พระนาคเสน
สารบัญ -ประวัติ 1-2 -การออกบวช 3-4 -หลังออกพรรษา 5-8 -คุณธรรมที่คที่รถือเป็นแบอย่างฎ 9-10
ประวัติ พระนาคเสนเกิดที่ชัที่ชังคลคาม (หมู่บ้านกชังคละ) ใกล้ภูเขา หิมาลัย บิดามารดาเป็นพราหมณ์ชื่อโสณุต ณุ ตระพรามหณ์ และ โสณุต ณุ ตระพราหมณี เหตุที่ชื่ที่ ชื่อนาคเสนเพราะ เมื่อตอนเกิดใหม่ ๆ มีความงามบริสุทธิ์โสภา เมื่ออายุได้ 7 ขวบ บิดามารดาจึง ให้เรียน ไตรเพท อันเป็นวิชาของพราหมณ์ และศิลปศาสตร์คือ วิชาอื่นที่อที่าจารย์สอนนอกเหนือจากคัมภีร์ไตรเพท นาคเสน กุมารสามารถเรียนและจบได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเรียนจบ แล้วได้ถามบิดาว่า ศิลปวิทยาสำ หรับคนในสกุลพราหมณ์มีให้ เรียนเท่านี้หรือ เมื่อบิดาตอบว่า มีเพียงเท่านี้ก็รู้สึกว่ามันน้อย นิดเหลือเกิน จึงไปนั่งนึกถึงสิ่งที่เที่ป็นสาระของคัมภีร์และ ศิลปวิทยาที่เที่รียนมา ก็นึกเห็นว่าศิลปศาสตร์และไตรเพทที่ เรียนมานั้นเหมือนลอมฟาง ว่างเปล่า ไม่มีแก่นสาร 1
สมัยนั้น มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า โรหณะ ผู้มาบิณฑบาต ที่บ้ที่บ้านโสณุต ณุ ตระพราหมณ์เป็นประจำ รู้ว่านาคเสน กุมาร คิดอยากเรียนรู้ในสิ่งที่เที่ป็นแก่นสาร จึงเข้าไปหา นาคเสนกุมาร ผู้กำ ลังนั่งรำ พึงถึงศิลปวิทยาที่เที่รียนมา เมื่อนาคเสนกุมารเห็นเข้าก็มีใจยินดีเกิดปีติโสมนัสจึง ไต่ถามพระโรหณะต่าง ๆ เช่น ทำ ไมท่านจึงนุ่งห่มเช่นนี้ ทำ ไมท่านจึงปลงผมและโกนหนวดออก เมื่อนาคเสน กุมารได้ฟังฟัพระโรหณะตอบแล้วได้เกิดความเลื่อมใส และขออนุญาตบิดามารดาบรรพชา 2
การออกบวช นาคเสนสามเณรมีอายุครบ 20 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระ ภิกษุ โดยมีพระโรหณะเป็นพระอุปัชปัฌาย์เช่นเดิม วันรุ่งขึ้นได้ ออกบิณฑบาตกับพระอุปัชปัฌาย์ ขณะเดินตามหลังได้คิดในใจ ว่า อุปัชปัฌาย์ของเราโง่เขลาจริง รู้แต่พระอภิธรรมอย่าง เดียว ไม่รู้ พระพุทธวจนะอื่นเลย พระโรหณะรู้ความคิดของ พระนาคเสน จึงบอกว่าความคิด เช่นนั้นไม่สมควรทั้งแก่ตัว เราและตัวท่าน พระนาคเสนรู้ว่าพระอุปัชปัฌาย์รู้ความคิดจึง คิดว่าอุปัชปัฌาย์นี้มีปัญปัญา ควรจะให้งดโทษแก่เรา จึงกล่าว ขอขมาโทษกับพระอุปัชปัฌาย์ 3
พระโรหณะกล่าวว่า "เรางดโทษแก่ท่านไม่ได้ มีแต่ท่านทำ ให้พระยามิ ลินท์กษัตริย์แห่งเมืองสาคละนครเลื่อมใสได้เมื่อใด เราจะงดโทษให้ เมื่อนั้น" พระนาคเสนกล่าวตอบว่าอย่าว่าแต่พระยามิลินท์พระองค์ เดียวเลย แม้พระยาทั้งชมพูทวีปเรียงตัวกันเข้ามาถามปัญปัหา ก็ สามารถทำ ให้เลื่อมใสได้ พระโรหณะกล่าวว่าท่านอย่าพูดอย่างนั้น ไว้ พูดกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ทำที่ทำให้พระยามิลินท์เลื่อมใสแล้วใน พรรษานั้น พระโรหณะได้ส่งพระนาคเสนไปจำ พรรษากับพระอัสสคุต เถระ ณ วัตถิยะเสนาสน์ พระอัสสคุตเถระ ไต่ถามถึงเหตุที่มที่าของ พระนาคเสนจึงทราบว่าเป็นผู้มีปัญปัญาปรารถนาที่จที่ะเรียนพระ ไตรปิฎก แต่เนื่องจากท่านไม่ชำ นาญพระไตรปิฎก จึงแกล้งทำ เป็น ลงพรหมทัณฑ์ด้วยการไม่พูดด้วยแล้วก็นิ่งเฉย พระนาคเสนได้บำ รุง พระเถระด้วยอุปัชปัฌายวัตร เช่น กวาดบริเวณ จัดน้ำ ล้างหน้า น้ำ บ้วนปาก และไม้สีฟันฟัมาตั้งไว้ พระอัสสคุตเถระไม่ยอมรับการบำ รุง นั้น ท่านกวาดบริเวณเสียใหม่ เทน้ำ ทิ้งเปลี่ยลี่นไม้สีฟันฟัใหม่ ทรงทำ เช่น นี้ตลอด 3 เดือน โดยมิได้พูดจากับพระนาคเสนเลย 4
เมื่อออกพรรษาแล้ว มีอุบาสิกาผู้ปรนนิบัติพระเถระมาตลอด 30 ปีคนหนึ่งประสงค์จะถวายภัตตาหาร จึงถามพระเถระว่า มีภิกษุจำ พรรษากับท่านบ้างไหม พระเถระตอบว่ามีอยู่รูป หนึ่ง อุบาสิกาจึงนิมนต์พระเถระกับพระนาคเสนไปฉัน ภัตตาหารที่บ้ที่บ้านในวันรุ่งขึ้น รุ่งขึ้นเช้าพระอัสสคตุเถระผู้ไม่ได้ พูดกับพระนาคเสนาตลอดพรรษาจำ ต้องพูดในวันนั้นว่า อุบาสิกานิมนต์ให้ไปฉันภัตตาหารที่บ้ที่บ้าน พูดเท่านี้แล้วก็นุ่ง สบงครองจีวรอุ้มบาตรไปบ้านอุบาสิกา เมื่อฉันเสร็จแล้ว พระอัสสคุตเถระจึงให้พระนาคเสนกล่าวอนุโมทนา ส่วนท่าน กลับไปก่อน อุบาสิกาจึงกล่าวกับพระนาคเสนว่า "โยมนี้แก่ เฒ่าแล้วใคร่จะฟังฟัธรรมะอันลึกซึ้งเพื่อจะได้เจริญสติปัญปัญา พระนาคเสนจึงกล่าวอนุโมทนาด้วยธรรมที่สที่มควรกับสติ ปัญปัญาของอุบาสิกา อุบาสิกาพิจารณาตามธรรมที่พที่ระนาค เสนแสดงเมื่อจบแล้วก็ได้บรรลุโสดาบัน หลังออกพรรษา 5
หลังจากนั้นพระอัสสคุตเถระได้ส่งพระนาคเสนไปอยู่ กับพระธรรมรักขิตที่ อโศการาม เมืองปาตลีบุตร เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก ในระหว่างเดินทางพระนาค เสนได้อาศัยเกวียนของพ่อค้าคนหนึ่ง และแสดง ธรรมจนพ่อค้าบรรลุโสดาบัน เมื่อไปถึงเมืองปาตลี บุตรพระนาคเสนได้ศึกษาพระไตรปิฎกด้วยภาษามคธ กับพระธรรมรักขิตเถระ ร่วมกับพระสงฆ์จากลังกา พระนาคเสนใช้เวลาเรียนพุทธพจน์ที่เที่ป็นเนื้อความ ล้วน 3 เดือน ที่เที่ป็นอรรถกถา 3 เดือนรวม 6 เดือน 6
พระธรรมรักขิตเถระเห็นพระนาคเสนมีสติปัญปัญาดีมีความ เชี่ยชี่วชาญพุทธพจน์เป็นอย่างยิ่ง แต่ยังเป็นปุถุชนอยู่แม้จะ เชี่ยชี่วชาญพระไตรปิฎกจึงกล่าวเปรียบอุปมาให้พระนาคเสนฟังฟัว่า "ธรรมดาคนเลี้ยงโค รีดนมโคขาย แต่ไม่รู้รสนมโคฉันใด บุคคลผู้ เป็นปุถุชนแม้จะเชี่ยชี่วชาญพระไตรปิฎก แต่ไม่รู้รสแห่งมรรคผล อันสมควรแก่สมณะก็เช่นนั้น" พระนาคเสนได้ฟังฟัเช่นนั้นก็เข้าใจจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะค่อยๆ พิจารณาให้รู้รสนั้น แล้วกลับมาที่พัที่พัก พิจารณาด้วยวิปัสปั สนา กัมมัฏฐานจนสำ เร็จพระอรหันต์ ฝ่ายพระอรหันต์ ที่อที่ยู่ที่ถ้ำที่ ถ้ำคูหา รักขิตะเลณะทราบว่าพระนาคเสนบรรลุพระอรหันต์ จึงส่งทูตมา นิมนต์ให้ไปยังสาคละนครเพื่อแสดงธรรมต่อพระยามิลินท์ 7
พระยามิลินท์ นั้นตั้งปัญปัหาถามพระเถระรูปต่าง ๆ จนคร้าน จะตอบเป็นจำ นวนมาก เมื่อพระองค์ได้สดับ กิตติศัพท์ของ พระนาคเสน จึงสั่งให้อำ มาตย์ไปนิมนต์พระนาคเสน แต่พระ นาคเสนกลับให้ทูลเชิญพระราชามาหา พระยามิลินท์จึง เสด็จมาหาพระนาคเสนที่อที่สงไขยบริเวณแล้วตรัสถาม ปัญปัหากับพระนาคเสนดังปรากฎในหนังสือมิลินทปัญปัหาจน พระยามิลินท์เลื่อมใส เช่น พระยามิลินท์ถามว่า พระพุทธเจ้ามีองค์จริง หรือไม่พระนาคเสนตอบว่ามี เมื่อถูก ซักว่า ท่านเกิดไม่ทัน ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า ท่านรู้ได้ อย่างไรว่าพระพุทธเข้ามีจริง พระนาคเสนใช้ปฏิภานโต้กลับ ว่า มหาบพิตร ท่านคงไม่ปฏิเสธใช่ไหมว่ากษัตริย์ต้นวงศ์ ของพระองค์มีจริง พระยามิลินท์ตอบว่า ไม่ปฏิเสธ เพราะ กษัตริย์ ต้นวงศ์ของโยมมีจริง ๆ พระนาคเสนซักว่า มหาบพิตรเกิดไม่ทัน ไม่เคยเห็น มหาบพิตรรู้ได้อย่างไรว่า กษัตริย์ต้นวงศ์ของ พระองค์มีจริงพระนาคเสนได้ช่วย เหลือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในระยะกาลต่อมาจน นิพพาน 8
1•เป็นผู้ใฝ่รู้อย่างยิ่ง คุณธรรมข้อนี้เรียกว่า “ธัมมกามตา” คือ มีฉันทะใคร่รู้ ใคร่ศึกษา ด้วยความใฝ่รู้นี้เองทำ ให้พระนาคเสนเรียนจบไตรเพทตั้งแต่ อายุยังน้อย และเมื่อบวชแล้วก็ได้ศึกษาอภิธรรมในสำ นักพระอัสสคุต จนเชี่ยชี่วชาญในพระอภิธรรม ทั้งยังศึกษาพุทธวัจจะ (พระไตรปิฎก) ใน สำ นักของพระธรรมรักขิต โดยใช้เวลาไม่นานก็เรียนจบพระไตรปิฎกซึ่ง ความสำ เร็จทั้งหมดนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเป็นผูใฝ่รู้นั้นเอง 2•ยอมรับผิดและแก้ไขตนเอง เป็นธรรมดาของผู้ที่มีที่มีความรู้มากหรือเป็นพหูสูต มักจะมี ความเชื่อมั่นในตัวเองสูง จนบางครั้งเลยขอบเขตกลายเป็นทิฐิมานะ ดู หมิ่นดูแคลนคนอื่น ซึ่งพระนาคเสนก็เป็นเช่นนั้นในบางครั้ง แต่เมื่อรู้สึก ตัวว่าผิด ก็พร้อมที่จที่ะรับผิดและพยายามแก้ไข ซึ่งคุณธรรมข้อนี้ควรที่ จะเอาเป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง คุคุคุ คุ ณ คุ ณ คุ ณธรรมที่ที่ที่ที่คที่ที่ที่ที่คที่วรถืถืถืถือถืถืเป็ป็ป็ป็ น ป็ น ป็ นแบบอย่ย่ย่ ย่ า ย่ า ย่ าง 9
3•เป็นผู้มีปฎิภาณอย่างยอดเยี่ยยี่ม พระนาคเสนเด่นมากในข้อนี้ เพราะมิลินทปัญปัหา เป็นบันทึกปฏิภาณอันเฉียบคมของท่าน ไว้มากมาย ดังเมื่อพระยามิลินท์ถามว่า “พระพุทธเจ้ามีองค์จริงหรือไม่” พระนาคเสน ตอบว่า “มี” เมื่อถูกซักว่า “ท่านเกิดไม่ทันไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า ท่านรู้ได้อย่างไรว่า พระพุทธเจ้ามีจริง” พระนาคเสนใช้ปฎิภาณตอบว่า “มหาบพิตร ท่านคงไม่ปฎิเสธใช่ไหม ว่ากษัตริย์ต้นวงศ์ของโยมมีจริงๆ” พระนาคเสนคิดว่า “ มหาบพิตรเกิดไม่ทัน ไม่เคยเห็น มหาบพิตรรู้ได้อย่างไรว่ากัตริย์ต้นวงศ์ของพระองค์มีจริง” 4•เป็นนักสอนธรรมที่มีที่มีเทคนิคการสอนดีเยี่ยยี่ม นอกจากใช้ปฏิภาณโต้ตอบแล้ว พระนาคเสนยังมีวิธีการสอนที่ดีที่ดีเยี่ยยี่มอีกประการหนึ่ง คือ ใช้การเปรียบเทียบ เพราะแม้เรื่องที่พูที่พูดที่สที่อนนั้นจะละเอียดลึกซึ้ง 10
จัดทำ โดย นายภรภวิทย์ เอี่ยอี่มแก้ว ม.5/3 เลขที่3ที่ นายศุภกฤษฎ์ กวางแก้ว ม.5/3 เลขที่1ที่ 6