The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยเรื่องการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนโดยใช้กระบวนการวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sasi5944194, 2021-06-26 23:37:24

วิจัยเรื่องการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน

วิจัยเรื่องการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนโดยใช้กระบวนการวิจัย

Keywords: ตัวอย่าง

การพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนโดยใช้กระบวนการวิจัย : “การวิจัยปฏบิ ัติการในชน้ั เรียน”

A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

นลิ รตั น์ นวกจิ ไพฑูรย์*

คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครศรธี รรมราช

Nilrat Navagitpaitoon*

Faculty Of Education, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University

บทคัดย่อ

การวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียนเป็นกระบวนการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ความจริงเก่ียวกับกระบวนการ
เรียนการสอนของครู การแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบริบทของชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหาหรือ
พัฒนาการเรียนรู้ของผ้เู รยี นอยา่ งเป็นระบบ สามารถดาเนินการควบคู่ไปกับการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน
ปกติ ด้วยกระบวนการท่ีเรียบง่ายและเชื่อถือได้ครูผู้สอนจึงเป็นครูนักวิจัยที่ค้นหาวิธีการหรือนวัตกรรมเพื่อ
นามาใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนให้เป็นไปตามเป้าหมายของหลักสูตร ลักษณะของการ
วิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียนเป็นการบูรณาการการจัดการเรียนรู้กับการวิจัย ผู้วิจัยยังคงทางานสอนตามปกติ
สามารถใช้เคร่ืองมือวัดผลการเรียนรู้ท่ีเก่ียวกับพฤติกรรมผู้เรียนด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย ทักษะพิสัย หรือทักษะ
กระบวนการต่างๆ เปน็ เคร่อื งมอื วจิ ยั วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใช้สถิติพน้ื ฐานการดาเนนิ การวิจัยจะดาเนินการตามวงจรการ
วิจยั ของเคมมสิ 4 ขนั้ ตอน คอื ขั้นวางแผน ขนั้ ดาเนินการ ขั้นสังเกตตรวจสอบผลทเ่ี กดิ และขน้ั สะท้อนผล

คาสาคัญ : การพฒั นาสมรรถนะผเู้ รียน กระบวนการวิจัย การวิจัยปฏิบตั ิการในช้นั เรียน

Abstract

Classroom action research is a studying process to find out the fact of teachers learning and
teaching process. It’s also seeking the way to solve the problems or develop learners in the context
of the class with systematically, simply and reliability. Teachers acted as researchers who search for
learning innovations to integrate for learning management according to meet the curriculum goals. The
classroom action research is the integrated implementation between learning management and
research. The learners’ behavior domains are cognitive, affective, psychological and skill should be
measure by several processes. Data analyzed should be from basic statistic such as a conclusion with
graph, figure, testing score or categorize etc. The classroom action research complied of four steps as
we called Kemmis’s cycle; planning, action, observed and reflect.

Keyword : studying process, research, The classroom action research

*ผปู้ ระสานงานหลกั (Corresponding Author) A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

152

e-mail : [email protected]

บทนา
สภาพสังคมปัจจุบันเป็นสังคมท่ีเข้าสู่ยุคแห่งศตวรรษท่ี 21 เป็นสภาพของสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลง

อย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากข้ึน มีการเปล่ียนแปลงในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
สารสนเทศ เกิดสงั คมท่ตี อ้ งมีการเรียนรู้ หรือสังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นสังคมที่ต้องการบุคคลท่ีมีความรู้ มีทักษะ
การคิดแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี การติดต่อสื่อสาร และการสืบค้นวิจารณ์ พานิช (2555 , น.16) ได้นาเสนอ
คุณลักษณะของผู้เรียน และสิ่งท่ีผู้เรียนควรเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ไว้ดังน้ี 1)การเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้สิ่งที่
ซับซ้อน ต้องเรียนเป็นทีม ต้องก้าวข้ามสาระวิชาไปสู่การเรียนรู้อย่างเข้าใจ มีข้ันตอนการเรียนรู้ต้ังแต่จา เข้าใจ
ประยุกต์ วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสรรค์ 2)คุณลักษณะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ต้องมีความสามารถใน
การยืดหยุ่นและปรับตัว การเป็นตัวของตัวเอง มีความเป็นผู้นา มีความรับผิดชอบ และเป็นผู้สร้างหรือผลิต 3)
สิ่งท่ีผู้เรียนควรเรียนรู้ จาแนกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ สาระวิชาหลัก ประกอบด้วย ภาษาและภาษาโลก ศิลปะ
คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภมู ิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐ และ ความเป็นพลเมืองดี และหัวข้อใน
ศตวรรษท่ี 21 ประกอบด้วย ความรู้ (ความรู้เกี่ยวกับโลก การเงิน ธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ การเป็นผู้ประกอบการ
การเป็นพลเมืองดี สขุ ภาพและส่ิงแวดลอ้ ม สารสนเทศ ส่อื เทคโนโลยี) และทกั ษะการเรียนรู้(ความคิดสร้างสรรค์
และนวัตกรรม การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหา การสื่อสาร การรับมือ ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือ
เทคโนโลยี ทักษะชีวิต อาชพี สงั คมขา้ มวฒั นธรรม ซ่ึงการเรยี นรู้ทักษะเหล่านี้จาเป็นต้องเรียนรู้โดยใช้คาถาม หา
คาตอบตามพื้นความรู้ วัย และประสบการณ)์

การวิจัยเป็นเคร่ืองมือในการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้กระบวนการท่ีมีระบบและเชื่อถือได้

ผลการวิจัยนาไปสู่การปรับปรุงพัฒนาการดาเนินการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิผล ในการจัดการศึกษาการวิจัยถูก

กาหนดใหเ้ ป็นการดาเนินการทีค่ วบคู่กับการจัดกระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการทางานของผู้ที่เกี่ยวข้องกับ

การศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ในมาตรา 24 (5) ระบุให้ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่ง

ของกระบวนการเรยี นรู้ และมาตรา 30 กาหนดให้สถานศกึ ษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ

รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถทาวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับ การศึกษา

ดังน้ันครูผู้สอนนอกจากจัดกระบวนการเรียนการสอนแล้ว ยังใช้การวิจัยเพ่ือศึกษาปัญหาหรือส่ิงท่ีต้องการรู้

คาตอบ พฒั นาวิธกี ารเพือ่ แกป้ ัญหาและพฒั นาผเู้ รยี นอยา่ งต่อเน่ือง โดยบูรณาการกระบวนการจัดการเรียนการ

สอนและการวจิ ัยใหเ้ ปน็ กระบวนการเดียวกัน นอกจากนี้สถานศึกษาต้องดาเนินการตามมาตรฐานการศึกษาเพ่ือ

การประเมินคุณภาพภายนอก ในมาตรา 23 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิจัยในชั้นเรียนเพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้

ตามตวั บ่งชี้ คือ 1) ครูมนี ิสัยรกั การแสวงหาความรูแ้ ละขา่ วสารข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพ่ือนามาพัฒนาการเรียน

การสอน 2) ครูมีความสามารถในการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการสอน 3) ครูมีความสามารถใน

การวเิ คราะหป์ ญั หาและแกไ้ ขสถานการณ์ได้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2544)

การวิจัยเพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ เป็นกระบวนการทางานเชิงระบบท่ีท้าทายครูให้แสดง

ความสามารถและศักยภาพในการกระตุ้นนักเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ท่ีเริ่มต้นจากความอยากรู้ และหลากวิธี

ในการหาคาตอบ และสรุปลงอย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ โดยเกิดจากความต้องการของครูผู้สอนที่จะปรับปรุง

เปล่ียนแปลงกิจกรรมการเรยี นรู้ และพฒั นาสื่อการเรียนรูเ้ พื่อแก้ปญั หาทีจ่ ะเกิดขน้ึ จากกระบวนการเรียนรู้ในชั้น

เรียน โดยคานงึ ถงึ ความรู้ความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนท่ีแตกต่างกันเป็นสาคัญ รวมท้ังเน้นผลให้เกิดผลการ

เปลีย่ นแปลงการเรยี นรู้ของ ผู้เรยี นอยา่ งเป็นระบบ มเี ปา้ หมาย มีเหตมุ ีผล ดังน้ันจะเห็นได้ว่ากระบวนการวิจัย

และกระบวนการจดั การเรียนรู้จึงไม่ไดแ้ ยกไปจากบทบาทหน้าท่ีท่คี รูปฏิบตั อิ ยู่เปน็ ประจา ดงั แผนภาพที่ 1

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

153

การจดั การ ครู การจัดกิจกรรม นกั เรียน ตรวจสอบ แบบทดสอบ
การเรียนรู้ พฤตกิ รรม
เรยี นรู้ สมดุ บนั ทึก

แบบสงั เกต

ฯลฯ

การวจิ ยั ผ้วู จิ ยั จดั กระทา แหล่งข้อมลู ตรวจสอบการ เคร่ืองมือวิจัย

( วิธกี าร / เปลย่ี นแปลง

นวัตกรรม )

ภาพประกอบท่ี 1 แผนภมู ิแสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งการจัดการเรยี นรกู้ ับการวิจัย

ความหมายของการวจิ ัยปฏิบัติการในช้ันเรียน
จากการศึกษาเอกสารที่เกยี่ วข้อง พบว่า คาที่ใช้ในการวิจัยในชั้นเรียน มีหลายคาได้แก่ 1)การ

วจิ ัยปฏิบัตกิ าร (action research) 2)การวิจัยในช้ันเรียน (classroom research) 3)การวิจัยของครู (teacher
research) 4)การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (classroom action research) 5)การวิจัยการเรียนการสอน
(learning research) ทั้งนค้ี าทก่ี ล่าวมาขา้ งตน้ มนี ักวิชาการทางการศึกษาไดใ้ ห้ความหมายไว้ดังนี้

อุทุมพร จามรมาน (2537, น.9) ให้ความหมายของการวิจยั ปฏิบตั กิ ารในช้ันเรียนไว้ว่าเป็นการ
วิจัยท่ีทาโดยครู ของครู เพื่อครู เป็นการวิจัยท่ีครูผู้ดึงปัญหาในการเรียน การสอนออกมา และครูผู้ซึ่งแสวงหา
ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยกระบวนการท่ีเช่ือถือได้ ผลการวิจัยคือคาตอบที่ครูจะเป็นผู้นาไปใช้ในการ
แก้ปัญหาของชั้นเรียนเช่นเดียวกับทิศนา แขมมณี (2540, น.14) ให้ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการในชั้น
เรยี นวา่ หมายถึงการวจิ ยั ในบริบทของช้ันเรยี นและมุ่งนาผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนของตน
เป็นการนากระบวนการวิจัยไปใช้ในการพฒั นาครใู ห้ไปสูค่ วามเปน็ เลิศและมีความเป็นอิสระทางวิชาการในขณะที่
สุวิมล ว่องวาณิช (2555, น.21) ได้กล่าวว่าการวิจัยในช้ันเรียนคือกระบวนการที่ทาโดยครูผู้สอนในชั้นเรียนมี
วตั ถุประสงคเ์ พ่อื แกป้ ญั หาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและนาผลมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนหรือส่งเสริมพัฒนาการ
การเรียนรขู้ องผเู้ รยี นให้ดีขน้ึ เพ่อื ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ทาอย่างรวดเร็วนาผลมาใช้ทันที
และสะท้อนข้อมูลเก่ียวกับการปฏิบัติงานต่างๆ ของตนเองและกลุ่มเพ่ือนร่วมงานมีโอกาสวิพากษ์ อภิปราย
แลกเปล่ียนเรียนรู้ในแนวทางท่ีได้ปฏิบัติและนาผลท่ีเกิดขึ้นไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไปจาก
ความหมายของการวิจัยในช้ันเรียนข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนหมายถึงกระบวนการศึกษา
ค้นคว้าหาความรู้จริงเกี่ยวกับกระบวนการเรียนการสอนของครูโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนาการ
เรยี นรขู้ องผูเ้ รียน และดาเนนิ การควบคไู่ ปกับการจดั การเรยี นการสอนในชนั้ เรยี น

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

154

ลักษณะสาคญั ของการวจิ ยั ในชั้นเรียน
สุวิมล ว่องวาณิช (2555, น.22) ได้สรุปลักษณะสาคัญของการวิจัยในชั้นเรียนไว้ว่าเป็นการวิจัยต้องมี

การดาเนินงานท่ีเป็นวงจรต่อเน่ือง มีกระบวนการทางานแบบมีส่วนร่วม และเป็นกระบวนการที่เป็นส่วนหนึ่ง
ของการทางานปกติ เพ่ือใหไ้ ดข้ ้อคน้ พบเก่ียวกับการแก้ปญั หาทสี่ ามารถปฏบิ ตั ิไดจ้ รงิ ดงั นี้
ตารางท่ี 1 ลกั ษณะของการทาวจิ ัยในชัน้ เรยี น

การวจิ ัยในช้ันเรียนคือ การวิจัยที่มีลักษณะดังนี้

ใคร ครูผสู้ อนในห้องเรยี น

ทาอะไร ทาการแสวงหาวธิ กี ารแก้ไขปัญหา

ที่ไหน ทเ่ี กดิ ข้ึนในหอ้ งเรยี น

เมื่อไร ในขณะท่ีการเรยี นการสอนกาลังเกิดข้นึ

อย่างไร ด้วยวธิ กี ารวิจยั ท่ีมวี งจรการทางานตอ่ เน่ืองและสะท้อนกลบั การทางานของตนเอง
เพ่อื จุดมุ่งหมายใด (Self – Refection) โดยมขี ัน้ ตอนหลกั คือ การทางานตามวงจร PAOR (Plan, Act,
Observe, Reflect)

มจี ุดมุง่ หมายเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ ตอ่ ผูเ้ รียน

ลกั ษณะเดน่ การวจิ ยั เปน็ กระบวนการวจิ ยั ที่ทาอย่างรวดเรว็ โดยครผู ูส้ อนนาวิธกี ารแกป้ ัญหาทต่ี นเองคิด

ข้นึ ไปทดลองใช้กับผเู้ รยี นทนั ที และสังเกตผลการแกป้ ัญหาน้นั มกี ารสะท้อนผลและ

แลกเปลีย่ นประสบการณก์ บั เพื่อนครูในโรงเรยี นเปน็ การวิจัยแบบร่วมมอื

(Collaborative Research)

ทมี่ า : สวุ มิ ล ว่องวานิช (2555, น.22)

นอกจากน้สี ุวมิ ล ว่องวาณิช (2555, น.30) ไดเ้ ปรยี บเทียบความแตกต่างของการวจิ ยั ในชน้ั เรยี นกบั การวิจยั เชิงวชิ าการดงั นี้

ตารางที่ 2 การเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของการวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในช้ันเรยี นกับการวจิ ัยเชิงวชิ าการ

ประเดน็ การวิจยั ปฏบิ ตั ิการในชัน้ เรยี น การวจิ ยั เชิงวิชาการ

(Classroom Action Research) (Academic Research)

1. เปา้ หมาย มุ่งสร้างความรูเ้ ฉพาะเพื่อใช้ใน ม่งุ สร้างข้อความรู้ท่วั ไป

ห้องเรียนของผู้วจิ ัย ซึ่งสามารถสรปุ อา้ งองิ ได้

2. ผู้วจิ ัย ดาเนินการโดยครผู สู้ อนใน ดาเนนิ การโดยนกั วชิ าการ หรือ นัก

หอ้ งเรียน มลี กั ษณะการวิจยั แบบรว่ มมอื การศกึ ษาในมหาวิทยาลัยท่ไี ม่ได้

(Collaborative Research) ในวงจรการ ปฏบิ ัติงานในห้องเรยี น

ทาวจิ ัยแบบ PAOR

3. วงจรของการวจิ ยั Plan, Act Observe, Reflect โดย ใชว้ งจรการทาวจิ ัยแบบกาหนดปัญหา

ขน้ั ตอน Reflect (สะท้อนกลับ) เป็น ศกึ ษาเอกสารที่เกยี่ วข้องออกแบบการ

ขน้ั ตอนที่เด่นทที่ าใหก้ ารวจิ ัยแบบนีต้ า่ ง วจิ ยั (กาหนดประชากร กลมุ่ ตัวอย่าง

จากการวิจัยอน่ื สรา้ งเครอ่ื งมอื เก็บข้อมูล วเิ คราะห์

ข้อมลู ) สรปุ และอภปิ รายผลการวจิ ัย

4. วิธกี ารวิจยั ไมเ่ น้นการกาหนดกรอบแนวคิดทฤษฎแี ต่ ยึดแบบแผนการวิจยั การออกแบบการ

ใช้ประสบการณ์ของผสู้ อน ไม่เนน้ แบบ วิจัยที่รดั กมุ มีการกาหนดกรอบ

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

155

แผนการวิจยั มาก ใช้การวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ แนวคิดทฤษฎี ตรวจสอบทฤษฎีและ

มากกวา่ เชงิ ปรมิ าณ พัฒนาทฤษฎี ใช้การวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ

มากกวา่

5. การกาหนดวธิ กี าร ใช้วิธกี ารเชงิ อัตวสิ ัย (Subjective) โดย อิงทฤษฎหี รือผลการวิจยั รองรบั
แกไ้ ขปัญหาใน
ห้องเรียน (Solution) อาศยั ประสบการณข์ องครูนักวจิ ยั แตจ่ ะใช้

6. กลุ่มเป้าหมายที่ วธิ กี ารเชงิ ปรนัยในการตรวจสอบ
ต้องทาวิจยั
ผลการวจิ ยั

นักเรียนในห้องเรียนอาจเป็นรายคนหรือ กลมุ่ นกั เรียนท่เี ป็นตัวแทนประชากร

รายห้อง

7. ขอ้ มลู วจิ ัย ครูเป็นผู้เก็บข้อมูล ใช้วิธีการสังเกต อาจใช้วิธีการเก็บข้อมูลแบบเดียวกับ
หลักฐานการแสดงพฤติกรรมของผู้เรียน การวจิ ัยปฏิบัติการในช้ันเรียนแต่โอกาส
ขอ้ มูลสว่ นใหญเ่ ป็นข้อมูลเชงิ คุณภาพ ใกล้ชิดกับแหล่งข้อมูล (นักเรียน) จะมี

น้อย

8. การวเิ คราะห์ ใช้การวิเคราะห์เน้ือหาไม่เน้นการ ส่วนใหญ่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติ
ขอ้ มลู
วิเคราะหด์ ้วยสถิตขิ น้ั สูง เน้นการสรปุ อ้างอิง

9. การอภิปราย แปล ค รู นั ก วิ จั ย แ ล ะ เ พื่ อ น ค รู จ ะ มี ก า ร นักวจิ ัยอภปิ รายภายใต้กรอบทฤษฎีท่ีใช้
ความหมาย ข้อค้นพบ แลกเปล่ียนประสบการณ์การวิจัยร่วมกัน ในการวิจัย และใช้ความคิดเห็นของ
จากการวิจัย มีการถกอภิปรายถึงวิธีการแก้ปัญหาท่ีใช้ นักวจิ ัยประกอบการอภปิ ราย
และผลทเ่ี กดิ ขนึ้

10. ช่วงเวลาในการ ทาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน การสอน เป็นนักวิจัยท่ีเฝ้ าสังเกตหรือเก็ บ
ทาวจิ ัย
และทาอย่างรวดเร็ว เพ่ือให้สามารถ ข้อมลู อยู่หา่ ง ๆ แม้จะมีโอกาสเข้าไปทา

ทดลองใช้ผลตามแนวทางท่ีครูนักวิจัย ให้ห้องเรียนแต่ก็จะเป็นช่วงสั้น เม่ือทา

ตัดสินใจจะใช้ เสร็จก็ถอยห่างออกมาการวางแผนการ

วิจัยอาจต้องใช้เวลานานกว่าการวิจัย

ปฏบิ ัติการในชน้ั เรียน

11. การใช้ผลการวจิ ยั นาผลไปใช้แก้ปัญหาในห้องเรียนทันที ผลการวิจัยอาจไม่ได้นาไปใช้ในทาง
และตรวจสอบผลที่เกิดข้ึนไม่เน้นการ ปฏิบตั ิจรงิ แต่อาจมีการตีพิมพ์เผยแพร่
ตพี มิ พ์เผยแพรเ่ ปน็ บทความวิชาการ เป็นบทความวิจัย หรือบทความทาง
วชิ าการ

ท่ีมา : สุวิมล ว่องวานิช (2555, น.30)
สรุปการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียนเป็นการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนของครู

โดยการนาวธิ ีการ หรือนวตั กรรมมาใชใ้ นการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน การดาเนินการวิจัย ในลักษณะท่ีผู้วิจัย

ยังคงทาหน้าท่ีผู้สอนตามปกติ สามารถใช้เครื่องมือวัดผลท่ีมีอยู่แล้ว ไม่จาเป็นต้องเก็บข้อมูลจานวนมาก เน้น

ข้อมูลรายบุคคล และไม่ต้องใช้สถิติที่ซับซ้อน ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากการสังเกตพฤติกรรม เน้นการประเมินผล

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

156

ตามสภาพจริง และศึกษากับนักเรียนที่สอนในชั้นเรียน มีเป้าหมายท่ีสาคัญคือการแก้ปัญหาและพัฒนาการ
เรยี นรู้ของผเู้ รียน มุ่งนาผลไปใชเ้ พอ่ื ให้ผู้เรยี นได้รบั การแก้ไขหรอื พฒั นามากกว่าการตพี ิมพ์เผยแพร่

รปู แบบของการวิจัยปฏิบตั ิการในชัน้ เรียน
การวิจัยปฏบิ ตั ิการในชน้ั เรยี นสามารถดาเนนิ การได้ 2 รูปแบบ ดงั ทน่ี ิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์ (2556) ได้

จาแนกไว้ ดังนี้
1. การดาเนนิ การวจิ ยั เพ่ือทาความเข้าใจปัญหา หรอื สถานการณใ์ นชั้นเรยี น โดยใชร้ ะเบยี บ วิธวี ิจยั เชงิ

บรรยาย ซึ่งจะเรยี กการวิจยั แบบนี้ว่า การวิจยั ในชั้นเรียน มีรปู แบบการวจิ ัยดังนี้
1.1 การสารวจในช้ันเรียน เป็นการสารวจเพ่ือทาความเข้าใจเก่ียวกับข้อเท็จจริง ความรู้

ความคิด พฤติกรรม ปัญหา หรือส่ิงที่ผู้สอนต้องการอยากรู้ วิธีการสารวจอาจใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์
เชน่ ความพงึ พอใจต่อการเรยี นโดยใช้ทกั ษะกระบวนการกลมุ่ ของนักเรียน ปัญหา การประเมินผลตามสภาพจริง
การเปรียบเทียบความสนใจในการเรยี นวิชาพละของนกั เรียนชายกบั นักเรยี นหญิง เปน็ ต้น

1.2 การศึกษาเชิงสหสัมพันธ์ เป็นการศึกษาวิจัยเพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร เช่น
ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนจากการสอบกับคะแนนจากแฟ้มสะสมงานของนักเรียน ความสัมพันธ์ระหว่าง
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกบั พฤตกิ รรมการเรยี นร้ขู องนักเรียน เป็นต้น

1.3 การศกึ ษาเฉพาะกรณี เป็นการวิจัยท่ีมุ่งศึกษานักเรียนเป็นรายบุคคล หรือเฉพาะกลุ่ม โดย
มุ่งไปที่นักเรียนที่มีพฤติกรรมพิเศษ เช่น นักเรียนท่ีมีพฤติกรรมก้าวร้าว นักเรียนที่มีสมาธิสั้น นักเรียนที่มีทักษะ
บางอยา่ งเด่นกว่าคนอ่ืน เป็นตน้ การศกึ ษาลักษณะนเี้ ปน็ การศกึ ษาใน เชิงลึกเพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมลู มากท่ีสุด

1.4 การวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียน เป็นการวิจัยเพ่ือทาความเข้าใจพฤติกรรมเชิง
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในกลุ่ม นักเรียนในชั้น และปฏิสัมพันธ์กับครู โดยเน้นการศึกษา
พฤติกรรมที่แสดงออก อาจจะใช้วิธีการสังเกตใช้เทคนิคสังคมมิติ เช่นการศึกษาพฤติกรรมการทางาน กลุ่มของ
นกั เรยี น การศกึ ษาพฤตกิ รรมการชว่ ยเหลอื เดก็ พิเศษจากเด็กปกติ เปน็ ตน้

1.5 การศกึ ษานเิ วศวิทยาในช้ันเรียนเป็นการศึกษาภาพรวมของช้ันเรียนในทุกด้านเพ่ือทาความ
เขา้ ใจอยา่ งลึกซ้งึ (ปัญญา เลศิ ไกรและลญั จกร นิลกาญจน,์ 2559, น.10) เหมาะสาหรบั การทาความเขา้ ใจช้นั เรยี นที่มี
ความพเิ ศษบางอยา่ งเช่นสภาพการเรยี นการสอนตามหลกั สูตรปจั จุบันทีเ่ อื้อตอ่ การสอนแบบคละเด็กปกติกบั เด็ก
พเิ ศษหรือไม่

1.6 การวิเคราะห์เนื้อหาเป็นการศึกษาเพ่ือทาความเข้าใจเก่ียวกับหลักสูตรและเน้ือหาวิชาจะ
เปน็ การวเิ คราะห์เอกสาร เช่น การวิเคราะห์ภาพประกอบในหนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
การวิเคราะหเ์ นือ้ หาท่ีส่งเสริมความเขม้ แข็งในครอบครวั ของหนังสืออา่ นประกอบระดับมธั ยมศกึ ษา เปน็ ต้น

รปู แบบการวิจยั เพอื่ ทาความเขา้ ใจปัญหา หรอื สถานการณ์ในชั้นเรียนทั้ง 6 รูปแบบข้างต้น จะเป็น
การวิจัยในชั้นเรียนท่ีครูมักศึกษาวิจัยเพื่อเป็นฐานในการทาวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิง
บรรยาย

2. การดาเนินการวิจัยเพ่ือแก้ปัญหา หรือพัฒนาผู้เรียน เป็นลักษณะการวิจัยเชิงปฏิบัติการ action
research มุ่งเน้นใช้ผลการวิจัยเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน มีกระบวนการในการดาเนินการ 4 ข้ันตอน คือ
กระบวนการ PAOR ประกอบด้วย การวางแผน (plan) การปฏิบัติตามแผน (act) การสังเกตตรวจสอบผลจาก
การปฏบิ ัติ (observe) และการสะทอ้ นผล (reflect) ซงึ่ กระบวนการทั้ง 4 ข้ันตอนเป็นกระบวนการท่ีดาเนินการ
ต่อเนอ่ื งในลักษณะบนั ไดเวยี น ซ่งึ จะเรียก การวจิ ัยแบบนีว้ ่า การวิจัยปฏบิ ตั ิการในชัน้ เรียน ดังตัวอย่างงานวิจัย

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

157

เรื่อง การพัฒนาสมรรถนะ การวิจัยในช้ันเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
โดยใช้กระบวนการสอนแบบมีส่วนร่วม 4 P เป็นการวิจัยเพ่ือแก้ปัญหาผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการ
วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ต่า และขาดสมรรถนะการวิจัย ซึ่งเป็นเป้าหมายหรือคุณลักษณะที่ต้องเกิดกับผู้เรียน
ผ้สู อนจึงนากระบวนการสอนแบบมีส่วนร่วม 4 P มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดย
การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้วิชาการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสอนแบบมีส่วนร่วม 4 P
ดาเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ และใช้แบบฝึกปฏิบัติการเขียนเค้าโครงการวิจัย ตัวอย่างเค้า
โครงการวิจัย ตัวอย่างงานวิจัย เป็นส่ือประกอบการจัดการเรียนรู้ ระหว่างการเรียนการสอนจะเก็บรวบรวม
ข้อมูลโดยการให้นักศึกษาประเมินตนเองเก่ียวกับสมรรถนะการทาวิจัยในช้ันเรียน การสังเกตพฤติกรรมการ
เรียนรู้ การปฏิบัติงาน และเก็บข้อมูลผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจากการสอบปลายภาคเรียน และประเมินทักษะ
การเขียนเค้าโครงการวจิ ัย (นิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์, 2557)

ขั้นตอนของการวิจยั ปฏิบัติการในชน้ั เรียน
การวจิ ยั ปฏิบัติการในช้ันเรยี นเป็นการวจิ ัยท่ีมงุ่ ใหผ้ ู้สอนสามารถทาวจิ ัยเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนาการ

เรียนรู้ของผู้เรียน เริ่มด้วยการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดในช้ันเรียนนาไปวางแผนเพ่ือแก้ไขปัญหา
การเรียนรู้ที่เกิดข้ึน การออกแบบและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ ทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ เก็บรวบรวม
ข้อมูล และวิเคราะห์ผลการใช้นวัตกรรมนั้นๆ สุวิมล ว่องวาณิช (2544, น.13-14) กล่าวว่าข้ันตอนของการวิจัย
ปฏบิ ตั ิการในชั้นเรียนมีกระบวนการทางานที่เป็นวงจรการวิจัยแบบขดลวดตามแนวคิดดั้งเดิมที่เสนอโดยเคมมิส
(Kemmis, 1988) ซ่ึงประกอบด้วยข้ันตอน 4 ขั้นตอนคือ 1) การวางแผนหลังจากที่วิเคราะห์และกาหนประเด็น
ปัญหาท่ีต้องการแก้ไข (plan) 2) การปฏิบัติตามแผนท่ีกาหนด (action) 3) การสังเกตผลที่เกิดข้ึนจากการ
ปฏิบัติงาน (observe) และ4) การสะท้อนผลหลังจากการปฏิบัติงานให้ผู้ท่ีมีส่วนร่วมได้วิพากษ์วิจารณ์ซึ่ง
นาไปสู่การปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานต่อไป (reflect) วงจรการวิจัยปฏิบัติการนี้เรียกย่อ ๆ ว่า ซ่ึงวงจร
PAOR ดงั ภาพประกอบที่ 2

Reflect Plan Action Plan Plan
Observe Reflect Action
Reflect Action
Observe Observe

ภาพประกอบที่ 2 วงจรการวจิ ัยปฏบิ ัติการในชนั้ เรยี น
ทม่ี า : สวุ มิ ล ว่องวานชิ (2555, น.23)

จากแผนภาพท่ี 2 สามารถอธิบายขัน้ ตอนวิธีดาเนินการของการวจิ ัยปฏิบัติการในช้ันเรียนได้ดังต่อไปนี้
1.ขน้ั การวางแผน (Plan)

การวางแผนเป็นข้ันตอนแรกของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนท่ีครูนักวิจัยต้องดาเนินการในกิจกรรม

ต่อไปน้ี

1.1 การสารวจและวิเคราะห์ปัญหา เป็นขั้นตอนแรกของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน และจะ

เป็นการกาหนดทิศทางและแนวทางการทาวิจัย ผู้สอนหรือผู้วิจัยต้องศึกษาสภาพปัญหาท่ีเกิดในช้ันเรียนว่ามี

ปัญหาอะไรเกิดข้ึนบ้าง เกิดกับนักเรียนจานวนก่ีคน ใครบ้าง ลักษณะสภาพปัญหาท่ีเกิดเป็นอย่างไรซึ่งปัญหา

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

158

ผู้วิจัยพิจารณาจากความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับส่ิงที่คาดหวัง สามารถจาแนกออกเป็น 3 ประเภท
คือ

1) ปญั หาเชิงแก้ไขปรับปรงุ คอื ความแตกต่างระหว่างสภาพจริงกับสภาพที่คาดหวังท่ีเกิดขึ้นแล้วในอดีต
ปัจจุบันและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ปัญหานักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่า นักเรียนขาด
ทักษะการฟงั ภาษาองั กฤษ นกั เรียนไม่สนใจเรียน เป็นตน้

2) ปัญหาเชิงป้องกัน คือ ความแตกต่างระหว่างสภาพจริงกับสภาพที่คาดหวัง ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นใน
อนาคต ยังไม่เกิดในอดีต และปัจจุบันจาเป็นต้องป้องกัน เช่น โรงเรียน ก. ไม่มีห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
ผู้บริหารเลง็ เห็นวา่ นักเรยี นจะขาดโอกาสในการสอบเข้าศกึ ษาต่อเพราะไม่มีทกั ษะทางคอมพวิ เตอร์

3) ปญั หาเชิงพัฒนา คือ สภาพท่ีเกิดขึ้นจริงในอดีต ปัจจุบันไม่แตกต่างจากสภาพท่ีคาดหวังแต่เป็นส่ิงที่
ต้องการเพ่ิมคุณภาพหรือพัฒนาให้ดีขึ้น เช่น ครูต้องการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนที่มีความคิด
สรา้ งสรรคใ์ นการออกแบบให้สูงขึน้

ข้ันตอนของการสารวจและวิเคราะหป์ ญั หา มีข้นั ตอนการดาเนินการดงั นี้
1. การสารวจสภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้เป็นการรวบรวมปัญหาเกี่ยวกับผลการจัดการเรียนรู้หรือ

พฤตกิ รรมการเรียนร้ขู องผเู้ รยี น ซึ่งอาจจะเป็นปญั หาในด้าน
1.1 ด้านความรู้ ความคิด ได้แก่ ความสามารถทางสมองของนักเรียนท่ีสามารถเข้าใจใน

เนือ้ หาสาระการเรียนรนู้ นั้ ๆ เชน่ ปัญหาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ความสามารถในการจาคาศพั ท์ เป็นตน้
1.2 ด้านการปฏิบัติ เป็นความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยใช้อวัยวะกล้ามเน้ือ

หรอื ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เชน่ ทกั ษะการรอ้ ยมาลัย ทักษะการเลน่ ดนตรี เป็นต้น
1.3 ด้านจิตใจ ได้แก่ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม เจตคติหรือคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ให้

เกิดขึ้นในการจัดการเรยี นรู้ เช่น ความมีระเบยี บวนิ ยั ในตนเอง ความรบั ผดิ ชอบ เปน็ ตน้
1.4 ทักษะกระบวนการเรียนรู้ ได้แก่ ทักษะทางสังคมท่ีต้องการให้เกิดกับผู้เรียน เช่น ทักษะ

การทางานกลุม่ ทักษะการแกป้ ัญหา ทกั ษะการคดิ เปน็ ตน้
วิธกี ารสารวจปญั หา สามารถดาเนินการไดโ้ ดยวิธตี ่อไปนี้
1) สารวจจากบันทึกผลหลังจากการจัดการเรียนการสอน ซึ่งผู้สอนจะบันทึกข้อมูลท่ีเกิดขึ้น

ระหวา่ งการจัดกระบวนการเรยี นร้ใู นแตล่ ะครั้ง แตล่ ะหน่วยการเรยี นรวู้ า่ มปี ัญหาอะไรบา้ ง
2) สารวจจากภาพรวมของการจัดกระบวนการเรียนรู้ซ่ึงผู้สอนสามารถดูได้จากผลการประเมิน

ในแต่ละภาคเรยี น หรอื แตล่ ะชนั้ เรยี นวา่ มปี ญั หาอะไรบ้าง
3) สารวจจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนท่ีแสดงออกขณะครูจัดการเรียนรู้จากการ

ปฏิบัติงานการตรวจผลงานหรือจากการสัมภาษณ์ซักถามนักเรียนในชั้นอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ
เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่ีเปน็ สภาพท่ีแท้จรงิ ท่ีเกดิ ข้ึน

4) ครูผู้สอนอาจจะสร้างเครื่องมือให้นักเรียนตอบ เช่น แบบสอบถาม แบบสารวจ แบบ
ประเมนิ ตนเอง เพอ่ื ทีจ่ ะนาขอ้ มลู ท่ไี ดม้ าวิเคราะห์ปัญหาว่าปญั หาใดควรแกไ้ ขหรอื พฒั นา

2. การคัดเลือกปัญหา ในกรณีท่ีผู้วิจัยสารวจปัญหาท่ีเกิดข้ึนได้หลายๆ ปัญหา ดังนั้นต้องคัดเลือก
ปัญหา เพื่อนามาสกู่ ารทาวจิ ยั โดยมเี กณฑด์ ังนี้

2.1 ปัญหาเรง่ ด่วนทจี่ าเป็นตอ้ งแก้ไขและเปน็ ประโยชน์โดยตรงต่อการจดั การเรยี นรู้

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

159

2.2 เปน็ ปญั หาท่ีครูสามารถดาเนินการแก้ปัญหาได้จริงตามศักยภาพซึ่งครูต้องทราบว่าตัวเอง

มคี วามร้คู วามสามารถประสบการณ์หน้าท่ใี นความรบั ผิดชอบความเหมาะสมของเวลา ทรพั ยากร

3. การวิเคราะหส์ าเหตุของปัญหาหลังจากครูผู้สอนคัดเลือกปัญหาว่าจะแก้ปัญหาหรือพัฒนาในปัญหา

ใด ขัน้ ตอนตอ่ ไป คือ การวเิ คราะห์สาเหตุของปญั หาเพอ่ื นาไปสู่การแก้ปัญหาท่ีถูกต้อง การวิเคราะห์สาเหตุให้ครู

พิจารณาวา่ ปัญหานั้นเกดิ จากสาเหตใุ ด ดังนี้

3.1 สาเหตขุ องตัวนกั เรียนเอง เช่น พืน้ ฐานความรเู้ ดมิ นักเรียน นักเรียนขาดความกระตือรือร้น

นักเรียนขาดเรียนบ่อย เปน็ ต้น

3.2 สาเหตุจากตัวครูซ่ึงให้มองไปท่ีวิธีการจัดการเรียนรู้ เช่น ขาดส่ือการสอน ส่ือไม่น่าสนใจ

เทคนิคการจดั การเรียนรไู้ มเ่ หมาะสม ครไู มไ่ ด้เตรยี มการสอน เปน็ ตน้

3.3 สาเหตุจากปจั จัยอ่ืน ๆ เช่น ขาดแหลง่ เรียนรู้ สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ผลกระทบที่เกิด

จากเวลาในการจดั การเรียนรู้ไมเ่ พยี งพอ ผปู้ กครองไมส่ นใจ เป็นต้น

จากการวิเคราะหส์ าเหตขุ องปญั หา ให้ผวู้ จิ ยั พิจารณาสาเหตุท่สี ามารถดาเนินการแก้ปัญหาได้โดยใช้การ

วิจัย

1.2 การศึกษาทฤษฎหี ลกั การเกี่ยวกับการจดั การเรยี นรู้ เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ ก่อนท่ีผู้วิจัยจะ

เลือกใช้นวตั กรรมหรอื วิธีการในการแก้ปัญหา ควรศกึ ษาทฤษฏเี กี่ยวกบั วิธีการจัดการเรยี นรู้ที่เหมาะสมกับปัญหา

การพจิ ารณาขอ้ ดีข้อเสียของวิธีการ หรอื นวัตกรรมแตล่ ะชนดิ เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกวิธีการหรือนวัตกรรมที่

สามารถแก้ปัญหา หรือพัฒนาการเรยี นร้ไู ด้อยา่ งเต็มท่ี ซ่ึงสามารถดาเนินการได้หลายวิธเี ช่น

1) ปรกึ ษา อภปิ รายรว่ มกับเพือ่ นครูหรือการสอบถามผ้เู ชี่ยวชาญด้านทเ่ี กย่ี วกบั ปญั หาการเรยี นรู้ทีเ่ ลอื ก

2) การศกึ ษาคู่มอื ครเู พอื่ ศกึ ษารายละเอียดว่ามวี ิธกี ารหรือนวัตกรรมใดบา้ งท่ีสามารถนามาใชไ้ ด้

3) ศึกษาจากผลการวิจัย หรอื ผลงานวิชาการของครูนักวิจยั ทไ่ี ด้ทาแล้ว

4) ศกึ ษาคน้ คว้าจากตาราเกย่ี วกบั ทฤษฎี หลกั การจัดการเรยี นรู้

1.3 การเลือกนวัตกรรมหรือวิธีการที่นามาใช้ในการแก้ปัญหา จากการดาเนินการในข้ัน 1.1 และ

1.2 ทาให้ผู้วจิ ยั สามารถเลอื กวิธีการหรอื นวตั กรรมท่ีจะใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากข้อดีข้อเสียของแต่

ละวิธี และความเป็นไปได้ในการนามาใช้ในการจัดการเรียนรู้ตามสภาพของชั้นเรียนและระบบโรงเรียนเอ้ือต่อ

การจดั การเรยี นรู้โดยใช้วธิ กี ารหรือนวตั กรรม ทั้งน้ีนวตั กรรมสามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ประเภทคือ

1. นวตั กรรมประเภทแนวคิดในการจัดการเรียนรู้ เช่น แนวคิดท่ีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ

พหปุ ญั ญา การจดั การการเรียนรู้แบบ CATS การจัดการเรยี นรแู้ บบ storyline เปน็ ต้น

2. นวัตกรรมประเภทเทคนิควิธีการ เป็นกลวิธี กิจกรรม หรือวิธีการจัดการจัดการเรียนรู้ เช่น

การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู้แบบเพ่ือนสอนเพ่ือน การเรียนรู้แบบ

โครงงาน การเรียนรโู้ ดยใช้สถานการณจ์ าลอง เปน็ ต้น

3. นวัตกรรมประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นนวัตกรรมท่ีเป็นส่ือ วัสดุ อุปกรณ์ หรือสิ่งประดิษฐ์ท่ีผู้วิจัย

สรา้ งขน้ึ เช่น บทเรียนสาเรจ็ รูป ชดุ การสอน แบบฝึกปฏบิ ัติ เปน็ ต้น

1.4 การเขียนเค้าโครงการวิจัย เป็นการจัดทาผลของการวางแผนการวิจัย เพ่ือเป็นแนวทางในการ

ปฏบิ ตั กิ ารวิจัยข้ันตอ่ ไป

2. ขั้นการปฏิบตั ิตามแผน (Action)

หลังจากผู้วิจัยได้ดาเนินการในขั้นตอนการวางแผนการวิจัยเรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยจะได้

เคา้ โครงการวจิ ยั ซง่ึ เป็นแนวทางการทาวจิ ัยในขัน้ ตอนนี้เปน็ การปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ดงั น้ี

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

160

2.1 การพฒั นานวัตกรรมทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย และการจดั ทาแผนการเรียนรู้
2.1.1 การพฒั นานวัตกรรมทใ่ี ช้ในการวจิ ัย ในขน้ั น้ีหลังจากผู้วิจัยได้เลือกนวัตกรรมที่ใช้ใน

การวจิ ยั แล้ว ผวู้ ิจยั ควรไดศ้ ึกษาแนวคดิ ทฤษฎี ขั้นตอนการสรา้ ง และศึกษาตัวอย่างของนวัตกรรมท่ีผู้อื่นสร้างไว้
แลว้ เพ่ือเป็นแนวทางในการสร้างและพัฒนานวตั กรรม ขั้นตอนการพัฒนานวตั กรรม

1) ระบุชื่อนวตั กรรมที่นามาใช้ในการวจิ ยั

2) ศึกษาแนวคิดทฤษฎหี ลักการเกยี่ วกับนวัตกรรม และศึกษาเนื้อหาสาระที่ใช้ในการวิจัย เช่น

ต้องการสร้างชุดการสอนเร่อื งสงั คมเมืองและสงั คมชนบท ผู้วิจัยก็ต้องศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับสังคมเมืองและสังคม

ชนบทอยา่ งละเอียด เพื่อเปน็ ข้อมูลในการจัดทา

3) การวางแผนพัฒนานวัตกรรม เป็นการระบุข้ันตอนการพัฒนานวัตกรรมว่าจะดาเนินการ

อยา่ งไร ประกอบดว้ ยกจิ กรรมอะไรบ้าง มีวธิ กี ารหาประสิทธิภาพนวัตกรรมอยา่ งไร

4) ดาเนนิ การพัฒนานวัตกรรมตามขนั้ ตอนท่ีกาหนดไว้

5) กาหนดขั้นตอนการนานวัตกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ การหาประสิทธิภาพนวัตกรรม

เป็นการตรวจสอบว่านวตั กรรมทสี่ ร้างข้นึ มคี ุณภาพเพียงพอทีจ่ ะนาไปใชใ้ นการวิจัย หรือใช้ในการสอนได้หรือยัง

นวัตกรรมท่ีต้องหาประสิทธิภาพมักจะเป็นนวัตกรรมประเภทสิ่งประดิษฐ์ เช่น บทเรียนสาเร็จรูป ชุดการสอน

แบบฝึกทักษะ ฯลฯ ส่วนนวัตกรรมประเภทแนวคิดในการจัดการเรียนรู้ และเทคนิควิธีการ จะไม่เน้นการหา

ประสิทธิภาพอย่างเต็มรูปแบบ แต่จะเป็น การตรวจสอบประสิทธิภาพเบื้องต้นโดยผู้วิจัยเองหรือ ผู้เชี่ยวชาญ

ข้ันตอนการหาประสทิ ธิภาพนวตั กรรมมขี นั้ ตอนดงั นี้

1) การหาประสิทธภิ าพเบอ้ื งต้น ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจสอบความเหมาะสมและเนื้อหาของ

รูปแบบว่าเหมะสมหรือไม่ เป็นการพิจารณาโดยผู้เช่ียวชาญในด้าน การเรียนการสอนในเน้ือหานั้น ๆ หรือ

ผู้เช่ียวชาญของวิธีการจัดการเรียนรู้ หรือนวัตกรรมน้ัน ผู้เช่ียวชาญจะตรวจสอบความถูกต้องของเน้ือหาและ

การสื่อความหมาย รูปแบบที่ใช้ โดยผู้วิจัยกาหนดประเด็นให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา หลังจากน้ันนามาปรับปรุง

แกไ้ ข ถา้ เป็นนวตั กรรมประเภทแนวคิดในการจัดการเรียนรู้ และเทคนิควิธีการ ก็สามารถนาไปใช้สอนได้เลย แต่

ถา้ เป็นนวตั กรรมประเภทส่งิ ประดษิ ฐ์นาไปดาเนินการในข้นั ตอนตอ่ ไป

2) การทดลองใช้ เป็นการนานวัตกรรมไปทดลองใชน้ กั เรยี น ตามขัน้ ตอนดงั นี้

ขัน้ ท่ี 1 การทดลองแบบหนึ่งต่อหน่ึง เป็นการทดลองโดยใช้นักเรียนท่ีเรียนค่อนข้างอ่อน 1 คน

ใหศ้ กึ ษานวตั กรรมท่ีสรา้ งข้ึนตามขน้ั ตอนท่กี าหนด ผู้วิจยั จะสงั เกตการทดลองตลอดเวลา คอยสังเกตบันทึก และ

ตอบขอ้ สงสัยของนักเรียน และสัมภาษณ์นักเรียนในประเด็นที่นักเรียนไม่เข้าใจ หลังจากนั้นผู้วิจัยก็จะปรับปรุง

แก้ไขนวัตกรรมตามขอ้ สงั เกต ทีไ่ ด้

ขนั้ ที่ 2 การทดลองกบั กลมุ่ เล็ก เป็นการทดลองโดยใชน้ กั เรยี นที่มีผลการเรียนคละกันทั้งนักเรียน
ทเี่ รยี นอ่อน เรียนปานกลาง และเรียนเก่ง ประมาณ 5–10 คน มาศึกษานวัตกรรมที่สร้างขึ้น โดยไม่มีการติดต่อ
กับผู้วิจัย หากนักเรียนมีข้อสงสัยก็ทาเคร่ืองหมายไว้สอบถามภายหลังการศึกษาเสร็จส้ิน หลังจากน้ันผู้วิจัยก็นา
ผลท่ไี ดม้ าปรับปรงุ แก้ไข

ขั้นท่ี 3 การทดลองกับกลุ่มใหญ่ หรือการทดลองภาคสนาม เป็นการนานวัตกรรมไปใช้ใน
สถานการณ์จริงตามข้ันตอนการใช้ของนวัตกรรม เพ่ือตรวจสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมข้ันสุดท้ายก่อน
นาไปใชจ้ รงิ

2.1.2 การจัดทาแผนการเรียนรู้ หลังจากที่ครูนักวิจัยได้สร้างนวัตกรรมที่ใช้ในการวิจัยแล้ว
ข้ันตอนต่อไปก็เป็นการจัดทาแผนการเรียนรู้เพื่อนานวัตกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ หรือการปรับแผนการ

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

161

จดั การเรียนร้ทู ่ีจดั ทาไวแ้ ลว้ ให้มีความสอดคลอ้ งกับการวิจัย ส่วนใหญ่แผน การจดั การเรียนรู้จะประกอบประเด็น
ที่สาคญั ดังน้ี

1) ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวังหรือจุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นการกาหนดส่ิงที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิด
หลังจากจัดการเรียนรู้ทั้งดา้ นความรู้ความคดิ ด้านการปฏบิ ัติ ด้านจติ ใจ และด้านทักษะกระบวนการ

2) แนวทางการจัดการเรียนรู้ เป็นการกาหนดเนื้อหาสาระในการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย
หวั ข้ออะไรบ้าง มวี ธิ สี อนอยา่ งไร และใชน้ วตั กรรมหรอื ส่ือประกอบการสอนอะไรบ้าง มีกจิ กรรมอะไรบ้าง

3) วิธีการวัดและประเมินผล เป็นการกาหนดวิธีการวัดผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นว่าจะมีวิธีการ
อยา่ งไร ใช้เคร่อื งมืออะไรบ้าง

2.2 การสร้างเคร่ืองมือวัดผลการเรียนรู้ ในการดาเนินการใช้นวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้
จะต้องมกี ารวดั ผลการจดั การเรยี นรวู้ ่าผลของการใชน้ วัตกรรมนัน้ เปน็ อยา่ งไร เป็นไปตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้
หรือไม่ ในการวัดผลการเรียนรู้จะต้องใช้เคร่ืองมือในการวัดผล การเรียนรู้ เคร่ืองมือวัดผลการเรียนรู้มีหลาย
ชนดิ ตามความเหมาะสมของข้อมูลที่ต้องการดังนี้

1) ข้อมูลด้านความรู้ความคิด เครื่องมือท่ีเหมาะสม คือ แบบทดสอบ แบบทดสอบภาคปฏิบัติ
การตรวจผลงาน การตรวจการบา้ น การสมั ภาษณ์

2) ขอ้ มูลด้านจิตใจความรสู้ ึก เครือ่ งมือที่เหมาะสมคอื แบบสอบถาม แบบวัดเจตคติ การสังเกต
การสัมภาษณ์ การสะทอ้ นความรูส้ ึกนึกคิด

3) ข้อมูลด้านความสามารถในการปฏิบัติ เคร่ืองมือท่ีเหมาะสมคือการทดสอบภาคปฏิบัติ การ
สงั เกต การประเมนิ ผลงาน

4) ข้อมูลด้านทักษะกระบวนการ เครื่องมือที่เหมาะสมคือการสังเกต สังคมมิติ การวิเคราะห์
ปฏิสัมพนั ธ์

ในขั้นนี้ผู้วิจัยไม่จาเป็นต้องสร้างเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้เอง สามารถนาเครื่องมือที่บุคคลอ่ืน
สรา้ งไวแ้ ล้วมาใช้ไดห้ ากเปน็ การวดั ผลการเรียนร้ใู นเรอื่ งเดยี วกนั

2.3 การปฏิบัติการสอน เป็นข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัยจัดทาข้ึน
มีจดุ เนน้ ท่ีการนานวตั กรรมไปใช้ในการจดั การเรยี นรู้ มีขั้นตอนอย่างไร

3. ขัน้ การสงั เกตผลท่เี กดิ ข้ึนจากการปฏิบัติตามแผน (Observe)
ในข้ันนี้เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยดาเนินการไปพร้อม ๆ กับขั้นตอนการปฏิบัติ คือในระหว่างท่ีดาเนินการ
จัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้น้ัน ผู้วิจัยก็จะต้องสังเกตพฤติกรรมผู้เรียน (ปรีชา สามัคคีและปัญญา
เลิศไกร 2557, น.60) การสังเกตปัญหาอุปสรรคท่ีเกิดขึ้นในช้ันเรียน และการเก็บรวบรวมข้อมูลที่แสดงถึงผล
การเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้ที่เลือกหรือสร้างขึ้น และนาข้อมูลท่ีรวบรวมได้มา
ดาเนนิ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และสรุปผลการวจิ ยั
4. ขัน้ การสะท้อนผลหรอื การสะทอ้ นความคดิ (Reflect)
ในขั้นนี้เป็นขั้นตอนท่ีผู้วิจัยนาผลการวิจัยมานาเสนอและแลกเปล่ียนเรียนรู้ ร่วมวิพากษ์วิจารณ์

อย่างสร้างสรรค์กับผู้เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนรู้ เช่น เพื่อนครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง นักเรียน ผลของการ

ดาเนินการในขั้นน้ีทาให้ผู้วิจัยสามารถสรุปบทเรียนที่เกิดจากการวิจัย เพื่อนาเสนอต่อไป สุวิมล ว่องวาณิช

(2455, น.91) ไดเ้ สนอความคิดของ Heron, J. (1996) เก่ียวกับระดับการสะทอ้ นผล 4 ระดบั ดงั น้ี

1) ระดับการบรรยายสภาพท่ีเกิดข้ึน เป็นการวิพากษ์ในเนื้อหาที่เกี่ยวกับสภาพท่ีเกิดขึ้นใน ชั้นเรียน

หรือขอ้ ค้นพบตา่ ง ๆ

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

162

2) ระดับการประเมนิ ข้อค้นพบ เป็นการวิพากษ์เชิงประเมินว่าสิ่งที่ดาเนินการหรือส่ิงท่ีค้นพบดีหรือไม่ดี
อย่างไร เพราะอะไร

3) ระดับการอธิบายข้อค้นพบ เป็นระดับที่สูงขึ้นมากกว่าระดับการประเมิน เป็นการวิพากษ์เพ่ือหา
คาอธบิ ายตอ่ ส่ิงทคี่ น้ พบ

4) ระดบั การประยุกต์ใช้ส่งิ ท่ีค้นพบ เป็นการวิพากษ์เพื่อนาผลที่ค้นพบไปใช้ประโยชน์หรือปรับปรุงแนว
ทางการปฏบิ ตั ิในคร้ังต่อไป

รายละเอียดขนั้ ตอนการดาเนินการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชัน้ เรียน จุดเริ่มต้นของการวจิ ยั เริ่มต้นจากปัญหา
หรือข้อข้องใจในการเรียนการสอนที่ครูสอนพบในชั้นเรียน ขอบเขตของการวิจัย มุ่งศึกษาเก่ียวกับผู้เรียน
ผู้สอน กระบวนการเรียนการสอน ตลอดจนสภาพแวดล้อมในห้องเรียน เป็นการวิจัยเล็ก ๆ ท่ีศึกษากับ
นกั เรียนในกล่มุ การวิจยั จะดาเนินควบคไู่ ปกับการเรียนการสอนตามปกติ ให้เปน็ สว่ นหนึ่งของการเรียนการสอน
(ลัญจกร นิลกาญจน์, 2557, น.97) ผู้เรียนไม่รู้สึกว่าอยู่ภายใต้สภาวะการวิจัย ผลการวิจัยอยู่บนพ้ืนฐานของ
ห้องเรียนปกติ เป้าหมายของการวิจัยคือ พัฒนาการเรียนการสอนของครูในภาพแวดล้อมที่ทาการวิจัยน้ัน ๆ
โดยตรงไมม่ งุ่ เพ่ือนาไปใช้กบั กลุ่มอื่น ๆ

บทสรปุ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซ่ึงเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาของไทยได้ให้

ความสาคญั กับการวจิ ยั ในลักษณะทช่ี ้ีใหเ้ ห็นว่า การวิจัยเป็นกระบวนการท่ีควบคู่กับ การจัดกระบวนการเรียนรู้
และกระบวนการทางานของผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา ซ่ึงเป็นกลไกนาไปสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้
ดังเชน่ มาตรา 24 (5) ระบใุ ห้ใชก้ ารวจิ ยั เป็นสว่ นหน่งึ ของกระบวนการเรียนรู้ มาตรา 30 กาหนดให้สถานศึกษา
พัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถทาวิจัย เพ่ือพัฒนาการ
เรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับ การศึกษา การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครูโดยใช้
กระบวนการวิจยั เป็นแนวทางในการพฒั นาการปฏิบัติงานของครูด้วยตนเอง เพ่ือนาไปสู่การพัฒนาการเรียนการ
สอนให้มีประสิทธิผล และเป็นการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนตามเป้าหมายของหลักสูตร การวิจัยปฏิบัติการในช้ัน
เรียนเป็นกระบวนการทม่ี กี ารดาเนินงานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต การปฏิบัติงานจริงของครูสามารถดาเนินการใน
2 รูปแบบคือ การวิจัยเพื่อทาความเข้าใจเกี่ยวกับช้ันเรียนโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงบรรยาย เรียกว่าการวิจัยใน
ชนั้ เรยี น กบั การวจิ ัยเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน เรียกว่าการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน เป็นการวิจัยที่อาศัย
กระบวนการทางานท่ีต่อเนื่อง และมีการสะท้อนผลแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างผู้เก่ียวข้อง โดยดาเนินการตาม
ข้ันตอน 4 ขั้นตอนท่ีเป็นวงจรต่อเน่ือง ประกอบด้วย ข้ันการวางแผน (plan) ประกอบด้วยกิจกรรม การสารวจ
และวิเคราะห์ปัญหา การศึกษาทฤษฎีหลักการเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ การเลือก
นวัตกรรมหรือวิธีการท่ีนามาใช้ใน การแก้ปัญหา และการเขียนเค้าโครงการวิจัย ข้ันการปฏิบัติตามแผน
(action) ประกอบด้วยกิจกรรมการพัฒนานวัตกรรมท่ีใช้ในการวิจัย การจัดทาแผนการเรียนรู้ การสร้าง
เคร่ืองมือวัดผล การเรียนรู้ และการปฏิบัติการสอน ขั้นการสังเกตผลที่เกิดข้ึนจากการปฏิบัติตามแผน
(observe) และข้ันการสะทอ้ นผลหรอื การสะทอ้ นความคิด (reflect)

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"

163

เอกสารอา้ งองิ

กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติแห่งชาติ พทุ ธศักราช 2542. กรุงเทพมหานคร: ครุ สุ ภา.
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2544). แนวทางการปฏิรปู การศกึ ษาระดับอุดมศึกษาตาม

พระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาตพิ .ศ.2542. กรุงเทพมหานคร: วที ซี ี คอมมิวนเิ คช่นั .
ทศิ นา แขมมณี. (2540). ผลิตผลและผลิตภัณฑท์ างการศึกษาจากงานวิจัย. ฝ่ายวจิ ัย คณะครุศาสตร์

จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
ทศิ นา แขมมณ.ี (2547). ศาสตร์การสอน:องคค์ วามรูเ้ พอ่ื การจดั กระบวนการเรียนร้ทู ่ีมีประสทิ ธิภาพ.

กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
นลิ รตั น์ นวกิจไพฑรู ย.์ (2556). การวิจัยปฏิบตั กิ ารในช้ันเรยี น. เอกสารประกอบการประชมุ สัมมนา

นวตั กรรมเพือ่ การพัฒนาในศตวรรษท่ี 21 วันท่ี 7 กนั ยายน 2556 ณ บณั ฑติ วทิ ยาลัยมหาวทิ ยาลัย
ราชภฏั นครศรีธรรมราช.
นิลรตั น์ นวกจิ ไพฑรู ย์. (2557, กรกฎาคม-ธันวาคม). การพัฒนาสมรรถนะการวิจยั ในชั้นเรยี นและผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิชาการวิจยั เพ่ือพัฒนาการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสอนแบบมีสว่ นรว่ ม 4 P. วารสาร
นาคบุตรปริทรรศน์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครศรีธรรมราช, 6(2).
ปญั ญา เลศิ ไกร, ลัญจกร นิลกาญจน์. (2559, กรกฎาคม–ธนั วาคม). การเกบ็ ขอ้ มูลวิจัยชุมชนภาคสนาม.
วารสารนาคบุตรปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครศรีธรรมราช. 8(2).
ปรชี า สามัคคี และปัญญา เลิศไกร. (2557). การสังเกต 360 องศาเพื่อการวิจัยและพฒั นา. วารสารนาคบุตร
ปรทิ รรศน์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช. 6(1).
พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์. (2544). การวิจัยในช้นั เรียน : หลกั การส่กู ารปฏิบตั ิ. กรุงเทพมหานคร: เดอะมาสเตอร์กรุ้ป แมเนจเม้นจากัด.
ลัญจกร นิลกาญจน.์ (2557, กรกฎาคม-ธันวาคม). การพัฒนารปู แบบการเรียนร.ู้ วารสารนาคบตุ รปริทรรศน์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช. 6(2).
วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). วิถสี รา้ งการเรยี นรูเ้ พื่อศษิ ย์ในศตวรรษที่ 21. กรงุ เทพมหานคร: มลู นธิ ิสดศรีสวัสด์ิวงศ์
สนุ ทร โตบัว. (2554). การพัฒนาสมรรถนะวิจัยของนิสิตวชิ าชีพครดู ้วยชดุ การเรียนรู้ด้วยตนเอง.
การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 6–7 กรกฎาคม 2554.
สวุ มิ ล ว่องวาณชิ . (2548). การวิจยั ปฏิบัตกิ ารในชั้นเรียน. พมิ พ์คร้ังที่ 8. กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
อภสิ รรค์ ภาชนะวรรณ. (2552, กุมภาพันธ์–พฤษภาคม). รปู แบบการพัฒนาสมรรถนะการวจิ ัยของครูดว้ ย
กระบวนการวิจยั แบบมีสว่ นรว่ ม. วารสารศกึ ษาศาสตร์, 20(2).
อุทุมพร จามรมาน. (2537). การวิจัยของครู. กรงุ เทพมหานคร: ฟนั น่ี .

ผูเ้ ขยี น

ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นลิ รตั น์ นวกจิ ไพฑรู ย์
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครศรีธรรมราช
1 หมทู่ ี่ 4 ตาบลท่าง้ิว อาเภอเมอื ง จังหวัดนครศรีธรรมราช 80280
e-mail: [email protected]

Vol.9 No.1 January-June 2017 A Development learner competencies by research : “Classroom action research"


Click to View FlipBook Version