การละเล่นพื้นบ้าน
การละเล่นพื้นบ้าน
ประวัติความเป็นมา
การละเล่นที่มีในกลุ่มสังคมท้องถิ่น ในอดีตมีกีฬาพื้นบ้านต่างๆให้เล่นมากมายตั้งแต่รุ่นก่อนๆ
จนกระทั่งถึงรุ่น ปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นอยู่ซึ่งแต่ก็น้อยกว่าในสมัยก่อนมากเพราะสมัย ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้า
มามากจึงทา ให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้เล่นกันนัก กิจกรรม การเล่นของสังคม เป็นกิจกรรมนันทนาการหนึ่งซึ่ง
ได้รับการยอมรับร่วมกันในสังคม โดยมีรากฐานมาจากความเป็นจริงแห่งวิถีชีวิตของชุมชนที่มีการประพฤติ
ปฏิบัติ สืบทอดกันมาจากอดีตสู่ปัจจุบัน การละเล่นแสดงออกด้วยการเคลื่อนไหวกริยาอาการเป็นหลัก อาจมี
ดนตรี การขับร้องหรือการฟ้อนราประกอบการเล่น มีจุดมุ่งหมาย เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินในโอกาส
ต่างๆ การละเล่นบางชนิดได้รับการถ่ายทอดสืบสานต่อกันมา และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนารูป
แบบอย่างต่อเนื่องจนมีลักษณะเฉพาะถิ่น ดังนี้การละเล่นพื้นบ้านจึงเป็นผลิตผลอันเกิดจากความคิดและ
จินตนาการของ มนุษย์ย่อมสะท้อนถึงโลกทัศน์ ภูมิธรรม และจิตวิญญาณของบรรพชนในท้องถิ่นที่ได้ถูก
หล่อหลอมจนตกผลึกเป็นภูมิปัญญาอัน ทรงคุณค่าและได้กลายเป็นมรดา วัฒนธรรมของท้องถิ่นและของ
ประเทศชาติการละเล่น นับว่ามีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการละเล่นของเด็กและ
ของผู้ใหญ่ล้วนแสดงออกถึงสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีค่านิยมและความเชื่อของ
สังคมนั้น ๆ ทั้งยังก่อคุณค่าแก่ผู้เล่นและผู้เฝ้าดูในด้านการผ่อนคลายอารมณ์ ความเครียด เสริมสร้างพลังกาย
ให้แข็งแรง ฝึกความคิด ความเข้าใจ การแก้ปัญหานอกจากนี้ยังก่อให้เกิดระเบียบวินัย เกิดการยอมรับ
กฎเกณฑ์ของสังคม สรรค์สร้างความเป็นกับญาติมิตรขึ้นในชุมชน ทา ให้สังคมเกิดความเข้มแข็งจนก่อเป็น
ความดีงามอันเป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต
การละเล่นของไทยไม่สามารถลา ดับให้เห็นพัฒนาการตามกาลเวลาได้อย่างชัดเจนทั้ง นี้เนื่องจาก
การละเล่นส่วนใหญ่เป็นกระบวนการถ่ายทอดด้วยการปฏิบัติมิใช่ตา รา จึงขาดการบันทึกเป็นลายลักษณ์
อักษรที่จะใช้เป็นข้อมูลในการสร้างลา ดับอายุสมัยของการละเล่นแต่ละอย่างได้ยิ่งไปกว่านั้น การละเล่นของ
ไทยส่วนใหญ่มีลักษณะของการพัฒนาตนเองและค่อยเป็นค่อยไป เพราะจดจา สืบต่อกันมาจากคนรุ่นหนึ่ง
ไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (ร.อ.หญิงปรียา หิรัญประดิษฐ์๒๕๓๓ : ๑๕) และโดยเหตุที่การละเล่นเกิดขึ้นมายาวนาน
และปรากฏอยู่ทั่วไปในท้องถิ่นต่าง ๆ โดยทั่วไป เช่นนี้ทา ให้เกิดความหลากหลายของการละเล่นพื้นบ้าน มี
ทั้งลักษณะร่วม และลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น อย่างไรก็ดีสิ่งที่ตรงกันในทุกท้องถิ่นก็คือมี
การละเล่นพื้นบ้านทั้งที่เป็น ของเด็กและของผู้ใหญ่
การละเล่นพื้นเมือง คือ การละเล่นที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นที่มีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
โดยสามารถแบ่งตามการละเล่นแต่ละภาค ดังนี้
การละเล่นพื้นบ้านของภาคเหนือ
เตยหรือหลิ่น
สถานที่เล่น
ลานกว้าง ที่โล่งแจ้ง
จานวนผู้เล่น 6 - 12 คน
อุปกรณ์
ไม่มี
วิธีการเล่น ขีดเส้นเป็นตารางจา นวนเท่ากับผู้เล่น (สมมติว่ามี 6 คน) แล้วแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งยืนประจา เส้น (ตามขวาง) อีกฝ่ายจะวิ่งผ่านแต่ละเส้นไปโดยไม่ให้เจ้าของเส้น
แตะได้ เมื่อเริ่มเล่นคนที่ยืนประจา เส้นแรก พูดว่า ไหล หรือ หลิ่น ฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มวิ่ง
ผ่านเส้นแรกไปจนถึงเส้นสุดท้ายแล้ววิ่งกลับ ถ้าวิ่งกลับถึงเส้นแรกโดยไม่ถูกฝ่ายตรง
ข้ามแตะได้ก็พูดว่า เตย ก็จะเป็นฝ่ายชนะ
โอกาสในการเล่น เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป
ม้าจกคอก
การเล่นม้าจกคอก ภาคกลางเรียก ลาวกระทบไม้ การเล่นชนิดนี้เข้าใจว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจาก
การละเล่นของชาวลัวะ
สถานที่เล่น บริเวณลานกว้าง
จานวนผู้เล่น ตั้งแต่3 คนขึ้นไป
อุปกรณ์ 1. ไม้กลมขนาดกา รอบ ยาวประมาณ 5 ศอก จา นวน 2 ท่อน
2. ขอนไม้สูงประมาณ 1 คืบ ยาวประมาณ 1-2 ศอก จา นวน 2 ท่อน
วิธีการเล่น 1. แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกมี2 คน สาหรับถือท่อนไม้ที่วางขนานบนขอนไม้
แล้วกระทบกันเป็นจังหวะ ส่วนฝ่ายที่2 มี 2 คนขึ้นไป สาหรับเป็นผู้เต้น
2. ให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ระหว่างคาน ผู้ถือไม้คานทั้งคู่ก็ทา สัญญาณ โดยยกคานไม้ทั้งคู่
กระแทกลงบนไม้หมอน ระหว่างที่เคาะจังหวะอยู่นั้นผู้เล่นต้องเต้นไปด้วย เมื่อให้สัญญาณ
เคาะ 3 ครั้งแล้ว ครั้งที่ 4 ผู้ถือจะเอาคานทั้งสองเข้าชิดกัน ผู้เต้นจะต้องกระโดดให้สูงกว่า
ครั้งแรกของจังหวะและแยกขาออกให้พ้นไม้ถ้าถูกหนีบเรียกว่า ม้าขา คอกหรือม้าติดคอก
คู่ที่ถูกไม้หนีบจะต้องออกไปเปลี่ยนให้ผู้ที่ถือคานอยู่เดิมนั้นเข้ามาเต้นในระหว่างคานนั้นบ้าง
โอกาสในการเล่น นิยมเล่นในวันขึ้นปีใหม่(สงกรานต์) ของล้านนา
คุณค่า นอกจากให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลินแล้ว ยังก่อให้เกิดความสามัคคีภายในกลุ่มและ
ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
โพงพาง
สถานที่เล่น
สนาม , ลานกว้าง
อุปกรณ์
ผ้าปิดตา
จานวนผู้เล่น ไม่จา กัดจา นวน
วิธีเล่น เป่ายิ้งฉุบกัน ใครเป็นผู้แพ้ต้องปิดตาเป็นโพงพางตาบอด ผู้เล่นคนอื่นๆจับมือเป็นวงกลม
ร้องเพลง “โพงพางเอ๋ย โพงพางตาบอด รอดเข้ารอดออก โพงพางตาบอด ปล่อยลูกช้าง
เข้าในวง” ขณะเดินวนรอบๆโพงพางตาบอดร้องเพลง 1-3 จบ แล้วนั่งลงโพงพางจะเดินมา
คลา คนอื่นๆ ซึ่งต้องพยายามหนีและจะต้องเงียบสนิท หากโพงพางจา เสียงะ รูปลักษณะได้จะ
เรียกชื่อ ถ้าเรียกคนถูกต้องออกมาปิดตาเป็นโพงพางต่อไป ถ้าไม่ถูกก็ต้องเป็นโพงพาง
ต่อไปอีกเรื่อยๆ
โอกาสในการเล่น เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็กๆเล่นกันโดยทั่วไป
ตะวันออกเฉียงเหนือ
วิ่งขาโถกเถก
อุปกรณ์
ไม้ไผ่กิ่ง 2 ลา ถ้าไม่มีก็เจาะรูแล้วเอาไม้อื่นๆ สอดไว้เพื่อให้เป็นที่วางเท้า
วิธีการเล่น ผู้เล่นจะเลือกไม้ไผ่ลา ตรงๆ ที่มีกิ่ง 2 ลา ที่กิ่งมีไว้ส าหรับวางเท้าต้องเสมอกันทั้ง 2 ข้าง
ผู้เล่นขึ้นไปยืนบนแขนงไม้เวลาเดินยกเท้าข้างไหนมือที่จับลา ไม้ไผ่ก็จะยกข้างนั้น
โอกาสที่เล่น ส่วนมากเด็ก ๆ ที่เล่นมักจะมาแข่งขันกัน ใครเดินได้ไวและไม่ตกจากไม้ถือว่าเป็นผู้ชนะ
คุณค่า
เป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาส โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์
นอกเหนือจากความสนุกสนาน ยังเป็นการออกกา ลังกายบริหารส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ได้เป็นอย่างดี เดิมผู้ที่ใช้ขาโถกเถกเป็นชายหนุ่มไปเกี้ยวสาว เสียงเดินจากไม้ เมื่อสาว
ได้ยินก็จะมาเปิดประตูรอเพื่อพูดคุยกันตามประสาหนุ่มสาวหรือบ้านสาวเลี้ยงสุนัข
ไม้โถกเถกยังเป็นอุปกรณ์ไล่สุนัขได้ด้วย
แข่งเรือบก
อุปกรณ์
ไม้กระดาน 2 แผ่น ยาวประมาณ 1 วาเศษ พร้อมเชือกที่จะใช้รัดหลังเท้าติดกับไม้
วิธีการเล่น ผู้เล่นแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ละ 2-5 คน โดยจะรัดเท้าทั้ง 2 ข้าง ไว้กับกระดาน 2 แผ่น มือ
จับเอวหรือจับไหล่ของผู้ที่อยู่ข้างหน้า อาศัยความพร้อมเพรียงจะยกเท้าซ้ายพร้อมๆ กัน
โอกาสที่เล่น ดันไม้กระดานไปข้างหน้า กลุ่มใดถึงเส้นชัยก่อนถือว่าชนะ การแข่งเรือบกจะเล่นกันใน
คุณค่า
พื้นที่ๆ ไม่มีแม่นา ไ้ หลผ่าน
ส่วนใหญ่จะเล่นในเทศกาลสงกรานต์
นอกจากจะเป็นสร้างความสนุกสนาน ความสามัคคีในหมู่คณะ ยังการออกกา ลังกาย
ได้เป็นอย่างดี
งูกินหาง
อุปกรณ์
ไม่มี
วิธีการเล่น
เริ่มด้วยการเสี่ยง ถ้าใครแพ้จะเป็นพ่องู ส่วนผู้ชนะก็จะได้เล่นเป็นแม่งูและลูกงู ส่วนมาก
โอกาสที่เล่น ในกลุ่มผู้เล่นจะเลือกคนที่มีร่างกายแข็งแรงหรือรูปร่างใหญ่เป็นแม่งู เพื่อเอาไว้ป้องกัน
คุณค่า ลูกงู เมื่อได้ผู้เล่นแล้วพ่องูและแม่งูจะยืนหันหน้าเข้าหากัน ส่วนแม่งูจะมีลูกงูกอดเอว
ต่อแถวไปข้างหลังแล้วพ่องูจะเริ่มถามแม่งูว่า
พ่องู “แม่งูเอ๋ยกินนา บ้ ่อไหน”
แม่งู “กินนา บ้ ่อโสกโยกไปโยกมา” พร้อมแสดงอาการส่ายตัวไปมา
พ่องู “แม่งูเอ๋ยกินนา บ้ ่อไหน”
แม่งู “กินนา บ้ ่อหินบินไปบินมา” พร้อมแสดงอาการบินไปบินมา
พ่องู “แม่งูเอ๋ยกินนา บ้ ่อไหน”
แม่งู “กินนา บ้ ่อทรายย้ายไปย้ายมา” พร้อมแสดงอาการส่ายตัวไปมา
พ่องู “กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว”
เมื่อพ่องูกล่าวเสร็จพ่องูจะเริ่มไล่จับลูกงูที่กอดเอวแม่งูอยู่ ส่วนแม่งูก็จะพยายามป้องกัน
ไม่ให้พ่องูไปแย่งลูกงูได้ เมื่อพ่องูจับลูกงูคนใดได้ ลูกงูก็จะออกมายืนอยู่ต่างหากเพื่อ
รอเล่นรอบต่อไป ส่วนพ่องูจะพยายามแย่งลูกงูให้ได้หมดทุกตัวจึงจะถือว่าจบการเล่น
รอบหนึ่ง เมื่อพ่องูจับลูกงูได้ทุกตัวแล้วก็จะเริ่มเล่นใหม่ โดยพ่องูคนเดิมจะกลับไปเป็น
แม่งูในรอบต่อไป
สามารถเล่นได้ทุกโอกาสจะมีเล่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมากผู้ใหญ่จะเล่นในเทศกาล
ส าคัญ เช่น สงกรานต์ ส่วนเด็ก ๆ จะเล่นทุกโอกาสที่เด็ก ๆ รวมกัน
1. ให้ความสนุกสนานในกลุ่มผู้เล่น
2. ฝึกให้เกิดความสามัคคีในกลุ่มผู้เล่น
3. ฝึกฝนการต่อสู้และการหลบหลีกภัยที่จะเกิดกับตน
4. ฝึกการทา งานเป็นกลุ่มตั้งแต่วัยเด็ก
กลาง
ว่าว
อุปกรณ์ ว่าว โดยทั่วไปมีโครงสร้างประกอบด้วยไม้ไผ่สีสุก นา มาผ่าแล้วเหลา ประกอบกัน
วิธีการเล่น เป็นรูปทรงต่างๆ ผูกติดกันด้วยเชือกโยงยึดกันเป็นโครงสร้าง ปิดด้วยกระดาษชนิด
บางเหนียว เช่น กระดาษสาและตกแต่งลวดลายด้วยจุดหรือดอกดวง เพื่อปิดยึดกระดาษ
กับเชือกให้แน่น ว่าวที่นิยมกันคือ ว่าวจุฬา ว่าวปักเป้า ว่าวหง่าว
ว่าวจุฬา ประกอบด้วย ไม้ไผ่สีสุก 5 ชิ้น มีจา ปา 5 ดอกทา ด้วยไม้ไผ่ยาว 8 นิ้ว เหลากลม
โตประมาณ 3 มิลลิเมตร จา ปา 1 ดอกมีจา นวนไม้ 8 อันมัดแน่นกับสายป่านที่ชัก ว่าว
จุฬาอันเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้กับปักเป้า
ว่าวปักเป้า โครงสร้างประกอบด้วยไม้ไผ่สีสุกเหลากลม 2 ชิ้น มีเหนียงเป็นเชือกยาว 8 เมตร
ผูกปลายทั้งสองข้างให้หย่อนเป็นสายรูปครึ่งวงกลมเพื่อคล้องตัวว่าวจุฬา ให้เสียสมดุลจึง
ตกลงพื้นดิน
ว่าวหง่าว ทา ด้วยโครงไม้ไผ่ปิดกระดาษสา ลา ตัวตอนบนมีรูปคล้ายว่าวจุฬามีเอวคอด
ส่วนหัวมีไม้ไผ่เหลาและขึงเชือกเหมือนคันธนู เชือกนี้จะเกิดเสียงเมื่อต้องลม
ปัจจุบันว่าวที่มีการเล่นโดยทั่วไปได้มีการพัฒนารูปแบบการเล่นเพื่อความสวยงาม โดย
ทา ว่าวให้เป็นรูปแบบที่แปลกแตกต่างกันออกไปเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น ว่าวงู ว่าวผีเสื้อ
มีอยู่ 3 วิธี คือ
1. ชักว่าวให้ลอยลมปักอยู่กับที่ เพื่อดูความสวยงามของว่าวรูปทรงต่างๆ
2. บังคับสายชักให้ชักเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ นิยมกันที่ความสวยงาม ความสูง และ
บางทีก็คา นึงถึงความไพเราะของเสียงว่าวอีกด้วย
3. การแข่งขันว่าวจุฬาและปักเป้า จะจัดให้มีการแข่งขันที่บริเวณท้องสนามหลวง
กา หนดแดนขณะทา การแข่งขัน ว่าวปักเป้าจะขึ้นอยู่ในดินแดนของตน ล่อหลอกให้ว่าวจุฬา
มาโฉบเพื่อจะลากพามายังดินแดนของตนโดยให้ว่าวปักเป้าติดตรงดอกจา ปาที่ติดไว้
เมื่อติดดีแล้วว่าวจุฬาจะรีบลากรอกพามายังดินแดนของตนขณะเดียวกันว่าวปักเป้าก็จะ
พยายามใช้เหนียงที่เป็นเชือกป่านคล้องกงตัวว่าวจุฬาให้เสียสมดุล และชักลากดึงให้ตก
ลงมายังดินแดนของตน ในการเล่นว่าวจุฬาลากพาว่าวปักเป้าเข้ามาทีละตัวหรือหลายตัวก็ได้
ถ้าต่างฝ่ายต่างนา คู่แข่งขันมาตกยังดินแดนของตนเองได้ก็ถือว่าเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้า
คุณค่า ขณะชักลากพามา ว่าวปักเป้าขาดลอยไปได้ถือว่าไม่มีฝ่ายใดได้คะแนน
การแข่งขันว่าว เป็นกีฬาซึ่งเป็น เอกลักษณ์ของไทย เป็นศิลปะที่ต้องใช้ความสามารถ
ของผู้ทา ว่าวและผู้ชักว่าวเป็นอย่างมากต้อง ใช้ความประณีต และความแข็งแรง
ข้อส าคัญต้องอาศัยความพร้อมเพรียงด้วย
ชักเย่อ
อุปกรณ์ 1. เชือก ที่ใช้ดึงต้องยาวอย่างน้อย 33.50 ม. เส้นรอบวงเชือกต้องไม่ต่า กว่า 10 ซม. แต่
วิธีเล่น ไม่เกิน 12 – 50 ซม.
คุณค่า 2. ตรงกึ่งกลางของเชือกทาสีแดงให้เห็นชัดเจน จากจุดสีแดงนับไปทางซ้าย 4 มตร ทางขวา
4 เมตร แล้วทาสีขาวเอาไว้ ฝ่ายใดดึงให้สีขาวของอีกฝ่ายหนึ่งมาถึงจุดเริ่มต้นการแข่งขัน
จะเป็นผู้ชนะ (ตรงจุดสีแดงของเชือกตีเส้นเป็นจุดเริ่มต้นไว้ที่สนาม )
3. ตา แหน่งที่ผู้เล่นใช้มือจับเชือก ต้องห่างจากจุดสีขาวอย่างน้อย 1 เมตร ดังนั้นตรงจุดที่
ห่างจากสีขาว 1 เมตร จะต้องทา เครื่องหมายสีนา เ้ งินเอาไว้ให้เห็นชัดเจน ใครจะจับตรงจุด
ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใกล้จุดสีขาวน้อยกว่า 1 เมตร
แบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่ายฝ่ายละกี่คนก็ได้ ตามแต่จะตกลงกัน เมื่อแบ่งพวกได้แล้วก็ขีดเส้น
แบ่งแดน หัวแถว(ถ้าเป็นชายเรียกพ่อหลัก ถ้าเป็นหญิงเรียกแม่หลัก)ของทั้งสองฝ่ายเหยียด
แขนจับไม้ยึดแนวขนานกับมือ ทั้งสองมือ ไม้จะนอนขนานกับเส้นแบ่งแดน ลูกน้องของ
แต่ละฝ่ายเกาะเอวหัวแถวเรียงต่อๆกัน เริ่มเล่นต่างฝ่ายพยายามดึงให้ฝ่ายตรงข้ามหลุดลา เ้ ข้า
มาในแดนตน ฝ่ายใดหลุดลา ถ้ ือเป็นฝ่ายแพ้ เมื่อแพ้ทั้งสองฝ่ายก็จะเริ่มต้นเล่นเพลงระบา กัน
พอจบก็เริ่มชักเย่อกันใหม่
ในอดีตกิจกรรมที่สามารถเป็นสื่อชักนา ให้หนุ่มสาวได้มาพบกันคือ งานบุญ และการละเล่น
หลังทา บุญการเล่นชักเย่อ ทา ให้หนุ่มสาวได้พบหน้าเกี้ยวพาราสีและสนุกสนาน
หมากเก็บ
อุปกรณ์ ก้อนหินลักษณะค่อนข้างกลมขนาดเท่าหัวแม่มือ จา นวน 5 เม็ด
วิธีเล่น
ใช้สิ่งสมมติเป็นหมาก 5 ก้อนเริ่มต้นด้วยการทอด คือ การเทปล่อยให้หมากทั้ง 5
คุณค่า กระจายไปบนพื้นกระดาน ถ้าก้อนไหนอยู่ห่างถือเป็นตัวนา และขึ้นต้นด้วยหมากหนึ่ง
คือ หยิบนา ลูกไว้ต่างหากโยนขึ้นไป แล้วปล่อย 4 ลูกกระจายบนพื้นทีละลูก และรับลูก
ที่โยนให้ได้ ในขณะเดียวกันถ้าเก็บได้หมดก็ต่อหมาก 2 หมาก3 หมาก4 ต่อไปด้วยวิธี
เล่นแบบเดียวกัน แต่ถ้าเก็บลูก 3 ลูกพร้อมกันเรียกว่า หมาก3 แล้วจึงเก็บอีก 1 ลูก ถ้ารวม
หมดเรียกว่า หมาก4 และลูกโยนนั้นจะตกไม่ได้ ถ้าตกนับเป็นได้ ต้องให้คนอื่นเล่น
ต่อไป หมากเก็บนี้มีวิธีเล่นพลิกแพลงหลายอย่าง เช่นการใช้มือซ้ายป้องและเขี่ย หรือ
เก็บหมากให้เข้าในมือทีละลูกทีละ 2 3 4 ตามลา ดับ เรียกว่า “อีกาเข้ารัง” ถ้าเขี่ยไม่เข้าก็
นับเป็นตายยังมี “อีกาออกรัง” “รูปู” ซึ่งใช้มือซ้ายรูปต่างๆ ถ้าใช้นิ้วกลางและ
นิ้วหัวแม่มือยืนพื้น เป็นรูปเหมือนรูปูก็เรียก “รูปู” ผู้เล่นต้องเก็บหมากลงในรูปูหรือเขี่ย
ออกนอกรังในขณะที่รับลูกโยนให้ได้ พร้อมกัน การละเล่นชนิดนี้ต้องอาศัยการ
คาดคะเนให้ดีในขณะโยนลูกว่าควรจะสูงต่า เพียงใด ในการโปรยลูกว่าถึงกา หนดต้อง
เก็บอย่างไร จะได้โปรยให้หมากเหล่านั้นอยู่ชิดหรือห่างกันอย่างไร เพราะถ้ามือที่เก็บ
ไปถูกลูกหมากอีกลูกหนึ่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ในแม่ที่กา หนดไว้ก็ถือเป็นตายเหมือนกัน
1. เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
2. เป็นการฝึกสมาธิ เกิดไหวพริบในการแก้ปัญหา
3. ฝึกนา ใ้ จเป็นนักกีฬา โดยปราศจากการพนันอันเป็นอบายมุข
4.เป็นการปลูกฝังความรักความสามัคคีในหมู่เด็ก
ในสภาพสังคมปัจจุบัน ที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและความเครียดในสังคม การส่งเสริม
การเล่นหมากเก็บ อาจเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดช่องว่างในหมู่เด็ก สร้างความช่วยเหลือ
เกื้อกูลกันในสังคม เป็นการสร้างพื้นฐานที่ดีให้แก่เด็ก เพื่อเติบโตเป็นสมาชิกที่ดีใน
สังคมไทยในอนาคต
ใต้
เป่ากบ
อุปกรณ์ 1. ยางวง (ยางเส้น) วงใหญ่ หรือวงเล็กก็ได้ แล้วแต่ความชอบและความถนัด
2. ผู้เล่นจา นวนตั้งแต่ 2 คน หรือมากกว่า เล่นทั้งเด็กชายและเด็กหญิงบางครั้งอาจ
เล่นเป็นทีมก็ได้
วิธีการเล่น
3. สถานที่ เช่น พื้นซีเมนต์ พื้นกระดาน หรือพื้นโต๊ะ
ผู้เล่นจะเอายางเส้น (ยางวง) จะเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่ หรืออาจจะเป็นวงสีต่าง ๆ
โอกาสหรือเวลาที่เล่น นา มาวางบนพื้นคนละ 1 เส้น ให้อยู่ห่างกันประมาณ 1 ฟุต ผู้เล่นจะผลัดกันเป่ายาง
เส้นของตนไปข้างหน้าทีละน้อย ๆ จนยางเส้นทั้งสองมาอยู่ใกล้กันผุ้เล่นคนใดเป่า
คุณค่า ให้ยางเส้นของตนไปทับยางเส้นของฝ่ายตรงข้ามได้ก็จะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายแพ้จะต้อง
จ่ายรางวัลให้กับผู้ชนะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยางเส้น (ยางวง) แต่อาจให้รางวัลอื่น ๆ
ก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน
การเล่นเป่ากบของเด็ก ส่วนใหญ่เล่นกันในเวลาที่ว่าง และมีอุปกรณ์พร้อมที่จะ
เล่นกันทั้งสองฝ่าย
1. การเล่นเป่ากบ เป็นการเล่นที่ให้ความสนุกสนานแล้วยังเป็นการฝึกการรู้กา หนด
จังหวะและกะระยะด้วย
2. การเล่นเป่ากบเป็นการฝึกสังเกต ไหวพริบในการเป่าของคู่ต่อสู้ ซึ่งจะเป็นวิธี
หนึ่งที่จะทา ให้เด็กรู้จักคิดให้รอบคอบก่อนที่จะเป่า ถ้าเป่าโดยไม่คิดอาจจะผิดพลาด
จนทา ให้ต้องแพ้
3. เป็นการฝึกเด็กรู้จักความรัก ความสามัคคี
หมากขุม
อุปกรณ์ 1. รางหมากขุม เป็นรูปเรือทา จากไม้ ยาวประมาณ 130 ซม. กว้างประมาณ 20 ซม.
จ านวนผู้เล่น มีหลุมเรียงเป็น 2 แถว หลุมกว้างประมาณ 7 ซม. ลึกประมาณ 4 ซม. มีด้านละ 7 หลุม
วิธีการเล่น
เรียกหลุมว่า เมือง หลุมที่อยู่ปลายสุดทั้งสองข้างเป็นหลุมใหญ่กว้างประมาณ 11 ซม.
เรียกว่า หัวเมือง
2. ลูกหมาก นิยมใช้ลูกสวดเป็นลูกหมาก ใส่ลูกหมากหลุมละ 7 ลูก จึงต้องใช้ลูกหมาก
ในการเล่น 98 ลูก
2 คน
1. ผู้เล่นนั่งคนละข้างกับรางหมากขุม แต่ละคนใส่ลูกหมากหลุมละ 7 ลูก ทั้ง 7 หลุม
ส่วนหลุมหัวเมืองไม่ต้องใส่ให้เว้นว่างไว้
2. การเดินหมาก ผู้เล่นจะเริ่มเดินพร้อมกันทั้ง 2 ฝ่าย เรียกว่า แข่งเมือง โดยหยิบ
ลูกหมากจากหลุมเมืองของตนหลุมใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะหยิบหลุมสุดท้ายของฝ่าย
ตนเองเพราะคา นวณว่าเม็ด สุดท้ายจะถึงหัวเมืองของตนพอดี การเดินหมากจะเดินจากขวา
ไปซ้าย โดยใส่ลูกหมากลงในหลุม ถัดจากหลุมเมืองที่หยิบลูกหมากขึ้นมาเดิน ใส่ลูกหมาก
หลุมละ 1 เม็ด รวมทั้งใส่หลุมหัวเมืองฝ่ายตนเอง แล้ววนไปใส่หลุมของฝ่ายตรงกันข้าม
ยกเว้นหลุมหัวเมือง เมื่อเดินลูกหมากเม็ดสุดท้ายใส่ในหลุม ให้หยิบลูกหมากทั้งหมด
ในหลุมนั้นขึ้นมาเดินหมากต่อไป โดยใส่ในหลุมถัดไปเล่น เดินหมากอย่างนี้จนลูกหมาก
เม็ดสุดท้ายหมดลงในหลุมที่เป็นหลุมว่าง ถือว่าหมากตาย ถ้าเดินหมากตายในหลุมเมือง
ของฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่าสิ้นสุดการเดินหมาก แต่ถ้าตายในหลุมเมืองฝ่ายตนเอง ให้ผู้เล่นกิน
หมากหลุมเมืองซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหลุมที่เราเดินหมากมาตาย โดยควักลูกหมากทั้งหมดใน
หลุมไปไว้ในหลุมหัวเมืองของฝ่ายตน เรียกว่ากินแทน เล่นอย่างนี้จนหลุมเมืองของฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งหมดลูกหมาก เดินต่อไปไม่ได้ ลูกหมากทั้งหมดจะไปรวมอยู่ในหลุมหัวเมืองของ
ทั้ง 2 ฝ่าย จึงเริ่มเล่นรอบใหม่ต่อไป
3. การเดินหมากรอบสอง ผู้เล่นจะผลัดกันเดินทีละคน ทา เช่นเดียวกับการเดินรอบแรก
นา ลูกหมากจากหลุมหัวเมืองฝ่ายตนเองใส่ลงในหลุม ๆ ละ 7 ลูก ในฝ่ายของตนเอง
คราวนี้แต่ละฝ่ายจะมีลูกหมากไม่เท่ากัน ฝ่ายที่มีลูกหมากมากกว่าจะเป็นผู้เดินหมาก
ก่อน ฝ่ายที่มีลูกหมากน้อยกว่าจะใส่ไม่ครบทุกหลุม หลุมใดมีไม่ครบให้นา ลูกหมากที่
เหลือไปใส่ในหลุมหัวเมืองฝ่ายตน หลุมใดไม่มีลูกหมากเรียกว่า เมืองหม้าย ตามปกติ
หลุมเมืองหม้ายจะปล่อยไว้หลุมปลายแถว หลุมเมืองหม้ายจะไม่ใส่ลูกหมาก ถ้าฝ่ายใด
ใส่จะถูกริบเป็นของฝ่ายตรงกันข้าม ในการเล่นจะเล่นจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดลูกหมาก
เดินต่อไปไม่ได้และจะนับเมืองหม้าย ใครมีจา นวนเมืองหม้ายมากกว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้
โอกาสหรือเวลาเล่น เล่นในยามว่างจากการงาน เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นการพักผ่อน จึงเล่นได้ทั้งวัน
คุณค่า 1. การเล่นหมากขุม มีคุณค่าในการฝึกลับสมอง การวางแผนการเดินหมากจะต้อง
คา นวนจา นวนลูกหมากในหลุม ไม่ให้หมากตาย และสามารถกลับมาหยิบลูกหมากใน
หลุมของตนเองได้อีก ผู้เดินหมากขุมจึงต้องมีสายตาว่องไว คิดเลขเร็ว เป็นการฝึกวิธี
คิดวางแผนจะหยิบหมากในหลุมใดจึงจะชนะฝ่ายตรงกันข้าม เป็นการฝึกให้ผู้เล่นรู้จัก
คิดวางแผนในการทา งานทุกอย่าง สามารถนา มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจา วัน
2. เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ นันทนาการภายในบ้าน ภายในชุมชน ให้ทั้งความสนุกสนาน
และความใกล้ชิดระหว่างพี่น้องญาติมิตร
3. ก่อให้เกิดการประดิษฐ์รางหมากขุม ที่มีความสวยงามและประณีต เป็นความภาคภูมิใจ
จของผู้สร้างชิ้นงาน และยังสามารถสร้างรายได้ในการจา หน่ายรางหมากขุม
นายภูริ เเย้มอุทัย เลขที่6
ขอบคุณครับ