พระพุทธศาสนา
ม.๓ ส23106
หนว่ ยท่ี ๑๐ ศาสนกิ ชนของศาสนาอื่น ๆ
ครูลดั ดา เทศศรเี มือง
กลมุ่ สาระสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นสตรรี าชินทู ศิ อดุ รธานี
ศาสนิกชนของศาสนาอื่น ๆ
พระพุทธศาสนา
คำสอนของพระพทุ ธเจ้ำไดร้ บั กำรบันทึกไว้เป็นพระคัมภรี ์ เรียกว่ำ พระไตรปิฎก
แบง่ ออกเป็น ๓ คัมภีร์ คอื
คัมภีร์พระวินัยปิฎก ว่ำด้วยเร่ือง วินัย ศีล สำหรับให้พระภิกษุ สำมเณรปฏิบัติ
และกำรกำหนดกฎเกณฑ์ในกำรประกอบพิธกี รรมทำงศำสนำ
คมั ภีรพ์ ระสุตตันตปิฎก เปน็ คมั ภรี พ์ ระสูตร กล่ำวถึงหลกั ธรรมตำ่ ง ๆ
คัมภรี พ์ ระอภธิ รรมปฎิ ก กล่ำวถงึ ธรรมช้ันสงู หรือปรมัตตสัจจะ
ศาสนิกชนของศาสนาอน่ื ๆ
ศำสนธรรมของพระพุทธเจำ้ ที่รวบรวมไดจ้ ำกกำรประชมุ คณะสงฆ์ ภำยหลังพระพุทธเจ้ำ
เสดจ็ ดับขนั ธปรนิ ิพพำนแล้วประมำณ ๑ ศตวรรษ มีดังน้ี
๑. อนจิ จงั ทกุ ขัง อนตั ตา
๒. อรยิ สัจ ๔ ได้แก่ ทกุ ข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
๓. ปฏจิ จสมุปบาท
๔. อริยมรรค ๘
๕. นพิ พาน
ศาสนิกชนของศาสนาอ่นื ๆ
ไตรสิกขา กำรปฏิบตั ิทัง้ หมดในพระพุทธศำสนำ คอื
ศีล คือ กำรฝึกฝนพัฒนำด้ำนพฤติกรรมทำงกำย และวำจำ ให้มีควำมสัมพันธ์กับ
ส่งิ แวดลอ้ มอยำ่ งถกู ตอ้ งและเกดิ ผลดี
สมาธิ คือ กำรฝกึ ฝนพฒั นำในดำ้ นจิตใจ เน่ืองจำกพฤตกิ รรมทุกอยำ่ งเกิดข้ึนเพรำะ
ควำมต้ังใจ ถ้ำจิตใจได้รับกำรพัฒนำให้ดีงำมแล้ว ก็จะควบคุมดูแลและนำพฤติกรรมไป
ในทำงท่ดี งี ำมดว้ ย
ปัญญา คือ กำรพฒั นำปัญญำ เพรำะปัญญำเป็นตัวนำทำงและควบคมุ พฤติกรรม
ทั้งหมด เปน็ ตวั ปลดปลอ่ ยจิตใจ ใหท้ ำงออกแกจ่ ติ ใจทีโ่ ล่งและเปน็ อสิ ระ
ศาสนกิ ชนของศาสนาอ่นื ๆ
หวั ใจของพระพทุ ธศาสนา ๓ ประการ
เมื่อพระพุทธเจ้ำทรงแสดงโอวำทปำติโมกข์แก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ณ พระเวฬุวัน
หลังจำกตรัสรู้เพียง ๙ เดือน และทรงแสดงปฐมเทศนำเพียง ๗ เดือน ทรงสรุปรวมคาสอน
ทางพระพุทธศาสนาของมรรคกับนิโรธ ซ่ึงถ้ำใครปฏิบัติตำมท่ีแสดงไว้ ทุกข์กับสมุทัย
ก็หมดไป กลำ่ วโดยสรปุ รวมเปน็ ไตรสิกขำ ดังน้ี
๑. การไมท่ าบาปทง้ั ปวง
๒. การทากศุ ลใหส้ มบรู ณ์
๓. การทาจิตของตนใหผ้ อ่ งแผว้
ศาสนิกชนของศาสนาอ่นื ๆ
ศาสนาอิสลาม
คัมภีร์ของศำสนำอิสลำม ได้แก่ คัมภีร์อัลกุรอาน ชำวมุสลิมเชื่อว่ำเป็นโองการ
ของพระเจา้ หรืออลั ลอฮ์ประทานผ่านทางนบีมฮุ ัมมัด มีท้ังหมด ๖,๖๖๐ โองกำร และเช่ือกันว่ำ
โองกำรเหล่ำนี้อัลลอฮ์ประทำนมำเป็นระยะ ๆ ตำมเหตุกำรณ์ใช้เวลำถึง ๒๓ ปี จึงเป็น
คัมภรี ์อลั กรุ อำนทีป่ ระกอบดว้ ย หลักศรัทธา ๖ ประการ และหลกั ปฏบิ ัติ ๕ ประการ
ศาสนิกชนของศาสนาอ่นื ๆ
หลกั ศรัทธา ๖ ประการ คอื
๑. ศรทั ธาต่อพระเจ้า (อัลลอฮ์)
๒. ศรทั ธาตอ่ บรรดามลาอกิ ะห์ หรือเทวทตู
๓. ศรัทธาตอ่ บรรดาคัมภีร์
๔. ศรัทธาตอ่ บรรดารอซลู้ หรอื ศาสนทตู (นบี)
๕. ศรทั ธาตอ่ วนั สนิ้ โลก
๖. ศรทั ธาต่อกฎกาหนดสภาวการณ์ (ของพระเจ้า)
ศาสนิกชนของศาสนาอ่นื ๆ
หลกั ปฏิบตั ิ ๕ ประการ คอื
๑. การปฏิญาณตน
๒. การนมาซ หรือละหมาด มสุ ลิมตอ้ งละหมาด วนั ละ ๕ ครั้ง
๓. การถอื ศีลอด
๔. การบริจาคซะกาต
๕. การประกอบพธิ ฮี ัจญ์
ศาสนิกชนของศาสนาอ่ืน ๆ
ศาสนาคริสต์
คัมภรี ์สำคญั ของศำสนำคริสต์ เรียกวำ่ “คัมภรี ์ไบเบิล” (The Holy Bible) ได้แก่
๑. คมั ภีรไ์ บเบิลเก่า (Old Testament) กล่ำวถึงประวัติศำสตร์ชนชำติยิวตั้งแต่
กำรสรำ้ งโลกจนถงึ สมัยกอ่ นพระเยซคู ริสต์
๒. คัมภีรไ์ บเบิลใหม่ (New Testament) กล่ำวถึงเร่ืองรำวตั้งแต่พระเยซูประสูติ
จนถึง ค.ศ. ๑๐๐ เป็นเรื่องรำวชีวิตของพระเยซูคริสต์ และคำสั่งสอนเร่ืองควำมเช่ือของ
ชำวคริสต์
ศาสนกิ ชนของศาสนาอ่นื ๆ
หลักความเชอ่ื ของศาสนาครสิ ต์ มดี ังนี้
๑. พระเยซูทรงสอนให้รกั มนุษย์
๒. เชอื่ วา่ พระเยซูเป็นผู้สละชีวติ เพอ่ื ไถบ่ าปให้มนษุ ยชาติ
๓. เชอ่ื ในวนั พพิ ากษาวา่ เม่อื ตายจากชวี ิตนแ้ี ล้ว จะต้องไปรอรบั คาพพิ ากษา
เพ่อื การลงโทษและการตอบแทนรางวัล
ศาสนิกชนของศาสนาอ่นื ๆ
ศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้นเป็นศาสนาเดียวกัน โดยศำสนำฮินดูพัฒนำ
มำจำกศำสนำพรำหมณ์และเกิดในยุคพระเวท พวกอำรยันซ่ึงเป็นพวกผิวขำวได้เดินทำงมำจำก
ตอนใต้ของรสั เซียเข้ำมำขับไลพ่ วกดรำวิเดียนซึ่งเป็นพวกผิวดำ
คนอำรยันนับถือพระอำทิตย์ ส่วนพวกชนพื้นเมืองเดิมนับถือไฟ พวกอำรยันเห็นว่ำ
ควำมเช่ือของตนเข้ำกับพวกดรำวิเดียนได้จึงเผยแพร่ควำมเช่ือของตนโดยชี้ให้เห็นว่ำ ดวงไฟ
ที่ยิ่งใหญ่นั้นคือดวงอำทิตย์ จึงควรนับถือพระอาทิตย์ ซ่ึงเป็นท่ีมำของไฟท้ังปวง
ในโลกมนุษย์ ทำใหแ้ นวควำมคิดของชนพ้ืนเมืองเดิมกับพวกอำรยันผสมผสำนเขำ้ ดว้ ยกนั
จนเกดิ เปน็ ศำสนำพรำหมณ์
ศาสนิกชนของศาสนาอื่น ๆ
๑. ยุคพระเวท ประมำณ ๑๐๐-๑,๐๐๐ ปี ก่อนพุทธกำล ได้เกิดคัมภีร์พระเวทข้ึน
ประกอบด้วยคัมภีร์ ๔ เล่ม คือ คัมภีร์ฤคเวท ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้ำ คัมภีร์ยชุรเวท ว่ำด้วย
ระเบียบวิธีในกำรประกอบพิธีบูชำยัญและบวงสรวงต่ำง ๆ คัมภีร์สามเวท ใชส้ ำหรับสวดในพิธี
ถวำยน้ำโสมแก่พระอินทร์ และขับกล่อมเทพเจ้ำ ส่วนคัมภีร์อาถรรพเวท ใช้เป็นท่ีรวบรวม
คำถำอำคมหรอื เวทมนตร์
๒. ยุคพราหมณ์ ประมำณ ๑๐๐ ปี ก่อนพทุ ธกำล
๓. ยคุ ฮินดู ตง้ั แต่ พ.ศ. ๗๐๐ เปน็ ตน้ มำ
ศาสนกิ ชนของศาสนาอน่ื ๆ
เกิดระบบวรรณะ ๔ วรรณะ คือ
๑) วรรณะพราหมณ์ มหี นำ้ ท่ีตดิ ตอ่ กบั เทพเจำ้ ส่งั สอนศำสนำ ประกอบพิธกี รรม
และสบื ตอ่ คัมภีร์พระเวท
๒) วรรณะกษตั ริย์ ไดแ้ ก่ พวกนักรบ ทำหนำ้ ทป่ี อ้ งกนั ชำตบิ ำ้ นเมอื ง และทำศึก
๓) วรรณะแพศย์ เป็นวรรณะของคนส่วนใหญใ่ นสงั คม ไดแ้ ก่ ผปู้ ระกอบ
พำณชิ ยกรรม เกษตรกรรม
๔) วรรณะศทู ร เป็นวรรณะของพวกกรรมกร ผูใ้ ชแ้ รงงำน
ศาสนกิ ชนของศาสนาอนื่ ๆ
ศาสนาสิกข์
ศำสนำสกิ ขเ์ ปน็ ศำสนำที่มุ่งสอนให้มนุษย์ทำควำมดีละควำมชั่ว สอนให้พิจำรณำที่เหตุ
และให้ยับยั้งต้นเหตุด้วยสติปัญญำ ตำหนิในส่ิงที่ควรตำหนิ และชมเชยในสิ่งท่ีควรชมเชย สอน
มนุษย์รักกันฉันมิตร พ่ีน้องรู้จักให้อภัยต่อกัน สอนให้เข้ำใจถึงกำรทำบุญและกำรทำทำน
ให้ละเว้นบำปทั้งปวง สอนให้เรำทั้งหลำยทรำบว่ำ ไม่มีส่ิงใดมีอำนิสงส์เสมอภำวนำ สรรพสิ่ง
ทัง้ มวลย่อมแตกดับตำมกำลเวลำ
ศาสนกิ ชนของศาสนาอ่นื ๆ
ศำสนำสิกข์เป็นศำสนำทเ่ี กดิ ขึ้นในประเทศอนิ เดยี ประมำณ ๕ ศตวรรษล่วงมำแลว้
มพี ระศำสดำคุรุนำนักเทพ เป็นองค์พระปฐมบรมศำสดำ ทรงประสตู ิ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๑๒
ณ หมบู่ ้ำนติวัลดี ปัจจบุ นั คอื ประเทศปำกสี ถำน
พระศำสดำโควินทสงิ ห์ เป็นพระศำสดำองคส์ ดุ ทำ้ ย ไดบ้ ัญญัติใหช้ ำวสกิ ข์ยดึ ถือใน
ธรรมะอย่ำงเดยี ว นับวำ่ เป็นกำรยตุ ิกำรสบื ทอดศำสนำโดยบุคคลอย่ำงสนิ้ เชิง ในขณะทพ่ี ระองค์
ยงั มชี นมช์ พี อยู่ พระศำสดำได้ลขิ ิตและรวบรวมไวเ้ ปน็ เลม่ เรยี กว่ำ “พระมหำคัมภรี ์
อำทิครนั ถสำหพิ ”