PHIMANPHITTHAYASAN SCHOOL
บร(aรtยmาoกspาhศerภeา)ค
บรรยากาศมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนผิวโลก เนื่องจากเกี่ยวข้อง
กับปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น การเกิดลม เมฆ ฝน หยาดน้ำค้าง
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความร้อนจากการเเผ่รังสีของดวง
อาทิตย์เเละรังสีอัลตร้าไวโอเลตไม่ให้ผ่านลงมาถึงผิวโลก มากจน
เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
ส่่วนประกอบของบรรยากาศ
อากาศเป็นส่วนผสมระหว่างเเก๊สชนิดต่างๆ ได้เเก่
เเก๊สไนโตรเจน ออกซิเจน อาร์กอน
คาร์บอนไดออกไซด์ อนุภาคของเเข็งขนาดเล็ก
เเละควัน มีปริมาณเเตกต่างกัน ดังนี้
ส่วนประกอบของอากาศเเห้ง
ก๊าซอื่นๆ เช่น ก๊าซนีออน ฮีเลีม คริปตอน ซีนอน ไฮโดรเจน
มีเทน ไนตรัสออกไซต์ รวมถึงฝุ่นละอองเเละควัน
หากเป็นอากาศชื้น
จะมีไอน้ำผสมอยู่ในอากาศ
ประมาณร้อยละ 0.1-4.0
เเปรผันตามลักษณะพื้นที่
เช่น เเหล่งน้ำ ป่าไม้ ทะเลสาบ
รวมถึงฤดูของท้องถิ่น
ชั้นบรรยากาศ
ชั้นบรรยากาศ คือ ชั้นของอากาศที่ห่อหุ้มโลกและคงสภาพอยู่ได้ด้วย
แรงดึงดูดของโลก ซึ่งชั้นบรรยากาศทั้งหมดมีความหนานับจากพื้นโลกขึ้นไป
ประมาณ 400 กิโลเมตร เนื่องจากเป็นสสาร ดังนั้นเเรงดึงดูดโลกจึงทำให้
อากาศที่ระดับทะเลปานกลางมีความหนาเเน่นของอากาศมากที่สุด
การเเบ่งชั้นบรรยากาศโดยใช้ลักษณะการเปลี่ยนเเปลง
อุณหภูมิของอากาศเป็นเกณฑ์ ได้ดังนี้
โดยสามารถเเบ่งชั้นบรรยากาศได้ทั้งหมด
4 ชั้น ดังนี้
ชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere)
เป็นชั้นบรรยากาศที่อยู่ติดกับพื้นโลก ทำให้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ และ
มีปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างเมฆ ฝน และพายุ โดยชั้นบรรยากาศนี้
จะมีอุณหภูมิลดลงตามความสูง (ยิ่งสูงยิ่งหนาว) โดยอากาศมีการ
เคลื่อนที่ทั้งในเเนวราบเเละเเนวดิ่ง
ภาพชั้นโทรโพสเฟียร์
ชั้นสตราโตสเฟียร์ (Stratosphere)
เป็นชั้นที่มีโอโซนดูดซับคลื่นรังสี UV และต่างจากชั้นโทรโพสเฟียร์ตรง
ที่ยิ่งสูงขึ้นไปอุณหภูมิยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ (ยิ่งสูงยิ่งร้อน) อากาศมีการ
เคลื่อนที่เฉพาะในเเนวระดับเพียวอย่างเดียว ซึ่งเส้นทางของสายการบิน
ต่าง ๆ จะอยู่ระหว่างชั้นบรรยากาศนี้กับชั้นโทรโพสเฟียร์ เพราะไม่มีพายุ
ฝนฟ้าคะนองนั่นเอง สูงจากพื้นโลกประมาณ 17-50 กิโลเมตร
ภาพชั้นสตราโตสเฟียร์
ชั้นมีโซสเฟียร์ (Mesosphere)
สูงจากพื้นโลกประมาณ 50-80 กิโลเมตร
ชั้นบรรยากาศนี้เป็นตัวช่วยให้เหล่าอุกกาบาต ดาวตก และ
เทหวัตถุต่าง ๆ ในท้องฟ้าเผาไหม้ก่อนตกลงสู่พื้นโลก ซึ่งยิ่งสูง
เท่าไรอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศนี้ยิ่งลดลงไปเรื่อย ๆ
ชั้นเทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere)
สูงจากพื้นโลกประมาณ 480 กิโลเมตร เป็นชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิมีค่าคง
ที่เเละสูงขึ้นตามความสูง มีประจุไฟฟ้ามากทำให้สามารถสะท้อนคลื่นวิทยุได้
แถมชั้นบรรยากาศนี้ยังมีแสงออโรรา (Aurora) หรือแสงเหนือแสงใต้ที่หลาย
คนใฝ่ฝันอยากจะไปดูกันด้วยนะ
**เเละถ้าใช้เกณฑ์การเเบ่งชั้นบรรยากาศโดยอาศัยอุณหภูมิ ชั้นเอ็กโซสเฟียร์ (Exosphere)
และคุณสมบัติของแก๊สเป็นเกณฑ์ จะแบ่งได้ 5 ชั้น โดยเพิ่ม
ชั้นเอ็กโซสเฟียร์ (Exosphere) เข้ามา
ชั้นบรรยากาศนี้จะอยู่สูงจากผิวโลกมากกว่า
500 กิโลเมตร และ ไม่มีขอบเขตแน่ชัดระหว่าง
บรรยากาศและอวกาศ
การเปลี่ยนเเปลงทางบรรยากาศภาค
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดอาศัยอยู่ภายใต้บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ของโลก
เท่านั้น มีปรากฏการณ์ต่างๆเกิดขึ้น เช่นภูมิอากาศ ซึ่งมีผลต่อทุกสิ่งบน
โลก ระบบธรรมชาตอที่สำคัญที่มีเฉพาะชั้นโทรโพสเฟียร์ ได้เเก่ อุณหภูมิ
ความกดอากาศ ลมกับทิศทางลม เเละความชื้นกับหยาดน้ำฟ้า
อุณหภูมิ
มนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ได้รับพลังงานความร้อนและ
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ผ่านการสะท้อนกลับโดยตัว
กระทำต่าง ๆ ประมาณ 32% ชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์
ดูดซับไว้ 18% และพื้นโลกดูดซับไว้ 50% ซึ่งความแตก
ต่างระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำ คือ พื้นดินดูดกลืนและคาย
ความร้อนได้เร็ว แต่มีความร้อนจำเพาะต่ำ ตรงกันข้ามกับ
พื้นน้ำที่ดูดกลืนและคายความร้อนได้ช้า และมีความร้อน
จำเพาะสูงกว่า ซึ่งความร้อนที่ได้รับจะแตกต่างกันออกไป
ตามแต่ละพื้นที่ อย่างบริเวณละติจูดสูงจะมีอุณหภูมิต่ำ
บริเวณละติจูดต่ำจะมีอุณหภูมิสูง รวมทั้งแต่ละช่วงเวลาจะ
ได้รับพลังงานความร้อนแตกต่างกันออกไป
ความกดอากาศเเละลม
ความกดอากาศ คือ น้ำหนักของอากาศที่กดทับเหนือบริเวณนั้นๆ สามารถตรวจวัดความ
กดอากาศ ได้โดยเครื่องมือที่เรียกว่า " บาโรมิเตอร์ " มีหน่วยของการตรวจวัดเป็น
มิลลิบาร์ โดยปกติคนเราสามารถอยู่ได้โดยไม่ได้รับแรงกดจากความกดอากาศ เนื่องจาก
ร่างกายมนุษย์มีอากาศเป็นส่วนประกอบอยู่ ซึ่งความกดอากาศภายในตัวคนเรามีแรงดัน
ออกเท่ากับแรงดันภายนอก เราจึงไม่รู้สึกอึดอัด ในขณะเดียวกันถ้าเราออกไปสู่ภายนอก
โลกโดยไม่ได้สวมชุดอวกาศร่างกายของเราจะพองออกและระเบิดออกได้ในที่สุดเนื่องจาก
ในอวกาศไม่มีบรรยากาศอยู่ นอกจากนั้นความกดอากาศยังมีความสัมพันธ์กันกับอุณหภูมิ
และระบบการเกิดลมบนพื้นโลกของเรา
ภาพความกดอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา
ลม ซึ่งเราสามารถแบ่งลมชนิดต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. ลมประจำเวลา : ลมที่เกิดในพื้นที่ใกล้เคียงกันแต่
ลมนั้นมาจากความกดอากาศสอง ลักษณะภูมิประเทศต่างกั
น เช่น ลมบก - ลมทะเล
บริเวณที่ไม่เท่ากัน ทำให้ลมพัดจาก
บริเวณที่มีความกดอากาศสูงไปยัง
บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ
2.ลมประจำถิ่น : ลมที่พัดประจำในแต่ละท้องถิ่น
และเป็นไปตามลักษณะภูมิประเทศนั้น ๆ เช่น
ลมว่าวและลมตะเภาในประเทศไทย
ลมชีนุก (Chinook) ในทวีปอเมริกาเหนือ
(ลักษณะการเกิดลมซีนุก) (ทิศทางการเคลื่อนที่ของลมประจำฤดู)
3.ลมประจำฤดู : ลมที่เกิดจากความแตกต่างของ
ความกดอากาศบริเวณภาคพื้นทวีปและ
ภาคพื้นมหาสมุทร และเป็นลมที่พัดยาวนานตลอด
ฤดูกาลเลยทีเดียว เช่น มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดใน
ฤดูฝนและมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดในฤดูหนาว
4.ลมประจำปี : ลมที่พัดจากบริเวณที่มีความกด
อากาศสูงไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ
และมีทิศทางคงที่ตลอดปี ได้แก่ ลมสินค้า
ลมประจำตะวันตก และลมขั้วโลก
(ระบบลมมีทิศทางเบี่ยงเบนคงที่ตลอดปี)
5.ลมพายุ : ลมพายุคงเป็นชื่อที่หลายคนคุ้นเคย เช่น
ทอร์นาโด พายุหมุนเขตร้อน พายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมีสาเหตุ
มาจากพื้นที่สองบริเวณที่อยู่ติดกัน มีอุณหภูมิแตกต่างกัน
มาก ทำให้อากาศร้อนลอยตัวสูงขึ้น ส่วนอากาศเย็นเข้ามา
แทนที่จนเกิดการหมุนของอากาศ กลายเป็นลมพายุนั่นเอง
ความชื้นของอากาศ
หมายถึง ปริมาณของไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศ ถ้าในอากาศมีปริมาณไอน้ำปะปนอยู่มาก
แสดงว่าอากาศมีความชื้นมาก และถ้าในอากาศมีปริมาณไอน้ำปะปนอยู่น้อยแสดงว่าอากาศ
มีความชื้นน้อย แต่ถ้าในอากาศมีปริมาณไอน้ำอยู่มากที่สุดจนไม่สามารถรับไอน้ำต่อไปได้อีก
เรียกว่า อากาศอิ่มตัวไปด้วยไอน้ำ ไอน้ำในอากาศ
ไอน้ำในอากาศ มาจาก
1. กระบวนการระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ น้ำจากแหล่งน้ำต่าง ๆ
เช่น ทะเล มหาสมุทร เมื่อได้รับพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ก็จะ
ระเหยกลายเป็นไอลอยขึ้นสู่บรรยากาศเบื้องบน กระบวนการ
นี้เรียกว่า การระเหย (evaporation)
2. กระบวนการคายน้ำของพืช พืชมีวิธีลดความร้อนโดยการระเหยน้ำออกทางใบใน
รูปของไอน้ำ กระบวนการนี้เรียกว่า การคายน้ำ (transpiration)
3. การระเหยของน้ำจากกิจกรรมต่างในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และ
โรงงานอุตสาหกรรม เช่นในการหุงต้มปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน ในการ
ทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม การระเหยของน้ำกับ
อุณหภูมิ การระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆและการคายน้ำของพืชจะเกิด
ขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของอากาศ ถ้าอากาศมีอุณหภูมิสูงจะมี
ความสามารถรับไอน้ำได้มากกว่าอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ
การบอกค่าความชื้นของอากาศ
การบอกค่าความชื้นของอากาศนิยมบอกเป็น 2 แบบ
1 ความชื้นสัมบูรณ์ (absolute humidity)
2 ความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity
ความชื้นสัมบูรณ์ (absolute humidity) ความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity)
หมายถึง อัตราส่วนระหว่างมวลของไอน้ำในอากาศ หมายถึง ร้อยละของ อัตราส่วนระหว่างมวล
(หน่วยเป็นกรัม) กับปริมาตรของไอน้ำในอากาศ ของไอน้ำที่มีอยู่จริงในอากาศขณะนั้น กับมวล
(หน่วยเป็นลูกบาศก์เมตร) ของไอน้ำอิ่มตัว
ณ อุณหภูมิเดียวกัน
เมฆ
เป็นกลุ่มก้อนของไอน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศ มีลักษณะเเตก
ต่างกันตามระดับความสูง เเบ่งได้ 3 เเบบได้เเก่
เเหล่งอ้างอิง
https://ngthai.com
https://www.slideshare.net
http://www.lesa.biz
http://www.marine.tmd.go.th
https://www.geo2gis.com
http://tairgle.egat.co.th
หนังสือเรียน ภูมิศาสตร์ ม.4-6 อักษรA+