เพราะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากและลำบาก ทรงสรรเสริญผู้ปฏิบัติ จัดเป็นการควบคุมการ ใช้ปัจจัยสี่งที่อุกฤตที่สุด วิธีฝึกสมาธิเบื้องต้น สมาธิ คือ ความสงบ สบาย และความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นได้ด้วย ตนเอง เป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนากำหนดเอาไว้เป็นข้อควรปฏิบัติ เพื่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่าง เป็นสุข ไม่ประมาท เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ และปัญญา อันเป็นเรื่องไม่เหลือวิสัย ทุกคนสามารถ ปฏิบัติได้ง่ายๆ ดังวิธีปฏิบัติที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้เมตตาสั่งสอนไว้ ดังนี้ 1. กราบบูชาพระรัตนตรัย เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจให้นุ่มนวลไว้เป็นเบื้องต้น แล้วสมาทาน ศีลห้า หรือศีลแปด เพื่อย้ำความมั่นคงในคุณธรรมของตนเอง 2. คุกเข่าหรือนั่งพับเพียบสบายๆ ระลึกถึงความดีที่ได้กระทำไว้ดีแล้วในวันนี้ ในอดีต และที่จะ ตั้งใจทำต่อไปในอนาคต จนราวกับว่าร่างกายทั้งหมดประกอบขึ้นด้วยธาตุแห่งคุณงาม ความดีล้วนๆ 3. นั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือ ข้างซ้าย นั่งให้อยู่ในท่าที่พอดี ไม่ฝืนร่างกายมากจนเกินไป ไม่ถึงกับเกร็ง แต่อย่าให้หลังโค้ง งอ หลับตาพอสบายคล้ายกับกำลังพักผ่อน ไม่บีบกล้ามเนื้อตาหรือขมวดคิ้ว แล้วตั้งใจมั่น วางอารมณ์สบาย สร้างความรู้สึกให้พร้อมทั้งกายและใจว่า กำลังเข้าไปสู่สภาวะแห่งความ สงบ สบายอย่างยิ่ง 4. นึกกำหนดนิมิต เป็นดวงกลมใส ขนาดเท่าแก้วตาดำ ใสบริสุทธิ์ ปราศจากรอยตำหนิใดๆ ขาวใส เย็นตา เย็นใจ ดังประกายของดวงดาว ดวงแก้วกลมใสนี้เรียกว่า "บริกรรมนิมิต" นึกสบายๆ นึกเหมือนดวงแก้วนั้นมานิ่งสนิทอยู่ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด นึกไปภาวนาไป อย่างนุ่มนวล เป็นพุทธานุสติว่า “สัมมา อะระหัง” หรือค่อยๆน้อมนึกดวงแก้วกลมใสให้ ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ศูนย์กลางกายตามแนวฐาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ฐานที่หนึ่งเป็นต้นไป น้อม นึกอย่างสบายๆ ใจเย็นๆ ไปพร้อมๆกับคำภาวนา


181 ฐานที่ตั้งของใจทั้ง 7 ฐาน • ฐานที่1 ปากช่องจมูก หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา • ฐานที่2 เพลาตา หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา • ฐานที่3 จอมประสาท • ฐานที่4 ช่องเพดานปาก • ฐานที่5 ปากช่องลำคอ • ฐานที่6 ศูนย์กลางกาย ระดับสะดือ • ฐานที่7 ศูนย์กลางกาย ที่ตั้งของใจถาวร เหนือสะดือสองนิ้วมือ อนึ่ง เมื่อนิมิตดวงกลมใสปรากฏแล้ว ณ กลางกาย ให้วางอารมณ์สบายๆกับนิมิตนั้น จน เหมือนกับว่าดวงนิมิตเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ หากดวงนิมิตนั้นอันตรธานหายไป ก็ไม่ต้องนึก เสียดาย ให้วางอารมณ์สบายแล้วนึกนิมิตนั้นขึ้นมาใหม่แทนดวงเก่าหรือเมื่อนิมิตนั้นปรากฏที่อื่นที่ ไม่ใช่ศูนย์กลางกาย ให้ค่อยๆน้อมนิมิตเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีการบังคับ และเมื่อนิมิตมา หยุดสนิท ณ ศูนย์กลางกาย ให้วางสติลงไปยังจุดศูนย์กลางของดวงนิมิต ด้วยความรู้สึกคล้ายมี ดวงดาวดวงเล็กๆอีกดวงหนึ่ง ซ้อนอยู่ตรงกลางดวงนิมิตดวงเดิม แล้วสนใจเอาใจใส่แต่ดวงเล็กๆ ตรงกลางนั้นไปเรื่อยๆ ใจจะปรับจนหยุดได้ถูกส่วน เกิดการตกศูนย์และเกิดดวงสว่างขึ้นมาแทนที่ ดวงนี้เรียกว่า "ดวงธรรม" หรือ "ดวงปฐมมรรค" อันเป็นประตูเบื้องต้นที่จะเปิดไปสู่หนทางแห่งมรรค ผลนิพพาน การระลึกนึกถึงนิมิตสามารถทำได้ในทุกแห่ง ทุกที่ ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน หรือขณะทำภารกิจใดๆ ข้อแนะนำ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ ทำอย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันมิให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสีย


182 ความเป็นกลาง และเมื่อการฝึกสมาธิบังเกิดผลจนได้ดวงปฐมมรรค ที่ใสเกินใส สวยเกินสวย ติดสนิท มั่นคงที่ศูนย์กลางกายแล้ว ให้หมั่นตรึกระลึกถึงอยู่เสมอ อย่างนี้แล้ว ผลแห่งสมาธิจะทำให้ชีวิตดำรง อยู่บนเส้นทางแห่งความสุข ความสำเร็จ และความไม่ประมาทตลอดไป ทั้งยังจะทำให้สมาธิละเอียด ลุ่มลึกไปตามลำดับอีกด้วย เทคนิคเบื้องต้นในการทำสมาธิ 1. หลับตาเบาๆ ผนังตาปิด 90% 2. อย่าบังคับใจ เพียงตั้งสติ วางใจเบาๆ ณ ศูนย์กลางกาย กำหนดนิมิตเป็น ดวงแก้วใสๆ... เบาๆหรือ องค์พระใสๆ...เบาๆ หรือ ลมหายใจ เข้า-ออก...เบาๆ หรือ อาการท้อง พอง-ยุบ ...เบาๆ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง 3. กำหนดนิมิต นึกนิมิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกุศโลบายล่อใจให้เข้ามาตั้งมั่นในกาย 4. เมื่อใจเข้ามาหยุดนิ่งในกาย การกำหนดนิมิตก็หยุดโดยอัตโนมัติ 5. รับรู้การเปลี่ยนแปลงภายในกายและจิตใจ ด้วยความสงบ 6. อยู่ในความดูแลของกัลยาณมิตรอย่างใกล้ชิด หลักการฝึกสมาธิ 1. น้อมใจมาเก็บไว้ ณ ศูนย์กลางกาย แต่ละครั้งเก็บใจไว้ให้นานที่สุด จนกระทั่งกลายเป็นนิสัย มีใจตั้งมั่นภายใน 2. มีสติกำกับใจตลอดเวลา ทำให้ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดม กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส รู้ธรรมารมณ์ใดๆ (เช่น ในคำสรรเสริญ เยินยอ ยศศักดิ์ ชื่อเสียง ฯลฯ) 3. ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ และตรงเวลาเป็นประจำ 4. มีอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถจริง คอยควบคุม ให้คำแนะนำ อย่างใกล้ชิด ข้อควรระวัง 1. อย่าใช้กำลัง คือ ไม่ใช้กำลังใดๆทั้งสิ้น เช่น ไม่บีบกล้ามเนื้อตา เพื่อจะให้เห็นนิมิตเร็วๆ ไม่ เกร็งแขน ไม่เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่เกร็งตัว ฯลฯ เพราะการใช้กำลังตรงส่วนใดของร่าง การก็ตาม จะทำให้จิตเคลื่อนจากศูนย์กลางกายไปสู่จุดนั้น 2. อย่าอยากเห็น คือ ทำใจให้เป็นกลาง ประคองสติมิให้เผลอจากบริกรรมภาวนา และ บริกรรมนิมิต ส่วนจะเห็นนิมิตเมื่อใดนั้น อย่ากังวล ถ้าถึงเวลาแล้วย่อมเห็นเอง การบังเกิด ของดวงนิมิตนั้น อุปมาเสมือนการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ เราไม่อาจจะเร่งเวลาได้ 3. อย่ากังวลถึงการกำหนดลมหายใจเข้าออก เพราะการฝึกสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย ภายใน อาศัยการนึกถึง อาโลกกสิณ คือ กสิณความสว่าง เป็นบาทเบื้องต้น 4. เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว ให้ตั้งใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดที่เดียว ไม่ว่าจะอยู่ใน อิริยาบถใดก็ตาม เช่น ยืน เดิน นอน หรือนั่ง อย่าย้ายฐานที่ตั้งจิตไปไว้ที่อื่นเป็นอันขาด ให้ ตั้งใจบริกรรมภาวนา พร้อมกับนึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วใส หรือองค์พระแก้วใส ควบคู่กันไปตลอด


183 5. นิมิตต่างๆที่เกิดขึ้น จะต้องน้อมไปตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดทั้งหมด ถ้านิมิตเกิดขึ้น แล้วหายไป ก็ไม่ต้องตามหา ให้ภาวนาประคองใจต่อไปตามปกติ ในที่สุดเมื่อจิตสงบ นิมิต ย่อมปรากฏขึ้นมาใหม่อีก การฝึกสมาธิเบื้องต้นเท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขได้พอสมควร เมื่อ ซักซ้อมปฏิบัติอยู่เสมอๆไม่ทอดทิ้ง จนได้ดวงปฐมมรรคแล้ว ก็ให้หมั่นประครองรักษาดวงปฐมมรรค นั้นไว้ตลอดชีวิต ดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดี ย่อมเป็นหลักประกันได้ว่า ได้ที่พึ่งของชีวิตที่ถูกต้องดี งาม ที่จะส่งผลให้เป็นผู้มีความสุขความเจริญ ทั้งในภพชาตินี้และภพชาติหน้า เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หากสามารถแนะนำต่อๆกันไป ขยายไปยังเหล่ามนุษยชาติอย่างไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ สันติสุขอันไพบูลย์ที่ทุกคน ใฝ่ฝัน ก็ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว คือรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน, รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ, รู้สิ่งที่ ควรทำควรเว้น เป็นต้น เป็นธรรมที่คอยกำกับศรัทธา เพื่อให้เชื่อประกอบด้วยเหตุผล ไม่ให้หลงเชื่อ อย่างงมงาย ในสังคีติสูตร พระสารีบุตรกล่าวว่า ปัญญา ทำให้เกิดได้ 3 วิธี คือ 1. โดยการสดับตรับฟัง การศึกษาเล่าเรียน (สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง) 2. โดยการคิดค้น การตรึกตรอง (จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิด) 3. โดยการอบรมจิต การเจริญภาวนา (ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการอบรม) หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับปัญญา 3 อย่างคือ 1. กาลามสูตร จัดเป็นสุตามยปัญญา 2. โยนิโสมนสิการ จัดเป็นจินตามยปัญญา 3. สมถและวิปัสสนา จัดเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญา ที่เป็นระดับ อธิปัญญา คือปัญญาอย่างสูง จัดเป็นสิกขาข้อหนึ่งใน สิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ภาคปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมนั้น ต้องประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา เป็นการปฏิบัติไปทั้งหมด ภายในเวลาเดียวกันไม่แยกจากกัน ในศีลก็มีสมาธิและปัญญา ในปัญญาก็มีศีลและสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้มีศีลย่อมมีปัญญา ผู้มีปัญญาย่อมมีศีล และทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะเป็นไปเพื่อกัน และกัน หากเรานำมาแยกปฏิบัติ จะเกิดสภาพที่เรียกได้ว่าขาดๆเกินๆ เช่น ถ้าปฏิบัติแต่ศีล ก็จะ กลายเป็นคนเคร่งเครียดในศีล ถือศีลแบบยึดมั่นถือมั่น ถือโดยไม่มีปัญญา ไม่รู้สาระในศีล รู้แค่ว่าถือ ศีลแล้วดี ยิ่งถือศีลมากๆยิ่งดี กลายเป็นหลงงมงายในศีลไป …ถ้าปฏิบัติแต่สมาธิ ก็จะกลายเป็นเหมือนฤาษี เข้าภพ เข้าฌาน เข้าภวังค์ สะสมพลังสติ เมาสติ เหมือนนักกล้ามที่ออกกำลังกายเพื่อกล้ามเนื้อ แต่ก็ไม่รู้จะเอาความแข็งแกร่งนั้นไปทำ ประโยชน์อะไร อย่างเก่งก็ดับความคิด ดับสัญญา แต่ดับกิเลสไม่เป็น


184 …ถ้าปฏิบัติแต่ปัญญา ก็จะกลายเป็นพวกฟุ้งซ่าน อ่านพระไตรปิฏกมากมาย จำได้พูดคล่อง เหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่ไม่เข้าใจสาระ ไม่เข้าใจวิธีการปฏิบัติ รู้แค่ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจะเห็น ได้ว่าถ้าเรามุ่งแต่ปฏิบัติตัวใดตัวหนึ่งก็จะทำให้หลงมัวเมาไปได้ และโดยส่วนมากผู้ที่หลงมัวเมา มักจะไม่รู้ตัว และยึดมั่นถือมั่นในแนวทางที่ตนเองได้ปฏิบัติมา ทำให้การปฏิบัติธรรมไปสู่ความผาสุก นั้นเนิ่นช้าไปเรื่อยๆ เรามาลองดูว่าถ้าปฏิบัติแล้วขาดบางอย่างไปจะเป็นอย่างไร …ถ้าขาดศีลก็จะฟุ้งไปไกล มักจะหลงว่าตัวเองบรรลุธรรม มีกำลังสติ สามารถตั้งจิตให้มั่น คงสภาพนั้นๆ เกิดสมาธิได้นาน แถมมีปัญญา คิดและเข้าใจไปเองว่าตนเองมีกำลังสติมาก และ เข้าใจธรรมได้ขนาดนี้ ต้องบรรลุธรรมแน่เลย เข้ารกเข้าพงกันไปตามความฟุ้งซ่านของปัญญา …ถ้าขาดสมาธิก็ยากที่จะเจริญในการปฏิบัติธรรม เหมือนคนอยากวิ่งมาราธอนแต่ร่างกาย อ่อนแอ วิ่งไปได้สักพักก็หมดแรง แข่งงานไหนก็ไม่ถึงเส้นชัยกับเขาเสียที แม้จะสามารถถือศีลได้ อย่างมีปัญญา แต่ถ้ากำลังสติน้อย ก็ยากที่จะเอาชนะกิเลส ยากที่จะดำเนินไปสู่ปัญญาที่เป็นผลได้ …ถ้าขาดปัญญาก็จะกลายเป็นเหมือนฤาษีที่เคร่งวินัย สามารถถือศีลที่ยากๆ และลำบากได้ ง่ายๆ เพราะมีสติมาก แต่เป็นการถือศีลแบบยึดมั่นถือมั่น ถือศีลแล้วล้างกิเลสไม่เป็น ถือศีลไปอย่าง นั้น ไม่รู้คุณค่า ไม่รู้สาระ ไม่รู้วิธีใช้ศีลให้เกิดปัญญา โดยมากแล้วจะมีรูปสวย ภาพลักษณ์ดูดี คนใน สังคมนิยมชมชอบ เพราะจะดูนิ่งและสงบมาก แต่ถ้าให้สอนหรือถ่ายทอดก็จะสอนไม่เป็น ยิ่งสอนยิ่ง งง พอโดนไล่ถามมากๆก็มักจะโกรธ หรือไล่ให้ไปปฏิบัติจะรู้เอง เพราะตนเองนั้นไม่ได้บรรลุธรรม ไม่ได้ดับกิเลส เมื่อดับกิเลสไม่เป็นก็ไม่สามารถสอนหรือบอกใครได้แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติถูกทาง การขาด ตัวใดตัวหนึ่ง หรือปฏิบัติขาดๆเกินๆจะไม่เกิดขึ้น ศีล สมาธิ และปัญญา จะเสริมเติมกันเองตลอด ยกระดับขึ้นไปพร้อมๆกัน ไม่โต่งไปด้านใดด้านหนึ่งมากนัก เมื่อเห็นดังนี้แล้ว เรามาเข้าภาคปฏิบัติ กันเลย 1). ปฏิบัติศีลด้วยปัญญาที่เป็นมรรค ก่อนที่จะปฏิบัติศีลนั้น เขาจำเป็นต้องมีปัญญาในเบื้องต้น ที่จะทำให้ยินดีที่จะปฏิบัติศีล นั้น เช่นเห็นคุณค่าของศีล เห็นว่าศีลนั้นดี เช่นถือศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์อย่างเคร่งครัด เพราะเห็นแล้ว ว่าศีลข้อนี้จะทำให้ตนไม่ทำบาป การถือศีลนั้นจึงต้องมีปัญญาร่วมด้วยเสมอ ส่วนคนไม่มีปัญญาก็จะ ไม่ถือศีลเพราะมองว่าศีลนั้นเป็นของไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ เหตุนั้นเพราะเขาเองไม่มีปัญญาพอที่จะ เห็นสาระและประโยชน์ในศีลนั้นๆ 2). ปฏิบัติศีลด้วยสมาธิ เมื่อตั้งศีล ถือศีล พร้อมเอาศีลมาปฏิบัติแล้ว จากนี้ก็ต้องใช้ความอึด ความอดกลั้น ความอดทน ใช้สติ ใช้ขันติ ให้เกิดสภาพของศีลอย่างต่อเนื่อง คือถือศีลอย่างมีสมาธิ ในขั้นตอนนี้ไม่ ง่าย เพราะเปรียบได้กับการเข้าสมรภูมิรบ เช่นเราตั้งศีลว่าจะไม่กินกาแฟ เมื่อเราได้กลิ่นกาแฟ กิเลส ก็มักจะหาเหตุผลให้เราไปเอากาแฟมากินเสมอ หรือนั่งอยู่เฉยๆ ก็อาจเกิดอาการอยากกาแฟขึ้นมา เลยก็ได้ สมาธิจะเข้ามาทำงานอย่างมากในช่วงนี้ ต้องอด ต้องทน ต้องฝืนต่อพลังของกิเลสในจิตใจ


185 กดข่มมันไว้ ไม่ไปเสพสิ่งที่เราตั้งใจว่าจะละเว้นไว้ เราสามารถเพิ่มพลังสมาธิ หรือกำลังสติได้โดย การฝึกสมถะ 3). สมาธิไปสู่ปัญญา เมื่อคงสภาพของสมาธิได้แล้ว จึงใช้ปัญญาเข้ามาพิจารณา หรือที่เรียกว่าวิปัสสนา คือ การพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง พิจารณาคุณประโยชน์ของการออกจากสิ่งที่เป็นภัย พิจารณาโทษของสิ่งที่เป็นภัย พิจารณากรรมและผลของกรรมหากเรายังไปเสพสิ่งที่เป็นภัย พิจารณาไตรลักษณ์ คือความอยากเสพนั้นทำให้เราทุกข์อย่างไร ความอยากเสพนั้นไม่เที่ยงอย่างไร มันไม่ได้เกิดตลอดใช่หรือไม่ มันเกิดแล้วมันก็ดับไป พิจารณาอนัตตา คือความไม่ใช่ตัวตนของทุกข์ นั้น ความอยากไม่ใช่เรา กิเลสไม่ใช่เรา เรายึดมันมาเอง เราเป็นคนต้อนรับกิเลสเข้ามาในชีวิตเราเอง แท้จริงมันไม่ใช่เรา 4). ปัญญาที่เป็นผลเจริญ เมื่อสามารถถือศีล อย่างมีสมาธิ และใช้ปัญญาที่เป็นมรรค คือทางเดิน คือกระบวนการ พิจารณาล้างกิเลส จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ปัญญานั้นเต็มรอบ จะสามารถที่จะดับกิเลสนั้นได้อย่างสิ้น เกลี้ยงจะเกิดสภาวะของฌานไปตามลำดับ คือปีติ สุข อุเบกขา ซึ่งจะข้ามวิตกวิจารณ์ไป เพราะทำ ตั้งแต่ในข้อสามแล้ว ฌานนี้จะไม่เหมือนกับวิธีเข้าฌานนั่งสมาธิ เพราะเป็นฌานเพ่งเผากิเลส จะเกิด ก็ต่อเมื่อได้ทำการล้างกิเลสจนเกิดปัญญาที่เป็นผล รู้แจ้งในกิเลสนั้นๆ ซึ่งการเกิดสภาพของฌานแรง หรือเบา ผ่านไปเร็วหรือตั้งอยู่นาน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่นความยากของกิเลสนั้นๆ หรือความ เคยชินของการฆ่ากิเลส 5). ปฏิบัติไปจะค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมหาสมุทร ลาด ลุ่ม ลึก ไปตามลำดับ การปฏิบัตินั้น ไม่ได้หมายความว่าจะทำทีเดียวบรรลุธรรมถึงวิมุตติได้เลย จะรู้แจ้ง เข้าใจได้เลย แต่จะต้องทำไปตามลำดับ เกิดปัญญาไปตามลำดับ เพิ่มพลังสติไปตามลำดับ ปฏิบัติ อธิศีล แปลว่า ยกระดับศีลไปเรื่อยๆ เพื่อปฏิบัติอธิจิต และอธิปัญญา การปฏิบัติเช่นนี้จะเจริญไป เรื่อยๆ แม้ว่าเราจะปฏิบัติศีลที่ยากขึ้น แต่มันจะไม่รู้สึกยากเหมือนกับตอนแรกที่เราเริ่มปฏิบัติธรรม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตอนแรกเราตั้งใจเลิกกาแฟเลย มันจะยากมาก มันจะตัดใจยาก มันจะทรมาน มัน จะแพ้กิเลสอยู่เรื่อยไป แต่ถ้าเราหัดลดปริมาณการดื่มจากวันละสองแก้วเป็นวันละแก้ว ค่อยๆหัดละ จากกินทุกวันเป็นสัปดาห์ละ 3 วัน เพิ่มวันที่ละให้เยอะขึ้นจาก 3..4..5.. วัน จนถึง 1 เดือน 2 เดือน สุดท้ายก็จะสามารถตัดสินใจเลิกได้ง่ายขึ้น เพราะเราปฏิบัติธรรมไปตามลำดับ เจริญไปตามลำดับ เก็บสะสมพลังสติ พลังปัญญาไปตามลำดับ 6). เมื่อถึงเป้าหมาย สามารถอนุโลมถอยกลับมาได้ เมื่อเราปฏิบัติจนสามารถล้างกิเลสนั้นได้จริง เรียกว่าถึงวิมุตติ จะมีสภาพรู้แจ้งเห็น จริงตามความเป็นจริงในความอยากนั้น จะไม่มีวันที่จะกลับไปอยากเสพอีก รู้โทษชั่วของการเสพสิ่ง นั้น รู้ชัดว่าต้องปฏิบัติอย่างไรถึงจะสามารถทำลายกิเลสนั้นได้ จึงสามารถย้อนกลับไปสอนหรือ แนะนำคนที่ยังไม่ผ่านกิเลสด่านนั้นได้ หรือกระทั่งสามารถอนุโลมกลับไปเสพได้ในบางกรณี โดยไม่


186 เกิดบาป เพราะบาปคือการสั่งสมกิเลส ผู้ที่กำจัดกิเลสสิ้นเกลี้ยงแล้ว แม้จะกลับไปเสพก็ไม่บาปแต่ อย่างใด แต่จะมีอกุศล หรือโทษภัยบางอย่างเช่น ถ้ากลับไปกินกาแฟ ก็ไม่ได้กินเพราะความอยาก ไม่ได้ติดใจในรสชาติ แต่มีเหตุจำเป็นต้องใช้สารที่ทำให้ตาสว่าง จึงยอมรับผลเสียต่อสุขภาพนั้นไป และถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่กลับไปใช้วิธีนั้นอีก จะสามารถทำให้ปัญญาเจริญขึ้นไปได้อีก หาวิธีเลี่ยงสิ่ง นั้นเก่งขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่ายิ่งเสพยิ่งทุกข์ในขั้นตอนนี้ คนที่หลงว่าตนบรรลุธรรม มักจะเอาไปอวดอ้างว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว ไม่เกิดกิเลสแล้วจึงเสพได้ เสพไปจิตไม่เกิด ไม่คิดอะไร ความหลงในลักษณะนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล วิธีตรวจสอบคือ เราต้องปฏิบัติตนให้เป็นผู้บรรลุ ธรรมเอง ก็จะทำให้รู้ความแตกต่างของคนที่หลงว่าตนบรรลุธรรม กับคนที่บรรลุธรรมจริง ได้ชัดเจน ขึ้น จะประมาณได้เก่งขึ้นว่าแตกต่างกันอย่างไร อันไหนจริง อันไหนหลอก จะกระจ่างขึ้น แต่ก็ไม่ ทั้งหมด เพราะมีส่วนของวิบากกรรมที่อาจจะมาทำให้การประเมินผิดพลาดได้เมื่อทุกสิ่งไม่เที่ยง และโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ การจะไปสนใจคนอื่นนั้นเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ สู้เอาเวลาที่มีมาเพ่ง เพียรปฏิบัติให้ตนเองเกิดผลเจริญจะดีกว่า ส่วนใครจะของจริงของปลอมอย่างไรมันก็เรื่องของเขา บาปบุญของเขา อะไรดีเราก็ช่วยเหลือส่งเสริม อะไรไม่ดีเราก็ห่างเข้าไว้ 7). ได้มาหนึ่ง แต่ต่อไปก็จะง่ายขึ้นเพราะทำเป็นแล้ว เมื่อสามารถเข้าใจกระบวนการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือการปฏิบัติไตรสิกขา คืออธิศีล อธิจิต อธิปัญญาแล้ว ความเข้าใจนี้หมายถึงเข้าใจตั้งแต่มรรคไปจนถึงผล เข้าใจตั้งแต่การ เริ่มมีปัญญา มาปฏิบัติ จนทำลายกิเลสนั้น ก็จะสามารถนำกระบวนการนี้ไปทำลายกิเลสตัวอื่นๆได้ เพราะกิเลสทุกตัวก็ทำลายเหมือนกันนั่นเอง คือพิจารณาลงไปถึงที่เกิดแล้วใช้ปัญญาพิจารณาทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียต่างๆ เพื่อดับมันในกรณีที่ทำลายกิเลสตัวใหญ่หรือตัวที่ติดมากได้แล้ว เราจะ สามารถเก็บตัวเล็กตัวน้อยได้ง่ายขึ้น เช่นเราติดกาแฟแล้วทำลายความอยากกาแฟทิ้ง เราจะ สามารถพิจารณาฆ่ากิเลสที่เกี่ยวเนื่องกับกาแฟได้ง่ายขึ้น เช่น ชา โกโก้ เพราะอยู่ในหมวดของความ อยากในรส กลิ่น ของกินเล่น ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะติดสิ่งใดในมุมไหน ซึ่งเหลี่ยมมุมของกิเลสในแต่ ละคนก็จะต่างกัน 8). พลาดไปกับกิเลสเป็นเรื่องปกติ คนที่ตั้งใจปฏิบัติศีล เพื่อล้างกิเลสนั้น ถ้าปฏิบัติใหม่ๆ มักจะมีอัตตาแรง แพ้ไม่เป็น แพ้แล้วชอบล้มเลิก แพ้แล้วชอบตีตัวเองซ้ำ โทษตัวเอง ทำทุกข์ทับถมตน อยากทำลายกิเลสไวๆ อยากให้เกิดผลมากกว่าที่ปฏิบัติ เข้าใจว่าการที่ตนเองปฏิบัตินั้นต้องผ่านกิเลสได้ พอผ่านไม่ได้ก็ทุกข์ อกหักอกพังบ้างก็เจ็บ ขยาด หนีไปเลียแผลกันอยู่นาน บ้างก็เลิกถือศีลนั้นไประยะหนึ่ง บ้างก็เลิก ปฏิบัติธรรมไปเลย นั่นเพราะเราคาดหวังความสมบูรณ์แบบ คิดว่าทุกอย่างต้องสำเร็จดังใจ คิดว่า เราต้องทำได้ คิดว่าเราต้องไม่พลาด ทั้งๆที่ไม่ได้มองความจริงเลยว่ากิเลสเราช่างหนาและยิ่งใหญ่ นัก การจะเอาชนะมันด้วยการคิดเอา จินตนาการเอานั้นเป็นไปไม่ได้เลยการพลาดไปกับกิเลสแม้ว่า เราจะถือศีล อย่างตั้งมั่น มีสติอย่างเต็มเปี่ยม มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิด เพราะถ้ากิเลสใด ง่าย เราก็จะผ่านมันไปแบบไม่สนใจ ไม่รู้คุณค่า เมื่อผ่านกิเลสง่ายๆได้หมด สุดท้ายก็ต้องตั้งศีลที่ยาก


187 ขึ้น หรือปฏิบัติอธิศีล เช่น จากกินสามมื้อ ก็หันมากินมื้อเดียว เมื่อถือศีลเกินฐานเดิม ความผิดพลาด ก็มักจะมีเป็นเรื่องธรรมดาการพ่ายแพ้กิเลสเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราจะไม่ล้มนาน และเราจะไม่แพ้ ตลอดไป ถึงแม้ว่าเราจะแพ้ เราก็จะหน้าด้านสู้ ตั้งหน้าตั้งตาพิจารณาโทษของกิเลสนั้นต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ย่อท้อ 9) ฝึกสติแต่ไม่ปฏิบัติศีล เรามักจะได้เห็นการฝึกสติ ที่ไม่ปฏิบัติศีลอยู่เป็นประจำ ดังที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น หากเราปฏิบัติ เจริญสติ แต่ไม่มีเป้าหมาย ก็เหมือนคนที่เพาะกล้ามแต่ไม่รู้จะเอากล้ามไปทำ ประโยชน์อะไร เหมือนมีดที่ลับคมดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอาไปหั่นอะไร เหมือนคนที่เรียนรู้วิชามากมาย แต่ก็ไม่ได้เอาไปทำประโยชน์อะไรการปฏิบัติศีลเหมือนการเข้าสมรภูมิรบ ผู้ที่ฝึกสติแต่ไม่สนใจศีล ก็ เหมือนกับสิงห์สนามซ้อม หมูสนามจริง เพราะจริงๆแล้ว เราสามารถพัฒนากำลังสติของเราได้ ระหว่างที่ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาไปพร้อมๆกัน ซึ่งผู้ปฏิบัติอย่างถูกตรงจะสามารถรู้ถึงกำลังสติ ของตัวเองที่เจริญขึ้นมาได้ เป็นสัมมาสติ เป็นสติที่มีเพื่อการดับกิเลส ไม่ใช่การฝึกสติแบบฤาษีชี พราหมณ์ ซึ่งการฝึกสติหรือทำสมาธิสะสมพลังฌานเช่นนั้นมีมาก่อนศาสนาพุทธแล้ว เป็นการฝึกสติ และสมาธิทั่วๆไป ที่มีอยู่คู่โลกตราบโลกแตก ไม่ได้พิเศษเหมือนสติแบบพุทธ หรือสัมมาสติ คือสติที่ เป็นไปเพื่อการทำลายกิเลสเท่านั้น ผู้ที่ฝึกมิจฉาสติมากอาจจะทำให้ไปหลงในฤทธิ์ ในคุณวิเศษ หรือหลงในมโนมยอัตตาของตัวเอง คือ การที่จิตตัวเองปั้นภาพ หรือเสียง เหตุการณ์ อารมณ์ ความสุข ฯลฯขึ้นมาเอง เช่นการเห็นผี เห็น นรก เห็นสวรรค์ เป็นการปั้นที่เกิดมาจากกิเลส ดึงสัญญาที่เคยจำไว้ออกมาเป็นภาพ ภาพที่เห็นจะ เห็นจริงๆ เสียงที่ได้ยินจะได้ยินจริงๆ แต่ไม่ใช่ของจริง จะรับรู้ได้อยู่คนเดียว เห็นเทวดา ผีสาง นรก สวรรค์ก็เป็นไปตามจินตนาการของคนนั้นคนเดียว กลายเป็นหลงว่าบรรลุธรรม หลงไปติดภพ ติด นิมิต ติดมโนมยอัตตา คนเหล่านี้จะสามารถพบเหตุการณ์ที่คนอื่นไม่เห็นได้ แต่นั่นไม่ใช่สาระของการปฏิบัติธรรม เพราะ กิเลสไม่ตาย อย่างมากก็ได้แค่กดข่มข้ามภพข้ามชาติ เหมือนอาจารย์ของพระพุทธเจ้า คืออุทกดาบส และอาฬารดาบส เข้าได้ถึงอรูปฌาน แต่ทั้งหมดเป็นฌานฤาษี ไม่ใช่ฌานแบบพุทธ ฌานพุทธต้อง เกิดจากการเพ่งเผากิเลสเท่านั้น นอกนั้นเป็นสภาวะของการกดจิตให้ดำดิ่งลงไปในภพต่างๆทั้งสิ้น 10) ปฏิบัติศีลเกินกำลังสติ ก่อนจะเข้าเรื่องว่าอะไรมากไปน้อยไปจะขอเกริ่นเรื่องทางสายกลางเสียก่อน ทางสาย กลางของพุทธนั้นต้องเว้นจากทางโต่งสองด้าน คือเว้นจากกามสุขัลลิกะ และอัตตกิลมถะ ซึ่งเป็นบท แรกที่พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรม นั่นคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตรกามสุขัลลิกะ คือการไปเสพสุขลวง ไปเสพสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขและความสุขนั้นมาจากกิเลส ท่านให้เว้นจากทางนี้คือไม่ไปเสพสุขลวง อัตตกิลมถะ คือการทรมานตนเองด้วยอัตตา คือมีความยึดดี ถือดีท่านให้เว้นจากทางนี้เช่นกัน คือ ไม่ให้มีอัตตา การจะปฏิบัติให้เข้าสู่ทางสายกลางนั้นต้องเว้นจากทางโต่งทั้งสองด้าน กามก็ไม่ไปเสพ อัตตาก็ไม่มี จึงจะเข้าสู่สภาวะของทางสายกลางหรือสัมมาอริยมรรคมีองค์ 8 การปฏิบัติศีลเกิน


188 กำลังสติมักจะเกิดกับคนที่ประมาณไม่เก่ง คนที่โลภ คนที่ไม่เข้าใจการปฏิบัติศีล ก็มักจะถือศีลที่เกิน กำลัง เช่นตัวเองอินทรีย์พละน้อย แต่ก็ฝืนไปถือศีลอพรหมจริยา ในระดับอธิศีล คือการไม่มีคู่ ประพฤติตนเป็นโสด ทีนี้ตอนตั้งศีลมันก็คิดเอาได้ แต่พอปฏิบัติจริงมันทำไม่ได้ จิตใจมันโหยหา อยากได้ใครสักคนมาครอบครอง ต้องพบกับความเหงา ความหดหู่ ยิ่งถือศีลยิ่งเก็บกด เพราะในใจ อยากมีคู่ แต่มีปมในใจบางอย่างที่ต้องปกป้องตัวเองด้วยการโสด จึงเกิดทุกข์ภายในตัวเอง เข้าข่าย อัตตกิลมถะ(ทางโต่งไปด้านอัตตา)ยึดศีลนั้นว่าดี ทั้งๆที่ศีลนั้นเกิดฐานของตัวเองไปมาก เกิน กำลังสติปัญญาของตัวเองไปมาก นอกจากจะไม่เจริญทางจิตใจแล้ว ยังกลายเป็นบาป เพราะมีการ ทรมานตัวเองด้วยการยึดดี ซึ่งเมื่อปฏิบัติไม่เป็นไปในทางสายกลาง โต่งไปทางด้านอัตตา ก็ไม่มีทาง ที่จะบรรลุธรรมได้หรืออาจจะเปลี่ยนขั้วกลับไปทางกามสุขัลลิกะ (ทางโต่งด้านการเสพสุขลวง) ตบะ แตก ทำลายศีลตัวเอง เข้าใจว่าถือศีลไปก็ทุกข์ ว่าแล้วก็ไปมีคู่มันซะเลย แต่ไปมีคู่จากความอยาก ความเก็บกด สุดท้ายก็จะเป็นภัยต่อตัวเองอยู่ดี เพราะแทนที่จะมีคู่ด้วยสภาพปกติ แต่กลับเป็นมีคู่ ด้วยอาการอยากเสพอย่างรุนแรง มีอาการดูดดึงอย่างรุนแรง เพราะเป็นอาการที่ตีกลับจากทางโต่ง ด้านอัตตาผู้ที่เริ่มปฏิบัติธรรมควรปฏิบัติไปตามฐานของตัวเอง ให้เจริญไปตามลำดับ ค่อยเป็นค่อย ไปเหมือนมหาสมุทรค่อยๆลาด ลุ่ม ลึกไปตามลำดับ ไม่ชันเหมือนเหว 11).ปฏิบัติกลับหน้าเป็นหลัง ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธนั้นเป็นไปตามลำดับ คือการละใน สภาวะส่วนของกามสุขัลลิกะ หรือละการหลงเสพก่อน แล้วค่อยละฝั่งอัตตาเช่นเมื่อเราติดกาแฟ ก็ ควรจะทำลายความอยากเสพกาแฟก่อน ไม่ใช่ไปพิจารณาไม่ยึดมั่นถือมั่นตั้งแต่แรก เพราะถ้า พิจารณาล้างอัตตา ล้างความยึดมั่นถือมั่นก่อน มันก็จะเฉโกหรือฉลาดไปในทางกิเลส คือกลายเป็น ไม่ยึดมั่นถือมั่นในการกินกาแฟ ว่าแล้วก็กลับไปกินกาแฟเหมือนเดิม แล้วหลงว่าตัวเองบรรลุธรรม คือลักษณะที่ไม่ล้างกิเลสไปตามลำดับ เอาหลังมาหน้า เอาหน้าไปข้างหลัง ล้างอัตตาก่อนล้างกาม พอไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไปเสพกามแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็ชั่วอยู่นั่นเองพระพุทธเจ้าท่านให้ละกิเลส นั้นทั้ง3ภพ คือละ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไปตามลำดับ โดยใช้ไตรสิกขา คืออธิจิต อธิศีล อธิปัญญา ดังกระบวนการ 1-7 ที่ได้อธิบายไปข้างต้นเราต้องละกามภพก่อน กามภพ คือสภาพที่ยังไปเสพ ไป ติด ไปยึด ไปเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตัว แล้วค่อยละรูปภพ คือสภาพที่ไม่ไปเสพแล้ว แต่ยังมีอาการ อยากเสพที่เห็นได้ในจิตตัวเอง ซึ่งก็สามารถข่มใจไม่ให้ไปเสพไว้ได้ และสุดท้ายคืออรูปภพคือสภาวะ ที่มองไม่เห็นความอยากเป็นรูป ไม่เห็นการปรุงแต่งความอยากชัดๆแล้ว แต่เมื่อไม่ได้เสพจะ หลงเหลืออาการขุ่นใจ ไม่สบายใจ โหยหา พะวง หรือจิตใจไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบายนั่นเอง เมื่อละ สามภพนี้ไปตามลำดับ จึงจะสามารถพบกับวิมุตติได้ ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแบบล้างอัตตา หรือล้างความยึดมั่นถือมั่นก่อน โดยที่ไม่ได้ล้างกาม คือการที่ ยังไปเสพสมใจในสิ่งที่ชอบ หรือติดนั้นอยู่ จะเกิดสภาพบรรลุธรรมหลอกๆ หลงว่าตนบรรลุธรรม แล้วเสพได้ กลายเป็นพวกเฉโก ไม่บรรลุธรรม ไม่พ้นทุกข์ เพราะเอาหลังมาหน้า เอาหน้าไปข้างหลัง ปฏิบัติไม่ถูกวิธี


189 กิจกรรมท้ายบท กกกก แบบบันทึกกิจกรรมฝึกปฏิบัติ ชื่อ.................................................................................................................................................. กิจกรรม……………………………………………………………………………………………………………………………… …… เนื้อหากิจกรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………… ประโยชน์ที่ได้รับกับตนเอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… ประโยชน์ที่ได้รับต่อชุมชนและสังคม ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………… ลงชื่อ......…………………………………………….. ผู้รับรอง (.................................................................) ลงชื่อ......…………………….……….นักศึกษา ลงชื่อ.................................. ครู ประจำ กลุ่ม (..............................................................) (.................................................................)


190 ภาพประกอบกิจกรรม หมายเหตุ อาจมากกว่า 4 ภาพ พร้อมอธิบายใต้ภาพ เงื่อนไขกิจกรรมการฝึกปฏิบัติอาสามัคคุเทศก์ 1. ครูถ่ายทอดเรื่องของมัคคุเทศก์ให้กับนักศึกษา 2. คัดเลือกนักศึกษาที่มีความสามารถกล้าแสดงออก 3. ฝึกพูดหน้าชั้นเรียน/ครูและเพื่อน ประเมินผล 4. จัดตั้งกลุ่มจิตอาสามัคคุเทศก์ กศน.อำเภอสัตหีบ 5. จัดทำบัตรจิตอาสามัคคุเทกศ์ โดย ท่าน ผอ.กศน.อำเภอสัตหีบ 6. ลงพื้นที่ปฏิบัติจริง 7. จัดทำโครงการเสนอขอกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน


191 บรรณานุกรม กรมศาสนา. (2526). ประวัติวัดสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตอนที่ 3. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์การ ศาสนา.กำเนิดพุทธศาสนา สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 จาก https://www.youtube.com/watch?v=X3EMTCaZNDU ชื่น หัตถโกศล. (2542). สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง เล่ม 4. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์สยาม เพรสกกกกกกก แมเนจเม้นท์จำกัด. ญาณภัทร ยอดแก้ว. การนับถือศาสนาในพุทธชยันตี 2,600 ปี GotoKnow . สืบค้นเมื่อวันที่ 21 กกกกกกกกกกันยายน 2564 จาก https://www.gotoknow.org/posts/485798 ณัฐพงษ์ สังข์กลิ่นหอม. (2559). มูลเหตุการณ์เกิดศาสนา. สืบค้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 จาก กกกกกกก https://sites.google.com/site/nathphngssangkhklinhxmiom/prawati นที สังข์เทียบ, สมบัติ รอดประเสริฐ. (2555). เปิดตำนาน หลวงพ่ออี๋. ชลบุรี; วงตะวันเพรส จำกัด. บุปผา คุมมานนท์. (2559). หลักการมัคคุเทศก์. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. พุทธศาสนา หลังพุทธกาล สืบค้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2564 จาก กกกกกกกกก http://202.28.117.35 /UserFiles/chapter-1(2).pdf มนต์ ทองชัช. (2530). 4 ศาสนาสำคัญของโลกปัจจุบัน . กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์. มนัสสินี บุญมีศรีสง่า. (2530). หลักการมัคคุเทศก์ Principles of Tour Guide. เพชรบุรี; คณะ กกกกกกกกกกกวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวารสนเทศเพชรบุรี. ราชบัณฑิตยสถาน. (2512). สารานุกรมไทย เล่ม 9 จีน-ฉัททันต์. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์รุ่งเรือง ธรรม. . (2556). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติ กกกกกกกกกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระกกกกกก กกก ชนมพรรษา ก7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ; ราชบัณฑิตยสถาน. สุชีพ ปัญญานุภาพ. (2516). ประวัติศาสตร์ศาสนา. กรุงเทพฯ; รวมสาส์น. กกกกกกก..ก(2539). พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน. พิมพ์ครั้งที่ 16. กรุงเทพฯ; มกุฏราวิทยาลัย. เสถียร โฑธินันทะ. (2515). ภูมิประวัติพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์บรรณาคาร. เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สืบค้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 จาก กกกกกกกกก https://www.dmc.tv/pages/ความรู้รอบตัว/หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธ โบราณ


192 ภาคผนวก


193 ภาคผนวก ก. คำสั่งแต่งตั้งกรรมการจัดทำหนังสือเรียน


Click to View FlipBook Version