The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 5 การใช้ภาษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by vilai goodtalang, 2020-06-08 08:07:48

บทที่ 5 การใช้ภาษา

บทที่ 5 การใช้ภาษา

บทที่ 5

- เร่อื ง หลักการสะกดคา รูปพยัญชนะทป่ี ระกอบอยู่ขา้ งท้ายสระและเสียงประสมเข้ากับสระจดั ไวเ้ ป็น
พวก ตามเสียง ใน 8 เสียงแม่ กก เสยี งแม่ ก เสียงแม่ กบ เสียงแม่ กง เสยี งแม่ กน
เสียงแม่ กม เสยี งแม่ เกอ เสียงแม่ เกอว

โดยครูเตรียม ใบความรเู้ ร่ืองตวั สะกด 8 แม่
- ตวั สะกดคือรูปวรรณยุกต์ทปี่ ระกอบอยู่ข้างท้ายสระและมเี สียงประสมเข้ากับสระ จดั ไว้เปน็ พวกๆ
ตามเสียงสะกด ดงั น้ี
เสียงแม่ กก มตี ัว ก จ ค ฆ เปน็ ตวั สะกด เชน่ รัก สขุ โชค
เสยี งแม่ กด มีตัว ด ต จ ช ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ถ ท ร ศ ส
เปน็ ตวั สะกด เชน่ ปิด จติ ดจุ ราช กา๊ ซ กฎ ปรากฏ รัฐ ครฑุ พุฒ
รถ บท อาวุธ อากาศ พิษ โอกาส
เสยี งแม่ กบ มีตวั บ ป พ ภ เปน็ ตวั สะกด เชน่ จบั บาป ภพ สาภ
เสยี งแม่ กง มีตวั ง เป็นตวั สะกด เชน่ สูง ทาง แข็ง
เสียงแม่ กน มตี วั น ญ ณ ร ล ฬ เปน็ ตวั สะกด เช่น กิน หาญ คุณ สาร
ตาล กาฬ
เสียงแม่ กม มีตัว ม เป็นตัวสะกด เชน่ ตมู ลม ชม ขม
เสียงแม่ เกย มตี ัว ย เปน็ ตวั สะกด เช่น สวย เขย ตาย ฉุย
เสียงแม่ เกอว มตี วั ว เปน็ ตวั สะกด เช่น ขาว เตยี่ ว รวิ หวิ

คาท่ีใช้ตวั จ ญ ร ล ฬ สะกด เปน็ คาท่ีไทยรับมาจากคาเขมร หรอื คาบาลี
สนั สกฤต เปน็ สว่ นใหญ่ ตวั สะกดเหลา่ นมี้ ักเขียนตามรู้คาในภาษาเดิม จงึ ต้องใช้การสังเกตและจดจา

คาทีใ่ ชต้ ัว “ ( จ ) ” สะกด เสรจ็ สาเร็จระเหจ็ ไป
ตารวจตรวจคนเท็จ ตรวจตราไวดุจนายงาน
สมเด็จเสดจ็ ไหน จรวจเห็จเผดจ็ การ
อานาจอาจบาเหน็จ คนเกยี จครา้ นไม่สู้ดี
ฉกาจรังเกยี จวาน ประดจุ ชาตทิ รพี
แลว้ เก็จทาเก่งกาจ กาเหน็จน้ใี ชต้ ัว “ ( จ ) ”
โสรจสรงลงวารี

คาทใ่ี ช้ตวั “ ( ญ ) ” สะกด ควาญช้างไปหานงคราญ
ลาเคญ็ ครวญเข็ญใจ ผลาญราคาญลาญระทม
เชิญขวญั เพญ็ สาราญ เหรญี ราบาญอัญขยม
เผอิญเผชญิ หาญ ดอกอญั ชันอญั เชญิ เทอญ
รบราญสราญชม ผจญการกจิ บังเอญิ
ประจญประจญั บาน ถอื กุญแจรัญจวนใจ
สาคัญหมัน่ เจรญิ เขาสรรเสรญิ ไมจ่ ัญไร
รามญั มอญจาเริญ เร่งผจัญตามบญั ชา
ชานาญชาญเกรยี งไกร บานาญสิ่งสะคราญตา
จรูญบาเพญ็ ย่งิ สบู กัญชาไมด่ ีเอย
ประมวญชวนกนั มา

คาทใี่ ชต้ ัว “ ( ล ) ” สะกด ยลสารวลนวลกงั วล
ตาบลยุบลสรวล คา่ กานลของกานัล
บนั ดาลในบันดล กลทางแคบเขา้ เคลียมคนั
ระบลิ กระบินแบบ ปขี าลบันเดินเมินมอง
ดลใจให้รางวลั

คาที่ใช้ตวั “ ( ร ) ” สะกด
กร การ กาธร ควร จร จาร เจยี ร ประยรู พร
ระเมียร ละคร วาร ศร สาร อรชร

คาที่ใช้ตวั “ ( ฬ ) ” สะกด
กาฬ ทมฬิ ปลาวาฬ ประพาฬ วิรฬุ ห์ ทฬั ห

การใชต้ วั สะกดตวั ตาม ตามอักขรวธิ บี าลี
พยัญชนะในบาลจี ดั เปน็ วรรค ดังน้ี

12345
วรรค ก ก ข ค ฆ ง
วรรค จ จ ฉ ช ฌ ญ
วรรค ฏ ฏ ถ ท ธ น
วรรค ต ต ถ ท ธ น
วรรค ป ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ

การใช้ตวั สะกดตวั ตาม ตามอักขรวขี องบาลมี ีหลกั สังเกตคือ
พยญั ชนะแถวท่ี 1 สะกดพยญั ชนะแถวท่ี 1 หรือ 2 ในวรรคเดียวกันตามได้ ดังน้ี

1 สะกด 1 ตาม เช่น สกั การะ ปัจจัย วัฏฏะ อตั ตา กปั ปิยะ
1 สะกด 2 ตาม เชน่ อักขระ ปจุ ฉา รัฎฐาภบิ าล วตั ถุ บุปผา

พยัญชนะแถวที่ 3 สะกดพยัญชนะแถวที่ 3 หรอื 4 ในวรรคเดียวกันตามได้ ดงั นี้

3 สะกด 3 ตาม เชน่ สมชั ชา สุททะ บพั พาชนียกรรม
3 สะกด 4 ตาม เช่น พยัคฆ์ อชั ฌาสยั วุฑฒิ ลัทธิ อพั ภาส

พยัญชนะแถวท่ี 5 สะกดพยญั ชนะทุกตวั ในวรรคเดียวกันตามได้ เชน่

5 สะกด 1 ตาม เชน่ องค์ เบญจะ สนั ติ สัมปทาน
5 สะกด 2 ตาม เช่น สงั ขาร สญั ฉกร สัณฐาน สนั ถวไมตรี สมั ผัส
5 สะกด 3 ตาม เช่น องค์ สญั ชาติ มณฑล วันทนา กมั พล
5 สะกด 4 ตาม เชน่ สงฆ์ สนธยา สมภพ
5 สะกด 5 ตาม เชน่ สงั ขาร สญั ญา วัณณา สันนิบาต สมั มนา

เร่ือง หลักการเขยี นประวิสรรชนยี ์ และไม่ประวสิ รรชนีย์
1 คาไทยแท้ทกุ คาท่ีออกเสียง /อะ/ให้เขยี นประวสิ รรชนยี ท์ ง้ั หมด เชน่ นะคะ กระทะ กะทิ มะระ

ทะนาน ทะลึง่ ทะมัดทะแมง
2. คากร่อน ท่ีกรอ่ นเสียงเปน็ เสยี ง /อะ/ ใหเ้ ขียนประวิสรรชนีย์ ซึ่งคาที่กรอ่ นเปน็ เสียง /อะ/

แบ่งเปน็ 2 แบบ

คากร่อนจากคาประสม ซึง่ กรอ่ นพยางคห์ น้าเป็นเสยี ง /อะ/ เชน่

หมาก กร่อนเปน็ มะ เช่น มะขาม มะพรา้ ว มะนาว มะเฟือง

ต้น . ตะ เชน่ ตะโก ตะขบ ตุเคยี น ตะคร้อ ตะไคร้

ตวั . ตะ เช่น ตะขาบ ตะเข็บ ตะโขง

เฌอ . ชะ เช่น ชะคราม ชะพู ชะเอม

ชาว . ชะ เชน่ ชะแม่

ฉัน . ฉะ เช่น ฉะนนั้ ฉะนี้

สาว . สะ เชน่ สะใภ้

สาย . สะ เชน่ สะดึง สะดือ สะอิง้ สะเอว

คากร่อนจากคาซ้า คระครนื แจ้วแจ้ว จะแจว้ ยิบยบิ ยะสิบ
ครนื ครนื ระริก รน่ื ร่ืน ระรื่น รวั รวั ระรวั
ริกรกิ คระคร้ืน
ครน้ื ครนื้ ระริน พรายพราย พะพราย รวยรวย ระรวย
รินริน เร่อื ยเรอื่ ย ระเร่อื ย วบั วับ วะวบั

คาขน้ึ ต้นดว้ ย สะ แล้วแผลงเป็น ตะ หรอื กระ ได้ ใหเ้ ขยี นประวิสรรชนยี ์

สะกอ ตะกอ สะพาย ตะพาน สะโพก ตะโพก

สะทอ้ น กระท้อน สะเทอื น กระเทือน สะพงั กระพัง

คาแผลงซง่ึ เดิมเปน็ พยัญชนะควบกลา้ หรือพยัญชนะซอ้ นสองตัว เมอื่ แผลงไปแล้วมเี สียง
/ร/ กล้าให้พยางคห์ น้า ซงี่ อา่ นออกเสียง /อะ/ มักเขยี นประวสิ รรชนีย์

ขยาย กระจาย ผจญ ประจญ กวดั กระวดั
คาที่เติม ร เพื่อความไพเราะ ซ่ึงใช้ในการเขยี นรอ้ ยกรอง ถ้าคาเดิมเขยี นประวิสรรชนีย์แทรก ร กต็ ้องประ
วิสรรชนยี ์ด้วย

จะเข้ จระเข้ จะขาบ จระขาบ สะครวญ สระครวญ
สะอ้นี สระอื้น สะอาด สระอาด สะทอ้ น สระท้อน

แตถ่ ้าเตมิ คามป่ ระวสิ รรชนยี ์ เมือ่ แทรก ร ลง ไปแล้วกค็ งเขียนไมป่ ระวสิ รรชนีย์ เชน่
ชอ่มุ ชรอุม่ ตลบ ตรลบ สนกุ สรนุก จมูก จรมูก

คาท่ีมาจากภาษาชวา ถา้ อา่ นออกเสียง /อะ/ ใหเ้ ขียนประวสิ รรชนยี ์
ระเดน่ มะเดหวี สะการะ อะนะ ระตู ประไหนสุหรี ปะตากาหลา มาตาหะรี

คาท่ีมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ถ้าพยางค์ หนา้ ออกเสียง /ประ/ /พระ/ /กระ/ /ตระ/
ให้เขียนประวิสรรชนยี ์

กระษาปฌ์ กระเษยี ร ตระกลู ประโยชน์ ประกาศ ประพฤติ พระพทุ ธ พระธรรม

คาที่มาจากภาษาบาลี และสันสฤกติ ทคี่ าท้ายออกเสยี ง อะ
ใหป้ ระวสิ รรชนีย์

ขณะ คณะ ธรรมะ ธรุ ะ ปฏชิ ีวนะ พยัญชนะ พละ พุทธมามกะ มรณะ
สัมปชัญญะ สาธารณะ หิมะ อิสระ

คาภาษาอน่ื ๆ ทเ่ี รานามาใช้ และเขียนประวสิ รรชนยี ์
กระดาษ ตระเลง เมาะตะมะ ระบา ระเบียน ระเบยี บ ระมาด ระเมยี ร ละคร
ละมงั่ ละโมบ อังวะ

คาสามพยางค์ ที่มเี สียง /อะ/ อยตู่ รงกลางให้เขยี นประวสิ รรชนยี ์
จะระไน จา้ ระหวัน่ ฉกุ ละหกุ ชามะนาด ชามะเลยี ง ซังกะตาย บอระเพ็ด
รามะนาด สันตะวา สบั ประรด สาระแน สาละวน อาละวาด

หลักการเขยี นไม่ประวสิ รรชนีย์

คาทอ่ี อกเสียง /อะ/ไมเ่ ต็มมาตรา ไม่ประวสิ รรชนีย์ เชน่ ขนม ขมด คาทา จรวด ฉงน
ชนดิ ชนวน ชบา ไผท

คาแผลงที่แผลงมาอา่ นออกเสียง /อะ/ ถ้าแผลงมาจากเดิม เป็นพยางคเ์ ดยี วไม่ตอ้ งเขยี น ประ
วสิ รรชนีย์ เช่น ขด ขนด ชดิ ชนิด บวช ผนวช ขาน ขนาน บวก ผนวก

คาสมาสอ่านออกเสียงต่อเน่ืองระหวา่ งคาแตไ่ ม่ประวิสรรชนีย์ เช่น จิตแพทย์ เจตน
คติคณาบดี ทศนยิ ม ทันตกรรม พลศีกษา

คาที่มาจากภาษาบาลีสันสฤกต ท่อี อกเสยี ง /อะ/ ไม่เตม็ มาตรา ท่ีพยางคห์ น้าไมต่ ้อง
ประวสิ รรชนยี ์ กรณี คณนา ทวาร ธชี นคร นวรัตน์ นยนา วจนา สมาคม อสรุ า

คาท่มี าจากภาษาเขมร สว่ นมากออกเสยี ง /อะ/ ไมเ่ ต็มเสยี งจะไม่ประวสิ รรชนยี ์ เช่น สตาร์ท สกี สกอตแลนด์
สแลง สแลค สวิตช์ สวิส สวีเดน สเวทเดอร์ สเกต อเมริกา ไอศกรมี

คาไทยท่ีกร่อนเสียงมาจากคาอ่ืน เป็นพยญั ชนะตวั เดียว จะไม่ประวิสรรชนีย์
ณ (ใน) ทนาย (ท่านนาย พนกั งาน (ผู้เป็นนักงาน) อน่งึ (อันหนง่ี )
ธ (เธอ) พนาย (พ่อนาย) ฯลฯ (พ่อเหนือหัวเจา้ ท่าน)

เรอ่ื ง หลักเขียนออกเสียงอา เสยี งอัย หลกั การใชไ้ ม้ ไ หลกั การใช้ ไม้ ใ

การเขยี น คาออกเสยี ง / อา / มรี ปู เขยี นอยถู่ ึง 4 แบบดว้ ยกนั คือ อา อมั อาม อรรม
การเขียนรปู เขียน ถึง 4 เชน่ นี้ เป็นเครอ่ื งชว่ ยในการแยกความหมายของคาทาให้มคี าที่มีรปู ต่าง ๆ ใชใ้ น
ความหมายต่าง กนั ได้มากขน้ึ และแสดงถึงทีม่ าของคานั้น ๆ ไดอ้ ีกดว้ ย

หลกั การใชอ้ า
1 ใช้เขยี นคาไทยแท้ๆ ท่ัวไป เช่น กา ขา คา งา นา ดา ลา ล้า ทา จา จาปา

สาปะหลัง สารดิ อาพน (มาก) จดจา ดาคล้า ลานา ล้านา้ พึมพา ปลุกปล้า ปรักปรา
2 เขียนคาแผลงทั่วไปท่แี ผลงท่ัวไปท่ีแผลงมาเป็นเสียง /อัน/ ไมว่ ่าจะเปน็ คาแผลงมาจากภาษาไทยแท้

หรอื ภาษาใดๆ มีคาเปน็ อันมากทแ่ี ผลงมาจากภาษาบาลหี รือสันสฤกตและภาษาเขมรออกเสยี ง /อัม/ เขียนใช้
สระอา

คา คาแผลง คา คาแผลง คา คาแผลง คา คาแผลง

กัน กานนั แข็ง กาแหง ขจร กาจร ราญ ราบาญ

คูณ คานวณ เสียง สาเนยี ง จิร- เจียร จาเนยี ร ขยาย กาจาย

แจก จาแนก จรจา จานรรจา ชว่ ย ชารว่ ย ตรู ดารุ

ชาญ ชานาญ เถกิง ดาเกิง ถกล ดากล เพญ็ บาเพ็ญ

ตรวจ ตารวจ รวิ ราไพ ทรุด ชารดุ อาจ อานาจ

ปราบ บาราบ อวย อานวย เสร็จ สาเร็จ ตรชั ดารัส

3 ใช้เขยี นคาทย่ี มื มาจากภาษาอืน่ ซึ่งออกเสยี ง / อมั / และนามาเขยี นตามอักขรวธิ ขี องไทยใชส้ ระอา
กาป่ัน (ม) กายาน (ม) กามะหยี่ (ม) กามะถนั (อ) กามะลอ (ญ)
กาจร (ข) กาสรวล (ข) ฉนา (ช) จาปาดะ (ถ. ใต้) ชาลา (ด)
ธามรงค์ (ข) ตามะหง (ช) พะทามะรง (ท) รามะนา (ท) สดา (ข)
สาป้นั (ท) สาเภา (จ) สาคัญ (ป) ไหหลา(จ) ฮนุ หนา (จ)

หลักการใชอ้ ัม
1 .ใชเ้ ขียนคาท่มี าจากภาษาบาลี –สันสฤกต ท่ีมเี สยี งเดิมเป็น /อะ/ มี ม เป็นตวั สะกด

คาป. ส. คาไทย คาป. ส. คาไทย คาป. ส. คาไทย คาป. ส. คาไทย
กมพล กมั พล กมมนตภาว กมั มนั ตภาว ปกรี ณม ปกรี ณมั อมวาต อัมพาต
อมพร อัมพร กมพช กมั พุช คมภียร์ คัมภรี ์ อมพวน อมั พวัน
อารมภ อารมั ภ์ อปุ ตถมภ อปุ ถัมภ์

3 ใชเ้ ขยี นคาท่ียมื มาจากภาษาองั กฤษและภาษาชาติตะวนั ตก
กโิ ลกรมั อลั บ้มั ปัม้ นัมเบอร์ พลัม สกมั คอลัมน์ ดรมั เมเยอร์ รมั มี่ ฮมั เพลง

หลักการใชอ้ า่ น
1 .ใชเ้ ขยี นคาทีม่ าจากภาษาบาลี และสนั สกฤตที่มเี สยี งเดิมเป็น /อะ/ และมีตวั ม เขียนตาม(อม อ่าน

ว่า อะมะ) เม่ือนามาใช้ในภาษาไทยแผลง อะ เปน็ อา จึงกลายเปน็ รูป อาม ในภาษาไทย

คาป. ส. คาไทย คาป. ส. คาไทย คาป. ส. คาไทย คาป. ส. คาไทย
อมร อามร อมรินทร์ อมฤต อมฤต อามฤต อมหจิ อามหติ
อมาต์ อามาตย์ อมรา อามรา กมมลศน์ กามลาสน์ กมเลศ กามเลศ

หลักการใช้ อรรม
1. ใช้เขียนคาที่มาจากภาษาสันสฤกต ซึ่ง ร ( ร เร - ผะ ไทยแผลงเปน็ รร ) และ มี ม

ตามจึงใชเ้ ป็น รรม

คา ส. คาไทย คา ส. คาไทย คา ส. คาไทย
ธรม ธรรม กรม กรรม กรมกร กรรมการ
กรมธกิ าร กรรมธิการ ธรม ธรรม ธรรมเนยี ม ธรรมเนยี ม

ตัวอยา่ งคาเขียนออกเสยี ง /อา/

กมั ปนาท กัมประโด กัมพูชา กัมมชั วาต มัมมัฎฐาน
สมั ประสิทธ์ิ
กมั มันตรังสี เนกขมั ปรมั ปรารัมภา รมั มี่ อสั สมั
อมั พา
สัมปรายภพ สัมพุทธ สัมภเวสี สมั มนา เลือดกาเดา
คารน
สัมมาชวี ะ สัมฤทธ์ิ อมั พฤกษ์ อมั พวา ดากฤษณา
บาราศ
อนิ ทผลมั กาจร กาซาบ กาธร ราพัน
ลาพู
ของกานนั ทกี่ าบงั ลูกกาพร้า กามะลอ เครอ่ื งสาอาค์

จานง จานน ดารง ดาริ

ตารับ ธารง ธามรงค์ บาเทิง

ป้าเปอ๋ ปะราพิธี พานกั ระกา

รามะนา อาพนรามะนาด รามะร่อ ลาเค็ญ

มนั สาปะหลัง สามะโนครัว สามะเลเทเมา สารวล

อาพน อาพะวา

การเขียนคาออกเสยี ง / ไอ
คาในภาษาไทยท่ีอา่ นออกเสยี ง / ไอ/ มีรูปเขยี นอยถู่ ึง 4 แบบ ด้วยกันคอื ใ ไอ อัย ไอย

การมีรูปเขียนถึง 4 เช่นนีเ้ ป็นเครอื่ งช่วยในการแยกความหมายของคา ทาใหม้ ีคาที่มีรปู ตา่ ง ๆใช้ในความหมายคาท่ี
มรี ูปต่างๆ ใชใ้ นความหมายต่างกนั ได้มากข้ึนและแสดงถึงท่ีมาของคานั้น ๆ ได้อีกดว้ ย

หลกั การใช้ ใอ (ไม้มว้ น)

ผใู้ หญ่หาใหม่ ใหส้ ะใภใ้ ชค้ ลอ้ งคอ
ใฝ่ใจเอาใสห่ ่อ มิหลงใหลใครขอดู
จะใครล่ งเรือใบ ดนู ้าใสและปลาปู
สิง่ ใดอย่ใู นตู้ มใิ ชอ่ ย่ใู ต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว หตู ามัวมาใกล้เคียง
เล่าทอ่ งอย่าละเล่ยี ง ยสี่ บิ ม้วนจาจงดี

ใชเ้ ขยี นคา ไทยแท้ /จ / คาและมีใช้ในภาษาไทยแทเ้ ท่าน้ัน ใบ้ ใย ใกล้
ใหญ่ ใหม่ ให้ สะใภ้ ใช้ ใฝ่ ใจ ใส่ ใหล ใคร ใคร่ ใน ใต้
ใน 20 คาน้ี มอี ยู่ 8 คาทใ่ี ชเ้ สียงซา้ กับไม้มลาย

ใจ ไจ ใด ได ใน ไน ใย ไย ใส ไส ให้ ไห้ ใหล ไหล

หลักการใช้ ไอ (ไม้มลาย)
1 หลกั การใชค้ าไทยแท้นอกจากคา 20 ไม้มว้ นนอกนน้ั แล้วจะใชไ้ มม้ ลายท้ังสิ้น

ไก ไข ไซ ไต ไฟ ไหม ไส้ ลาไย ไกล ทาไม ไวไฟ ตะไคร้ ชอนไช เป็นไฝ เรไร ลองไน
หยากไย่ ไจจาม

2 ใช้เขยี นคาท่ีมาจากภาษาอน่ื ๆทุกคา ไม่วา่ จะเปน็ จีน เขมร มอญ พม่า ชวา หรือภาษาอังกฤษ
จะเขยี นด้วย ไอ กุบไลข่าน ยวนซไี ข ซามูไร แอสไพรนิ ไวตามิน ไมโครโฟน
ไทฟลอยด์ ไหหลา ไต้ฝนุ่ ไทเป ไนล่อน ไมตรี ไซยาไนด์ ได ไต๋ ไถงประไหมสหุ รี
อะไหล่

3 เขยี นคาบาลสี นั สกฤต ซงึ่ แผลงมาจาก อิ อี เอ เปน็ ไอ
วิจิตร พิจติ ร ไพจติ ร รวิ ราไพ วฑิ ูรย์
พฑิ ูรย์ ไพฑูรย์ เกสร ไกรสร วิรชั พิรชั
ไพรัช ศลิ า ไศล วิหาร พิหาร ไพหาร
เวที ไวที่ วิศาล พศิ าล ไพศาล เตภมู ิ
ไตรภมู ิ เตภมู ิ ไตรภูมิ อริ าวดี ไอราวดี ตรี
ไตร เอราวัณ ไอราวัณ

การใช้ อยั

อย อา่ นวา่ อะยะ เม่ือไทยรับมาใช้จะใช้ ย เปน็ ตัวสะกด เปน็ อยั
หทย เปลย่ี นเปน็ หทัย
ขย เปลี่ยนเป็น ขัย หย เปลย่ี นเป็น หัย
ดนย เปลย่ี นเปน็ ดนัย
เมรย เปลีย่ นเป็น เมรยั วย เปลย่ี นเป็น วัย

อภย เปล่ียนเปน็ อภัย ชย เปลยี่ นเป็น ชยั
วินิจจฉย เปล่ียนเป็น วินิจฉัย
ปจจย เปล่ียนเปน็ ปจั จัย
กษย เปลย่ี นเป็น กษยั
อาศย เปลย่ี นเปน็ อาศัย วินย เปลย่ี นเปน็ วนิ ยั
อทุ ย เปลยี่ นเปน็ อทุ ยั
นิสสย เปล่ยี นเปน็ นิสยั
ภย เปล่ียนเปน็ ภยั
อาลย เปล่ียนเป็น นยั นา

นยน เปลยี่ นเป็น ปัจจยั

อนามย เปลย่ี นเป็น อนามัย

มย เปลย่ี นเป็น มยั

การใช้ไอย
ใชเ้ ขียนคาท่ีมาจากภาษาบาลีสนั สกฤต ถา้ มาจากภาษาบาลี คาเดมิ ป็น เอยย (เอย – ยะ ) เม่อื นาใชใ้ น

ภาษาไทยเราแผลง เอ เปน็ ไอย แลว้ ตดั ตัว “ ย ” ทเ่ี ป็นตัวสะกดท้ิงจงึ เป็นรปู ไอย
เชยย เปลยี่ นเปน็ ไชย ภวู เนยย เปล่ยี นเปน็ ภูวนยั
โภเคยย เปล่ยี นเป็น โภไคย อาชาเนยย เปลย่ี นเป็น อาชาไนย
เทยย เปลย่ี นเป็น ไทย อธปิ เตยย เปลี่ยนเปน็ อธิปไตย
เวยยากรณ์ เปลีย่ นเปน็ ไวยากรณ์ อสงเขยย เปลีย่ นเป็น อสงไขย

คาสนั สกฤตมาจากคาว่า เอย (เอ –ยะ ) เม่อื นามาใชใ้ นภาษาไทยเราแผลง เอ เปน็ ไอ จงึ มรี ูปในภาษาไทย
เปน็ ไอย
ภาคนิ ี เปล่ยี นเปน็ ภาคิไนย ภาคิไนย อุปไนย เปลีย่ นเปน็ อุปเมย

ตวั อยา่ งการออกเสยี ง /ไอ/
กะไหล่ กงั ไส ไกรลาส ขา้ ไท ไคร่ครวญ ไฉไล ชไม ชพี ติ กั ษัย ไชโย หญา้ ไซ

พายุไซโครน ไซเกลิ ไซยาไนต์ ไซเรน ไซโล ดไี ซน์ นนั้ ไซร้ เป็ดไซ้ บันได ใจดา้ ย
ไดนาไมต์ ไดโนเสาร์ ตรยั ตรงึ ศ์ ไตรลกั ษณ์ ไตรปฎิ ก ลมไต้ฝ่นุ เถลไถล ไถง ทศั นยั

เร่อื ง วรรณยกุ ต์ การผนั วรรณยุกต์ ไตรยางค์ คาเป็น และคาตาย อักษรสามหมู่
การเขยี นคาวรรณยุกต์

วรรณยุกต์คือเครื่องหมายบอกระดับเสียง
วรรณยกุ ต์ มี 4 รูป คือ เอก โท ตรี จัตวา
เสยี งวรรณยุกต์ มี 5 เสียง คือ เสียงสามญั เสยี งเอก เสยี งโท เสียงตรี เสยี งจตั วา
การฝันวรรณยกุ ตต์ ้องคานึงถงึ ไตรยางค์ คาเปน็ คาตาย
ไตรยางค์ คอื อักษรสามหมู่
อักษรสงู 11 คา คอื ข ข ฉ ถ ฐ ผ ฝ ศ ส ษ ห
อกั ษรกลาง 9 ตัว ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ
อักษรตา่ 24 ตวั ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ร ย ล ว

ฬฮ
อกั ษรต่าเดี่ยว มี 10 ตวั ง ญ น ย ณ ธ ว ม ฬ ล
อักษรตา่ คู่ มี 14 ตัว ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ
คาเปน็ คือพยางค์ทปี่ ระสมสระเสยี งยาว

เร่ืองเครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ
1 เรียกวา่ ไม้ยมก

ใชห้ ลังคาหรือขอ้ ความทตี่ ้องการให้อา่ นซา

เชน่

ง่าย ๆ อ่านว่า ง่าย-งา่ ย

สด ๆ อา่ นวา่ สด-สด

วนั หน่งึ ๆ อา่ นวา่ วนั -หนึ่ง-วนั -หนึ่ง

ไฟไหมๆ้ อา่ นว่า ไฟ-ไหม-้ ไฟ-ไหม้

2 ฯ เรียกวา่ ไปยาลน้อย

ฯ ใช้ละคาท่เี ป็นท่ีทราบกันทั่วไป เช่น

กรงุ เทพฯ อ่านว่า กรงุ -เทบ-มะ-หา-นะ-คอน

โปรดเกลา้ ฯ อา่ นว่า โปรด-เกล้า-โปรด-กระ-หมอ่ ม

ฯพณฯ นายกรฐั มนตรี อ่านว่า พะ-นะ-ทา่ น-นา-ยก-รดั -ถะ-มน-ตรี

3ฯลฯ เรียกวา่ ไปยาลใหญ่

ฯลฯ ใชล้ ะข้อความขา้ งทา้ ยท่ีอย่ใู นประเภทเดียวกนั ซ่ึงยังมอี ีกมาก เช่น

เดก็ ๆ ชว่ ยกันหิ้วมะขาม กระเทียม หวั หอม ฯลฯ

ฯลฯ อา่ นวา่ “ละ” หรอื “และอ่นื ๆ”

4 “ “ เรียกวา่ อญั ประกาศ หรอื เคร่อื งหมายคาพดู
“ “ ใช้เขียนหนา้ และหลงั ขอ้ ความทเี่ ป็นคาพดู เชน่ แม่บอกว่า “รักลูกทุกคนจ๊ะ”

4 ! เรียกว่า อศั เจรีย์ หรอื เครอื่ งหมายแสดงอารมณ์

! ใชเ้ ขียนหลงั คาอุทาน เช่น โอโ้ ฮ! ไชโย! แหม! วา้ ย!

5 ( ) เรียกวา่ นขลิขิต หรือ เครือ่ งหมายวงเลบ็

( ) ใชข้ ยายข้อความ เชน่ กรุงเก่า(กรุงศรีอยุธยา) เกษตรแฟร(์ งานตลาดนดั การเกษตรของ

มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์)

6 – เรยี กว่า ยตั ิภังค์

ใชแ้ ยกพยางคเ์ พือ่ บอกคาอา่ น เชน่

ยัติภงั ค์ อ่านวา่ ยัด-ติ-พัง

- ใชใ้ นความหมายวา่ “ถึง” เชน่ ๑๒-๑๓ ปี อ่านว่า สิบ-สอง-ถึง-สบิ -สาม-ปี

7 _ เรยี กวา่ สญั ประกาศ

_ ใช้ขดี เส้นใตข้ ้อความท่สี าคัญท่ีตอ้ งการเน้น เช่น

คณุ ครูพาพวกเราไปเทย่ี วอทุ ยานประวตั ศิ าสตร์ ซึง่ ถือวา่ เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของโลก

8/ เรียกว่า ทับ

/ ใช้เขียนหลังจานวนเลขเพือ่ แบง่ จานวนยอ่ ยออกจากจานวนใหญ่ เชน่

บ้านเลขที่ ๑๕๐/๓๕๖ อา่ นว่า บ้าน-เลก-ท-ี่ หนึง่ -รอ้ ย-ห้า-สบิ -ทบั -สาม-ห้า-หก

9 . เรยี กวา่ มหพั ภาค

. ใชก้ ากับอักษรย่อ เชน่

ป. คาเตม็ วา่ ประถมศกึ ษา

ฮ. คาเตม็ วา่ เฮลคิ อปเตอร์

ต. คาเต็มวา่ ตาบล

ถ. คาเตม็ ว่า ถนน

อ. คาเตม็ ว่า อาเภอ

จ. คาเตม็ วา่ จงั หวดั

ส.ค. คาเต็มว่า สงิ หาคม

ร.ร. คาเต็มวา่ โรงเรียน

รร. คาเตม็ วา่ โรงแรม

พ.ศ. คาเตม็ ว่า พทุ ธศกั ราช

ร.ต. คาเตม็ ว่า ร้อยตรี (ยศทหารบก)

ให้ผเู้ รียน จดั ตงั้ กลุ่มครแู บ่งกล่มุ ผู้เรยี น เป็น จานวน 5 กลมุ่ โดยให้นักศกึ ษาเลือกพญชั นะไทย

ที่เตรยี มไว้ 5 ตวั ก ล ม ง ค พรอ้ มออกเสียงเปน็ เสียงสตั ว์ และปฏิบตั ิตามใบงาน

ที่ครู และศึกษาตามเนื้อหาที่กาหนดและคัดตวั แทนออกมานาเสนอหน้าขั้นเรยี น

- กล่มุ ท่ี 1 ผเู้ รียนศกึ ษา เร่ือง หลกั การสะกดคา รูปพยัญชนะทป่ี ระกอบอยูข่ า้ งท้ายสระและเสยี ง
ประสมเขา้ กับสระจัดไว้เปน็ พวก ตามเสยี ง ใน 8 เสียงแม่ กก เสยี งแม่ กเสียงแม่ กบ

เสียงแม่ กง เสยี งแม่ กน เสียงแม่ กม เสยี งแม่ เกอ เสียงแม่ เกอว ใบความรู้เรอ่ื ง

ตัวสะกด 8 แม่
- กลุ่มท่ี 2 ผู้เรียนศึกษา เรื่อง หลกั การเขยี นประวิสรรชนีย์ และไมป่ ระวิสรรชนยี ์

- กลมุ่ ท่ี 3 ผู้เรียนศกึ ษา เร่ือง หลกั เขียนออกเสยี งอา เสียงอัย หลักการใชไ้ ม้ ไ หลกั การ
ใช้ ไม้ ใ

- กลุ่มท่ี 4 ผเู้ รียนศึกษา เร่ือง วรรณยุกต์ การผนั วรรณยกุ ต์ ไตรยางคาเป็น และคาตาย อักษร
สามหมู่ อกั ษรสูง มี 11 ตวั อกั ษรกลาง 9 ตัว อักษรตา่ 14 ตวั

- กลุม่ ท่ี 5 ผเู้ รยี นศึกษา เร่ือง เครื่องหมายวรรคตอน และอักษรยอ่

เร่อื ง คาราชาศัพท์

คาราชาศพั ท์
ราชาศัพท์แปลตามศัพท์หมายถึงถ้อยคาสาหรับพระราชาแต่ตามตาราหลักภาษาไทยได้ให้ความหมายกิน

ขอบเขตไปถงึ ถ้อยคาภาษาสาหรับบคุ คล 3 ประเภทคอื
1. ศพั ท์ที่ใชส้ าหรบั พระมหากษตั ริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
2. ศัพท์ทใี่ ชส้ าหรับพระภกิ ษสุ งฆ์
3. ศัพทท์ ใี่ ช้สาหรับสุภาพชน
1. ศพั ทม์ ีใชส้ าหรับพระมหากษตั ริยแ์ ละพระบรมวงศานุวงศ์คาศัพท์ประเภทน้ีเราจะไดฟ้ ังหรือได้อ่านบ่อย

มากส่วนใหญจ่ ะเปน็ ข่าวหรอื เร่อื งราวท่ีเกี่ยวกับกรณียกจิ ของพระมหากษตั รยิ แ์ ละพระบรมวงศานุวงศล์ ักษณะของ
ราชาศัพท์ประเภทนีม้ ลี ักษณะเด่นท่นี ่าสนใจคือ

1.1 ใชค้ าวา่ ทรงเพ่ือใหเ้ ป็นคากรยิ า
ทรงนาหน้ากรยิ าทีเ่ ป็นคาไทยเช่นทรงเล่นทรงรอ้ งเพลงทรงออกกาลังกาย
ทรงนาหน้าคานามทเ่ี ป็นคาไทยแลว้ ใชเ้ ปน็ กรยิ าเช่นทรงช้างทรงม้าทรงเรือใบ
ทรงนาหน้าคาท่ีเป็นราชาราศัพท์อยู่แลว้ เชน่ ทรงพระอักษรทรงพระสาราญทรงพระราชนิพนธ์

1.2 ใชค้ าไทยนาหน้าคาท่เี ปน็ ราชาศพั ท์อยแู่ ล้วเพ่ือใหเ้ ปน็ คากรยิ าเช่นทอดพระเนตร
1.3 ใช้คาไทยนาหนา้ คาที่เป็นราชาศัพทอ์ ยแู่ ลว้ เพื่อใหเ้ ป็นคานามเช่นซับพระพักตรผ์ ้าเช็ดหน้าถุงพระบาทถุง
เท้าถุงพระหัตถ์ถุงมือการใช้คาธรรมดานาหน้าคาท่ีเป็นราชาศัพท์อยู่แล้วเพื่อให้เป็นคานามยังมีอีกเช่นฉลองพระองค์
ฉลองพระหัตถฉ์ ลองพระเนตรแวน่ ตามลู พระชวิ หาน้าลาย
1.4 ใช้คาว่าต้นหรือหลวงลงท้ายคานามหรือกริยาเช่นเสด็จประพาสต้นพระแสงปนื ต้นเครื่องต้นรถหลวงเรือ
หลวง
1.5 คาท่ีกาหนดให้เป็นราชาศัพท์สามารถจาแนกชนิดต่างๆได้เหมือนคาในภาษาสามัญคือมีทั้งคานามสรรพ
นามกริยาวิเศษณแ์ ละมคี าลกั ษณะนามใชเ้ ปน็ พเิ ศษอกี ดว้ ยเชน่
คานาม
พระเศยี รหวั พระนลาฏหนา้ ผาก
พระชนกพ่อพระชนนีแม่
พระราชสาสนจ์ ดหมายพระแสงกรรบิดมีด
คาสรรพนาม
ข้าพระพุทธเจา้ กระหม่อมหม่อมฉันบรุ ุษที่ 1
ใตฝ้ า่ ละอองธุลีพระบาทใต้ฝ่าพระบาทฝา่ พระบาทบรุ ุษท่ี 2
พระองค์ทา่ นพระองค์ท่านบุรุษที่ 3

คากริยา
กรยิ าเป็นราชาศัพท์อยู่แล้วไม่ต้องมีคาวา่ ทรงนาหน้าเช่นเสด็จตรสั เสวยเปน็ ต้นนอกนน้ั ต้องเติมด้วยคาวา่ พระ

หรือทรงพระราชเพอื่ ใหเ้ ปน็ คากริยาเช่นทรงพระอักษรเขยี นหนงั สอื ทรงพระราชนพิ นธ์แตง่ หนงั สือ
คาวิเศษณ์

มีแต่คาขานรับซ่งึ แยกตามเพศคือหญิงใช้คาวา่ เพคะชายใช้คาวา่ พระพุทธเจา้ ขอรบั พระพุทธเจา้ ขาพะ่ ย่ะค่ะ
คาลกั ษณะนาม

ใชค้ าว่าองค์กบั พระองค์เป็นคาท่ีเก่ียวกบั ส่วนต่างๆของร่างกายและเครือ่ งใช้ของทา่ นเช่นพระทนต์ 2 องคฟ์ ัน
2 ซี่ปราสาท 2 องค์

1.6 การใช้ราชาศพั ทแ์ บบแผนวธิ พี ูดในโอกาสตา่ งๆอีกดว้ ยเช่น
การใช้คาขอบคณุ

ถ้าเรากลา่ วแก่พระมหากษตั ริย์ใชว้ า่ “รู้สกึ ขอบพระมหากรุณาธคิ ุณเป็นลน้ เกล้าฯ”
การใช้คาขออนุญาต

ถ้าเรากลา่ วแก่พระมหากษัตริยใ์ ชว้ า่ “ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต”
กลา่ วเมื่อถวายของ

ถา้ เรากลา่ วเม่ือถวายของ
“ขอพระราชทานทูลเกลา้ ทลู กระหม่อมถวาย......................” หมายถึงส่งิ ของขนาดเล็ก
“ขอพระราชทานนอ้ มเกลา้ น้อมกระหม่อมถวาย....................” หมายถึงสงิ่ ของขนาดใหญ่ยกไมไ่ ด้
2. ศพั ท์ทใ่ี ช้สาหรับพระภิกษุสงฆ์พระภิกษเุ ป็นผู้ท่ีไดร้ ับความเคารพจากบุคคลทั่วไปในฐานะที่เปน็ ผู้ทรงศีลและเป็นผู้
สืบพระศาสนาการใช้ถ้อยคาจึงกาหนดข้ันไว้ตา่ งหากอีกแบบหนึ่งเฉพาะองค์สมเด็จพระสังฆราชซ่ึงถือเป็นประมขุ แห่ง
สงฆ์นัน้ กาหนดให้ราชาศัพท์เทียบเท่ากับพระราชวงศช์ ั้นหม่อมเจ้าแตถ้ ้าพระภิกษนุ ้ันเป็นพระราชวงศอ์ ยแู่ ลว้ ก็คงใหใ้ ช้
ราชาศัพท์ตามลาดับชั้นที่เป็นอยู่แล้วน้ันการใช้ถ้อยคาสาหรับพระภิกษุโดยทั่วไปมีข้อสังเกตคือถ้าพระภิกษุใช้กับ
พระภิกษุด้วยกันหรือใช้กับคนธรรมดาจะใช้ศัพท์อย่างเดียวกันตลอดผดิ กับราชาศัพทส์ าหรับกษัตริย์และพระราชวงศ์
คนอน่ื ท่ีพดู กบั ทา่ นหรือพูดถึงท่านจึงจะใชร้ าชาศัพท์แต่ถ้าพระองค์ท่านพูดกับคนอนื่ จะใช้ภาษาสุภาพธรรมดาเช่น
มผี พู้ ดู ถงึ พระวา่ “พระมหาสนุ ทรกาลังอาพาธอยใู่ นโรงพยาบาล”
พระมหาสนุ ทรพูดถงึ ตัวท่านเองกย็ อ่ มกลา่ วว่า “อาตมากาลงั อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาล”
มผี พู้ ดู ถึงพระราชวงศห์ น่ึงว่า “พระองคเ์ จ้าดศิ วรกมุ ารกาลังประชวร”
พระองคเ์ จ้าเมือ่ กล่าวพระองคถ์ ึงพระองคเ์ องยอ่ มรบั ส่งั วา่ “ฉนั กาลงั ป่วย”
ตวั อยา่ งคาราชาศพั ท์สาหรบั พระภิกษุบางคา
คานามภัตตาหารอาหารไทยทานสงิ่ ของถวายอาสนะทน่ี ่ังกุฏทิ ีพ่ ักในวดั
เภสชั ยารกั ษาโรคธรรมาสน์ทีแ่ สดงธรรม
คาสรรพนามอาตมาภกิ ษเุ รียกตนเองกบั ผู้อื่น
ผมกระผมภิกษุเรียกตนเองใช้กับภิกษุดว้ ยกัน
มหาบพติ รภกิ ษเุ รียกพระมหากษตั รยิ ์
โยมภกิ ษุเรยี กคนธรรมดาทเี่ ป็นผูใ้ หญก่ วา่
พระคุณเจ้าคนธรรมดาเรียกสมเด็จพระราชาคณะ
ทา่ นคนธรรมดาเรยี กสมเดจ็ พระราชาคณะ
คากริยาประเคนยกของดว้ ยมือมอบใหพ้ ระถวายมอบให้
ฉันกินอาพาธป่วย
มรณภาพตายอนโุ มทนายินดีดว้ ย
จาวดั นอน
คาลกั ษณะนามรูปเปน็ ลกั ษณะนามสาหรับนบั จานวนภิกษุเชน่ พระภกิ ษุ 2 รปู คนท่วั ไปนิยมใชค้ าวา่ องค์

3. คาท่ีใชส้ าหรับสุภาพชน
การใช้ถ้อยคาสาหรับบุคคลท่ัวไปจาเป็นต้องใช้ให้สมฐานะและเกียรติยศความสัมพันธ์ระหว่างผู้ท่ี

ติดต่อส่ือสารกันจะต้องคานึงถึงอายุเพศและตาแหน่งหน้าที่การงานด้วยนอกจากน้ันเวลาและสถานท่ียังเป็นเคร่ือง
กาหนดอกี ด้วยว่าควรเลือกใชถ้ อ้ ยคาอยา่ งไรจึงจะเหมาะสม
ตัวอยา่ งคาสุภาพเชน่

คานามบิดาพอ่ มารดาแมแ่ ละใช้คาวา่ คุณนาหนา้ ช่ือเช่นคณุ พอ่ คณุ ลงุ คุณประเสรฐิ คุณครูเป็นตน้ ศีรษะหวั
โลหิตเลอื ดอจุ จาระขี้ปสั สาวะเยยี่ วโควัวกระบือควายสุนขั หมาสุกรหมู

คากรยิ ารับประทานอาหารกินถงึ แก่กรรมตายคลอดบุตรออกลกู ทราบรเู้ รยี นบอกให้รู้
คาสรรพนามดฉิ ันผมกระผมบุรุษที่ 1
คณุ ท่านเธอบรุ ษุ ที่ 2 และ 3
การใชส้ รรพนามให้สุภาพคนไทยนิยมเรยี กตามตาแหนง่ หน้าท่ีด้วยเชน่ ท่านอธบิ ดีทา่ นหัวหน้ากองเป็นตน้
คาวเิ ศษณ์คาขานรับเชน่ ค่ะเจ้าค่ะครับครับผมเปน็ ตน้
คาขอร้องเชน่ โปรดไดโ้ ปรดกรุณาเป็นตน้
คาลักษณะนามลักษณะนามเพือ่ ยกยอ่ งเช่นอาจารย์ 5 ท่านแทนคาวา่ คนลักษณะนามเพื่อให้สภุ าพเช่นไข่ 4
ฟองแทนคาวา่ ลกู ผลไม้ 5 ผลแทนคาว่าลูก

เร่อื ง คาสมาสสนธิ

คาสมาส
สมาสคือวิธีการผสมคาของภาษาบาลีและสันสกฤตไทยได้นามาดดั แปลงเป็นวธิ ีการสมาสแบบ

ไทยโดยมีหลกั ดังนี้
1. ตอ้ งเป็นคาที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้นเชน่ ราชการราชครรู าชทตู ราชบุตรราชโอรส
2. ศัพท์ประกอบไว้หน้าศัพท์หลกั ไวห้ ลังเช่นสัตโลหะภารกิจปฐมเจดยี อ์ ุดมศกึ ษาอุดมคติ
3. แปลความหมายจากหลงั มาหนา้ เชน่ อักษรศาสตร์ – วชิ าวา่ ด้วยตัวหนังสือวาทศลิ ป์ - ศลิ ปะการพดู

ยุทธวธิ ี - วิธีการทาสงคราม ชัยภมู ิ - ท่ตี ั้งทัพท่ีทาให้ได้รับชัยชนะวรี บุรษุ - บุรุษผกู้ ล้าหาญ
4. ท้ายศพั ท์ตวั แรกห้ามใส่รูปสระอะและตัวการันต์เช่น
กจิ การ - ไม่ใช่กิจะการ
ธุรการ - ไมใ่ ชธ่ ุรการ
กาลเทศะ - ไมใ่ ชก่ าละเทศะ
วารดิถี - ไม่ใช่วาระดิถี
แพทยศาสตร์ - ไมใ่ ชแ่ พทยศ์ าสตร์
มนุษยธรรม - ไมใ่ ชม่ นุษย์ธรรม
5. ตอ้ งออกเสียงสระที่ท้ายศัพท์ตวั แรกอณุ หภมู ิ - อนุ – หะ – พมู
ประวตั ศิ าสตร์ - ประ – หวัด – ติ – สาดธาตุเจดีย์ - ทา – ตุ – เจ - ดี
เกษตรกรรม - กะ – เสด – ตระ – การาตรีสวัสด์ิ - รา – ตรี – สะ–หวดั
สิทธบิ ตั ร - สิด – ทิ - บัด
ยกเวน้ บางคาอา่ นตามความนิยมโดยไม่ออกเสยี งสระเชน่ สขุ ศาลาชาตินยิ มไตรรตั น์บุรษุ เพศชลบรุ ีธนบุรธี าตุ

วเิ คราะห์สุภาพบุรุษ

6. คาว่าวร, พระตามดว้ ยภาษาบาลีสนั สกฤตถือเปน็ คาสมาสเพราะพระแผลงมาจากวรเช่นวรกายวรชายาว
รองค์วรวหิ ารวรดติ ถ์พระบาทพระองค์พระโอษฐพ์ ระนาสิกพระเนตรพระกรรณพระบัปผาสะพระหทยั พระนลาภพระ
เสโท

* คาพระท่ีประสมกับคาภาษาอ่ืนไมใ่ ชค่ าสมาสเช่นพระอพู่ ระเกา้ อ้ีพระขนงพระเขนยพระขนนพระสหุ รา่ ย
พระโธรน

คาสนธิการสนธิ คอื การประสมคาของภาษาบาลีสนั สกฤตถือว่าเป็นคาสมาสชนิดหนงึ่ แต่เป็นคาสมาสท่ีมีการ

เปลยี่ นแปลงรูปศพั ท์ไทยนามาดัดแปลงเป็นการสนธิแบบไทยโดยมหี ลกั ดังน้ี

1. ตอ้ งเปน็ คาทีม่ าจากภาษาบาลีและสันสกฤตเทา่ นน้ั

2. ศัพทป์ ระกอบไว้หนา้ ศัพท์หลกั ไวห้ ลงั

3. แปลจากหลงั มาหน้า

4.ถา้ เปน็ สระสนธศิ ัพท์ตวั หลงั จะขนึ้ ตน้ ด้วยตัวอ

5. มกี ารเปลยี่ นแปลงรูปศัพท์ตามหลกั ทีจ่ ะกลา่ วต่อไป

การสนธิมีอยู่๓ ชนดิ คือ ๑. สระสนธิ ๒. พยัญชนะสนธิ ๓. นฤคหติ สนธิ

1. สระสนธิคือการนาคาบาลีสนั สกฤตมาสนธิกบั คาที่ขน้ึ ต้นด้วยสระมหี ลกั ดงั นี้

ก. ตัดสระทา้ ยคาหน้าใชส้ ระหนา้ คาหลงั เชน่ ชล + อาลัย–ชลาลัยวิทย + อาลยั - วิทยาลยั

เทว + อาลยั –เทวาลยั ศิว + อาลยั –ศิวาลยั วชริ + อาวธุ - วชริ าวธุ คทา + อาวธุ - คทาวธุ

ขปี น + อาวธุ - ขปี นาวธุ มหา + อรรณพ–มหรรณพ มหา + ไอศวรรย์–มไหศวรรย์

มหา + อัศจรรย์–มหศั จรรย์ พุทธ + โอวาท - พทุ โธวาท วร + โอกาส - วโรกาส

อน + เอก–อเนก ภุช + องค์–ภชุ งค์ จินต + อาการ–จนิ ตนาการ

จติ ก + อาธาน–จิตกาธาน ประชา + อากร–ประชากร ศลิ ป + อากร - ศิลปากร

วทิ ย + อาการ–วทิ ยาการ ทรพั ย + อากร – ทรพั ยากร

ข. ตัดสระทา้ ยคาหน้าใช้สระหน้าคาหลงั แต่เปล่ยี นสระหนา้ คาหลังจากอะเป็นอาอิเป็นเออเุ ปน็

อู, โอเสยี ก่อน

ราช + อธริ าชตดั อะแรกใช้อะหลังแตเ่ ปล่ียนเป็นอาสนธเิ ป็นราชาธริ าช

ประชา + อธปิ ไตย – ประชาธปิ ไตย ธรรม + อธปิ ไตย – ธรรมาธปิ ไตย

เทศ + อภิบาล - เทศาภบิ าล ธรรม + อธรรม - ธรรมาธรรม

ทูต + อนุทตู - ทตู านุทตู ฐาน + อนกุ รม - ฐานานุกรม

ราม + อศิ วรตัดอะแรกใชอ้ หิ ลังแต่เปลย่ี นเป็นเอสนธเิ ปน็ ราเมศวร

ปรม + อนิ ทร์–ปรเมนทร์ นร + อศิ วร - นเรศวร

นร + อนิ ทร์ - นเรนทร์ มหา + อสิ ี - มเหสี

คช + อนิ ทร์–คเชนทร์

* ยกเวน้ ภูมิ + อินทร์ - ภมู นิ ทร์กรี + อนิ ทร์ - กรนิ ทร์

มุนิ + อินทร์ - มุนนิ ทร์ โกสี + อนิ ทร์ - โกสนิ ทร์

ราช + อปุ โภคตดั อะแรกใช้อุหลงั แต่เปล่ียนเป็นอูสนธเิ ปน็ ราชูปโภค

ราช + อบุ ายตดั อะแรกใช้อุหลงั แต่เปลยี่ นเป็นโอสนธเิ ป็นราโชบาย

นย + อบุ าย - นโยบาย ชล + อทุ ร - ชโลทร

สาธารณ + อปุ โภค - สาธารณูปโภค นร + อุดม - นโรดม

ศิร + อุตม - ศโิ รตม์ วญั จน + อุบาย- วัญจโนบาย

ราช + อุปถัมภ์ - ราชูปถัมภ์ ราช + อทุ ิศ - ราชูทิศ

ภาร + อปุ กรณ์ - ภาโรปกรณ์ คณุ + อุปการ - คณุ ปู การ
ราชินี + อปุ ถัมภ์- ราชินปู ถมั ภ์
* ยกเว้นมัคค + อุเทศก์ – มัคคุเทศก์

ค. เปลยี่ นสระที่ท้ายคาหนา้ อิอีเปน็ ยอุอูเปน็ วเสยี ก่อนแล้วสนธิตามหลักขอ้ กและข

รติ + อารมณ์เปลย่ี นอิเปน็ ยเป็นรตยสนธิเปน็ รตยารมณ์,รตั ยารมณ์

มติ + อธิบาย - มตยาธิบาย สามคั คี + อาจารย์ - สามัคยาจารย์

อัคคี + โอภาส - อัคโยภาส รงั สี + โอภาส - รงั สโยภาส

อธิ + อาศยั - อัธยาศยั ราชินี + อนุสรณ์ - ราชนิ ยานสุ รณ์

* ยกเวน้ หัตถี + อาจารย์ – หตั ถาจารย์ศักดิ + อานภุ าพ – ศกั ดานภุ าพ

ธนู + อาคมเปล่ยี นอเู ป็นวเป็นธนวสนธเิ ป็นธันวาคม

เหตุ + อเนกรรถ - เหตวาเนกรรถ สนิ ธุ + อานนท์ - สินธวานนท์

จกั ขุ + อาพาธ - จกั ขวาพาธ จตุ + องั ค์ - จัตวางค์

2. พยัญชนะสนธิคือคาบาลีสันสกฤตทีน่ ามาสนธกิ ับพยัญชนะมีหลักดงั น้ี

ก. คาท่ีลงท้ายด้วยสสนธกิ ับพยัญชนะเปลี่ยนสเป็นโเชน่

มนสั + ธรรม – มโนธรรม มนสั + มัย – มโนมยั มนสั + กรรม - มโนกรรม

มนสั + คติ – มโนคติ ศริ ัส + เวฐน์ – ศิโรเวฐน์ รหัส + ฐาน - รโหฐาน

ข. อุปสรรคทุสุกนั นสิ ุสนธิกบั พยญั ชนะเปลี่ยนสเปน็ รเชน่

ทุส + ชน - ทรุ ชน, ทรชน ทุส + ราชย์ - ทุรราชย์, ทรราช ทสุ + ลักษณ์ - ทรุ ลักษณ์, ทรลักษณ์

ทุส + กนั ดาร - ทุรกันดารทสุ + โยชน์ – ทุรโยชน์ ทุส + ยศ - ทรุ ยศ, ทรยศ

ทสุ + พล - ทุรพล, ทรพลทุส + พษิ - ทุรพิษ, ทรพิษ ทุส + ยุค - ทรุ ยุค, ทรยุค

ทสุ + กรรม - ทุรกรรม, ทรกรรม นิส + คุณ - นริ คณุ , เนรคณุ นิส + ทุกข์ - นิรทุกข์

นิส + เทศ - นิรเทศ, เนรเทศ นสิ + อาศ - นิราศ นสิ + ภัย – นริ ภัย

นิส + โทษ - นิรโทษ นิส + กรรม - นิรกรรม

นฤคหิตสนธิคือคาบาลสี ันสกฤตที่นามาสนธิกับนฤคหติ มีหลักดังน้ี

ก. นฤคหิตสนธกิ บั สรเปล่ียน เป็นมกอ่ นสนธิตามหลกั สระสนธเิ ชน่

ส + อาคม – สมาคม ส + อิทธิ - สมทิ ธิ ส + อาทาน - สมาทาน

ส + ฤทธ์ิ - สัมฤทธิ์ ส + อาบตั ิ – สมาบตั ิ ส + อาโยค - สมาโยค

ส + อุจเฉท – สมจุ เฉท ส + อุฏฐาน - สมฏุ ฐาน ส + อุทยั - สมุทัย

ข. นฤคหติ สนธิกับพยัญชนะวรรคเปลี่ยน เปน็ พยัญชนะท้ายวรรคนันก่อนการสนธิ

สนธกิ ับวรรคกะเปลย่ี นเปน็ งเชน่

ส + กร–สงั กร ส + เกต–สังเกต ส + ขาร - สงั ขาร ส + คม - สังคม

ส + ขตะ–สงั ขตะ ส + คตี –สงั คีต ส + ฆาฏิ - สงั ฆาฏิ

สนธิกับวรรคจะเปล่ียนเป็นญเช่น

ส + จร - สญั จร ส + ชาติ – สัญชาติ ส + ญา – สัญญา ส + ญาณ - สญั ญาณ

สนธกิ ับวรรคฏะเปล่ียนเป็นณเชน่ ส + ฐาน - สัณฐานส + ฐิติ - สณั ฐิติ

สนธิกับวรรคตะเปล่ียนเป็นนเช่น

ส + ดาน - สนั ดาน ส + เทศ - สนั เทศ,สนเทศ ส + นิบาต - สันนบิ าต ส + นวิ าส -

สันนวิ าส

ส + โดษ - สันโดษ ส + ดาป - สันดาป

สนธิกับวรรคปะเปล่ยี นเปน็ มเชน่

ส + บัติ - สมบตั ิ ส + บรู ณ์–สมบูรณ์ ส + ปทา - สัมปทา ส + ปทาน - สัมปทาน

ส + ผสั –สมั ผสั ส + พล–สัมพล ส + พันธ์ - สัมพันธ์ ส + พงศ์ - สมพงศ์

ส +พทุ ธ–สัมพุทธ ส + เพช–สมเพชส + ภพ - สมภพ

ค. นฤคหิตสนธิกบั เศษวรรคเปล่ียนเปน็ งก่อนสนธิเชน่

ส + โยค–สงั โยค ส + วร–สงั วร ส + หรณ์ - สงั หรณ์ ส + วาส - สงั วาส

ส + เวค - สังเวค ส + สนทนา–สังสนทนา ส + สทิ ธิ - สังสทิ ธิ ส + หาร - สงั หาร

เร่อื งท่กี ารใช้สานวนสภุ าษิตคาพังเพย

การใช้สานวนสุภาษิตคาพังเพย
คนไทยนิยมใช้ภาษาถ้อยคาสานวนท่ีสละสลวยไพเราะเสนาะหูและสะดวกแก่การออกเสียงลักษณะนิสัยคนไทยเป็น
คนเจ้าบทเจ้ากลอนอยู่แล้วเวลาพูดหรือเขียนจึงนิยมใช้ถ้อยคาสานวนปนอยู่เสมอถ้อยคาสานวนต่างๆเหล่านี้ช่วยให้
การส่ือสารความหมายชัดเจนได้ความไพเราะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่ างๆได้ดีบางคร้ังใช้เป็นการสื่อสาร
ความหมายเพื่อเปรยี บเปรยได้อยา่ งคมคายลึกซ้งึ เหมาะสมกบั วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทยซ่งึ แสดงถงึ อัธยาศัยท่ี
ดตี ่อคนอ่ืนเปน็ พน้ื ฐาน
ประเภทของถอ้ ยคาสานวน

1. ถ้อยคาสานวนเปน็ สานวนคาท่เี กิดจากการผสมคาแลว้ เกิดเป็นคาใหมเ่ ชน่ คาผสมคาซ้อนหรอื คาทเี่ กิดจาก
การผสมคาหลายคาผสมกนั เปน็ ลกั ษณะสัมผสั คลอ้ งจองมีความหมายไมแ่ ปลตรงตามรปู ศัพท์แต่มคี วามหมายในเชิง
อปุ ไมยเช่น

ไก่อ่อน หมายถึงคนทยี่ ังไม่ชานาญในชั้นเชงิ
กง่ิ ทองใบหยก หมายถึงความเหมาะสมของคู่กันน้ันมีมาก
เกลือจม้ิ เกลือ หมายถงึ มคี วามดรุ า้ ยเขา้ หากันแก้เผ็ดกัน
แกว่งเท้าหาเสยี้ นหมายถึง การหาเร่อื งเดอื ดร้อน
ขิงกร็ าข่ากแ็ รง หมายถงึ ตา่ งฝ่ายก็ร้ายเข้าหากนั
แขวนนวม หมายถึงเลกิ การกระทาที่เคยทามากอ่ น
คว่าบาตร หมายถึงการบอกปฏิเสธไม่คบค้าสมาคมดว้ ย
คมในฝกั หมายถงึ มคี วามฉลาดรอบรแู้ ต่ยงั ไม่แสดงออกเม่ือไม่ถึงเวลา

งามหนา้ หมายถึง น่าขายหนา้

งกู ินหาง หมายถงึ เก่ียวโยงกันเป็นทอดๆ

จนตรอก หมายถงึ หมดหนทางทีจ่ ะหนไี ด้

จระเข้ขวางคลองหมายถึง คอยกีดกันไมใ่ ห้คนอ่ืนทาอะไรได้สะดวก

ชักหนา้ ไม่ถึงหลงั หมายถึง รายได้ไมพ่ อจบั จา่ ย

ชุบมือเปิบ หมายถึงฉวยผลประโยชน์จากแรงงานคนอื่น

หญา้ ปากคอก หมายถึงเรือ่ งงา่ ยๆคิดไมถ่ งึ

ตกหลุมพราง หมายถงึ เชอื่ ตามท่เี ขาหลอก

ตาข้าวสารกรอกหม้อหมายถึง การทาอะไรเฉพาะหนา้ คร้งั คราวพอให้เสรจ็ ไปเท่านั้น

ท้งิ ทวน หมายถงึ ทาดีท่สี ดุ เป็นครั้งสดุ ทา้ ย

นา้ ร้อนปลาเปน็ หมายถงึ การพดู หรือทาอย่างละมุนละม่อมนา้ เยน็ ปลาตายยอ่ มสาเร็จมากกว่าทา

รุนแรง

นา้ ทว่ มปาก หมายถงึ รู้อะไรแลว้ พดู ไม่ได้

บอ้ งตนื้ หมายถึงมีความคิดอย่างโงๆ่

ผกั ชโี รยหน้า หมายถงึ ทาดแี ต่เพียงผวิ เผิน

ผา้ ข้รี ิ้วหอ่ ทอง หมายถึงคนมั่งมีแต่ทาตัวซอมซ่อ

ใฝส่ งู เกินศักด์ิ หมายถงึ ทะเยอทะยานเกินฐานะ

ฝากผฝี ากไข้ หมายถงึ ขอยึดเปน็ ทพ่ี งึ่ จนตาย

พกหนิ ดีกว่าพกนุ่นหมายถึง ใจคอหนักแน่นดีกวา่ ใจเบา

พระอิฐพระปนู หมายถึง น่ิงเฉยไม่เดอื ดร้อน

มวยลม้ หมายถงึ ทาท่าจะเลกิ ลม้ ไมด่ าเนินการต่อไป

มืดแปดดา้ น หมายถึงมองไมเ่ หน็ ทางแก้ไขคิดไมอ่ อก

ย้อมแมวขาย หมายถงึ เอาของไม่ดมี าหลอกว่าเป็นของดี

โยนกลอง หมายถึงมอบความรบั ผิดชอบไปใหค้ นอน่ื

ลอยชายหมายถงึ ทาตวั ตามสบาย

ลอยแพ หมายถงึ ถูกไล่ออกปลดออกไม่เกย่ี วข้องกันตอ่ ไป

สาวไสใ้ หก้ ากินหมายถึง ขุดคยุ้ ความหลังสิง่ ไมด่ ีมาประจานกนั เอง

สกุ เอาเผากิน หมายถึงทาอย่างลวกๆใหเ้ สร็จไปครั้งหน่งึ ๆ

หอกข้างแคร่ หมายถึงอนั ตรายท่ีอย่ใู กล้ตวั

อดเปร้ยี วไวก้ ินหวานหมายถึง อดทนลาบากก่อนจงึ สบายภายหลัง

2. คาพงั เพยหมายถงึ ถอ้ ยคาทก่ี ลา่ วขึ้นมาลอยๆเปน็ กลางๆมคี วามหมายเปน็ คติสอนใจสามารถนาไปตีความแล้ว

นาไปใช้พดู หรือเขยี นใหเ้ หมาะสมกบั เรื่องทเ่ี ราตอ้ งการสอ่ื สารความหมายไดม้ ีลกั ษณะคล้ายคลงึ กับสุภาษิตมากอาจ

เปน็ คากล่าวตชิ มหรือแสดงความคดิ เหน็ เชน่

ราไมด่ โี ทษปโ่ี ทษกลอง หมายถึงคนทท่ี าอะไรผดิ แลว้ มักกล่าวโทษสงิ่ อน่ื

ขชี่ า้ งจบั ตั๊กแตนหมายถงึ การลงทนุ มากเพ่ือทางานที่ได้ผลเล็กนอ้ ย

ช้โี พรงให้กระรอกหมายถงึ การแนะนาให้คนอน่ื ทาในทางไม่ดี

เสยี น้อยเสียยากหมายถึงการไมร่ ู้วา่ ส่งิ ไหนจาเป็นหรือไม่จาเป็น

เสยี มากเสยี ง่ายใช้จา่ ยไมเ่ หมาะสม

คาพงั เพยเหลา่ น้ียงั ไมเ่ ป็นสุภาษติ ก็เพราะว่าการกลา่ วนน้ั ยังไมม่ ีขอ้ ยุติวา่ เปน็ หลกั ความจริงทแี่ น่นอนยังไม่ไดเ้ ป็นคา

สอนทีแ่ ทจ้ ริง

ตัวอย่างคาพงั เพย

คาพังเพย ความหมาย

กระเชอกน้ รว่ั เป็นคนสรุ ุ่ยสุร่าย

กล้านกั มักบิ่น คนทอ่ี วดเก่งกลา้ จนเกินไปจนอับจนสกั วนั

ขี่ชา้ งจบั ตั๊กแตน ลงทนุ ไม่คมุ้ กบั ผลที่ได้

ทาบญุ เอาหน้าภาวนากนั ตาย ทาอะไรเพื่อเอาหน้าไม่ทาดว้ ยใจจรงิ

หกั ด้ามพรา้ ด้วยเขา่ ทาอะไรโดยพลการ

ราไมด่ ีโทษปโี่ ทษกลอง ทาไม่ดีแต่โทษผู้อนื่

นายพงึ่ บา่ วเจา้ พึง่ ขา้ ทุกคนต้องพง่ึ พาอาศยั กนั

ชาดไมด่ ที าสีไม่แดง สันดานคนไม่ดีแก้อยา่ งไรก็ไม่ดี

ไมง้ ามกระรอกเจาะ หญิงสวยทม่ี มี ลทนิ

มอื ไมพ่ ายเอาเท้าราน้า ไมช่ ่วยแล้วยังกีดขวาง

ฟื้นฝอยหาตะเข็บ ฟน้ื เร่อื งเก่ามาเลา่ อีก

หงุ ข้าวประชดหมาปิง้ ปลาประชดแมว แกลง้ ทาแดกดนั โดยอกี ฝ่ายหน่ึงไม่เดือดร้อน

ตวั อยา่ งการนาคาพงั เพยไปใช้ในความหมายเปรียบเทยี บ
เมอ่ื ก่อนนี้ดูไม่ค่อยสวยเดยี๋ วนแ้ี ตง่ ตวั สวยมากน่ีแหละไก่งามเพราะขนคนงานเพราะแตง่
เจ้ามนั ฐานะตา่ ต้อยจะไปรักลกู สาวคนรวยไดย้ งั ไงตกั นา้ ใสก่ ะโหลกชะโงกดูเงาตนเองเสียบ้าง
เราอย่าไปทาอะไรแข่งกบั เขาเลยเขากบั เราไมเ่ หมือนกนั อย่าเหน็ ช้างขข้ี ้ตี ามชา้ ง
แหม...ฉนั วา่ ฉันหนีจากเพ่อื นเก่าทเี่ ลวแล้วมาเจอเพ่ือนใหม่กพ็ อๆกนั มนั เข้าตาราหนเี สอื ปะจระเข้

เขาชอบถ่วงความเจรญิ ของหมูค่ ณะอย่เู รื่อยแถมยังขัดขวางคนอ่นื อกี น่ีแหละคนมือไม่พายเอาเท้าราน้า

3. อุปมาอุปไมยหมายถึงถ้อยคาที่เป็นสานวนพวกหน่ึงกล่าวทานองเปรียบเทียบให้เห็นจริงเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนและ

สละสลวยน่าฟังมากข้ึนการพูดหรือการเขียนนิยมหาคาอุปมาอุปไมยมาเติมให้ได้ความชัดเจนเกิดภาพพจน์เข้าใจง่าย

เชน่ คนดหุ ากต้องการให้ความหมายชัดเจนน่าฟงั และเกิดภาพพจนช์ ัดเจนกต็ ้องอุปมาอุปไมยวา่ “ดุเหมือนเสอื ” ขรขุ ระ

มากการส่ือความยังไม่ชัดเจนไม่เห็นภาพต้องอุปมาอุปไมยว่า“ขรุขระเหมือนผิวมะกรูด” หรือ“ขรุขระเหมือนผิว

พระจนั ทร”์ กจ็ ะทาให้เข้าใจความหมายในรูปธรรมชดั เจนมากยง่ิ ขน้ึ

ในการเขียนบทร้อยแก้วหรือแก้วกรองก็ตามเราไม่อาจเขียนให้ละเอียดลึกซ้ึงเพ่ือส่ือความได้แจ่มแจ้งเท่ากับ

การพูดบรรยายด้วยตนเองได้ก็จาเป็นต้องใช้อุปมาเพ่ือเปรียบเทียบให้ผู้รับสารจากเราได้รับรู้ความจริงความรู้สึกโดย

การใช้คาอุปมาเปรียบเทยี บในการแต่งคาประพันธ์ก็นิยมใช้อปุ มากนั มากเพราะคาอุปมาอุปไมยจะช่วยตกแต่งถ้อยคา

สานวนการเขยี นใหไ้ พเราะนา่ อ่านกินใจประทบั ใจมากขึน้ สงั เกตการใชอ้ ปุ มาอปุ ไมยเปรียบเทียบในตัวอย่างต่อไปน้ี

ท่านจะไปทัพคร้ังน้ีอยา่ เพิง่ ประมาทดูแคลนเล่าป่ีดว้ ยเล่าป่ีได้ขงเบง้ มาไว้เป็น

ทีป่ รกึ ษาอุปมาเหมือนเสืออนั คะนองอยู่ในป่าใหญ่ทา่ นเรง่ ระวังตวั จงดี

ตวั อยา่ งอุปมาที่ควรรู้จัก

แขง็ เหมือนเพชร กรอบเหมือนข้าวเกรียบ

กลมเหมือนมะนาว กลัวเหมอื นหนกู ลัวแมว

กนิ เหมอื นหมู คดเคย้ี วเหมือนเขาวงกต

แกม้ แดงเหมือนตาลงึ สกุ งา่ ยเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

ขมเหมือนบอระเพด็ โงเ่ หมอื นควาย

ขาวเหมอื นสาลี ใจเสาะเหมือนปอกกลว้ ยเขา้ ปาก

เขยี วเหมอื นพระอินทร์ เบาเหมือนปุยนนุ่

งงเปน็ ไกต่ าแตก พูดไม่ออกเหมอื นนา้ ทว่ มปาก

เงยี บเหมอื นป่าชา้ รกเหมอื นรังหนู

ใจกวา้ งเหมือนแมน่ ้า ยากเหมือนงมเขม็ ในมหาสมุทร

ใจดาเป็นอีกา ลมื ตัวเหมอื นวัวลืมตนี

ซนเหมอื นลิง ชา้ เหมือนเต่า

เดนิ เหมอื นเปด็ ซดี เหมอื นไกต่ ้ม

ตาดาเหมอื นนิล ดาเหมือนตอตะโก

บริสุทธิ์เหมือนหยาดนา้ คา้ ง ตาโตเทา่ ไข่ห่าน

เรว็ เหมอื นจรวด ไวเหมอื นปรอท

เรียบร้อยเหมือนผา้ พบั ไว้ หนกั เหมือนเดมิ

เอะอะเหมือนเจ๊กตนื่ ไฟ อดเหมือนกา

ผอมเหมือนเปรต สงู เหมอื นเสาโทรเลข

มืดเหมอื นลืมตาในกระบอกไม้ ใสเหมือนตาต๊ักแตน

หวานเหมือนนา้ ออ้ ย สวยเหมือนนางฟ้า

เปร้ียวเหมือนมะนาว อ้วนเหมอื นตุ่ม

หวงเหมือนหมาหวงก้าง เหนยี วเหมอื นตงั เม

หนา้ ขาวเหมอื นไขป่ อก หน้าสวยเหมือนพระจันทรว์ นั เพญ็

เร่อื งการแต่งคาประพันธ์ประเภทรอ้ ยกรอง
วชิ าภาษาไทย (พท21001) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น

การเขียนร้อยกรอง
ร้อยกรอง เป็นข้อความที่ประดิดประดอย ตกแตง่ ถอ้ ยคาภาษาอย่างมีแบบแผนและมเี งื่อนไขพเิ ศษบงั คบั

ไว้ เช่นบังคบั จานวนคา บังคับวรรคตอน บังคับสมั ผสั เรยี กว่า “ฉันทลกั ษณ์” มีความไพเราะและมีความหมายลึกซึ้ง
ประทบั ใจผู้อ่านผู้ฟัง จัดเป็นงานเขยี นเชงิ สร้างสรรค์

คาประพันธ์หรือร้อยกรอง มหี ลายประเภทเชน่ โคลง กลอน กาพย์ ฉันท์และรา่ ย

ลักษณะของร้อยกรอง
ร้อยกรองมีลกั ษณะสาคัญดังต่อไปนี้

1. มีกาหนดคณะ คอื จานวนคา มีเสียงสูง- ตา่ เสยี งหนกั – เบา เสยี งสมั ผัสที่กาหนดไวแ้ น่นอนยงั มี
กแี่ บ่งหน่วยของรอ้ ยกรองเป็นคา วรรค บาทและบท

2. มีเสียงสัมผัส ซ่ึงทาให้เกดิ เสนาะเป็นจดุ เนน้ สาคัญของร้อยกรอง รอ้ ยกรองเหมาะสมทจี่ ะเสนอเนอ้ื
เรื่องทเ่ี ก่ยี วกบั อารมณจ์ นิ ตนาการของมนษุ ย์

แนวการเขยี นบทรอ้ ยกรอง
แนวทางการเขยี นบทร้อยกรอง มดี ังน้ี

1. ศึกษาฉันทลกั ษณ์ของคาประพันธน์ ้นั ๆ ให้เขา้ ใจอย่างแจม่ แจ้ง
2. คิดหรือจินตนาการว่าจะเขียนเรือ่ งอะไร สรา้ งภาพใหเ้ กิดข้ึนในห้วงความคิด
3. ลาดบั ภาพหรอื ลาดับขอ้ ความให้เป็นไปอย่างสมเหตสุ มผล
4. ถ่ายทอดความรสู กึ หรือจนิ ตนาการนน้ั เปน็ บทร้อยกรอง
5. เลอื กใช้คาท่สี ่ือความหมายได้อย่างชัดเจน ทาใหผ้ ู้อ่านเกดิ ภาพพจน์และจนิ ตนาการร่วมกับผปู้ ระพนั ธ์
6. พยายามเลือกใช้คาท่ีไพเราะและโวหารภาพพจน์
7. แต่งให้ถูกตอ้ งตามฉนั ทลักษณ์ของคาประพนั ธ์
8. ฝึกนสิ ยั ใหเ้ ปน็ ผู้รกั การอา่ น
องค์ประกอบของร้อยกรอง
องคป์ ระกอบของร้อยกรองของไทยโดยทั่ว ๆ ไป ท้ังร้อยกรองแบบเก่าและรอ้ ยกรองปจั จุบนั (ยกเวน้ กลอนเปล่า อาจไม่
เครง่ ครัดทางด้านองคป์ ระกอบบางประเภท เช่น ฉันทลกั ษณ์ เป็นต้น) กย็ ังคงใช้อยู่ ซ่ึง มอี งคป์ ระกอบสาคญั
ดงั ต่อไปนี้ คือ

1) ฉันลักษณ์หรอื ลกั ษณะบังคับ โดยทว่ั ไป มี 9 ชนิด ดังนี้
1.1) คณะ หมายถงึ การจดั หมวดหมู่ของคาประพนั ธร์ ้อยกรองทุกประเภท วา่ บทหนงึ่ จะประกอบด้วย
บท วรรค ตอน หรือคาอย่างไร เชน่ กาพยย์ านี 11 กาหนดคณะไว้ว่า 1 บท จะมี 2 บาท แตล่ ะบาทจะประกอบดว้ ย 2
วรรค วรรคแรกจะต้องมี 5 คา วรรคหลัง 6 คา ดังนีเ้ ปน็ ต้น
1.2) สมั ผสั หมายถึง ความคลอ้ งจองตามกฎเกณฑท์ ีบ่ ังคับไวใ้ นคาประพันธ์ แบ่งออกเป็น 4 ชนดิ ไดแ้ ก่

1.2.1) สมั ผสั สระ คือ สระพ้องกันตามมาตราแมเ้ สยี งวรรณยกุ ต์จะตา่ งกันก็ตาม เช่น
ใคร-ไป-นัยน์-ใหม-่ ใกล้ เปน็ ต้น

1.2.2) สัมผสั อักษร คือ ใช้เสยี งตัวอักษรพ้องกัน ไมก่ าหนดเสียงสระ หรือเสียงวรรณยุกต์สูงตา่
เชน่
เขา-ขัน, คู-คา่ เปน็ ต้น

1.2.3) สัมผสั นอก คือ สมั ผสั ทสี่ ง่ และรบั สมั ผสั กันนอกวรรคออกไป คอื สง่ จากคาสุดท้ายของวรรค
หน้าไปยังคาใดคาหน่ึงในวรรคตอ่ ๆ ไป สมั ผสั นอกนี้เปน็ สัมผสั บงั คบั ในร้อยกรองทุกประเภทจะไมม่ ีไม่ได้ และกาหนดให้
ใชแ้ ต่ สมั ผสั สระเทา่ นนั้

1.2.4) สมั ผสั ใน คือ สัมผัสทีส่ ง่ และรับภายในวรรคเดยี วกัน ไมเ่ ป็นสัมผัสบงั คบั และจะใช้สมั ผัส
สระหรอื พยัญชนะก็ได้แลว้ แต่ความเหมาะสม

1.3) คาครุ คาลหุ คอื คาทบี่ ังคบั ใช้ในการแตง่ ฉนั ท์ ซ่ึงมีบังคับแจกแจงต่างกนั ออกไป โดยใชเ้ ครื่องหมาย
เปน็ เครือ่ งบอกคือ คาครุ ใชเ้ ครือ่ งหมาย ั แทน และคาลหุ ใช้เครอื่ งหมาย ุ แทน

1.4) คาเอก คาโท คอื คาทบี่ ังคับใช้ในการแตง่ โคลงและร่าย คาเอก ได้แก่ คาหรือพยางค์ทมี่ ีรูป
วรรณยกุ ต์เอก และคาตายทั้งหมดไม่ว่าจะเปน็ เสยี งวรรณยุกต์ใด ๆ สว่ นคาโท ได้แก่ คาหรอื พยางค์ทมี่ ีรูปวรรณยกุ ตโ์ ท

1.5) คาเป็น คาตาย คือ คาที่ใชก้ ารแต่งโคลง รา่ ย และรอ้ ยกรอง ที่เป็นกลบท เชน่ กลอนกลบทท่ีมีคา
ตายลว้ น เปน็ ต้น คาเปน็ ได้แก่ คาทีป่ ระกอบด้วยสระเสยี งยาวในแม่ ก.กา และคาทีม่ ีตัวสะกดในแม่ กง กน กม เกย
เกอว รวมทั้งคาท่ีประกอบด้วยสระ อา ไอ ใอ เอา สว่ นคาตาย ได้แก่คาท่ีประกอบดว้ ยสระเสียงสั้นในแม่ ก.กา (ยกเวน้
สระ อา ไอ ใอ เอา) และตวั สะกดในแม่ กก กด กบ

1.6) เสียงวรรณยุกต์ คือข้อกาหนดท่ีบังคบั ใช้ในการแต่งกลอนโดยถือเรื่องเสียงวรรณยกุ ต์ เปน็ สาคญั ได้แก่
เสยี งสามัญ, เอก, โท, ตรี และ จัตวา เป็นตน้

1.7) พยางค์ คือ เสียงท่ีเปล่งออกมาครง้ั หนึ่ง ๆ ไมว่ ่าจะสน้ั ยาวอย่างไร จะมคี วามหมายหรือไมม่ ีความหมาย
ก็ตาม ในการแต่งร้อยกรองจะถือวา่ พยางค์กค็ ือคานัน่ เอง

1.8) คาขึ้นต้นและคาลงท้าย คอื คาท่ีใช้กลา่ วขน้ึ ต้น หรือ คาที่ใช้ลงท้ายวรรค ทา้ ยบาท ท้ายบท ซง่ึ อาจจะ
ใชเ้ ปน็ คาเดยี ว หลายคา หรอื วลีก็ได้ เช่น คาว่า "สกั วา" "เมอ่ื นัน้ , บัดนั้น" "คนเอ๋ยคนด"ี หรือลงท้ายว่า "เอย" เป็นต้น

1.9) คาสรอ้ ย คอื คาท่ีใช้ลงทา้ ยวรรค ท้ายบาท หรือทา้ ยบทเพ่ือความไพเพราะ หรอื เพอ่ื ให้ครบจานวนคา
ตามลักษณะบังคบั บางแห่งก็ใช้เป็นคาถามหรือใช้ย้าความ คาสร้อยน้มี ักจะใชเ้ ฉพาะโคลงกบั รา่ ย และมักจะเป็นคาเป็น
เชน่ พ่อ แม่ พ่ี เทอญ นา ฤา แล ฮา แฮ เปน็ ตน้

2) เนือ้ หาและแนวความคิด
บทรอ้ ยกรองปัจจบุ นั จะเสนอเนอ้ื หา หรอื แนวความคิดเดยี วในร้อยกรองเร่ืองหนง่ึ ๆ เช่น ความรัก ธรรมชาติ อารมณ์
ความคดิ ฝนั หรือสิ่งประทับใจของผูป้ ระพันธ์ สังคม เปน็ ตน้ เพื่อท่ีจะสื่อสารกบั ผ้อู า่ น อาจเปน็ ความคิดหรือเนอ้ื หาอย่าง
ตรงไปตรงมา หรือความคดิ ท่ีแยบคาย ซอ่ นเรน้ แปลกใหม่ ตามความสามารถของผู้ประพันธ์

3) แนวการเขียนบทร้อยกรองมีดังนี้
1. ศึกษาฉันทลักษณ์ของคาประพนั ธ์นั้น ๆ ใหเ้ ขา้ ใจอย่างแจม่ แจง้
2. คิดหรอื จนิ ตนาการวา่ จะเขียนเร่อื งอะไร สรา้ งภาพให้เกิดขึน้ ในห้วงความคิด
3. ลาดบั ภาพหรอื ลาดบั ข้อความใหเ้ ป็นไปอย่างสมเหตุสมผล
4. ถา่ ยทอดความรสู้ กึ หรือจนิ ตนาการน้ันเป็นบทร้อยกรอง
5. เลอื กใช้คาทส่ี อ่ื ความหมายไดช้ ัดเจน ทาให้ผูอ้ ่านเกิดภาพพจนแ์ ละจนิ ตนาการรว่ มกบั ผปู้ ระพนั ธ์
6. พยายามเลือกใชค้ าที่ไพเราะ เชน่ คิด ใช้วา่ ถวิล เร่อื ง ใช้คาวา่ ระบิล
7. แตง่ ใหถ้ ูกต้องตามฉนั ทลักษณข์ องคาประพันธ์

ประเภทของรอ้ ยกรอง
คาประพันธ์ที่อยูใ่ นตาราฉันทลักษณ์ยังมีอีกมาก จาแนกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คอื

1. กาพย์ แบ่งเปน็ กาพยย์ านี กาพยฉ์ บัง กาพย์สรุ างคนางค์ กาพย์ขบั ไม้
2. กลอน แบง่ เป็น กลอนแปดและกลอนหก ซ่งึ จดั เป็นกลอนสุภาพ และยงั มรี ูปแบบอน่ื ๆ ได้อีก คือ
ดอกสร้อย สักวา เพลงยาว เสภา นริ าศ กลอนบทละคร กลอนเพลงพนื้ เมืองและกลอนกลบทต่าง ๆ

3. โคลง แบ่งเป็น โคลงสอง โคลงสาม โคลงสี่ ซึง่ อาจแต่งเปน็ โคลงสุภาพหรือโคลงด้นั ก็ได้ นอกจากเปน็
โคลงธรรมดาแล้ว ยังแตง่ เปน็ โคลงกระทู้ และโคลงกลอกั ษรไดอ้ ีกหลายแบบ

4. ฉันท์ แบง่ เป็นหลายชนิด เ ชน่ วชิ ชมุ มาลาฉนั ท์ มาณวกฉันท์ อินทรวิเชียรฉนั ท์ ภุชงคป์ ระยาต
ฉนั ท์ อที สิ งั ฉันท์ วสนั ตดลิ กฉันท์ สาลินฉี นั ท์ ฯลฯ ลว้ นแต่มี ช่ือไพเราะ ๆ ทั้งนน้ั

5. รา่ ย แบ่งเปน็ ร่ายสน้ั และรา่ ยยาว ร่ายส้ันนั้นมีทัง้ ร่ายสุภาพและรา่ ยดั้น
การแต่งร้อยกรองให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของฉันทลักษณเ์ ปน็ ที่นิยมมาตั้งแตส่ มัยโบราณจนถึงปัจจุบัน แต่ในปัจจบุ นั นี้มี
การแตง่ ร้อยกรองแนวใหม่ ๆ เกิดขน้ึ ผูป้ ระพนั ธ์พอใจที่จะแต่งอย่างอสิ ระ ไมต่ ้องมีกฎเกณฑต์ ายตวั เช่น เขียนรอ้ ยกรอง
ปลอดสมั ผัส คือไมต่ ้องมสี ัมผัสบังคบั ตามแบบ ร้อยกรอง วรรณรปู คอื เรียบเรยี งถ้อยคาเป็นรปู ลกั ษณ์ต่าง ๆ ตามความ
พอใจของผปู้ ระพันธ์ และร้อยกรองทผ่ี ู้ประพนั ธค์ ดิ รูปแบบข้ึนใหม่
จุดมุง่ หมายของร้อยกรอง

1. เพือ่ อธบิ าย เป็นการอธิบายแจกแจง อธิบายวธิ ีใช้ วิธที าใหผ้ ู้อ่านเขา้ ใจ
2. เพ่อื เล่าเร่ือง เปน็ การนาเอาเหตุการณ์หรอื เร่อื งราวทเ่ี ปน็ ลาดบั อยูแ่ ล้ว มาถ่ายทอดเป็นงานเขียน
3. เพื่อโฆษณาจงู ใจ การเขียนประเภทนตี้ อ้ งใช้ภาษาท่นี า่ สนใจ มีความสละสลวย มแี ง่คิด สะดดุ ใจ
และไมเ่ ป็นการทับถมผู้อ่ืน
4. เพ่อื ปลุกใจ เปน็ การเขยี นเพ่ือใหผ้ อู้ ่านเกิดความร้สู ึกเปน็ อันหน่งึ อันเดียวกัน เกิดความรู้สึกอึกเหิม
เขม้ แข็ง
5. เพอ่ื สร้างจิตนาการ เป็นการเขียนเพื่อต้องกการให้ผู้อ่านเหน็ ภาพ เกิดจินตนาการตามทีก่ ล่าวถึง หรือ
เกิดความร้สู กึ คล้อยตามกบั ผ้เู ขยี น
6. เพื่อล้อเลียนเสยี ดสี เป็นการเขยี นเพ่ือต้องการตาหนิสิ่งใดส่ิงหนงึ่ แต่ใชว้ ิธีตาหนิแบบทีเล่นทจี รงิ ไม่
รุนแรง และมีการแทรกอารมณ์ขันไวด้ ้วย
7. เพอ่ื แสดงความคิดเห็น เป็นการวิเคราะห์ วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ หรือแนะนาการเขยี นดังกลา่ วนต้ี ้อง
คานึงถึงขอ้ เทจ็ จริง มหี ลกั เกณฑ์
8. เพื่อบอกให้ทราบขอ้ เท็จจรงิ

ประโยชน์ของรอ้ ยกรอง
ประโยชน์ของบทร้อยกรองมีมากมายแล้วแตว่ า่ ผู้อ่านแต่ละคนนนั้ จะพจิ ารณาจากแงม่ มุ ใดของ

บทประพันธน์ ัน้ ๆ คือ
1. เนอ้ื หา เนื้อหาในบทรอ้ ยกรองนั้นมหี ลากหลาย ในการพจิ ารณาระดบั ง่ายทีส่ ุด คือ ดูว่าเร่ืองน้นั เปน็ ไป

ในทานองใด สร้างสรรค์ ยกระดับจิตใจผ้อู ่านใหส้ ูงขึน้ สะท้อนสังคม แสดงแงค่ ิด ปรชั ญาตา่ ง ๆ ทาให้รู้จกั ชวี ิตและโลก
กวา้ งขึน้ รวู้ ธิ ีในการอยูร่ ว่ มกบั มนุษย์ในสงั คมได้อย่างมีความสุข หรอื เป็นเรอ่ื งมอมเมาชักจูงจติ ใจของผู้อา่ นให้ตา่ ลง ดังน้ัน
เมือ่ อ่านแล้วควรตอบตัวเองใหไ้ ดว้ ่า ร้สู ึกอย่างไรต่อเนอื้ หาในบทร้อยกรองเรื่องน้ัน ๆ มีคุณคา่ ให้ประโยชน์ ความรู้
ความคดิ หรือให้ความเพลดิ เพลนิ นอกจากน้ีจะตอ้ งอาศยั ความรู้จากการวิจารณส์ ารคดีและบันเทงิ คดที ่กี ล่าวมาแล้วเป็น
แนวทางประกอบ ถ้าเปน็ เรอื่ งเล่า ก็ดาเนินการวจิ ารณเ์ หมือนประเภทบนั เทงิ คดดี ังกลา่ วมาแลว้ ในบทก่อน ถ้าเป็นร้อย
กรองประเภททแี่ สดงแนวคดิ กใ็ ช้วธิ ีการเดียวกนั กับการวจิ ารณ์บทความประเภทแสดงความคิดเหน็ เข้ามาประกอบด้วย

2. ความคิดของผปู้ ระพนั ธ์ บทรอ้ ยกรอง โดยเฉพาะอย่างย่งิ บทร้อยกรองร่วมสมัยหรอื บทร้อยกรอง
ปัจจุบัน ผูแ้ ต่งจะแสดงทรรศนะแฝงไว้ ในปัจจุบันนยิ มกันว่ารอ้ ยกรองทีด่ ีควรเสนอความคดิ ที่ดีใหแ้ ก่ผอู้ า่ นด้วยผู้ทวี่ ิจารณ์
วรรณกรรมร้อยกรองจึงต้องอาศัยความชานาญในการอา่ นแบบตา่ ง ๆเช่น การอา่ นตีความเพ่อื พนิ ิจวา่ บทร้อยกรองน้นั ให้
ทรรศนะในเร่ืองใดและทรรศนะนัน้ มีวา่ อย่างไร เพอื่ ให้ผูอ้ ่านได้เห็นทรรศนะอย่างชดั เจนแต่ไม่จาเปน็ ต้องแสดงความเหน็
ของตนว่า ทรรศนะของกวนี นั้ ถูกต้องหรือไม่

3. ศลิ ปะการประพันธ์ ภาษาท่ีใชใ้ นวรรณกรรมร้อยกรองน้ันมกั จะเปน็
ภาษาทไ่ี พเราะ สามารถโนม้ น้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้อา่ นทาใหเ้ กิดจนิ ตนาการและมโนภาพ ผปู้ ระพนั ธจ์ ะต้อง
เลอื กกรองถอ้ ยคาหรือสานวนโวหารมาร้อยเข้าด้วยกนั เพื่อให้เกดิ ความงาม เพราะนอกจากบทร้อยกรองจะมเี น้อื หาสาระ
และความคิดทีด่ ีแลว้ ยงั ต้องมีศลิ ปะการประพนั ธ์ หรือวรรณศลิ ป์ หรอื เรียกวา่ แง่งามของบทรอ้ ยกรองอกี ด้วยซ่ึงพจิ ารณา
จากส่ิงตอ่ ไปนี้

3.1 เสยี งเสนาะ การแต่งบทร้อยกรองไมไ่ ดม้ ุ่งหมายความไพเราะ
เท่าน้ัน ยงั ตอ้ งนึกถึงความไพเราะแกผ่ ู้ฟงั น้นั คือต้องมเี สยี งสัมผสั ทง้ั สระและตัวอักษร เสยี งวรรณยกุ ต์ มกี ารเลยี นแบบ
เสียงธรรมชาติ เปน็ ต้น

3.1.1 การใช้สมั ผัส
รอนรอน สรุ ยิ ะโอ้ อสั ดง
เรอื่ ยเรอ่ื ย ลับเมรลุ ง คา่ แล้ว
รอนรอน จิตจานง นุชพี่ เพยี งแม่
เรื่อยเร่อื ย เรียมคอยแกว้ คลับคล้ายเรยี มเหลยี ว
( กาพยเ์ ห่เรือ : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ )

คาประพันธ์นอกจากไพเราะดว้ ยเสียงสมั ผสั บังคบั แล้วยังเพ่ิมความไพเราะดว้ ยเสยี งสัมผัสในได้แก่ คาว่า
โอ้-อัส, ลง-แล้ว, นง-นุช และเลน่ คาวา่ รอนรอน-เรือ่ ยเรื่อย ซง่ึ เปน็ คาสัมผสั “ ร ” ท้งั หมด นอกจากน้จี ะไดเ้ สยี งสัมผสั
และยงั แสดงความร้สู กึ โศกเศรา้ ไดอ้ ย่างชัดเจน คาวา่ รอนรอน ทาให้เหน็ ภาพดวงอาทติ ย์กาลงั จะตกเหมือนหัวใจทรี่ อน
รอน เร่ือยเร่ือย แสดงอาการดวงอาทติ ย์กาลังจะลับลงช้า ๆ เช่นเดยี วกับการรอคอยท่ียาวนาน

3.1.2 การเลน่ สมั ผสั
“…พลางพระดูดงเฌอ พศิ พุ่มเสมอเหมือนฉัตร เป็นขนัดเนืองนนั ต์ หลายเหล่าพรรณพฤกษา มนี านาไม้แมก หมู่ตระแบก
กระบาก มากรวกโรกรกั รงั รง ปรกิ ปริงปรงปรางปรู ลาแพนลาพูลาพนั …”
( ลลิ ติ ตะเลงพ่าย : สมเดจ็ พระมหาสมรเจา้ กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส )

คาประพนั ธข์ า้ งต้นน้แี สดงใหเ้ หน็ การเล่นสมั ผสั พยัญชนะในแต่ละวรรคมีคาที่เสียงคลอ้ งจองทาใหเ้ กดิ เสียง
ทกี่ ลมกลืนกนั เชน่ พลาง-พระพิศ-พุม่ ,เนือง-นันต์,พรรณ-พฤกษา,สมอ-สมี-แสม,มว่ ง-โมก,ซาก-ซกึ , โศก-สน-สัก รวก-
โรก-รัก-รัง-รง, ปริก-ปรงิ -ปรง-ปราง-ปรู,แพน-พ-ู พัน เป็นต้น

3.1.2 การเล่นคา
แกว้ เกาะกิง่ แกว้ ก่อง กานน
เสียงพดู ภาษาคน คล่องแจ้ว
โผผินโบกบนิ บน ไปบอก หน่อยรา
ขา่ วสง่ ตรงสูแ่ กว้ เนตรผุ้ดูถวลิ
( สามกรุง : น.ม.ส. )

จากคาประพนั ธ์ข้างตน้ เลน่ คาวา่ “แก้ว” คาวา่ แก้วในคาแรกหมายถงึ นกแกว้ แก้วในคาท่ีสองเป็นชอื่
ต้นไม่ และแก้วในคาสดุ ท้ายหมายถึงนางอันเปน็ ที่รักดังดวงตา
รปู แบบของร้อยกรอง

กาพย์ คอื คาประพันธช์ นดิ หนง่ึ ซึง่ มีกาหนดคณะ พยางค์ และสัมผัส มีลักษณะคล้ายกับฉนั ท์ แต่ไม่
นิยม ครุ ลหุ เหมอื นกบั ฉันท์ กาพย์ แปลตามรูปศัพทว์ า่ เหลา่ กอแห่งกวี หรอื ประกอบด้วย คณุ แหง่ กวี หรือ คาทกี่ วี ได้
รอ้ ยกรองไว้

กาพยม์ าจากคาวา่ กาวฺย หรือ กาพยฺ และคา กาวยฺ หรือ กาพฺย มาจากคา กวี กวีออกมาจากคาเดิม
ในภาษาบาลี และสนั สกฤต กวิ แปลวา่ ผู้คงแก่เรยี น ผู้เฉลียวฉลาด ผมู้ ีปญั ญาเปรือ่ งปราด ผ้ปู ระพันธก์ าพย์กลอน และ
แปลอยา่ งอืน่ ได้อกี คา กวิ หรอื กวี มาจากรากศัพท์เดิม คือ กุธาตุ แปลว่า เสียง ว่าทาใหเ้ กดิ เสยี ง วา่ รอ้ ง ว่าร้องระงม
ว่าคราง วา่ ร้องเหมือนเสยี งนก หรือเสียงแมลงผ้งึ กาพย์ ตามความหมายเดิม มีความหมายกวา้ งกว่าที่เข้าใจกนั ใน

ภาษาไทย คือ บรรดาบทนิพนธ์ ที่กวีได้ รอ้ ยกรองข้ึน ไมว่ ่าจะเปน็ โคลง ฉันท์ กาพย์ หรอื รา่ ย นบั ว่าเป็นกาพย์ ทั้งน้ัน

แตไ่ ทยเรา หมายความ แคบ หรอื หมายความถงึ คาประพนั ธช์ นดิ หน่ึง ของกวเี ทา่ น้ัน กาพยม์ ลี กั ษณะผดิ กบั กลอน
ธรรมดา คือ

1. วางคณะ พยางค์ และสมั ผัสคล้ายกบั ฉันท์

2. ใช้แตง่ ปนกับฉันท์ได้ และคงเรยี กวา่ "คาฉันท"์ เหมือนกัน
กาพย์ท่นี ิยมใชอ้ ยู่ในภาษาไทย มี 5 ชนิด คือ

1. กาพย์ยานี 2. กาพย์ฉบัง 3. กาพย์สุรางคนางค์ 4. กาพย์ห่อโคลง 5. กาพยข์ บั ไม้หอ่ โคลง

กาพย์ ๓ ชนิดข้างตน้ ใช้เทียบเคียง แต่งปนไปกบั ฉนั ท์ได้ และเพราะเหตทุ ี่ มีลักษณะคลา้ ยกบั ฉันท์ และแตง่ ปนไป
กับฉันท์ได้ จงึ เรียกว่า คาฉันท์ด้วย
คณะ กาพย์ยานี 11 มีดังนี้

1. บทหนงึ่ มี 2 บาท บาทท่ี 1 เรยี กว่า บาทเอก บาทท่ี 2 เรยี กวา่ บาทโท
2. บาทหน่ึงมี 2 วรรค หนึ่งบทมี 4 วรรค

วรรคแรก เรยี กว่า วรรคสดับ วรรค 2 เรยี กว่า วรรครบั

วรรค 3 เรยี กว่า วรรครอง วรรค 4 เรยี กว่า วรรคสง่

พยางค์
พยางค์หรอื คา วรรคแรกมี 5 คา วรรคหลงั มี 6 คา รวมเปน็ 11 คาจึงเรยี กวา่ “ กาพยย์ านี

11” ท้งั บาทเอกและบาทโทมจี านวนคาเหมือนกัน

สัมผัส
1. คาสดุ ท้ายของวรรคที่ 1 สัมผสั กับคาที่ 1 , 2 และคาที่ 3 ของวรรคที่ 2
2. คาสุดท้ายของวรรคท่ี 2 สัมผัสกบั คาสดุ ทา้ ยของวรรคที่ 3

3. คาสดุ ทา้ ยของวรรคท่ี 4 สมั ผสั กับคาสุดทา้ ยของวรรคที่ 2 ของบทตอ่ ไป (สมั ผสั ระหว่างบท)

การอ่านกาพยย์ านี 11
การอ่านกาพย์ยานี 11 จะตอ้ งแบง่ จงั หวะการอ่านคาในแตล่ ะวรรคดังนี้ วรรคแรกมี 5 คา

วรรคหลังมี 6 คา การอา่ นจงึ เว้นเปน็ จังหวะตามวรรคคอื วรรคหน้าเวน้ จงั หวะ 2/3 คา
ส่วนวรรคหลังเว้นจังหวะ 3/3 คา

00 / 000 000 / 000
00 / 000 000 / 000
ขนึ กก / ตกทกุ ข์ยาก แสนลาบาก / จากเวียงไชย
มนั เผอื ก / เลือกเผาไฟ กินผลไม้ / ได้เปน็ แรง

ที่มา : กาพย์เร่ืองพระไชยสรุ ิยา

ข้อบังคับของโคลงสสี่ ภุ าพ (สังเกตจากแผนผัง)
1. บทหน่ึงมี 4 บรรทดั
2. วรรคหนา้ ของทุกบรรทดั มี 5 พยางค์ วรรคหลังของบรรทดั ที่ 1 – 3 มี 2 พยางค์
บรรทดั ท่ี 4 มี 4 พยางค์ สามารถท่องจานวนพยางค์ไดด้ ังนี้
ห้า -สอง (สรอ้ ย 2 พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพอื่ รบั คา ต่อคา เชื่อมคา )
ห้า- สอง
ห้า - สอง (สร้อย 2 พยางค์ มกั ลงทา้ ยดว้ ย นา แฮ เฮย เพื่อรบั คา ต่อคา เชื่อมคา )
หา้ - สี่ (หากจะใหเ้ กิดความไพเราะในการอ่านนิยมลงเสยี งจตั วา)
3. มีตาแหนง่ สมั ผัสตามเสน้ โยง
4. บงั คับรูปวรรณยุกต์ เอก 7 โท 4 ตามตาแหนง่ ในแผนผัง
(ทมี่ า : http://www.st.ac.th/thaidepart/poemt2.php#chan6)


Click to View FlipBook Version